Attack on Titan. Au Fic [Levi x Eren] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 01


Attack on Titan. Au Fic [Levi x Eren]  หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 01

: Attack on Titan Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Chinese Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
   : และเพื่อให้ชื่อตัวละครเข้ากับท้องเรื่องซึ่งเป็นฟิคแนวย้อนยุคของจีนจึงขอดัดแปลงชื่อจากคุณรีไวเป็น หลี่เว่ย , เอเลนเป็น อ้ายหลุน นะคะ






อาชาสีดำสนิทก้าววนเวียนอยู่หน้าทหารนับหมื่น ใบหน้าทุกคนล้วนขึงขังราวกับกำลังฮึกเหิมเต็มที่ และยิ่งได้ยินเสียงตะโกนก้องของจอมทัพไร้พ่ายผู้มีเชื้อสายมังกร เสียงที่ขานรับกลับมาจึงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งหุบเขา
         

“หยาดเหงื่อและเลือดเนื้อในกายเจ้าเป็นของใคร?!!

“แผ่นดิน!!



“คมดาบของเจ้าจักฟาดฟันศัตรูเพียงเพื่อใคร?!!

“แผ่นดิน!!



“ถ้าเช่นนั้นจงให้สัตย์กับข้าต่อหน้าแผ่นดิน! แม้เจ้าตาย เจ้าก็จะไม่พ่ายแพ้กลับมา!

“เฮ้!!!!



ง้าวในมือใหญ่ชูขึ้นเหนือหัวเป็นสัญญาณการเปิดศึก ม้าสีดำสนิทหันกลับสู่สนามรบก่อนจะพุ่งทยานนำหน้า กองทัพที่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินมังกรพากันวิ่งเข้าหาศัตรูอย่างไม่มีหวั่นเกรง ราวกับคำปฏิญาณเมื่อครู่นี้เป็นดั่งพรจากพระโพธิสัตว์ เพียงคำพูดไม่กี่คำของแม่ทัพมันก็ทำให้เหล่าทหารกล้าพร้อมที่จะติดตามแผ่นหลังที่ไม่ได้กว้างใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครนี้ไปชั่วชีวิต...ขนาดฮ่องเต้เองยังสั่งให้พวกเขาไปตายไม่ได้ง่ายๆเหมือนผู้ชายคนนี้เลย

ไม่นานเสียงปะทะกันก็ดังไปทั่ว ทั้งเสียงกระบี่ เสียงฝีเท้า เสียงม้า ดังเสียจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับมันเป็นกระจกผืนใหญ่ที่สะท้อนผืนดินที่ถูกทาไว้ด้วยเลือดของศัตรู เหล่าทหารลูกหลานชาวฮั่นยังคงวิ่งไล่ล่าฆ่าฟันพวกมองโกลอย่างไม่กลัวตาย และท่าทางดุร้ายพวกนั้นก็ทำให้ผู้รุกรานขวัญหนีดีฝ่อจนคนที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดต่างพากันล่าถอย

ยิ่งได้เห็นหัวแม่ทัพของตนลอยอยู่ในมือของจอมทัพแห่งแผ่นดินมังกรก็ยิ่งทำให้ทั้งกระบวนทัพนั้นแตกพ่ายได้โดยง่าย ทหารมองโกลต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่นต่อให้ไม่มีคำสั่งให้ถอยก็ตาม

แหงล่ะ...คงจะมีใครมาสั่งให้อยู่หรอกนะ ในเมื่อหัวแม่ทัพของพวกเจ้ามันไม่อาจจะพูดอะไรได้อีกแล้ว

นัยน์ตาดุจพญาเหยี่ยวเหลือบมองหัวของแม่ทัพชาวมองโกลที่ห้อยต่องแต่งอยู่ในมือด้วยสายตาเย็นเฉียบ นับวันศัตรูของเขาก็ยิ่งอ่อนแอลงจนแม้แต่แม่ทัพก็ยังถูกเขาจัดการได้ในเวลาไม่นาน การต่อสู้จึงสิ้นสุดลงโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ

ง้าวในมืออีกข้างถูกยกขึ้นแทนสัญญาณ แล้วไม่นานเสียงแตรแห่งชัยชนะก็ดังขึ้น ธงชัยสีแดงปักลายมังกรสีเหลืองโบกสะบัดไปทั่ว กองทัพทั้งกองจึงเคลื่อนตัวกลับไปยังค่ายทหารที่อยู่ด้านหลังป้อมปราการที่สูงเสียดฟ้า...มันคือปราการด่านสุดท้ายในดินแดนทางเหนือของแผ่นดินมังกร

เพราะเป็นด่านที่ติดกับเขตแดนของพวกมองโกล ทำให้ปราการแห่งนี้ไม่มีแม่ทัพคนไหนอยู่ได้นานเกินสามเดือนเลยสักคน ทุกคนล้วนถูกพวกมองโกลฆ่าตายอย่างเอน็จอนาจ ยกเว้นก็แต่แม่ทัพผู้มีสายเลือดมังกรคนนี้ที่อยู่ที่นี่มากว่าห้าปีแล้ว จากที่เคยถูกพวกมองโกลรุกรานจนแทบจะต้องทิ้งป้อมปราการไป พวกเขาก็ชิงด่านนี้กลับมาได้แถมยังขับไล่กองทหารที่แข็งแกร่งอย่างพวกมองโกลไปได้อีกด้วย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะพระปรีชาสามารถและความเก่งกาจของแม่ทัพคนนี้ทั้งสิ้น  ไม่แปลกใจเลยที่จะซื้อใจของทหารเอาไว้ได้ ถึงแม้จะเป็นจอมทัพที่เย็นชาและไร้ความปราณีก็ตาม

“นำหัวนี่ไปส่งคืนพวกนั้นที่เขตผ่อนผันซะ”   ร่างที่ยังอยู่ในชุดเกราะเต็มยศยื่นหัวของแม่ทัพฝ่ายศัตรูให้รองแม่ทัพไปจัดการต่อ ร่างที่ชโลมไปด้วยเลือดยังคงเดินขึ้นบันไดต่อไปจนสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่จุดสูงสุดบนป้อมปราการ เสียงเฮของเหล่าทหารที่กำลังฉลองชัยกันอยู่ในค่ายไม่ได้ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักนั่นหวั่นไหวแม้เพียงนิด นัยน์ตาสีขี้เถ้าคมกล้ายังคงจ้องมองไปยังดินแดนของศัตรูที่อยู่อีกฝั่งของป้อมปราการราวกับจะไม่ยอมให้ใครผ่านมารุกรานได้แม้แต่คนเดียว

ฟางหยางอี้ ผู้เป็นรองแม่ทัพใช้ผ้าห่อหัวของศัตรูไว้ก่อนจะละสายตาไปมองแผ่นหลังที่ยังอยู่ในชุดเกราะสีเงินของนายเหนือหัว ผมสีดำขลับยาวถึงกลางหลังที่บัดนี้ถูกรวบเอาไว้ด้วยมาลารัดเกล้าสีเงินสลักเสลาอย่างประณีตส่งให้ร่างแข็งแกร่งนั้นดูสง่างามทั้งๆที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด...ยังไงเสียสายเลือดมังกรก็ยังเป็นสายเลือดมังกรอยู่วันยังค่ำ...ใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราทอดสายตามองนายเหนือหัวอย่างชื่นชม เขาติดตามผู้ชายคนนี้มานานแสนนาน ติดตามมาตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในค่ายทหารส่วนกลางและจากนี้ไปต่อให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก เขาก็จะยังติดตามท่านอ๋องไปจนกว่าชีวาจะหาไม่

“ทูลท่านอ๋อง เมื่อเช้ามีราชสาส์นส่งมาจากพระราชวังหลวง เรื่องเรียกตัวท่านอ๋องกลับเมืองหลวงเนื่องในโอกาสครบรอบวันประสูติของฮ่องเต้ เลยอยากให้เชื้อพระวงศ์ทุกคนกลับไปร่วมฉลองพะยะค่ะ”   ทหารนายหนึ่งเชิญราชสาส์นมายื่นให้แต่จอมทัพแห่งปราการเหนือเพียงแค่ปรายตามองก่อนจะหันกลับไปนอกป้อมอีกครั้งราวกับไม่ได้ตื่นเต้นดีใจกับข่าวใหญ่นี้เท่าใดนัก ทั้งๆที่รองแม่ทัพอย่างเขาแทบจะกระโดดโล้ดเต้นเสียให้ได้ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที...วันที่ทุกๆคนจะตระหนักถึงความสำคัญของท่านอ๋องของเขา!

ท่านอ๋องเก้าหรือองค์ชายเก้า หลี่เว่ย เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ององค์ปัจจุบัน ในสมัยที่เสด็จพ่อของท่านอ๋องยังครองราชย์อยู่ เป็นเพราะสูญเสียแม่ที่เป็นพระสนมไปตั้งแต่ยังเด็กทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนเหมือนองค์ชายพี่น้องคนอื่นๆ เสด็จพ่อก็ไม่รู้ว่ารักหรือชังกันแน่ถึงได้ส่งองค์ชายเก้าเข้าสู่กองทัพตั้งแต่ยังเยาว์วัย ถูกส่งไปอยู่ในค่ายทหารที่ไกลจากวังหลวงตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่นทำให้องค์ชายเก้าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพได้ตั้งแต่อายุแค่ 18 ปี กรำศึกน้อยใหญ่จนถึงวาระสุดท้ายของฮ่องเต้ผู้เป็นพ่อ จนกระทั่งพี่ชายขึ้นครองราชย์ต่อมา ท่านอ๋องของเขาก็ขยับไปสู่กองทัพที่อันตรายและไม่มีใครปราบปรามได้อย่างป้อมปราการเหนือ...อยู่ที่นั่นมานานนับปีจนในที่สุดก็พอจะสงบลงได้บ้าง และเพราะคู่ต่อสู้นั้นเก่งกาจเหลือคณาจึงทำให้กองทัพขององค์ชายเก้ากลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินมังกรด้วยเช่นกัน...เพราะฉะนั้นตอนนี้...ท่านอ๋องของเขาจะไม่ใช่องค์ชายที่ถูกไล่ไปให้พ้นๆเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว

“หยางอี้ เจ้ากับกององครักษ์คอยติดตามไปกับข้า  ส่วนเฟยหลิงให้นำทหารกองหนึ่งกับสองตามไปเงียบๆ ปักหลักรอคำสั่งอยู่นอกกำแพงเมือง”   แล้วจู่ๆเสียงทุ้มก็เอ่ยคำสั่งออกมาหลังจากที่ดูเหมือนท่านอ๋องจะครุ่นคิดอะไรอยู่สักพัก

“ท่านอ๋อง...ท่านคิดว่า...กลับไปคราวนี้จะมีเหตุไม่สงบจนถึงกับต้องใช้กำลังทหารปราบปรามเลยหรือพะยะค่ะ?”  ทั้งๆที่ปกติแล้วเวลาท่านอ๋องไปไหนมาไหนก็จะมีแค่เขากับฉินเฟยหลิงรองแม่ทัพอีกคนติดตามไปดั่งองครักษ์แค่สองคน หากเป็นที่ที่อันตรายหน่อยก็จะมีแค่กององครักษ์ซึ่งถือเป็นกลุ่มทหารคนสนิทมากฝีมือแค่สิบกว่านายเท่านั้น แต่นี่ถึงกับให้ยกกองที่หนึ่งกับกองที่สองซึ่งถือเป็นกองที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพแห่งนี้ตามไปด้วย....

หรือท่านอ๋องจะเล็งเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลจากคำสั่งที่ดูเหมือนแค่อยากเจอญาติพี่น้องของฮ่องเต้กันแน่?





วันรุ่งขึ้นฝูงอาชาสีดำทะมึนจึงมุ่งหน้าจากเหนือสุดของแผ่นดินมังกรสู่เมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใจกลาง

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักซึ่งวันนี้สะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาปราศจากคาบเลือดและฝุ่นผงจากสนามรบยังคงมองตรงไปข้างหน้า แม้อยู่บนหลังม้าใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวสีดำสนิทที่ถูกมัดรวบไว้ครึ่งหัวนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากปกติเลยแม้แต่น้อย ในใจของจอมทัพแห่งปราการเหนือยังคงคิดถึงประโยคหนึ่งในจดหมายที่พี่ห้าเขียนมาหาเขาเมื่อเดือนก่อน...ว่าตอนนี้คนในต่างรู้กันดีว่าฮ่องเต้หรือพี่ชายใหญ่นั้นกำลังประชวรอย่างหนัก...เพราะฉะนั้นการที่เรียกตัวเขากลับราชสำนักในครั้งนี้คงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา สองขาจึงควบม้าต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดพัก













ขบวนรถม้าของคาราวานกองหนึ่งวิ่งเลาะกำแพงสูงเสียดฟ้าที่ทาด้วยสีเลือดหมูไปเรื่อยๆ เสียงกุบกับดังเป็นจังหวะที่ไม่ได้ไวนักเพราะรถทุกคันต่างบรรทุกข้าวของมาเต็มคันรถ รถม้ากว่าค่อนขบวนเป็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับใช้ในการแสดง ส่วนรถม้าที่เหลือก็หาได้ว่างเปล่าเพราะทุกคันต่างมีคนนั่งอยู่ในนั้นอีกหลายสิบชีวิต

แรงโยกไหวทำให้ใบหน้ามนที่เกยอยู่ที่ขอบหน้าต่างของรถม้าส่ายไปมา เส้นผมสีน้ำตาลที่ยาวถึงกลางหลังกำลังคลอเคลียใบหน้าใสที่ดูละมุนละไมไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง หากจะถามหาความยุติธรรมจากสวรรค์ บรรดาหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกันนี้คงพูดออกมาเป็นเสียงเดียวว่าสวรรค์นั้นช่างไม่ยุติธรรมที่ดันสรรค์สร้างใบหน้าที่งดงามน่ารักเกินกว่าผู้หญิงทั่วไปให้กับ โหยวอ้ายหลุน ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายแท้ๆเช่นนี้ ยิ่งพวกนางได้เห็นใบหน้ารูปไข่ได้รูป ปากนิดจมูกหน่อยและดวงตาสีมรกตสวยงามราวกับอัญมณีที่โตเท่าไข่ห่านนั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ยิ่งตัดพ้อต่อสวรรค์ ไยท่านส่งใบหน้าแบบนี้มาให้เจ้าเด็กนี่แต่กลับไม่ส่งร่างกายของผู้หญิงมาให้ หรืออย่างน้อยก็ส่งนิสัยที่เรียบร้อยน่ารักสมหน้าตามาด้วยก็ยังดี!

“เฮ้อ...”   บรรดาหญิงสาวที่นั่งอยู่รอบๆต่างถอนหายใจเมื่อนึกถึงนิสัยที่ไม่เข้ากับหน้าของเด็กหนุ่ม จากที่รู้สึกอิจฉาใบหน้างดงามนั้นต่างพากันส่ายหน้าอย่างระอา ก็ไอ้นิสัยกล้าได้กล้าเสีย ตรงไปตรงมา ปากกล้าไม่กลัวใคร ซ้ำยังชอบก่อเรื่องก่อราวจนใครก็เอาไม่อยู่ของเจ้าตัวนี่แหละที่ทำให้พวกนางต่างคิดว่า สักวันคงจะโดนดีเข้าสักทีละเจ้าลูกหมาน่ารักตัวนี้

นัยน์ตาสีมรกตกลมโตเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่รอบๆก่อนจะหรี่ตาราวกับรู้ว่าพวกนางกำลังนินทาตนอยู่ในใจ ริมฝีปากสีสวยที่ได้มาตามธรรมชาติขมุบขมิบเหมือนจะกล่าวอะไรกลับมาทำให้บรรดาหญิงสาวต่างหัวเราะคิกคักด้วยความเอ็นดูรับสายตาดุร้ายเหมือนลูกหมานั่น

ใบหน้ามนขมวดคิ้วสีน้ำตาลก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปมองนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจพวกนางอีกต่อไป นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองประตูอู่เหมินอย่างไม่แน่ใจว่าความรู้สึกในตอนนี้ของตนเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะประตูใหญ่ทางด้านทิศใต้ของพระราชวังหลวงแห่งนี้ช่างดูยิ่งใหญ่เสียจนคนธรรมดาสามัญชนอย่างตนรู้สึกต่ำต้อยติดดิน ผนังสีเลือดหมูสูงเท่าภูเขายืนตะหง่านอยู่ตรงหน้า พลับพลาที่สร้างด้วยไม้ซึ่งอยู่บนนั้นถึงจะสวยสดงดงามแต่ก็ราวกับมันกำลังเหยียดสายตามองลงมาจากเบื้องสูงจนคนถูกมองตัวสั่นงันงกได้ด้วยความเกรงกลัว ปีกทั้งสองข้างที่โอบอุ้มลานตรงกลางเอาไว้ก็ให้ความรู้สึกราวกับจะโอบกอดพร้อมทั้งกักขังในเวลาเดียวกัน ยิ่งคิดถึงคำเล่าลือเรื่องสนมนางใน ว่าพระราชวังแห่งนี้เข้าได้ครั้งเดียวแต่จะออกไม่ได้ไปตลอดชีวิต หญิงสาวมากมายต้องใช้เวลาที่เหลือของตนอยู่แต่ในกรงสีเลือดหมูแห่งนี้มันก็ทำให้หัวใจของเขารู้สึกเศร้าหมองทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองสักนิด

เขาที่ไม่สนใจความเป็นใหญ่ ไม่สนใจอำนาจบารมี ไม่มีทางเข้าใจเลยว่าการส่งลูกสาวเข้าวังหลวงนั้นมันดียังไง ไม่เข้าใจพ่อแม่พวกนั้นเลยจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าถามเขาว่าเขาสนใจวังหลังของพระราชวังหลวงไหม? คำตอบคือ “สนใจสิ!” แน่อยู่แล้ว!

นั่นก็เพราะเบื้องหลังกำแพงสีเลือดหมูพวกนี้คือสถานที่ต้องห้ามสำหรับสามัญชนอย่างเขา เขาก็ต้องอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาว่าข้างในนั้นมันเป็นยังไง? จะต่างจากจวนข้าราชการธรรมดาสักแค่ไหนกัน? และวันนี้โอกาสที่จะได้รู้ของเขาก็มาถึง เมื่อทางราชสำนักมีคำสั่งลงมายังคณะงิ้วหลวงของเขาว่าต้องการให้พวกเขาเข้ามาแสดงงิ้วในโรงงิ้วของวังหลัง!

จะเพื่อฉลองวันครบรอบวันประสูติของฮ่องเต้หรืออะไรเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักหรอก รู้แต่ว่าโอกาสที่เขารอคอยมาถึงแล้ว!

นัยน์ตาสีมรกตฉายแววซุกซนขึ้นมาทันที รอยยิ้มบางๆประดับอยู่ที่มุมปากก่อนที่มันจะชะงักไปเมื่อสายตามองเห็นฝูงม้าสีดำนับสิบตัววิ่งเข้าประตูอู่เหมินไป

ทั้งๆที่มันวิ่งด้วยความเร็วจนฝุ่นตลบกลบภาพตรงหน้าให้มีเพียงหมอกควัน...แต่เขาก็ยังมองเห็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน...เสี้ยวหน้าที่หล่อเหลาราวกับรูปปั้นนั้นติดตาเขาตั้งแต่แรกเห็น เส้นผมสีดำขลับลู่ไปตามสายลม ความสง่างามที่ฉายชัดออกมาจากความเลือนลางรอบข้างทำให้เขารู้ว่าผู้ชายคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดา

“หรือว่านั่นจะเป็นขบวนม้าขององค์ชายเก้า?”   พี่สาวในคณะงิ้วสักคนเอ่ยแว่วมาให้ได้ยินและตอนนี้พวกนางต่างเทมาเกาะขอบหน้าต่างมองฝูงอาชาสีดำเหล่านั้นกันอย่างตื่นเต้น...ผู้ชายคนนั้นคือองค์ชายเก้างั้นเหรอ...

“ต้องเรียกว่าท่านอ๋องแล้วย่ะ แต่จะว่าไปก็ติดเรียกองค์ชายเก้ามากกว่าเน้อ...ข้าเคยเห็นใกล้ๆแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อนตอนองค์ชายเก้ากลับมาจากชายแดน ถึงบรรยากาศจะน่ากลัวแต่ก็หล่อเหลาราวกับรูปสลักเลยจริงๆ”  หญิงสาวทำหน้าเพ้อฝันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานซึ่งเขาก็แอบเงี่ยหูฟังพลางทอดสายตามองฝูงม้าพวกนั้นต่อไป

“เค้าว่ากันว่า องค์ชายเก้าจับทหารของข้าศึกมามัดไว้ที่เสาเพื่อใช้เป็นเป้ายิงธนูด้วยละ โหดเหี้ยมแต่ก็รูปงามเหลือเกิน”

“เอาไว้มองเป็นอาหารตาแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ ใครๆก็พูดกันแบบนี้ ฮ่าๆๆ”   ไอเย็นๆที่แผ่ออกมาจากชายที่กำลังก้าวลงจากหลังม้าก็ทำให้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ...น่ากลัว...สมคำล่ำลือว่าเป็นจอมทัพไร้พ่ายแห่งปราการเหนือ

แต่ถึงยังไง องค์ชายทมิฬนั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย!

เขาไม่ได้อยากจะตกถังข้าวสารแบบพวกสาวๆที่อยู่รอบๆเขาตอนนี้ ไม่ได้หวังสุขสบายจนอยากได้องค์ชายมาครอบครองจนตัวสั่น จึงไม่จำเป็นต้องสนอกสนใจว่าองค์ชายทั้งหลายพวกนั้นจะชอบอะไร พอใจในสิ่งไหนแล้วพยายามแทบตายเพื่อจะเป็นให้ได้แบบนั้น สิ่งที่เขาอยากรู้ก็แค่ความเป็นอยู่ของพวกสนมนางในในวังต้องห้ามแห่งนี้เท่านั้นเอง

ยังไงเสีย วิถีชีวิตของสามัญชนอย่างเขาก็ไม่มีวันมาบรรจบกับพวกองค์ชายหรือเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงพวกนั้นได้อยู่แล้ว ยิ่งกับแม่ทัพที่วันๆก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแบบองค์ชายเก้า เขายิ่งไม่มีวันได้เข้าใกล้ไปกันใหญ่

เพราะฉะนั้นนัยน์ตาสีมรกตจึงละจากฝูงอาชาสีดำกลับมามองยังหลังคาสีเหลืองอร่ามซึ่งอยู่ด้านหลังกำแพงสีเลือดหมูแทน ประกายซุกซนกลับมาสู่ดวงตาคู่โตอีกครั้ง แผนการในหัวถูกทบทวนอยู่เงียบๆตามลำพัง รอยยิ้มราวกับเด็กได้ของเล่นจึงฉายออกมาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้ตัวเช่นกัน



คาราวานรถม้าของคณะงิ้วหลวงวิ่งโขยกเขยกมาถึงประตูข้างซึ่งเป็นทางเข้าออกของข้าราชการจนได้ เหล่าทหารรักษาพระองค์เข้ามาตรวจค้นสัมภาระที่พวกเขาขนมาด้วยอย่างละเอียด เพราะงั้นกว่าจะผ่านเข้ามาในวังหลวงได้พวกเขาก็แทบจะต้องเปลื้องผ้าให้ขันทีพวกนั้นตรวจทุกซอกทุกมุม

โธ่...ใครมันจะอยากตายไวด้วยการแอบลอบเข้ามาทำเรื่องไม่ดีในวังหลวงกันล่ะ! ใบหน้ามนได้แต่บ่นขมุบขมิบในขณะที่ช่วยกันขนเสื้อผ้าที่ใช้ในการแสดงลงจากรถ โรงงิ้วที่พวกเขาจะใช้ในการแสดงครั้งนี้เป็นโรงงิ้วที่อยู่ในวัง เรียกว่าเป็นความบรรเทิงอย่างหนึ่งซึ่งมีไว้เพื่อฮ่องเต้โดยเฉพาะ

หัวสีน้ำตาลที่มัดรวบครึ่งหัวง่ายๆแบบเด็กผู้ชายเงยหน้ามองโรงงิ้วสามชั้นซึ่งมีขนาดใหญ่โตโอ่อ่ากว่าโรงงิ้วของสามัญชนจนแม้แต่คณะงิ้วชื่อดังที่เปิดการแสดงไปทั่วภาคกลางของแผ่นดินมังกรอย่างพวกเขายังต้องตะลึง ด้วยเครื่องมือกลไกและชักรอกที่มีอยู่พร้อมสรรพทำให้เขาไม่สงสัยเลยว่า การแสดงในครั้งนี้ของพวกเขาคงจะเป็นการแสดงงิ้วที่ดีที่สุดในชีวิตแน่ๆ

“รีบมาช่วยกันขนของเร็วๆเข้า! จะได้รีบซักซ้อมบท ดูท่าว่าคงต้องมีการปรับเปลี่ยนกันพอสมควรเลย”   เสียงเจ้าของโรงละครตะโกนก้อง เขาหันไปมองดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความตื่นเต้นที่จะได้ผลิตผลงานดีๆเพราะโรงงิ้วแห่งนี้จนอดใจไว้แทบไม่ไหวของคนที่เป็นดั่งพ่อบุญธรรมของเขาอย่างเข้าใจ พวกเขาจึงช่วยกันขนของจนเสร็จด้วยเวลาไม่นาน

การซักซ้อมเริ่มขึ้นในไม่ช้าและการเปลี่ยนแปลงบทให้เข้ากับสถานที่ก็ทำให้นักแสดงอย่างพวกเขาถึงกับหัวหมุน หลายคนต้องท่องจำบทใหม่ หลายคนต้องจำตำแหน่งใหม่ จากการแสดงที่มีเพียงมุมมองเดียวกลับต้องคิดเรื่องมุมมองกันใหม่ให้มันมีมิติที่หลากหลายมากขึ้น

“โอย...ข้าไม่ไหวแล้วนะ...ขอพักก่อนได้หรือไม่...”   นักแสดงหลายคนต่างโอดครวญเป็นเสียงเดียวกันและนั่นก็ทำให้เจ้าของคณะงิ้วยอมจำนน

“จริงๆก็ปรับเปลี่ยนครบทุกจุดแล้ว ในระหว่างพักพวกเจ้าก็อย่าลืมทบทวนให้ขึ้นใจ เช่นนั้นตอนเย็นค่อยรวมตัวซ้อมรอบสุดท้ายกันอีกครั้งก็ได้”   เพราะพวกเขาเป็นนักแสดงงิ้วมืออาชีพ ต่อให้เปลี่ยนบทอย่างไร การแสดงที่ถูกฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดพวกนี้มันก็ซึมอยู่ในกระแสโลหิตไปแล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากจะมีการเปลี่ยนแปลงบทบ้าง

“เสี่ยวหลุน เจ้าอย่าไปซุกซนที่ไหนเชียวนะ ที่นี่ไม่เหมือนข้างนอก เกิดทำอะไรผิดพลั้งไปคงได้ตายสถานเดียว”   เจ้าของโรงละครที่เป็นดั่งพ่อบุญธรรมเดินมานั่งลงข้างๆเขา เหงื่อหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลลงมาตามขมับทำให้ใบหน้ามนอมยิ้ม

“ข้ารู้หรอกน่า ท่านนอนพักไปเถอะ เดี๋ยวข้าเก็บเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้แหละ”   ร่างโปร่งบางหันไปบอกพ่อบุญธรรมด้วยท่าทางใสซื่อแต่ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็กก็ยังไม่วางใจ ทว่าความเหนื่อยล้าก็ทำให้เจ้าของคณะงิ้วล้มตัวลงนอนหลับไปในที่สุด

ใบหน้ามนจึงแสยะยิ้มซุกซน...คนอย่างโหยวอ้ายหลุนน่ะรึจะยอมอยู่นิ่งๆทั้งๆที่อุตส่าได้เข้ามาในวังต้องห้ามทั้งที!

ร่างโปร่งบางจึงแอบย่องออกไปจากบริเวณนั้น ชุดนางกำนัลที่ใช้ในการแสดงถูกหยิบติดมือมาด้วย มือบางสวมมันอย่างชำนิชำนาญ แล้วไม่นานจากเด็กหนุ่มสามัญชนก็กลายเป็นนางกำนัลสาวน้อยวัยแรกแย้มของวังหลังได้อย่างแนบเนียน

นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองตัวเองในกระจก หมวกของนางกำนัลที่ประดับดอกไม้เล็กๆถูกจับให้เข้าที่เข้าทาง คงต้องขอบคุณใบหน้าที่ราวกับมารดาผู้ให้กำเนิดจะรักเขามากถึงได้ให้ใบหน้าของตัวเองมาที่เขาเสียหมดแบบนี้ นานๆทีใบหน้าอย่างกับผู้หญิงนี่ก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน เขาถึงแทบจะไม่ต้องทำอะไรก็ปลอมตัวเป็นนางกำนัลได้ง่ายๆแบบนี้

ร่างโปร่งบางก้าวขาออกมาจากบริเวณโรงงิ้วก่อนจะหันมองซ้ายขวาด้วยดวงตาเป็นประกาย...เขาจะไปสำรวจทางไหนก่อนดีนะ? อะไรๆในนี้ก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมดเลยจริงๆ!

แต่แล้วในขณะที่กำลังจะก้าวขา ขันทีสองคนก็เดินสวนมาทำเอาใบหน้ามนก้มหลบแทบไม่ทัน แย่ละสิ  ขันทีพวกนี้จะจับได้ไหมนะว่าเขาปลอมตัวเข้ามา? หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นระรัวตามระยะห่างที่ร่นลงเรื่อยๆ แล้วในพริบตาที่คิดว่าสองขันทีจะก้าวขาผ่านไป เสียงทักก็ดังขึ้นเสียก่อน

“เจ้า...เป็นนางกำนัลใหม่งั้นรึ? มาทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ? ไปช่วยที่ตำหนักฮองเฮาสิ เดี๋ยวจะมีแขกมาเยือนคงกำลังยุ่งวุ่นวาย”   ขันทีคนนั้นหยุดมองหน้าเขาก่อนจะโบกมือไล่

“คะ...ค่ะ”   เขารีบก้มหน้าก้มตาเดินจากมา และเมื่อสองขันทีเดินลับหลังไป ใบหน้ามนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...เฮ้อ...ยังดีนะที่พระราชวังแห่งนี้มีคนอยู่มากมาย คนใหม่ๆก็เข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน เพราะงั้นพวกนั้นจึงไม่สงสัยที่เห็นนางกำนัลแปลกหน้าอย่างเขา

ว่าแต่ตำหนักฮองเฮามันอยู่ตรงไหนกันล่ะ?

ใบหน้ามนมองซ้ายมองขวาก็เห็นเพียงทางเดินปูหินที่ซับซ้อนและหลังคากรุกระเบื้องสีเหลืองของอาคารที่รายล้อมอยู่ก็ดูเหมือนๆกันไปหมด...อ่า...ช่างมันก็แล้วกัน เพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่นางกำนัลจริงๆเสียหน่อย จะต้องไปใส่ใจทำไมว่าจะต้องไปรับใช้ใคร สองขาจึงเดินสำรวจวังหลังทั้งแบบนั้นต่อไป













ร่างแข็งแกร่งในชุดสีดำปักลวดลายพยัคฆ์ด้วยดิ้นสีเงินก้าวขาพรวดๆตามขันทีไปยังตำหนักหนึ่งซึ่งอยู่ในวังหน้า สองขาเดินนำเหล่าทหารที่พามาด้วยซึ่งบอกกับคนอื่นเพียงว่าเป็นองค์รักษ์ส่วนตัวไปตามทางที่คุ้นเคยเพราะมันเป็นทางไปตำหนักขององค์ชายเก้าที่เขาใช้มาตั้งแต่เกิด

ถึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องเก้าแต่เขาก็ยังไม่ทันจะได้มีจวนอยู่ข้างนอกเป็นของตัวเอง ด้วยความที่แทบจะไม่ได้กลับเมืองหลวง จวนอ๋องพวกนั้นจึงกลายเป็นของไม่จำเป็นสำหรับเขาไป เวลากลับมาทีก็อยู่ไม่นาน ฮ่องเต้จึงให้เขาใช้ตำหนักองค์ชายเก้าในวังหน้าต่อไป...อีกอย่างก็สะดวกต่อการจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดด้วยละนะ

คนยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งต้องหวาดระแวงคนรอบกาย เช่นเดียวกับคนยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรก็ยังถูกหวาดระแวงว่าจะไปแว้งกัดคนอื่น

เขาเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ที่ผ่านมาจึงพยายามหลบเลี่ยงเรื่องยุ่งยากอย่างการคบหาสมาคมกับใคร ได้แต่ทำหน้าที่ปกป้องชายแดนของตนไปไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับราชสำนักที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี

ขันทีพาเขาก้าวข้ามประตูหน้าตำหนักเข้าไป ลานหินภายในดูสะอาดสะอ้านกว่าที่เขาคิดเอาไว้พอสมควร คงจะมีใครสักคนสั่งให้ทำความสะอาดไว้รอเขา? และเมื่อก้าวเท้าเข้าไปยังห้องโถง ร่างสูงสง่าที่ยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าภาพเขียนอักษรขนาดใหญ่ที่ติดเอาไว้ในห้องโถงก็ทำให้เขารู้ทันทีว่าใครคือเจ้าของคำสั่งเหล่านี้

“พี่ห้า”   เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความคุ้นเคย ถึงแม้ตอนนี้คนตรงหน้าจะมีตำแหน่งอ๋องเช่นเดียวกับเขา แต่ความสนิทชิดเชื้อก็ทำให้เราต่างยังเรียกกันเหมือนเดิม

“หลี่เว่ย มาถึงจนได้นะ นั่งก่อนสิ”   ร่างสง่านั้นหันกลับมาตามเสียงเรียกก่อนจะยิ้มให้เมื่อมองเห็นเต็มตาว่าคนที่ยืนอยู่กลางประตูคือเขา มือใหญ่แตะไหล่ก่อนจะเชื้อเชิญไปนั่งด้วยท่าทางดีใจ พวกเขาพี่น้องไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วนะ ปีหรืออาจจะสองปีแล้วก็ได้ แต่พวกเขาก็ติดต่อกันทางจดหมายอยู่ตลอด เขาทราบข่าวคราวในเมืองหลวงก็เพราะพี่ห้าของเขานี่แหละ

“ไม่เจอเจ้าเกือบสองปี ดูเจ้าสมชายชาตรีขึ้นนะ”   ท่านอ๋องห้าหรือองค์ชายห้าจิ้นเหอ ยิ้มให้เขาหลังจากมองสำรวจเนื้อตัวของน้องชายที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในบรรดาพี่น้องทั้ง 13 คนเขาสนิทกับองค์ชายห้าที่สุด อีกฝ่ายเองก็เอ็นดูเขามาตั้งแต่เด็กๆ คอยช่วยเหลือเขาที่กำพร้าแม่และไม่มีใครดูแลมาตลอด

“ท่านมารอข้าอยู่ที่นี่มีอะไรหรือไม่? พรุ่งนี้ข้าก็ตั้งใจจะไปหาท่านที่จวนอ๋องอยู่แล้วหรือมีเหตุที่ท่านต้องรีบบอกข้า?”   ปกติเวลากลับมาเมืองหลวงหากเขาขี้เกียจรบรากับคนของวังใน เขาก็มักจะหลบไปพักที่จวนขององค์ชายห้าตลอด คราวนี้เองเขาก็ตั้งใจพาพวกทหารองค์รักษ์มาประจำการที่ตำหนักนี้ก่อนค่อยไปทักทายพี่ห้า แต่ดูจากการที่อีกฝ่ายรีบเร่งมารอเขาแสดงว่าคงจะมีเรื่องอะไรต้องบอกเขาก่อนที่เขาจะได้เจอกับใครๆในวังหลวงแห่งนี้

“เจ้านี่ยังหลักแหลมเช่นเคยเลยนะ สมแล้วที่เป็นจอมทัพแห่งแดนเหนือ”   ใบหน้าที่มักอ่อนโยนอยู่เป็นนิจยิ้มบางๆมาให้ก่อนจะหันซ้ายแลขวาราวกับกลัวว่าจะมีคนมาแอบฟัง

“ท่านไม่ต้องกังวลหรอก หากคนของข้าเข้ามาในตำหนักนี้ได้แล้ว ข้ารับรองว่าแม้แต่หนูสักตัวก็ไม่อาจเล็ดรอดเข้ามาได้”  เพราะอยู่ใกล้ดินแดนของศัตรูมานานทำให้เขาต้องระแวดระวังต่อการสอดแนมจากข้าศึก กององครักษ์กว่าสิบชีวิตนี้จึงถูกฝึกมาอย่างดีและมีจมูกชั้นยอดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก

“ฟังนะ ข้าอยากจะเตือนเจ้าให้ระวังตัวเอาไว้ ไม่ว่าใครจะชักชวนอย่างไรจงไตร่ตรองให้ดีก่อน”   พี่ห้าขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะกดเสียงพูดให้ต่ำลงไปอีกราวกับว่าเรื่องที่กำลังจะพูดนั้นเป็นเรื่องสำคัญจนถึงขั้นคอขาดบาดตาย

“ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรอย่างหนักนั้นเป็นเรื่องจริง ที่เขาจัดงานฉลองครบรอบวันประสูติก็เพียงแค่บังหน้า แท้จริงแล้วเขากำลังมองหาผู้สำเร็จราชการอยู่”   สิ่งที่ออกมาจากปากองค์ชายจิ้นเหอทำให้เขาถึงกับนิ่งอึ้งไป เรื่องนี้มันสั่นคลอนบัลลังก์มังกรได้เลยไม่ใช่หรือไง...

“ผู้สำเร็จราชการ?”   ใบหน้าหล่อเหลาทวนคำพูดของผู้เป็นพี่ชายราวกับคิดว่าตัวเองคงจะหูฝาดไป ผู้สำเร็จราชการก็คือคนจะที่ทำหน้าที่เสมือนฮ่องเต้ คอยดูแลทุกอย่างในขณะที่ฮ่องเต้ยังไม่พร้อมที่จะดูแลแผ่นดิน เพราะฉะนั้นการจะหาคนมารับหน้าที่นี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องไว้ใจได้แล้วยังต้องเป็นคนที่ไม่มีใจคิดคดและจะไม่ก่อกบฏในภายหลัง...ก็อำนาจมันเป็นสิ่งหอมหวาน หากได้มาอยู่ในมือแล้วมันก็ยากที่จะปล่อยให้หลุดลอยไปอีก

“ใช่...เป็นผู้สำเร็จราชการให้กับองค์รัชทายาท...ลูกชายของฮ่องเต้กับฮองเฮา พูดง่ายๆก็หลานชายของเจ้ากับข้านี่แหละ...องค์ชายลู่ชิง...ที่ตอนนี้มีอายุแค่ 6 ขวบ”  ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักอยากจะถามออกไปยิ่งนักว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา แต่ผู้เป็นพี่ชายก็ค่อยๆตอบข้อสงสัยนั้นให้

“องค์ชายลู่ชิงยังเล็กนัก หากฮ่องเต้ตายไปเกรงว่าคงจะไม่สามารถต้านอำนาจของคนที่คิดจะช่วงชิงบัลลังก์ได้”   พี่ห้ายิ้มจางๆและเขาก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าคนที่พี่ห้าพูดถึงนั้นคือใคร

“ท่านหมายถึงอ๋องสี่ พี่ชายของท่านกับข้างั้นสิ?”   เขาพูดออกไปด้วยรอยยิ้มหยัน เรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนจะมีใครในวังหลวงไม่รู้บ้าง ก็นับว่ายังดีที่เขาถูกเสด็จพ่อกันออกจากสงครามการแย่งชิงอำนาจก่อนจะถูกผลักไสให้ไปอยู่ในกองทัพ เขาถึงได้ไม่ต้องตกเป็นตัวหมากของพวกพี่ๆน้องๆจนเหลือรอดกันอยู่แค่นี้

“ชู่ว...เจ้าก็รู้ว่าพี่สี่แย่งชิงบัลลังก์กับพี่ใหญ่มาตั้งแต่ตอนที่เสด็จพ่อยังไม่ตาย แล้วคราวนี้แค่เด็ก 6 ขวบคนเดียวจะไปทำอะไรได้...พี่ใหญ่ ไม่สิ ฮ่องเต้น่ะ ยังไงก็ไม่ยอมให้สายการครองราชบัลลังก์เปลี่ยนไปเป็นของพี่น้องคนอื่น ยังคงยืนยันกับข้าอย่างหนักแน่นว่าจะต้องให้ลูกชายของตนขึ้นครองราชย์ให้ได้”

“เขาคุยกับท่านแล้ว? นั่นไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต่ต้องการให้ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการรึพี่ห้า?”   ซึ่งในสายตาเขาก็คิดว่าพี่ห้านั้นเหมาะสมที่สุด...เพราะองค์ชายห้าจิ้นเหอนั้นปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ความรู้ในแขนงต่างๆอย่างแตกฉาน ซ้ำยังเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ทั้งขุนนางและประชาชนก็ให้ความเคารพรัก ความภักดีและซื่อสัตย์ก็ชัดเจนกว่าใครๆ สมควรจะเป็นคนชี้แนะฮ่องเต้ที่ยังเล็กนั่นมากที่สุด

เขายังคิดมาตลอดเลยว่าหากพี่ห้ามิได้เป็นเพียงลูกของพระสนมแต่เป็นลูกของฮองเฮา บัลลังก์มังกรคงไม่มีทางตกเป็นของพี่ใหญ่แน่ๆ

“ฮ่องเต้เองก็บอกกับข้าเช่นนั้น...เพียงแต่ข้ายังไม่ได้รับปากเพราะยังไม่แน่ใจ...”   ใบหน้าของพี่ห้าแสดงความลังเลออกมา

“ท่านยังไม่แน่ใจเรื่องอันใดเล่า?”

“ที่ข้าไม่แน่ใจว่าจะสนับสนุนองค์รัชทายาทดีหรือไม่นั้นก็เพราะ...คนเป็นแม่น่ะ...”   อ้อ...เพราะฮองเฮาคนปัจจุบันสินะ? ได้ข่าวว่าพระชายาของพี่ใหญ่มาจากตระกูลขุนนางฝ่ายการคลัง เพราะฉะนั้นตอนได้เป็นฮองเฮาแล้วคงจะใช้อำนาจในทางไม่ถูกไม่ควรจนพี่ห้ารู้สึกระอาเลยสินะถึงได้แสดงออกว่าไม่มั่นใจเช่นนี้...แล้วถ้าคนเช่นนั้นได้เป็นไทเฮา เป็นแม่ของฮ่องเต้ต่อไป จะใช้อำนาจบาตรใหญ่เพื่อผลประโยชน์ต่อตระกูลของตัวเองขนาดไหนกันเชียว

ยิ่งได้ฟังเรื่องการฉ้อราษฎ์บังหลวง เรื่องการโกงกินของขุนนางในราชสำนัก เรื่องการแก่งแย่งอำนาจบนจุดสูงสุดจนไม่สนใจอะไรกันแบบนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่เขาออกรบขับไล่ข้าศึกที่มารุกราน  แลกความสงบสุขของแผ่นดินผืนนี้มาด้วยหยาดเหงื่อเลือดเนื้อและชีวิตนั้นมันช่างเป็นเรื่องไร้ประโยชน์และว่างเปล่าเสียจริงๆ

“แต่จะให้ข้าไปเข้าข้างท่านอ๋องสี่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน”   องค์ชายห้าถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ  เขาเองก็แปลกใจไม่น้อยที่พี่ใหญ่ไม่สั่งประหารอ๋องสี่ไปเสียทั้งๆที่หากใช้อำนาจของฮ่องเต้ใครจะขัดได้ ต่อให้สั่งให้ไปตายก็ต้องไป พี่สี่เองก็ก่อเรื่องก่อราวไว้ขนาดนั้น จะเรียกว่ากบฏก็ย่อมได้แต่กลับยังได้รับการอภัยโทษทั้งๆที่พี่น้องคนอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับถูกพี่ใหญ่สั่งประหารจนหมด  จึงทำให้มีคนคาดเดาเอาว่า องค์ชายใหญ่จงใจไว้ชีวิตองค์ชายสี่เพราะต้องการทรมานให้รู้สึกอยู่ไม่สู้ตาย และมันคงจะเป็นวิธีลงโทษที่โหดร้ายและเลือดเย็นที่สุด

“อย่างไรเสียในตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้อำนาจเปลี่ยนฝั่งได้ ทั้งฮ่องเต้และพี่สี่จึงไม่รุกเร้าข้านัก...แต่คนที่ทั้งสองคนนั้นจ้องตาเป็นมันก็คือเจ้าต่างหาก...หลี่เว่ย”   สิ่งที่พี่ห้าพูดออกมาไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจเท่าไรนัก ในเมื่อตอนนี้คนที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือมากที่สุดก็คือเขา...องค์ชายเก้าหลี่เว่ย...คนที่ถูกกันออกมาจากราชวงศ์ คนที่ไม่มีใครสนใจในอดีต แต่ตอนนี้เขาคือจอมทัพที่มีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในมือ เขาสั่งเคลื่อนทัพได้โดยไม่ต้องใช้ตราแม่ทัพด้วยซ้ำ เพราะคนที่พร้อมจะเดินตามเขานั้นเดินตามด้วยหัวใจไม่ใช่คำสั่ง

ฉะนั้นหากเขาเข้ากับฝ่ายไหน...ฝ่ายนั้นย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะยึดบัลลังก์ไปได้ เขาก็ใช้เพียงปลายทวนแย่งชิงมันกลับมาเท่านั้นก็จบ

และก็เพราะว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจบัลลังก์มังกรนั่นเลย ทั้งๆที่สามสี่ปีหลังมานี้เขามีกำลังพอที่จะก่อกบฏได้สบายๆแต่เขาก็ไม่ได้ทำซ้ำยังเอาแต่จดจ่ออยู่กับการปกป้องดินแดนอยู่ทางเหนือ ไม่สนใจความวุ่นวายในเมืองหลวง จึงทำให้ทุกๆฝ่ายต่างก็คิดว่าเขาคงแค่กระหายเลือดแต่ไม่ได้อยากจะเป็นฮ่องเต้ ปล่อยให้เขาทำศึกไปวันๆเท่านั้นก็พอแล้ว

เพราะแบบนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งฮ่องเต้และอ๋องสี่จะอยากดึงเขาเข้าไปเป็นฐานอำนาจให้ตัวเอง

“ฮ่องเต้น่ะต้องการให้เจ้าช่วยกำจัดคนที่คิดก่อกบฏ กำจัดเสี้ยนหนามที่คิดขัดขวางการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทให้”   ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับหัวเราะในลำคอ เพราะรู้ว่าเขาสนิทและเชื่อใจแต่พี่ห้าหรือไงกันนะ ถึงได้ให้องค์ชายจิ้นเหอมาพูดกับเขาแบบนี้ คงคิดว่าถ้าดึงพี่ห้าไปเป็นพวกได้ เขาก็คงจะตามไปในไม่ช้างั้นสิ? และนี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พี่ห้ายังไม่ยอมรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เพราะรู้ดีว่าเขาจะถูกพันธนาการไปด้วย

“หึ...ทั้งๆที่ฮ่องเต้ก็รู้ตัวคนบงการอยู่เสมอแท้ๆ ทำไมถึงไม่สั่งประหารเสียตั้งแต่ตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่เล่า จะทำอะไรให้วุ่นวายแบบนี้ไปทำไมกัน”  เขายกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันก่อนจะหันไปมองสีหน้าที่อ่านไม่ออกของผู้เป็นพี่ชาย บางทีพี่ห้าอาจจะระแคะระคายอะไรอยู่บ้าง...ถึงได้พูดออกมาว่า

“....ถ้าพี่ใหญ่ทำได้ก็คงทำไปนานแล้วละ...”










ในขณะที่นางกำนัลทั่วทั้งวังต่างเดินแถวเข้าออกตำหนักต่างๆเพื่อทำหน้าที่ของตน แต่นางกำนัลกำมะลอบางคนกลับมาชะเง้อชะแง้แลมองตำหนักใหญ่สามตำหนักที่อยู่ใจกลางวังหลัง มือบางเกาะขอบประตูรั้วก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปมองให้เต็มตา เขาเคยเห็นภาพเขียนของสามตำหนักใหญ่ในวังหน้ามาบ้างเพราะเป็นส่วนที่ขุนนางและข้าราชสำนักเข้าออกได้ จึงมีคนนำออกไปเล่าให้ฟังมากมาย แต่สามตำหนักใหญ่ในวังหลังนั้นเขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก กระเบื้องเคลือบสีเหลืองที่ทำเป็นตัวมังกรซึ่งเรียงเป็นแถวอยู่บนสันหลังคานั้นบ่งบอกว่าอาคารหลังนี้คือที่ประทับของฮ่องเต้ เขาไม่รู้หรอกว่าตำหนักไหนชื่อว่าอะไร แต่ความสวยงามของอาคารไม้หลังใหญ่ที่ถูกบรรจงเขียนลายเอาไว้อย่างประณีตนั้นก็ทำให้ขนแขนถึงกับลุกชัน เขาไม่เคยเห็นอาคารที่ไหนสวยขนาดนี้มาก่อน สะพานยกฐานสูงที่เชื่อมต่อระหว่างตำหนักกับซุ้มประตูหน้านั้นก็ราวกับสะพานเชื่อมสวรรค์ ราวกันตกสีขาวที่น่าจะทำมาจากหินอ่อนสลักเป็นลายมังกรกับนกกระเรียนมันทำให้รู้สึกแบบนั้น

สองขาก้าวเข้าไปหาตำหนักหลังนั้นอย่างเผลอไผล เสาสีแดงต้นใหญ่ตั้งเรียงรายขึ้นไปรับคานและโครงสร้างหลังคาที่สลับซับซ้อน ทุกชิ้นส่วนล้วนถูกวาดภาพลงสีอย่างวิจิตร  ร่างโปร่งบางเดินอย่างล่องลอยจนมองเห็นบัลลังก์มังกรสีทองอร่ามที่ตั้งอยู่ข้างใน มือบางได้แต่ยกขึ้นมาปิดปากเพราะไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้มาเห็นของที่สูงส่งเช่นนั้น นัยน์ตาสีมรกตจึงได้แต่มองมันนิ่งค้างจนกระทั่งสองหูได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมา

ไหล่บางสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบหลบเข้าไปซ่อนอยู่หลังเสาสีแดงที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาสองเท่า นัยน์ตาสีมรกตไม่กล้ามองด้วยซ้ำว่าคนที่เดินเข้ามานั้นเป็นใครจนกระทั่งหางตาเหลือบไปเห็นนางกำนัลห้าหกคนกำลังเดินแถวผ่านมาพอดี ร่างโปร่งจึงรีบผลุบหายไปจากหลังเสาแล้วเข้าไปเนียนเดินต่อแถวของพวกนางกำนัลตัวจริงทันที

ใบหน้ามนก้มหน้าแล้วเดินตามแถวของนางกำนัลกลุ่มนั้นไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนางกำลังจะเดินไปไหน แต่ก็นับว่าเขาปลอมตัวแนบเนียนใช้ได้เพราะไม่ว่าจะเดินสวนกับนางกำนัลอีกกลุ่มหรือแม้แต่พวกขันทีก็ไม่มีใครจับได้สักคนว่าเขาไม่ใช่นางกำนัลจริงๆ

รอยยิ้มซุกซนแอบเผยอยู่บนใบหน้าที่ล้อมด้วยกรอบผมสีน้ำตาล สองขาก้าวเดินตามพวกนางกำนัลไปด้วยความย่ามใจว่างานนี้คงผ่านฉลุยแน่ คอยดูเถอะเขาจะสำรวจมันให้หมดทุกซอกทุกมุมของวังหลังเลย!

นางกำนัลกลุ่มนี้เดินวกกลับมายังตำหนักฝั่งตะวันออกซึ่งเขาจำได้ว่าแอบเข้าไปดูมาแล้ว เพราะอย่างนั้นร่างโปร่งบางจึงขยับกายไปแฝงตัวเข้ากับแถวนางกำนัลอีกกลุ่มที่เดินสวนมาแทน

หลังจากเดินข้ามมายังตำหนักฝั่งตะวันตกได้ไม่กี่ก้าว แถวของนางกำนัลที่ร่างโปร่งแอบเนียนอยู่ก็หยุดเพื่อหลบทางให้ขบวนที่ดูใหญ่จนไม่น่าจะเป็นขบวนของนางกำนัล และเมื่อหญิงสาวที่ดูสูงศักดิ์คนหนึ่งเดินผ่านหน้า แถวนางกำนัลทั้งแถวต่างย่อตัวให้ก่อนจะเปล่งเสียงทักทาย

“คาราวะพระสนมหลิ่ว...”    ริมฝีปากสีสดได้แต่อ้าพะงาบๆตามที่บรรดานางกำนัลตัวจริงพูดกัน นัยน์ตาสีมรกตมองเห็นคนข้างหน้าสะบัดผ้าเช็ดหน้าแถวๆไหล่ก็ทำตามบ้างอย่างงกๆเงิ่นๆไม่ได้พร้อมเพรียงอะไรกับใครเค้าเล้ย แต่ยังดีที่อยู่หางแถว หญิงสาวในชุดสวยสดงดงามที่ถูกทักว่าพระสนมนั่นจึงไม่ทันมองเห็น

ขบวนของพระสนมเดินผ่านไปแล้ว แถวนางกำนัลกลุ่มนี้จึงได้เดินต่อ มือบางยกขึ้นมาปาดเหงื่อที่ซึมขึ้นมาตามขมับ เป็นนางกำนัลนี่ก็มีพิธีรีตองอะไรมากมายจนน่ารำคาญเหมือนกันแหะ

และเมื่อเดินมาถึงมุมลับตาคน ร่างโปร่งบางก็แอบหลบออกจากแถวของนางกำนัลก่อนจะเร้นกายเข้าไปในตำหนักหลังใหญ่หลังหนึ่งในหกตำหนักฝั่งตะวันตก

ร่างโปร่งบางเดินด้วยท่าทางสบายๆก่อนจะมองสำรวจไปทั่ว นัยน์ตาสีมรกตกลมโตเหลือบมองขึ้นๆลงๆเมื่อหันไปทางไหนก็เจอแต่ของที่น่าตื่นตาตื่นใจ ข้าวของเครื่องใช้ที่วางอยู่ด้านในตำหนักล้วนเป็นของดีแล้วก็หายากๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเครื่องเคลือบสีขาวเขียนลวดลายด้วยสีคราม กระปุกฝังมุก กาน้ำชาที่เป็นทองทั้งใบซ้ำยังขึ้นลายอย่างอลังการ ขนาดฟูกรองนั่งยังปักเป็นลายผีเสื้อทั้งผืน...ตำหนักหลังนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ คนที่อาศัยอยู่คงจะมีตำแหน่งสูงพอสมควรเลย

ใบหน้ามนพยักหงึกๆก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะเหลือบไปเห็นแสงแดดที่สาดส่องอยู่บนพื้นปูหิน...บ่ายคล้อยขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย...ป่านนี้พ่อบุญธรรมคงตื่นแล้วและก็คงกำลังควานหาตัวเขาให้จ้าละหวั่น...

รอยยิ้มแห้งๆปรากฏอยู่บนใบหน้ามน วันนี้สำรวจเท่านี้ก่อนก็ได้ ยังไงเขายังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน และในขณะที่กำลังมองหาทางกลับโรงงิ้วอยู่นั้น จู่ๆขันทีก็ตะโกนอยู่หน้าตำหนัก...จากนั้นไม่นานโหยวอ้ายหลุนก็ได้ไขข้อสงสัยว่าเจ้าของตำหนักนี้มียศสูงซะขนาดไหน


ฮ่องเต้เสด็จ~’


ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบมองหาที่หลบด้วยท่าทางลนลาน ตายๆๆ เขากำลังจะกลับแล้วแท้ๆ ฮ่องเต้ดันมาเสด็จอะไรเอาตอนนี้เนี่ย โธ่~

ยังดีที่นางกำนัลที่ทำงานบ้านอยู่ทั่วทั้งตำหนักต่างวิ่งกรูกันมาเข้าแถวเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของขันที ร่างโปร่งจึงได้ทีวิ่งเนียนไปเข้าแถวกับเขาด้วย

“คาราวะฝ่าบาท คาราวะฮองเฮา คาราวะองค์ชายลู่ชิง~”   ริมฝีปากสีสดก็ยังคงพะงาบๆตามเหล่านางกำนัลตัวจริงไป คราวนี้พวกนางย่อเขาก็ย่อตาม พวกนางสะบัดผ้าเขาก็สะบัดตาม ถึงแม้จะช้ากว่าชาวบ้านวินาทีหนึ่งแต่ก็นับว่าดีกว่าก่อนหน้านี้มาก

นัยน์ตาสีมรกตแอบเหลือบมองสามคนที่เดินไปนั่งยังเก้าอี้รับรองของตำหนักด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชายหนุ่มที่ดูสุขุมแต่กลับเปล่งรัศมีน่าเกรงขามออกมานั่นคงจะเป็นฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดสีเหลืองปักลายมังกรสีทอง เขาเพิ่งจะเคยเห็นคนที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าตัวเป็นๆก็วันนี้เอง ฝ่าบาททรงมีใบหน้าหมดจดและหล่อเหลาเอาการทีเดียว เสียแต่ดูซีดเซียวเหมือนคนป่วยไปหน่อย  ส่วนหญิงสาวหนึ่งเดียวในสามคนนั่นก็คงเป็นฮองเฮาไม่ผิดแน่ นางเป็นคนที่สวยมากแต่กลับให้ความรู้สึกไม่น่าเข้าใกล้ยังไงก็ไม่รู้ คนมีอำนาจบารมีก็คงจะเป็นแบบนี้กระมัง?  นัยน์ตาสีมรกตเหลือบไปมองเด็กน้อยที่ถูกเรียกว่าองค์ชายลู่ชิง อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเด็กคนนี้...จะว่ายังไงดี? ทั้งๆที่พ่อก็หล่อแม่ก็สวย ไยเด็กชายถึงไม่ได้น่ารักน่าชังสมสายเลือดมังกรอย่างที่คาดหวังก็ไม่รู้?  ว่าแต่ว่ามากันครบแบบนี้ ที่นี่คงจะเป็นตำหนักของฮองเฮาแน่ๆ

“เดี๋ยวเราจะแนะนำให้เจ้ารู้จักเสด็จอาเก้านะลู่ชิง”   ฝ่าบาททรงหันไปพูดกับเด็กน้อยที่ยังไม่ค่อยรู้ประสีประสาดีเท่าไหร่...เดี๋ยวนะ? เมื่อกี้ฝ่าบาทว่าเสด็จอาอะไรนะ?


ท่านอ๋องเก้าเสด็จ~’


เสียงที่ขันทีหน้าประตูตะโกนออกมาทำให้ไหล่บางสะดุ้งอย่างไม่มีสาเหตุ ใบหน้ามนเผลอก้มงุดก่อนจะจ้องมองพื้นด้วยสายตานิ่งค้าง...จริงหรือนี่...เขามาเจอองค์ชายเก้าในระยะประชิดแบบนี้ ถ้าพวกพี่สาวในคณะงิ้วรู้เข้าคงจะกรีดร้องใส่เขาด้วยความอิจฉาเป็นแน่ หึๆๆ

“คาราวะท่านอ๋องเก้า~”   เพราะมัวแต่คิดเรื่องนั้นทำให้ใบหน้ามนเลิ่กลั่กเล็กน้อยจนเกือบจะย่อตัวตามพวกนางกำนัลตัวจริงไม่ทัน และท่าทางตะกุกตะกักของเขานั้นก็ทำให้นัยน์ตาสีขี้เถ้าคมกริบจ้องมองมาตาไม่กระพริบ  ใบหน้าใสได้แต่ก้มงุดอย่างไม่กล้าสบสายตาที่คมราวกับใบมีดนั่น

“น้องเก้า มาทางนี้สิ”   จนกระทั่งฮ่องเต้ออกปากเชิญ สายตาคู่คมถึงได้ละไปจากเขา  อูย...เกือบจะหัวใจวายตายแล้วไหมล่ะ คนอะไรดุเสียจริง

และเมื่อร่างในชุดสีดำปักลายพยัคฆ์ด้วยดิ้นสีเงินนั่นเดินไปนั่งยังเก้าอี้ นัยน์ตาสีมรกตซุกซนจึงแอบเหลือบมองจอมทัพแห่งปราการเหนือตั้งแต่หัวจรดเท้า

อันที่จริงชายผู้นั้นไม่ได้สูงใหญ่เหมือนฮ่องเต้แต่กลับดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆที่เขาเคยเจอมา ใบหน้าคมนั้นหล่อเหลาราวกับภาพวาด ฮ่องเต้ที่ว่าหล่อแล้วแต่องค์ชายเก้ากลับหล่อกว่าหลายเท่า เพียงแต่ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากแววตาที่เหมือนกับไม่ได้จับจ้องอยู่ที่สิ่งใดนั้นเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้อยากเข้าใกล้หรือเป็นเส้นที่เจ้าตัวขีดไว้ว่าจงอย่าเข้ามากันแน่                               

เส้นผมยาวดำขลับที่ถูกมัดรวบครึ่งหัวด้วยปิ่นมาลาแสดงยศของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงขยับพลิ้วไหวเมื่อเจ้าตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ เสียงทุ้มเอ่ยทักทายฮ่องเต้เพียงสั้นๆแต่เสียงนั้นกลับก้องกังวานเข้ามาอยู่ในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว

“รินน้ำชาให้ฝ่าบาทกับท่านอ๋องสิ”   และเพราะมัวตะลึงตะลานในรูปโฉมที่สง่างามขององค์ชายเก้าทำให้ร่างโปร่งบางไม่ทันรู้ตัวเลยว่าบรรดานางกำนัลที่เคยยืนอยู่ข้างๆต่างแยกย้ายกลับไปทำงานของตนกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นที่ยืนอยู่ตรงนี้จึงมีแค่เขากับนางกำนัลอีกสองคน และคนนึงก็ถือกาน้ำชาของฮ่องเต้ อีกคนก็ถือถาดและกำลังยื่นกาที่เหลือมาให้เขา

“เอ๋? ข้าเหรอ?”   นิ้วเรียวชี้ใส่ตัวเองพลางอ้าปากค้าง สองนางกำนัลพยักหน้าน้อยๆให้เขาก่อนจะดันกาน้ำชามาใส่มือ...เดี๋ยวๆ ช้าก่อน! เขามันก็แค่นางกำนัลกำมะลอนะ จะให้ไปรินชาให้ท่านอ๋องนี่มันจะดีแน่เหรอ? ในขณะที่เขากำลังส่ายหน้ารัวๆ พวกนางสองคนก็ทำสายตาไม่เข้าใจว่าแค่รินน้ำชามันจะยากตรงไหนพร้อมทั้งยังไม่สนใจเขาแล้วก้าวขาเดินนำออกไปเสียแบบนั้น

เดี๋ยวสิ~~

เขาได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจอย่างทำอะไรไม่ได้ จะไม่ก้าวขาตามเดี๋ยวก็ได้ความลับแตกกันพอดีว่าเขาปลอมตัวเข้ามา...ปัดโธ่~ รินก็ริน! ยังไงซะรินน้ำชาให้ท่านอ๋องมันก็คงไม่ต่างจากรินน้ำชาให้อาแปะที่โรงงิ้วหรอกมั้ง?

สองขาเดินเก้ๆกังๆตามนางกำนัลตัวจริงไป นัยน์ตาสีมรกตพยายามเหลือบมองว่านางรินน้ำชาให้ฮ่องเต้ยังไงแล้วจึงหันมาทำตาม กาน้ำชาถูกยกเหนือถ้วยชาซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าองค์ชายเก้า นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นเหลือบมามองเขาและมันก็ทำเอาประหม่าสุดๆ เขาจึงหลับหูหลับตาเทชาลงถ้วยให้มันเสร็จๆไป...โดยที่ลืมไปว่า...กามันมีฝา! และถ้าไม่จับมันไว้มันก็จะตกลงมา!

นัยน์ตาสีมรกตทันเห็นจังหวะสุดท้ายก่อนที่ฝากาจะร่วงลงไปในถ้วยชา มือบางจึงพยายามจะคว้ามันเอาไว้แต่มันดันส่งผลให้กาน้ำชาทั้งกาหล่นพรวดจากมือก่อนจะกลิ้งสามตลบลงไปนอนสงบอย่างสวยงามอยู่บนตักขององค์ชายเก้าอย่างพอดิบพอดีไม่มีขาดไม่มีเกิน!


อ๊า~~~ ทำบ้าอะไรของเจ้าลงไปเนี่ยโหยวอ้ายหลุน!!


ตายแน่ งานนี้มีตายแน่ๆ!

สองมือรีบตะครุบกาน้ำชาออกมาจากตักของท่านอ๋อง ทว่า น้ำชาก็หกรดหน้าตักของร่างแข็งแกร่งจนเปียกชุ่มไปหมดแล้ว....

ร้องไห้ทันไหมตัวข้า ฮือออออ....


แล้วจากนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร...ไม่อยากจะคิดเล้ย...










.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามตอนต่อไป...ไป...ไป....





คุณกวางมันไปปักกิ่งมาค่ะ เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว TvT และนี่ก็คือผลิตผลจากพระราชวังต้องห้ามที่ไปเที่ยวมาค่ะ ฮืออออ

ต้องออกตัวก่อนเลยนะคะว่านี่เป็นฟิคพีเรียดจีนเรื่องแรกที่เขียน เพราะงั้นถ้าอ่านแล้วเจออะไรขัดๆไปบ้างก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ 5555 แล้วก็ถ้ามีอะไรจะชี้แนะก็คอมเม้นต์บอกเอาไว้ได้ค่ะ บางเรื่องคุณกวางก็ไม่รู้ นิยายจีนก็เคยอ่านไม่มากเท่าไหร่ พอจะลงมือแต่งฟิคเรื่องนี้ถึงได้รู้ตัวว่าความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนตรูช่างน้อยนิดเสียเหลือเกินถถถถ ก็พยายามศึกษาหาข้อมูลมาอยู่บ้างแต่ประวัติศาสตร์จีนอันยาวนานเลาจะศึกษาให้แตกฉานก็เกรงว่าอีกยี่สิบปีอิฟิคเรื่องนี้ก็จะยังไม่ได้แต่งถถถ ปกติก็เป็นพวกแต่งไม่ค่อยจะจบอยู่แล้วด้วย ^ ^a ก็เลยตัดสินใจลงมือก่อนเลยแล้วกัน มีตรงไหนผิดค่อยๆแก้ในเนื้อเรื่องช่วงหลังเอา กร๊ากกกก // ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดีถถถ // อย่างเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมนี่ชัดมากว่าพระเอกกับนางเอกนี่มากันคนละสมัยเลยถถถถ คือชุดนางกำนัลที่จิ้นให้หนูเลนใส่น่ะ น่าจะเป็นนางในในสมัยราชวงศ์ชิงค่ะ ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนและราชวงศ์นี้ก็เป็นราชวงศ์แมนจู ถ้าคุณกวางเข้าใจไม่ผิดพวกผู้ชายเค้าจะโกนหัวครึ่งนึงแล้วที่เหลือก็ถักเปียไว้อะไรประมาณนี้ แต่จะให้คุณรีไวพระเอกของตรูไว้ผมทรงนั้นมันก็ทนไม่ไหว คือตรูอยากให้พระเอกฟิคเรื่องนี้ของตรูหล่อเทพ ไว้ผมยาวสลวยมัดรวบครึ่งหัวพริ้วไหวแบบในภาพวาดแม่ทัพไม่ก็คุณชายของนักวาดจีนทั้งหลายแบบนั้นอ่ะ! เค้าจะให้พระเอกของเค้าเป็นแบบนั้นอ่ะ! แต่ชุดนางในของหนูเลนนี่ยังไงก็ขอแบบราชวงศ์ชิง! เค้าชอบหมวกสีดำๆที่มีดอกโบตั๋นใหญ่ๆติดตรงกลางอ่ะ!!!

นะ...ด้วยความที่ตบตีกับตัวเองอยู่นานแต่ก็ยังเลือกระหว่างชุดของพระกับนางไม่ได้ซักที เพราะงั้นก็เลยเอาแม่งอย่างงี้แหละ = =”” คนละยุคละสมัยก็ช่างมันปะไรถถถถ // ดูมัน

ยัง...ยังมีอีกหลายเรื่อง 5555 ถึงได้บอกไงว่าถ้าเจออะไรแปลกประหลาดก็ข้ามๆมันไปนาคะถถถถ

ส่วนเรื่องตัวละคร นอกจากคุณรีไวกับหนูเลนแล้ว ที่เหลือเป็นออริจินัลของคุณกวางทั้งหมด ไม่ต้องพยายามแปลงชื่อนาคะ ไม่ใช่ตัวละครในไททันหรือการ์ตูนเรื่องไหนๆหรอก 55555 และแน่นอนว่าเราตั้งใจตั้งชื่อตัวละครเล่านี้มาเป็นอย่างดี ด้วยการเปิดหาเอาในเนตนี่แหละถถถ อย่างน้อยก็มีความหมายดีๆละนะคิดว่า....= =a...

ส่วนชื่อของพระเอกกับนายเอกของเรา...คุณกวางเคยคุยกับน้องคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วว่าแฟนๆชาวจีนเค้ามีชื่อเรียกคุณรีไวกับเอเลนแบบจีนๆไหม เพราะสังเกตเห็นโดจินไททันเวลาแปลเป็นภาษาจีน เค้าจะใส่ชื่อคุณรีไวกับเอเลนเป็นตัวหนังสือจีน มันไม่เหมือนการทับศัพท์? ก็เลยสงสัย ก็เลยได้ความว่าชื่อคุณรีไวถูกแปลงเป็น หลี่เว่ย ส่วนเอเลนก็แปลงเป็น อ้ายหลุน น่ะค่ะ ก็เลยยืมมาใช้ในฟิคเรื่องนี้ด้วย 5555 ก็นะ...จะให้องค์ชายเก้าของราชวงศ์จีนชื่อรีไว มันก็ยังไงอยู่ ^ ^” จะให้เจ้าเด็กโรงงิ้วชื่อเอเลนมันก็ไม่น่าใช่ ยังไงก็ควรจะเป็นอะไรที่มันดูจีนๆหน่อยอ่ะเนอะ ส่วนเยเกอร์ เลยใช้แซ่ โหยว ซะเลยอิอิ

อีกเรื่องที่อยากแจ้งเอาไว้ก่อนว่าภาษาที่ใช้ในฟิคเรื่องนี้จะเป็นแนวก้ำๆกึ่งๆนะคะ จะโบราณก็ไม่ใช่ จะราชาศัพท์ก็ไม่เชิง อยากให้อ่านง่ายๆ แต่ก็ยังพอมีกลิ่นไอพีเรียดอยู่บ้างอ่ะนะ คืออันที่จริงคุณกวางมันไม่ถนัดราชาศัพท์ค่ะถถถถ // ความจริงบังเกิด = =”

แปะเพลงที่ฟังตอนแต่งเรื่องนี้ด้วยค่ะ ความจริงเวลาแต่งฟิคพีเรียดแล้วมีฉากออกรบเนี่ยมักจะชอบฟังเพลง Huo Yuan Chia ของ Jay Chou ค่ะ ฮ่าๆๆ แต่คราวนี้เพลงที่ฟังเป็นเพลง Qing hua chi ค่ะ ฟังไปก็หลับตาจิ้นภาพหนูเลนที่เดินอยู่หลังม่านบางๆท่ามกลางเสาสีแดงของพระราชวังอะไรแบบนี้ฟฟฟฟ >////<



ยังไงก็ฝากไหมังกรน้อยๆไหนี้ไว้อีกใบนะคะ จะจบหรือไม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ ไม่อยากรับปากละ เอาเป็นว่าตรูจะแต่งตามใจตรูละกัน กร๊ากกกก // เลวที่สุด! แล้วเจอกันตอนหน้าค่า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น