Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren] Ai Kotoba : 08.1
For HBD.Yamamoto Takeshi
: Attack on Titan feat. KHR Gintama Psycho pass Fanfiction Au
: 8059 , Levi x Eren , Kogami x Ginoza , Takasugi x Katsura
: Period Drama
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
“ฟังนะ...หลักการของมันก็คือ ระเบิดทีละน้อยแต่ให้ระเบิดอย่างต่อเนื่อง” นายช่างใหญ่ของเขตก่อสร้างซึ่งนับได้ว่าเป็นงานโหดหินที่สุดของญี่ปุ่นในเวลานี้กำลังยืนอยู่หน้ากระดานดำ มือแข็งแรงถือชอล์กสีขาวก่อนจะวาดภาพและเขียนสูตรทางวิศวกรรมลงไปเพื่ออธิบายให้ลูกน้องที่มีทั้งวิศวกรระดับหัวกะทิ ช่างก่อสร้าง และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระเบิดฟัง
“เราจะลดปริมาณดินระเบิดลงแล้วแบ่งจากที่เคยระเบิดภายในลูกเดียวเป็น 12 ลูก แต่ละลูกเชื่อมต่อกันด้วยชนวนดอกเห็ดแบบนี้...จากนั้นใช้สายระเบิดนำร่องลากมายังสายระเบิดตัวแม่เพื่อส่งมายังเครื่องควบคุมการระเบิด แค่นี้เราก็สามารถกดระเบิดได้จากบนบก” มือของนายช่างหนุ่มยังคงขีดๆเขียนๆสิ่งที่ตนคิดลงไปบนกระดานโดยมีสายตาเบิกกว้างของเหล่าลูกน้องมองอยู่ วิธีการที่ไม่มีใครคาดคิดเริ่มก่อเป็นรูปเป็นร่างในหัวของแต่ละคนและดูแล้วมันก็น่าจะเป็นวิธีที่เป็นไปได้มากทีเดียวที่จะประสบผลสำเร็จ
“เมื่อลดปริมาณดินปืนลง ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อปลา และถ้าเราสั่งระเบิดทั้ง12ลูกนี้ให้ระเบิดไปเรื่อยๆ ห่างกันทุกๆ 1 วินาที ต่อให้เป็นหินที่แกร่งแค่ไหนมันก็จะต้องทลายอย่างแน่นอน....” ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีดำไถท้ายทอยเกรียนพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนกำลังครุ่นคิดในขณะที่มือก็เคาะชอล์กลงไปบนกระดาน
“ถ้าจะทำให้ระเบิดทั้ง 12 ลูกระเบิดอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะต้องทำมันเป็นท่อดินระเบิด...” มือแข็งแรงเขียนคำว่าท่อดินระเบิดลงไปบนกระดานก่อนจะวงทับมันอีกรอบ
“นายช่างครับ” ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งอยู่ในทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการระเบิดยกมือขึ้นถาม
“ว่ามา”
“วิธีนี้ใช้ตรงบริเวณที่น้ำตื้นก็น่าจะได้อยู่หรอกนะครับ แต่ถ้าเป็นบริเวณที่น้ำลึก สายระเบิดนำร่องมันจะยาวไม่พอเอานะครับ ไหนจะยังมีเรื่องกระแสน้ำเชี่ยวอีก” หลังจากที่ได้ฟัง มือแข็งแรงก็ยกขึ้นมาลูบคางอย่างใช้ความคิด...ที่ลูกน้องพูดมาก็มีเหตุผล ฐานรากของเขามีทั้งที่ตั้งอยู่บริเวณน้ำตื้นอย่างช่วงใกล้ๆจะถึงเกาะและมีทั้งที่อยู่ในบริเวณน้ำลึกอย่างกลางทะเล...การใช้สายระเบิดนำร่องอย่างเดียวอาจจะใช้ไม่ได้เพราะสายจะยาวเกินไปและเสี่ยงที่จะโดนกระแสน้ำเชี่ยวกรากนั่นพัดหายไปอีกต่างหาก
“.....ในจุดที่วางฐานรากแต่ละอันอาจจะใช้วิธีควบคุมการระเบิดไม่เหมือนกัน...เท่าที่ข้าเคยเรียนรู้มา...ที่อังกฤษยังมีวิทยาการที่เรียกว่าตัวนำแม่เหล็กไฟฟ้ากับเสียงอัลตราโซนิกอยู่ เราอาจจะใช้พวกนี้เป็นตัวนำระเบิดแทนสายนำร่อง...” แล้วมือใหญ่ก็ขีดๆเขียนๆตัวอักษรภาษาอังกฤษลงไปบนกระดาน
“สำหรับเรื่องนี้ข้าจะขอความร่วมมือไปทางกรมช่างทหารส่วนกลางอีกที สำหรับตอนนี้สิ่งที่เราต้องทดลองก็คือ...ทฤษฎีการระเบิดทีละน้อยแต่ระเบิดอย่างต่อเนื่องนี้มันจะไม่ทำให้ปลาตายและสามารถระเบิดชั้นหินใต้น้ำได้จริงๆหรือเปล่า...เราต้องทำการทดลองให้พวกชาวประมงที่เกาะโยชิม่าดูเสียก่อน”
“ครับ!” เหล่าลูกน้องรับคำอย่างมีความหวังและต่างแบ่งหน้าที่กันด้วยความตั้งใจ พวกเขาติดแหง่กอยู่กับเรื่องระเบิดชั้นหินใต้น้ำนี่มาหลายสัปดาห์ แค่คิดว่าจะมีทางออกใดอื่นอีกก็พร้อมจะลองทั้งนั้น
“แบ่งงานกันเสร็จแล้วก็เลิกประชุมได้” เสียงทุ้มสั่งออกไปในขณะที่วางชอล์กลงในกล่อง
“ครับ!” เสียงขานรับดังอยู่ข้างหลัง ถึงแม้จะบอกให้เลิกประชุมได้แต่เจ้าพวกนั้นคงยังนั่งทำงานต่อจนเย็นย่ำนู่นแหละถึงจะยอมเลิกรา...ร่างในชุดทหารคอปกตั้งเดินไปตามระเบียงทางเดินที่เชื่อมต่อห้องประชุมกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองอย่างเข้าใจความรู้สึกกระหายอยากที่จะเอาชนะธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ในท้องทะเลของพวกลูกน้องเป็นอย่างดี เพราะตอนนี้เขาเองก็กำลังตื่นเต้นกับทฤษฎีที่เพิ่งจะค้นพบนั่นเช่นกัน และมันก็ช่างท้าทายเขาเสียเหลือเกินว่าจะใช้มันระเบิดชั้นหินโสโครกพวกนั้นออกไปโดยที่ปลาไม่ตายได้หรือเปล่า
ในหัวกำลังนึกถึงหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับตัวนำระเบิดเอาไว้และเขาก็ตั้งใจจะไปหยิบมันมาอ่านเมื่อถึงห้องทำงาน ทว่า แค่ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้อง นัยน์ตาสีขี้เถ้าก็มองเห็นว่าไม่ได้มีแค่เจ้าโคงามิและสองลิงจากคณะละครคาบุกิอยู่แค่นั้น
“สวัสดีขอรับนายช่าง” ผู้มาใหม่ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมๆกัน นายช่างหนุ่มจึงโค้งให้ตามมารยาทก่อนจะหย่อนกายนั่งลงไปบนโซฟารับรองง่ายๆที่ปกติจะถูกเรนยึดเอาไว้ แต่ดูเหมือนเด็กนั่นก็รู้งานดี ตอนนี้ถึงได้ขนของเล่นไปนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาแทน
“สวัสดี มีอะไรรึ?” ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในเขตก่อสร้างเอ่ยถามสองคนผู้มาใหม่โดยไม่มีพิธีรีตอง คนหนึ่งคือบุรุษไปรษณีย์ที่นานๆทีจึงจะแวะมาที่เกาะชิโกกุสักครั้ง กับอีกคนคือรองผู้ใหญ่บ้านที่เคยมาคุยกับเขาเรื่องตีกลองในงานเทศกาลและคราวนี้ที่มาก็คงจะเป็นเรื่องเดิม
“มีจดหมายของนายช่างขอรับ ส่งมาจากเมืองหลวง” โตเกียวงั้นรึ? มือแข็งแรงรับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ที่เริ่มพูดเรื่องของตัวเองก่อนรองผู้ใหญ่บ้าน ซองสีน้ำตาลหนาพอดูถูกพลิกให้เห็นชื่อคนส่ง แล้วก็แทบไม่ต้องเดาเลยว่ามันน่าจะมาจากที่บ้านของเขา เพราะถ้าเป็นเอกสารทางราชการ กรมช่างทหารจะมีคนมาส่งเองไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์แบบนี้
มือแข็งแรงหยิบมีดขึ้นมากรีดเปิดซองอย่างรวดเร็วก่อนจะหยิบกระดาษที่พับอย่างเรียบร้อยออกมาเปิดอ่านอย่างไม่ใส่ใจว่ามันจะมีความลับอะไรหรือไม่ ไม่สนใจว่าจะมีสายตาของคนทั้งห้องจ้องมองอยู่ไหม...ถ้ามาจากที่บ้านละก็คงจะมีแต่เรื่องไร้สาระที่เขาไม่จำเป็นต้อง เก็บเอามาใส่ใจ ต่อให้พวกนั้นจะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่หรือสำคัญแค่ไหนก็ตาม
นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองไปตามตัวหนังสือที่ถูกเขียนอย่างสวยงามนั่นผ่านๆก่อนจะหยิบเล่มกระดาษแข็งที่แนบมาด้วยเปิดดูโดยใช้เวลาไม่ถึงสามวินาที...ในนั้นมีรูปผู้หญิงคนหนึ่ง สวยหรือไม่สวยเขาก็ไม่รู้หรอกเพราะไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว
“รอเดี๋ยวนะ ข้าจะเขียนจดหมายฝากไปด้วย” บุรุษไปรษณีย์พยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่ เพราะนานๆทีถึงจะมีจดหมายมายังเกาะชิโกกุ พวกเขาจึงมักจะรอถามทางผู้รับก่อนว่าจะตอบกลับไปไหม ไม่เช่นนั้นคงอีกหลายวันกว่าจะแวะมารับจดหมายที่ไปรษณีย์ประจำเกาะอีกที
ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครลุกเดินมาที่โต๊ะทำงานซึ่งมีร่างโปร่งบางนั่งเล่นคาตะนุคิอยู่ ซองสีน้ำตาลที่เพิ่งรับมาจากบุรุษไปรษณีย์ถูกโยนลงไปในกองพิมพ์เขียวอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่มือแข็งแรงจะหยิบพู่กันแล้วเขียนด้วยลายมือหวัดๆลงไปบนแผ่นกระดาษที่หาได้จากกองแบบง่ายๆ
‘ปฏิเสธไปซะ และข้าจะยังไม่กลับไปในช่วงนี้’
นั่นคือประโยคที่นัยน์ตาสีมรกตกลมโตมองเห็น ถึงเรนจะไม่รู้ภาษาต่างชาติแต่ถ้าเป็นประโยคแสนสั้นแถมเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบนี้เขาอ่านได้สบายอยู่แล้ว ใบหน้ามนละจากคาตะนุคิที่กำลังเล่นอยู่มามองดูนายช่างที่กำลังเอากระดาษอีกแผ่นซับหมึกแล้วพับกระดาษที่น่าจะเป็นจดหมายนั่นใส่ซองสีน้ำตาล ก่อนที่ร่างในชุดทหารสีกรมท่าจะเดินกลับไปยื่นมันให้บุรุษไปรษณีย์
นายช่าง...ปฏิเสธอะไรกันนะ? แล้วที่ว่ากลับไปนี่คือที่ไหนอย่างงั้นเหรอ?
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองซองสีน้ำตาลที่ถูกนายช่างโยนลงมาบนโต๊ะ กระดาษบางส่วนไหลออกมาจากซองและหนึ่งในนั้นมีรูปขาวดำของผู้หญิงคนหนึ่ง...หรือว่า...ดูตัว?
จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลใหญ่แถมยังเป็นแค่เด็กชาวบ้านอายุ 15 ปี แต่ว่าเขาที่อยู่ในคณะละครมาตั้งแต่เล็กก็ทำให้รู้เรื่องราวในโลกได้มากกว่าเด็กทั่วๆไป...ผ่านบทกวีและบทละครที่ตัวเองแสดงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันพวกนี้แหละ...แน่นอนว่าเขารู้จัก...ว่าการดูตัวมันคืออะไรและทำไปเพื่ออะไร
นายช่าง...กำลังจะแต่งงานงั้นเหรอ?
กับผู้หญิงที่ดูงดงามและเรียบร้อยราวกับคุณหนูจากตระกูลผู้ดีคนที่อยู่ในรูปนั่นอย่างงั้นเหรอ?
แปล๊บ....
มือขวายกขึ้นไปกุมเหนือแผ่นอกซีกซ้ายที่จู่ๆก็เจ็บแปลบอย่างไม่ทราบสาเหตุ ข้างใน...รู้สึกเจ็บทั้งๆที่ทั่วทั้งใบหน้ากลับรู้สึกชา...นี่มันคืออะไร...
ใช่แล้ว...
ในละครเรื่องนั้น...ตอนที่นางเอกเห็นหนังสือดูตัวของพระเอก เขาก็ถูกคุณคัตสึระสั่งให้แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกไปเหมือนกัน...คุณคัตสึระบอกว่าที่นางเอกเจ็บปวดก็เพราะว่านางเอกรักและทนไม่ได้ที่ต้องเห็นพระเอกแต่งงานกับคนอื่น....
รัก...งั้นเหรอ?
เขารักนายช่างงั้นเหรอ...ถึงได้เจ็บปวดเมื่อรู้ว่านายช่างกำลังจะแต่งงาน?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เรน?”
“เรน!!” เสียงตะโกนเรียกไม่พอยังมีแรงเขย่าที่ไหล่จนหัวสีน้ำตาลแทบจะหลุดจากบ่า ใบหน้ามนถึงได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
“....?” ร่างโปร่งบางแสดงอาการสับสนออกมาทางสีหน้าจนโกคุเดระ ฮายาโตะต้องถอนหายใจ ก่อนจะอธิบายเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้น
“พวกนายช่างจะไปดูกลองกัน ข้าเองก็ต้องกลับไปซ้อมละครแล้ว เจ้าจะเอายังไง?” นัยน์ตาสีมรกตกลมโตสะท้อนภาพผมสีเงินเป็นประกายของเพื่อนสนิทก่อนที่ดวงตาเหม่อๆนั่นจะเหลือบมองรอบกายซึ่งตอนนี้ในห้องเหลือเพียงแค่เขา ฮายาโตะและคุณโคงามิ...นายช่าง รองผู้ใหญ่บ้านและบุรุษไปรษณีย์ไม่อยู่แล้ว...
นี่เขาใจลอยอยู่นานแค่ไหนกัน? นายช่างกับรองผู้ใหญ่บ้านคุยกันเสร็จแล้วเหรอ? คุยเรื่องอะไรบ้างนะ? ทั้งๆที่เขาก็อยู่แค่นี้แต่กลับไม่ได้ยินอะไรเลย
เพราะจู่ๆก็เข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนายช่างขึ้นมาราวกับสายฟ้าแล่บ มันรวดเร็วเกินไปจนเขาเองยังตั้งตัวไม่ทัน ซ้ำยังรู้เพราะอีกฝ่ายกำลังจะมีคนอื่น...
เพราะกำลังจะเสียนายช่างไปเขาถึงได้รู้ใจตัวเอง
“เรน?” ฮายาโตะชะโงกหน้ามาเรียกเขาอีกรอบ ทำให้หัวสีน้ำตาลที่กำลังสับสนต้องพยายามอย่างหนักที่จะคลี่คลายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปทีละอย่าง...เรื่องของนายช่างเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี แต่ตอนนี้คงต้องตอบคำถามของฮายาโตะก่อน
“ขะ ข้า....ก็จะไปด้วย...”
“เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย? ทำหน้าอย่างกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง” ร่างบอบบางของเพื่อนรักยืนท้าวสะเอวก่อนจะจ้องหน้าเขาตรงๆ แต่เขาก็ไม่รู้จะบอกฮายาโตะยังไงในเมื่อแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลย...เขารักนายช่างได้ยังไง? เขารักนายช่างตั้งแต่เมื่อไหร่? เขารักนายช่างเพราะอะไร? เขารักนายช่างมานานแค่ไหน? ขนาดตัวเองยังตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้เลย
“เห๋...เอาอีกแล้วเหรอเนี่ย...” เสียงเฉื่อยชาของโคงามิ ชินยะเรียกให้ทั้งเขาและฮายาโตะหันไปมองร่างสูงใหญ่ในชุดทหารที่ขยับนั่งลงมาที่ขอบโต๊ะพลางหยิบรูปหญิงสาวที่ไหลออกมาจากซองจดหมายไปดูอย่างไม่สนใจคำว่ามารยาท
“อะไรน่ะ?” โกคุเดระ ฮายาโตะเองก็ชะเง้อมองรูปถ่ายใบนั้นพลางถามออกมาอย่างไม่สนใจมารยาทที่ไม่ควรจะแอบดูจดหมายของคนอื่นพอกัน
“ก็ดูตัวไง พวกเจ้ารู้จักหรือเปล่า?” มือใหญ่โบกรูปถ่ายสีขาวดำใบนั้นราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
“รู้สิ ละครเรื่องก่อนๆก็เคยมี ว่าแต่นี่...ของนายช่าง?” แล้วจู่ๆเจ้าของผมสีเงินที่กำลังยิงคำถามก็ชะงักไปก่อนจะค่อยๆหันมองเรนด้วยใบหน้าเกร็งๆ เพราะเป็นคนหัวไวเลยทำให้เขาพอจะรู้แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรักของตนนิ่งค้างเป็นรูปปั้นคงมาจากเรื่องนี้นี่เอง...เรน...เจ้าแอบรักนายช่างอยู่จริงๆด้วยสินะ? นัยน์ตาสีมรกตน้ำงามเหลือบมองซองสีน้ำตาลนั่นอย่างนึกหวั่นใจแทน
“ก็จะมีใครซะอีกล่ะ ของเจ้านายช่างนั่นแหละ...ก่อนหน้านี้ก็เคยมีส่งมา...เจ้านั่นก็ถึงวัยที่ควรจะมีลูกมีเมียได้ตั้งนานแล้วนี่นะ มัวแต่มาหลงรักเศษเหล็กเศษไม้ในเขตก่อสร้างอยู่ได้” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำยุ่งเหยิงเป็นกระเซิงอยู่ตลอดเวลาพูดออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“อีกอย่าง...ถึงท่าทางจะไม่ให้แต่นายช่างของพวกเจ้าน่ะ ก็เป็นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านจอมพลแห่งกองทัพบกเชียวนะ ผู้หญิงสวยๆหรือคุณหนูผู้ดีมีตระกูลนี่ตอมกันให้หึ่งเลยละ นี่ก็ไม่รู้นะว่าถ้ายังเอาแต่ปฏิเสธไปเรื่อยแบบนี้หมอนั่นอาจจะโดนที่บ้านจับแต่งงานเพราะทนรอไม่ไหวเข้าให้สักวัน” สิ่งที่ใบหน้าคมพูดออกมามีแต่จะทำให้เรนนิ่งค้างไปกันใหญ่ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนที่ริมฝีปากสีระเรื่อจะสั่นสะท้านราวกับกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เรน! ไปดูกลองกันเถอะ!” ใบหน้าสวยที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนรักจึงโพล่งตัดบทออกไปแบบนั้นเพราะรู้ว่าเรนคงกำลังเจ็บปวดแต่บางทีอาจจะยังไม่เข้าใจตัวเองเลยทำให้ไม่รู้จะทำยังไงถึงได้นิ่งเงียบไว้อยู่แบบนี้
“อะ อื้อ...” แล้วมือบางก็ดึงมือของเรนให้ก้าวขาเดินตามมาทันที ตอนนี้เรนไม่ควรจะอยู่ที่นี่ เพื่อนของเขาควรจะได้ทำความเข้าใจหัวใจของตัวเองให้ดีเสียก่อนที่จะต้องรับรู้ว่าคู่ต่อสู้คือใคร นายช่างจะยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยมาจากไหนเขาไม่สน จะเป็นลูกนายพลหรือผู้ดีเก่าอะไรก็ช่าง เพราะยังไงเขาก็สนใจความรู้สึกของเพื่อนเขามากกว่า
ปึก!!
ร่างบอบบางเดินชนร่างหนาที่เดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากที่ออกไปสั่งงานลูกน้อง ใบหน้าสวยฮึ่มๆใส่นายช่างหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอย่างนึกหมั่นไส้ที่มาทำให้เพื่อนของตนหลงรักซะได้!
“....?...มีอะไรรึเปล่า?” ใบหน้าคมหันไปถามโคงามิ ชินยะอย่างงงๆเมื่อเจ้าเด็กที่เดินชนเขากลับหันมาแยกเขี้ยวใส่แถมลากเรนเดินไปไกลอย่างไม่คิดจะขอโทษสักนิด
“ไม่รู้สิ...” ร่างสูงใหญ่ยักไหล่ก่อนจะตอบออกไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปล่อยให้เจ้านายช่างเพื่อนยากมองตามเด็กสองคนนั่นอย่างไม่เข้าใจต่อไป...ก็นะ...ถ้าเขาไม่ใส่ไฟซักหน่อยสองคนนี่ก็คงจะยังเป็นแค่ลูกหมากับเจ้าของอยู่แบบนี้แหละ จะคืบหน้ากับใครเขาบ้างคงไม่มี
“ไปดูกลองกันเถอะน่านายช่าง...รองผู้ใหญ่บ้านจะสอนเจ้าตีด้วยสินะ?” แล้วนายทหารร่างสูงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกจากห้องไป...
กลองไทโกะหน้ากว้างสองเมตรตั้งตระหง่านอยู่กลางเวทีที่ล้อมรอบไปด้วยต้นโมมิจิที่ใบกำลังใกล้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเต็มที เบื้องหลังเป็นขุนเขาซึ่งมีศาลเจ้าโคโตฮิระอยู่เบื้องบน ฉากราวกับภาพวาดเช่นนี้ช่างสะกดสายตาของใครก็ตามที่ได้พบเห็น ยิ่งแผ่นหลังแข็งแกร่งในชุดทหารเต็มยศยืนอยู่ตรงกลางกลองญี่ปุ่นที่ใหญ่กว่าร่างกายหลายเท่ามันกลับยิ่งมีมนต์ขลังจนละสายตาไปไหนไม่ได้เลยจริงๆ
นัยน์ตาสีมรกตกลมโตที่เฝ้ามองแผ่นหลังของนายช่างอยู่ด้านล่างเวทีไล่มองตั้งแต่ปลายรองเท้าบูทสีดำที่สูงถึงหน้าแข้งขึ้นไปจนถึงกางเกงทหารสีกรมท่าที่ถูกยัดปลายเอาไว้ในนั้น ดาบญี่ปุ่นสีดำสนิทที่ห้อยอยู่ที่เอวให้ความรู้สึกอันตรายแต่ก็แฝงไว้ด้วยความสมชายชาตรี แผ่นหลังที่ไม่ได้กว้างใหญ่แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครมีเสื้อคอปกตั้งสวมทับอยู่ ท้ายทอยถูกไถจนเกรียนก่อนจะปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำขลับซึ่งถูกสวมทับด้วยหมวกทรงหม้อตาลของทหาร สีกรมท่าและร่างกายได้รูปนั้นราวกับจะเด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางสีทองอ่อนๆของหน้ากลองขนาดสองเมตร ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการนั้นส่งให้ขนทั่วร่างโปร่งบางลุกชัน หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักและยิ่งรู้สึกหลงรักมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จะถอนตัวตอนนี้...คงไม่ทันแล้วสินะ...
“ใบนี้คือกลองของท่าน ส่วนใบนั้นคือของนายน้อยยามาโมโตะขอรับ” เสียงรองผู้ใหญ่บ้านอธิบายให้นายช่างซึ่งยืนอยู่กลางเวทีฟัง ใบหน้ามนจึงเพิ่งสังเกตเห็นกลองอีกใบที่ตั้งอยู่กลางเวทีที่อยู่ข้างๆกัน กลองใบนั้นเองก็มีขนาดและความน่าเกรงขามไม่ได้ต่างกันเลย...แค่นึกภาพของคนสองคนที่จะตีกลองสองใบนี้ ขนทั่วร่างก็ลุกชันอีกรอบ เพราะมันคงจะเป็นภาพที่ชวนใจเต้นน่าดู
“เดี๋ยวข้าจะตีให้ท่านดู ถ้ามีจังหวะตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามข้าได้เลยนะนายช่าง” รองผู้ใหญ่บ้านยังคงอธิบายอะไรหลายๆอย่างให้นายช่างฟังซึ่งมันได้แต่เข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาของเขาไป...เขาไม่ได้สนใจบทสนทนานั่นเลยเพราะสิ่งที่อยู่ในสายตาก็มีเพียงสีหน้าและแผ่นหลังของนายช่างเท่านั้น
“เรน?” จนกระทั่งเสียงของเพื่อนรักร้องเรียก ใบหน้ามนจึงได้หันไปมองด้วยดวงตาเหม่อลอย
“หื๋อ?” เสียงนุ่มตอบรับในลำคอ
“ข้าจะกลับไปซ้อมละครแล้ว เจ้าจะไปกับข้าหรือว่าจะอยู่ที่นี่?” ใบหน้าสวยของฮายาโตะถามเขา แต่เหมือนหัวสมองของเขามันจะไม่ยอมทำงานเอาเสียเลย เขาจึงได้แต่มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างคิดอะไรไม่ออก
“ข้าขอไปโรงละครกับเจ้าด้วยได้ไหม? ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่แหละเรน อยู่กับนายช่างแทนข้าที ถ้ามีปัญหาเจ้าน่าจะจัดการกับคนที่นี่ได้ดีกว่าข้า” แล้วจู่ๆโคงามิ ชินยะก็คิดแทนให้เสร็จสรรพ ใบหน้ามนจึงพยักรับอย่างงงๆ
“เอางั้นเหรอเรน?” ฮายาโตะชะโงกหน้ามาถามย้ำกับเขาอีกครั้ง แต่ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลก็เพียงพยักเบาๆ
“งั้นก็...ไปกันเถอะ” ร่างบอบบางหันไปเรียกร่างสูงใหญ่ของนายทหารประจำเขตก่อสร้าง ร่างทั้งสองจึงค่อยๆเดินจากไป ทิ้งให้เรนยืนเหม่อมองนายช่างอยู่ตรงนั้นตามลำพัง
“เจ้าจะไปทำอะไรที่โรงละครน่ะ?” โกคุเดระ ฮายาโตะหันมาถามร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาสงสัย ใบหน้าคมจึงเงยมองขึ้นไปบนยอดไม้อย่างใช้ความคิด...จะปิดบังเด็กนี่ไปก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร สู้ถามไปตรงๆเลยดีกว่า
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยบอกข้าหน่อย...ว่าคนไหนคือเด็กรับใช้ของ กิโนสะ โนบุจิกะ” หลังจากที่เขาเฝ้าคิดมาหลายวันแต่ก็มักจะเจอแต่ทางตัน...มีเพียงเด็กรับใช้คนนี้เท่านั้นที่จะเชื่อมโยงเขาไปถึงกิโนะได้
“เด็กรับใช้ของ อ.กิโนสะ?” คิ้วสีเงินเลิกขึ้นแทนคำถาม
“ใช่ คนที่จะเอาบทมาให้หรือมาติดต่อกับโรงละครแทนกิโนสะ โนบุจิกะน่ะ” เด็กคนที่เรนเคยบอกว่าเหมือนชิคิงามิ...
“อือ....ก็ได้อยู่หรอก แต่ข้าไม่แน่ใจนะว่าวันนี้เด็กนั่นจะมาหรือเปล่า...ว่าแต่เจ้าจะอยากรู้จักเด็กรับใช้ของ อ.กิโนสะไปทำไมน่ะ?” นัยน์ตาคมกล้าเหลือบมองใบหน้าสวยๆของโกคุเดระ ฮายาโตะอย่างใช้ความคิด...ปิดบังไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะเป็นเด็กหัวไวมาก สังเกตุเขาอีกไม่นานก็คงรู้แล้วละว่าเขาต้องการอะไร
“ข้าอยากพบ กิโนสะ โนบุจิกะ แต่ก็ไม่รู้จะติดต่อยังไง ทางเดียวที่ข้านึกออกก็คือการแอบตามเด็กรับใช้นั่นไป” ริมฝีปากรสบุหรี่จึงบอกคนตรงหน้าไปตรงๆ
“อืม...ก็จริง...ข้าเล่นละครที่ อ.กิโนสะแต่งมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยเจอ ไม่เคยติดต่อกันตรงๆเลยสักครั้ง ถ้าเจ้าว่างไปตามหาขนาดนั้น ถ้าเจอก็ฝากขอบคุณสำหรับบทดีๆพวกนี้ด้วยล่ะ” น่าแปลกที่เจ้าเด็กหัวเงินตรงหน้ายอมช่วยเขาแต่โดยดี แล้วก็น่าแปลกที่เจ้าเด็กขี้สงสัยคนนี้กลับไม่เคยคิดจะตามหาคนแต่งบทละครที่ตัวเองเล่นเลยสักครั้ง ทั้งๆที่ถ้าเป็นเด็กฉลาดอย่างเด็กนี่ก็อาจจะหาเจอนานแล้วก็ได้?
......คงไม่ได้....รู้อยู่แล้วหรอกนะ? เรื่องของกิโนะน่ะ....
“เจ้านั่งรออยู่แถวนี้ก็ได้ ถ้าเด็กรับใช้นั่นมาข้าจะมาบอก” เขาเหลือบมองใบหน้าสวยๆนั่นอย่างคลางแคลงใจ ก่อนจะนั่งลงไปในห้องขายตั๋วตรงทางเข้าโรงละครคานามารุสะ แผงไม้ที่บังใบหน้าเกือบหมดทำให้คงจะไม่มีใครสังเกตหรอกว่าเขานั่งหลบอยู่ตรงนี้
“อื้อ ขอบใจนะ” ใบหน้าคมเอ่ยบอกคนที่กำลังจะหันหลังเดินเข้าโรงละครไปเบาๆ นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองเขาแว่บหนึ่งก่อนจะก้าวขาผ่านม่านสีเข้มของทางเข้านั่นไป
แล้วบ่ายนั้นทั้งบ่าย โคงามิ ชินยะก็ได้แต่นั่งตบยุงอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้พบกับเป้าหมายแม้แต่เงา....วันนี้ไม่ได้มางั้นเหรอเนี่ย...เด็กรับใช้นั่น
“ได้โปรด....ให้เขาอยู่กับข้าเถอะ ข้าขอร้อง...อย่าพาเขาไปจากข้าเลย...” ริมฝีปากสีสดเอ่ยบทพูดที่นัยน์ตาสีมรกตมองเห็นจากบทละครเล่มบางที่อยู่ในมือ ใบหน้าสวยต้องพยายามสะกดกลั้นความสั่นพร่าในเส้นเสียงทุกๆครั้งที่ต้องท่องบทพูดนั้นออกไป...เพราะเขาเข้าใจมันดียิ่งกว่าใคร เขาเข้าใจความรู้สึกของนกกระสา ที่ถึงแม้ว่าพญาเหยี่ยวจะเหลียวมองมาที่ตนแล้วก็ตาม แต่ชนชั้นที่ต่างกันก็ทำให้ไม่อาจครองรักกันได้...เขาเข้าใจมันดีและคงจะแสดงออกไปได้อย่างไม่มีบกพร่อง...เพียงแต่ การซ้อมในวันนี้เป็นแค่การต่อบทของตัวละครและกำหนดตำแหน่งบนเวทีเท่านั้น ยังไม่จำเป็นต้องจริงจังมากนักก็ได้...เขาจึงต้องสะกดความรู้สึกให้อยู่เพียงแค่ในใจ...จะแสดงออกมาให้ใครเห็นตอนนี้ไม่ได้ มันยังไม่ใช่เวลา...
แต่ว่า...มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน..
“ฮายาโตะ ฉากนี้เจ้าต้องทรุดนั่งอยู่กลางเวทีนะ จำไว้ล่ะ” ใบหน้าสวยหลุดออกมาจากภวังค์ก่อนจะพยักรับเสียงนุ่มของคัตสึระ โคทาโร่เจ้าของโรงละครคนงามที่ดังมาจากหน้าเวที นัยน์ตาของคนที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อนจ้องมองเจ้าเด็กผมเงินที่กำลังก้มมองบท...วันนี้ดูโกคุเดระ ฮายาโตะจะสงบเสงี่ยมกว่าปกติ เพราะที่ผ่านมาถ้าเป็นวันแรกๆของการซ้อมแบบนี้เจ้าลิงทะโมนนั่นจะเอาแต่ท่องบทส่งๆไป บางทีเอาหนังสืออย่างอื่นมายัดไส้อ่านแทนบทละครก็ยังมี ดีไม่ดีก็หนีไปเล่นน้ำกับเรนอยู่ที่ทะเลนู่น ไอ้ครั้นจะมาพยักหน้ารับแล้วเดินไปตามตำแหน่งที่เขากำหนดให้ง่ายๆโดยที่ไม่เถียงสักคำแบบนี้ไม่เคยมีเสียหรอก
เจ้าของโรงละครคานามารุสะลอบถอนหายใจเบาๆ...แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนั้นดี...เพราะเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว...ตอนที่เขาต้องรับบทเป็นนกกระสา มันก็เป็นตอนที่เขาเพิ่งรู้ว่าผู้ชายที่เขาหลงรักเป็นใคร เพิ่งรู้ว่าทากาสุงิเป็นแค่นามสกุลของแม่ที่ชินสุเกะตั้งใจใช้มันเพื่อปกปิดไม่ให้เขารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตนเป็นลูกชายคนโตของตระกูลยามาโมโตะที่ยิ่งใหญ่คับเกาะชิโกกุ...และตอนที่ละครคาบุกิเรื่องนี้เปิดแสดง เขาก็กำลังถูกพวกยามาโมโตะกีดกันอย่างหนักเพื่อที่จะแยกทากาสุงิออกไปจากเขา...จนกระทั่งวันสุดท้ายของการแสดง...เรื่องมันถึงได้เกิดขึ้น...ทากาสุงิเสียตาซ้ายไปในวันนั้นนั่นเอง
“เอาละ...วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” เสียงนุ่มเอ่ยออกไปเพื่อให้นักแสดงบนเวทีได้หยุดพัก สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่โกคุเดระ ฮายาโตะ...เด็กที่เขาตั้งใจปั้นขึ้นมา...เพื่อเอาไว้แก้แค้นตระกูลยามาโมโตะโดยเฉพาะ
และดูท่าว่าตอนนี้...พวกยามาโมโตะก็กำลังได้รับการแก้แค้นอย่างสาสมจากเขาแล้ว
แต่ยามาโมโตะ ทาเคชิ ไม่เหมือนพี่ชายของตนอย่างที่ทากาสุงิเคยบอกเขาไว้จริงๆ และเพราะแบบนั้นเขาจึงเฝ้าภาวนาจากหัวใจให้ประวัติศาสตร์มันจะไม่ซ้ำรอย
เพราะถึงเขาจะอยากแก้แค้นขนาดไหน...แต่เขาก็รักและหวังดีต่อฮายาโตะด้วยใจจริง..เขาอยากให้เด็กคนนั้นมีความสุข...เขาอยากให้นกกระสาตัวน้อยของเขาโผบินอยู่เคียงข้างกับพญาเหยี่ยวตัวนั้นได้อย่างมั่นคง
เขารู้ว่ามีเพียงไม่กี่อย่างที่เขาจะทำให้กับเด็กสองคนนี้ได้ เขาจึงเลือกที่จะส่งคำอธิษฐานของเขาผ่านไปทางละครคาบุกิเรื่องนี้
“ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกพวกเจ้า...” เจ้าของโรงละครคนงามเอ่ยเรียกนักแสดงทั้งหมดให้มารวมตัวกันที่หน้าเวที
“ข้าตั้งใจจะให้ละครเรื่องนกกระสากับพญาเหยี่ยว...มีตอนจบสองแบบ” แล้วเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมาจากเหล่านักแสดงทันที
“จะมีทั้งตอนจบที่เป็นโศกนาฏกรรมตามเดิมและตอนจบแบบใหม่ที่จบอย่างมีความสุข โดยข้าตั้งใจจะใช้การสุ่มเอาว่าวันไหนจะแสดงฉากจบแบบไหน ผู้ชมที่เข้ามาชมในแต่ละวันก็จะไม่รู้เช่นกันว่าวันนั้นตนจะได้ดูฉากจบแบบไหน...ข้าว่ามันน่าจะทำให้ละครที่นำมาแสดงใหม่เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อและดูน่าสนใจยิ่งขึ้น” ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมยาวสีดำขลับหันไปยิ้มน้อยๆให้กับโกคุเดระ ฮายาโตะที่มีสีหน้าอึ้งๆ
เจ้าจะรู้บ้างไหมนะ...ว่าข้ากำลังอวยพรให้เจ้า ข้าต้องการจะบอกกับเจ้าว่า ความรักของเจ้ามันอาจจะไม่ได้จบลงด้วยโศกนาฏกรรมเหมือนที่เคยเกิดกับข้าก็ได้...ฮายาโตะ
“ส่วนบทละครสำหรับฉากจบแบบมีความสุขนั้นอ.กิโนสะกำลังแก้ให้อยู่ วันสองวันนี้ก็น่าจะได้เห็นแล้วละ…เรื่องที่จะบอกมีแค่นี้ แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้วละ วันนี้ข้าให้เลิกเร็วก็อย่ามัวไปเถลไถลที่ไหนกันล่ะ” ร่างระหงในกิโมโนสีน้ำเงินโบกมือไล่ทำให้ร่างบอบบางที่ยังอึ้งๆเดินลอยๆออกมาจากในโรงละคร ในหัวสีเงินกำลังนึกถึงตอนจบแบบมีความสุขของละครเรื่องนี้แบบที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน...
มันจะมีความสุขได้จริงๆน่ะเหรอ? นกกระสาจะลงเอยกับพญาเหยี่ยวแล้วครองรักกันไปตราบนานเท่านานได้จริงๆน่ะเหรอ?
เขา...ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย....
ร่างบอบบางเดินออกมาที่ช่องขายตั๋ว นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองร่างสูงใหญ่ของนายทหารประจำเขตก่อสร้างที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่...คนคนนี้มารอพบเด็กรับใช้ของอ.กิโนสะเป็นวันที่สองแล้วสินะ
“นี่...ตื่นได้แล้ว” มือบางเขย่าไหล่หนาให้นัยน์ตาสีดำปรือปรอยขึ้นมาช้าๆ หัวสีดำนั่นยุ่งเหยิงเป็นปกติอยู่แล้วถึงจะไม่ใช่เวลานอนเพราะงั้นมันคงไม่ได้เป็นเพราะโคงามิ ชินยะมานั่งหลับอยู่ตรงนี้หรอก
“อือ? เด็กรับใช้ของกิโนะล่ะ?” พอมีสติก็ถามถึงเด็กคนนั้นเลย ริมฝีปากสีสดจึงเอ่ยตอบออกไปอย่างจนใจ
“วันนี้คงไม่มาแล้วละ เจ้ากลับเขตก่อสร้างไปเถอะ ข้าเองก็จะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน” เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าโคงามิ ชินยะจะอยากพบอ.กิโนสะไปทำไม...แต่ที่คิดจะตามเด็กรับใช้นั่นไปน่ะก็นับว่ามาถูกทางแล้ว
“อือ...งั้นเหรอ...งั้นข้ากลับก่อนก็แล้วกัน ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ขอบใจเจ้ามากนะ” ใบหน้าสวยพยักให้ก่อนจะเดินแยกออกมา สองขาเดินตามทางขึ้นศาลเจ้าด้านหลังตามปกติ
แสงแดดยามโพล้เพล้นั้นฉาบไล้บันไดหินจนกลายเป็นสีส้ม บรรยากาศอันเงียบสงบทำให้เขาไม่ทันสังเกตเลยว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบนศาลเจ้า จนกระทั่งขาเรียวก้าวเข้าไปในหมู่เรือนพักที่ควรจะมีน้องๆวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว แต่วันนี้กลับเงียบสนิท
“เกิดอะไรขึ้น?” ร่างบอบบางเดินเข้าไปหาเด็กตัวเล็กตัวน้อยที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าเรือนรับรอง น้องๆของเขาต่างอ้ำๆอึ้งๆราวกับไม่มีใครอยากจะเป็นคนบอกเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นกับเขา นัยน์ตาสีมรกตจึงเหลือบขึ้นไปมองร่างที่อยู่ในชุดมิโกะซึ่งนั่งอยู่กลางห้องรับรองตามลำพัง...ถ้วยชาและเบาะรองนั่งที่อยู่ตรงข้ามคนที่เป็นดั่งอาจารย์และแม่คนที่สองของเขาบ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ที่ศาลเจ้าของเขาเพิ่งจะมีแขกมาเยือน และคนคนนั้นก็คงจะเพิ่งกลับไปได้ไม่นาน
“อาจารย์เป็นอะไรไปน่ะ?” ใบหน้าสวยยังคงถามน้องๆอย่างไม่ยอมละความพยายาม และเมื่อได้มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลระคนเหนื่อยล้าของมิโกะเพียงหนึ่งเดียวของศาลเจ้ามันก็ทำให้เขาอดรนทนต่อไปไม่ไหว ร่างบอบบางจึงกระโดดขึ้นชานระเบียงก่อนจะตรงเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าหญิงสาวที่ชุบเลี้ยงตนมาตั้งแต่ยังเล็ก
“อาจารย์...เกิดอะไรขึ้น? บอกข้าสิ” นัยน์ตาสีมรกตจ้องลึกลงไปในดวงตาที่สั่นพร่าของท่านมิโกะ ริมฝีปากที่ไร้การแต่งแต้มจึงจำต้องเอ่ยออกมาอย่างจนแล้วซึ่งหนทาง
“ท่านยามาโมโตะส่งคนมาบอกว่า...คู่ค้ารายสำคัญกำลังจะยกเลิกสัญญา การเดินเรือของตระกูลยามาโมโตะอาจจะมีปัญหาและคงจะทำให้พวกเขาลำบากไม่น้อย....เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้ไป จึงจะขอตัดเงินบริจาคที่ให้กับศาลเจ้าของเราเป็นประจำ...ข้าจะทำยังไงดีล่ะ? ฮายาโตะ...” ใบหน้าสวยชะงักงันกับสิ่งที่ได้ยิน ร่างทั้งร่างแทบจะแข็งเป็นหิน...เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าทำไมพ่อของยามาโมโตะถึงทำแบบนี้
เพราะเขา...
ที่ท่านมิโกะต้องลำบากและน้องๆกำลังจะอดตาย...มันเป็นเพราะเขาเอง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามต่อต่อไป...ไป...ไป...
อุตส่าห์ปั่นมาตั้งเป็นอาทิตย์ แต่เจือกได้ครึ่งตอน....อ๊ากกกกกกกกก >[ ]<!!!
เนียน มี๊ขอโต๊ด~~ มี๊ไม่ได้คิดจะกลั่นแกล้งเนียนเลยนะ(มั้ง) แต่ที่ช้าเพราะดันมัวเพลินกับการวางพล็อตบางช่วงที่ยังไม่ได้คิดแล้วก็คาไว้มานาน555 ตอนนี้พล็อตของเรื่องนี้เลยวางไว้เกือบหมดแระค่ะ เหลือก็แค่ว่ามันจะเขียนออกมาให้เสร็จได้ไหมถถถถ ยังอีกไกล~~ กร๊ากกกก ยังไงก็ฝากติดตามฟิคน้อยๆเรื่องนี้ด้วยน้า >w< ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนานจริงๆค่ะ ดีใจทุกครั้งที่มีคอมเม้นต์หรือเสียงทวง5555 ถึงจะไม่ได้มาตอบเลยแต่ก็เห็นทุกๆข้อความน้า ขอบคุณมากๆๆค่า >w<
เอาละ ถึงเวลาของพ่อมหาจำเนียน5555
สุขสันต์วันเกิดนะยะ ยามะ!
แฮปไปหมั่นไส้ไป แต่ยังไงมี๊ก็หมั่นไส้ด้วยความรักนะยะ ขอให้มีความสุขหน้าบานเป็นดอกทานตะวันแบบนี้ไปเรื่อยๆนะ ถึงใครจะไม่รักเนียนแต่แค่ก๊กรักเนียนคนเดียว แกก็เป็นศัตรูกับแม่ยก59ทั้งโลกได้แบ้ว5555 >////< ขอให้อ.อามาโนะขรานึกครึ้มเขียนสปินออฟรีบอร์นโดยมีแกกับหนูก๊กเป็นพระนางนะยะ อันนี้มี๊ขอร่วมด้วยช่วยอธิษฐาน555 Happy Birthday จ้ะเนียน >w<
แล้วก็ๆ พอดีตอนที่แล้วไม่ได้เวิ่นตบท้ายเพราะมัวแต่ปั่นไฟลุกอยู่ ตอนนี้เลยมีเพลงแรงบันดาลใจมาแปะให้ฟังอีกเพลงค่ะ Nijiiro Chouchou ของ Wagakki Band ค่ะ คือฟังแบ้วฉากที่หนูก๊กร่ายรำอยู่บนเวทีหรือหนูเรนหมุนตัวไปรอบๆลานหินใต้ต้นเมเปิลนี่ลอยเต็มหัวเลยค่ะฟฟฟฟ >////< แต่คุณกวางไม่รู้ความหมายของเพลงนะ แต่ฟังทำนองแล้วมันจิ้นไปในทางนั้น งื้ออออ
ขอบคุณทุกๆการติดตามมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า~ ว่าจะแปะรูปแฟนอาร์ตที่ส่งมาเป็นกะลังใจให้คุณกวางมัน ก็ยังไม่ได้แปะซักที อิอิ ของสวยๆงามๆก็ต้องเก็บไว้ดูคนเดียว // โดนตบ // แล้วเจอกัล~~ >3<
รอตอนต่อไปค่าาาาาาา��
ตอบลบไม่คิดเลยว่าบ้านท่านรีไวล์จะใหญ่มาก555 //ปูเสื่อนอนรอตอนต่อไป...
ตอบลบ