Attack
on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren] Ai Kotoba : 09.1
:
Attack on Titan feat. KHR Gintama Psycho pass Fanfiction Au
:
8059 , Levi x Eren , Kogami x Ginoza , Takasugi x Katsura
:
Period Drama
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ถึงจะมีนกกระสาเพียงหนึ่งเดียวแต่ดาวเด่นของโรงละครอีกคนอย่างเรนเองก็ไม่ได้ว่างเว้นจากการแสดงไปเสียทีเดียว
ในเมื่อละครเรื่องหนึ่งนั้นย่อมต้องมีหลากหลายตัวละครเรื่องราวมันถึงได้เกิดขึ้น
ถึงจะไม่ได้รับเลือกเป็นนกกระสาแต่เรนเองก็มีบทที่โดดเด่นอยู่เหมือนกัน
เพราะงั้นเขาจึงต้องมาซ้อมไม่น้อยไปกว่าฮายาโตะเพื่อนรักเลย
ใบหน้ามนที่เหม่อลอยน้อยๆพยายามตั้งสมาธิกับการท่องบทละครในมือแต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเข้าหัวเลย...ในเมื่อตอนนี้มันมีแต่เรื่องของนายช่างเต็มแน่นไปหมด
ภาพแผ่นหลังที่นายช่างเดินจากเขาไป...ทุกถ้อยทุกคำที่นายช่างใช้ปฏิเสธเขามันยังดังก้องอยู่เต็มหัว...ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ไม่หลุดออกไปจากห้วงคำนึงของเขาได้เลย...แล้วยิ่งมันฝังแน่นเท่าไหร่
เขาก็ยิ่งเจ็บปวดจนน้ำตามันพาลจะไหลลงมาทุกที
นัยน์ตาสีมรกตกระพริบถี่ๆเพื่อให้แพขนตาช่วยซับน้ำใสๆที่เอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ยังไงนายช่างก็คงไม่รู้ไม่ใส่ใจหรอกว่าเขาจะร้องไห้จนทำอะไรไม่ได้อยู่หลายวัน
ยังไงพญาเหยี่ยวตัวนั้นก็คงไม่มีวันหันมามองเขาหรอก
จากที่แค่กระพริบตาตอนนี้เขาต้องยกมือขึ้นมาช่วยปาดน้ำตาออกไป...จะร้องไห้ไม่ได้แล้วนะ
เจ้าต้องเดินต่อไปให้ได้สิเรน จะต้องตัดใจแล้วก็ลืมเรื่องของนายช่างให้ได้
“ไงเรน...”
เสียงทักจากใครสักคนทำให้ใบหน้ามนที่ดวงตายังแดงก่ำเงยขึ้นไปมอง
เพื่อนนักแสดงคนหนึ่งในโรงละครนั่นเอง
“หมู่นี้ไม่เห็นรถม้ามารับเจ้าเลยนี่?
หรือว่านายช่างจะเบื่อเจ้าแล้ว?” ถ้อยคำแสบๆคันๆพวกนั้นอันที่จริงพวกนักแสดงก็ใช้กันเป็นปกติแต่พอถูกทักเข้าในเวลานี้มันกลับทำให้ริมฝีปากสีระเรื่อถึงกับเม้มแน่นอย่างจนซึ่งคำโต้ตอบ...คนอื่นๆก็คงเริ่มจะสังเกตเห็นกันแล้วสินะว่าเขาไม่ได้ไปนอนที่เขตก่อสร้างมาหลายวันแล้ว
ใครจะชอบใจ
ใครจะคอยสมน้ำหน้าเขา เขาไม่ได้ใส่ใจหรอก
แต่ที่เขาเจ็บปวดก็คือความจริงที่ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ข้างๆนายช่างอีกแล้ว
ทั้งๆที่เป็นคนแรกที่เขารักแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย
เพราะเขาเป็นแค่เด็กบ้านนอกฐานะต่ำต้อย
เพราะเขาเป็นแค่นักแสดงคาบุกิที่ใครก็ดูถูกเหยียดหยาม เพราะเขาเป็นผู้ชาย
เพราะเขาไม่คู่ควรอย่างงั้นสินะ...นายช่างถึงได้ปฏิเสธเขา
ริมฝีปากที่เม้มแน่นสั่นระริกขึ้นมาอีกรอบเมื่อพยายามหาเหตุผล
ถ้าไม่มีเสียงจากเพื่อนนักแสดงที่อยู่ตรงหน้าเขาคงจะน้ำตาไหลไปแล้ว
“นี่...ถ้าสนใจขายให้คนอื่นบ้างก็บอกข้าได้นะ
เดี๋ยวข้าติดต่อให้” คำพูดที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำเอาอารมณ์เศร้าหมองเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวแทบจะทันที
ถึงใครๆจะคิดว่าเขาเสียตัวให้นายช่างไปแล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะขายให้ใครก็ได้หรอกนะ! ริมฝีปากช่างเจรจาจึงด่ากลับไปทันที
“ห๋า?!
ข้าไม่สนใจจะขายอะไรให้ใครทั้งนั้น!
ไม่ต้องมาคุยกับข้าเรื่องนี้เลยนะ! แล้วก็อย่าคิดว่าตาลุงพุงกลมพวกนั้นจะมาเทียบนายช่างของข้าได้ล่ะ!”
ใบหน้ามนสะบัดใส่อีกฝ่ายก่อนจะกระทืบเท้าเดินจากมา สุดท้ายก็เผลอเข้าข้างนายช่างจนได้...แต่แค่คิดถึงไออุ่นๆจากร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามยามที่เขาซุกตัวเข้าหา
น้ำตามันก็ร่ำๆจะไหลลงมาเสียให้ได้
มัน...ไม่ง่ายเลยจริงๆ...ที่จะต้องกลับมานอนคนเดียว
ไม่ง่ายเลยจริงๆ...ที่จะตัดใจ
ที่จะลืมนายช่างให้ได้
นี่นายช่าง...แล้วท่านล่ะ...ลืมข้าได้ทันทีเลยหรือเปล่า?
ตูม...ตูม...ตูม...ตูม.......
เสียงระเบิด
12 ลูกดังกึกก้องอยู่ใต้ผิวน้ำทุกๆ 1 วินาที ก่อนที่กรงใส่ปลาและแผ่นหินขนาดใหญ่จะถูกยกขึ้นเหนือน้ำพร้อมๆกันด้วยเครนเหล็กกล้า
พั่บๆๆ
ปลาตัวอวบอ้วนที่อยู่ในกรงทุกตัวดิ้นไปมาทันทีที่ไม่มีน้ำเหลืออยู่และนั่นมันก็ทำให้นัยน์ตาสีขี้เถ้าเบิกขึ้นน้อยๆอย่างพอใจในผลการทดลอง...ปลาพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่
ทั้งๆที่กรงถูกปล่อยเอาไว้ใกล้ๆกับท่อระเบิดแท้ๆ
“โอ้...สำเร็จแล้วครับนายช่าง!”
ใบหน้าคมหันไปตามเสียงฮือฮาของเหล่าลูกน้องที่ยืนมุงดูแผ่นหินขนาดใหญ่ที่หน้าหินหายไปกว่าครึ่ง
“นี่ขนาดระเบิดแค่ระลอกเดียวเท่านั้นนะ
ถ้าระเบิดต่อไปเรื่อยๆละก็ ชั้นหินหนาที่อยู่ใต้น้ำพวกนั้นต้องหายไปได้หมดแน่ๆ!”
เสียงของลูกน้องพูดคุยกันอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับคืนสู่เขตก่อสร้างของเขาอีกครั้งหลังจากที่หดหู่กันอยู่นาน
“ดี
ถ้างั้นก็เตรียมทำการทดลองให้พวกชาวประมงดูก็แล้วกัน” นายช่างหนุ่มสั่งการด้วยสีหน้าเฉยชา
ใช่ว่าเขาจะไม่ดีใจที่การทดลองสำเร็จไปด้วยดี...แต่ยิ่งได้เห็นการทดลองนี้มันก็ยิ่งทำให้เขานึกถึงเรน...เขาได้แนวคิดเรื่องการระเบิดทีละน้อยแต่ระเบิดอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆนี่มาจากเด็กนั่น...ถ้าเรนยังอยู่แถวนี้ก็คงจะดีใจจนยิ้มหน้าบานไปแล้วแน่ๆ
“ครับ!”
เหล่าลูกน้องรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมการด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าคมทอดมองลูกน้องของตนที่เดินหัวเราะเฮฮาไปด้วยกัน...รอยยิ้มมันกลับมาฉาบไล้ใบหน้าของทุกคนที่นี่
ยกเว้นที่ข้างกายเขา...รอยยิ้มที่มักจะยิ้มให้เขาเสมอมันกลับหายไป...
ร่างในชุดทหารคอปกตั้งเดินอย่างหงุดหงิดก่อนจะกลับไปกระแทกตัวนั่งลงหลังโต๊ะทำงานของตน
นัยน์ตาคมกล้าเหลือบมองโกคุเดระ ฮายาโตะที่นั่งอ่านภาษาอังกฤษอยู่คนเดียว
ใบหน้าคมจึงสะบัดออกไปมองนอกหน้าต่าง
แต่คลื่นลมแผ่วเบากับท้องฟ้าสีใสพวกนั้นก็ไม่ทำให้อารมณ์ของเขาสงบลงได้เลย
“เจ้าเด็กบ้านั่น...บอกไม่ให้มานอนที่นี่แต่ไม่ใช่ไม่ให้มาเลยสักหน่อย
เจ้าเด็กเหลือขอไม่ได้ความ!”
ริมฝีปากบ่นพึมพำให้ตัวเองได้ยินคนเดียว...ตัวเขาก็เป็นเสียแบบนี้
จะต้องสื่อสารกับคนอื่นยังไงบางครั้งก็ไม่รู้เหมือนกัน
“นี่...ช่วงนี้ที่โรงละครไม่มีการแสดงใช่ไหม?” เขาหันไปถามโกคุเดระ ฮายาโตะ ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีเงินจึงเงยจากหนังสือเล่มหนาขึ้นมาตอบเขา
“ใช่...กำลังซ้อมละครเรื่องใหม่กันอยู่น่ะ”
ใบหน้าคมลอบถอนหายใจอย่างวางใจ...อย่างน้อยเจ้าเด็กเหลือขอก็คงไม่ถูกตาลุงหื่นๆพวกนั้นตามตื้อหรอกมั้ง
เขาไม่ได้ส่งรถม้าไปรับให้มานอนที่นี่ก็คงไม่เป็นไร...
ปลายนิ้วของนายช่างหนุ่มเคาะลงไปบนโต๊ะอย่างลืมตัวเมื่อในหัวกำลังคิดอะไรหลายอย่าง
และนั่นมันก็ทำให้ใบหน้าสวยที่ลอบมองอยู่ยกยิ้มที่มุมปาก
มือหยุดเขียนคำแปลภาษาอังกฤษที่นายช่างสั่งให้เขาทำไว้ชั่วขณะ...เรื่องของเรนน่ะเขารู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ
เพราะตั้งแต่วันที่เด็กคนนั้นโดนหักอก เจ้านกกระจิบนั่นก็มาร้องไห้ฟูมฟายเล่าให้เขาฟังจนหมดเปลือก
แต่จากสายตาของเขา...นายช่างก็ดูจะเอ็นดูเรนมากอยู่นะ
ถึงกับมานั่งหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่แบบนี้ จะไม่มีความรู้สึกอะไรให้เชียวเหรอ?
และในเมื่อสงสัยมันก็ต้องพิสูจน์สิ!
“พูดถึงเรื่องซ้อมละคร...เจ้ายักษ์ซึระนั่นโหดมากเลยล่ะ
ให้อยู่ซ้อมจนมืดค่ำ ไม่เห็นใจคนต้องวิ่งหนีตาลุงโรคจิตอย่างพวกข้ามั่งเล้ย~”
ริมฝีปากสีสดแกล้งบ่นถึงเรื่องการซ้อมและมันก็ทำให้นายช่างหนุ่มถึงกับหูผึ่ง
“ไหนว่าซ้อมอย่างเดียวไง?
ทำไมถึงมีคนมาซื้อตัวนักแสดงอีกล่ะ?”
ใบหน้าดุดันหันไปมองโกคุเดระ ฮายาโตะอย่างคาดคั้น
นายช่างหนุ่มพยายามกักเก็บความตกใจเอาไว้ไม่ให้แสดงออกไปทางสีหน้า แต่ปฏิกิริยาเพียงน้อยนิดนั่นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาที่กำลังจับผิดของโกคุเดระ
ฮายาโตะไปได้ มือบางยกกระดาษขึ้นมาปิดริมฝีปากที่กำลังลอบยิ้มก่อนจะทำหน้าเย้ยหยันแล้วพูดออกไป
“เจ้าคิดว่าความต้องการของมนุษย์ผู้ชายนั้นมันมีเฉพาะวันที่มีการแสดงละครหรือไงกันล่ะ?
จะบอกให้นะ ไม่ว่าวันไหนๆ พวกที่ขายมันก็ขายทั้งนั้นแหละ
แน่นอนว่าพวกที่ซื้อเองก็เหมือนกัน”
ใบหน้าคมนิ่งอึ้งไป...เขาลืมนึกถึงเรื่องนี้เสียสนิท...ความต้องการของผู้ชายน่ะ
มันมากมายและตลอดเวลาเสียยิ่งกว่ากระต่ายป่าซะอีก!
คืนนั้น...รถม้าที่ไม่ได้ออกจากเขตก่อสร้างมาเสียหลายวันจึงค่อยๆเคลื่อนออกไป...โดยมีนายช่างหนุ่มในยูกาตะสีดำสนิทนั่งไปด้วย
ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครลงจากรถม้าหลังจากที่สั่งให้จอดห่างจากโรงละครคานามารุสะพอสมควร
เขาตั้งใจจะแอบย่องมาดูว่าโกคุเดระ ฮายาโตะหลอกเขาหรือเปล่า
แต่แล้วเมื่อมือใหญ่แหวกแนวรั้วต้นไม้ของโรงละครเพื่อแอบมองไปยังลานด้านหลัง
นัยน์ตาสีขี้เถ้าก็ถึงกับนิ่งค้างเพราะสิ่งที่เจ้าเด็กหัวเงินนั่นบอกกับเขามันคือเรื่องจริง...มีรถม้ากับพวกตาลุงท่าทางหื่นๆมายืนรอพวกนักแสดงอยู่จริงๆ
ขาแข็งแรงจึงก้าวพรวดๆออกไปอย่างไม่เหลือความเยือกเย็นที่ตนมีเป็นปกติ
ร่างในยูกาตะสีดำเดินอาดๆอย่างไม่สนใจใครตรงเข้าประตูสำหรับพวกนักแสดงไป
ใบหน้าโหดๆที่เหมือนจะไปฆ่าใครของเขาคงใช้ได้ดีในยามนี้เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามเขาสักคนทั้งๆที่ส่วนนี้มันเป็นห้องพักและส่วนแต่งตัวของนักแสดงแท้ๆ
นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองหาเจ้าเด็กเหลือขอและไม่นานเขาก็มองเห็นร่างโปร่งกำลังก้มๆเงยๆเก็บของเตรียมจะกลับบ้าน
ร่างแข็งแกร่งจึงตรงไปจับข้อมือบางๆนั่นไว้ทันที
“เอ๊ะ?
อะไร?! ใครจับข้า?! ปล่อยนะ!” เรนคงคิดว่าเขาเป็นพวกตาลุงหื่นกาม
มือบางนั่นถึงได้สะบัดเสียยกใหญ่
เขามองเจ้าเด็กตรงหน้าที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ไหนสักที่ในหัวใจ
เป็นเพราะเขาละเลย เรนถึงได้ต้องมาหวาดกลัวแบบนี้
“โฮ่ย
ข้าเอง” มือแข็งแรงกระชากข้อมือบางให้ลำตัวของคนที่ยังสะบัดหนีเซถลาเข้ามาปะทะกับแผงอก
อ้อมแขนแข็งแกร่งและกลิ่นที่คุ้นเคยทำให้นัยน์ตาสีมรกตเบิกค้างอย่างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมายืนอยู่ตรงนี้
“เอ๋?
นายช่าง?” ใบหน้ามนที่ยังแนบหน้าอยู่กับยูคาตะสีดำเงยขึ้นมามองใบหน้าคมอย่างมึนงง
“ก็ใช่น่ะสิ” นัยน์ตาคมกล้าก้มลงไปมองใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน
ในเวลาแบบนี้ต้องบอกว่าเขาคิดถึงมัน...สินะ...
“ทำไม...ถึงมาที่นี่ล่ะ?” ริมฝีปากสีระเรื่อถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ
“ก็มารับเจ้าไง
เสร็จแล้วใช่ไหม? ไปกันได้แล้ว” แล้วคนที่ทำอะไรตามแต่ใจตัวเองก็ดึงข้อมือบางให้เดินตามอย่างไม่เว้นช่องว่างให้ขัดขืนได้เลย
“เอ๊ะ?” ใบหน้ามนยังคงมึนงงอย่างจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
ร่างโปร่งก้าวขาไปตามแรงลากมากกว่าจะได้เดินเอง
นายช่างหนุ่มพาดาวเด่นของโรงละครคานามารุสะเดินกลับออกมาทางเดิม และใบหน้าบอกบุญไม่รับก็จงใจส่งสายตาโหดๆให้บรรดาลุงๆที่รออยู่แถวนั้นเป็นเชิงว่าอย่ามายุ่งกับของของเขา
มือใหญ่ดันคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวให้ขึ้นไปนั่งบนรถม้าก่อนจะพากลับเขตก่อสร้างท่ามกลางสายตาอึ้งๆของหลายๆคน
เพราะตั้งแต่ที่เป็นคนอุปถัมภ์เรนมา นายช่างทหารก็เพิ่งจะเคยมารับด้วยตัวเองก็คราวนี้แหละ
ภายในรถม้ามีเพียงแค่เสียงเอี๊ยดอ๊าดยามที่รถโยกคลอน
ใบหน้าคมไม่ได้พูดอะไรและไม่คิดจะอธิบายการกระทำของตัวเอง
ส่วนใบหน้าใสที่อยากจะพูดเสียเต็มประดากลับยังเรียบเรียงเรื่องที่คิดอยู่ในหัวไม่เสร็จเสียที
ก็พอดีกับที่รถม้าวิ่งมาถึงเขตก่อสร้างเข้าจนได้
ร่างในยูกาตะสีดำไม่ได้เดินกลับไปที่เรือนพักแต่จงใจเดินเลาะชายทะเลยามค่ำคืนที่มีคลื่นซัดสาด
ร่างแข็งแกร่งก้มลงไปถอดรองเท้าสานมาถือไว้ก่อนจะก้าวเดินบนทรายเปียกๆ
คลื่นลูกไม่ใหญ่ที่พาน้ำทะเลเย็นๆมากระทบหลังเท้าก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ
นัยน์ตาคมกล้าตวัดไปมองเจ้าเด็กเหลือขอที่ก้มลงไปถอดรองเท้าแล้วเดินตามเขามา
เพราะเห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดดูเหมือนจะอยากพูดอะไรของเจ้าเด็กนั่นนั่นแหละ
เขาถึงยังไม่กลับเรือนพัก
“ไหนท่านบอกข้าว่าไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้วไง....”
แล้วในที่สุดริมฝีปากสีระเรื่อก็พูดออกมาจนได้
ร่างในยูกาตะสีดำจึงหยุดเดินแล้วหันมาหาเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตกลมโตที่ยังคงจ้องมองเขาตรงๆเสมอ
“ข้าบอกเจ้าว่าไม่ต้องมานอนที่นี่
แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องมาแล้ว เจ้ายังทำงานให้ข้าไม่เสร็จเลยนะเจ้าเด็กเหลือขอ” ใบหน้าคมพูดออกไป
ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เรนจะไม่เข้าใจ
เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เรยว่าตกลงจะเอายังไงกับเด็กนี่กันแน่...แต่ก็เพราะรู้ตัวว่ายังไม่แน่ใจนั่นแหละถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้
ใบหน้ามนก้มมองพื้นเหมือนกำลังคิดอะไรก่อนที่จะงึมงำบอกกับเขาว่า
“...........ข้าจะคืนเงินของท่านให้ก็ได้
ข้ายังไม่ได้ใช้มันเลย...เพราะงั้น...หาคนอื่นทำงานนี้แทนข้าเถอะ” แล้วเจ้าลูกหมาที่กล้าปฏิเสธเขาก็ทำเอาแปลกใจน้อยๆ
“ทำไม?
เจ้าไม่รักข้าแล้วงั้นรึ?”
“ก็เพราะข้ารักท่านนั่นแหละ
ข้าเลยจะมาอยู่ใกล้ท่านครึ่งๆกลางๆแบบนี้ไม่ได้ หากข้าเห็นหน้าท่าน
ข้าก็จะไม่อาจตัดใจจากท่านได้” ใบหน้ามนหลับหูหลับตาตอบกลับมาและมันก็ทำเอาเขาอึ้งไปที่เรนคิดเรื่องของเขามากมายจนน่าตกใจขนาดนี้
ทั้งๆที่เป็นแค่ลูกหมาไม่ได้เรื่องได้ราวแท้ๆแต่กลับเข้าใจหัวใจของตัวเองมากกว่าเขาเสียอีก
“.......” นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองใบหน้าที่ยังก้มงุด...ในหัวของเขามีแต่ความสับสน...ใช่
มีเพียงเขาคนเดียวที่สับสน ทั้งๆที่ปากก็สั่งไม่ให้เด็กนั่นมานอนที่นี่ แต่คืนนี้ก็ยังไปรับกึ่งบังคับให้มา
ทั้งสับสนทั้งไม่ชัดเจน...กลับเป็นเจ้าเด็กไม่ได้เรื่องนี่เสียอีกที่กล้ายอมรับและบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่ารัก
รัก....
ความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้จัก...
เขาถึงได้ยังสับสนและไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงอยู่จนถึงตอนนี้ไง
โธ่เว้ย...จะยังไงก็ช่างมันแล้วกัน!
แล้วในขณะที่เขากำลังนึกถ้อยคำที่จะพูดออกไป
ริมฝีปากช่างเจรจากลับพูดออกมาก่อนด้วยเสียงหงอยๆ
“ตอนนี้น่ะ...ที่โรงละครกำลังซ้อมละครเรื่องที่ข้าชอบมากที่สุดอยู่
เรื่องที่ข้าไม่สามารถจะคว้าบทนกกระสามาได้แต่ข้าก็ยังชอบมันมากอยู่ดี...มันเป็นเรื่องราวความรักของนกกระสาผู้ต่ำต้อยกับพญาเหยี่ยวผู้สูงศักดิ์...ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของนกกระสาเลย
แต่ตอนนี้ข้ากลับคิดว่า...หากคุณคัตสึระตัดสินใจช้าอีกนิด...ข้าอาจจะได้รับเลือกให้เล่นเป็นนกกระสาก็ได้
เพราะข้ารู้แล้ว...ว่านกกระสาตัวนั้นมันเจ็บปวดขนาดไหนที่พญาเหยี่ยวไม่หันมามองมันเลย...” .........พญาเหยี่ยว....นั่นหมายถึงเขางั้นเหรอ?
เขาคงจะเป็นพญาเหยี่ยวที่ร้ายกาจมากเลยสินะ
ถึงได้ทำให้เจ้านกกระสาตรงหน้ามีสีหน้าเจ็บปวดได้ขนาดนี้
จู่ๆก็เป็นเขาที่รู้สึกทนไม่ไหว...ไม่อยากจะเห็นใบหน้าแบบนั้นของเรนจนต้องดึงร่างโปร่งบางนั่นมากอดเอาไว้
“นายช่าง?”
นัยน์ตาสีมรกตเบิกค้างกับอ้อมแขนที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้สัมผัสมัน
“เรน...เหตุผลที่ข้าไม่ให้เจ้ามานอนที่นี่....ไม่ใช่ว่าข้าปฏิเสธเจ้า” ใบหน้าคมขยับไปกระซิบที่ใบหูที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“.....?”
“แต่เป็นเพราะข้าไม่แน่ใจในตัวเองต่างหาก
ว่าข้ารู้สึกยังไงกับเจ้ากันแน่
ข้างกายข้าไม่เคยมีพื้นที่ให้ใครนอกจากงาน
แต่ข้ากลับสบายใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ข้าก็อยู่คนเดียวมาตลอดแต่หลังจากที่เจ้ามาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายข้า
ข้ากลับกระวนกระวายใจเมื่อเจ้าหายไป...ข้ายังตอบไม่ได้ว่าข้ารักเจ้าเหมือนที่เจ้ารักข้าหรือเปล่า...ตอนที่เจ้าไม่ได้รักข้าก็ไม่เป็นไร
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป...หากให้เจ้าที่เอาแต่บอกว่ารักข้าๆมานอนอยู่ข้างๆ
บางทีข้าอาจจะเผลอทำอะไรเจ้าลงไป...ข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นหากข้ายังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีให้กับเจ้า
ถึงเจ้าจะเป็นแค่เด็กบ้านนอกคอกนา แต่ข้าก็อยากจะให้เกียรติเจ้า” เขาพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วอธิบายให้เรนเข้าใจ
แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาพูดมามันจะยากไป.....
“.....?
สรุปแล้วมันยังไงอ่ะ? ข้างง” ใบหน้ามนบ่งบอกว่างงจริงๆอย่างที่ปากว่าและมันก็ทำให้คนที่อุตส่าห์กังวลว่าเจ้าเด็กนี่มันจะเข้าใจไหม
จะรู้สึกยังไงกับความรู้สึกที่ยังสับสนของเขาถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะนึกขำกับความใสซื่อของเจ้าเด็กตรงหน้า
“หึ.....หึๆๆ
ฮ่าๆๆๆๆ” ใบหน้าคมกลั้นไม่ไหวเลยหลุดหัวเราะเสียยกใหญ่
กับเด็กนี่...คิดมากไปก็คงเท่านั้นสินะ
“สมเป็นลูกหมาจริงๆเลยเจ้านี่....เอาเป็นว่าจากนี้ไปเจ้ากลับมานอนที่นี่ตามเดิมก็แล้วกัน
ข้าจะพยายามไม่ทำอะไรเจ้าตราบเท่าที่ข้ายังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง” เขายิ้มบางๆให้กับใบหน้ามนที่กำลังทำแก้มป่องพองลมอย่างไม่พอใจที่เขาพูดไม่รู้เรื่องแถมยังหัวเราะอีกต่างหาก
แล้วรอยยิ้มที่แทบจะไม่เคยเห็นของเขาก็ทำให้เรนถึงกับมองจนตาค้าง
มือบางยกขึ้นมาแตะที่แก้มของเขาอย่างเผลอไผล
เขาจึงทอดมองนัยน์ตาสีมรกตสุกใสคู่นั้น...เป็นเด็กนี่ก็อาจจะดีเหมือนกัน...เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ไม่ต้องสนใจสายตาของใคร
ไม่ว่าจะชาติตระกูลหรือฐานะมันก็จะไม่กลายมาเป็นเชือกที่คอยรัดพันให้เขาอึดอัดเพราะเจ้าเด็กนี่ไม่มีของน่ารำคาญแบบนั้น
มือใหญ่จึงวางลงไปบนมือบางที่แตะอยู่บนแก้มของเขา
ก่อนที่นัยน์ตาสีขี้เถ้าจะจ้องลึกลงไปในดวงตาสีมรกต...
“แล้วก็...แทนที่เจ้าจะตัดใจ...ทำไมถึงไม่ลองพยายามทำให้ข้าหลงรักเจ้าดูล่ะ”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นมันก็ไม่แน่หรอกว่า...เขาอาจจะหลงรักเจ้าเด็กนี่ไปแล้วก็ได้....
“ข้าน่ะ
ไม่ใช่พญาเหยี่ยวที่จะทำตามคำสั่งของใครหรอกนะ หากข้าอยากจะบินต่ำลงมา
ใครก็ห้ามข้าไม่ได้ทั้งนั้น”
ใบหน้ามนนิ่งค้างไปกับคำพูดของเขา ที่หลังเท้ารู้สึกถึงน้ำทะเลที่เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เขาจึงปล่อยใบหน้าที่ไม่รู้ว่าเข้าใจหรือไม่ของเรนไว้แบบนั้น
ก่อนจะจับมือบางแล้วออกเดินไปด้วยกัน
“กลับเรือนพักกันเถอะ
น้ำเริ่มขึ้นมาเยอะแล้ว”
เอาเถอะ...ต่อให้คืนนี้เจ้าเด็กนี่จะยังไม่เข้าใจ
เดี๋ยววันพรุ่งนี้ตัวช่วยของเขาก็คงช่วยอธิบายให้เองนั่นแหละ...
“นี่ฮายาโตะ...เจ้าว่าที่นายช่างพูดมันหมายความว่าไงอ่ะ?”
แล้วตัวช่วยที่ว่าก็ได้ช่วยอย่างที่นายช่างใหญ่คำนวณไว้จริงๆ
ใบหน้าสวยของโกคุเดระ
ฮายาโตะมองเพื่อนรักอย่างละเหี่ยใจ...คนนึงก็พูดไม่รู้เรื่อง คนนึงก็มึนๆงงๆ
แล้วมันจะเข้าใจกันได้ไหมเนี่ยอิคู่นี้! ถ้าใช้ปากพูดกันมันยากนักก็หันไปใช้ร่างกายคุยกันไปเลยไป๊
น่ารำคาญจริงๆ!
มือบางวางหวีที่เพิ่งใช้จัดแต่งผมปลอมลงก่อนจะหันมาหาเรน
“สรุปก็คือเจ้าไม่ได้อกหักเสียหน่อย
นายช่างก็แค่ยังไม่แน่ใจ แต่ก็น่าจะมีใจให้เจ้าอยู่บ้าง ก็อย่างที่นายช่างบอกนั่นแหละว่าแทนที่จะตัดใจก็ให้เจ้าลองทำให้เค้าหลงรักเจ้าดูสิ” เอ่างง...เจ้าลูกหมานั่นทำหน้างงไปใหญ่...
“แล้วจะทำยังไงให้นายช่างหลงรักข้าล่ะ?” นัยน์ตาสีมรกตจึงไล่มองเรนตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะบอกวิธีที่ง่ายแสนง่ายและได้ผลดีที่สุด
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ
เป็นนกกระจิบของเจ้าไปวันๆแบบนี้ก็พอ
เพราะข้าคิดว่านายช่างคงรักเจ้าในแบบที่เจ้าเป็นอยู่อย่างในตอนนี้นี่แหละ
เพียงแต่มันยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้แน่ใจ
ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้หัวใจของนายช่างร่ำร้องหาแต่เจ้า...พวกเราก็แค่รอต่อไปก็เท่านั้นแหละ” เขาค่อนข้างมั่นใจว่านายช่างน่าจะรักเรนเช่นกัน
ไม่เช่นนั้นคนที่ขวานผ่าซากขนาดนั้นคงปฏิเสธออกมาตรงๆไปแล้วล่ะถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย
พวกเขาคงต้องให้เวลานายช่างสักหน่อย
คนที่วันๆเอาแต่อยู่กับกองหินกองทรายกองไม้พวกนี้อาจจะไม่สันทัดเรื่องความรักมากนักก็ได้
“สรุปว่าข้าไม่ต้องทำอะไร?” เรนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
เขาจึงพยักหน้ารับ
“อื้อ...” เขาเชื่อ...ว่าวันที่นายช่างจะยอมรับหัวใจของตัวเองต้องมาถึงสักวันแน่
ตอนนี้คงมีแต่ต้องรอต่อไป
“อ๊ะ!
นายช่าง! จะไปแล้วเหรอ?”
แล้วจู่ๆเจ้าคนที่คุยกันอยู่ดีๆก็หันไปตะโกนทักร่างในชุดทหารเต็มยศซึ่งเดินอยู่ที่ระเบียงนอกห้องทำงาน
ร่างโปร่งบางเด้งตัวจากโซฟารับรองก่อนจะวิ่งไปหานายช่างหนุ่มราวกับลูกหมาเห็นเจ้าของ
ใบหน้าสวยได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา...เขาพอจะเข้าใจนายช่างขึ้นมาบ้างแล้วละ
เพราะเพื่อนของเขานั่นมันเก็บอาการไม่อยู่เลยจริงๆ!
“อืม”
ใบหน้าเรียบเฉยของนายช่างหนุ่มพยักรับเมื่อเจ้าลูกหมาพุ่งเข้ามาหาก่อนจะส่ายหางให้ไปมา
นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายดูแล้วทั้งน่าหมั่นไส้ทั้งน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน
“อยู่บนเรือท่านอย่าลืมสวมเสื้อคลุมนะ
ลมช่วงนี้แรงมากๆเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
ใบหน้าน่ารักเอ่ยบอกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ...พอรู้ว่าความห่วงใยนี้มันมาจากความรักในรูปแบบไหน
สองแก้มก็รู้สึกร้อนผ่าวจนใบหน้าคมต้องรีบเสหน้าหนี
“อืม...”
เสียงงึมงำหลุดออกมาจากในลำคออย่างไม่สมกับเป็นนายช่างหนุ่มแห่งเขตก่อสร้างสะพานเซโตะโอฮาชิเลยสักนิด...อาการแบบนี้นี่มันเรียกว่าเขินหรือเปล่านะ
เขาก็ไม่แน่ใจ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองหมวกทหารทรงหม้อตาลในมือในขณะที่พยายามเรียกความเป็นตัวเองกลับมา
วันนี้เขาต้องข้ามไปรายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างที่กรมช่างทหารประจำภูมิภาคคันไซที่ฝั่งฮอนชูซึ่งต้องไปเป็นประจำทุกๆสามเดือนอยู่แล้ว
“เจ้า...ต้องกลับไปซ้อมละครสินะ...ถ้าจะให้รถม้าไปรับก็แวะไปบอกทหารที่ประจำการอยู่เสียก่อนล่ะ
แล้วก็ก่อนนอนอย่าลืมลงกลอนในห้องของข้าให้เรียบร้อย เข้าใจไหม”
คืนนี้เขาจะไม่กลับมาจึงต้องสั่งเจ้าเด็กเหลือขออย่างละเอียด
“คืนนี้ข้ากลับไปนอนที่บ้านก็แล้วกัน
ท่านจะได้ไม่ต้องห่วง”
นั่น...รู้อีกนะว่าเขาห่วงเรื่องอะไร...เขตก่อสร้างที่ไม่มีเขาอยู่นี่มันก็ดงสัตว์ป่าดีๆชัดๆ
ถึงจะรู้ว่าคงไม่มีใครกล้าหรอกแต่มันก็อดห่วงไม่ได้
“อืม
เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้ากลับมา”
ร่างแข็งแกร่งทำท่าจะเดินจากไปเสียงใสจึงเอ่ยไล่หลัง
“อย่าลืมขนมที่ข้าฝากซื้อล่ะ
แล้วก็เดินทางปลอดภัยนะครับนายช่าง”
ใบหน้าคมอมยิ้มโดยไม่หันกลับไปมอง
รายการขนมยาวเหยียดที่เจ้าเด็กแสบนั่นสาธยายให้เขาฟังเมื่อเช้าหลังจากรู้ว่าเขากำลังจะข้ามไปยังฝั่งฮอนชูยังดังก้องอยู่ในหู
ทั้งๆที่ไม่เคยออกจากเกาะไปไหนก็ยังรู้อีกนะว่าข้างนอกเค้ามีขนมแปลกๆใหม่ๆอะไรบ้าง
ร่างในชุดทหารสีกรมท่าเดินไปตามสะพานปลาก่อนจะก้าวขาลงไปในเรือ
มือยกหมวกขึ้นมาสวมในขณะที่สายตาก็ทอดมองไปยังร่างโปร่งบางที่ยืนโบกมือให้อยู่ในอาคาร...ความรู้สึกเหมือนมีภรรยามายืนส่งมันคงจะเป็นแบบนี้เองละมั้ง?
“ฮึ...” ใบหน้าคมเผลอหัวเราะ
ภาพเขตก่อสร้างค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อเรือแล่นออกมา
ดูเหมือน...ความสับสนในใจของเขามันจะค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้วสินะ...
ร่างสูงยาวของโคงามิ
ชินยะนอนกระดิกเท้าที่สวมรองเท้าบูททหารอยู่บนหาดทรายบริเวณชายฝั่งหน้าเขตก่อสร้างอย่างไม่มีอะไรจะทำ...นอกจากไม่มีอะไรจะทำแล้วเขายังไปไหนไม่ได้อีกต่างหากเพราะเจ้านายช่างเพื่อนยากกลับไปรายงานผลการก่อสร้างที่เกาะฮอนชู
หมายเลขสองของที่นี่อย่างเขาจึงต้องเฝ้าเขตก่อสร้างแทน
ใบหน้าคมเหม่อมองท้องฟ้าอย่างนึกเสียดายเวลา...แทนที่เขาจะได้ไปตามหากิโนะต่อ
แต่ดันต้องมาติดแหง่กอยู่ที่นี่
แต่จะแอบหนีไปก็ไม่ได้เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเขาคงได้ถูกเจ้านายช่างฆ่าตายแน่...ใบหน้าซังกะตายจึงทำได้แค่มองท้องฟ้าต่อไป
เขากำลังนึกถึงวันที่แอบตามเด็กรับใช้ของกิโนะไป
ที่จนป่านนี้เขาก็ยังหาตัวกิโนะไม่เจอนั่นมันก็เป็นเพราะว่าจู่ๆวันนั้นเด็กนั่นก็หายตัวไปเสียดื้อๆ
หายไปราวกับหายตัวได้...
“เฮ้อ...”
ใบหน้าเฉยชาถอนหายใจให้กับความคิดของตัวเอง...เรื่องเพ้อฝันแบบนั้นมันมีเสียที่ไหนกันล่ะ
นี่ไม่ใช่นิยายเกี่ยวกับพวกองเมียวจินะ
เขาก็คงจะตาฝาดไปเองหรือไม่ก็ยืนอยู่ในมุมที่มีอะไรบังพอดี
บริเวณที่เด็กรับใช้นั่นหายไปยิ่งดูน่าสงสัยอยู่ด้วย...เพราะมันเหมือนเป็นเขตแดนอะไรสักอย่าง...เขามองเห็นจากมุมที่อยู่ไกลจึงเห็นแค่รั้วต้นไม้เท่านั้น
พอดีในวันที่เขาตามไปจู่ๆก็มีฝนห่าใหญ่ตกลงมา
เขาเลยจำต้องล่าถอยกลับมาเพราะมันเป็นเขตป่าที่เขาไม่คุ้นเคย
แล้วจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ไปตามหาต่อเลยเพราะติดเรื่องที่เจ้านายช่างดันไม่อยู่พอดีนี่แหละ
แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็พอจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง
เพราะที่ที่เด็กรับใช้นั่นเดินไปมันก็อยู่คนละทิศละทางกับบ้านร้างที่เขาเคยคิดว่าเป็นบ้านของกิโนะเลย...บางทีกิโนะอาจจะพยายามหลอกเขาให้เข้าใจผิดไปว่าตัวเองไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วด้วยการล่อเขาไปที่บ้านร้างหลังนั้น...แต่มันจะด้วยเหตุผลอะไรกันล่ะที่กิโนะต้องทำแบบนั้น?
...ไม่อยากจะรู้จักเขาขนาดนั้นเลยเหรอ...
เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามต่อต่อไป...ไป...ไป...
ลงทีละครึ่งแบ้วกันจะได้ต่อเนื่องหน่อย
ก๊ากๆๆๆ เพราะแต่ละตอนไม่รู้จะยาวไปไหน เพราะงั้นไฟมันเลยมอดบ้างไรบ้างก่อนจะแต่งจบตอนอยู่บ่อยๆ ฮ่าๆๆๆ
แต่ช่วงนี้ต้องขอบคุณเพลงของ Wagakki Band ที่ช่วยกระพือไฟ
ฟังทั้งอัลบั้มแบ้วพญาเหยี่ยวเป็นบ้าเป็นหลังมากค่ะ ฮือออออ
ส่วนเนื้อเรื่องฟิคก็ยังเนิบนาบเชื่องช้าไปเรื่อยๆ555 หวังว่าจะไม่เบื่อกันไปซะก่อนน้า >w< คือคุณรีไวในเรื่องนี้ออกจะเป็นคนดี
ไม่ได้โหดร้ายป่าเถื่อนนึกไรไม่ออกก็จับกดเหมือนเรื่องก่อนๆ555
ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆๆเลยนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า >v<
รอตอนต่อไปค่ะ❤❤❤❤
ตอบลบ