สามชาติ
สามภพ ป่าท้อสิบหลี่ One-Shot.Fic [เจ๋อเหยียน x ไป๋เจิน] หงส์ขาวกับจิ้งจอกเก้าหาง : 03
:
สามชาติ สามภพ ป่าท้อสิบหลี่ Fanfiction
:
เจ๋อเหยียน x ไป๋เจิน
:
Warmhearted Romantic
:
PG
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
...วิชาแพทย์ของข้า...ไม่ได้มีไว้เพื่อโลกหล้า...แต่ว่ามีไว้เพื่อเจ้าเพียงเท่านั้น...
มือใหญ่ที่เคยคนหม้อยาหยุดไปชั่วขณะเพราะสายตาของเขาในยามนี้กำลังทอดมองไปที่ร่างในชุดสีขาวที่กำลังดีดพิณอยู่บนแท่นหินริมสระ
กลีบดอกท้อโปรยปรายลงมาน้อยๆก่อนจะค่อยๆไหลลงไปตามเส้นผมลื่นดำขลับที่ยาวถึงสะโพก
ลูกชายคนที่สี่ของราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิวนั้นเติบโตขึ้นจากวันที่พบกันครั้งแรกมากนัก
จากลูกจิ้งจอกน้อยในวันวานบัดนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยแรกแย้ม รูปโฉมของเจินเจินก็งดงามตามวัยอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งใบหน้า หู ตา จมูก ปาก กลายเป็นหนึ่งในใต้หล้าหาใครเทียบได้อย่างที่เคยคิดไว้จริงๆ
เขาไล่สายตามองใบหน้าละมุนละไมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
ไล่มองไปยังแก้มใสที่มีสีเลือดฝาดผุดผาดอย่างคนสุขภาพดี
ไล่มองไปที่สันจมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากรูปกระจับที่มีสีแดงระเรื่อดูนุ่มนวลเชิญชวนอยู่ในที
ไล่มองไปที่แพขนตาหลุบต่ำเล็กน้อยยามที่นัยน์ตาคู่สวยกำลังทอดมองพิณซึ่งกำลังดีดอยู่
ไล่มองไปที่เส้นผมยาวราวกับเส้นไหมที่กำลังไล้คลอเคลียลาดไหล่และลำคอระหง
ไล่มองไปที่ร่างกายโปร่งบางงามสง่าในชุดสีขาวพลิ้วไหวน้อยๆตามแรงลม
ไล่มองแล้วก็ไล่มองอีก เขาไล่มองเจินเจินอยู่แบบนี้มาเป็นพันเป็นหมื่นปีก็ไม่มีเบื่อ
ริมฝีปากของเขายกยิ้มก่อนจะหันกลับมาสนใจหม้อยาที่กำลังเดือดปุดๆ
มือคนทัพพีอีกสองสามทีก่อนจะหยอดน้ำผึ้งลงไป
เขาส่ายหน้าน้อยๆเมื่อมองโหลใส่น้ำผึ้งที่ว่างเปล่า...จะมีใครที่ไหนในสี่สมุทรแปดดินแดนเอาน้ำผึ้งชั้นดีแบบนี้มาเทใส่หม้อยาหน้าตาเฉยแบบเขาอีกเล่า
นัยน์ตาเหลือบมองถ้วยยาเย็นชืดที่อุตส่าห์เคี่ยวตั้งสี่ชั่วยามซึ่งถูกทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะข้างเตา...ยาที่เทพเจ๋อเหยียนปรุงขึ้นมาแล้วยังอยู่ในป่าท้อสิบหลี่แบบนี้คงเป็นยาของใครไปไม่ได้นอกจากไป๋เจิน
เจ้าเด็กเผ่าจิ้งจอกเก้าหางที่ไม่เคยสำนึกเลยว่ามีคนมากมายอยากได้ยาของเขาจะเป็นจะตาย
แต่เขาที่ไม่เคยทำให้ใครง่ายๆอุตส่าห์ต้มยาให้เจ้าเด็กนั่นกินทุกวัน
แล้วดูเด็กนั่นทำสิ เอาแต่บ่นว่าขมๆแล้วก็ไม่ยอมดื่มเนี่ยนะ?
ใช้ได้ที่ไหน!
เขาถึงได้ต้องสละน้ำผึ้งโหลแล้วโหลเล่าผสมลงไปในยาเพื่อให้เจินเจินยอมดื่มเข้าไปอยู่แบบนี้ไง
ยาสีเข้มถูกเทลงถ้วยอีกครั้ง
ควันที่ลอยกรุ่นทำให้มันดูไม่ต่างจากถ้วยแรกมากนักทั้งๆที่รสชาตินั้นต่างกันพอสมควร...เจินเจินชอบกินของหวานๆมาตั้งแต่ยังเล็กและไม่ทนต่อรสขมเป็นที่สุด
เพราะฉะนั้นจึงมีปัญหาทุกครั้งที่ต้องดื่มยา
เขาเองก็มีปัญหาที่ไม่ชอบเห็นเจินเจินเจ็บป่วยหรือมีบาดแผลแม้เพียงนิด
ซ้ำตัวเขายังเป็นเทพที่ทั่วหล้าต่างยกย่องเรื่องวิชาแพทย์
เพราะฉะนั้นงานอดิเรกหนึ่งของเขานอกจากบ่มเหล้า เฝ้าดูแลป่าท้อ ก็คือการประคบประหงมเจินเจินไม่ให้มีแม้แต่รอยขีดข่วนนี่แหละ
ในเมื่อคนที่ไม่ชอบความขมมาเจอกับคนที่จ้องจะบำรุงอีกฝ่ายด้วยวิชาแพทย์...ยารสหวานที่ไม่เคยมีที่ไหนจึงถูกคิดค้นขึ้นในป่าท้อสิบหลี่นี่เอง
เขาถือถาดใส่ถ้วยยาก่อนจะเดินไปหาคนที่นั่งดีดพิณอยู่ริมสระดอกท้อ
เสียงก้องกังวานหยุดลงเมื่อเจินเจินเงยหน้ามามองเขาก่อนจะเหลือบมองถ้วยยาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“ดื่มยาก่อนสิ” เขาวางถ้วยยาพร้อมกับนั่งลงข้างๆ
“ท่านไม่ได้แกล้งใส่อะไรขมๆให้ข้าดื่มอีกแน่นะ?” เจ้าลูกจิ้งจอกเหยียดมองถ้วยยาอย่างหวาดระแวง...ดูทำเข้าสิ...ถ้าไม่มีเขาชาตินี้เจินเจินจะมีทางกินยาได้เสียที่ไหน
จะมีใครยอมตามใจเท่าเขาคงไม่มีแล้ว
“ไม่ขมแล้วน่า...ข้าใส่น้ำผึ้งไปหมดโหลเลย”
เจินเจินมองเขาอย่างชั่งใจก่อนจะยอมหยิบถ้วยยาไปดื่มในที่สุด
“ข้าละไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมท่านต้องบังคับให้ข้าดื่มยาพวกนี้ทุกวันด้วย” มือเรียววางถ้วยยาที่ว่างเปล่าลง
เขาจึงยิ้มอย่างพอใจ
ถึงเจินเจินจะบ่นแบบนี้ทุกครั้งแต่ก็ยังยอมรับการดูแลเอาใจใส่จากเขาเสมอ
“อีกไม่นานเจ้าก็ต้องรับด่านสวรรค์เพื่อเลื่อนเป็นเซียนชั้นสูงแล้ว
ต้องฝึกฝนทุกวันหากไม่บำรุงร่างกายให้ดีจะทนไม่ไหวเอา
เจ้าไม่ต้องห่วงว่ายาของข้าจะมีผลข้างเคียงอะไร เพราะข้าปรับสูตรยาให้เจ้าทุกวัน
ตัวสมุนไพรที่ต่างกันออกไปเลยทำให้สรรพคุณต่างกันด้วย” แน่นอนว่าความขมก็ย่อมไม่เหมือนกันเพราะงั้นบางวันเขาถึงต้องต้มสองสามรอบเพราะเจินเจินขมจนดื่มไม่ได้
“พูดถึงด่านสวรรค์
ท่านว่าข้าควรจะกักตนบำเพ็ญเพียรเพิ่มดีไหม?
ท่านว่าข้าตอนนี้จะรับสายฟ้าสามสายได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า?”
เขาเหลือบมองเจินเจินก่อนจะหลุบตาลงอย่างครุ่นคิด
ให้เด็กนี่กักตัวสักพักก็ดี เขาจะได้มีเวลาทำอะไรบางอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาจึงเอ่ยปากเสนอออกไปในขณะที่ล้วงกระปุกยาออกมาจากแขนเสื้อ
“กักตนเพิ่มก็ดี
เดี๋ยวข้าดูให้แล้วกันว่าควรเป็นช่วงไหน”
กระปุกยาถูกเปิดฝา
เขาจะใช้นิ้วป้ายยาเนื้อครีมก่อนจะกดปลายนิ้วนั้นลงไปบนรอยแดงที่อยู่บนลำคอระหงของเจินเจิน
“ท่านจำได้ไหม
ตอนที่พี่สามผ่านด่านสวรรค์เลื่อนเป็นเซียนชั้นสูง
สายฟ้าทำเอาพี่ข้าสลบไปเต็มๆเจ็ดวัน” เขานวดปลายนิ้วบนรอยแดงเพื่อให้เนื้อยาซึมลงไปก่อนจะย้ายจากลำคอระหงมาที่แขนผอมบาง
มือข้างหนึ่งจับแขนเจินเจินไว้ส่วนอีกข้างเลิกแขนเสื้อสีขาวขึ้นไป
รอยฟกช้ำจากการฝึกร่างกายปรากฏให้เห็นจางๆสองสามที่
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีบาดแผลระหว่างฝึกฝนบ้างแต่เขาก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยที่มันมาเกิดขึ้นบนผิวขาวเนียนของเจินเจินแบบนี้
“จำได้สิ
ข้าถูกพ่อแม่เจ้ามาตามไปช่วยรักษาเจ้าสามไม่ได้หลับได้นอนอยู่เป็นคืนๆ”
ปลายนิ้วป้ายยาเนื้อครีมในกระปุกก่อนจะทาลงไปบนรอยฟกช้ำพวกนั้นแล้วนวดเบาๆ
“หลังจากสลบไปเจ็ดวันพี่สามก็ฟื้นขึ้นมาด้วยแผลเต็มตัว...ท่านว่าข้าจะเป็นแบบนั้นไหม...”
เจ้าลูกจิ้งจอกน้อยทำหน้าหวาดๆ...เขาละอยากจะบอกออกไปนักว่า
ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้ามีสภาพเหมือนพี่สามของเจ้าเด็ดขาด
ดูเอาแล้วกันขนาดเจ้ามีแผลแค่นี้ข้ายังไม่ชอบใจ แล้วถ้าเจ้าต้องมีแผลใหญ่ขนาดนั้น
ต้องสลบไปเจ็ดวันเจ็ดคืนแบบนั้น
ข้าคงเป็นบ้าไปเสียก่อนที่เจ้าจะฟื้นแน่...เขาได้แต่คิดโดยไม่ได้พูดออกไป
“เท่าที่ข้าดู
ตบะของเจ้าตอนนี้เหนือกว่าพี่สามของเจ้าอยู่สองสามส่วน
เพราะฉะนั้นสภาพเจ้าคงไม่สาหัสเท่าพี่ของเจ้าหรอก” เขาทำทีเป็นไล่สายตามองเจินเจิน
ที่เขาพูดมันก็เป็นความจริง เจินเจินไม่ได้อ่อนด้อยขนาดที่จะน่าห่วงอะไร
เด็กคนนี้ได้รับการฝึกฝนจากเขามาตลอด
ซ้ำยังได้ยาบำรุงชั้นดีที่เขาปรุงให้อยู่ทุกวัน
อย่างเจินเจินน่ะผ่านสายฟ้าทั้งสามสายนั่นได้ไม่ยากอยู่แล้ว เพียงแต่
ปัญหาของเขาคือเขาไม่ชอบ...ที่เจินเจินจะบาดเจ็บหรือมีแผลแม้เท่ารอยแมวข่วน
และต่อให้ถึงจะไม่บาดเจ็บปางตายเท่าเจ้าสาม
แต่สายฟ้าจากสวรรค์คงทำให้เจินเจินมีแผลไม่มากก็น้อยแน่ๆ เขาจึงพยายามคิดหาทางป้องกันอยู่นี่ไง...แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาแอบทำอย่างเป็นความลับ
จะบอกเจินเจินไม่ได้ว่าเขาเป็นห่วงจนเข้าขั้นโรคจิตขนาดไหน
“เจ้าดีดพิณต่อเถอะ
ข้าจะไปดูเหล้าที่บ่มไว้เสียหน่อย”
เจินเจินพยักหน้าให้เขา แววตาดูจะคลายความกังวลไปได้บ้าง
เขาทิ้งให้เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางนั่งดีดพิณอยู่ตามลำพัง
เขาไม่ได้เดินไปโรงบ่มเหล้าตามที่บอกเจินเจินไว้แต่กลับเดินเข้าห้องหนังสือในกระท่อมแทน
ในนี้มีตำรามากมาย ส่วนใหญ่เขาอ่านไปหมดแล้วแต่ก็ยังเหลือตำราโบราณที่ได้รับมาจากเทพบิดรซึ่งถูกเก็บไว้ในหีบเป็นอย่างดี
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้อ่านมันเร็วขนาดนี้
เพียงแต่หลังจากที่ทำนายได้ว่าด่านสวรรค์ของเจินเจินจะมาถึงในอีกไม่ช้า
ตำราทั้งบ้านก็ถูกรื้อออกมาอ่านจนไม่เหลือหรอ หีบสุดท้ายก็คือตำราโบราณของเทพบิดรนี่แหละ
เขากำลังค้นหาวิธีที่จะทำให้เจินเจินบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่ว่าตัวยาสูตรไหนหรือของวิเศษอะไรที่เข้าข่ายเขาก็ศึกษามันมาจนหมด แต่ก็ยังไม่พบวิธีดีๆ
ที่จะไม่มีผลข้างเคียงกับเจินเจินเลย
สายฟ้าจากสวรรค์นั้นมีอานุภาพรุนแรงและจะไม่หายไปจนกว่าจะได้ฟาดใส่ใครสักคน
หากลงมาแล้วย่อมต้องมีผู้รับ
เซียนน้อยที่ฝึกตนมาไม่พอต้องสลายหายไปพร้อมกับสายฟ้าเหล่านี้ก็ยังมี
หลายคนก็รอดปลอดภัยเพราะมีพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นเทพชั้นสูงช่วยรับ
เขาเองยังเคยคิดที่จะช่วยเจินเจินรับสายฟ้าพวกนั้นเลย
แต่เขาก็รู้ดีว่าเจินเจินคงจะโกรธเขาแน่หากเขาทำแบบนั้น
ดีไม่ดีอาจจะงอนจนไม่ยอมพบหน้าไปเป็นปีๆเลยก็ได้
เพราะอย่างไรเจินเจินก็เป็นลูกชายของราชาจิ้งจอก
ยังมีความทรนงตนในฐานะที่เป็นองค์ชายแห่งชิงชิวคนหนึ่งอยู่
เขาจึงออกหน้าช่วยรับสายฟ้าตรงๆไม่ได้
มือหยิบม้วนตำราไม้ไผ่ในหีบขึ้นมา
เขาไล่สายตาอ่านมันผูกแล้วผูกเล่า อ่านตั้งแต่เช้าจนพลบค่ำเมื่อไหร่ก็แทบไม่รู้ตัว
จนกระทั่งเสียงนุ่มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกเขาจากหน้าประตูห้อง
“เจ๋อเหยียน...”
เขาถึงได้ละใบหน้าออกมาจากตัวหนังสือก่อนจะเงยมองเจินเจินที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ตรงนั้น
“ท่านจะอ่านหนังสือพวกนั้นไปถึงเมื่อไหร่?
จะปล่อยให้ข้ากินข้าวคนเดียวงั้นสิ”
เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางตัวนี้ช่างมีวิธีทำให้เขาละความสนใจจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ไม่เหมือนใครจริงๆ
แล้วเขาก็ทนต่อใบหน้าแง่งอนนั่นไม่ไหวจนต้องลุกจากกองตำราจนได้
และเมื่อเห็นว่าเขายอมตามใจ
ใบหน้างอหงิกก็เผยรอยยิ้มสดใสขึ้นมาทันที
ท่อนแขนเล็กกอดแขนเขาก่อนจะลากไปที่ริมสระดอกท้อแทนที่จะเป็นโต๊ะอาหารเหมือนอย่างทุกที
“ท่านแม่ให้หมีกู่เอาอาหารมาส่งให้
ข้าเห็นว่าท่านเอาแต่อ่านตำราหน้าดำคร่ำเครียดจึงเปลี่ยนบรรยากาศมากินที่ริมสระแทน
ท่านว่าดีหรือไม่?”
ใบหน้างดงามช้อนสายตาขึ้นมองเขาทำเอาแทบหยุดหายใจ
เขาจึงได้แต่กระแอมเบาๆก่อนจะตอบเจินเจินไป
“ถ้าเจ้าว่าดี
ข้าก็ว่าดี”
เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะดึงให้เขานั่งลงหน้าโต๊ะเตี้ยที่มีอาหารเย็นวางอยู่
พอเจินเจินมาอยู่กับเขาที่นี่
แม่ของเด็กคนนี้ก็มักส่งอาหารมาให้ทุกเย็นเพื่อเป็นการขอบคุณ
“ว่าแต่ท่านกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
ข้าเห็นท่านเอาแต่อ่านตำรามาตั้งแต่เมื่อปีก่อนแล้ว?”
เจินเจินทำนายได้ว่าด่านสวรรค์จะมาทดสอบตนได้ตั้งแต่เมื่อปีก่อน
หลังจากเขาทำนายซ้ำแล้วก็พบว่ามันถูกต้อง
จากนั้นเขาก็เฝ้าหาวิธีช่วยเจินเจินผ่านด่านสวรรค์ครั้งนี้มาตลอด
“มีคนรู้จักของข้าป่วยด้วยโรคที่ไม่รู้สาเหตุ
ข้าจึงหาทางช่วยเขาอยู่”
เขาตอบไปแบบนี้เจินเจินก็จะไม่สงสัยอีก ใบหน้างดงามพยักอย่างเข้าใจก่อนจะกินข้าวต่อไป
เมื่อมื้ออาหารผ่านไป
ช่วงเวลาหลังจากนั้นพวกเขามักจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะเข้านอน
วันนี้ไม่ได้เดินหมากเพียงแต่จิบเหล้ามองทิวทัศน์อันตระการตาของป่าท้อไปเรื่อยๆ
เจินเจินขยับมานอนหนุนตักเขาเมื่อเหล้าเข้าปากไปหลายกา
ก็นับว่าคอแข็งขึ้นมากหลังจากที่เขาพยายามฝึกให้ดื่มเหล้า แต่กระนั้นก็ยังนับว่าห่างไกลจากเขาอยู่หลายขุม
ฤทธิ์สุราไม่อาจทำอะไรเขาได้ต่างจากเจินเจินที่เริ่มเมาน้อยๆ
ใบหน้าใสเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมอง
ท่าทางออดอ้อนอันเป็นธรรมชาติของเผ่าจิ้งจอกช่างดูเย้ายวนในสายตาเขา
ฝ่ามือจึงวางลงบนเส้นผมยาวดำขลับก่อนจะลูบมันเบาๆ
“ที่นี่...ช่างเงียบเหงาเสียจริง...” ใบหน้าที่พาดอยู่บนต้นขาของเขาเอ่ยเบาๆเมื่อนัยน์ตาเชื่อมปรอยทอดมองไปยังป่าท้อที่กว้างไกลแต่ไร้เงาผู้ใดอีก
“หากไม่มีข้า...ท่านก็คิดจะอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตเลยหรือเปล่า?” เจินเจินละสายตาจากต้นท้อสีชมพูกลับมายังต้นขาของเขา
ปลายนิ้วเรียวยาวไล้วนไปมาอยู่ที่หัวเข่าของเขาในขณะที่พูด เขาได้แต่เหม่อมองไปไกล
เรื่องที่เจินเจินถามใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิด
“เมื่อก่อน...ข้าก็ไม่คิดว่าจะอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตหรอก
แต่ตั้งแต่ได้เจอเจ้า...ข้าก็คิดมาตลอดว่าหากไม่มีเจ้า ข้าขออยู่คนเดียวเสียดีกว่า”
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากจะอยู่ที่นี่กับคนรัก
และในเมื่อเขาเจอคนที่เขารักแล้ว เขาก็ไม่คิดจะอยู่กับใครอีก หากคนที่รักจากเขาไป
เขาคงจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าท้อแห่งนี้ตามลำพัง
“หึๆ...ถ้าข้าตายเพราะด่านสวรรค์
ท่านก็คงจะน่าสงสารแย่” เจินเจินค่อยๆยันกายขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเชื่อมปรอยจากฤทธิ์เหล้า
กลิ่นหอมอันมึนเมาทำให้ในสายตาของเราทั้งคู่ต่างมองเห็นเพียงริมฝีปากของกันและกัน
และมันก็แนบสัมผัสในไม่ช้า
ความนุ่มนวลจากริมฝีปากรูปกระจับทำให้เขาไม่เคยอดใจไหว
ทุกครั้งเป็นต้องบดขยี้กลีบปากสีแดงสดนั่นจนช้ำอยู่ร่ำไป
เขาละใบหน้าออกมาเพื่อผ่อนลมหายใจ
ร่างกายที่อ่อนยวบซบอยู่บนแผงอกของเขา
เจินเจินปรายตาขึ้นมามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปแนบใบหน้าไว้ที่เดิม
แพขนตาหนาปิดลงแนบแก้มใสช้าๆ
หลังจากนั้นไม่นานลมหายใจของเจินเจินก็เริ่มเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
เขาจึงยกมือขึ้นมาลูบหัวคนหลับอย่างแผ่วเบา
เขาเรียกหนังสือที่อ่านค้างไว้ให้มาอยู่ในมืออีกข้าง
ในขณะที่มือข้างเดิมก็ยังคงลูบหัวเจินเจินต่อไป
เขาไล่สายตาไปบนตัวหนังสืออย่างไม่คิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรจากตำราผูกนี้นักเพราะมันว่าด้วยเรื่องสัตว์ร้ายที่เทพบิดรแบ่งพลังให้
สัตว์ร้ายส่วนใหญ่กระจัดกระจายกันไปบนพื้นพิภพ บางตัวก็ถูกผนึกให้เฝ้าสถานที่
บางตัวก็ถูกผนึกให้เฝ้าสิ่งของ...
นัยน์ตาของเขาหรี่ลงอย่างใช้ความคิดเมื่ออ่านถึงสัตว์ร้ายทั้งสี่ที่อยู่ในทะเลตงไห่...ที่เขาแปลกใจไม่ใช่เพราะมันถูกผนึกให้อยู่รวมกันถึงสี่ตัว
แต่เป็นสิ่งที่พวกมันเฝ้าอยู่มากกว่า เพราะมันไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ไม่ใช่สิ่งของล้ำค่า ไม่ใช่อาวุธที่มีพลังทำลายล้างอะไรเลย...ทว่า...มันเป็นเพียงพืช?
ชื่อของมันคือหลินจือสวรรค์...
ในตำราเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่สัตว์ร้ายทั้งสี่เฝ้าอยู่คือหลินจือสวรรค์...มันคืออะไรกัน?
ทำไมเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน? ไม่เคยอ่านเจอในหนังสือหรือตำราเล่มไหน?
แล้วมันมีคุณสมบัติพิเศษอะไร
ทำไมเทพบิดรถึงต้องให้สัตว์ร้ายถึงสี่ตัวเฝ้ามันเอาไว้ด้วย?
เขาปิดผูกตำราไม้ไผ่นั่นอย่างตื่นเต้น
ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าเขากำลังจะได้เจอคำตอบที่เฝ้าตามหามานาน การช่วยเจินเจินผ่านด่านสวรรค์คงใกล้จะสำเร็จเต็มที
สองแขนอุ้มร่างที่ซบอยู่บนอกขึ้นมาก่อนที่เขาจะก้าวขากลับเข้ามาในกระท่อม
เขาวางเจินเจินลงบนเตียงในห้องของเขา
เรายังคงนอนด้วยกันเหมือนวันแรกที่เด็กคนนี้มาอยู่ที่ป่าท้อสิบหลี่
เพียงแต่คืนนี้เขาตื่นเต้นจนไม่อาจจะข่มตาหลับได้อีกต่อไป สองขาจึงก้าวไปยังห้องหนังสือ
ตำราผูกแล้วผูกเล่าของเทพบิดรถูกรื้อออกมาอ่าน
แล้วไม่นานเขาก็เจอข้อมูลของหลินจือสวรรค์นั่นจนได้...
เทพบิดรบันทึกเอาไว้ว่าหลินจือเหล่านี้ต่อต้านสวรรค์จึงได้บันดาลสัตว์ร้ายไปเฝ้ามันเอาไว้และทำให้มันกลืนหายไปในทะเลตงไห่
จะไม่มีใครเคยรู้ว่าบนเกาะอิ๋งโจวมีเห็ดล้ำค่าเหล่านี้อยู่ก็ไม่แปลก...เขาไล่สายตาอย่างเข้มข้นไปตามตัวหนังสือ...เทพบิดรระบุเอาไว้ว่าหลินจือสวรรค์นั้นสามารถชำระล้างปราณเซียนให้บริสุทธิ์ได้
ไม่ว่าจะปราณของเซียนหรือเทพองค์ไหน หากหลอมรวมกับหลินจือสวรรค์แล้วก็จะสามารถถ่ายทอดให้เซียนอีกคนได้อย่างปลอดภัย
เพราะเดิมทีเซียนแต่ละคนนั้นมีปราณที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัว
หากถ่ายทอดให้แก่กันอาจจะทำให้ลมปราณแตกซ่านหรือไม่ก็ตกสู่ห้วงมารได้
ฉะนั้นตั้งแต่อดีตกาลมาจึงไม่เคยมีใครถ่ายทอดตบะหรือปราณเซียนให้ใครมาก่อน
แต่ตอนนี้...หากมีหลินจือสวรรค์นั่น...ก็เท่ากับว่าเขาสามารถถ่ายทอดตบะของเขาให้กับเจินเจินได้?
ถ้าเจินเจินมีตบะของเขาช่วยอยู่ในร่างกายละก็ รับรองว่าปลอดภัยหายห่วงแน่นอน
เขารื้อค้นตำราที่เหลือออกมาอ่านด้วยความตื่นเต้น...ยังหรอก...เขาจะต้องแน่ใจก่อนว่าเม็ดยาที่เกิดจากหลินจือสวรรค์รวมกับตบะของเขานั้นมันจะไม่มีผลข้างเคียงอะไรกับเจินเจิน
เขาจะต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมันเสียก่อน
แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่า
ความรู้เรื่องหลินจือสวรรค์ที่เขาค้นคว้าเพื่อเจินเจินในวันนี้
จะมีประโยชน์ต่อชีวิตของใครอีกหลายต่อหลายคนในอนาคต
“ข้ากำหนดวันกักตัวให้เจ้าแล้วนะเจินเจิน” เขาเอ่ยปากบอกเจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางในวันหนึ่งซึ่งเขามั่นใจแล้วว่าการใช้หลินจือสวรรค์จะปลอดภัยพอสำหรับเจินเจินและการกักตัวบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่ายก็จะจำเป็นสำหรับเขาในการไปเอาหลินจือสวรรค์โดยไม่ให้เจินเจินจับได้
“อาทิตย์หน้า
เป็นเวลาเจ็ดวัน”
อันที่จริงเขาเองก็ไม่ได้มั่นใจนักหรอกว่าจะผ่านด่านการเฝ้าของสัตว์ร้ายสี่ตัวนั่นได้ภายในหนึ่งสัปดาห์หรือเปล่า
แต่เขาไม่เคยให้เจินเจินกักตัวนานเกินเจ็ดวันมาก่อน
เจ้าลูกจิ้งจอกน้อยที่ฉลาดเป็นกรดนี่อาจจะสงสัยก็ได้หากเขาเพิ่มวันกักตัวไปมากกว่านี้
คงมีทางเดียวคือเขาต้องทำทุกวิธีเพื่อให้ได้หลินจือสวรรค์นั่นมาโดยไวและมันคงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ดุเดือดไม่ได้
“เจ็ดวันเลยเหรอ?
อืม...ก็ได้อยู่หรอก...”
เจินเจินทำหน้าเง้างอดอย่างที่คิด
เพราะเด็กคนนี้ติดเขายิ่งกว่ากาวมาตั้งแต่เมื่อก่อน ไม่ได้เจอกันเจ็ดวันคงทรมานยิ่งกว่าเจอด่านสวรรค์เสียอีก
“ว่าแต่ท่านอยู่ข้างนอกคนเดียว
อย่ามัวแต่อ่านตำราล่ะ ต้องกินข้าวกินปลาให้ครบนะรู้ไหม” เขากระแอมเบาๆเพื่อปิดบังความรู้สึกเขินๆที่เจินเจินเป็นห่วงเขาราวกับภรรยาเป็นห่วงสามี
“เข้าใจแล้วน่า...ข้าไม่ต้องอ่านตำราพวกนั้นแล้วละ” เพราะเขาพบคำตอบที่เขาต้องการแล้ว...แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกกับเจินเจินออกไป
“งั้นก็ดีแล้ว” ใบหน้างดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้ารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่ทำค้างเอาไว้
ไม่นานวันกักตัวของเจินเจินก็มาถึง
เขากางม่านพลังปิดผนึกหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่งในป่าท้อสิบหลี่เอาไว้เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเจินเจินได้
หลังจากที่ตรวจตราทุกอย่างจนเรียบร้อย
สองขาจึงก้าวจากมาด้วยมนต์หายตัว
ร่างกายของเขาปรากฎอีกทีที่หน้าทะเลตงไห่
เงาดำทะมึนของเกาะอิ๋งโจวมองเห็นอยู่ไกลลิบท่ามกลางมหาสมุทรที่รายล้อม
เขาเรียกกระบี่ประจำกายออกมาไว้ในมือก่อนจะมองตรงไปยังเกาะสีดำนั่นด้วยสายตานิ่งสนิท
อันที่จริงเขายังมีอาวุธร้ายกาจที่สั่นสะเทือนสวรรค์อย่างพิณฝูซีที่บัดนี้ถูกผนึกไว้ใต้เขาคุนหลุนอยู่
แต่ของวิเศษที่เทพบิดรให้เขาไว้ชิ้นนั้นหากใช้มันขึ้นมาทั่วหล้าย่อมรู้เป็นแน่
และเขาก็ไม่ต้องการให้งานในครั้งนี้รู้ถึงหูของใครโดยเฉพาะคนที่เขาต้องการจะช่วยผ่านด่านสวรรค์อย่างเจินเจิน
ฝ่ามือร่ายมนต์ทำให้ผืนน้ำตรงหน้าแข็งเป็นทางยาวเพื่อก้าวผ่านไปยังเกาะที่อยู่กลางทะเล
สองขาเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมด้วยสายตามุ่งมั่น...เผ่าหงสาเช่นเขานั้นไม่ชอบการต่อสู้
แต่ก็ใช่ว่าจะสู้ใครไม่ได้หรือใช้กำลังไม่เป็น!
...ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านเอาแต่ดูแลข้า
บังคับให้ข้าดื่มยาขมๆพวกนั้นทุกวัน...ข้าเข้าใจทันที...ที่เห็นท่านบาดเจ็บปางตายกลับมา
ม่านพลังที่ถูกกางไว้ถูกคนที่กักตนอยู่ในถ้ำมาห้าวันแล้วปัดให้สลายหายไป
ไป๋เจินแห่งชิงชิวก้าวขาออกมาก่อนกำหนดถึงสองวันนั่นเป็นเพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับท่าทีของเจ๋อเหยียนจนไม่มีสมาธิที่จะบำเพ็ญเพียรต่อไป
ลงแบบนี้ก็มีแต่ต้องออกมาดูให้หายคาใจเสียก่อนถึงจะกลับมาทำสมาธิต่อได้
“เจ๋อเหยียน!” เขาเริ่มเอ่ยปากเรียกเมื่อมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในป่าท้อ
ในระหว่างที่เขากักตนอยู่เจ๋อเหยียนก็ไม่น่าจะไปไหนไกล
ถึงเขาจะทำเป็นไม่สนใจแต่ก็รู้ดีว่าเจ๋อเหยียนเป็นห่วงเขาขนาดไหน
ไม่มีทางปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นถึงขั้นคอขาดบาดตายจริงๆ
ปลายนิ้วแตะลงไปที่ขอบถ้วยจานซึ่งแห้งสนิทก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากัน
ถ้าเจ๋อเหยียนใช้งานมันตลอดก็ไม่น่าจะแห้งผากขนาดนี้
นี่ดูจากข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนก่อนที่เขาจะเข้ากักตนไม่มีผิดเพี้ยนแล้วก็บอกได้แต่เพียงว่า
เจ๋อเหยียนไม่ได้อยู่ที่นี่เลยตั้งแต่วันที่กางม่านพลังขังเขาไว้ในถ้ำ!
เจ้าหงส์เฒ่านั่นไปไหนกัน?
ถ้าแอบไปมีผู้หญิงที่ไหนละก็พ่อจะเชือดทิ้งซะให้หมดเลยคอยดู
ตุ้บ!!
แต่แล้วเสียงที่เหมือนของหนักๆหล่นลงมาก็ทำให้ไหล่ของเขาสะดุ้งน้อยๆก่อนจะหันไปมองอะไรบางอย่างที่ส่งเสียงอยู่หน้าประตูกระท่อม
“แค่กๆๆ” เสียงไออย่างหนักนั่นให้ความรู้สึกคับคล้ายคับคา...เหมือนกับว่าเสียงนั้นคือเสียงของเจ๋อเหยียน?
“เจ๋อเหยียน?” เขารีบสาวเท้าออกไปดูทันที
เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาแทบจะนับครั้งได้ที่เจ้าของป่าท้อสิบหลี่จะมีอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
เขาถึงได้ไม่คุ้นเคยกับเสียงไอของเจ๋อเหยียนนัก และยิ่งสภาพของอีกฝ่ายที่เขามองเห็นอยู่เต็มสองตาในเวลานี้ก็ยิ่งไม่คุ้นเคยอย่างที่สุด
“เจ๋อเหยียน?! เกิดอะไรขึ้น?!
นี่ท่านไปทำอะไรมา?!” เขาตรงเข้าไปประคองเจ๋อเหยียนด้วยความตกอกตกใจ
เสื้อผ้าสีขาวบัดนี้บางส่วนก็ขาดวิ่นบางส่วนก็ถูกย้อมไปด้วยโลหิต เจ๋อเหยียนทรุดลงคุกเข่าข้างหนึ่งก่อนจะไอเป็นเลือดออกมาอีกหลายครั้งจนเขาได้แต่ลนลานทำอะไรไม่ถูก
บาดแผลตามตัวนั้นสาหัสจนเผลอคิดไปว่าหากเจ๋อเหยียนไม่ใช่เทพหงสาที่มีตบะมหาศาลแล้วละก็คงจะไม่มีลมหายใจมาจนถึงตอนนี้แน่
เขาสอดแขนเข้าไปประคองเจ๋อเหยียนที่เรียกเก็บกระบี่ในมือทำให้ไม่มีอะไรใช้ยันกาย
ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะอมยิ้มอย่างรู้ทันทุกเรื่องราวอยู่เสมอหันมามองเขาอย่างอ่อนแรง
บาดแผลหลายรอยบนแก้มและขมับทำให้มีคราบเลือดติดอยู่จนคนดูอย่างเขาได้แต่มือไม้สั่น
แต่เจ๋อเหยียนก็ยังปากดีหยอกเย้าเขาทั้งๆที่มันไม่ได้ทำให้เบาใจได้เลยสักนิด
“เจ้า...ยังกักตนไม่ครบกำหนดเลยนี่?
ออกมาก่อนแบบนี้สมควรให้ข้าลงโทษเสียดีไหม?”
“ท่านมีแรงจะทำโทษข้าได้หรือไง?
ทำให้แผลพวกนี้หายให้ได้เสียก่อนเถอะ”
ถึงเขาจะชักน้ำเสียงเง้างอดแต่ตอนนี้น้ำตากำลังจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ
จนเจ๋อเหยียนต้องยกมือสั่นๆนั่นขึ้นมาลูบแก้มเขาเบาๆราวกับจะปลอบโยน
“ข้าไม่เป็นไรหรอก...” จะไม่เป็นไรได้ไงเล่า เจ็บหนักเสียขนาดนี้...
เขาพยุงเจ๋อเหยียนเข้าไปในกระท่อมก่อนจะให้อีกฝ่ายนอนลงบนเตียง
สองมือรีบปลดสายคาดเอวออกก่อนจะแหวกเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดให้พ้นไหล่หนา
บาดแผลมากมายทั้งใหญ่ทั้งเล็กทั้งลึกทั้งตื้นทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ในใจหวาดกลัวเหลือคณานับว่าเจ๋อเหยียนจะจากเขาไปเพราะบาดแผลพวกนี้
เขาไม่รอช้าและไม่ฟังคำทัดทานจากเจ๋อเหยียน
ร่างทั้งร่างลุกขึ้นยืนก่อนจะร่ายมนต์รักษาที่เจ๋อเหยียนเคยสอนให้ รังสีที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือของเขาครอบคลุมร่างของเจ๋อเหยียนเอาไว้
เขาไม่ได้เก่งกาจด้านการแพทย์เท่าเจ๋อเหยียนเพราะฉะนั้นการรักษาอีกฝ่ายจึงใช้เวลาถึงหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน
ริมฝีปากรูปกระจับเม้มเข้าหากันก่อนจะร่ายมนต์เป็นครั้งสุดท้าย
เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาตามขมับก่อนที่มันจะหยดลงสู่พื้นพร้อมๆกับร่างกายของเขาที่ทรุดลงข้างเตียงอย่างหมดแรง
เขาทอดสายตามองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทของเจ๋อเหยียน
เวลาที่เจ๋อเหยียนไม่สบายก็มักจะเข้าสู่สภาวะหลับลึกแบบนี้เป็นปกติ
เพราะเขารักษาได้แต่บาดแผลภายนอก เจ๋อเหยียนเองต่างหากที่กำลังรักษาบาดแผลภายในของตัวเองอยู่
เขาฝืนตัวเองจนไปหยิบผ้ากับกะละมังใส่น้ำมาจนได้
ผ้าหมาดๆเช็ดคราบเลือดออกให้อย่างเบามือ บาดแผลเล็กๆหายไปเกือบหมดแล้ว
เหลือแต่แผลใหญ่ๆที่บัดนี้ยังทิ้งรอยเลือดซึมๆเอาไว้
เขาค่อยๆใส่ยาลงไปด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ เขาน่าจะตั้งใจเรียนมนต์รักษาให้มากกว่านี้
เพราะที่ผ่านมาเขาเอาแต่ผลักภาระการรักษาไปให้เจ๋อเหยียนคนเดียว
คิดว่ายังไงก็มีเจ๋อเหยียนอยู่คงไม่เป็นไร
เอาแต่ย่ามใจและไม่เคยคิดว่าเจ๋อเหยียนจะบาดเจ็บกับเค้าได้
มือพาดผ้าที่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดงจางๆไว้ที่ขอบกะละมัง
เขาเปลี่ยนเสื้อให้เจ๋อเหยียนก่อนจะผูกปมที่คอเสื้อให้
นัยน์ตาสั่นไหวทอดมองคนที่ยังหลับลึกด้วยแววเจ็บปวด
จะมีใครที่ไหนทนได้บ้างหากต้องเห็นคนที่ตนรักมีสภาพแบบนี้
“เจ๋อเหยียน...ท่านไปทำอะไรมา...” เขาถามออกไปอย่างเลื่อนลอย
แน่นอนว่าคนที่กำลังหลับก็ไม่มีคำตอบใดให้เขา ฝ่ามือจึงเอื้อมออกไปลูบใบหน้าคมเบาๆ
เขาไม่เคยเห็นเจ๋อเหยียนบาดเจ็บขนาดนี้มาก่อน
เจ้าหงสายุคบรรพกาลตนนี้เคยสู้รบกับใครเสียที่ไหน
พอเห็นเป็นเรื่องวุ่นวายก็จะเร้นกายหนีเข้าป่าท้อสิบหลี่ทันที
เพราะฉะนั้นตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาครั้งนี้จึงถือว่าเจ๋อเหยียนเจ็บหนักที่สุดเท่าที่เคยเห็น
ท่านไปต่อสู้กับใครมา?
แล้วต่อสู้ไปเพื่ออะไร? ต้องเป็นเรื่องสำคัญมากใช่ไหม?
จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่า?
เขานั่งมองใบหน้าที่กำลังหลับด้วยความกังวล...มันต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาแน่ๆ
เพราะหมื่นกว่าปีที่อยู่ด้วยกันมานี้เจ๋อเหยียนไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของใครไม่ว่าจะถูกก้มหัวขอร้องยังไง
คนที่เจ๋อเหยียนยุ่งด้วยมีเพียงเขา ไป๋เจินแห่งชิงชิวเท่านั้น
และเจ๋อเหยียนก็ไม่ได้ยุ่งเรื่องของเขาในระดับธรรมดา
แต่ว่ายุ่งไปเสียทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขา
เพราะฉะนั้นการบาดเจ็บครั้งนี้จึงไม่ต้องเดาเลยว่าทำไปเพื่อใคร...
เขาฟุบหน้าไว้กับไหล่หนาที่ถูกพันแผลเอาไว้
เอียงซบเล็กน้อยอย่างออดอ้อนก่อนจะนิ่งงันอยู่แบบนั้นจนหลับไปด้วยความอ่อนแรง
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า
ภาพตรงหน้าพร่าเลือนอยู่หลายนาทีกว่าจะแจ่มชัด
และสิ่งที่เขามองเห็นเป็นอย่างแรกก็คือเส้นผมดำขลับของเจินเจินที่ตกระต้นแขนของเขาอยู่
เขาค่อยๆหันไปมองคนเฝ้าไข้ที่หลับฟุบอยู่ที่หัวไหล่
ใบหน้ามนที่ดูหม่นหมองน้อยๆทำให้เขาอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจินเจินร้องไห้อย่างเป็นห่วงเขาขนาดไหน
ทั้งๆที่มนต์รักษาเป็นวิชาที่เจินเจินไม่ถนัดแต่เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางก็ยังพยายามอย่างหนักจนรักษาแผลภายนอกของเขาให้หายไปกว่าครึ่ง...ดูท่าจะใช้เวลาร่ายมนต์ติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ
เขาเอื้อมมือข้างที่ยังพอขยับได้ไปเกลี่ยไล้คราบน้ำตาให้หายไปจากใบหน้าสวย
หัวใจรู้สึกอบอุ่นจนความเจ็บปวดที่บาดแผลดูเหมือนจะหายไปเสียแบบนั้น
เขายังคงคิดว่าดีจริงๆที่คนที่ต้องบาดเจ็บเป็นเขา ไม่ใช่เจินเจิน
สัตว์ร้ายทั้งสี่ซึ่งเฝ้าหลินจือสวรรค์อยู่นั้นร้ายกาจสมกับที่มีพลังครึ่งหนึ่งของเทพบิดร
กว่าเขาจะทำให้มันสลบจนเข้าไปเอาหลินจือสวรรค์มาได้ก็โดนเล่นงานเสียสะบักสะบอม
“ทำให้เจ้าเป็นห่วงจนได้...” เขาลูบหัวเจินเจินเบาๆ
ความรักล้นปรี่ขึ้นมาจนรู้สึกได้
เขาต้องรักเด็กคนนี้มากมายขนาดไหนกันนะถึงยอมทำให้ขนาดนี้...ถ้ามีอะไรที่ยิ่งใหญ่พอจะวัดได้ก็คงดี
นัยน์ตาปิดลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยล้า
และกว่าเขาจะฟื้นอีกครั้ง...ก็หลังจากนั้นอีกเป็นสิบวัน
เจินเจินงอนเขาอย่างที่คิด...
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา
บาดแผลตามร่างกายและบาดแผลภายในก็ดูท่าจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นตามลำดับจนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางที่เฝ้าเขาไม่ยอมห่างจึงเริ่มเบาใจ
จากนั้นจึงถึงเวลาคาดคั้นว่าเขาไปทำอะไรมาถึงได้แผลสาหัสแบบนี้...และเมื่อเขาไม่ยอมบอก....เจินเจินก็งอนเขาอย่างที่คิด
หลายวันมาแล้วที่ไม่ยอมพูดกับเขา
แต่เอาเถอะ เพราะใบหน้ายามแง่งอนของเจินเจินนั้นเขาก็ชอบมองเป็นที่สุด
มันน่ารักน่าเอ็นดูและเขาก็ชอบที่เด็กคนนั้นเอาแต่ใจกับเขา ทั้งฉลาดแกมโกงทันเล่ห์เหลี่ยมแถมแอบร้ายสมเป็นลูกจิ้งจอกแบบนี้...นอกจากรูปโฉมแล้ว
นิสัยของเจินเจินเองก็เข้ากับเขาได้ดีพอๆกับปี่และขลุ่ยเลยละ
เขาลุกจากเตียงได้ในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังและเขาก็ไม่รั้งรอที่จะทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ
เขาขลุกตัวอยู่ในห้องหลอมยา ใช้เวลาไปหนึ่งวันเต็มๆในการถ่ายทอดปราณเซียนของเขาผสมเข้ากับหลินจือสวรรค์
กลั่นมันจนออกมาเป็นยาที่มีตบะหนึ่งในสามของเขาผสมอยู่
เขาถือยาเม็ดนั้นออกมาก่อนจะวางลงตรงหน้าเจินเจินที่ยังงอนไม่เลิก
“ถ้าเจ้ากินยาเม็ดนี้หมด
ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ว่าข้าไปทำอะไรมาถึงได้แผลเต็มตัวแบบนั้น” เจินเจินมองเขาพลางปั้นหน้าหงิกก่อนจะเหลือบตามองยาเม็ดนั้นอย่างไม่ต้องชั่งใจอะไรมาก
“ขมรึเปล่าน่ะ?” เขาส่ายหน้าพลางยิ้มให้
เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางจึงหยิบเม็ดยาเข้าปากไปโดยไม่ติดใจสงสัยเพราะปกติก็กินยาที่เขาปรุงให้เป็นประจำอยู่แล้วจึงคิดว่านี่ก็คงเป็นยาบำรุงตามปกติ
เม็ดยาถูกกลืนลงคอไปทำให้เขายิ้มอย่างโล่งใจ...ในที่สุดภารกิจก็สำเร็จ
“ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าท่านไปทำอะไรมา?”
เจินเจินยังไม่ยอมเลิกราอย่างต้องรู้ให้ได้ว่าเขาไปทำอะไรที่ไหนมา การคาดคั้นยิ่งกว่าภรรยาจับพิรุธสามีนี้ทำให้เขาต้องยอมแพ้
บอกออกไปเองคงดีกว่าให้เจินเจินคาใจจนตามสืบรู้ทีหลัง
“ข้าไปเอาหลินจือสวรรค์ที่เกาะอิ๋งโจว
ในทะเลตงไห่มาต้มยาให้เจ้า
แต่ผิดคาดไปหน่อยตรงที่ข้าประเมินพลังของสัตว์ร้ายที่เฝ้ามันอยู่น้อยไป
ทำให้โดนเล่นงานทีเผลอเอาน่ะ” ความจริงที่ถูกเล่าไม่หมดแต่ก็ทำให้เจินเจินเชื่อได้ไม่ยาก
ใบหน้าที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าพยักหงึกๆอย่างเข้าใจ
ต้องขอบคุณความมีปัญหาของเขาที่ทำให้ในยามปกติก็มักจะสรรหาสารพัดยามาต้มให้เจินเจินกินอยู่แล้ว
ทำให้ความสงสัยในครั้งนี้คลี่คลายได้โดยง่าย
“แค่นี้เอง!
ยอมบอกมาซะดีๆตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว!” เจ้าลูกจิ้งจอกขาวเก้าหางทำหน้าหงิกต่ออีกนิดก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกๆ
เขาเฝ้ามองทั้งยาทั้งชาในถ้วยที่ถูกกลืนลงไปด้วยความพอใจ
เจินเจินไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตอนนี้ในร่างกายของตัวเองมีตบะเทียบเท่ากับเทพชั้นสูงคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
เพราะฉะนั้นอีกสามเดือนให้หลังเมื่อด่านสวรรค์มาเยือน...
เจินเจินจึงผ่านสายฟ้าทั้งสามสายมาได้...โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน...
นับเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสี่สมุทรแปดดินแดนอยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
ยัง....ยังพร่ำเพ้อต่อเรื่อยๆค่ะกับสามชาติ
สามภพ ป่าท้อสิบหลี่...นี่ตรูก็แทบจะดูเป็นงานอดิเรก(?)อยู่แล้วเนี่ยถถถ
ชอบความอลังการของเนื้อเรื่อง ภาพ เสียงจัง =////=
ส่วนฟิคเรื่องนี้
เนื้อเรื่องอาจจะกระโดดนิดหน่อยนะคะ ก็วันช็อตอ่ะเนอะ
นึกช่วงไหนในชีวิตพี่สี่ออกก็เขียนเลย ไทม์ไลน์อาจจะไม่เรียงกันเท่าไหร่นะ5555 โง่ยยยย
ชอบตอนเค้าจีบกัน(?)เป็นกิจวัตรประจำวัน(?)จริงๆเลยสำหรับคู่นี้ฟฟฟฟฟ >//////< ตอนดูซีรี่ย์พอคู่นี้ออกทีไรแทบลงไปดิ้นตาย >////<
ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามมากๆนะค้า
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ผู้ชายในเรื่องนี้ต้องเข้าคระวเป็นแทบทุกคนฮาๆ//ยกเว้นมหาเทพ รายนั้นศรีภรรเขาเก่งงานบ้านงานเรือน
ตอบลบตอนดูซีรีย์อารมย์เดียวกันเลยค่ะ
ตอบลบอินจนต้องหาแฟนฟิคอ่าน <3
อยากอ่านตอนต่อไปอะ 5555
แต่งงดีมากเลย ภาษาสวยที่สุด งื้อออ ขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบ