Attack on Titan. Au Fic [Levi x Eren] หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 02


Attack on Titan. Au Fic [Levi x Eren]  หนึ่งบุปผา หนึ่งมังกร หนึ่งรักนิรันดร : 02

: Attack on Titan Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Chinese Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
   : และเพื่อให้ชื่อตัวละครเข้ากับท้องเรื่องซึ่งเป็นฟิคแนวย้อนยุคของจีนจึงขอดัดแปลงชื่อจากคุณรีไวเป็น หลี่เว่ย , เอเลนเป็น อ้ายหลุน นะคะ








ตำหนักฮองเฮาที่เคยมีเสียงพูดคุยจนถึงเมื่อกี้ บัดนี้กลับเงียบราวกับสุสาน นางกำนัลที่เห็นเหตุการณ์ทุกคนต่างหน้าถอดสีและขยับไปยืนรวมกันพลางตัวสั่นงันงกทั้งๆที่ตนก็หาได้มีความผิดแต่อย่างใด ส่วนเจ้าคนที่ก่อเรื่องน่ะรึ...

นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองน้ำที่เจิ่งนองเต็มหน้าตักก่อนจะตวัดสายตาคมกริบขึ้นไปมองนางกำนัลร่างโปร่งบางที่ยืนบีบกาน้ำชาว่างเปล่าอยู่ตรงหน้า เด็กสาวผงะไปก็จริงแต่ก็ยังกล้ามองหน้าเขาสลับกับชาที่หกนองพื้นอย่างไม่รู้จะทำยังไง ริมฝีปากสีสวยอ้าพะงาบๆสลับกับขบเม้มอย่างจนซึ่งคำพูด แต่สิ่งที่ทำให้องค์ชายเก้าอย่างเขาติดใจก็คือนางกำนัลคนนี้กลับไม่ได้กลัวเขาจนตัวสั่นเหมือนนางกำนัลทั่วไป ไม่ได้ทิ้งตัวลงไปนั่งร้องห่มร้องไห้ร้องขอความตายและการอภัยโทษเหมือนนางกำนัลคนอื่นๆ

“บังอาจ!”   แต่แล้วเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ทำให้ไหล่บางของนางกำนัลกำมะลอถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ  ฮองเฮาเจ้าของตำหนักลุกขึ้นยืนก่อนจะชี้นิ้วสั่ง

“นำนางไปลงโทษเดี๋ยวนี้! โบยสี่สิบไม้!”    ริมฝีปากสีแดงที่แต่งแต้มมาอย่างสวยงามออกคำสั่งโบยนางกำนัลตัวดีที่กำลังจะทำให้เสียงานเสียการ กำลังจะได้เจรจาเรื่องสำคัญกับอ๋องเก้าแท้ๆแต่กลับต้องมาชะงักไปเพราะกาน้ำชาใบเดียว! ใบหน้าราวกับนางพญาหงส์หันไปค่อมศีรษะให้ท่านอ๋องเก้าเพื่อขอโทษแทนคนของตนที่เสียมารยาท เพราะทราบมาว่าองค์ชายเก้าหลี่เว่ยนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนและอารมณ์ร้าย หากไม่พอใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ขึ้นมา การใหญ่ที่นางกับฮ่องเต้ต้องการให้องค์ชายเก้าช่วยอาจจะพังไม่เป็นท่า...ยังไงกองทัพของหลี่เว่ยย่อมสำคัญกว่าชีวิตนางกำนัลเล็กๆแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นนางจึงไม่ลังเลเลยที่จะสั่งโบยเด็กสาวเพื่อเอาใจองค์ชายเก้า

“เอ๊ะ? โบยข้าเหรอ?”   ร่างโปร่งบางที่เพิ่งจะก่อเรื่องไปหยกๆยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเองอย่างมึนงง แค่ทำชาหกแค่นี้ถึงกับต้องโบยกันเลยหรือไง? เขาเคยจุดประทัดไฟเผาโรงงิ้ววอดไปเป็นหลังๆ พ่อบุญธรรมยังตีเขาแค่สิบกว่าทีเอง แล้วนี่แค่ทำน้ำชาหกรดเจ้าองค์ชายหน้าตายนี่ถึงกับจะโบยเขาสี่สิบที?!

สองแขนผอมบางถูกขันทีสองคนรวบไว้คนละข้างก่อนจะพยายามหิ้วออกไป และที่ต้องใช้ความพยายามนั่นก็เพราะว่าร่างโปร่งบางหาได้ยอมให้ลงโทษแต่โดยดีไม่ สองแขนสะบัดแล้วสะบัดอีก สองขาทั้งเตะทั้งถีบอย่างต่อต้านเต็มที่

“เดี๋ยวสิ ข้าแค่ทำชาหก ทำไมต้องลงโทษกันขนาดนี้ด้วย?!”   ริมฝีปากสีสวยโวยวายอย่างไม่ได้รู้ที่ต่ำที่สูงทำเอาฮองเฮาเจ้าของตำหนักถึงกับเดือดปุดๆแต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้ม ฮ่องเต้เองถึงจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้ออกปากช่วยเหลือ ยิ่งพวกนางกำนัลด้วยกันเองก็ทำได้แค่ลอบมองร่างโปร่งบางด้วยแววตาสงสารแล้วก็กลับไปก้มหน้าก้มตายืนตัวสั่นตามเดิม

นี่! ไม่มีใครคิดจะช่วยเขาเลยหรือไง?! จะปล่อยให้เขาถูกโบยตั้งสี่สิบไม้นี่ถึงตายได้เลยนะ!!

นัยน์ตาสีมรกตกลมโตกวาดมองคนรอบๆตาขวางแต่ก็ยังไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งฮองเฮาอยู่ดี ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นอย่างเจ็บใจ กฎเกณฑ์ในวังมีมากมายเขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าคนในนี้มันไม่มีหัวใจ! นางกำนัลไม่ใช่คนหรือไงถึงได้ลงโทษกะเอาให้ตายกันไปข้างแบบนี้! ตอนอยู่นอกวังเขามักจะเห็นพวกพ่อแม่ที่มีลูกสาวได้เข้าวังมาเป็นนางกำนัล พ่อแม่เหล่านั้นต่างยิ้มดีใจอย่างหน้าชื่นตาบาน พวกชาวบ้านก็ชื่นชมนับหน้าถือตา ตำแหน่งนางกำนัลสำหรับสามัญชนอย่างพวกเขานั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่แทบจะเกินเอื้อมแล้ว แต่สำหรับในวังหลวงมันกลับเป็นตำแหน่งที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนแม้แต่ชีวิตก็ถูกเห็นเป็นแค่ผักปลา แล้วถ้าเช่นนั้นสามัญชนคนธรรมดาอย่างเขาไม่ถือเป็นมดปลวกไปเลยหรือไง? ใบหน้ามนยังคงกวาดตามองผู้ปกครองประเทศด้วยความคับแค้น...ปัดโธ่เว้ย! ตายเป็นตายละงานนี้! ทั่วทั้งวังออกจะกว้างใหญ่ ยังไงมันก็ต้องมีทางให้เขาหนีได้บ้างล่ะ! แล้วในขณะที่ริมฝีปากสีระเรื่อตั้งใจจะอ้ากัดแขนขันทีอยู่นั้น...

“ช้าก่อน”   เสียงทุ้มที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้ยินในสถานการณ์นี้กลับดังออกมาจากปากขององค์ชายเก้า!

ถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้เพียงนิด แต่ดวงตาสีขี้เถ้ากลับฉายแววพอใจอยู่ในทีและคนที่จะรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ก็มีเพียงฟางหยางอี้ที่อยู่ด้วยกันมานานเท่านั้น รองแม่ทัพหนุ่มได้แต่ลอบมองท่านอ๋องของตนอย่างแปลกใจ

“มีอะไรหรือเพคะท่านอ๋อง? หรืออยากให้สั่งลงโทษนางมากกว่านี้?”   แค่นี้ก็จะตายแล้ว! ยังจะมากกว่านี้อีกเร๊อะ?!! ....ร่างโปร่งบางที่ถูกจับกุมไม่ได้พูดออกมาเพราะถูกผ้ายัดปากไว้แต่อ่านจากสีหน้าและแววตา เขาก็รู้ว่ายัยเด็กนั่นคงจะตะโกนแบบนี้อยู่ในใจแน่ๆ

หึ....

ริมฝีปากขององค์ชายเก้ายกยิ้มอย่างที่ใครก็ดูไม่ออก นัยน์ตาสีขี้เถ้าจับจ้องไปยังร่างที่ดิ้นไม่หยุดอย่างพึงพอใจ...จะมีนางกำนัลที่ไหนบ้างเป็นอย่างยัยเด็กนี่... “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงให้อภัย” ....ถ้าเป็นนางกำนัลทั่วไปคงจะคุกเข่าตัวสั่นแล้วก็พูดออกมาแบบนี้กันทั้งนั้น คงไม่มีใครกล้าเถียงฮองเฮาปาวๆซ้ำยังทั้งเตะทั้งถีบขันทีต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แบบนี้หรอก ประกอบกับท่าทางกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยแล้วยังรินน้ำชาได้แย่เสียยิ่งกว่าแย่ ไม่ว่าจะดูยังไงยัยเด็กนี่ก็คงไม่ใช่นางกำนัลแน่ๆ...ถ้าเช่นนั้นอาจจะเป็นผู้ร้ายแฝงตัวเข้ามา?

นัยน์ตาสีขี้เถ้าฉายแวววาววับราวกับกำลังเจอเรื่องสนุกอันหาได้ยากในสถานที่อันแสนน่าเบื่ออย่างวังหลัง...

“ฝ่าบาท...ข้าขอลงโทษนางเองได้หรือไม่”   สิ่งที่เขาพูดออกไปทำให้นัยน์ตาสีมรกตน้ำงามคู่นั้นเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกจากเบ้าดูแล้วน่าขำจนต้องพยายามกลั้นหัวเราะ บรรยากาศของเด็กคนนั้นช่างต่างกับนางกำนัลรอบกายที่เหลือบขึ้นมามองราวกับกำลังจะล่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย  ฮองเฮาเองก็ดูหน้าชาไปเพราะนางคงคิดว่าวิธีการลงโทษของนางยังเอาใจเขาได้ไม่พอเขาจึงร้องขอกับฮ่องเต้เองเช่นนี้

“ตามใจเจ้าก็แล้วกันน้องเก้า”   แน่นอนว่าฮ่องเต้รีบตอบตกลงทันที ดูก็รู้ว่าต้องการเอาใจเขา ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะขืนๆอยู่ในใจ  นึกถึงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ฝ่าบาทเป็นพี่ชายใหญ่ของเขาในตอนนั้น เป็นองค์ชายใหญ่ที่เกิดกับมเหสีเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดินมังกรอย่างฮองเฮาและไม่เคยเห็นน้องชายที่เป็นเพียงลูกสนมปลายแถวอย่างเขาอยู่ในสายตาแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับคอยเอาอกเอาใจเขาทุกอย่าง...หึ...ถ้าเขาไม่มีผลประโยชน์ใดให้ตักตวง อยากรู้นักว่าจะยังเห็นน้องชายอย่างเขาอยู่ในสายตาหรือเปล่า

“เรื่องที่จะพูดคงต้องเอาไว้คืนนี้แล้วละฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวไปจัดการกับเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกัน”  ร่างแข็งแกร่งลุกขึ้นยืน น้ำชาทั้งกาซึมลงไปตามชุดสีดำจนเปียกชุ่มไปหมด

“ตกลง คืนนี้ค่อยเจอกันในงานเลี้ยงที่โรงงิ้วก็แล้วกันน้องเก้า”   องค์ชายเก้าโค้งคาราวะผู้เป็นพี่ชายพอเป็นพิธีก่อนจะสาวท้าวยาวๆมาที่นางกำนัลกำมะลอที่ยังถูกขันทีจับเอาไว้แน่น ฝ่ามือที่เคยถือแต่ทวนกระชากแขนบางอย่างไม่รู้วิธีผ่อนแรงจนร่างโปร่งเซถลาเข้ามาปะทะแผงอก กลิ่นกายของบุรุษที่โชยออกมาจากร่างกายของท่านอ๋องเก้าทำเอาใบหน้ามนถึงกับมึนเมา มันเป็นกลิ่นเย็นๆราวกับดอกไม้ราตรี เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ตัวอีกที ลำตัวบางก็ถูกยกขึ้นพาดบ่าแข็งแรงนั่นไปแล้ว...

ร่างในชุดสีดำก้าวอาดๆออกมาจากตำหนักฮองเฮาอย่างไม่สนใจสายตาของใคร การกระทำที่ดูดิบเถื่อนนั้นสมแล้วที่เป็นจอมทัพของปราการที่โหดหินอย่างปราการเหนือ สายตาที่มองมายังร่างสีดำของคนในตำหนักจึงแตกต่างกัน  บรรดานางกำนัลต่างกลัวจนไม่กล้ามองและคิดว่านางกำนัลผู้โชคร้ายคนนั้นคงโดนทรมานจนตายแน่ๆ ส่วนฮองเฮากลับมองท่านอ๋องเก้าด้วยดวงตาเป็นประกาย...หากนางได้ชายผู้นี้มาเป็นพวก การสืบต่อราชบัลลังก์ของลูกชายนางคงจะเป็นไปอย่างราบรื่นแน่ๆและอำนาจทั้งหมดก็คงจะตกอยู่ในมือของนางอย่างไม่ต้องสงสัย




ร่างในชุดสีดำยังคงก้าวขาเดินต่อไปราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้ำหนักบนบ่า ฟางหยางอี้ที่ติดตามมาในฐานะองครักษ์ยังคงมองท่านอ๋องของตนอย่างแปลกใจต่อไป เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องของเขาพาหญิงสาวกลับตำหนัก ที่ผ่านมาถึงจะเคยออกไปหาความสำราญตามประสาผู้ชายอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยหิ้วผู้หญิงที่ไหนเข้าไปเหยียบในตำหนักสักที ขนาดที่ตำหนักทางเหนือก็ไม่เคย

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของรองแม่ทัพฟางจึงจับจ้องไปที่ใบหน้าใสของนางกำนัลคนนั้นอีกครั้ง ใบหน้าหมดจดน่ารักดีทีเดียว ไม่สิดูดีๆแล้วนับว่าเป็นสาวงามที่สามารถคัดเป็นสนมได้เลยด้วยซ้ำ เอาเป็นว่ารูปร่างหน้าตาไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ไอ้นิสัยนี่สิ....

ฟางหยางอี้ที่เดินตามเจ้านายของตัวเองอยู่ยิ้มแห้งๆออกมาเมื่อมองหน้าเด็กสาวที่ถูกอุ้มอยู่บนบ่าของท่านอ๋องเก้า  ใบหน้ามนทำแก้มป่องพองลมอย่างไม่พอใจที่ถูกอุ้มด้วยท่าทางหน้าอายแบบนั้นและตอนนี้ก็กำลังแยกเขี้ยวใส่แผ่นหลังของท่านอ๋องเหมือนลูกหมาที่กำลังขู่?

“ท่านอ๋อง...เพคะ  ให้ข้าเดินเองดีกว่าหรือไม่...เพคะ”   แล้วในที่สุดเด็กสาวก็พูดออกไปจนได้ เสียงที่ดังมาจากแผ่นหลังไม่ได้ทำให้ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีดำเปลี่ยนแปรไป นัยน์ตาสีขี้เถ้าเพียงเหลือบมองเอวบางที่ตนจับเอาไว้...หางเสียงที่ควรจะใช้พูดกับเชื้อพระวงศ์อย่างเขายังไม่ค่อยอยากจะพูดเลยนะยัยเด็กนี่ เพราะฉะนั้นสองขาจึงเพิ่มความเร็วขึ้นกว่าเดิม

“แอ่ก!”   จังหวะที่เปลี่ยนไปทำให้หน้าท้องแบนเรียบกระทบกับไหล่แข็งๆจนริมฝีปากสีสวยส่งเสียงแปลกๆออกมา ฟางหยางอี้กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น ส่วนท่านอ๋องนั้นกำลังขมวดคิ้วเรียวจนแทบจะผูกเป็นปม ตอนนี้เขาชักจะไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเด็กนี่ถึงได้ขาดความเป็นกุลสตรีขนาดนี้....

“ท่าน...เดินให้มันนิ่มนวลหน่อยได้หรือไม่? ท้องข้าระบมไปหมดแล้ว”   ยังมีหน้ามาต่อว่าเขาอีก ไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตัวเองเป็นแค่นักโทษที่ถูกเขาคุมตัวมา เจ้าผู้ร้ายไม่รู้ประสีประสานี่

สองขาก้าวข้ามธรณีประตูของตำหนักองค์ชายเก้าในวังหน้า เหล่าองค์รักษ์ต่างมาต้อนรับและต่างทำหน้าประหลาดใจไปตามๆกันเมื่อเห็นร่างโปร่งบางที่อยู่บนบ่าท่านแม่ทัพของตน มือแข็งแรงโบกน้อยๆแทนคำบอกว่าจะไปทำอะไรกันก็ไปและไม่ต้องเข้ามาใกล้เรือนพักของเขาในช่วงนี้ ทหารในกององครักษ์จึงแยกย้ายกันไปประจำตามจุดต่างๆทันที  จะมีก็เพียงฟางหยางอี้ที่ผลุบหายเข้าห้องครัวก่อนจะถือถาดใส่เหล้าเดินตามเข้าไปในเรือนพักของท่านอ๋อง

ร่างสง่างามไม่ได้หยุดอยู่ในเรือนพักแต่กลับเดินต่อไปยังบ่อแช่น้ำที่อยู่ด้านหลัง มันเป็นบ่อกลางแจ้งที่มีสวนเล็กๆและผนังไม้ไผ่ทองล้อมรอบ


ตู้ม!!


ร่างบนบ่าถูกโยนลงบ่ออาบน้ำอย่างไม่ปรานี ก่อนที่ท่านอ๋องเก้าจะเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนข้างบ่อ มือยกจอกเหล้าที่ฟางหยางอี้รินให้ขึ้นจิบพลางมองดูร่างโปร่งบางที่มีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำด้วยสายตารื่นรมณ์ สายตาคมกริบจับจ้องไปที่เสื้อผ้าบางๆที่เปียกลู่ติดลำตัว ถึงเด็กนั่นจะมีทรวดทรงองเอวอรชรอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงเพียงใด แต่หน้าอกกลับแบนเรียบเสียยิ่งกว่าเรียบ ยิ่งยามเปียกน้ำแบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่แค่หน้าอกของเด็กสาวที่ยังไม่ขึ้น แต่มันไม่มีเลยเสียมากกว่า ที่เขาสงสัยมันไม่ผิดเลยจริงๆ เจ้าเด็กนี่น่ะมัน....

ร่างโปร่งบางตะกุยตะกายขึ้นมาจากน้ำ เพราะไม่คาดฝันว่าเจ้าองค์ชายป่าเถื่อนนี่จะโยนตนลงบ่อจึงทำให้ไม่ได้เตรียมตัวจนสำลักน้ำไปหลายที หัวสีน้ำตาลเปียกปอนสะบัดไปมาก่อนจะอ้าปากด่าคนที่นั่งจิบเหล้าสบายใจอยู่ด้านบนอย่างไม่ได้สำนึกเลยว่าอีกฝ่ายเป็นถึงท่านอ๋อง อำนาจก็มีน้องๆฮ่องเต้นี่แหละ

“ท่าน! ท่านเป็นสุภาพบุรุษ ไหนเลยจึงรังแกข้าที่เป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอเยี่ยงนี้ อายฟ้าดินเสียบ้างเถิด!”   ใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายเก้าถึงกับหัวเราะออกมาขนาดที่ฟางหยางอี้ยังตกใจ...ก็ดูเจ้าลูกหมานี่สิ มันยังกล้าแถต่อไปอย่างหน้าไม่อายเลยจริงๆ

ร่างแข็งแกร่งจึงลุกขึ้นช้าๆ นัยน์ตาคมกล้าจับจ้องไปที่ร่างในบ่อราวกับราชสีห์จ้องมองเหยื่อ มือถือจอกเหล้าแล้วเดินเข้าไปนั่งยองๆที่ขอบบ่อก่อนจะเทเหล้าชั้นดีใส่หัวสีน้ำตาลด้วยแววตาเย็นเฉียบ แล้วเจ้าลูกหมานั่นก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ใบหน้าได้รูปสะบัดไปมาก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเคืองๆ มือแข็งแรงจึงทิ้งจอกเหล้าแล้วหันไปคว้าแขนผอมบางก่อนจะกระชากตัวเด็กนั่นขึ้นมา เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบใส่ใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราว

“ข้าจำเป็นต้องอายฟ้าดินด้วยหรือไง? ในเมื่อเจ้าหาใช่ผู้หญิงไม่”  นัยน์ตาของจอมทัพที่ผ่านการสอบสวนสายลับของข้าศึกมานักต่อนักเหลือบมองแผงอกแบนเรียบที่อยู่ภายใต้ชุดของนางกำนัล เจ้าเด็กนี่มันแทบไม่ต้องเค้นอะไรก็จับได้ง่ายๆแล้วว่าเป็นผู้ชายปลอมตัวมา!

“เอ๊ะ?”

“อย่ามาทำไขสือ ข้ารู้หรอกว่าเจ้ายังมีความผิดติดตัวที่ยิ่งกว่าการทำน้ำชาหกรดข้าเสียอีก”  ใบหน้ามนผงะไปที่ถูกองค์ชายเก้าจับได้ว่าตนไม่ใช่นางกำนัลแถมยังเป็นผู้ชายปลอมตัวมา จึงตั้งใจจะถอยหนีแต่ก็ไม่ไวเท่าฝ่ามือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กที่บัดนี้มันกำลังบีบปลายคางมนแน่น 

“เจ้าตั้งใจจะแอบเข้ามาทำอะไรกันแน่? ลอบปลงพระชนม์? หรือเป็นสายสืบให้ใคร? ตอบข้ามา!”  หา? เขาก็แค่มาแอบดูความเป็นอยู่ของพวกนางใน แอบมาดูความสวยสดงดงามของตำหนักในที่ไม่ให้คนนอกอย่างเขาเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นแค่นั้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นสายสืบ?เป็นโจรชั่วร้ายที่คิดจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไปซะงั้น ท่านนี่มันน่าจับไปแต่งบทละครงิ้วเสียจริงๆ!

ใบหน้ามนพยายามสะบัดไปมาในขณะที่ส่งเสียงอื้อๆ มือแข็งแรงจึงยอมปล่อยปลายคางให้ริมฝีปากสีสวยได้พูดแก้ตัว

“ข้ายอมรับก็ได้ว่าข้าไม่ใช่นางกำนัล แต่ว่าข้าไม่ได้จะแอบเข้ามาทำเรื่องไม่ดีนะ! ข้าก็แค่อยากรู้ว่าพระราชวังหลังที่ต้องห้ามสำหรับสามัญชนอย่างข้ามันเป็นยังไงก็เท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นสายสืบแล้วก็ไม่ได้คิดจะมาฆ่าใครด้วย! ข้าเป็นนักแสดงในคณะงิ้วหลวง เข้ามาที่นี่ก็เพื่อแสดงงิ้วเท่านั้นแหละ!”   ใบหน้ามนหลับหูหลับตาสารภาพออกไปจนหมดเปลือก ทว่า ท่านแม่ทัพแห่งแดนเหนือที่ไม่เคยปล่อยความกังขาในตัวศัตรูให้หลุดลอดสายตากลับตอบเพียงว่า

“ข้าไม่เชื่อ”  โหยวอ้ายหลุนได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะมององค์ชายเก้าตาถลน

“ข้าพูดความจริงกลับไม่เชื่อ ถ้างั้นจะต้องทำยังไงล่ะ?!”  ริมฝีปากช่างเจรจาโวยวายตามประสา มือแข็งแรงจึงปล่อยร่างโปร่งลงบ่ออีกครั้งก่อนจะสะบัดกายเดินออกมา เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเยือกเย็นโดยที่ไม่หันมามองว่า

“ข้าจะขังเจ้าไว้ในตำหนักนี้ คอยจับตาดูเจ้าทุกฝีก้าว ถ้าโผล่หางมาเมื่อไหร่ข้าจะฆ่าเจ้าทันที” 

“แต่ข้าต้องกลับไปโรงงิ้ว คืนนี้จะมีการแสดงต่อหน้าพระพักต์ฮ่องเต้!”   เสียงใสตะโกนไล่หลัง ใบหน้าหล่อเหลาจึงตอบกลับไปก่อนมือใหญ่จะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา

“ใครจะสน” 

“ท่านนี่มัน! ปล่อยข้านะ!”   เสียงจ๋อมๆดังอยู่ข้างหลังกำแพงก่อนที่เสียงทุบประตูรัวๆจะดังตามมา ท่านอ๋องเก้าปล่อยให้เจ้าลูกหมาโวยวายอยู่แบบนั้นในขณะที่ตนเองก้าวเข้าเรือนพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่  คืนนี้เขาคงต้องเข้าไปถามที่โรงงิ้วเสียหน่อย...ว่าได้ปล่อยลูกหมาไปหลงทางอยู่ในวังหรือไม่...







แม้ท้องฟ้าภายนอกจะเปลี่ยนเป็นสีดำแต่ท้องฟ้าภายในวังหลังต่างยังสว่างไสวไปด้วยคบไฟมากมายสมเป็นบรรยากาศของงานเฉลิมฉลองเสียจริงๆ

องค์ชายเก้าหลี่เว่ยยังสวมชุดสีดำตามเดิมส่งเสริมให้ยิ่งดูน่ากลัวแต่กระนั้นก็เป็นสเน่ห์ยั่วเย้าให้ต้องแอบเหลียวหลังมอง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเดินจากวังหน้ามายังวังหลังฝั่งตะวันออกโดยมีองครักษ์ติดตามมาแค่คนเดียวซึ่งต่างจากบรรดาสนมและองค์ชายคนอื่นๆที่มีนางกำนัลหรือไม่ก็ผู้ติดตามเป็นขบวน

ฟางหยางอี้ลอบมองเสี้ยวหน้าท่านอ๋องของตนก่อนจะนึกขำ ดูท่าท่านอ๋องคงอยากอ้าปากหาวเสียเต็มประดา ก็งานพบปะสังสรรค์ของบรรดาชนชั้นสูงแบบนี้คงเป็นเรื่องน่าเบื่อของท่านอ๋องเป็นแน่ ดวงตาสีขี้เถ้าถึงได้กลับมาเย็นชาต่างจากแววตาสนุกสนานตอนอยู่กับเจ้าลูกหมาที่ถูกขังอยู่ที่ตำหนักนัก


ท่านอ๋องเก้าเสด็จ~’


ร่างแข็งแกร่งก้าวขาข้ามธรณีประตูที่ล้อมรอบโรงงิ้วไป ขันทีเชื้อเชิญให้เขาเดินไปตามระเบียงทางเดินก่อนเข้าสู่อาคารที่นั่งชมสำหรับเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ มันอยู่ตรงหน้าโรงงิ้วและลานแสดงพอดี ดูก็รู้ว่าตำแหน่งนี้คือตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับชมการแสดง

“น้องเก้ามาแล้วรึ? นั่งก่อนสิ”   ใบหน้าหล่อเหลาพยักตอบรับเสียงทักทายของฮ่องเต้ก่อนจะเลือกเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกับอ๋องห้าที่มานานแล้ว ดูเหมือนส่วนใหญ่จะมากันหมดแล้วสินะ...ไม่สิ...ยังเหลืออีกคน


ท่านอ๋องสี่เสด็จ~’


พูดยังไม่ทันขาดคำ ขันทีหน้าโรงงิ้วก็ขานบอกถึงการเสด็จมาของเชื้อพระวงศ์คนสุดท้าย นัยน์ตาคมกล้าตวัดขึ้นมองพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน หากคิดว่าอ๋องสี่จะมีรูปลักษณ์น่าเกลียดอย่างคนมักใหญ่ใฝ่สูงที่หวังอำนาจจนทำเรื่องชั่วช้าอย่างก่อกบฏแล้วละก็คงต้องบอกว่าคิดผิดไปถนัด

เพราะร่างในชุดสีขาวที่ก้าวขาเข้ามานั้นกลับสะกดทุกสายตาได้เป็นอย่างดี ท่านอ๋องสี่หรือองค์ชายสี่ลี่หลินนั้นมีรูปลักษณ์ราวกับเทพบนสรวงสวรรค์ เพราะเป็นลูกชายของพระสนมเอกที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในบรรดาสนมทั้งหมดของฮ่องเต้คนก่อน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่องค์ชายสี่จะเป็นองค์ชายที่รูปงามที่สุดในบรรดาพี่น้องสิบสามคน มันเป็นความงามที่ลึกล้ำแตกต่างจากความหล่อเหลาที่ดูสุขุมเยือกเย็นขององค์ชายใหญ่  แตกต่างจากความหล่อเหลาที่ดูใจดีโอบอ้อมอารีขององค์ชายห้า แตกต่างจากความหล่อเหลาที่ดูเย็นชาขององค์ชายเก้า แต่ความหล่อเหลาขององค์ชายสี่เป็นความงดงามคล้ายกับหยกเนื้อดีที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกใบนี้ ขนาดดวงตาเรียวสวยที่ประดับอยู่บนใบหน้าหมดจดยังมีสีราวกับหยกเลย
                                                                                                                                                                                          
นัยน์ตาสีขี้เถ้าขององค์ชายเก้าไม่ลืมที่จะสังเกตปฏิกิริยาระหว่างพี่สี่กับพี่ใหญ่ ใบหน้าของอ๋องสี่ยิ้มเย้ยหยันส่งให้ในขณะที่ฮ่องเต้ก็ตอบกลับมาเพียงสายตามืดมน...ทั้งสองคนไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แม่ของพี่ชายใหญ่คือฮองเฮาที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลัง แต่ก็มีเพียงอำนาจหาได้มีใครรักด้วยความจริงใจไม่ ต่างจากแม่ของพี่สี่ที่เป็นพระสนมเอกซึ่งเสด็จพ่อรักและเอ็นดู เพราะฉะนั้นพี่สี่จึงเติบโตมาด้วยความรัก พี่น้องคนอื่นๆก็มักจะเข้าข้างพี่สี่ ตำหนักทั้งสองฝั่งในสมัยนั้นจึงร้อนเป็นไฟด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้...องค์ชายใหญ่มีอำนาจล้นเหลือแต่ก็อยู่ตัวคนเดียว ต่างจากองค์ชายสี่ที่มีแต่คนรักและไม่ว่าจะเอ่ยปากอะไรพี่น้องส่วนใหญ่ก็ยินดีช่วยเหลือ...จนต้องจบชีวิตลงต่อหน้าพี่สี่นั่นไงเล่า

องค์ชายใหญ่ที่เพิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้สั่งประหารพี่น้องทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏแม้เพียงนิด ราวกับต้องการจะตัดแขนตัดขาเด็ดปีกของพี่สี่ไม่ให้ใบหน้างดงามนั่นได้หยิ่งผยองอีกต่อไป...แต่ถึงกระนั้นองค์ชายสี่ก็ยังไม่สิ้นลาย ต่อให้ถูกริดรอนอำนาจไปกว่าครึ่งแต่คนที่จงรักและภักดีต่อองค์ชายสี่ก็ยังมีอยู่มากจริงๆ

ถึงจะไม่มากเท่ากำลังทหารของเขาก็เถอะนะ....มือแข็งแรงยกชาขึ้นมาจิบในขณะที่ลอบมองพี่สี่กับพี่ใหญ่ต่อไป

“ฝ่าบาท...ข้าขออนุญาตินั่งข้างๆน้องเก้าได้หรือไม่? ข้าไม่เจอน้องเก้ามาตั้งนานมีเรื่องจะคุยมากมาย”   แล้วสิ่งที่อ๋องสี่เอ่ยออกไปก็ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าสวยของฮองเฮาแทบจะกลายเป็นยักษ์ก่อนจะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ อ๋องสี่หัวเราะในลำคอก่อนจะเดินมานั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะอนุญาติหรือไม่ ยังคงเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่เปลี่ยนเลยนะพี่ชายคนที่สี่ของเขา

“เอาเถอะ เริ่มงานเลยก็แล้วกัน ขันที...ไปบอกให้คณะงิ้วเริ่มแสดงได้แล้ว”   ฮ่องเต้เอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยล้า ดูจากสีหน้าที่ไม่อยากรบรากับพี่สี่แล้วก็พอจะเดาได้ว่าฮ่องเต้น่าจะอาการไม่ดีเท่าไหร่

จะว่าไปองค์ชายสี่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากไปกว่าการทักทายธรรมดาๆ ที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่คงแค่ต้องการยั่วโมโหฮองเฮาก็เท่านั้น บัดนี้องค์ชายเก้าจึงได้มีเวลาเฝ้ามองการแสดงของคณะงิ้วอย่างสงบ

การแสดงดำเนินต่อไปอย่างไหลลื่น...ไม่เห็นจะดูเหมือนขาดนักแสดงไปตั้งคนหนึ่งตรงไหนเลย? หรือเจ้าลูกหมานั่นบังอาจโกหกเขา?

“ขันที!”   เสียงทรงอำนาจที่ดังมาจากโต๊ะของฮองเฮาทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ใบหน้าหล่อเหลาเบือนจากโรงงิ้วสามชั้นก่อนจะเหลือบมองอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไปบอกพวกคณะงิ้วว่าให้เปลี่ยนบทเสียใหม่ ฮองเฮาในเรื่องจะต้องไม่ตาย แล้วพรุ่งนี้ตอนกลางวันข้าจะมาดูเป็นการส่วนตัว”   ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มอย่างสวยงามเอ่ยสั่งขันทีด้วยความฉุนเฉียว  กับแค่การแสดงแค่นี้ถึงกับต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยหรือไง?

“พะยะค่ะ”   ขันทีน้อมรับอย่างลนลานก่อนจะรีบวิ่งออกไป

“หึ...เจ้าเห็นหรือไม่เล่าน้องเก้า ความเอาแต่ใจและวางอำนาจบาตรใหญ่ของพี่สะใภ้เจ้า”   อ๋องสี่ขยับเข้ามาพูดข้างหูก่อนที่ร่างในชุดสีขาวนั่นจะละออกไป พัดในมือโบกไหวน้อยๆก่อนจะทอดสายตามองทุกอย่างด้วยใบหน้าสบายใจ

เห็นสิ...เขาเห็นมาหลายอย่างเลย ไม่ใช่แค่ฮองเฮาเท่านั้นแต่เขาก็เห็นว่าพี่สี่เองก็กำลังพยายามโน้มน้าวให้เขาเข้าไปเป็นพวกโดยไม่กระโตกกระตากอยู่...

เพราะเขาถูกส่งไปอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่เด็กจึงไม่ได้สนิทกับพี่สี่มากนักและอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าการจะเข้าหาเขาคงจะมาแบบตรงๆไม่ได้ จากนี้ไปคงจะพยายามหลอกล่อเขาในอีกหลายทางและอย่างหนึ่งก็คือการชี้ให้เห็นถึงความไม่ดีของฝ่ายตรงข้ามอย่างฮองเฮา...ซึ่งพี่ห้าก็เคยกล่าวไว้เช่นกัน

เอาเถอะ...จะมาไม้ไหนเขาก็ไม่เกี่ยง ตอนนี้เขาจึงตั้งใจจะดูท่าทีของทั้งสองฝ่ายไปก่อน

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักหันกลับไปมองการแสดงของคณะงิ้วอีกครั้ง แต่เดิมเขาไม่ได้สนใจการแสดงอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ทำไมพอคิดว่าภายใต้ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันแบบนั้นเป็นหน้าของเจ้าลูกหมา...มันก็ทำให้มุมปากยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว




การแสดงจบลงและงานเลี้ยงก็เลิกรา ฝ่าบาทและฮองเฮาเสด็จกลับตำหนักไปแล้วรวมถึงอ๋องสี่กับอ๋องห้าก็ขอลากลับจวนที่อยู่นอกวัง ขณะนี้องค์ชายเก้าถึงได้เดินอยู่เพียงลำพังกับองครักษ์ประจำกายเท่านั้น

ร่างสง่าไม่ได้จะเดินกลับตำหนักแต่กลับเดินเข้าไปยังหลังโรงงิ้วที่ดูเหมือนจะกำลังประชุมอย่างเคร่งเครียดกันอยู่...คงจะเป็นเพราะคำสั่งของฮองเฮาสินะ?

“ข้าขอพบกับหัวหน้าของพวกเจ้าหน่อย”   เสียงทุ้มเอ่ยบอกนักแสดงที่นั่งอยู่นอกสุด และเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ากลับมาแล้วพบว่าเป็นเขาเข้า จึงรีบวิ่งลนลานไปบอกเจ้าของคณะงิ้วให้มาพบทันที

“คาราวะท่านอ๋องเก้า...ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้พะยะค่ะ”   ชายวัยกลางคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้า มือแข็งแรงจึงสะบัดเบาๆให้อีกฝ่ายลุกขึ้น

“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าหน่อย...มีคนในคณะงิ้วของเจ้าหายตัวไปบ้างหรือไม่”   แล้วคำถามแทงใจของเขาก็ทำให้ใบหน้าของชายวัยกลางคนผงะไปก่อนจะเสสายตาหนีอย่างอ้ำๆอึ้งๆ ดูก็รู้ว่ามีพิรุธเป็นอย่างมาก

“...........”   เจ้าของคณะงิ้วยังไม่ยอมเปิดปากราวกับกำลังกลัวความผิด แต่เมื่อเหลือบขึ้นมาเจอสายตาเย็นเฉียบของจอมทัพแห่งแดนเหนือเข้า ร่างสูงใหญ่ก็ถึงกับเข่าอ่อนก่อนจะทรุดลงไปก้มหัวอยู่ตรงหน้า

“ขออภัยพะยะค่ะท่านอ๋อง ถ้าเกิดเด็กคนนั้นไปทำอะไรเข้าขอโปรดให้อภัยเขาด้วยท่านอ๋อง”   นี่ถ้าพุ่งเข้ามากอดขาเขาได้ก็คงจะทำไปแล้วสินะ? แต่ดูจากท่าทางลนลานของเจ้าของคณะงิ้วแสดงว่ามีคนหายไปจริงๆ...เจ้าลูกหมานั่นไม่ได้โกหก?

“คนที่หายไปมีลักษณะท่าทางยังไง?”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กระนั้นก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกกดดันอยู่ดี เจ้าของคณะงิ้วจึงเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“เป็นเด็กผู้ชายอายุราวๆ15-16ปีพะยะค่ะ แต่ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็มีรูปร่างแบบบางเหมือนผู้หญิง ยิ่งใบหน้ายิ่งเหมือนผู้หญิง ดวงตาโตๆสีมรกต ผมยาวสีน้ำตาล ใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย โดยรวมแล้วถือว่างดงามน่ารักทีเดียวพะยะค่ะ...”   ลักษณะที่เจ้าของคณะงิ้วบรรยายมาตรงกับเจ้าลูกหมาทุกอย่าง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจ เพราะคณะงิ้วที่เป็นคนนอกนี้เองก็อาจจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ก็ได้ อาจจะรวมหัวกับเด็กนั่นหรือไม่ก็ส่งตัวเด็กนั่นออกไปสืบข่าวในวังเสียเองก็เป็นได้

“ตอนนี้เด็กนั่นอยู่กับข้า เขายังปลอดภัยดี แต่ข้าก็ไม่รับปากว่าเขาจะยังปลอดภัยแบบนี้ไปตลอดหรือไม่ เพราะเขาปลอมตัวเป็นนางกำนัลแล้วแอบลอบเข้าไปในวังหลัง หากมีคนรู้ความจริงเข้าไม่เพียงแต่เขาที่จะถูกตัดหัว แต่พวกเจ้าเองก็จะโดนลงโทษเช่นกัน”   เขาตั้งใจจะข่มขู่พวกคณะงิ้วแล้วมันก็ดูจะได้ผลดีเสียด้วยเมื่อคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าหน้าถอดสีทันที

“เจ้าลูกคนนี้ ทั้งๆที่ข้าก็สั่งนักสั่งหนาเอาไว้แล้วว่าอย่าซุกซนทำไมถึงไม่เชื่อข้า....ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องช่วยเสี่ยวหลุนด้วยเถอะพะยะค่ะ พวกข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้แน่ จะไม่มีใครปริปากเรื่องเสี่ยวหลุนแน่ข้ารับประกัน”   เจ้าของคณะงิ้วก้มหัวขอร้องเขาอย่างลนลาน นักแสดงคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ทำหน้าหวาดกลัวว่าตนอาจจะต้องโทษโดนประหารไปด้วยก็ได้ถ้าเรื่องของเด็กนั่นหลุดออกไปจึงต่างคุกเข่าสาบานกับเขาเป็นเสียงเดียวว่าจะไม่บอกใคร

หึ...เท่านี้ก็จะไม่มีใครในวังรู้แล้วว่านางกำนัลกำมะลอคนนั้นเป็นคนของคณะงิ้วปลอมตัวเข้ามา

อีกอย่าง...ถ้าพวกนี้รวมหัวกันอยู่จริงก็จะถือเป็นการตัดการติดต่อระหว่างเด็กนั่นกับคณะงิ้วด้วยอีกทาง สายลับที่ตกอยู่ในมือเขาก็ไม่ต่างจากของที่ใช้การอะไรไม่ได้แล้วหรอก

“ได้สิข้าจะช่วย แต่เด็กนั่นคงต้องอยู่กับข้าไปสักระยะหนึ่ง เพราะไปก่อเรื่องเอาไว้ถ้าหายตัวไปเลยคงจะโดนสงสัยแน่ๆ”   เขาก็พูดไปอย่างงั้น อันที่จริงคนในวังหลังต่างคิดว่าเด็กนั่นจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ด้วยซ้ำเมื่อตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว

“ขอบคุณพะยะค่ะท่านอ๋อง ถือเป็นบุญคุณล้นเกล้าที่ทรงช่วยเสี่ยวหลุน”  คนในคณะงิ้วคาราวะเขาหัวจรดพื้นราวกับกำลังคำนับฟ้าดิน เสียงทุ้มจึงเอ่ยย้ำอีกครั้งให้มั่นใจ

“จงจำเอาไว้...หากมีใครมาถามหาเด็กนั่น จงบอกเขาไปว่าไม่เคยมีเด็กนั่นอยู่ในคณะงิ้วของเจ้า เข้าใจหรือไม่”

“พะยะค่ะ!










องค์ชายเก้าเดินกลับตำหนักในวังหน้าอย่างอารมณ์ดี ฟางหยางอี้ลอบมองท่านอ๋องของตนด้วยสายตาสงสัยอีกครั้ง การกระทำของท่านอ๋องนี่เข้าข่ายไปหลอกเอาลูกชาวบ้านมาเป็นเมียเก็บอะไรทำนองนั้นเลยไม่ใช่หรือไง? เพราะจากนี้ไปเจ้าลูกหมานั่นก็จะไม่มีตัวตนในคณะงิ้วอีกต่อไปแต่กลับอยู่ข้างกายท่านอ๋องได้โดยไม่มีใครสงสัยอีก?

รองแม่ทัพฟางถึงกับส่ายหน้า นี่ถ้าเฟยหลิงรู้ถึงพฤติกรรมแปลกๆของท่านอ๋องหลังจากเจอเจ้าลูกหมานั่นเข้าคงได้เอาเลือดหัวเขาออกแน่โทษฐานที่ดูแลท่านอ๋องไม่ดีจนไปโดนเสน่ห์ยาแฝกของลูกหมาเอาแบบนี้

ท่านอ๋องนะท่านอ๋อง ทีสาวสวยช่างเอาอกเอาใจว่านอนสอนง่ายยอมพลีกายให้แค่ท่านขยิบตากลับไม่สนใจ แล้วมาตกหลุมเจ้าลูกหมาที่ยังตะกายกำแพงแกร่กๆตะโกนด่าปาวๆไม่หยุดหย่อนแบบนี้เนี่ยนะ?

ฟางหยางอี้มองประตูระหว่างเรือนพักกับบริเวณอ่างแช่น้ำด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้เจ้าเด็กนั่นยังแหกปากดังลั่นอยู่เลย

“เจ้าไปพักเถอะ ทางนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง”   ท่านอ๋องเอ่ยบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย ฟางหยางอี้จึงได้ขอตัวออกมา

ร่างสง่าไม่ได้สนใจเสียงโวยวายที่ดังอยู่หลังประตูมากนัก มือแข็งแรงถอดเสื้อคลุมสีดำออกก่อนจะตามด้วยปิ่นมาลาที่บ่งบอกสถานะเชื้อพระวงศ์ ตอนนี้จึงมีเพียงผ้าสีดำผืนยาวเท่านั้นที่มัดผมของเขาอยู่...ดูเหมือนเสียงตะโกนจะเงียบไป? ใบหน้าหล่อเหลาจึงหันไปมองอย่างสงสัย อย่างเจ้าเด็กนั่นไม่น่าจะจู่ๆก็หลับไปหรอก?

จอมทัพแห่งปราการเหนือจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปดู แล้วก็ทันเห็นร่างโปร่งบางในชุดนางกำนัลนั่นกำลังพยายามปีนกำแพงหนีเข้าพอดิบพอดี....

ตอนนี้ร่างโปร่งบางกำลังพาดอยู่บนสันกำแพงซึ่งตกแต่งคล้ายหลังคา ก้นสวยๆนั่นหันมาหาเขาเจ้าเด็กนั่นถึงได้ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอยู่ เสียงใสบ่นงึมงำด่าทอกำแพงที่สูงจนเกินไปทำให้ปีนข้ามไม่ได้ง่ายๆ...บอกตามตรงว่ามันน่าลากลงมาตีให้ก้นลายนัก

ใบหน้าหล่อเหลาเฝ้ามองภาพอันน่าขำนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าเด็กนั่นคิดจะหนีไปจากเขา กล้าขัดคำสั่งเขา หากเป็นทหารในกองทัพคงถูกเขาสั่งตัดหัวไปแล้ว...แต่ตอนนี้เขาจะทำแบบนั้นกับเด็กนี่ทั้งที่ยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แอบลอบเข้าวังมาไม่ได้...ถ้างั้นคงต้องใช้วิธีอื่นในการลงโทษให้หลาบจำเสียแล้วละ...

“เหว๋อ?! อะไรๆ?!!”   ใบหน้ามนร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆเอวบางของตนก็ถูกจับเอาไว้ก่อนที่องค์ชายเก้าจะกระโดดลงจากกำแพงด้วยท่าทางสบายๆ แล้วคนที่อุตส่าห์ปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเลก็ลงมานั่งกองอยู่กับพื้นอีกครั้ง ใบหน้ามนเงยขึ้นมองใบหน้าเย็นชาอย่างเคืองๆก่อนจะหันไปมองกำแพงอย่างเจ็บใจ อีกนิดเดียวก็จะข้ามไปได้แล้วแท้ๆ~

“คิดจะทำอะไร?”   องค์ชายเก้ายกแขนขึ้นกอดอกก่อนจะมองลงมาด้วยสายตาทะมึน แต่อีกฝ่ายก็หาได้สำนึก

“ก็จะปีนกำแพงหนีท่านน่ะสิ ไม่เห็นต้องถาม”   แก้มใสพองลมจนน่าจับดึงให้ยืด ตั้งแต่เกิดมาด้วยฐานะองค์ชายและไอเย็นยะเยือกที่เขาแผ่ออกไปทำให้ไม่เคยมีใครกล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาเช่นนี้ จะว่าน่าหงุดหงิดหรือน่าสนุกเขาก็ชักไม่แน่ใจ

“รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นความผิดและข้าก็จะต้องลงโทษเจ้า อีกอย่าง...หากเจ้ายังไม่รู้ตัวข้าก็จะบอกเจ้าให้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษของข้า ถึงเจ้าจะปีนข้ามไปได้แต่เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้นในกำแพงสีเลือดหมูแห่งนี้”   ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้กรอบผมยาวสีดำที่กำลังพริ้วไหวเคลียไหล่เหยียดมองเจ้าลูกหมาด้วยท่าทางที่เหนือกว่า

“ฮึ่ม....”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงเป็นกระเซิงนิดๆเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจและท่าทีที่ดูพยศยิ่งกว่าม้ามันกลับทำให้ยิ่งอยากกำราบให้ยอมศิโรราบต่อเขายิ่งนัก นัยน์ตาสีขี้เถ้าไล่มองร่างกายโปร่งบางที่อยู่ในชุดนางกำนัลยับๆ ริมฝีปากจึงยกยิ้มนิดๆเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

“ข้าให้เจ้าเลือกก็ได้...ว่าอยากจะให้ข้าลงโทษเจ้าแบบนักโทษผู้ชายหรือนักโทษผู้หญิง?”

“ข้าไม่ใช่นักโทษสักหน่อย แล้วท่านเองก็เถอะมีสิทธิ์อะไรมาลงโทษข้า?!  เจ้าเด็กตรงหน้ายังคงเถียงคำไม่ตกฟากและมันก็ทำให้ใบหน้านิ่งสนิทสาธยายเป็นสายน้ำออกมา

“เจ้าปลอมตัวเป็นนางกำนัลลอบเข้าวังมาทั้งๆที่เป็นผู้ชาย แค่ก้าวขาเข้ามาในวังหลังโดยไม่ได้รับอนุญาติจากฮ่องเต้แค่นี้หัวเจ้าก็หลุดจากบ่าได้แล้ว...นอกจากนี้ยังคิดจะหนีจากการจับกุมของข้า...ทำน้ำชาหกใส่องค์ชายเก้าอย่างข้า...ไหนบอกมาสิว่าข้าควรจะลงโทษเจ้าหรือไม่?”

“...............”    เจ้าลูกหมาเหลือขอนิ่งเงียบไปทันทีแต่ริมฝีปากที่กัดกันกรอดๆอย่างเถียงไม่ออกนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้จะยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดีหรอก

หึ...แบบนี้ก็ยิ่งน่าสนุก...

“ฮึ่ม...ยังไงท่านก็จะลงโทษข้าให้ได้เลยใช่ไหม?”

“ใช่”  หลังจากได้ฟังร่างโปร่งบางก็สบถด่าอยู่ในใจ...เจ้าอ๋องใจยักษ์! เจ้าแม่ทัพชั่วร้าย! เจ้าองค์ชายนิสัยไม่ดี! ข้าแอบเข้าวังมาแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน?! น้ำชาก็แค่หกรดเจ้านิดๆหน่อยๆทำเป็นบ่นเสียมากมาย...แล้วข้าก็แค่จะแอบหนีไปจากเจ้าก็เท่าเนี้ย....ผิดยังไง?....อือ...ก็ผิดแหละแต่ก็...เล็กน้อยเองน่า...อ่า...แต่ถ้าเป็นพ่อบุญธรรมคงตีข้าตายไปแล้วละป่านนี้...

ก็ได้! ข้ายอมให้เจ้าลงโทษก็ได้! เพราะพ่อข้าสอนมาดีหรอกนะ!

นัยน์ตาสีมรกตจ้องเขม็งมององค์ชายหลี่เว่ยอย่างเคืองๆ ในหัวกำลังครุ่นคิดหาทางให้ถูกทำโทษน้อยที่สุด...ถ้าลงโทษแบบนักโทษผู้ชาย เขาไม่โดนโบยจนหลังลาย จากนั้นก็ถูกเหล็กร้อนๆนาบ ถูกส่งไปใช้แรงงานที่ชายแดน ถูกอดข้าวอดน้ำ สุดท้ายก็ถูกขังลืมจนตายไปเองหรอกเหรอเนี่ย....

ยังไงซะการลงโทษแบบนักโทษผู้หญิงก็คงจะเบากว่าหลายเท่าอยู่แล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นริมฝีปากช่างเจรจาจึงเอ่ยตอบออกไปด้วยเสียงสดใส

“ข้าเลือกถูกลงโทษแบบนักโทษผู้หญิงก็แล้วกัน!   องค์ชายเก้าลอบยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ในใจ ก็คิดไว้ผิดเสียที่ไหนว่าเจ้าลูกหมาตัวดีนี่ต้องเลือกทางที่คิดว่าสบายกว่าอยู่แล้ว...หึ...เดี๋ยวก็รู้

“ดี...ถ้าเช่นนั้นจงรับการลงโทษจากข้าซะ”   ท่อนแขนแข็งแรงช้อนร่างอ้อนแอ้นขึ้นไปอุ้มไว้ในท่าอุ้มเจ้าสาว ใบหน้ามนยังคงมึนงงและกว่าจะรู้ตัว ร่างทั้งร่างก็ถูกวางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว

“ห๊ะ? ไม่ใช่จะให้ข้าไปกวาดบ้านถูบ้านล้างจานหรอกหรือ?”   ใบหน้ามนถามออกมาในขณะที่ก้มมองมือแข็งแรงที่กำลังแกะกระดุมชุดนางกำนัลของตนอยู่

“นั่นมันงานของนางกำนัล...ไม่ใช่นักโทษ”   ประโยคสุดท้ายใบหน้าหล่อเหลาจงใจขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆใบหูบาง ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดแก้มใสจนมันขึ้นสีแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาคมกล้าไล่มองใบหน้าของเจ้าเด็กในกำมือใกล้ๆ ถึงจะถูกโยนลงน้ำจนมอมแมมและไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมใดๆแต่ใบหน้าและผิวพรรณของเด็กนี่กลับเนียนมือจนเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงปลอมตัวเป็นนางกำนัลแล้วไม่มีขันทีคนไหนจับได้สักคน

“....?”   นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองเขาอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ใบหน้าหล่อเหลาจึงขยับเข้าไปกดจูบข้างแก้มใสก่อนจะไล่ลงไปที่ซอกคออย่างแผ่วเบา...กว่าครึ่งปีมานี้เขาก็เอาแต่ทำศึกกับพวกมองโกลจนไม่มีเวลาผ่อนคลายหรือหาความสำราญเหมือนผู้ชายคนอื่นๆเลย ไหนๆตอนนี้ก็มีเวลาเหลือเฟือ เช่นนั้นขอเล่นสนุกกับเจ้าลูกหมาไม่รู้ประสีประสานี่หน่อยก็แล้วกัน

ผ้าคาดเอวสีดำขององค์ชายเก้าถูกโยนลงข้างเตียงก่อนที่ชุดนางกำนัลจะถูกปลดออกจากกัน มือแข็งแรงแหวกรั้งมันไปข้างหลังจนเผยให้เห็นไหล่ผอมบางไม่ต่างจากไหล่ของผู้หญิง ผิวพรรณที่ขาวนวลเนียนทำเอานัยน์ตาราวกับพญาเหยี่ยวจ้องมองตาไม่กระพริบ ต่อให้ไม่มีหน้าอกแต่ดอกไม้สีชมพูสองดอกที่ประดับอยู่กลางแผงอกก็ทำให้สัตว์ร้ายในกายถูกปลุกขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เขาอยู่ในกองทัพมาตั้งแต่เด็ก รอบกายมีแต่ชายฉกรรจ์หยาบคายที่เอาแต่พูดถึงเรื่องบนเตียงกันอย่างสนุกปาก เคยได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าผู้ชายกับผู้ชายก็ร่วมรักกันได้ แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองก็จะสามารถมีปฏิกิริยากับเด็กผู้ชายได้เช่นกัน จากตอนแรกที่แค่อยากจะขู่ให้กลัวแต่ดูท่าจะเป็นเขาเองที่หลงมัวเมาไปกับร่างกายของเด็กนี่จนหยุดไม่อยู่

“โทษข้าไม่ได้นะ...เจ้าต่างหากที่เป็นคนผิด”   เสียงทุ้มกระซิบที่ใบหูบางของคนที่เริ่มจะขยับตัวหนีเพราะรับรู้ได้ถึงการคุกคามของเขา มือแข็งแรงจึงกดร่างโปร่งบางลงกับพื้นเตียงอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เส้นผมสีน้ำตาลที่ถูกเขาดึงผ้ารัดผมออกแผ่สยายเต็มหมอน เสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยแต่ก็ยังไม่หลุดออกไปจากร่างกายยิ่งส่งให้เด็กนั่นดูราวกับเกสรของดอกไม้ที่กำลังหลอกล่อให้เขาเข้าไปเชยชม ใบหน้าพริ้มเพรามีเพียงแววมึนงงแต่ก็ไม่ได้ตื่นกลัว มือใหญ่จึงดึงอาภรณ์ตัวสุดท้ายที่ปกปิดเบื้องล่างออกและนั่นก็ทำให้เจ้าลูกหมาที่กำลังสงสัยเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำไม่น่าจะเป็นเรื่องดี

“ท่านอ๋อง?! นี่ท่านกำลังจะทำอะไร? ข้าเป็นผู้ชายนะ?”   มือบางพยายามดึงผ้าเตี่ยวสีขาวของตนเอาไว้แต่มีหรือจะสู้แรงจอมทัพแห่งปราการเหนืออย่างเขาได้

“แล้วยังไง?”   ใบหน้าหล่อเหลาทำเป็นไม่เข้าใจและถามกลับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หากฟางหยางอี้ได้เห็นหน้าเขาในตอนนี้คงเป็นลมล้มพับก่อนจะฟื้นขึ้นมาคร่ำครวญต่อสวรรค์ว่าท่านอ๋องของตนถูกผีร้ายเข้าสิงเป็นแน่

“แล้วยังไงอะไรล่ะ?! ข้าเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย จะทำเรื่อง.....แบบนี้ได้ยังไง....”   ใบหน้าใสแดงจนแทบจะกลายเป็นลูกท้อ หึ...คงจะพอรู้อยู่บ้างสินะว่าเขากำลังจะทำอะไร

“ทำไมจะทำไม่ได้? เจ้าคอยดูก็แล้วกัน”  มือแข็งแรงจู่โจมไปยังส่วนอ่อนไหวแกนกลางร่างกายจนริมฝีปากช่างเจรจาถึงกับครวญครางออกมาพร้อมๆกับลำตัวบางที่บิดเร่าราวกับเพิ่งเคยถูกสัมผัสแบบนี้เป็นครั้งแรก มือบางพยายามยื้อยุดฉุดมือของเขาเอาไว้ ใบหน้าใสที่แดงจัดกำลังสูดลมหายใจเพื่อตั้งสติอย่างหนักจนน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนที่หัวสีน้ำตาลจะส่ายไปมารัวๆ

“ไม่ๆๆ! ถึงจะทำได้หรือไม่ได้แต่ยังไงข้าก็เป็นผู้เสียหาย! ข้าไม่ได้ยินยอมเพราะฉะนั้นข้าจะถือว่าท่านขืนใจข้าและข้าจะเอาไปฟ้องต่อฮ่องเต้!”   เจ้าลูกหมาพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อหาทางหนีแต่มีหรือที่คนที่เหนือกว่าอย่างเขาจะยอม ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปซุกไซร้ซอกคอระหงจนเส้นผมสีดำสัมผัสยอดอกสีชมพูแผ่วเบา เขากดจูบที่ใบหูบางจนร่างข้างใต้ถึงกับหลับตา ปฏิกิริยาที่อยู่ระหว่างความรู้สึกเคลิบเคลิ้มกับการต่อต้านของตัวเองทำให้เขาชอบใจ

“หึ...คิดว่าฮ่องเต้จะเชื่อนางกำนัลกำมะลออย่างเจ้าหรือองค์ชายเก้าอย่างข้ากันล่ะ?”  เสียงทุ้มกระซิบข้างหูอย่างจงใจยั่วเย้า ผู้หญิงที่ยอมอ้าขาให้เขาง่ายๆนั้นมีมากมายเพราะฉะนั้นเขาจึงชอบปฏิกิริยาของเจ้าลูกหมาในยามนี้เป็นที่สุด ต่อต้านเขาแต่ก็ถูกเขาไล่ต้อนจนมุม สุดท้ายก็หนีไปจากอ้อมแขนของเขาไม่ได้

“อึก....”   ใบหน้ามนชะงักไปเมื่อได้ฟังคำขู่จากเขา ตัวเองก็ดันทำความผิดติดตัวเอาไว้มากมายจึงต่อรองอะไรกับเขาไม่ได้

ใบหน้าคมจึงใช้โอกาสนั้นประกบปิดริมฝีปากสีสวยให้พูดจาอะไรไม่ได้อีก ลิ้นร้อนล่วงล้ำโดยเจ้าของกลีบปากมิได้ล่วงรู้ล่วงหน้า ลิ้นไร้เดียงสาจึงพยายามผลักไสเขากลับมาทว่ามันกลับเปิดช่องว่างให้เขายิ่งลุกไล่ได้มากขึ้น

ความรู้สึกแปลกประหลาดทบทวีทุกครั้งที่เรียวลิ้นขององค์ชายเก้ากวาดไล้ไปทั่วจนใบหูบางแดงซ่าน จะว่าหอมหวานปานจะขาดใจแต่มันกลับร้อนเป็นไฟอยู่ในอก สองมือที่เคยผลักแผ่นอกหนาออกไปกลับกำกระชับสาบเสื้อสีดำเอาไว้เมื่อรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงจะถูกสูบหายหมดด้วยริมฝีปากที่ยังบดเบียดเข้ามาไม่หยุดหย่อน

“อื้อ~  อื้ม...”   สองแก้มใสร้อนราวกับถูกไฟลวก สติแทบจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่ก็ยังรู้สึกอายที่มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ส่งเสียงครางครืออยู่ในลำคอ ฝ่ามือบางจึงทุบแผงอกแข็งๆสองสามทีเมื่อรู้สึกจะขาดใจตายเสียให้ได้ อากาศบนโลกใบนี้มันหมดไปแล้วหรือไงกันนะ?

“ฮ้า~ ฮ้า~ ฮ้า~...”   ใบหน้าที่แดงราวกับลูกท้อหอบหายใจหนักหน่วงเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ นัยน์ตาสีมรกตลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้มีแววตาอ่อนโยนกว่าที่เห็นเมื่อกี้นี้มาก มันจึงทำให้คนที่ต่อต้านเริ่มสับสนว่าจะเอายังไงดี...ปัดโธ่~~ท่านเป็นเจ้าอ๋องใจยักษ์! เจ้าแม่ทัพชั่วร้าย! เจ้าองค์ชายนิสัยไม่ดีนะ! จะทำหน้าแบบนี้ได้ยังไง! อย่ามาทำให้ข้าสับสนสิ!

“อย่า...”   เสียงต่อต้านเบาหวิวเอ่ยออกมาเมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปกดริมฝีปากที่ซอกคอ เส้นผมสีดำยาวสลวยที่นุ่มราวกับเส้นไหมที่ละอยู่ที่หน้าอกทำให้รู้สึกอายเสียจริงที่เส้นผมของเขากลับยุ่งเหยิงเป็นกระเซิงเหมือนขนหมาแบบนี้

องค์ชายเก้าลอบมองใบหน้ามนที่ดูเลื่อนลอยเคลิบเคลิ้มก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ดูจากแรงต้านที่ลดลงขนาดนี้แล้วเขาคงไม่ถูกเจ้าลูกหมานี่ตราหน้าว่าเป็นโจรขืนใจในวันพรุ่งนี้ยามที่ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ? มือแข็งแรงจึงขยับไปลูบไล้หน้าท้องแบนเรียบก่อนจะไล่เข้าใกล้ต้นขาขาว ทว่า

“ท่านอ๋อง! เกิดเรื่องใหญ่แล้วพะยะค่ะท่านอ๋อง!”   เจ้ามารผจญฟางหยางอี้กลับมาตะโกนปาวๆอยู่หน้าเรือนพักให้ฝ่ามือแข็งแรงถึงกับชะงักนิ่ง ครั้นจะทำเป็นไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายนั่นแล้วจัดการเจ้าเด็กตรงหน้าต่อไป...


โครมๆๆ!!


เจ้ารองแม่ทัพเดนตายนั่นก็เปลี่ยนไปเคาะประตูจนแทบจะพังลงมาแทน!

“.......”   ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงผ้าแพรขึ้นมาคลุมร่างกายบาง ร่างสง่าละออกมาก่อนจะหมายมั่นว่าหากไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือคอขาดบาดตายจริงๆเขาจะสั่งให้เจ้าฟางหยางอี้ไปยืนคาบไม้บรรทัดอยู่หน้าตำหนักสักสามคืน!


ปึง!


“มีอะไร?”   บานประตูถูกเปิดออกราวกับถูกพายุพัด รองแม่ทัพหนุ่มจึงได้เห็นว่าเบื้องหลังร่างแข็งแกร่งของท่านอ๋องที่แต่งกายไม่เรียบร้อยมีเจ้าลูกหมาดึงผ้าแพรมาห่อตัวไว้แล้วทำหน้าขู่ฟ่ออยู่บนเตียง...เอ่อ...ข้าน้อยผิดไปแล้ว แต่ข้าน้อยเองก็มีเรื่องจำเป็นจริงๆ....

“ขออภัยที่มารบกวนพะยะค่ะท่านอ๋อง แต่ว่าเฟยหลิงส่งม้าเร็วมาบอกว่าที่ปราการเหนือถูกพวกมองโกลลอบโจมตีตอนที่ท่านอ๋องไม่อยู่พะยะค่ะ”  


ปึง!!


คราวนี้ไม่ใช่เสียงเปิดประตูแต่เป็นเสียงฝ่ามือฟาดลงไปที่ผนังต่างหาก ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาราวกับเทพบนสรวงสวรรค์เปลี่ยนเป็นใบหน้าของปิศาจร้ายในทันทีที่ได้ฟังข่าวจากลูกน้อง...ไอ้พวกมองโกลเจ้าเล่ห์คงจะรู้ข่าวว่าเขาไม่อยู่ที่ป้อมสินะถึงได้คิดจะใช้จังหวะนี้ลอบโจมตีแบบหมาลอบกัด...ดี! แบบนี้มันต้องทำให้จำไปจนวันตายว่าหากเขาไม่ให้ก็จงอย่าได้คิดรุกล้ำเข้ามา!

“เตรียมม้า ข้าจะกลับป้อมเดี๋ยวนี้”   เสียงทุ้มกดต่ำจนแม้แต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างฟางหยางอี้ยังขนลุก ดูท่ากลับไปคราวนี้ท่านอ๋องคงกวาดล้างพวกมองโกลจนเฮี้ยนเตียนโล่งไปจากชายแดนแน่ๆ

“ส่วนเจ้า จงอยู่รอข้าที่นี่”    องค์ชายเก้าหันกลับไปบอกร่างที่นั่งอยู่บนเตียง ใบหน้ามนมองใบหน้าหล่อเหลานั่นอย่างสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร จะอยู่ที่นี่ต่อไปจะดีหรือไม่ ชีวิตมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนตัวเองก็เริ่มมึนงง

“ข้าไปคุยกับพวกคณะงิ้วมาแล้ว พวกนั้นจะไม่พูดเรื่องของเจ้าจะไม่มีเจ้าอยู่ในคณะงิ้วอีกต่อไป แต่หากเจ้ายังออกไปทำตัววุ่นวายข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้อีก ถ้าความลับเรื่องที่เจ้าเป็นบุรุษปลอมตัวเข้ามาเป็นนางกำนัลในวังหลังแพร่งพรายออกไปละก็ ไม่เพียงหัวเจ้าที่จะหลุดจากบ่าแต่ว่าคนของคณะงิ้วจะต้องโทษเช่นกัน”

“รอข้าอยู่ที่นี่...จำไว้ว่าเจ้าเป็นคนขององค์ชายเก้า จงอยู่เพื่อรักษาเกียรติของข้า โหยวอ้ายหลุน”

นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้างมองแผ่นหลังในชุดสีดำนั่นเดินจากไปทั้งๆที่หัวใจของตัวเองนั้นเพิ่งจะเคยเต้นกระหน่ำอย่างหนักน่วงขนาดนี้เป็นครั้งแรก...

เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจอมทัพแห่งปราการเหนือผู้นั้นถึงได้สั่งเคลื่อนทัพได้โดยไม่ต้องใช้ตราแม่ทัพ...

ร่างเปลือยเปล่าชันเข่าขึ้นมาก่อนจะกอดเอาไว้หลวมๆ ใบหน้ามนเกยลงไปโดยไอร้อนยังแผ่อยู่ทั่วแก้มใส...จงอยู่เพื่อรักษาเกียรติของข้า อะไรกันเล่า...เขาไม่ได้อยู่เพื่อท่านอ๋องใจยักษ์นั่นเสียหน่อย...ก็แค่...ที่นี่น่าจะมีอาหารอร่อยๆ...ก็เท่านั้นเอง....






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามตอนต่อไป...ไป...ไป....



โถ...ไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่อกินอาหารหรืออยู่เป็นอาหารให้ท่านอ๋องกันแน่นะลูกนะ =/////= อร๊ายยยย ตอนท้ายนี่เขิลแทนจริงๆ >/////< ลงไปดิ้น >/////<

ตอนแรกที่วางพล็อตก็ยังสับสนในตัวท่านอ๋องอยู่เหมือนกันว่าจะให้คุณหลี่เว่ยแกเย็นชาทำร้ายร่างกายและจิตใจนายเอกของเราดีไหม แต่สุดท้ายแล้วก็เลือกให้คุณหลี่เว่ยแกเป็นแบบพระเอ๊กพระเอก(เร๊อะ)ที่ค่อยๆสร้างความรักกับนายเอกของเราไปทีละเล็กละน้อยดีก่า *q* แต่รับรองว่าแกเจ้าเล่ห์เพทุบาย(?)กว่านายช่างในฟิคพญาเหยี่ยวแน่นอน กร๊ากกกก พักหลังๆนี่ไม่ค่อยได้แต่ง NC ของรีเอเท่าไหร่ จะว่าไปของคู่อื่นในเรื่องอื่นก็ด้วย ฮ่าๆๆๆ เรื่องนี้เลยตั้งใจจัดเต็ม(?) ก๊ากๆๆๆ // สนองนี๊ดตัวเองนี่เฮ้ย // แค่สองตอนแรกก็เกือบจะโดนซะแล้วนายเอกเรา :v ดีที่ท่านรองแม่ทัพเข้ามายับยั้งไว้ได้ทัน :v กร๊ากกกก // อย่าปาเปลือกทุเรียนใส่ฟางหยางอี้นะ! ฮีออกจะเป็นคนดี :v

แล้วก็ต้องขอขอบคุณหลายๆท่านที่ส่งเพลงจีนเข้ามาให้ฟังนะคะ โอยยยยย ฟังแต่ละเพลงแล้วจิ้นบรรลัยมากค่ะ ฮืออออ เพราะๆทั้งน้านนนน >/////<  ล่าสุดนี่เพิ่งไปตกบ่วงป่าท้อสิบหลี่มา...*q* // ล่อลวงโดยน้องบี ไม่ทราบนามสกุล... // คือตามไปแอบอ่านเนื้อเรื่องย่อหลังจากที่ได้ฟังเพลงของเวอร์ชั่นละครแล้วแบบว่า...ถ้ามีเวลาตรูจะต้องดูให้ได้เลย สามชาติ สามภพ ป่าท้อสิบหลี่เนี่ยฟฟฟฟฟฟ แค่เรื่องย่อก็สนุกตายกันไปข้างแล้วอ่ะ อะไรจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนรักคนคนเดียวสามภพสามชาติขนาดน้าน โฮวววว อยากแต่งฟิคได้แบบนี้บ้างจุง งื้อๆๆๆ

แปะเพลงซักหน่อย >/////<



ขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเม้นต์ด้วยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า >v<



5 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ท่านแม่ทัพที่อารมณ์ค้าง เอาไปลงทั่ศัตรูแทนนะคะฮาๆ

    ตอบลบ
  3. ดูแล้วอย่าลืมอ่านภาคลิขิตเขนย ตงหัวxเฟิ่งจิ่ว น้าาาา มหาเทพมันด้านสวดยอดดด

    ตอบลบ
  4. กรี๊ดดดดด ขอตอนต่อไปด้วยค่าาาาา

    ตอบลบ