Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd : RED Season : 01
: Scuderia Ferrari Short Fanfiction AU
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Romance
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
: เนื้อเรื่องโฟกัสช่วงที่เซบอายุราวๆ18-19 ส่วนคิมี่ก็ 24-25 นะคะ
เม็ดทรายที่ปะทะเข้ามาเต็มหน้าเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่ส่วนที่มันกระทบคือหมวกกันน็อคทำให้ใบหน้านิ่งสนิทที่อยู่ข้างในไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
แต่กระนั้นมันก็ทำให้คนที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แรกเริ่มเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยนักหรอกที่การแข่งขัน F1 จะมาจัดกันกลางทะเลทรายแบบนี้ ถึงจะเป็นช่วงเย็นแต่มันก็ร้อนบรรลัย ใครไม่ลองมาแต่งชุดนักขับแล้วก็นั่งอยู่ในค็อกพิทแคบๆเป็นเวลาชั่วโมงกว่าแบบพวกเขาไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันนรกขนาดไหน
แต่ก็นั่นแหละ เขาก็แค่นักขับ จะไปต่อต้านผู้จัดการแข่งขันได้ยังไง คนจัดว่ายังไงก็คงต้องทนๆขับกันไป เพราะงั้นรถฟอร์มูล่าวันสีแดงสดที่ติดหมายเลข 7 ของทีมเฟอร์รารี่ถึงได้พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนแม้ว่าม่านหมอกที่เกิดจากเม็ดทรายจะเริ่มมากขึ้นแค่ไหนก็ตาม
“คิมี่...มีรายงานสภาพอากาศมา ดูท่าจะไม่ค่อยดีนัก” เสียงวิศวกรสนามของรถเขาดังมาตามสายวิทยุสื่อสาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพอากาศตอนนี้มันแย่สุดๆ เพราะเขาแทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้าอยู่แล้ว เม็ดทรายพวกนี้ร้ายกว่าฝนหลายเท่า ฝนมันก็แค่ทำให้ลื่นไถล ควบคุมรถไม่ค่อยจะได้ แต่เม็ดทรายพวกนี้มีมวลและมันกำลังแทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของรถ มันกดทับและกำลังจะดูดเขาลงไปยังก้นของหลุมทรายยังไงอย่างงั้น นี่ขนาดวิ่งอยู่บนถนนนะ
“พยากรณ์อากาศว่าจู่ๆก็มีพายุทะเลทราย การแข่งขันอาจจะต้องหยุดในเร็วๆนี้” ห๋า? พายุทรายเลยเร๊อะ? ไอ้ของแบบนี้มันจู่ๆนึกอยากจะเกิดก็เกิดหรือยังไง? มันน่าจะคำนวณได้ก่อนหน้านี้ไหม?
“ยังไงก็รีบพารถกลับพิตก่อนก็แล้วกัน” ไม่ต้องบอกเขาก็กำลังพยายามจะทำอย่างงั้นอยู่แล้ว แต่ม่านหมอกของเม็ดทรายที่กำลังก่อตัวเป็นพายุนี่มันก็ทำให้เขาทำแบบนั้นได้ยากเต็มที ตอนนี้เขากำลังขับรถฟอร์มูล่าวันอยู่กลางทะเลทรายในอียิปต์ซึ่งจัดแข่ง F1เป็นครั้งแรกและเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวจึงมีส่วนหนึ่งของสนามที่ต้องวิ่งผ่านทะเลทราย ถึงจะอยู่ห่างจากกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ไม่มาก แต่ทะเลทรายยังไงมันก็คือทะเลทราย มันโหดร้ายสมชื่อจริงๆ
คิมี่ ไรโคเนนยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปแม้จะมองไม่เห็นทางเลยก็ตาม แต่เขาจำได้ว่าจากตรงนี้ไปมันจะเป็นทางตรงยาวก่อนจะเลี้ยวเข้ากรุงไคโรหลังจากผ่านไปประมาณ 0.7 วินาที...ใช่...ถ้าเขาเหยียบด้วยความเร็วระดับนี้...อีก 0.7 วินาทีเขาก็จะพ้นจากทะเลทรายและกลับเข้าพิตการาจได้!
รถสีเพลิงจึงวิ่งผ่านม่านหมอกเม็ดทรายด้วยความเร็วกว่า 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งที่ปะทะเข้ามามีแต่ความหนักหน่วงและบรรยากาศที่กดทับจนใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคถึงกับต้องกัดฟัน มันเหมือนสิ่งรอบตัวกำลังบิดเบี้ยว เสียงจากวิทยุสื่อสารเริ่มขาดๆหายๆ ได้ยินวิศวกรสนามเรียกชื่อเขาดังๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
นี่เขากำลังอยู่ในใจกลางพายุทรายหรือยังไงกันนะ ถึงมองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไรเลย
จู่ๆก็รู้สึกว่ารถสั่นสะเทือนขนาดหนักจนควบคุมไม่อยู่ เขาพยายามวิทยุติดต่อทีมแต่ก็มีเพียงเสียงซ่าๆตอบกลับมา แต่จะให้หยุดรถก็ไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่าเท้าจึงฝืนเหยียบคันเร่งต่อไปทั้งอย่างนั้น....อีกแค่ 0.4 วินาที...แค่นับหนึ่งถึงสี่เขาก็จะพ้นเขตทะเลทรายแล้ว!
ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงด้วยความรู้สึกเครียดขมึงอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเขานัก เขากลั้นหายใจพลางนับหนึ่งถึงสี่ในใจ ได้แต่หวังว่าพอลืมตาขึ้นมา ภาพข้างหน้าจะชัดเจนเสียที
หนึ่ง...
สอง...
สาม...
สี่!!!
เปลือกตาเปิดขึ้นโดยพลัน ทว่าสิ่งที่เขามองเห็นนั้น...กลับเป็นท้องฟ้าและอากาศ?
เฟอร์รารี่สีแดงสดของเขากำลังวิ่งทะลุผ่านม่านหมอกเม็ดทรายออกมาได้ก็จริง...แต่สิ่งที่รออยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ทางโค้งที่มุ่งเข้าสู่กรุงไคโร...แต่เป็นหน้าผา!!!
หัวใจที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็งพลันสั่นวูบ เขามองรอบกายที่ไม่คุ้นตาด้วยความรู้สึกตกใจอย่างหาได้ยาก รถของเขากำลังลอยอยู่ในอากาศและตอนนี้หน้ารถก็กำลังดิ่งลงเหว!
นัยน์ตาสีเทาถึงกับเบิกกว้าง เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากบังคับพวงมาลัยให้ตรง รถฟอร์มูล่าวันถึงจะคิดคำนวณตามหลักอากาศพลศาสตร์แต่มันก็ไม่มีปีก เพราะงั้นมันบินเหมือนเครื่องบินไม่ได้!
พื้นดินที่ใกล้เข้ามาทำให้เขากัดฟันเพื่อรับแรงกระแทก ในใจไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดไปจากตรงนี้ได้แต่กระนั้นสองมือก็ยังจับพวงมาลัยมั่น ขาข้างที่เหยียบคันเร่งก็ยังเหยียบมันคาเอาไว้ เขาคิดว่าถ้ารถสไลด์ก่อนที่จะถึงพื้น บางทีอาจจะพอช่วยลดแรงกระแทกได้บ้าง เพราะฉะนั้นขาอีกข้างจึงเตรียมจ่อไว้ที่เบรก เพราะถ้ารถหมุนหรือพุ่งไปชนต้นไม้เข้าเขาก็คงจบเห่เช่นกัน
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดด
โครม!!!!
ในที่สุดทุกสิ่งก็หยุดนิ่งสนิท...
เขาฟุ้บหน้าอยู่กับพวงมาลัย...กลิ่นยางไหม้และควันจากเครื่องยนต์ที่ถูกใช้งานอย่างหนักลอยกรุ่นอยู่รอบตัว ทั้งหัวรู้สึกหนักอึ้งจนขยับร่างกายแทบไม่ไหว...เขาทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว...เพราะงั้น....
“ท่าน! ท่านได้ยินเราไหม? นี่!” ได้ยินเสียงเรียกจากที่ไกลๆทำให้เปลือกตาอันหนักอึ้งพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา
เสียงที่ได้ยินนั้นไม่คุ้นหู ไม่น่าจะใช่คนในทีมแข่งของเขา ยิ่งใบหน้าที่เห็นอย่างเลือนรางนั้นยิ่งไม่คุ้นตาไปกันใหญ่....เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง...แล้วถึงเขาจะอยากลุกขึ้นมาคุยกับอีกฝ่ายแค่ไหนแต่เขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้ได้
เขาเจ็บที่หัวมาก...สงสัยหัวน่าจะแตกเพราะแรงกระแทก
เปลือกตาที่พยายามลืมขึ้นมาจึงปิดลงอีกครั้งพร้อมกับสติที่หายไปอีกรอบ...
กลิ่นหวานๆที่บอกไม่ถูกว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ระหว่างน้ำผึ้งกับดอกไม้ทำให้หัวคิ้วที่นิ่งสนิทมาหลายวันเริ่มขยับนิดๆ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยนั่นร้องเรียกให้เขาเดินกลับมาจากความเวิ้งว้างว่างเปล่า เปลือกตาค่อยๆขยับช้าๆก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะค่อยๆลืมขึ้น
กลิ่นอะไรกันนะ?
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆหันมองรอบกายเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่ยิ่งหันก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นหอมๆนี่มันกระจายอยู่รอบตัวของเขามากกว่า และยิ่งหันก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขานั้นมีแต่ของแปลกตาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเตียงที่เขานอนอยู่...รู้สึกว่ามันจะเป็นแท่นหินที่ปูด้วยผ้าขนสัตว์ ทั้งพรมทั้งผ้าห่มล้วนเป็นผ้าทอแบบเปอร์เซียที่ลายพร้อย ผนังห้องก็เป็นหินทรายก้อนใหญ่รวมไปถึงเสาที่ราวกับหลุดมาจากยุคโบราณเพราะมันเป็นเสากลมต้นเท่าเสาวิหารที่สกัดมาจากหินล้วนๆ แต่ห้องที่ล้อมไปด้วยหินนี้กลับไม่อึดอัดเพราะด้านหนึ่งมันเปิดโล่งรับลมทะเลทรายจนม่านสีขาวที่ยาวจากเพดานจรดพื้นนั่นพลิ้วไหวไปมา ถึงจะบอกว่าการแต่งห้องของที่นี่ดูแปลกตาดีแต่พอนึกอีกทีก็เหมือนเขาหลุดเข้ามาอยู่ในหนังย้อนยุคยังไงอย่างงั้น เพราะอ่างทองเหลืองและข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองล้วนๆนั่นทำให้นึกถึงห้องของเจ้าชายอาหรับในหนังก็ไม่ปาน
แขนที่เต็มไปด้วยรอยสักพยายามยันกายให้ลุกขึ้น ถึงจะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้างแต่ร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกหนักเท่าตอนก่อนหน้านี้ นี่ตกลงว่าเขาหัวแตกจากแรงกระแทกจริงๆสินะ? แล้วใครช่วยเขากัน? ว่าแต่ทำไมไม่พาไปส่งโรงพยาบาลแต่กลับพามาสถานที่แปลกๆแบบนี้?
เขาพยายามลุกขึ้นยืนก่อนจะทรงตัวอยู่นานกว่าจะก้าวขาออกมาจากห้องได้ ร่างกายยังซวนเซจนต้องใช้ผนังหินที่ปล่อยไอเย็นออกมานั่นช่วยพยุง แล้วยิ่งเดินเปะปะไปตามโถงทางเดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสามหึมามากมายก็ยิ่งรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในวิหารยุคโบราณที่ทำจากหินทั้งหลัง ซ้ำด้านที่ติดกับระเบียงด้านหนึ่งยังเป็นทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตาอีก...นี่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่? แล้วการแข่งของเขาล่ะ?
“ท่าน! ท่านยังออกมาเดินไม่ได้นะ!” แล้วจู่ๆเสียงหนึ่งก็เรียกเขาด้วยน้ำเสียงตกใจ ในจังหวะที่เขากำลังจะหันไปมอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งมาถึงตัวเขาแล้ว...
ที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มนั่นก็เพราะว่าท่อนบนของอีกฝ่ายไม่ได้สวมเสื้อ กล้ามเนื้อแบบเด็กผู้ชายและแผงอกแบนเรียบที่ไม่ได้หนาเท่าไหร่จึงมองเห็นได้ชัดเจน เด็กหนุ่มคนนี้ก็ดูแปลกตาพอๆกับสถานที่ที่เขายืนอยู่ เพราะอีกฝ่ายสวมเพียงผ้านุ่งที่ดูเหมือนกระโปรงที่ทำจากผ้าลินินยาวเหนือหัวเข่าขึ้นมานิดหน่อย รองเท้าที่ดูเหมือนสานจากไยของต้นไม้นั่นก็พันขาขึ้นมาถึงหน้าแข้ง แผงคอมีเครื่องประดับที่ร้อยจากลูกปัดและทองถักเป็นแผงใหญ่จนแทบจะคลุมทั้งไหล่ และส่วนที่ชัดเจนที่สุดซึ่งทำให้เขาเริ่มตะหงิดใจแล้วว่าเขาอยู่ที่ไหนนั่นก็คือมงกุฎผ้าที่ครอบหัวเด็กหนุ่มอยู่...นั่นมันเหมือนกับมงกุฎของพวกฟาโรห์ในยุคอียิปต์โบราณเลยไม่ใช่หรือไง?
เขามัวแต่ยืนอึ้งกับการแต่งตัวของอีกฝ่ายจนลืมที่จะใช้มือยันผนังไว้ ทำให้ร่างทั้งร่างซวนเซจนเกือบจะล้มลง...ถ้าไม่ได้ฝ่ามือของเด็กหนุ่มช่วยพยุงเอาไว้
“อ่า บอกแล้วไงว่าท่านยังออกมาเดินไปเดินมาแบบนี้ไม่ได้ พวกนักบวชบอกว่าท่านต้องนอนพักอีกหลายวันกว่าจะฟื้นตัว” หอม.....เขารู้แล้วว่ากลิ่นหอมๆที่อยู่รอบกายตอนที่เขาตื่นมานั้นมันเป็นกลิ่นของอะไรและมาจากที่ไหน...มันมาจากร่างกายของเด็กหนุ่มคนนี้นี่เอง
นัยน์ตาสีเทาของเขาสบประสานเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาสีน้ำตาลยาวและหนา ความสวยงามของดวงตาคู่นั้นราวกับอัญมณีที่หาได้ยากกลางทะเลทรายที่แห้งผากแบบนี้ สันจมูกโด่งที่ไล่ลงมารับกับริมฝีปากสีชมพูบนใบหน้ารูปไข่นั้นทำให้เขาถึงกับกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มคนนี้รูปงามมากทีเดียว
ตึกตัก ตึกตัก....
เสียงหัวใจที่เต้นแรงเกินไปทำให้เขารีบละใบหน้าหนีดวงตาที่สวยงามคู่นั้น...นี่มัน...มนต์เสน่ห์อะไรกัน?...
“กลับห้องกันเถอะ มา...เราจะช่วยพยุง” เด็กหนุ่มสอดแขนเข้ามาพยุงเขาไว้ก่อนจะพากันก้าวขาเดินต่อไป เขาลอบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่คืบอีกครั้ง...เขาจำได้แล้ว...ถึงจะเลือนลางมากแต่คนที่เรียกเขาตอนที่เขาสลบคารถอยู่ก็คือเด็กหนุ่มคนนี้ เขาจำความคมบนใบหน้านั้นได้ดี ยังคิดอยู่เลยว่าผู้ชายอะไรแต่งหน้าด้วย? แต่พอได้เห็นมงกุฎฟาโรห์ที่อีกฝ่ายสวมอยู่ การที่จะเขียนขอบตาด้วยสีดำคมเข้มและทาเปลือกตาด้วยสีน้ำตาลประกายทองแบบนั้นนั่นมันก็ไม่แปลกเลย
อ่า...ตกลงเขาหลุดมาอยู่ที่ไหนกันแน่?
ในอียิปต์นี่ก็ยังมีหมู่บ้านแปลกๆที่แต่งตัวเลียนแบบยุคโบราณอยู่งั้นสินะ?
เด็กหนุ่มพยุงเขากลับมาที่ห้องเดิมก่อนจะจัดแจงให้เขานอนลงก่อนจะเดินไปที่อ่างทองเหลืองพลางชุบผ้าหมาดๆแล้วเดินกลับมา
“ท่านหิวหรือไม่? เราจะได้ให้คนไปเตรียมอาหารมา” มือบางเช็ดผ้าเย็นๆนั่นมาตามแขนและใบหน้าโดยที่เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะปฏิเสธ เขากำลังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดภาษาอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่น่าแปลกที่เขาดันเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เหมือนมีเครื่องแปลภาษาอยู่ในหัวเลย?
“ไม่...ชั้นยังไม่หิว...” เขาเลยลองพูดภาษาอังกฤษกลับไป
“ถ้างั้นก็นอนพักเถอะ เราจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ มีอะไรหรือต้องการอะไรก็บอกเรา” และเด็กคนนั้นก็ฟังเข้าใจด้วย?
“จริงสิ เราสงสัยว่าเจ้าม้าสีแดงๆนั่นคืออะไร?” ม้าสีแดง? เขาได้แต่มองคนที่บอกจะปล่อยให้เขานอนพักอย่างงงงวย ตอนแรกก็คิดว่าเด็กนั่นไม่ได้พูดกับเขาแต่ทั้งห้องก็มีกันอยู่แค่สองคน ก็ไม่น่าจะเป็นคนอื่นไปได้...หรือเด็กหนุ่มจะหมายถึงรถของเขา?
“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?” เขาถามกลับไปโดยไม่สนใจจะตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย
“เราไม่รู้จะขนมายังไงเลยเอาใบปาปิรุสคลุมไว้ที่เดิม ใบปาปิรุสมีสรรพคุณมาก เราเชื่อว่าต้องรักษาม้าของท่านได้แน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก” เขาอึ้งตั้งแต่ใบปาปิรุสละ ไอ้ของแบบนั้นมันยังมีอยู่ในโลกด้วยเร๊อะ แล้วที่อึ้งหนักกว่าก็คือเด็กนี่คิดจะใช้ใบปาปิรุสรักษารถเขาเนี่ยนะ? ฟอร์มูล่าวันนะครับไม่ใช่สัตว์กินพืชถึงจะทำแบบนั้นได้ รถพังก็ต้องซ่อมสิไม่ใช่เอาใบปาปิรุสคลุมไว้!
เขายกมือขึ้นมาบีบขมับอย่างรู้สึกว่ามันปวดหนึบขึ้นกว่าเดิม ตกลงเขาหลงมาอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย?
“ท่านมาจากเมืองอื่นใช่ไหม? ถึงได้มีของแปลกๆอย่างม้าตัวนั้น?” นัยน์ตาสีฟ้าที่สวยงามด้วยแพขนตายาวนั่นมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายราวกับได้ของเล่นใหม่
“อือ...อืม...” เขาได้แต่เออออไปก่อน เพราะตอนนี้ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือเด็กนี่จะไม่รู้จักรถฟอร์มูล่าวันงั้นเหรอ? มันก็เป็นไปได้ละนะเพราะมันไม่ใช่กีฬาทั่วไปที่ใครๆก็ดูกันเหมือนพวกละครหลังข่าว
เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ว่าทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา กลิ่นหอมจากตัวของเด็กนั่นก็มักจะยังลอยอยู่รอบกายเขาเสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน
เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระหายน้ำ...
หลังจากพยายามมองหาเหยือกใส่น้ำแต่หัวที่ยังเจ็บแปลบก็ส่งผลให้สายตาของเขายังพร่ามัว สิ่งที่มองเห็นเป็นแค่เงารางๆเท่านั้น
แต่ร่างกายที่ยังหนักอึ้งก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใครเพราะไม่ถนัดการเข้าหาคนอื่น เขาจึงพยายามยืนขึ้นแล้วเดินสะเปะสะปะไปหาเหยือกน้ำ
เคร้ง!!!
สงสัยว่ามือจะปัดไปโดนเหยือกน้ำทองเหลืองนั่นเข้าเพราะเขากะระยะพลาด เสียงที่มันหล่นกระทบพื้นจึงดังก้องกังวาน เขาพยายามก้มลงไปควานหามันโดยที่อีกมือต้องยกขึ้นมากุมศีรษะที่จู่ๆก็รู้สึกปวดแปลบ...อ่า...เวลาที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้มันลำบากจริงๆ
“ท่าน?!” เสียงอุทานดังอยู่ข้างหลังก่อนที่ไม่กี่วินาทีถัดมากลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จะโชยแตะจมูกพร้อมๆกับฝ่ามือที่ช่วยพยุงเขาขึ้นมา
“อยากดื่มน้ำเหรอ? ทำไมไม่เรียกเราล่ะ? ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก เราอยากดูแลท่าน” คำพูดตรงไปตรงมาที่ออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงทำให้สองแก้มของเขารู้สึกร้อนผ่าวโดยไม่ทันตั้งตัว
เด็กหนุ่มพยุงเขากลับไปนั่งที่เตียงก่อนจะรินน้ำจากเหยือกใหม่มาให้ เขาดื่มมันดับความกระหายก่อนจะก้มลงมองจอกทองเหลืองในมือด้วยความไม่เข้าใจ...เขาไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้ตั้งอกตั้งใจดูแลเขาขนาดนี้ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากเป็นเขาคงไม่มีวันเอาใจใส่คนที่ไม่รู้จักกันมากขนาดนี้หรอก แค่พาไปส่งโรงพยาบาลแล้วก็จบกันไป ไม่มานั่งเฝ้า คอยทำแผล เช็ดตัว ทำอะไรต่อมิอะไรให้แบบนี้หรอก
นัยน์ตาสีเทาที่เริ่มจะมองเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นค่อยๆเหลือบมองเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายยังคงจ้องมองเขาราวกับจะถามว่าเอาอะไรอีกหรือเปล่า เจ็บตรงไหนหรือเปล่า รอยยิ้มที่เบ่งบานอยู่บนใบหน้ารูปไข่นั่นก็อีก...มันกำลังโจมตีหัวใจดุจน้ำแข็งของเขาให้ละลายอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้
ที่ผ่านมาเขามักจะเว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง แต่เด็กนี่ก้าวล้ำเข้ามาตามแต่ใจตัวเองแท้ๆและมันเป็นธรรมชาติจนเขาที่เอาแต่เผลอมองไม่ทันที่จะปฏิเสธ รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็อยู่ข้างกายเขาไปแล้ว
แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะที่เด็กนั่นชวนเขาคุยนู่นนี่ เพราะมันก็สนุกดี
“เอาน้ำอีกไหม?” เขาส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะพยายามซ่อนหัวใจที่เต้นแปลกไปนี่เอาไว้
“ถ้างั้นขอเราดูแผลท่านหน่อย พวกนักบวชบอกให้เราคอยเปลี่ยนยาให้ท่านทุกๆครึ่งวัน” รากไม้แปลกๆที่บดเข้ากับพืชอะไรซักอย่างคือสิ่งที่เด็กนั่นเรียกมันว่ายา ถึงเขาจะไม่ไว้ใจมันเลยในตอนแรกแต่มันก็ทำให้แผลของเขาแห้งไวอย่างไม่น่าเชื่อ
เขานั่งนิ่งๆให้เด็กหนุ่มแกะผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบหัวของเขาออก แผ่นอกเปลือยเปล่าที่ขาวเนียนไม่เข้ากับทะเลทรายขยับขึ้นลงอยู่ใกล้แค่คืบ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาแทบจะหลงมัวเมาจนยั้งสติเกือบไม่อยู่ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...อาจจะเพราะไม่เคยใกล้ชิดใครมากขนาดนี้ ไม่เคยมีใครดูแลเอาใจใส่ยามที่เขาบาดเจ็บและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้...ไม่เคยมีพยาบาลคนไหนดูแผลที่หัวเขาเสร็จแล้วก็ลดสายตาลงมาจ้องตาเขาพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มทะเล้นๆให้เขาแบบนี้มาก่อน...ทั้งหัวใจเลยอดหวั่นไหวไม่ได้...
มันอบอุ่น...จนต้องเสหน้าหนี...
เด็กนั่นยังคงยิ้มต่อไปในขณะที่ทำแผลให้เขา มือที่เบาจนแทบไม่รู้สึกเจ็บบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของเด็กหนุ่ม ทั้งๆที่เขาพยายามจะไม่คิดอะไร แต่กระนั้นหัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เจ้าชาย...ฟาโรห์ทรงรับสั่งเรียกหา...” เสียงเย็นๆที่ดังอยู่หน้าประตูทำให้มือเรียวที่กำลังจัดแต่งผ้าพันแผลที่หัวเขาชะงักไป เด็กหนุ่มพยักรับเสียงเรียกน้อยๆแต่ก็ยังไม่ละซึ่งแววขี้เล่นบนใบหน้า
“เดี๋ยวเรามา ท่านต้องการอะไรก็บอกจีน่านะ” จีน่าคือชื่อของสาวใช้ที่วนเวียนอยู่รอบๆห้องของเขานี่แหละ เด็กหนุ่มเคยหรือไม่เคยบอกเขาก็ไม่แน่ใจเพราะบางครั้งเสียงที่ได้ยินก็พร่าเลือนราวกับอยู่ในฝัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าเด็กนั่นมีฐานะสูงส่งมากทีเดียวในเมืองแห่งนี้
และนั่นแหละ...คือสิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ...ว่าเพราะอะไรเด็กหนุ่มถึงต้องลดตัวลงมาดูแลคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขาด้วย?
แผลของเขาค่อยยังชั่วขึ้นมาก อย่างน้อยร่างกายก็พอจะมีแรงลุกเดินไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่มึนไม่เซไม่ล้มแล้ว
“ท่านอยากอาบน้ำหรือไม่?” พอเด็กหนุ่มถามเขาแบบนั้น เขาจึงตอบตกลงทันที กี่วันมาแล้วที่เขาไม่ได้อาบน้ำ อากาศของที่นี่ก็ใช่ว่าจะเย็นจนเหงื่อไม่ออกเสียเมื่อไหร่
เขาเดินตามเด็กหนุ่มลงบันไดหินไปเรื่อยๆ ริมฝีปากช่างเจรจาที่คอยชวนเขาคุยนู่นนี่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับปราสาทหินนี่เร็วกว่าที่คิด ใบหน้ารูปไข่ของเด็กนั่นหันมามองเขาเป็นระยะๆอย่างกลัวว่าเขาจะล้มไป หึ ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีเสียจริงๆ
บ่อน้ำขนาดใหญ่ปรากฏกายเบื้องหน้าเขา สายน้ำใสที่พวยพุ่งออกมาจากผนังดูเย็นฉ่ำน่าลงไปอาบนัก เขาจึงไม่อิดออดที่จะลงไปแช่กายอย่างสบายอุรา แต่ว่าเขาก็ต้องเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อคนที่คิดว่าแค่มาส่งเขากลับถอดผ้าแล้วเดินลงมาแช่น้ำด้วยกัน...
รู้สึกธรรมเนียมแบบนี้จะเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น แต่เขาที่เป็นชาวฟินแลนด์แต่กำเนิดกลับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับการที่ต้องอาบน้ำด้วยกันไม่ว่าจะชายหรือหญิง ยิ่งในบ่อน้ำที่ใสจนมองเห็นอะไรๆแบบนี้ด้วย...
เขาพยายามไม่มองเด็กหนุ่มที่ดำผุดดำว่ายอยู่กลางบ่อน้ำ แต่สายตาเจ้ากรรมกลับถูกผนึกไว้กับร่างกายได้รูปที่ผู้ชายคนไหนก็มี เพียงแต่ ร่างกายตรงหน้านั้นมันดูจะกระตุ้นสัญชาตญาณดิบมากกว่าปกติยังไงก็บอกไม่ถูก? กล้ามเนื้อที่ยังไม่เติบโตดีมันให้ความรู้สึกเซ็กซี่ขนาดนี้เลยเหรอ?
เด็กหนุ่มผุดขึ้นมาจากผืนน้ำ เส้นผมสีบลอนด์เข้มเปียกลู่ละใบหน้า...จะว่าไปเขาก็เพิ่งเคยเห็นผมของเด็กนั่นนี่แหละ เพราะปกติจะใส่มงกุฎผ้าคลุมเอาไว้
“นี่เป็นความลับนะ ท่านห้ามเอาไปบอกใครเรื่องผมของเราล่ะ” เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาเต็มหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจสุดๆว่ามันมีอะไรที่เป็นความลับตรงไหน เด็กหนุ่มที่เห็นสีหน้าเขาเข้าก็หัวเราะออกมาก่อนจะเฉลยให้ฟัง
“ขอโทษ เราลืมไปว่าท่านมาจากเมืองอื่น...ธรรมเนียมของชาวอียิปต์จะโกนหัวไม่ว่าหญิงหรือชาย เพราะมีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งชอบมาอาศัยในหัวหากมีผม พวกมันดูดเลือดเป็นอาหาร เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันมัน พวกเราจึงโกนหัวกันหมด แล้วก็ใส่ผมปลอมเอา...แต่เราไม่ได้โกน เพราะเรามีนักบวชช่วยทำยาฆ่าสัตว์ร้ายนั้นให้” ......สัตว์ร้ายที่ว่านั่น...ใช่เหาหรือเปล่านะ? ก็เคยได้ยินมาอยู่บ้างหรอกว่าชาวอียิปต์โบราณมักจะโกนหัวกันหมด แต่นี่มันยุคไหนแล้ว? ยากำจัดเหาก็มีออกถมไป ทำไมไม่ไปซื้อมาใช้กันล่ะ?
และด้วยสิ่งที่คาใจเขามาตั้งแต่วันที่ลืมตาขึ้นที่นี่ ทำให้ปากที่หนักเหมือนหินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
“นี่...ชั้นถามอะไรหน่อยเถอะ...ที่นี่มันที่ไหนกันแน่?” เขาเริ่มจะทนความแฟนตาซีของที่นี่ไม่ไหวแล้ว ยังไงจะได้โทรบอกทีมให้มารับได้ถูก
“เมืองธีบส์ไง? เมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์? จริงสิ เรายังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ เราคือเจ้าชายเซบาสเตส เจ้าชายลำดับที่สี่ของอาณาจักรอียิปต์ ผู้มีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์คนปัจจุบัน แล้วท่านล่ะ?” หลังจากที่เด็กหนุ่มพูดจบเขาก็ถึงกับอึ้งรับประทาน...ขันทองเหลืองในมือถึงกับร่วงลงน้ำ...
นี่มันรายการตลกร้ายอะไรมาแกล้งเขาอยู่หรือเปล่า? จะบอกว่าเขาข้ามมิติมาอยู่ในอียิปต์ยุคโบราณเนี่ยนะ? และกำลังคุยกับเจ้าชายที่อาจจะได้เป็นฟาโรห์ในอนาคตเนี่ยนะ?
ใครมันจะไปเชื่อลง!!
“ว่าไง? ท่านชื่ออะไร?” น้ำเสียงกระตือรือร้นคาดคั้นต่อเมื่อเขาไม่ยอมบอกชื่อไปเสียที
“คิมี่ ไรโคเนน....” เขาตอบออกไปด้วยเสียงลอยๆ จะให้เชื่อจริงๆเหรอว่าเรื่องบ้าบออย่างการข้ามเวลาทะลุมิตินี่มันจะเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เขาก็แค่ขับรถ...ใช่...แค่ขับรถฝ่าพายุทรายมาเฉยๆเอง?
“นี่...ฟาโรห์คนปัจจุบันชื่ออะไร?” เด็กหนุ่มมีสีหน้างงเล็กน้อยที่จู่ๆเขาก็ถามออกไป แต่เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์ก็ยอมตอบเขามาแต่โดยดี...และชื่อนั้นก็ทำให้เขาอึ้งไปอีกรอบ...
เพราะมันคือชื่อของฟาโรห์องค์สุดท้ายที่มีบันทึกเอาไว้...ก่อนที่อียิปต์จะล่มสลายไปอย่างไม่รู้สาเหตุ...
ก็นับว่ายังดีที่เขาอ่านข้อมูลที่ทางทีมเตรียมไว้ให้ก่อนจะมาแข่งที่ประเทศนี้มาบ้าง รายชื่อฟาโรห์องค์สำคัญๆถึงยังพอจะอยู่ในหัวของเขาบ้าง...เอาเถอะ...เขาก็ไม่ใช่คนขี้โวยวาย จะเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ อยู่ต่อไปเดี๋ยวก็จับได้เอง เพราะงั้นเขาจึงไม่พูดอะไรให้มากความแล้วเล่นตามน้ำกับเด็กนั่นไป
แต่ยิ่งอยู่นานวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่ามันคือเรื่องจริง...
เขาหายดีจนออกมาเดินนอกปราสาทได้แล้ว
นัยน์ตาสีเทาทอดมองขึ้นไปยังปราสาทหินทรายที่ถูกขุดลึกเข้าไปในภูเขา หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองอาศัยอยู่ในภูเขาทั้งลูกจนกระทั่งได้ออกมายืนมองมันจากข้างนอกแบบนี้
“นมอูฐไหมจ้ะ นมอูฐ~” เสียงร้องเรียกลูกค้าดังอยู่รอบกาย ที่นี่ไม่ได้ขายแต่นมอูฐแต่มีสินค้าหน้าตาแปลกประหลาดสารพัด เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์พาเขาลงมาเดินเล่นในตลาดแลกเปลี่ยนสิ่งของ เสียงหนวกหูถึงได้ดังอยู่รอบตัวไปหมด
ตลาดกลางทะเลทรายแห่งนี้ทำให้เขาเริ่มจะเชื่อแล้วว่าเขาหลุดข้ามมิติมาจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเดินดูเท่าไหร่มันก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในโลกปัจจุบันที่เขาอยู่เลยสักชิ้น ซ้ำระบบการค้าที่ไม่ใช้เงินตราแต่เอาสิ่งของมาแลกกันนี่ถ้าไม่ใช้ธีมปาร์คตามสวนสนุกเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าจะยังมีส่วนไหนในโลกปัจจุบันที่ยังเป็นแบบนี้อยู่
เขายืนเหม่อมองผู้คนผิวสีน้ำผึ้งซึ่งแต่งตัวไม่ต่างจากเจ้าชายแห่งอียิปต์นัก เพียงแต่ผ้านุ่งจะไม่ได้ประณีตเหมือนที่เจ้าชายเซบาสเตสใส่และคนทั่วไปมีเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้นและไม่สวมมงกุฎผ้า นัยน์ตาของเขาทอดมองถนนและตลาดที่ขนานไปกับแม่น้ำไนล์ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดแดงของอียิปต์ หากไม่มีต้นกำเนิดชีวิตอย่างแม่น้ำสายนี้คงไม่มีใครอาศัยอยู่ในทะเลทรายที่ร้อนแล้งแห้งผากแบบนี้ได้หรอก
“คิมี่! มาทางนี้สิ!” เขาก้มลงมองมือเรียวของเจ้าชายแห่งอียิปต์ที่จับมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะลากเขาให้เดินตามไป...นี่ก็อีก...เด็กนี่ไม่รู้เลยหรือไงว่าในโลกปัจจุบันไม่มีผู้ชายที่ไหนเค้าเดินจูงมือกันหรอกนะ...ถึงจะรู้สึกขัดเขินจนโหนกแก้มร้อนแปลกๆแต่เขาก็ทำได้แค่ปล่อยให้เด็กนั่นลากไป
“เจ้าชาย เอาพัดหางนกยูงไหม? นี่ได้มาจากซีเรียเลยนะ”
“เจ้าชาย เครื่องแก้วนี่งามมากนะ ถ้าท่านสนใจข้าให้แลกได้ถูกๆเลย”
“เจ้าชาย~ เอาผลไม้กลับไปทานด้วยสิ”
“ไม่ละ ขอบใจนะ เรายังมีธุระอย่างอื่นอีก ไว้คราวหน้าจะมาเอาไปกินแน่ๆ สัญญาเลย”
นั่นเป็นเสียงที่ดังทักทายเจ้าชายลำดับที่สี่มาตลอดทาง...
เขาสังเกตมานานแล้วว่าเจ้าชายพระองค์นี้ไม่มีความถือตัวแบบพวกเชื้อพระวงศ์อยู่เลย ตอนแรกก็คิดว่ามันอาจจะเป็นลักษณะของคนโบราณหรือเปล่า? แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะวันหนึ่งเขาบังเอิญเดินสวนกับเจ้าชายลำดับที่สองซึ่งเป็นพี่ชายของเซบาสเตสเข้า ผู้ชายคนนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหยิ่งทระนงและทรงอำนาจ ไม่มีบรรยากาศสบายๆและเป็นกันเองแบบเจ้าชายลำดับที่สี่นี่เลย
ฝ่ามือของเขาถูกฝ่ามือที่จับเอาไว้นั่นกระตุกให้แวะข้างทางอยู่ตลอดตั้งแต่เดินเข้ามาในตลาด เพราะทุกครั้งที่แม่ค้าพ่อค้าเรียกให้ไปดูอะไร เจ้าเจ้าชายผู้ร่าเริงเหมือนหมาโกลเด้นนี่ก็จะแวะเข้าไปดูทันที บุคลิกที่ดูขี้เล่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ซน ทำให้เป็นที่รักของประชาชน ดูจากเวลาเดินไปไหนมาไหนคนก็มักจะทักทายอย่างเป็นกันเองแต่ก็นอบน้อม ในขณะที่เจ้าชายคนอื่นๆจะปกครองประชาชนด้วยความกลัวเกรง เขาจำได้ว่าประวัติศาสตร์เขียนบอกไว้ว่าบรรดาฟาโรห์ของอียิปต์โบราณจะโหดร้ายและเด็ดขาดมากเพื่อการปกครอง...แล้วอย่างเจ้าชายองค์เล็กนี่จะปกครองใครไหวไหมเนี่ย?
เขาให้เด็กนั่นพาไปดูรถฟอร์มูล่าวันของเขา เราสองคนจึงเดินลัดเลาะไปตามสันทรายที่ถูกลมพัดจนขึ้นเป็นริ้วๆ ดูๆไปแล้วก็สวยดีเหมือนกัน
เด็กนั่นยังจับมือเขาไม่ปล่อย ความรู้สึกแปลกประหลาดค่อยๆก่อตัวขึ้นในหัวใจอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่คอยดูแลเขายามที่เขาบาดเจ็บมาตลอด นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าเข้ารูปของคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหน้า และทุกครั้งที่สายตาเลื่อนลงไปถึงขอบกระโปรงผ้าลินินที่พันต่ำอยู่รอบเอว เขาก็ต้องรีบเสสายตาหนีทุกครั้ง...หัวใจ...มันเต้นแปลกไปจริงๆ
รถของเขาจอดอยู่ในดงต้นไม้หน้าตาแปลกๆที่เด็กนั่นเรียกมันว่าต้นปาปิรุส และหลังจากที่ช่วยกันเอาใบที่คลุมมันไว้ออก สีแดงเพลิงของรถฟอร์มูล่าวันก็ปรากฏโฉมท้าทายต่อแสงอาทิตย์อันร้อนแรงแห่งอียิปต์ทันที
เขามองมันด้วยความคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันคงจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาที่อยู่ด้วยกันตลอดในบ้านเมืองที่ไม่รู้จักแบบนี้
ฝ่ามือของเขาลูบเบาๆไปที่จมูกรถ มันไม่ได้มีสภาพแย่อย่างที่เขาคิด แทบจะไม่มีส่วนใดเสียหายเลยยกเว้นยางที่ขึ้นปื้นเป็นแถบๆเพราะเขาสไลด์ตัวก่อนจะเบรกอย่างหนักตอนที่ดิ่งลงเหวมา ตอนแรกนึกว่าจะพังเละแต่นี่กลับยังมีสภาพที่น่าจะพอติดเครื่องได้อยู่?
เขาจึงก้าวขาเข้าไปในค็อกพิทหรือห้องนักขับ มันคงดูตลกดีที่เขาจะเข้าไปนั่งในนั้นด้วยชุดแบบอียิปต์โบราณที่ตัวเองใส่อยู่...ใช่...สภาพเขาตอนนี้ก็แต่งกายไม่ได้ต่างจากเจ้าชายลำดับที่สี่นั่นนักหรอก
ก็นะ...จะให้เขาใส่ชุดนักขับเดินไปเดินมาในอาณาจักรอียิปต์โบราณที่ร้อนสุดใจมันก็คงไม่ใช่ เขาจึงถอดแล้วเก็บมันไว้ที่ห้องของเขาในปราสาท...ไม่สิ...ต้องบอกว่าคนที่ถอดมันออกคือเจ้าเด็กนี่มากกว่า เพราะเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาเขาก็อยู่ในชุดอียิปต์โบราณแบบนี้ไปแล้ว
นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองร่างโปร่งของเจ้าชายเซบาสเตสที่เดินวนดูรถของเขาอย่างสนอกสนใจ ดวงตาเป็นประกายนั่นเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงยมองรถด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่น จนกระทั่งร่างโปร่งนั่งคุกเข่าเอามือเท้าข้างรถก่อนจะมองเขาที่เข้ามานั่งในค็อกพิทด้วยสายตาซนๆ เขาเผลอหัวเราะเบาๆกับท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเด็กนั่น อะไรหลายๆอย่างของเจ้าชายเซบาสเตสทำให้เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขาจึงยิ้มออกมาง่ายๆยามเมื่ออีกฝ่ายชวนคุย...ทั้งๆที่ปกติแล้ว คิมี่ ไรโคเนน ไม่ใช่คนแบบนี้เลย
The Iceman...นั่นคือฉายาของเขาในวงการฟอร์มูล่าวัน
ผู้ชายยิ้มยาก ไม่ค่อยพูด และมักจะทำอะไรแบบไม่สนใจใคร นั่นแหละเขา
“อย่างกับลูกหมาโกลเด้น” เขาพึมพำเบาๆให้กับท่าทางราวกับหูจะตั้ง หางจะกระดิกได้ของเด็กนั่น
“โกลเด้น? โกลเด้นคืออะไร?” ใบหน้ารูปไข่ถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาเลยยิ้มๆแล้วยักไหล่ตอบไปว่า
“ก็แค่สัตว์นำโชคน่ะ”
“เราเหมือนสัตว์นำโชคในเมืองของท่านงั้นเหรอ? ดีจังเลยนะที่ท่านมาเจอเรา ท่านคงจะโชคดี” .....อันนี้คือเมา? ไม่รู้เรื่องรู้ราว? มองโลกในแง่ดี? ใสซื่อ? หรือประชดกันแน่? พอมันออกมาจากดวงตาเป็นประกายนั่นแล้วเขาก็เดาไม่ถูกเลยจริงๆ สงสัยว่าในยุคอียิปต์โบราณคงยังไม่มีสุนัขสายพันธุ์นั้นละมั้ง? เด็กนี่ถึงได้ไม่รู้จัก
“แล้วม้าของท่านขี่ยังไง? มันไม่เห็นร้อง ไม่เห็นหายใจ? หรือมันตายแล้ว?” เขาถึงกับหลุดขำก่อนจะตอบกลับไป
“มันยังไม่ตายหรอก คอยดูแล้วกัน” วิธีปลุกม้าลำพองที่แสนอันตรายตัวนี้น่ะเหรอ? เขาขับมันมากี่ปีทำไมจะไม่รู้ เพียงแต่ปกติแล้วมันจะสตาร์ทจากภายนอก ไม่ได้ใช้กุญแจไขเหมือนรถทั่วไป แต่เจ้ารถคันนี้ก็ยังมีสตาร์ทสำรองที่ติดอยู่ในรถอยู่ มันกินพลังงานค่อนข้างมากจึงไม่ค่อยมีใครใช้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่ก็เอาเถอะ อยู่ที่นี่จะให้ไปวิ่งที่ไหนได้ ยางเอย น้ำมันเอยก็มีเหลืออยู่ไม่มาก ถ้าจะใช้จริงๆคงวิ่งได้อีกไม่มากนักหรอก ลองติดเครื่องให้เจ้าเด็กนี่ดูเพื่อขอบคุณที่ช่วยเขาเสียหน่อยก็แล้วกัน
แล้วเสียงทุ้มต่ำก็คำรามทั่วท้องทะเลทราย...
ถ้าเจ้าม้าสีเพลิงตัวนี้ไม่ได้ออกวิ่ง เสียงของมันก็จะเป็นแค่เสียงกระหึ่มราวกับสัตว์ร้ายกำลังข่มขู่อยู่แบบนี้แหละ ไม่ได้มีเสียงแหวกอากาศแสบแก้วหูเหมือนตอนวิ่งหรอก
แต่เสียงที่สะท้อนเม็ดทรายหลายร้อยไมล์ก็ทำให้เจ้าชายแห่งอียิปต์ถึงกับตะลึงนิ่งค้าง ดวงตาคู่คมมองรถสีแดงคันนั้นอย่างหลงใหลโดยไม่รู้ตัว หัวใจดวงน้อยตกหลุมรักเสียงอันทรงพลังของมันแทบจะทันที เช่นเดียวกับความรู้สึกดีๆที่มีให้กับคนที่นั่งอยู่บนเจ้าม้าแดงตัวนั้นด้วย
“ม้านั่นมันสุดยอดเลย! แค่เสียงคำรามก็ราวกับเสียงของเทพเจ้าแล้ว ทำไมท่านไม่สั่งให้มันวิ่งด้วยล่ะคิมี่? เราอยากเห็น” เจ้าชายเซบาสเตสพูดอย่างตื่นเต้นในขณะที่เดินกลับ เขาเอาใบปาปิรุสคลุมรถไว้ที่เดิมนั่นแหละ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามีของแบบนี้อยู่ในยุคนี้
เขามองรอยยิ้มกว้างและดวงตาเป็นประกายของเด็กนั่นก่อนจะอมยิ้มบางๆ ปกติแล้วเขาเป็นคนตรงไปตรงมา มีอะไรก็มักจะพูดแบบขวานผ่าซากออกไปตรงๆ แต่พอหลงเข้ามาในยุคโบราณที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแบบนี้ ส่วนลึกของหัวใจก็อยากให้ใครสักคนรู้ว่าตัวตนจริงๆของเขาเป็นใคร เขามีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้จริงๆไม่ว่าจะในยุคไหน...เขาจึงได้ตัดสินใจหันไปบอกกับเจ้าชายแห่งอียิปต์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ชั้นจะบอกนายตรงๆก็แล้วกัน...ชั้นไม่ใช่คนในยุคนี้ แต่มาจากอนาคตในอีกหลายพันปีเลยละ แล้วนั่นก็ไม่ใช่ม้า มันไม่มีชีวิต มันวิ่งได้ไกลกว่าม้า ทนกว่าม้า แต่ว่ามันก็กินพลังงานมหาศาลเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นชั้นจึงไม่สั่งให้มันวิ่งหากไม่จำเป็น” เขาได้แต่หวังว่าเด็กนั่นจะเชื่อเขาและไม่หาว่าเขาบ้าไปเสียก่อน
“ท่านจะบอกว่า...ท่านไม่ใช่คนยุคเดียวกับเรา? แต่ท่านมาจากวันข้างหน้า...ในอีกหลายพันปี?...” ใบหน้ารูปไข่เอ่ยออกมาในขณะที่ยังนิ่งค้างอย่างอึ้งๆกับคำพูดของเขา เป็นเพราะเขาไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้มาก่อน จึงไม่เคยทำให้เด็กนั่นรู้สึกตัวเลยว่าเขาไม่ใช่คนในยุคนี้
“มันอาจจะเชื่อได้ยาก แต่มันเป็นแบบนั้น”
“.........” ริมฝีปากสีชมพูได้แต่อ้าพะงาบๆอย่างเรียบเรียงสิ่งที่จะพูดในหัวไม่ถูก แต่เขาก็เข้าใจว่ามันยากที่จะเชื่อขนาดไหน ในเมื่อตอนแรกที่หลุดมาอยู่ที่นี่เขาเองก็มีอาการแบบนี้เหมือนกัน
“พ่อของนายเป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายของอาณาจักรอียิปต์ ก่อนที่มันจะล่มสลายไป” เขาบอกความจริงที่ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้โดยไม่กลัวว่าเด็กนั่นจะสั่งทหารมาจับเขาไปตัดหัวเพราะแช่งอาณาจักรอียิปต์
แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...เมื่อจู่ๆเจ้าชายเซบาสเตสก็ตาโตกับคำพูดของเขา...แทนที่จะโกรธเคือง
“ท่านหมายความว่า...ในยุคที่ท่านอยู่...อีกหลายพันปีหลังจากนี้... มีบันทึกเอาไว้ว่าอาณาจักรอียิปต์จะล่มสลายหลังจากหมดยุคของพ่อเราแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่?” สองมือของเจ้าชายเซบาสเตสเอื้อมมาจับมือของเขาแน่น
“ใช่...อ่า...ชั้นไม่ได้แช่งหรอกนะ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ”
“..........หมายความว่า....เราจะทำสำเร็จสินะ....” แล้วจู่ๆใบหน้ารูปไข่ก็ก้มลงไปพึมพำอะไรคนเดียว
“หื๋อ? นายว่าไงนะ?” เพราะเสียงลมของทะเลทรายกลบเสียงพึมพำนั่นไป ทำให้เขาไม่ได้ยินว่าเด็กนั่นพูดว่าอะไร
“....เปล่า....เปล่า....ไม่มีอะไร....” เด็กนั่นส่ายหน้าก่อนจะอมยิ้มบางๆ...ซึ่งมันต่าง...จากรอยยิ้มสดใสที่เด็กนั่นมักจะยิ้มเป็นปกติ...
ต่างกันตรงไหนนะ? เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...
“.........นี่คิมี่!” แล้วจู่ๆเจ้าชายแห่งอียิปต์ก็หันมาเรียกเขา
“ หื๋อ?”
“ท่านช่วยเราชิงบัลลังก์จากพวกพี่ชายได้หรือไม่?!” สิ่งที่เด็กนั่นพูดออกมาทำเอาเขาแทบจะสำลักน้ำลาย เขาสะบัดใบหน้าไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ห๋า?”
“เราถามท่าน...ช่วยเรา ทำให้เราขึ้นครองบัลลังก์และเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรอียิปต์คนต่อไปได้หรือไม่?” ถึงใบหน้าซนๆนั่นจะยังยิ้มเหมือนปกติแต่แววตาที่เคยขี้เล่นกลับจริงจังขึ้นมาจนเขาได้แต่ตัวชา
“........ชั้นเพิ่งจะบอกนายไป ว่าอาณาจักรของนายจะล่มสลายหลังจากพ่อนายตาย แล้วยังจะไปชิงบัลลังก์ทำไม? พวกนายพี่น้องอาจจะก่อสงครามแล้วฆ่ากันตายหมดเลยก็ได้มันถึงไม่มีใครเหลือแบบนั้น ชั้นว่านายควรจะรีบหนีออกไปหา...” ...สถานที่สงบๆและห่างไกลจากบรรดาพี่ชายจะดีกว่า...เขายังไม่ทันจะพูดจบเจ้าเด็กนั่นก็สวนกลับมาเสียก่อน
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า! ตอบเรามาว่าจะช่วยเราชิงบัลลังก์ได้หรือไม่?” เจ้าลูกหมาโกลเด้นรบเร้าเขาเป็นเด็กๆทำให้...
“...อ่า...ก็คงได้แหละมั้ง ยังไงก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว....” เขาเผลอตอบไปเมื่อถูกสายตาที่เป็นประกายแต่ก็จริงจังคู่นั้นคาดคั้น...ช่วยชิงบัลลังก์เพราะไม่มีอะไรจะทำเนี่ยนะ? สงสัยจะบ้าไปแล้วตัวเขา?...แต่ก็นั่นแหละ....มันไม่มีอะไรจะทำจริงๆนี่ แล้วยังไงเด็กนี่ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ จะไม่ตอบแทนบุญคุณก็คงไม่ใช่ คิมี่ ไรโคเนนแล้วละ
“เราขอบใจท่านมากนะคิมี่” แล้วเด็กหนุ่มก็โผเข้ามากอดเขา ผิวเนื้อที่แนบสัมผัสทำให้หัวใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งราวกับถูกสะกดอยู่ตรงนั้น...
คำสาปของฟาโรห์มันร้ายกาจแบบนี้นี่เอง...
ไม่สิ...เด็กนี่ยังไม่ทันจะได้เป็นฟาโรห์เลยด้วยซ้ำ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...
เอามาหย่อนไว้ก่อนสำหรับฟิคแก้บนลำดับที่สอง ก๊ากๆๆๆ คือเริ่มแต่งน่ะไม่ยาก แต่จะแต่งให้จบนี่สิยากกว่ามากกกกกกกก เพราะงั้นจึงบนบานสานกล่าวต่อท่านเทพจีน่า ถ้าม้าชนะในสนามต่อๆไป คุณกวางจะแต่งเรื่องนี้ให้จบ // กราบบบบบ =/\=
มาพูดถึงตัวฟิคกันบ้าง 5555 สารภาพว่าอียิปต์นี่เป็นยุคที่คุณกวางไม่ถนัดที่สุดเลยค่ะ TvT ข้อมูลแทบไม่มี แถมตอนเรียนก็รู้สึกจะมีอยู่คาบเดียวเองมั้ง จำอะไรไม่ได้เลยถถถถ เพราะงั้นอาจจะไม่เจาะลึกมากนาคะ ผิดพลาดตรงไหนก็โปรดให้อภัย อ่านมันเป็นแฟนฟิคชั่นชิลๆไปเนอะๆๆ
จากคอมเม้นต์ของฟิคแก้บนตอนที่แล้วทำเอาปลื้มปริ่มมากเลยค่ะฟฟฟฟฟ ขนาดไม่รู้จักตัวละครก็ยังอ่าน งื้อออออ >////< ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะคะ m(_ _)m คุณกวางแม่งก็ลงพรวดๆไม่แนะนงแนะนำตัวกันเล้ย5555 เซบ(เซบาสเตียน เวทเทล) กับคิมี่(คิมี่ ไรโคเนน) เป็นนักขับเอฟวันตัวจริงของทีมเฟอร์รารี่ค่ะ เป็นคนตัวเป็นๆ เป็นต้นแบบของตัวละครในเรื่อง GLIDE ทั้งหมดนั่นแล =v= เรียกว่าจิ้นกันตั้งแต่ตัวจริงยันฟิคชั่น จิ้นมันทั้ง 2D และ 3D กันเลยทีเดียวถถถถ เซบกับคิมี่ขับคู่กันมาตั้งแต่ปี 2015จนปัจจุบันปี2017ค่ะ แต่คู่นี้เค้าสนิทกัน(มาก)มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่อยู่คนละทีมแล้วค่ะ พอย้ายมาอยู่ด้วยกันนี่รังรักเรยทีนี้ =/////= ทั้งสีชมพูสีแดงวิ่งกันให้วิ้งๆเรยพิตการาจม้าตรู 55555
แปะคลิปกาวๆของสองหนุ่ม ดูละเมามากค่ะ *q* มาดามคือหลุดตั้งแต่ประโยคแรก...I love…I mean บลาๆๆๆ เลิฟอะร๊ายยย แล้วจะแก้ตัวทำม๊ายยยย เหม่....=v=+
ขอบคุณเสียงทวง GLIDE กับฟิคดอกไม้กับมังกรด้วยนะคะ >////< GLIDE เวอร์ชั่นยาสุคิโยะนี่ยังไม่ได้วางพล็อตต่อเรย555 ใช้พลังงานมากสุดๆเวลาคิดว่าจะแต่งเรื่องนี้ยังไง ในหัวนี่มหากาพย์มาก55555 ส่วนดอกไม้กับมังกร ยังเขียนอยู่เรื่อยๆค่ะ =////= วันดีคืนดีคงได้เห็นตอนต่อไป =w= ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามด้วยนะคะ แค่มีคนอ่านซักสามคนนี่ก็ดีใจแบ้วฟิคแรร์ๆคู่นี้555555 >////<
แอบแปะเพลงที่ฟังตอนแต่งฟิคฟาโรห์นี่ซักหน่อย อิอิ เป็นเพลงเกาหลีที่ดูไม่เข้ากับฟิคอียิปต์555555 แต่เนื้อเพลงนี้อ่านละลงไปดิ้นมากค่ะ ครึ่งแรกนี่ให้มาดามร้อง ส่วนครึ่งหลังเป็นคิมี่ร้อง อะงื้ออออออ >////<
นึกภาพรถฟอร์มูล่าวันสีแดงเพลิงที่ขับอยู่บนสันทรายในทะเลทรายที่เวิ้งว้างแล้วมันสวยดีเนอะ >////< แล้วเจอกันตอนหน้าๆถ้าบนสำเร็จ กร๊ากกกกก
สวัสดีค่ะ เราเองคนเดิมที่คอมเม้นในฟิคแก้บน55555 เห็นว่าตอบคอมเม้นนี่เขินเลยค่ะฟฟฟฟฟฟ///_///
ตอบลบยังไงก็จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ❤