Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren] Ai Kotoba : 08.2


Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren]  Ai Kotoba : 08.2

: Attack on Titan feat. KHR Gintama Psycho pass Fanfiction  Au
: 8059 , Levi x Eren , Kogami x Ginoza , Takasugi x Katsura
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
      
     
         



เสียงรองเท้าเกี๊ยะกระทบพื้นบันไดหินอย่างเชื่องช้าราวกับว่าคนที่ใส่มันอยู่นั้นไม่ค่อยอยากจะก้าวเดิน เส้นผมสีเงินขยับคลอเคลียใบหน้าสวยที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจทำให้จังหวะการก้าวขาเหมือนคนที่กำลังเหม่อลอย

เขาจะเดินไปที่ไหน...เขาจะเดินไปทำอะไร...

ไม่รู้เลย...


“ข้าจะทำยังไงดีล่ะ? ฮายาโตะ”


ในหัวมีแต่เสียงที่กำลังสั่นพร่าของอาจารย์ เดิมทีแค่เงินบริจาคก็แทบจะไม่พอซื้อข้าวให้น้องๆกินอยู่แล้ว แล้วนี่ถูกตัดไปทั้งก้อนแบบนี้ เจ้าเมืองทาคามัตสึอยากจะเห็นพวกเขาอดตายหรือยังไงกัน หรือต้องการเห็นความทรมานของเขากันแน่

นี่คงจะเป็นการเตือนจากพวกยามาโมโตะสินะ...ว่าอย่าไปยุ่งกับนายน้อยของตน

นัยน์ตาสีมรกตทอดมองสองมือของตัวเอง...ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองเก่งและไม่จำเป็นต้องง้อใคร...แต่พอได้เห็นใบหน้าของอาจารย์เมื่อกี้แล้วเขาก็รู้ทันทีว่าเขามันก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งทำอะไรไม่ได้เลย...เป็นเพียงแค่นกกระสาไร้เรี่ยวแรงและกำลัง แค่ถูกกงเล็บของเหยี่ยวเกี่ยวทีเดียวก็คงจะตายแล้ว

คิ้วสีเงินขมวดเข้าหากัน ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้น้ำตาแทบจะไหลอยู่รอมร่อ เวลาแบบนี้เขาควรจะไปพึ่งใครดี...ให้เรนช่วยไปขอร้องบ้านใหญ่ตระกูลยามาโมโตะได้ไหม เพราะถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดเรนน่าจะมีสายเลือดสำคัญของพวกยามาโมโตะอยู่ในกาย...หรือว่าจะไปขอร้องนายช่าง ถ้าเป็นคนคนนั้นคงจะพอมีเงินให้เขายืมได้บ้าง...หรือว่าจะขอเบิกค่าแสดงล่วงหน้ามาจากซึระ

ยิ่งใช้หัวคิดเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกปวดจนต้องยกมือขึ้นมาบีบขมับ...ถ้าเขาเอาแต่พึ่งคนอื่น เขาก็คงจะต้องพึ่งคนพวกนั้นไปจนวันตาย คงไม่มีวันยืนได้ด้วยขาของตัวเองหรอก...

แต่ว่าตอนนี้ เขาจะมัวมาหยิ่งทระนงก็ไม่ได้ ยังมีปากท้องของน้องๆอีกนับสิบคนรอเขาอยู่

ทำยังไงดี....เขาควรจะทำยังไงดี...


“โกคุเดระ!”   เสียงทุ้มที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ร้องเรียกเขาจากด้านหลังและมันก็ทำให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง ใบหน้าสวยรีบตวัดกลับไปก่อนจะมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนหอบแฮ่ก

“ยามาโมโตะ! เจ้ามาที่นี่ทำไม?! กลับไปเดี๋ยวนี้นะ!”   ริมฝีปากสีสดเอ่ยไล่โดยไม่คิดจะถามไถ่...ในหัวของเขาไม่เคยคิดจะพึ่งพายามาโมโตะ ทาเคชิเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นก็เพราะเขาไม่ต้องการให้ยามาโมโตะมาที่นี่...ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายถูกลงโทษไปมากกว่านี้...

นัยน์ตาสีมรกตทอดมองใบหน้าหล่อเหลาที่มีเหงื่อเกาะพราวด้วยความโหยหา...ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้เจอกับยามาโมโตะเลย หลายวันมานี้ร่างสูงใหญ่ไม่ได้มาที่โคโตฮิระ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ายามาโมโตะถูกลงโทษสถานหนักอยู่หรือเปล่า...เพราะคนที่ยามาโมโตะฆ่าเพื่อปกป้องเขานั้นเป็นถึงคู่ค้าคนสำคัญของตระกูล

แต่นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่จ้องมองกลับมาที่เขานั้นกลับไม่ได้แสดงความเหนื่อยล้า ทว่ามันมีแต่ความห่วงใย อบอุ่นและอ่อนโยนจนเขาแทบจะเอาความตั้งใจเมื่อกี้โยนทิ้งไปแล้วพุ่งเข้าหาอ้อมแขนของอีกฝ่าย...ไม่ได้นะฮายาโตะ...ตัวเองก็เดือดร้อนขนาดนี้แล้วยังจะไปทำให้คนที่ตัวเองรักต้องเดือดร้อนด้วยอีกงั้นเหรอ ยามาโมโตะอาจจะโดนลงโทษถ้ามีคนรู้ว่าแอบหนีมาหาเขาแบบนี้ก็ได้ ใบหน้าสวยจึงรีบสะบัดหนีไปอีกทางทันที

แล้วจะว่าไป...เขาเองก็ยังไม่เคยได้ยินจากปากของยามาโมโตะเลยสักครั้งว่าอีกฝ่ายรักเขา....เรนอาจจะเข้าใจผิดหรือฟังผิดก็ได้ อย่างเจ้าลูกหมานั่นก็มีสิทธิ์จะเป็นไปได้เสียด้วย

แต่แล้วอ้อมแขนที่จู่ๆก็รวบตัวเขาเข้าไปกอดไว้ก็ทำให้เขารู้ว่าเรนคงไม่ได้ฟังผิดไป...นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างก่อนที่ข้างหน้าจะเต็มไปด้วยสีดำจากเนื้อผ้าและตราของตระกูลยามาโมโตะ

“มาอยู่ที่นี่เอง ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ พอรู้ว่าชิโนดะมาที่นี่ข้าเลยรีบตามมา”   เสียงทุ้มที่ฟังดูวิตกนิดๆเอ่ยอยู่ใกล้ๆใบหู ใบหน้าคมจุมพิตอย่างคิดถึงลงไปที่กลุ่มผมสีเงินก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น...ทั้งๆที่ตั้งใจว่าหากถูกยามาโมโตะกอด เขาจะดันตัวร่างสูงใหญ่ออกไป แต่ไออุ่นและกลิ่นกายของยามาโมโตะกลับทำให้ความผิดชอบชั่วดีหนีหายไปจนหมด ร่างบอบบางทำได้แค่ปล่อยตัวเองให้จมหายลงไปในอ้อมแขนแข็งแกร่ง...เขาอยากอยู่ในนี้มานานแล้ว เขาเฝ้ามองมันมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น....

ฝ่ามือบางจึงค่อยๆเอื้อมออกไป...ก่อนจะโอบกอดแผ่นหลังกว้างใหญ่นั่นเอาไว้เบาๆ...

ยามาโมโตะดึงเขาหลบไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่ก่อนที่ริมฝีปากจากใบหน้าคมจะกดแนบลงมาที่กลีบปากนุ่ม...ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้แต่เฝ้ามองกันและกันอย่างอดทนแต่พอก้าวพ้นเส้นๆหนึ่งมาได้ ตอนนี้มันจึงไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมาฉุดรั้งพวกเขาได้อีก...ลมหายใจที่เป่ารดกันและกันทำให้ในร่างกายรู้สึกปั่นป่วนอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆที่ในการแสดงก็มีบทจูบที่ใช้มุมมองบังอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่คิดเลยว่าการถูกจูบจริงๆนั้นมันจะหวานล้ำจนทำให้คิดอะไรไม่ออกแบบนี้

ใบหน้าคมละออกมาก่อนจะจรดหน้าผากไว้ด้วยกัน ภาพที่สะท้อนมาจากนัยน์ตาสีเปลือกไม้คู่นั้นมันมีแต่ภาพของเขา ใต้แผ่นอกซ้ายเต้นระรัวอย่างดีใจแต่ทุกจังหวะมันก็ยังแฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

“น้องๆของเจ้าบอกข้าว่า พ่อข้าตัดเงินบริจาคที่ศาลเจ้าสินะ”   ยามาโมโตะดึงเขาให้นั่งลงไปหลังต้นไม้ใหญ่ รอบกายใกล้จะมืดเต็มที ตอนนี้เลยมีเพียงแสงสลัวๆจากคบไฟที่คนของผู้ใหญ่บ้านมาเดินจุดไว้เพียงเท่านั้นที่จะทำให้มองเห็นหน้าของกันและกันได้

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน...เจ้า...โดนพ่อลงโทษหนักหรือเปล่า?”  นัยน์ตาสีมรกตมองอีกฝ่ายอย่างกังวลและนั่นก็ทำให้คนเจ้าเล่ห์ลอบยิ้ม

“โดนตีจนหลังลายเลยละโกคุเดระ กว่าข้าจะฟื้นได้นะ นี่ก็สลบไปเป็นวันๆเลย”    ใบหน้าคมทำเป็นเจ็บเสียเต็มประดาเรียกว่าตีบทแตกยิ่งกว่านักแสดงคาบุกิบางคนเสียอีก

“จะ เจ็บมากไหม...ให้ข้าดูแผลเจ้าหน่อยสิ...”   คนที่หลงเชื่อพยายามชะเง้อไปดูแผ่นหลังกว้างโดยที่เจ้าของมันก็พยายามเบี่ยงหลบ

“ข้าให้เจ้าดูไม่ได้หรอก....”   เสียงทุ้มแสร้งใช้น้ำเสียงหมองๆ เพราะร่างบอบบางได้แต่เป็นกังวลโดยไม่รู้ชะตากรรมของร่างสูงใหญ่เลยอยู่หลายวันจึงทำให้หลงกลโดยง่าย ในหัวสีเงินคิดไปต่างๆนานาว่ายามาโมโตะคงไม่อยากให้เห็นแผลของตน พวกชายชาติทหารก็คงจะเป็นแบบนี้

“ทำไมล่ะ? ข้าเอง...ก็อยากจะแบกรับโทษทัณฑ์นั้นไปกับเจ้าด้วย....”   จากที่เคยปากไม่ตรงกับใจแต่ด้วยความห่วงใยจึงยอมเอ่ยออกไปตรงๆเป็นครั้งแรกและมันก็ทำให้คนที่ตั้งใจจะหลอกล่อถึงกับยิ้มหน้าบาน

“หึ...ที่ข้าให้ดูไม่ได้...ก็เพราะว่ามันไม่มีแผลเลยต่างหากล่ะ”   ใบหน้าคมที่เคยแสร้งทำเป็นหม่นหมองปรับกลับมาเป็นอมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะสารภาพไปตรงๆและมันก็ทำให้คนถูกหลอกผงะไปเล็กน้อย แน่นอนว่าคนหัวไวรู้ตัวได้ในทันที

“ห๊ะ?....เจ้า....หลอกข้าเหรอ เจ้าบ้ายามาโมโตะ!! ไปตายซะ!!!”   ใบหน้าสวยแยกเขี้ยวใส่ทันทีก่อนที่ฝ่ามือบางจะทุบรัวๆมาที่แผ่นอกกว้าง หนอย...หลอกให้เขาเป็นกังวลจนแทบบ้าเสียได้นะเจ้าบ้านี่!

“ฮ่าๆๆๆ”   แล้วร่างสูงใหญ่ยังมีหน้ามาหัวเราะร่วนทำให้ใบหน้าสวยเริ่มงอหงิกขึ้นเรื่อยๆ  แต่ใบหน้าบูดบึ้งของโกคุเดระแบบนี้แหละที่เขาอยากเห็น...มันเหมาะกับเจ้าคนปากร้ายไม่ตรงกับใจนั่นมากกว่าใบหน้าอมทุกข์เป็นไหนๆ  หลังจากที่มองจนพอใจแล้วฝ่ามือใหญ่จึงตรงเข้าไปตะครุบมือบางที่ยังทุบมาไม่หยุดก่อนที่ใบหน้าคมจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นๆ

“ข้าไม่ยอมให้ท่านพ่อทำโทษข้าหรอก ในเมื่อข้าไม่ได้ผิด เจ้านั่นมันสมควรตายแล้ว”   รอยยิ้มมืดมนที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจทำให้หัวใจดวงน้อยรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด จากที่พยายามคิดหาทางออกโดยไม่ยอมพึ่งพายามาโมโตะแต่สุดท้ายแล้วคนที่เขาพึ่งได้ก็มีเพียงยามาโมโตะคนเดียว  ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปแต่พลังที่ได้รับมาจากยามาโมโตะก็ทำให้ร่าบอบบางตัดความคิดที่ว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับร่างสูงใหญ่ออกไปทันที

ในเมื่อเขาสู้อุตส่าห์ยอมรับหัวใจของตัวเองว่าเขารักผู้ชายคนนี้ เพราะฉะนั้นต่อให้เขาต้องสู้กับปีศาจร้ายเพื่อให้ได้มา...เขาก็จะขอสู้ให้ถึงที่สุด

เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากยามาโมโตะ ไม่ยอมอย่างแน่นอน...

บทละครที่นางเอกเอาแต่ยอมให้ใครต่อใครรังแกเขาขอแค่แสดงบนเวทีอย่างเดียวก็พอ


“แต่เจ้านั่น...เป็นคู่ค้าคนสำคัญของบ้านเจ้านี่...แบบนี้บ้านเจ้าเองก็อาจจะแย่เหมือนกันนะ....”    ร่างบอบบางชันเข่าขึ้นมาก่อนจะกอดมันไว้หลวมๆ

“เจ้าอย่าลืมสิว่าบ้านของข้าผูกขาดการเดินเรือมายังเกาะชิโกกุแห่งนี้เพียงรายเดียวเท่านั้น หากพวกมันยังต้องการทำการค้าที่นี่ ยังไงก็ต้องพึ่งพาเรือของข้า”   แต่ร่างสูงใหญ่กลับตอบออกมาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรราวกับคิดเอาไว้อยู่แล้ว

“พ่อน่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก ก็แค่ตั้งแง่กับเจ้าเท่านั้นแหละ”  

“.........เพราะข้ามันคนละชนชั้นกับพวกเจ้าสินะ”    ใบหน้าสวยเกยลงไปบนหัวเข่าก่อนจะทอดมองยอดหญ้าราวกับว่ากำลังจ้องมองตัวเอง ถึงจะตัดสินใจแล้วว่าจะสู้กับฝูงเหยี่ยวพวกนั้นทั้งๆที่ตัวเองเป็นแค่นกกระสา แต่ที่จริงแล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสู้กับอีกฝ่ายยังไง

ใบหน้าคมทอดสายตามองท้องฟ้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอยู่หลายนาทีเพราะตนก็รู้เรื่องฐานะที่ต่างกันนั้นดี

แต่ก็...แล้วยังไงล่ะ?

“เจ้า...กำลังซ้อมละครเรื่องนกกระสากับพญาเหยี่ยวกันอยู่สินะ...ข้ายังจำตอนที่คุณคัตสึระแสดงเรื่องนี้ได้อยู่เลย...ช่างเป็นนกกระสากับพญาเหยี่ยวที่น่าสงสารจริงๆ....”    จู่ๆเสียงทุ้มก็เอ่ยออกมาทั้งๆที่ใบหน้ายังคงมองไปที่ท้องฟ้าไกล

ตอนนี้เขากำลังนึกถึงเรื่องของพี่ชาย...โกคุเดระคงไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังละครเรื่องนั้นมันเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริง คัตสึระ โคทาโร่รับบทนกกระสาโดยแสดงออกไปจากความรู้สึกจริงๆของตัวเอง ใครต่อใครถึงได้ชื่นชมละครเรื่องนี้ว่าแสดงได้ดีอย่างไม่มีที่ติ  

เรื่องของชินสุเกะนั้นเป็นเรื่องภายในของตระกูลยามาโมโตะ เพราะฉะนั้นคนนอกเลยแทบจะไม่รู้เรื่อง ทุกคนต่างรู้แค่ว่าจู่ๆพี่ชายของเขาก็ออกจากบ้านไปจากนั้นไม่นานเรื่องราวของชินสุเกะก็ค่อยๆเลือนหายไปจากเกาะชิโกกุจนแม้แต่เรนเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองยังมีพี่ชายอยู่อีกคน

หึ...ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าสงสารจริงๆ

และเขาก็เฝ้าบอกกับตัวเองมาตลอดว่าจะไม่ยอมให้เรื่องของเขาจบลงแบบนั้นแน่นอน คนที่เขารักเขาจะต้องได้มาและตระกูลยามาโมโตะรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในเกาะชิโกกุแห่งนี้มันก็ต้องเป็นของเขา ไม่ว่าจะถูกตราหน้าว่าเลวร้ายแค่ไหนเขาก็จะทำสองสิ่งนี้ให้เป็นจริงให้ได้

บางที...เขาอาจจะต้องขอบใจพี่ชายของเขา...ที่สอนสิ่งเหล่านี้ให้เขาผ่านเรื่องราวของตัวเอง...


“โกคุเดระ เจ้าน่ะ...คิดบ้างไหมว่านกกระสามันก็อาจจะมีบางตัวที่บินขึ้นสูงจนเคียงคู่กับพญาเหยี่ยวได้”    ใบหน้าที่ยังทอดมองท้องฟ้ายามราตรีค่อยๆหันกลับมาจ้องมองใบหน้าสวยที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีเงิน นัยน์ตาสีเปลือกไม้สบประสานกับดวงตาสีมรกตอย่างลึกซึ้ง...นอกจากเขาจะตั้งมั่นกับตัวเองเอาไว้แบบนั้น เขายังเชื่อมั่นด้วยว่าคนที่เขาเลือกคนนี้ดีพอจะอยู่ข้างกายเขาได้และโกคุเดระจะไม่ย่อท้อที่จะโผบินขึ้นมา

“...ข้าอาจจะไม่ใช่พญาเหยี่ยวที่ยอมลดตัวลงมา แต่ว่า ข้าจะพาเจ้าบินอยู่บนนั้นด้วยกัน....ตัวเจ้ามีคุณค่าและมีความสามารถมากกว่าเหยี่ยวหลายตัวที่ข้ารู้จักด้วยซ้ำ ไม่เห็นจะต้องสนใจเลยว่าเจ้าเป็นแค่นกระสา....ขอแค่เจ้าเชื่อใจเหยี่ยวอย่างข้าก็แล้วกัน ว่าข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า”

นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างก่อนที่น้ำตาจะเอ่อคลออย่างห้ามไม่อยู่ ความมั่นใจที่ยามาโมโตะส่งให้เขานั้นมันทำให้พลังที่หดหายเต็มเปี่ยมขึ้นมาทั่วกาย

แบบนี้เองสินะ...

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว...ว่าละครเรื่องนกกระสากับพญาเหยี่ยวนั้น...มันสามารถมีตอนจบที่มีความสุขได้อย่างที่ซึระว่าไว้จริงๆ













ครืด!!!

ประตูเลื่อนของห้องรับรองถูกเปิดออกตามความใจร้อนของโกคุเดระ ฮายาโตะ ร่างบอบบางก้าวขาเข้าไปหาท่านมิโกะเพียงหนึ่งเดียวของศาลเจ้าซึ่งยังนั่งด้วยท่าทางเซื่องซึมอยู่ที่เดิม เหล่าน้องๆที่พยายามปลอบใจอาจารย์อย่างไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวต่างหลบให้เขาได้เข้าไปนั่งทับสนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวซึ่งเลี้ยงดูเขามา

ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีเงินในยามนี้นั้นแตกต่างจากตอนก่อนที่จะเดินออกไปจากศาลเจ้าราวกับพลิกฝ่ามือ แววตาหม่นหมองแปลเปลี่ยนเป็นประกายแข็งกร้าว เขาคิดมาอย่างดีแล้วว่าจะมามัวเศร้าใจหรือรอคอยความช่วยเหลือจากคนอื่นคงไม่ได้ 

“ในเมื่อไม่มีข้าว เราก็ปลูกมันขึ้นมาเอง  ที่ทางเราก็มีตั้งเยอะแยะ ข้าจะไปขอเมล็ดผักจากตาที่ร้านการเกษตร อยากกินอะไรเราก็ปลูกกันเองก็ได้!”   ริมฝีปากสีสดเอ่ยออกไปด้วยเสียงมุ่งมั่นและมันก็ทำให้ใบหน้าของท่านมิโกะถึงกับชะงักค้าง ความไม่ย่อท้อและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาทำให้หญิงสาวเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาจนได้

“จริงด้วยสินะฮายาโตะ...อาจารย์ขอโทษเจ้าด้วยที่อาจารย์เอาแต่พึ่งพาคนอื่นจนลืมที่จะยืนด้วยขาของตัวเองไปเสียสนิท...มันอาจจะช้าและไม่ได้อยู่ดีกินดีเหมือนแต่ก่อนแต่อย่างน้อยพวกเราก็จะช่วยกันทำมันขึ้นมา”   เสียงนุ่มเอ่ยบอกกับเขาก่อนจะหันไปลูบหัวน้องๆที่ต่างมองมาอย่างเป็นห่วง

“ขอบใจมากนะ ฮายาโตะ เจ้าช่วยเหลือข้าเอาไว้มากมายจริงๆ”   รอยยิ้มอ่อนโยนเผยให้เขาอีกครั้งและมันก็ทำให้ใบหน้าสวยขึ้นสีระเรื่ออย่างเขินๆ

ที่ต้องขอบคุณน่ะคือเจ้าบ้ายามาโมโตะต่างหาก...เพราะเขาเองก็ได้รับพลังและแรงใจจากหมอนั่นมาเช่นกัน

“ดีละ งั้นพรุ่งนี้เราจะเริ่มปลูกผักที่หลังศาลเจ้ากัน พวกเจ้ารีบไปเข้านอนได้แล้ว”   ร่างบอบบางหันไปบอกน้องๆก่อนที่เสียงขานรับจะดังมาอย่างว่าง่าย เจ้าของผมสีเงินพาน้องๆเดินออกไปทิ้งให้ท่านมิโกะทอดสายตามองแผ่นหลังบางๆนั่นด้วยความอ่อนโยน

ถึงจะไม่ได้มีพละกำลังอะไรมากมายแต่ฮายาโตะก็แข็งแกร่งและพึ่งพาได้เสมอ เธอคิดถูกแล้วจริงๆที่ไม่ยอมทอดทิ้งและยังมอบอนาคตให้กับเด็กคนนี้

เธอจึงได้แต่เฝ้าภาวนาจากใจ...ขอให้นกกระสาตัวน้อยของเธอจงโผบินได้อย่างสง่างามและมีความสุขตลอดไป












เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้เช้าวันนี้โกคุเดระ ฮายาโตะไม่ได้ไปเรียนภาษาที่เขตก่อสร้างแต่กลับมายืนบัญชาการน้องๆอยู่ที่หลังศาลเจ้าแทน

ในขณะที่มืออีกข้างชี้นิ้วสั่งน้องๆ มืออีกข้างก็กางตำรา “การทำนาและการปลูกผักให้เจริญงอกงาม” ไปด้วย  อะไรที่ไม่รู้ก็เปิดดูจากหนังสือนี่แหละ เพราะงั้นกับอีกแค่การปลูกผักเอาไว้กิน ทำไมเขาจะทำไม่ได้!

“ฮายาโตะ ข้ามาช่วยแล้ว!”   เสียงใสของเรนดังก่อนตัวจะมาให้เห็นเสียอีก ร่างโปร่งบางวิ่งลัดเลาะลงมาจากด้านบนศาลเจ้าก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างบอบบางที่ลงไปยืนอยู่ในดินเละๆของแปลงที่จะใช้ทำนา

“นี่ไง แม่ข้าให้เมล็ดทานตะวันมาเยอะแยะเลย ปลูกเลยไหม?”   มือบางชูถุงเมล็ดทานตะวันให้ดูก่อนทำท่าจะเทมันลงมา จนโกคุเดระ ฮายาโตะห้ามเอาไว้แทบไม่ทัน

“เดี๋ยวก่อน!

“หื๋อ?”   ใบหน้าน่ารักยังมีการเงยมามองด้วยความสงสัยว่าเพื่อนรักจะห้ามตนไว้ทำไม

“เจ้านี่มันจริงๆเลย...ทานตะวันมันกินได้เสียที่ไหนล่ะ เรากำลังจะปลูกอาหารเอาไว้กินนะ!”   แล้วเจ้าลูกหมาก็ทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“อ่ะ จริงด้วย ข้าลืมไป ข้าบอกแม่ว่าพวกเจ้ากำลังจะปลูกต้นไม้กันแม่ข้าเลยให้เมล็ดทานตะวันมา เดี๋ยวข้าไปขอเมล็ดผักมาใหม่แล้วกันนะ!”    แล้วเรนก็วางถุงใส่เมล็ดทานตะวันเอาไว้บนคันดินก่อนจะรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านไปอีกรอบ ใบหน้าสวยส่ายไปมา...เจ้าลูกหมาไม่ได้เรื่องนี่ แบบนี้ก็ยังอุตส่าห์มีความรักกับเขาได้เหมือนกันนะ...เขาอมยิ้มก่อนจะก้มลงไปอ่านตำราการปลูกข้าวในมือต่อ

“พี่ฮายาโตะ ข้าปั้นคันดินเสร็จแล้ว ต้องทำยังไงต่อ?”    น้องคนหนึ่งเดินมาถามเขา ปลายนิ้วเรียวจึงไล่ไปที่ตัวหนังสือ

“อือ...ในนี้บอกว่าให้หว่านเมล็ดลงไป...จากนั้นก็รอให้มันงอกเป็นต้นกล้า....” 

“งั้นข้าเอาเมล็ดข้าวในห่อนี่หว่านเลยนะพี่ฮายาโตะ”  ใบหน้าสวยพยักเบาๆหลังจากนั้นก็มีเสียงเฮฮาของน้องๆที่เหลือดังตามมา

“เย้~~”   เขาลอบยิ้มอยู่คนเดียว...ก็ยังดีที่เจ้าพวกนี้ดูสนุกสนานไปกับงานที่ต้องมาช่วยกัน ไม่ได้เก็บเอาความยากจนนี้ไปเป็นปมในใจ

“เออ! แต่อย่าหว่านติดกันนักล่ะ เดี๋ยวตอนแยกเป็นต้นกล้ามันจะแยกยาก!”  

“ค่า~”   นัยน์ตาสีมรกตทอดมองเด็กๆที่พากันเอาห่อเมล็ดข้าวไปหว่านลงในนา เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาของใครจ้องมองอยู่จนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยออกมา

“กว่าข้าวของเจ้าจะเก็บเกี่ยวได้มันก็ต้องใช้เวลาใช่ไหมล่ะ...ข้าให้ยืมนี่ก่อนก็แล้วกัน ไว้เจ้าปลูกข้าวได้แล้วค่อยเอามาคืนข้า”   ใบหน้าสวยเงยขึ้นไปมองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดฮากามะสีดำปักตราตระกูลยามาโมโตะที่ยืนอยู่ด้านบนศาลเจ้า มือใหญ่วางลงไปบนกระสอบข้าวสารนับสิบใบที่ลูกน้องคนหนุ่มของตนช่วยกันขนมา

“ขนเข้าไปไว้ที่โรงครัวแล้วกัน”   ใบหน้าคมหันไปสั่งลูกน้องก่อนจะเดินทอดท่องสบายๆลงมายังบริเวณที่พวกเขาปลูกผักทำนากันอยู่

“ขะ ข้าไม่ได้ขอร้องเจ้า เพราะงั้นข้าไม่ขอบใจหรอกนะ ฮึ!”    ใบหน้าสวยสะบัดไปอีกทางอย่างคนปากไม่ตรงกับใจแต่แก้มใสที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อก็ทำให้ใบหน้าคมหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา

“ฮะฮะฮะ”    นัยน์ตาสีมรกตตวัดไปมองร่างสูงใหญ่อย่างนึกหมั่นไส้ แต่ก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจ เขากำลังคิดอยู่เลยว่าในระหว่างที่รอข้าวออกรวงจนสามารถเก็บเกี่ยวได้นี่เขาจะทำยังไง จะไปเอาข้าวที่ไหนมาให้น้องๆกิน

“มาสิ เดี๋ยวข้าช่วย”   ร่างสูงใหญ่รั้งแขนกิโมโนกับขากางเกงฮากามะขึ้นไปก่อนจะก้าวขาลงมายืนอยู่ในนาด้วยกัน มือใหญ่หยิบห่อใส่ข้าวเปลือกมาช่วยหว่านลงไปในแปลงนา

เขาทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างนั่นด้วยความรู้สึกขอบคุณ...ไม่ใช่ขอบคุณที่เอาข้าวสารมาให้เขา ไม่ใช่ขอบคุณที่ลงมาช่วยเขาทำนา...แต่ว่าขอบคุณ...ที่ยามาโมโตะเข้าใจเขา...
                                                                                                              
ยามาโมโตะรู้วิธีให้เกียรติเขา เพราะถึงเขาจะยากจนแต่ก็ยังมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี อีกฝ่ายถึงได้ไม่ออกปากว่าจะเป็นคนให้เงินบริจาคแทนพ่อของตนทั้งๆที่ยามาโมโตะมีกำลังที่จะทำได้สบายๆอยู่แล้ว

ซึ่งตรงจุดนั้นแหละที่เขารู้สึกขอบคุณ...ที่ยามาโมโตะไม่ทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฐานะของตัวเองไปมากกว่านี้

ใบหน้าสวยลอบมองท่าทีที่ไม่ถือตัวของร่างสูงใหญ่ที่ลงมายืนอยู่ในแปลงนาด้วยเสื้อผ้าชั้นดีแบบนั้น เพราะมียามาโมโตะอยู่หรือเปล่านะ อะไรๆมันเลยผ่านไปได้ด้วยดีแบบนี้



ข้าวเมล็ดสุดท้ายถูกหว่านลงไปในแปลงนาพร้อมๆกับเสียงตอกค้างไม้ไผ่ที่หยุดลงพอดีเช่นกัน  ยามาโมโตะช่วยเขาทำนาจนใกล้จะเสร็จก่อนที่ใบหน้าคมจะหันไปเห็นเมล็ดทานตะวันที่เรนทิ้งเอาไว้เข้า ร่างสูงใหญ่เลยหันไปทำแปลงดอกทานตะวันขึ้นมาอีกแปลง

“แปลงผักและนาข้าวตรงนั้นเป็นของคนทั้งศาลเจ้า แต่ว่าแปลงดอกทานตะวันตรงนี้ข้าปลูกให้เจ้าคนเดียวนะโกคุเดระ”   ใบหน้าคมหันมาพูดจาหน้าไม่อายจนทำให้แก้มใสถึงกับร้อนผ่าว ริมฝีปากร้ายๆจึงเอ่ยด่าออกไปด้วยความเขิน

“เจ้าบ้า...”   ใบหน้าสวยสะบัดหนีก่อนจะลอบช้อนสายตามองยามที่ร่างสูงใหญ่หันไปรดน้ำลงบนแปลงดอกทานตะวัน ริมฝีปากสีสดอมยิ้มน้อยๆอย่างสุขใจ...

นัยน์ตาสีมรกตมองเลยไปยังเรนที่กำลังวิ่งเล่นกับน้องๆของเขาอยู่ที่แปลงผักข้างๆ เมล็ดทานตะวันนี่คือที่เรนเอามา...พวกเจ้าพี่น้องนี่เหมือนกันไม่มีผิดเลยจริงๆ













รอบกายค่อยๆมืดลงเรื่อยๆและเมื่อร่างโปร่งบางมาถึงเขตก่อสร้าง จันทราก็โผล่ขึ้นมาอวดโฉมอยู่บนท้องฟ้าพอดี

ร่างในชุดยูกาตะสีหญ้าแห้งกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปตามระเบียงทางเดินซึ่งเชื่อมต่อไปยังเรือนพักของนายช่างอย่างคุ้นเคยในเมื่อหลายเดือนมานี้เขามานอนที่นี่ทุกคืน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้มีการแสดงและเป็นเพียงแค่การซ้อมบทละครแต่นายช่างก็ยังให้เขามานอนที่นี่ตามเดิม

ตอนนี้...เขาเริ่มจะลืมไปแล้วว่าการนอนคนเดียวนั้นมันรู้สึกยังไง...

“นายช่าง!”   ร่างโปร่งบางกระโดดไปยืนอยู่กลางประตูทางเข้าห้องพักส่วนตัวของนายเหนือหัวประจำเขตก่อสร้างแห่งนี้ก่อนจะเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสดใส ถึงตอนนี้จะรู้แล้วว่าตนรู้สึกยังไงกับชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไปเพราะงั้นจึงพยายามปฏิบัติกับนายช่างเหมือนที่เคยเป็นมา

“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งเข้ามา!”   แล้วจู่ๆเสียงทุ้มก็ดังออกมาจากใบหน้าบอกบุญไม่รับที่หันมาเห็นสารรูปของเจ้าเด็กที่ยืนอยู่กลางประตูเข้า

“หื๋อ?”   เรียวขาที่เตรียมจะก้าวเข้าไปในห้องชะงักค้างก่อนจะขยับไปยืนตรงเมื่อร่างแข็งแกร่งลุกจากเตียงมายืนจ้องเอาๆไปทั่วร่างกายโปร่งบาง

“เจ้า...ไปทำอะไรมา? ทำไมมันถึงได้มอมแมมเป็นลูกหมาแบบนี้?”    ชริ...ถูกจับได้ซะได้ กะจะเนียนอยู่พอดี...ใบหน้ามนหันไปบุ้ยใบ้ใส่อากาศข้างกายก่อนจะหันกลับมายิ้มอย่างออดอ้อนให้ใบหน้าคมที่มองมายังเขาด้วยสายตาทะมึน

“แหะ แหะ ข้าไปช่วยฮายาโตะทำนามา”

“แล้วเจ้าคิดจะเข้าห้องข้าด้วยสารรูปแบบนี้น่ะรึ? ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เจ้าเด็กเหลือขอ!”   เสียงทุ้มสั่งอย่างเฉียบขาดหลังจากมองคราบฝุ่นผงดินโคลนที่ติดตั้งแต่หัวสีน้ำตาลยันปลายเท้าในรองเท้าสาน ใครดูไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่มันมอมขนาดไหนนี่ก็ตาบอดแล้วไหม แล้วใบหน้าใสนั่นยังมีหน้ามาหัวเราะแหะๆราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรถ้าจะนอนด้วยสภาพแบบนี้

“ง่า...แต่มันหนาวอ่ะนายช่าง ไว้ข้าอาบพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ?”   ยัง...ยังมีหน้ามาต่อรอง...ใบหน้าอ้อนๆนั่นมีแต่จะทำให้เส้นเลือดที่ขมับเขากระตุกถี่ขึ้นเท่านั้น

“ไม่ได้...จะไปอาบเองดีๆหรือจะให้ข้าจับอาบน้ำให้? ว่ามา”   และแค่เสียงทุ้มขู่ไปแบบนั้น เจ้าลูกหมาตัวดีก็หันไปบ่นขมุบขมิบก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงเอาแต่ใจ

“...........อาบเองก็ได้...ฮึ่ม”    แล้วร่างโปร่งบางก็สะบัดตัวเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ข้างๆกัน ดูท่าทางงอนๆนั่นแล้วมันน่านัก

“อาบให้เอี่ยมๆนะ ถ้าอาบลวกๆละก็ ข้าจะจับเจ้าขัดทั้งตัวให้ขนหลุดขนลอกเลยคอยดู!    นายช่างหนุ่มเลยตะโกนไล่หลังไป ฝ่าเท้าเขาตะหงิดๆจะตามไปคุมเจ้าเด็กนั่นอาบน้ำเสียให้ได้ ให้ตายสิ

“ข้าไม่ใช่หมานะ!”   ปากดีๆยังมีหน้าตะโกนตอบกลับมาก่อนที่ร่างมอมแมมจะหายเข้าห้องอาบน้ำไป แล้วยูกาตะที่จะใช้เปลี่ยนก็ไม่เอาไปนะเจ้าเด็กนั่น!

ใบหน้าคมถอนหายใจก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักตู้ชั้นหนึ่งซึ่งเขายกให้เรนโดยเฉพาะ เพราะเจ้าเด็กนั่นใช่ว่าจะเคยมาอาบน้ำที่นี่ครั้งแรก ไอ้ที่ตั้งใจจะมานอนกับเขาด้วยสภาพมอมแมมเป็นลูกหมาแบบนี้น่ะ...บ่อย

เขาเลยให้เด็กนั่นเอาเสื้อผ้ามาทิ้งไว้ที่นี่ด้วย  มือใหญ่หยิบยูกาตะสีขาวออกมาก่อนจะเดินเอาไปวางไว้ให้ที่หน้าห้องอาบน้ำ...ประวัติมันเคยมีน่ะสิที่เจ้าเด็กนี่สวมยูกาตะตัวเดิมหลุดๆรุ่ยๆออกมาจากห้องน้ำเพราะลืมหยิบยูกาตะตัวใหม่ที่จะใช้เปลี่ยนไป

บอกตามตรงว่าสภาพของเด็กนั่นมันน่าก่ออาชญากรรมไม่น้อย เขาเลยต้องป้องกันไว้ก่อน

“โฮ่ย ข้าวางยูกาตะตัวใหม่ไว้ให้ตรงนี้นะ”   เสียงทุ้มตะโกนให้คนที่ราดน้ำโครมๆอยู่ข้างในได้ยิน

“อ่ะ ลืมเลย ขอบคุณครับ...แง้  หนาวจะตายอยู่แล้ว!”   ท้ายประโยคตั้งใจจะว่ากล่าวเขาสินะที่บังคับให้มาอาบน้ำตอนมืดค่ำแบบนี้ มันน่าพังประตูไปช่วยขัดให้หนังหลุดนัก

“อาบให้สะอาดๆล่ะ!”   เขาส่งเสียงดุๆไปให้ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินกลับเข้ามาในห้องนอน  เจ้าลูกหมานี่มันเหลือเกินจริงๆ...แต่ก็เพราะมันวุ่นวายได้แม้แต่เรื่องอาบน้ำแบบนี้ เลยทำให้ใบหน้าคมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว



หลังจากผ่านการขัดสีฉวีวรรณอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมง ผ้าเช็ดตัวผืนหนาก็ถูกซับหยดน้ำที่เกาะพราวไปทั่วใบหน้าและร่างกาย นัยน์ตาสีมรกตไล่มองสำรวจทั่วตัวว่าไม่คราบอะไรหลงเหลือแล้ว มือบางจึงหยิบยูกาตะสีขาวที่วางอยู่หน้าห้องมาสวมใส่

แค่นี้สะอาดพอแล้วมั้ง?

ใบหน้ามนก้มลงไปสูดกลิ่นสะอาดๆตามร่างกายของตัวเองฟุดฟิดก่อนจะเก็บอุปกรณ์อาบน้ำของนายช่างให้เข้าที่

นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองไปยังไอร้อนๆที่โชยขึ้นมาจากถังใส่น้ำก่อนจะอมยิ้มด้วยหัวใจที่รู้สึกอุ่นๆ...ถึงนายช่างจะไล่เขามาอาบน้ำราวกับเป็นยักษ์มารแต่ผู้ชายคนนั้นก็มักจะลงไปใส่ฟืนในหม้อต้มน้ำให้เขาเสมอ

แก้มใสเผลอขึ้นสีเมื่อนึกถึงความใจดีและเอาใจใส่เขาที่นายช่างมีให้  ร่างโปร่งบางพับยูกาตะมอมแมมให้เรียบร้อยก่อนจะหอบมันกลับเข้ามาในห้องนอน

ทว่า...ใบหน้าของคนที่เผลอหลับไปทั้งๆที่หนังสือยังคามืออยู่ก็ทำให้เขาถึงกับอมยิ้ม

มือบางวางยูกาตะลงในตะกร้าก่อนที่ร่างโปร่งจะเดินอย่างแผ่วเบาไปที่เตียง นัยน์ตาสีมรกตทอดมองใบหน้ายามหลับของนายช่างอย่างไม่วางตา...คงจะเหนื่อยสินะ นอกจากงานที่เขตก่อสร้างแล้วช่วงนี้นายช่างยังต้องไปซ้อมตีกลองด้วย

เขาดึงหนังสือออกจากมือใหญ่โดยระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อนจะปิดมันแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ร่างโปร่งค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงไปที่ขอบเตียงแล้วไล่สายตามองตั้งแต่ใบหน้าคมที่กำลังหลับอย่างสงบลงมาจนถึงฝ่ามือแข็งแรงที่มีรอยแตกนิดๆจากการซ้อมตีกลอง...ก็นะ...ถึงนายช่างจะแข็งแกร่งปานช้างสารขนาดไหนแต่ก็ไม่เคยตีกลองไทโกะมาก่อน วันๆเคยหยิบจับแต่ปากกาดินสอมือจะแตกแบบนี้เมื่อต้องไปจับไม้กลองมันก็ไม่แปลกตรงไหน

มือบางเลยเอื้อมไปจับมือหนานั่นไว้ก่อนจะเป่าให้เบาๆ หากมันช่วยบรรเทาความเจ็บจากแผลพวกนี้ได้บ้างก็คงดี

ใบหน้ามนละออกมาก่อนจะทอดสายตามองใบหน้าที่ยังหลับใหลนั่นด้วยหัวใจที่เอ่อล้นไปด้วยความรัก...และยิ่งมันมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็มีแต่จะห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ไหวมากขึ้นเท่านั้น...ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลจึงเผลอโน้มลงไป...ก่อนที่กลีบปากนุ่มจะจุมพิตแผ่วเบาลงไปบนริมฝีปากของคนที่ยังหลับสนิท....

นัยน์ตาสีมรกตเบิกโพลงก่อนจะรีบเด้งตัวออกมาเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอทำอะไรลงไป แก้มใสร้อนเป็นไฟก่อนที่สองมือจะยกขึ้นมาปิดหน้าพลางส่ายไปมา...นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย?

ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนก่อนจะหันตะแคงข้างไปอีกฝั่งอย่างเขินอาย...เพราะแบบนั้นจึงไม่รู้เลยว่านัยน์ตาสีขี้เถ้าที่เคยปิดอยู่มันค่อยๆลืมตาขึ้นมา...

ก่อนที่ดวงตาคมกล้าคู่นั้นมันจะทอดมองแผ่นหลังโปร่งบางด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก...













หลังจากสั่งการงานที่เขตก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้นายช่างทหารก็ต้องไปซ้อมตีกลองที่โคโตฮิระแทบทุกเย็น และเรนก็จะมารอเพื่อที่จะกลับไปที่เขตก่อสร้างพร้อมกัน...

ตึง...

ตึง.......

ไม้กลองที่ตีลงไปทำให้กลองหน้ากว้างสองเมตรส่งเสียงดังก้องกังวาน จากจังหวะเนิบช้าค่อยๆรัวเร็วเป็นบทเพลงที่ทั้งน่าฟังและน่าเกรงขามสมกับที่เป็นบทเพลงสำหรับบวงสรวงเทพเจ้าแห่งขุนเขาและท้องทะเล มันทั้งบ้าคลั่ง รุนแรง แต่ก็ยิ่งใหญ่จนคนที่ยืนฟังอยู่ได้แต่ขนลุกชัน

“นายช่างนี่เก่งจริงๆ จดจำจังหวะได้หมดแถมยังตีได้ขนาดนี้ภายในเวลาไม่นานใช่ว่าใครจะทำก็ได้หรอกนะ”   ผู้ใหญ่บ้านที่นานๆแวะมาดูสักทีเพราะปล่อยเรื่องนี้ให้รองผู้ใหญ่บ้านจัดการออกปากชมหลังจากขยับมายืนอยู่ข้างๆร่างโปร่งบางหนึ่งในสองดาวเด่นของโรงละครคานามารุสะที่มักจะมาเฝ้านายช่างหนุ่มแห่งเขตก่อสร้างอยู่ทุกวัน

“แหงสิ ก็นายช่างของข้านี่”   ผู้ใหญ่บ้านถึงกับหัวเราะพรืดเมื่อเจ้าเด็กที่เขาเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเสียเต็มที่ เดิมทีเด็กนี่ก็คงจะรู้อยู่แล้วว่านายช่างหนุ่มคนนั้นถูกสาวๆในหมู่บ้านแอบมองมากมายขนาดไหน เรนถึงได้จงใจมายืนเฝ้าให้เห็นกันจะๆจนไม่มีสาวคนไหนกล้าเข้าหานายช่างเลยสักคน

ก็ถ้าสายตาของนายช่างหนุ่มมองแต่ระดับเรนแล้วละก็ คงไม่มีสาวๆคนไหนกล้าเสนอตัวให้อีกหรอก

ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้าน้อยๆพลางอมยิ้มก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ดวงตากลมโตมองตามด้วยความมึนงง...นั่นจะมาทักทายเขาหรือว่ายังไงนะ? ตาลุงผู้ใหญ่บ้านนั่น?

แล้วเสียงกรี๊ดเล็กๆก็ทำให้ใบหน้ามนละจากแผ่นหลังของลุงผู้ใหญ่บ้านที่เดินจากไปพร้อมพวกคณะกรรมการจัดงานก่อนจะตวัดสายตาไปมองหญิงสาวสองคนที่เดินผ่านมาแล้วก็กำลังหยุดยืนดูนายช่างตีกลอง นัยน์ตาสีมรกตกลมโตจึงถลึงใส่สาวๆพวกนั้นก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ แก้มป่องเตรียมจะแยกเขี้ยวใส่แต่สองสาวก็หันไปหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไปในที่สุด

ฮึ่ย! อย่ามากวนนายช่างสิ เดี๋ยวก็ไม่มีสมาธิตีกลองหรอก!

นัยน์ตาสีมรกตตวัดกลับไปมองร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครซึ่งตอนนี้มีเพียงกางเกงทหารซึ่งปลายอยู่ในรองเท้าบูทยาวดำขลับเท่านั้นที่สวมอยู่ ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าเห็นมัดกล้ามอันแข็งแรง เพราะต้องตีกลองติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ ทั้งเหงื่อทั้งความร้อนเลยทำให้นายช่างถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกไปจนได้...นี่ก็อีกคน ไม่รู้ว่ามีดีตรงไหน สาวน้อยสาวใหญ่ถึงได้หยุดยืนดูทุกครั้งที่เดินผ่าน! ดีนะที่เขามาเฝ้าไว้ ไม่งั้นคงได้เข้ามาตอมกันยิ่งกว่าแมลงวันตอมปลาเน่า! หน้าก็ตาย ปากก็ร้าย แถมยังนิยมความรุนแรงแบบนั้นพวกผู้หญิงก็ชอบกันไปได้นะ!

ใช่! ชอบนายช่างเข้าไปได้ยังไงนะ ตัวเขาน่ะ!

ใบหน้ามนถอนหายใจก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตอ่อนแสงจะทอดมองแผ่นหลังที่ขึ้นมัดกล้ามอย่างสวยงามยามที่เงื้อแขนตีกลอง...ยิ่งได้มองร่างกายที่แข็งแกร่งนั่นก็ยิ่งหลงใหล ยิ่งได้อยู่ใกล้ความอบอุ่นและอ่อนโยนของนายช่างก็ยิ่งหลงรัก...ตอนนี้...เสียงหัวใจของเขามันชัดเจนยิ่งกว่าเสียงกลองที่ดังกึกก้องไปทั่วขุนเขานี่เสียอีก

กับพวกผู้หญิงในหมู่บ้านเขายังพอจะไล่ไปได้ แต่กับผู้หญิงในเมืองที่คงจะทั้งสวยทั้งดีพร้อมซึ่งนายช่างกำลังจะแต่งงานด้วยพวกนั้นเขาจะไปทำอะไรได้ล่ะ เขาจะต้องยืนมองแผ่นหลังนี้เดินจากเขาไปพร้อมกับผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอ...

ไม่เอา....ไม่ยอมหรอก...

“ฮึก...”   น้ำใสๆเอ่อล้นก่อนจะไหลออกมาจากดวงตาจนต้องยกมือขึ้นมาปาดมันออกไป แต่ยิ่งปาดมันก็ยิ่งไหล...เขาแค่นึกถึงเรื่องที่นายช่างกำลังจะแต่งงานแล้วทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้กันนะ...ไม่ไหว...เขาทนไม่ไหวแล้ว...

“ฮึก...”   ไหล่บางสั่นสะท้านอย่างน่าสงสารและเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆนั่นก็ไปเข้าหูคนที่กำลังตีกลองจนต้องหันหน้ามาดู

ใบหน้าคมชะงักไปนิดๆด้วยความตกใจ หันไปมองรอบกายก็ไม่เห็นใครอื่นอีก ถ้างั้นเจ้าเด็กนั่นมันเป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม? สองมือจึงลดไม้กลองลงก่อนจะเดินกลับไปหาร่างโปร่งบางที่ยังร้องไห้ไม่หยุด

“โฮ่ย เป็นอะไร? ใครรังแกเจ้า?”   มือใหญ่พยายามดึงมือบางที่กำลังปาดน้ำตาออกมาเพื่อมองใบหน้ามนให้ชัดๆ เมื่อกี้ก็ยังเห็นยืนมองเขาอยู่ดีๆแท้ๆ?

“ฮึก...นายช่าง...ฮึกๆ นายช่างจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นไหม...”   ห๋า? พูดเรื่องอะไรของเจ้าเด็กนี่กัน? เขาได้แต่งงเป็นไก่ตาแตกกับคำถามไม่มีที่มาที่ไปนั่น

แต่เดี๋ยวก่อนนะ...ไม่ใช่ว่าไม่มีที่มา...

หรือว่า...

เรนจะเห็นจดหมายที่ที่บ้านเขาส่งมา? แล้วก็รู้ว่านั่นมันคือจดหมายที่เรียกให้เขาไปดูตัว เลยคิดว่าเขากำลังจะแต่งงาน?

“เฮ้อ...”   ใบหน้าคมถอนหายใจออกมาก่อนจะอธิบายให้เจ้าเด็กตรงหน้าเข้าใจทั้งๆที่ไม่ใช่วิสัยของเขาเลยสักนิด

“เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าข้าเขียนตอบปฏิเสธไปแล้ว?...กับผู้หญิงที่ไม่เคยมาเหยียบที่เขตก่อสร้าง ไม่รู้ว่างานของข้าเป็นยังไงน่ะ ข้าไม่สนใจหรอก”   มือใหญ่รวบสองมือบางมาจับเอาไว้ทำให้เขามองเห็นใบหน้าน่ารักที่กำลังร้องไห้เพราะคิดว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ริมฝีปากที่เม้มแน่นจนแก้มป่องออกมานั่นมันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้างั้น...ถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนนั้นมาที่เขตก่อสร้างและยอมรับงานของนายช่างได้ล่ะ นายช่างจะแต่งงานกับเธอไหม?”   เจ้าเด็กตรงหน้ายังสรรหาคำถามมาถามเขาต่อ บอกตามตรงว่าเรื่องแต่งงานอะไรนั่นมันไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด

“ไม่หรอก...เพราะข้าไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้น ถ้าข้าจะรักใครสักคน ข้าจะเลือกเอง”

“ถ้างั้นก็เลือกข้าสิ!   แต่แล้วจู่ๆริมฝีปากสีระเรื่อก็โพล่งออกมา...เป็นคำพูดที่ทำเอาใบหน้าคมถึงกับชะงักค้าง

“ห๋า? พูดอะไรของเจ้า? ข้าไม่เข้าใจ”   นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีมรกตที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ทว่า มันกลับแข็งกร้าวและแน่วแน่จนเขานึกหวั่นใจ

“คนที่ท่านจะรักน่ะ...เลือกข้าได้ไหม...”       ริมฝีปากสีระเรื่อยังคงพูดอย่างตรงไปตรงมาและมันก็ทำให้หัวใจดั่งหินผาถึงกับสั่นคลอน

“.......หมายความว่ายังไง...”    ก็ไม่เชิงว่าไม่เข้าใจหรอก แต่มันออกจะกะทันกันเกินไป...กับคำสารภาพรักที่มาราวกับสายฟ้าแล่บนี่...

“ข้ารักท่าน...ข้ารักนายช่าง!   ใบหน้ามนหลับหูหลับตาสารภาพออกมาตรงๆก่อนจะก้มหน้างุดมองพื้น

“.........”   มือใหญ่ปล่อยมือบางที่รวบเอาไว้ด้วยสภาพเหม่อลอย เช่นเดียวกับใบหน้าคมที่จ้องมองใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลราวกับกำลังมองคนที่อยู่กันคนละโลก

รัก...อย่างงั้นเหรอ....

เรน...รักเขาอย่างงั้นเหรอ....

เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิด...ว่าความใกล้ชิดมันอาจจะนำพาซึ่งความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด แต่เขาก็ทำเป็นมองข้ามมันไป เพราะที่ผ่านมาเขาคิดแค่ว่าเจ้าลูกหมานี่มันยังเด็ก ยังไม่รู้จักหรอกความรักอะไรนั่น...มันถึงทำให้เขาอยู่ด้วยอย่างสบายใจ...แต่หากวันนี้ลูกหมาตัวนั้นเติบโตพอที่จะรู้จักมัน....เขาคงต้อง....

“......ตั้งแต่คืนนี้ไป...เจ้าไม่ต้องมานอนที่เขตก่อสร้างอีกแล้ว...”   เสียงทุ้มพูดออกไปราวกับคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง แล้วหลังจากนั้นคนที่ชะงักค้างก็คือร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“.........”   ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาให้ได้ยินอีก สองหูรับรู้ได้เพียงเสียงกรอบแกร่บของใบไม้ยามที่นายช่างเดินย่ำผ่านไปเท่านั้น


นายช่างไปแล้ว....นายช่างกลับเขตก่อสร้าง....โดยไม่หันมาเรียกเขาเหมือนที่เรียกอยู่ทุกวันเลยสักคำ....

ไม่หันมา....ไม่หันมาหาเขาอีกแล้ว....


ทำไมล่ะ? เขาพูดอะไรผิดไป? เขารักนายช่างไม่ได้อย่างงั้นเหรอ?...


ใบหน้ามนชาวาบและขยับไม่ได้อยู่หลายนาที...ตอนนี้...หัวใจของเขามันยังเต้นอยู่หรือเปล่านะ...ความเจ็บปวดที่เกินขีดจำกัดจะทำให้อวัยวะในร่างกายไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ...แบบนั้นใช่ไหมนะ

ไร้ความรู้สึก...จนแม้แต่น้ำตาที่พรั่งพรูลงมา เขายังไม่รู้สึกถึงมันเลยสักนิด...


นายช่าง....ไม่ให้เขาไปที่เขตก่อสร้างแล้ว...

นายช่าง...คงจะรังเกียจความรู้สึกที่เขามีให้...


ร่างกาย...แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ทำร้ายหัวใจพวกนั้น...ทั้งๆที่มันไม่ได้รุนแรงอะไรเลย...


นายช่าง...

ท่าน...ปฏิเสธข้าสินะ...


ปฏิเสธ....ที่จะเลือกข้า...


นายช่าง...


นายช่าง......

















ด้านในโรงละครคานามารุสะยังคงมีเสียงฝึกซ้อมดังอย่างต่อเนื่อง และมันก็ทำให้คนที่นั่งสัปหงกอยู่หลังห้องขายตั๋วสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นพักๆ

แปะ!

มือใหญ่ในถุงมือสีขาวตบลงไปที่ต้นคอเมื่อรู้สึกว่ามียุงตอมอยู่แถวๆนั้น นัยน์ตาสีดำสลึมสลือมองไปยังทางเข้าที่ดูจะเงียบเหงาเพราะไม่มีใครเดินผ่านเข้ามาสักคน

อ่า...นี่มันวันที่เท่าไหร่กันแล้วนะ...ที่เขามานั่งรอเด็กรับใช้ของกิโนะอย่างเปล่าประโยชน์อยู่แบบนี้...ไม่มีวี่แววเลยว่าเด็กนั่นจะโผล่มา แต่เพราะโกคุเดระ ฮายาโตะบอกว่ายังไงเด็กนั่นก็ต้องเอาบทละครตอนจบแบบใหม่มาให้แน่ๆ เขาถึงได้ทนนั่งรอต่อไป

“ฮ้าว....”    แล้วในขณะที่กำลังยกมือขึ้นมาหมายจะปิดปากที่กำลังอ้าหาวอยู่นั้น

“โคงามิ!”   มือสีขาวราวกับหิมะของโกคุเดระ ฮายาโตะก็ดึงทั้งมือทั้งร่างกายของเขาให้ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นก่อนจะส่งเสียง ชู่วๆ เมื่อเขาทำหน้าสงสัยและเตรียมจะเปิดปากถาม แล้วไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ที่ทางเข้าซึ่งไม่มีใครเดินผ่านมาหลายวันก็มีเงาร่างๆหนึ่งปรากฏกายขึ้นมาจนได้

เป็นเด็กผู้หญิง...ที่มีสีหน้านิ่งสนิท....

“เด็กคนนั้นเหรอ?”   ใบหน้าคมกระซิบถามโกคุเดระ ฮายาโตะที่ยังจ้องเด็กรับใช้ของกิโนะเขม็ง  เด็กหญิงน่าจะอายุราวๆ12-13 ร่างกายเล็กๆนั่นอยู่ในกิโมโนสีดำซึ่งดูต่างจากเด็กผู้หญิงทั่วไปที่มักจะใส่กิโมโนสีสันสดใส

“ใช่...”    โกคุเดระ ฮายาโตะตอบกลับมาและหลังจากมองดีแล้วว่าเด็กคนนั้นเดินผ่านม่านเข้าโรงละครไปแล้ว ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีเงินถึงได้หันหน้ามาคุยกับเขา

“เจ้าจำได้แล้วใช่ไหม? เดี๋ยวข้าต้องเข้าไปในโรงละครก่อน เด็กนั่นจะได้ไม่สงสัย”   มีเอกลักษณ์ซะขนาดนั้นใครจะจำไม่ได้บ้างล่ะ เขาจึงพยักหน้ารับพร้อมกับเสียงขานตอบเบาๆ

“อ่า”   นัยน์ตาคมกล้าเหลือบมองรอบกาย ความระแวดระวังของโกคุเดระ ฮายาโตะนี่น่าชื่นชมจริงๆ แล้วเด็กนั่นก็เหมือนจะรู้ตัว ริมฝีปากสีสดจึงเอ่ยขอโทษเขาแบบก้าวร้าวนิดๆตามแบบฉบับของตัวเอง

“โทษที ก็เจ้าอยากตัวสูงเองนี่ หัวเจ้ามันเลยช่องขายตั๋วไปน่ะ เด็กนั่นต้องสังเกตเห็นหัวยุ่งเหยิงของเจ้าแน่ๆถ้าข้าไม่ดึงลงมา”

“อ่า...ขอบใจก็แล้วกันนะ”   รู้ดีจริงๆเลยนะ...ทำอย่างกับว่าตัวเองก็เคยแอบตามเด็กรับใช้นั่นไปอย่างงั้นแหละ

“ข้าไปละ ที่เหลือเจ้าก็จัดการเอาเองแล้วกัน”  

“ขอบใจนะ โกคุเดระ”    ใบหน้าสวยหันมาพยักให้ก่อนจะเดินหายเข้าโรงละครไป

เขานั่งรออยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กหญิงคนนั้นก็เดินออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในมือไม่ได้ถือห่อเอกสารอะไรแล้ว ดูท่าคงจะตรงกลับบ้านเลยกระมัง เพราะถ้าจะแวะที่ไหนอย่างน้อยก็น่าจะมีตะกร้าหรืออะไรมาใส่ของบ้าง สองขาจึงแอบย่องตามร่างเล็กในกิโมโนสีดำนั่นไปทันที

นัยน์ตาสีดำจ้องมองแผ่นหลังที่เดินปะปนเข้าไปในฝูงชนอย่างไม่ให้คลาดสายตา ถึงจะยังไม่รู้ว่ากิโนะเป็นใครกันแน่ ตายไปแล้วหรือยัง แต่เบาะแสเดียวที่มีอยู่ก็คือเด็กรับใช้คนนี้  แล้วยิ่งเดินตามก็ยิ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรนกับโกคุเดระ ฮายาโตะถึงบอกว่าเด็กรับใช้คนนี้เหมือนพวกคิชิงามิ เพราะไม่ว่าจะเดินผ่านไปทางไหนสีหน้าก็แทบจะไม่เปลี่ยนเลยสักนิด...ก็นะ...ถ้าเป็นคนธรรมดาเดินผ่านแม่ค้าสองร้านที่กำลังยืนด่าแย่งลูกค้ากัน หรือเด็กๆวิ่งกันให้จ้าละหวั่นเพราะหมาไล่ มันก็คงต้องมีสีหน้าตกใจหรืออย่างน้อยสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง....แต่นี่ ยังนิ่งสนิท

เหมือนตุ๊กตากระดาษจริงๆนั่นแหละ...

ร่างสูงใหญ่ในชุดทหารแอบย่องตามเด็กรับใช้ของกิโนสะ โนบุจิกะไปเรื่อยๆ แต่หลังจากที่ออกมาจากย่านร้านค้าแทนที่เด็กนั่นจะเดินไปตามถนนใหญ่ซึ่งมุ่งหน้าไปทาคามัตสึหรือเขตก่อสร้างของเขาเพื่อที่จะแวะเข้าไปในป่าไผ่...บ้านร้างที่เขาคิดว่าเป็นบ้านของกิโนะ...เด็กนั่นกลับเดินย้อนขึ้นเขาไปอีกลูก....

เขาเดินตามเด็กนั่นไปด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างตั้งใจจะจดจำทิศทางให้ได้อย่างแม่นยำ เหงื่อกาฬก็ไหลออกมาจนมือเปียกชุ่ม

ก็จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้ยังไง...

ในเมื่อทิศทางที่เด็กรับใช้คนนี้เดินไปนี่มัน...ตรงกันข้ามกับบ้านร้างหลังนั้นเลยไม่ใช่หรือไง?

หมายความว่า...กิโนะอาจจะไม่ได้อยู่ที่บ้านร้างหลังนั้น?

หมายความว่ากิโนะอาจจะยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่?

อยากรู้...

อยากรู้จนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว กิโนะ!









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อต่อไป...ไป...ไป...



หลังจากแปะเพลง Nijiiro chouchou ไปเมื่อคราวที่แล้ว คุณกวางมันเลยลองไปหาคำแปลเพลงนี้ดูค่ะ แล้วก็ปรากฏว่ามีคนแปลไว้แล้วด้วย กรี๊ดดดด แล้วนอกจากเพลงนี้แล้ว เค้ายังแปลให้ทั้งคอนเลยอีกด้วย กร๊ากกกกกก แปะก่อนจะเวิ่น



โอยยยยย ลองไปดูกันเถอะค่ะ เป็นคอนที่สุดยอดมากๆๆๆๆๆๆ!! >w< คือตอนที่ฟังเพลงของวงนี้ก็ยังสงสัยนะว่าตอนเล่นสดจะเป็นไงว้า ท่าจะยากน่าดูเพราะมีทั้งกลองปกติ กลองญี่ปุ่น โกโตะ กีต้า เบส ซามิเซง ขลุ่ย....=v=””” เครื่องดนตรีอย่างเยอะ แถมน่าจะเล่นด้วยกันยากอีกตะหาก แต่หลังจากดูคอนนี้จบแบ้วเปลี่ยนความคิดเรยค่ะ  Wagakki band สุดยอดมว๊ากกกก เล่นได้เป๊ะสุดๆเลยอ่ะ โฮววววว แถมเพลงตอนที่ฟังแบบปกติพอไปฟังในไลฟ์แล้วมันแบบ...อารมณ์มันต่างกันเยอะเลยเฟ้ยยยยย ตอนนี้เลยกลายเป็นติดเพลงของวงนี้ไปเลยค่ะ5555 แล้วก็นะ เนื้อหาเพลงที่เลือกมาแต่ละเพลงนี่ก็ชวนจิ้นดีจริงๆทั้งน้านนนนน =////=

โดยเฉพาะ Nijiiro chouchou ของเราเนี่ย ตอนอ่านคำแปลครั้งแรก อร๊ากกกกก มันใช่มากค่ะ!!! ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นผีเสื้อแต่เป็นนกกระสากับพญาเหยี่ยวก็ได้เลยนะ5555 ท่อนที่บอกว่า “เธอร้องไห้แล้วก็เฝ้ามองฉันที่บินไม่ได้” นี่แบบ ตรูร้องไห้เลย อินจัด ฮือออออ // เพลงนาทีที่ 25 น่ะค่ะ

แล้วก็นะ ตอนดูคอนนี่เหมือนโดนหลอกเลยค่ะ 5555 คือคิดว่าวงนี้มีผู้หญิงสามคนมาตลอด....จนกระทั่งได้ฟังเสียงช่วงทอล์กถึงได้รู้ว่า...มือเบสเป็นผู้ชายเว้ยเฮ้ย =[ ]=!!!! เนียนมากอ่ะฟฟฟฟฟฟฟฟฟ หน้าอย่างงั้นเป็นผู้ชายได้เร้อออออออ =[ ]=!!!! // โดนเบสตบถถถถ // แต่ร้องนำสวยจริงจังค่ะ เสียงก็ดีมว๊ากกกก *q*...

ส่วนฟิคก็อาจจะลุ้นกันนิดหน่อยเนอะ 555 ขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆเสียงทวง ทุกๆคอมเม้นต์มากๆเลยนะค้า ถึงบางเรื่องจะทวงไปถือมีดรอไปก็เถอะ... =v=... เหงื่อแตกพลั่ก จะ จะรีบปั่นให้กันตายเด่วนี้แหละ พราก....

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า >w<



2 ความคิดเห็น:

  1. นายท่านคะ....จากตอนแรกเป็นแฟนคลับ ตอนนี้หมั่นไส้มากค่ะ!!!

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ1 พฤษภาคม 2560 เวลา 23:53

    รอตอนต่อค่าาาาา

    ตอบลบ