Touken Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato] ใกล้ : 04


Touken Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato]    ใกล้ : 04

: Touken Ranbu Fanfiction Au
: Kashu Kiyomitsu x Yamato no kami Yasusada
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           
         




“อยากจะเป็นนักแสดงละครเวทีมืออาชีพ?”   เจ้าของโรงละครอิสึมิโนะคามิทวนคำพูดที่เพิ่งได้ยินมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเมื่อจู่ๆ คะชู คิโยมิตสึ ก็เดินเข้ามาบอกเขาแบบนี้

“ใช่.....ไม่ได้เหรอ?”    ใบหน้าสวยช้อนสายตาถามกลับมาราวกับไม่แน่ใจว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่...แต่ก็นะ...ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะคลางแคลงใจบ้างล่ะเพราะว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบทำงานนี้ ยังไม่ค่อยจะรู้จักดีเลยด้วยซ้ำว่าละครเวทีคืออะไร แรกเริ่มก็แค่ถูกมัดมือชกให้มาช่วยเฉยๆ...ถ้าเป็นคนอื่น...เขาคงปฏิเสธไปแน่ๆเพราะมันคงจะเสียเวลาถ้าอีกฝ่ายเกิดล้มเลิกกลางคันเนื่องจากเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบการแสดงจากใจจริง...แต่คราวนี้....เพราะเป็นคิโยมิตสึ...เขาเลยอยากที่จะเดิมพัน

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้~ แต่นายคิดดีแล้วใช่ไหม? การเป็นนักแสดงมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นายจะต้องถูกฝึกถูกเคี่ยวอีกหนักเลยกว่าจะเป็นมืออาชีพได้จริงๆ แล้วยังจะแรงกดดันจากงานอีก ไม่ใช่ว่านักแสดงจะรุ่งทุกคนหรอกนะ”   เขามองใบหน้านิ่งที่ราวกับว่าผ่านการคิดเรื่องนี้มาอย่างดีและก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปทางนี้ของคิโยมิตสึ

“ชั้นคิดดีแล้ว”   ริมฝีปากสีสดยืนยันออกมาอีกแรง แววตาที่แน่วแน่ของคิโยมิตสึทำให้เขาคิดว่าคงไม่มีปัญหา แต่ว่าก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องถามให้แน่ใจ

“........ยาสึซาดะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”   แล้วนัยน์ตาสีทับทิมคู่นั้นก็มีแววหวั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะก่อนที่มันจะพยายามปรับกลับไปให้มั่นคงดังเดิม

“.........”

“คิโยมิตสึ”   เขาเอ่ยย้ำเมื่อริมฝีปากของเจ้าเด็กตรงหน้ายังปิดสนิท....อีแบบนี้ท่าจะมีปัญหา...

“ไม่รู้หรอก ชั้นตัดสินใจคนเดียว แล้วตอนนี้ก็ทะเลาะกันอยู่”   ว่าแล้วเชียว...

“ทะเลาะกัน? เพราะเรื่องที่นายแอบมาแสดงละครนี่หรือเปล่า?”   แล้วก็นะ...นี่คงไม่ได้เลือกมาแสดงละครเพื่อประชดหรอกนะ?

“.........”   คิโยมิตสึไม่ยอมตอบอะไรซึ่งมันก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจเลยว่าทั้งคู่ทะเลาะกันเพราะเรื่องที่เด็กนี่แอบมาแสดงละครโดยไม่บอกแน่ๆ

“เฮ้อ~ เอาเถอะ...ถ้านายตัดสินใจว่าจะทำ ชั้นก็เชื่อว่านายจะไม่ทิ้งมันไปง่ายๆ แล้วถ้าชั้นปฏิเสธนาย คงเป็นชั้นเองนี่แหละที่ต้องเสียดายไปจนวันตาย เพราะจากสายตาของชั้น นายไปได้สวยแน่ในเส้นทางนี้”   เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ จากสายตาที่เห็นนักแสดงมาคนแล้วคนเล่า เห็นทั้งคนที่ไปได้ดี เห็นทั้งคนที่ตกต่ำ เขาเชื่อว่าถ้าคิโยมิตสึเอาจริง เด็กคนนี้ต้องไปถึงจุดสูงสุดของวงการนี้ได้แน่ๆ เพราะไม่ใช่แค่รูปร่างดีและมีโครงหน้าที่สวยจนแต่งเป็นอะไรก็น่าจะขึ้นไปหมด คิโยมิตสึยังมีพื้นฐานร่างกายที่ดีซึ่งมันจะทำให้เด็กนี่ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะแสดง ร้องหรือเต้น ยิ่งทำได้ครบเครื่องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแน่นอน...นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกว่าเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวซึ่งไม่ใช่ว่าใครก็จะมีกันทุกคน แต่คิโยมิสึมี...นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า เสน่ห์

“ถ้าอย่างงั้น ในระหว่างที่ละครเรื่องนี้ยังแสดงอยู่ก็คงฝึกได้แค่ช่วงเย็น ชั้นจะให้นายมาเรียนร้องเพลงแล้วก็เรียนเต้น จะมีครูที่ชั้นรู้จักมาสอนนายให้ที่นี่แหละ”    เขาเอ่ยบอกคิโยมิตสึในขณะที่กำลังคิดตารางเวลาคร่าวๆในหัว

“ห๊ะ? ร้องเพลง? เต้น? เน่~คาเนะซัง~ ชั้นไม่ได้จะไปเป็นไอดอลนะ ต้องฝึกอะไรพวกนั้นด้วยเหรอ?”   เจ้าของโรงละครอิสึมิโนะคามิถึงกับเหล่ตามอง...เจ้าเด็กนี่มันไม่ได้รู้เรื่องละครเวทีสมัยนี้เลยจริงๆด้วยสินะว่าเค้าไปถึงไหนกันแล้ว!

“หึๆๆ คิโยมิตสึเอ๋ย~ นายอย่าดูถูกละครเวทีสมัยนี้ พวกมิวสิคคัลน่ะ กำลังฮิตในหมู่ละครเวทีด้วยกันเลย ซึ่ง! รูปร่างหน้าตาอย่างนาย ถ้าร้องเพลงก็ได้ เต้นก็เป๊ะละก็ เส้นทางบนเวทีของนายจะเปิดกว้างกว่าใครแน่ เชื่อสายตาชั้นสิ”   ร่างสูงใหญ่ยิ้มอย่างมั่นใจพลางหัวเราะฮ่าๆให้กับความตาแหลมของตัวเองจนคนมองได้แต่ยิ้มแห้ง

“เห๋~ เอาไงก็เอาแล้วกัน”   นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองมือใหญ่ที่เริ่มลงมือเขียนตารางการฝึกซ้อมของเขาลงในกระดาษ...เป็นไงเป็นกัน...จะมาถอยตอนนี้ไม่ได้...ไม่งั้น...การที่เขาต้องผิดใจกับยาสึซาดะมันก็คงจะเสียเปล่า....














ประตูบ้านถูกเปิดออกก่อนที่นัยน์ตาสีไพลินจะพบกับโถงทางเข้าที่มืดสนิท...คิโยมิตสึยังไม่กลับมาสินะ?

มือบางวางอุปกรณ์เคนโด้ไว้ข้างบันไดก่อนจะเดินตรงเข้าครัวไปด้วยท่าทางเหนื่อยล้า แล้วสายตาก็พาให้ร่างกายไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทานข้าวซึ่งขนมปังกับไข่ดาวที่เขาทำไว้ให้คิโยมิตสึเมื่อเช้ามันยังเหลืออยู่เต็มจาน

ไม่สิ...ใช้คำว่าเหลือไม่ได้ ในเมื่อมันไม่มีร่องรอยการกินอยู่เลย...คิโยมิตสึไม่แตะต้องมัน บางทีอาจจะไม่ได้แวะมาที่ห้องครัวนี่ด้วยซ้ำ

ร่างบางทรุดนั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรง...สองวันมาแล้วที่คิโยมิตสึหลบหน้าเขา อาหารเช้าที่เขาทำให้ก็ไม่ยอมแตะทั้งๆที่ปกติถึงจะบ่นไม่อยากกินอย่างงู้นอย่างงี้แต่จนแล้วจนรอดก็กินไม่เหลือทุกที

สองวันมาแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกัน สองวันมาแล้วที่ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจ เขาเองก็รู้ตัวว่ามีส่วนผิดเลยคิดที่จะขอโทษก่อน แต่คิโยมิตสึก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้ได้เลยแล้วจะให้เขาทำยังไง

นัยน์ตาสีไพลินทอดมองพื้นห้องอย่างอ่อนแรง...ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้เดี๋ยวก็คืนดีกันได้เองแบบตอนเด็กๆหรือเปล่านะ? ตอนเด็กๆเขาทะเลาะกันแทบทุกวันแล้วก็ไม่มีวันไหนที่ไม่คืนดีกัน...มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ...แต่พอโตแล้ว ต่างคนต่างก็มีทิฐิในใจ เขาเลยไม่แน่ใจว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม

ร่างบางฟุบลงกับโต๊ะกินข้าว น้ำใสๆไหลคลอหน่วยตาก่อนจะไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่...ทรมาน...มันทรมานจริงๆนะ คิโยมิตสึ


แกร่ก....


เสียงประตูหน้าบ้านที่ถูกไขกุญแจทำให้เขาหูผึ่งก่อนจะรีบลุกอย่างตะลึงตะลาน...คิโยมิตสึกลับมาแล้ว?  สองขารีบวิ่งออกจากห้องครัวก่อนที่สองมือจะยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ เขาไม่มีเวลาแล้ว ยังไงก็ต้องจับตัวคิโยมิตสึแล้วคุยกันให้รู้เรื่องให้ได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหลบเข้าห้องของตัวเองไป

“คิโยมิตสึ!”   มือบางขวางประตูห้องเอาไว้ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ใบหน้าสวยที่หันกลับมามองเขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่นัยน์ตาสีทับทิมนั่นจะเสหลบแทบจะทันที แววหมองๆบนใบหน้าของคิโยมิตสึฟ้องเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอกที่ทะเลาะกันแบบนี้

“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”   เขาตัดสินใจเอ่ยออกไป จะให้ง้อยังไงเขาก็ยอมแล้วตอนนี้ มือบางคว้าแขนที่มีกล้ามเนื้อน้อยๆนั่นเอาไว้......แต่คิโยมิตสึกลับจับมือของเขาออกเบาๆ...

“.......”    การกระทำที่ราวกับปฏิเสธกลายๆนั่นทำให้ร่างทั้งร่างของเขาชะงักค้าง ริมฝีปากที่ตั้งใจจะเอ่ยขอโทษราวกับทำคำพูดหล่นหายไปพร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบ นัยน์ตาสีไพลินทำได้แค่จ้องมองแผ่นหลังของคิโยมิตสึที่เดินเข้าไปหาตู้เสื้อผ้า...กระเป๋าสะพายใบใหญ่ถูกดึงออกมา....ก่อนที่เสื้อผ้าหลายต่อหลายชุดจะถูกยัดเข้าไป...ด้วยมือของคิโยมิตสึเอง....


จะไปไหนน่ะ?


เขาได้แต่เฝ้าถามคิโยมิตสึโดยที่ไม่มีเสียงเปล่งออกมาจากลำคอได้แม้แต่คำเดียว เพราะตอนนี้มันจุกแน่นไปหมด จุกจนแทบจะหายใจไม่ออก

สิ่งที่ออกมาจากร่างกายมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...นั่นก็คือน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างเงียบงัน...

คิโยมิตสึจะไปไหน? จะทิ้งเขาไว้คนเดียวอย่างงั้นเหรอ? โกรธกันขนาดนั้นเลยหรือไง? โกรธจนไม่ยอมฟังแม้แต่คำขอโทษ? โกรธจนไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากแม้แต่จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเลยใช่ไหม ถึงได้เลือกที่จะไปแบบนี้?

เขายืนมองแผ่นหลังที่อยู่ข้างๆเขามาตลอดซึ่งกำลังก้มเก็บของ ยืนมองทั้งๆที่น้ำตาก็ยังไหลลงมาไม่หยุด...แต่มันกลับไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากไปได้เลย...ทั้งๆที่อยากห้ามใจจะขาด ทั้งๆที่อยากจะตรงเข้าไปกอดเอาไว้แล้วร้องไห้งอแงไม่ให้ไปไหน...แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการยืนมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งงัน...ยืนมองราวกับลืมไปแล้วว่าวิธีการก้าวขาออกไปมันทำยังไง

“......นายอาจจะไม่อยากฟัง....”   แล้วจู่ๆเจ้าของแผ่นหลังที่กำลังก้มเก็บของอยู่ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดกลั้นให้ราบเรียบ มือที่ทาเล็บสีแดงต้องพยายามเก็บของต่อไปทั้งๆที่ตอนนี้แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยิบอะไรใส่ลงไปในกระเป๋าบ้าง

“......ชั้น....ตัดสินใจแล้วว่าจะลองแสดงละครเวทีอย่างจริงๆจังๆดู...คาเนะซังบอกว่าจะฝึกพื้นฐานทางด้านการแสดงให้ชั้นใหม่ทั้งหมด....เพราะงั้น...ชั้นจะไปค้างที่โรงละครสักพัก....นายเองก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ยาสึซาดะ....”   ใบหน้าสวยที่พยายามจ้องมองแต่ตู้เสื้อผ้ากัดริมฝีปากแน่นและเลือกที่จะพูดออกไปโดยไม่หันกลับไปมองหน้ายาสึซาดะ

ทั้งๆที่ตั้งใจกลับบ้านมาในเวลานี้เพราะคิดว่ายาสึซาดะน่าจะยังอยู่ที่โรงฝึก ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่เจอเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้จะพูดอะไร แต่จนแล้วจนรอดก็ดันมาเจออีกฝ่ายเข้าจนได้ เขาจึงต้องพยายามไม่มองหน้า ไม่สบกับดวงตาสีไพลินคู่นั้น...เพราะไม่อยากเห็นแววตาผิดหวังที่มองมาที่เขาเพราะเขามันไม่รักดีหันไปเลือกการแสดงละครแทนที่จะเลือกเคนโด้ ที่หลบหน้ามาตลอดก็เพราะกลัวว่าจะได้ยินคำพูดร้ายกาจพวกนั้นจากปากของยาสึซาดะอีก ที่ผ่านมาไม่ว่าใครจะพูดยังไงเขาก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ แต่หากเป็นคำพูดของยาสึซาดะแล้วเขาทนไม่ได้หรอก

“......?!”    แล้วจู่ๆที่แผ่นหลังก็รับรู้ถึงน้ำหนักและไออุ่นๆ สองแขนผอมบางของยาสึซาดะสอดมาข้างเอวก่อนจะกอดเขาเอาไว้โดยไม่มีคำพูดใดๆ นัยน์ตาสีทับทิมถึงกับเบิกกว้างก่อนจะค่อยๆหรี่ลง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเช่นเดียวกับริมฝีปากสีสดที่กัดกันแน่นจนแทบจะเลือดซิบ...เพราะรู้ตัวดีว่าอ้อมแขนที่กอดเขาอยู่นี้มันกำลังทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอน มันกำลังทำให้ความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะเดินในเส้นทางการแสดงของเขาแทบจะพังทลาย...ต้องรีบออกไป...ต้องไปก่อนที่เขาจะทนไม่ไหว

“ขอโทษนะ”   สองมือดึงมือของยาสึซาดะออกแล้วรีบก้าวขาออกจากห้องไป หัวใจทั้งดวงเจ็บปวดและทรมานกับการที่ต้องทำแบบนี้แต่มันอาจจะดีสำหรับเขาสองคนแล้วก็เป็นได้...ในเมื่ออยู่ด้วยกันไปก็อาจจะทำร้ายอีกฝ่ายด้วยคำพูดและการกระทำของตัวเอง เพราะงั้นสู้อยู่ห่างๆกันไว้คงจะดีกว่า


ปัง.....


เสียงประตูปิดลงพร้อมๆกับร่างบางที่ทรุดนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง...ใบหน้านองน้ำตาได้แต่หันมองทางที่คิโยมิตสึเดินจากไปและตอนนี้มันก็มีเพียงความว่างเปล่า

ทำยังไงดี....เขาจะทำยังไงดี...

ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้...เขาจะต้องทำยังไงดี....


















แกร่ก...

ประตูบ้านถูกเปิดออกเพื่อพบกับความเงียบงันมาไม่รู้กี่วันต่อกี่วันแล้ว...ตั้งแต่วันนั้นคิโยมิตสึก็ไม่กลับมาอีกเลย...

ที่โรงเรียนปกติก็แทบจะไม่เจอกันอยู่แล้วยิ่งพอไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแบบนี้เขาเลยไม่มีโอกาสคุยกับคิโยมิตสึเลย...ตอนนี้ถึงเพิ่งจะมารู้ตัวว่าการที่เราอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็กๆนั้นมันมีค่ามีความหมายขนาดไหน พอขาดอีกฝ่ายไปถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้มันก็เป็นแค่สิ่งก่อสร้างธรรมดาๆที่ไม่สามารถจะให้ความอบอุ่นใดๆได้เลย

สองขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองด้วยใบหน้าเหม่อลอย กี่วันมาแล้วที่ข้าวเย็นไม่ได้ตกถึงท้องเพราะมันไม่มีแม้แต่ความหิว ราวกับว่าความอยากอาหารของเขามันหายไปพร้อมๆกับเงาของคิโยมิตสึ

มือบางวางกระเป๋านักเรียนลงไปบนเก้าอี้ กระจกเงาที่อยู่บนโต๊ะสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเขาที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้ ผิวหน้าที่คิโยมิตสึเคยชมว่าเนียนมือบัดนี้กลับซีดเซียวหยาบกร้าน ขอบตาก็ดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า ดวงตาที่เคยสุกใสก็แห้งผากด้วยความเหนื่อยล้า สองขาเดินตรงไปที่เตียงอย่างไม่คิดจะสนใจไยดีกับสภาพของตัวเองก่อนจะทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงไปบนผ้าห่มหนานุ่ม

เหนื่อยจัง....

นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองไปที่ซองเอกสารซึ่งวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ นั่นคือใบสมัครของนักเรียนที่จะมาเรียนเคนโด้ในโรงฝึกของเขา ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีมามากกว่าปกติ เขาจึงต้องใช้เวลาในการสอนมากกว่าเดิม ใช้ทั้งแรงทั้งพลังมากกว่าเดิม...นอกจากใบสมัครแล้วก็ยังมีบัตรเชิญอีกเป็นสิบๆใบที่เชิญให้เขาไปร่วมงานเพื่อแสดงศิลปะการต่อสู้ทางด้านเคนโด้ให้ผู้ร่วมงานดู เรียกง่ายๆก็โชว์ตัวนี่แหละ...เมื่อก่อนมันก็มีมากมายเหมือนตอนนี้ เพียงแต่ เมื่อก่อนเขาไม่ได้ตอบรับทุกงานอย่างตอนนี้ ที่เขาไม่ได้ปฏิเสธไปเลยแม้แต่ใบเดียว

ใช่...เขาอยากจะทำงานให้เยอะๆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อประคับประคองโรงฝึกของพ่อเอาไว้ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะการที่มีอะไรให้ทำ ให้คิด มันทำให้เขาลืมเลือนเรื่องของคิโยมิตสึไปได้บ้าง อย่างน้อย...พอกลับถึงบ้าน แค่ร่างกายล้มคว่ำลงไปบนเตียงก็เหนื่อยจนหลับตาได้ ไม่ต้องนอนร้องไห้อย่างคืนแรกๆที่คิโยมิตสึออกจากบ้านไป














ตุ้บ...

เสียงกระเป๋านักเรียนหล่นกระทบพื้นหญ้าก่อนที่ร่างโปร่งบางจะกระโดดตามลงมา...วันนี้ คะชู คิโยมิตสึก็โดดเรียนตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือแทนที่หนุ่มฮ็อตของโรงเรียนจะไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ตามย่านร้านค้าหรือคาราโอเกะ สองขากลับตรงดิ่งไปที่โรงละครอิสึมิโนะคามิทันที

ละครเรื่องแรกของเขาเพิ่งหมดรอบแสดงไปเมื่อวานนี้ ทำให้ตั้งแต่วันนี้ไปเวลาฝึกของเขามันมีมากพอที่จะไม่ต้องนอนค้างที่โรงละครแล้วก็ได้...แต่เขาก็ยังเลือกที่จะพักอยู่ที่นี่ต่อไป

“วันนี้ฝึกพื้นฐานการเต้นนะ”   ครูฝึกที่คาเนะซังหามาให้ตะโกนบอก ความจริงแล้วในห้องนี้ยังมีนักเรียนคนอื่นอีก ทั้งคนที่เพิ่งมาเป็นนักแสดงก่อนเขาไม่นานนัก ทั้งนักเรียนเฉพาะคลาสของครูฝึกเอง

“คลาสนี้จะมีนักเรียนของครูมาฝึกด้วย ชื่อไอโกะจัง ดีๆกันเข้าไว้นะ”   เสียงครูพูดอยู่ที่หน้าห้องและเขาที่กำลังก้มลงไปยืดขาเพื่อวอล์มร่างกายก็ไม่ได้คิดที่จะเงยหน้ามอง ไม่ได้สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงถึงแม้ว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่เธอมองมาก็เถอะ...เรื่องแบบนี้เขาชินเสียยิ่งกว่าชิน...แล้วตอนนี้เขาก็อยากจะมีสมาธิแต่กับการฝึกเท่านั้น

เพราะความตั้งใจและสมาธิที่ใส่ลงไปในการฝึกมันทำให้เขาลืมเรื่องของยาสึซาดะไปได้บ้าง เพราะงั้นตอนนี้จึงตั้งใจฝึกแล้วก็ฝึก ทั้งแอคติ้ง ทั้งร้องเพลง ทั้งเต้น ฝึกจนแต่ละวันนั้นเหนื่อยจนแทบจะไม่มีแรงยืน ทุกๆวันแค่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย...และผลของการฝึกก็มาให้เห็นไวกว่าที่คิด เมื่อคาเนะซังให้เขาลองแคสหนึ่งในบทเด่นของละครเวทีเรื่องใหม่แล้วเขาก็สามารถคว้ามันเอามาได้ เขากำลังจะได้แสดงละครเวทีอย่างจริงๆจังๆ เพราะงั้นจึงต้องยิ่งฝึกให้หนักกว่าเดิม

“เอ่อ...คะชูซัง...”   เพราะเอาแต่ทุ่มสมาธิให้กับท่าเต้นพื้นฐานทำให้เขาไม่ทันสนใจเลยว่าผู้หญิงที่ชื่อไอโกะขยับมายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขานั่นแหละ

“......?”   ใบหน้าสวยที่มีเหงื่อเกาะพราวจึงหันไปส่งสายตาแทนคำถามให้กับเด็กสาวที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหน้าตาน่ารักใช้ได้

“ถ้า...เลิกฝึกแล้ว...เราไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหมคะ?”   หึ....ขนาดอยู่ที่นี่ก็ยังถูกจีบอีกนะ เขาน่ะ...ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มให้เด็กสาว...ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ปฏิเสธที่จะลองคบกับใครๆเผื่อจะมีคนทำให้เขาลืมยาสึซาดะได้...แต่สำหรับตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันคงไม่มีคนแบบนั้นอยู่ในโลกหรอก เพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีคนที่เขานึกถึง คนที่ยึดพื้นที่ทั้งหมดในหัวใจของเขาเอาไว้ก็มีเพียงยาสึซาดะเท่านั้น...ขนาดทะเลาะกัน ไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่ได้พูดคุยกัน...เขายังไม่เคยลืมวิธีที่ใช้รักยาสึซาดะเลย

“ขอโทษด้วยนะ คงไปด้วยไม่ได้หรอก”    เพราะแบบนั้นเขาจึงปฏิเสธเธอไปตรงๆ แต่กับผู้หญิงที่กล้าเข้ามาชวนเขาแบบนี้ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลมไปเลยคงได้มาตามตื้อจนน่ารำคาญอีกจนได้

“ผมมีแฟนแล้ว แล้วเขาก็ขี้หึงมาก เป็นถึงกัปตันชมรมเคนโด้ ถึงภายนอกจะดูสุขุมเป็นหนุ่มอ่อนโยน แต่จริงๆแล้วเป็นพวกอารมณ์รุนแรงแถมยังยันเดเระอีกต่างหาก”   เด็กสาวถึงกับผงะไปก่อนจะตัวแข็งเป็นหินเมื่อเขาบอกสรรพคุณของ “แฟนหนุ่ม” ให้เธอฟัง...ถึงที่พูดมามันจะชวนให้นึกถึงผู้ชายตัวโตกล้ามเป็นมัดๆท่าทางโหดๆก็เถอะ  แต่ที่เขาบรรยายไปมันก็ใช่ยาสึซาดะทั้งนั้นนี่นา~....คิก~ จากนี้ไปผู้หญิงคนนี้คงเลิกคิดจะยุ่งกับเขาแน่ๆ

“วันนี้พอได้แล้ว”   เสียงครูฝึกตะโกนให้ได้ยินและมันก็ทำให้เขาลอบยิ้มก่อนจะทิ้งเด็กสาวที่ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆไว้ตรงนั้นตามลำพัง...บอกตามตรงว่าเขาไม่ได้อายหรอกถ้าจะบอกใครๆว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย ยิ่งถ้าเป็นยาสึซาดะด้วยแล้วเขามีแต่จะยืดอกโชว์อย่างภาคภูมิใจ...ถึงไม่รู้ว่ามันจะมีวันแบบนั้นหรือเปล่าก็เถอะนะ


ร่างโปร่งบางซื้อข้าวกล่องง่ายๆจากร้านสะดวกซื้อแล้วหิ้วมันกลับมากินที่ห้องซึ่งแต่เดิมเป็นห้องแต่งตัวนักแสดงแต่ตอนนี้ถูกเขายึดเป็นห้องนอนส่วนตัวไปแล้วเรียบร้อย

มือบางโยนกุญแจลงไปบนโต๊ะก่อนจะวางข้าวกล่องตามไป...อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรอก แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะไปเช่าอพาทเม้นต์หรือห้องเช่าอยู่ด้วย...เพราะเขายังมีบ้านให้กลับ...เขากำลังพยายามทำใจรับกับทุกคำพูด ทุกความรู้สึกของยาสึซาดะให้ได้...หากเขาพร้อมเมื่อไหร่...เขาก็จะกลับไป

“ทานละนะครับ”   สองมือพนมเข้าหากันก่อนที่ปากจะพูดพึมพำ ปลายตะเกียบจิ้มลงไปบนเมล็ดข้าวสวยก่อนจะตักมันเข้าปาก...รสชาติมันอร่อยหรือเปล่าเขาก็ไม่แน่ใจ เพราะที่กินไปทุกวันนี้ก็เพื่อให้ได้พลังงานมาก็เท่านั้น...ยาสึซาดะ...จะกำลังกินข้าวอยู่หรือเปล่านะ...


ตรู้ด~~


เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองว่าใครโทรมาก่อนจะเห็นว่าเป็นชื่อของคาเนะซัง

“ครับ?”   เขาตอบรับในขณะที่ข้าวยังเต็มปาก

“คุนิฮิโระ นายเก็บชั้นในของชั้นไว้ไหนเนี่ย? หาไม่เจอเลยซักตัว”   ห๋า? ชั้นในอะไรของคาเนะซังฟ๊ะ?!

“อิสึมิโนะคามิซัง~...นี่คิโยมิตสึนะ....”   เขากรอกเสียงกลับไปอย่างละเหี่ยใจ

“อ้าว? เอ๊ะ? โทรผิด โทษที”   แล้วปลายสายก็ตัดไปทันที...ก่อนจะโทรก็หัดดูเบอร์ให้ดีๆก่อนสิ! ยิ่งถ้าจะพูดเรื่องตามหากางเกงในยิ่งต้องดูเบอร์ให้ดีๆเลยสิ!

เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างตั้งใจจะกดปิดมือถือ แต่ปลายนิ้วเจ้ากรรมดันเผลอไปกดเล่นวีดีโอที่อยู่ข้างๆแทน ภาพในวันเก่าๆที่เขาเคยถ่ายวีดีโอเล่นๆเก็บเอาไว้มันจึงฉายขึ้นมาบนหน้าจอทันที



ภาพวีดีโอที่สั่นไหวน้อยๆส่งเสียงดังสวบสาบก่อนที่กล้องมือถือจะถูกหันกลับไปเพื่อถ่ายบรรยากาศภายในห้องครัวในบ้านของเขาเอง  มองเห็นแผ่นหลังของยาสึซาดะกำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตาโดยมีเขาคอยก่อกวน  ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำเหลือบแดงโผล่เข้าไปในกล้องก่อนจะพูดราวกับกำลังเป็นพิธีกร

“วันนี้...เชฟมือหนึ่งของบ้านกำลังจะมาแสดงการทำอาหารประจำชาติที่ไม่ว่าใครได้กินก็ต้องตะลึง~~ นั่นก็คือ~ แกงกะหรี่~~~ เย้~~~ เชฟยาสึซาดะ หันหน้ามาทักทายผู้ชมทางบ้านหน่อยสิครับ~

“โธ่~ เลิกเล่นได้แล้วคิโยมิตสึ แล้วก็มาช่วยกันทำด้วยสิ”

“หว๋า~ ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเล็บชั้นเสียหมด รอกินฝีมือนายดีกว่า~~ ท่านผู้ชมก็เห็นด้วยใช่ไหมครับ?”

“ถ้างั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะนู่นเลย”

“อื้ม~ อร่อยจัง~

“เดี๋ยวเถอะ! ใครให้เอานิ้วไปจิ้มตรงๆแบบนั้นเนี่ย? มันร้อนไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวเล็บก็เสียจริงๆหรอก”

“ท่านผู้ชมครับ คุณเชฟของเรานอกจากจะทำอาหารอร่อยแล้วยังใจดี๊ใจดีด้วยนะครับ”

“โธ่~ เลิกเล่นแล้วไปตักข้าวรอได้แล้วไป”

“คร้าบ~~



ภาพวีดีโอถูกตัดไปแค่นั้นเพราะมันเป็นแค่คลิปที่ถ่ายเล่นๆ แต่ในมือถือของเขาก็มีคลิปแบบนี้อยู่เต็มไปหมด

ตะเกียบในมือถูกวางลงไปด้วยท่าทางเหม่อลอย วีดีโอจบลงไปแล้วและตอนนี้หน้าจอมือถือก็ดำมืดแต่ทุกๆภาพเมื่อครู่กลับกำลังฉายซ้ำอยู่ในหัว...ภาพรอยยิ้มในวันที่มีความสุขมันทำให้ข้าวกล่องที่เหลือกว่าครึ่งไร้รสชาติไปเลยเมื่อเทียบกับแกงกะหรี่ในวันนั้น

มัน....ไม่อร่อยจริงๆด้วยแหะ...ข้าวกล่องนี่น่ะ...

ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนก่อนจะใช้สองแขนกอดตัวเองเอาไว้....ชั้น...คิดถึงนายจัง ยาสึซาดะ...















“ย๊ากกกกกก~~”  

“ย๊ากกกก~~”   เสียงตะโกนที่ดังลั่นออกมาจากโรงยิมอย่างต่อเนื่องนั้นไม่ได้ทำให้นักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมารู้สึกตกใจมากมายนัก เพราะต่างรู้กันดีว่าโรงยิมที่ถูกยึดพื้นที่ครึ่งหนึ่งโดยชมรมเคนโด้นั้นมักจะส่งเสียงกันแบบนี้เป็นประจำ  จริงอยู่ที่เคนโด้ต้องใช้สมาธิและความสงบนิ่งแต่เวลาต้องต่อสู้จริงกลับเปล่งเสียงราวกับคำรามออกมา...เพราะ คิไอ คือการกู่ร้องเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองในการต่อสู้ เพราะงั้นในโรงยิมนั่นจึงไม่ได้มีการทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างใด

และท่ามกลางเหล่าสมาชิกของชมรมเคนโด้กว่าสามสิบชีวิตที่กำลังจับคู่ฝึกเคนโด้คาตะ หรือท่ารำดาบอยู่นั้น กลับมีอยู่คู่หนึ่งที่โดดเด่นจนแม้แต่นักเรียนทั่วไปที่มองเข้ามายังละสายตาไปจากคู่ฝึกคู่นี้ไม่ได้

หนึ่งคือกัปตันร่างบางที่มีหน้าหวานราวกับเด็กผู้หญิง ส่วนอีกหนึ่งคือรองกัปตันผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลัก เป็นเพราะตอนนี้กำลังฝึกเคนโด้คาตะด้วยดาบไม้กันอยู่ทำให้ทั้งคู่ไม่มีเกราะป้องกันมาบดบัง ร่างสง่างามในชุดฮากามะที่กำลังจับจ้องกันและกันก่อนจะวาดดาบไม้เข้าหา ฝ่ายหนึ่งรุก ฝ่ายหนึ่งรับ ฝายหนึ่งหลบเลี่ยงรอจังหวะสวนกลับ แต่อีกฝ่ายก็รู้ทันและป้องกันไว้ได้หมด และการต่อสู้อันสวยงามแต่ก็เต็มไปด้วยความอันตรายในทุกวิถีดาบนั้นก็ทำให้หน้าประตูโรงยิมในตอนนี้ต่างเนืองแน่นไปด้วยนักเรียนชายหญิงที่ทั้งตั้งใจมาแอบดูและแค่เดินผ่านไปผ่านมา

“กรี๊ด ยามาโตะโนะคามิคุง~ อ๊า~ นี่ถ้าคู่แข่งไม่ใช่คะชู คิโยมิตสึละก็ ชั้นคงสารภาพรักไปแล้ว~”   เสียงหนึ่งโหยหวนขึ้นมาก่อนจะมีเสียง ใช่ๆ ดังอย่างเห็นด้วยจากกลุ่มนักเรียนชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน

“แทนที่จะไปชอบคนมีเจ้าของ  ชั้นขอรองกัปตันดีกว่า~ อร๊าย~”   แล้วคราวนี้เสียงกรี๊ดรับก็ดังมาจากฝั่งของเด็กผู้หญิง

เสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆจากตอนแรกยังแค่กระซิบกระซาบกลายเป็นแหกปากออกมาตรงๆอย่างไม่เกรงใจทำให้ครูฝึกคนใหม่ที่นั่งคิ้วกระตุกอยู่นานแล้วเริ่มทนไม่ไหว ชายชราจึงก้าวขาพรวดๆไปหาก่อนจะปิดประตูโรงยิมมันไปซะเลย!

“เอ๋~~~”   ได้ยินเสียงครางอย่างเสียดายดังอยู่หน้าประตูทำให้ใบหน้ามนของกัปตันชมรมเคนโด้ได้แต่ยิ้มแห้ง

“พักก่อนก็แล้วกันนะ”    ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะหันไปบอกคู่ฝึกซ้อมดาบของตัวเองก่อนจะเดินไปหาครูฝึกซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นผู้ช่วยของพ่อและตอนนี้ก็ช่วยเขาสอนนักเรียนที่โรงฝึกของที่บ้านอยู่

กิริยาท่าทางของร่างบางๆที่กำลังเดินเข้าไปขอโทษขอโพยต่อครูฝึกแทนนักเรียนที่เสียมารยาทพวกนั้นล้วนอยู่ในสายตาของรองกัปตันทั้งสิ้น ใบหน้าหล่อเหลายังคงจ้องมองกัปตันของตนอย่างไม่วางตา จะว่าเป็นเพราะพวกเขาเป็นคู่ฝึกกันมานานหรือจะเป็นเพราะเขาเฝ้ามองยามาโตะโนะคามิด้วยความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ก็ไม่แน่ใจ มันเลยทำให้เขามองเห็นความเศร้าหมองในรอยยิ้มที่อีกฝ่ายพยายามส่งให้คนอื่นๆตามปกติเหล่านั้น...เขามองเห็น...ว่ามันไม่ได้สดใสเหมือนเดิม...เขามองเห็น...ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับยามาโตะโนะคามิ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่เหม่อลอยจนเขารู้สึกได้แบบนี้หรอก

“โทษที มาฝึกกันต่อเลยไหม?”   ใบหน้าน่ารักพยายามฝืนยิ้มให้หลังจากกลับมาตั้งดาบไม้อยู่ตรงหน้าเขา รอยยิ้มที่ไม่ได้ออกมาจากใจพวกนั้นมันรบกวนจิตใจของรองกัปตันร่างสูงจนต้องเอ่ยปากออกไปจนได้

“เดี๋ยวก่อนกัปตัน”

“หื๋ม?”   ยามาโตะโนะคามิตอบกลับมาด้วยท่าทางที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติ แต่ยังไงเขาก็มองเห็น...ว่านัยน์ตาสีไพลินคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ตลอดเวลาที่ฝึก Kendo kata กันมาสองสามวันนี้เขาก็สัมผัสความเหม่อลอยของอีกฝ่ายได้ เขาจึงตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศเผื่อมันจะทำให้กัปตันของเขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“แข่งกันซักตั้งดีไหม?”   ริมฝีปากได้รูปเอ่ยชวน

“....ก็ได้อยู่หรอก”   เพราะปกติในชมรมก็ซ้อมแข่งเคนโด้กันประจำอยู่แล้ว กัปตันร่างบางจึงตอบรับอย่างไม่อิดออด...ไม่สิ...ต้องบอกว่าไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก เพราะในหัวของยามาโตะโนะคามิน่าจะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่

นัยน์ตาคมกล้าของรองกัปตันทอดมองแผ่นหลังบางที่กำลังเดินไปหาอุปกรณ์ป้องกันที่ใช้ในการแข่ง มือใหญ่ลอบกำแน่นอย่างเจ็บใจ...ในเวลาแบบนี้ คะชู คิโยมิตสึ ทำอะไรอยู่? ทำไมไม่ดูแลกัปตันของเขาให้ดี? ถ้าเป็นเขา...ถ้าเขาได้สิทธิ์ในพื้นที่ข้างๆกายยามาโตะโนะคามิอย่างที่คะชูได้ไปละก็...เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ใบหน้าน่ารักมีสีหน้าแบบนั้นแน่ๆ...



เครื่องป้องกันร่างกายถูกสวมใส่ทีละชิ้น...ทาเระป้องกันใต้ท้องลงไปถึงต้นขา...โดป้องกันแผ่นอกไปจนถึงหน้าท้อง...โคเทะป้องกันมือและข้อมือ...สุดท้าย เม็ง ป้องกันศีรษะ

เชือกถูกผูกเป็นปมอย่างแน่นหนาไว้ด้านหลังทำให้หมวกที่ตีจากเหล็กทั้งใบไม่โยกคลอนสั่นไหว ทั้งใบหน้าถูกป้องกันจึงมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฝ่ายตรงข้ามจะมองเห็น แต่กับคนที่ฝึกเคนโด้มาตั้งแต่เด็กแค่ดวงตาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รองกัปตันร่างสูงรับรู้ว่ายามาโตะโนะคามิกำลังเผลอเปิดช่องว่างอยู่

เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญมันต้องหนักหนาสาหัสมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางทำให้ปลายดาบที่มักจะตั้งตรงเสมอไม่ว่าจะเจอกับความกดดันแค่ไหนโอนไปเอนมาได้แบบนี้

จากดาบไม้ถูกเปลี่ยนเป็นดาบไม้ไผ่ ร่างสง่างามสองร่างที่ยืนอยู่ในสนามสี่เหลี่ยมที่ถูกกำหนดขอบเขตง่ายๆด้วยเทปกาวต่างย่อกายให้แก่กันเพื่อทำความเคารพ และเพราะเป็นการแข่งขันของคู่ที่น่าดูที่สุดในชมรมจึงทำให้สมาชิกทั้งหมดต่างนั่งดูอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีใครฝึกซ้อมต่อเลยสักคน

กัปตันร่างบางผูกเชือกสีขาวไว้ที่แผ่นหลัง ส่วนรองกัปตันร่างสูงเป็นเชือกสีแดงเพื่อแสดงการแบ่งฝ่ายให้ชัดเจน...และเมื่อโค้ชซึ่งรับหน้าที่กรรมการให้สัญญาณการต่อสู้ รองกัปตันก็จู่โจมในทันที


ฟึ่บ!


แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ทำเอาสมาชิกทั้งชมรมต่างอ้าปากค้างเมื่อยังไม่ทันไร ธงสีแดงในมือของโค้ชก็ถูกยกขึ้น!

ธงสีแดง...ที่บ่งบอกว่าคนที่ได้แต้มคือเขา ไม่ใช่ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ

“หมายความว่าไงน่ะ? กัปตันเนี่ยนะจะเสียอิปปง? ตีโดนตรงไหนน่ะ? ข้อมือ?”   สมาชิกกว่าสามสิบชีวิตหันไปกระซิบกระซาบกันเงียบๆแต่เสียงมันก็ยังดังมาเข้าหูของคู่ที่กำลังแข่งอยู่ดี...นัยน์ตาคมกล้าของรองกัปตันหันไปมองร่างบางที่กำลังโค้งให้เขา ร่างสูงจึงโค้งให้ด้วยเช่นกัน...ซึ่งมันคือสัญลักษณ์ว่าหนึ่งแต้มถูกขานออกมาแล้วและการแข่งขันรอบใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ก็ไม่น่าแปลกหรอกที่สมาชิกของชมรมจะแตกตื่นกันขนาดนั้นที่กัปตันของเขาจะเสียแต้มให้ใครสักคน เพราะตั้งแต่เข้าชมรมมาตอนปีหนึ่งก็แทบจะนับคนได้เลยที่จะได้แต้มจาก ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ คนนี้...

ถึงเขาจะอายุมากกว่ายามาโตะโนะคามิ ถึงเขาจะอยู่ปีสามแล้วอีกฝ่ายอยู่แค่ปีสอง...แต่คนที่มีฝีมือทางด้านเคนโด้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรือการศึกษา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศหรือฐานะ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะค้นหาวิถีแห่งดาบของตัวเองเจอก่อนกัน...และยามาโตะโนะคามิก็เจอกับวิถีแห่งดาบของตัวเองแล้ว

ยิ่งบวกกับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก คลุกคลีอยู่กับโรงฝึกและเคนโด้จนแทบจะหายใจเข้าออกเป็นดาบเสียขนาดนั้น มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กัปตันร่างบางของเขาจะก้าวขึ้นไปยืนอยู่ในตำแหน่งผู้เล่นเคนโด้ชั้นนำซึ่งแม้แต่ผู้ใหญ่หลายๆคนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

นัยน์ตาคมกล้าจ้องมองไปที่ดวงตาสีไพลินที่อยู่หลังหมวกเหล็ก แววสับสนเหม่อลอยของมันค่อยๆเปลี่ยนเป็นแววเย็นยะเยือกมืดมนยามเข้าโหมดต่อสู้ตามเดิม และนั่นก็เป็นแววตาที่เขาชื่นชอบ ดูเหมือนใบหน้าหวานนั่นกำลังสูดลมหายใจและเรียกสมาธิกลับมาได้บ้างแล้วสินะ...เอาละ....จากตรงนี้ไปคือเวลาที่อีกฝ่ายจะเอาแต้มคืนจากเขาแล้ว


ฟึ่บ!


แล้วอีกไม่กี่นาทีให้หลัง...ธงสีขาวก็ถูกยกติดกันสองครั้ง เป็นอันว่าจบการแข่งขันเพราะกัปตันทวงแต้มคืนไปได้สำเร็จแถมพลิกเกมกลับไปชนะได้อย่างไม่ยากเย็นอีกต่างหาก

การแข่งเคนโด้นั้นผลแพ้ชนะจะตัดสินจากใครทำแต้มได้สองแต้มก่อนกันภายในเวลาสามนาที ส่วนแต้มก็ได้มาจากการตีดาบไม้ไผ่ลงไปบนจุดที่ได้แต้มตามร่างกาย ซึ่งก็มี ข้อมือ ท้อง หัวและคอหอย...บอกว่าแค่สองคะแนนก็ชนะอาจจะฟังดูน้อย แต่กับการต่อสู้ที่แพ้ชนะหรือพลาดพลั้งกันภายในชั่วพริบตา การจะทำแต้มอีกฝ่ายได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

รองกัปตันร่างสูงเดินไปนั่งลงข้างๆกัปตันร่างบางที่กำลังถอดหมวกและอุปกรณ์ป้องกันออกด้วยท่าทางสงบนิ่ง ถึงยามาโตะโนะคามิจะชนะเขาในที่สุดแต่การเสียแต้มให้เขาในตอนแรกนั่นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องทุกข์ใจที่ส่งผลให้ไม่มีสมาธิในการแข่งอย่างเพียงพอ

“เป็นอะไรไป? ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็เล่าให้ชั้นฟังได้นะ ถ้าได้พูดออกมามันจะทำให้รู้สึกดีขึ้น”   เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยถามออกไป น้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจและอยากจะพึ่งพาของรองกัปตันทำให้ใบหน้าหวานหันไปมองอย่างชั่งใจ

“........”   ถึงริมฝีปากสีระเรื่อจะยังปิดสนิทแต่ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะก็ลังเลใจอยู่ชั่ววูบหนึ่ง...นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองใบหน้าได้รูปของอีกฝ่าย...ก็เป็นอย่างที่รุ่นพี่บอกนั่นแหละว่าหากได้พูดออกไป ได้ปรึกษาใครสักคน...เขาคงได้ระบายความอัดอั้นในใจนี้บ้างและมันคงจะไม่ส่งผลต่อสมาธิจนเสียแต้มไปง่ายๆแบบนี้

“ไม่มีอะไรหรอกครับ...แค่ช่วงนี้งานโรงฝึกของที่บ้านค่อนข้างเยอะ ผมเลยพักผ่อนไม่ค่อยพอ...รุ่นพี่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”   แต่จนแล้วจนรอดใบหน้าน่ารักก็ไม่ยอมพูดออกไป ได้แต่บ่ายเบี่ยงหาข้ออ้างอย่างอื่นแทน...นัยน์ตาสีไพลินแอบเหลือบมองใบหน้าของรุ่นพี่รองกัปตันอีกครั้ง...เขาพูดไม่ได้หรอกว่าทะเลาะกับคิโยมิตสึที่รับบทแฟนกำมะลอของเขามา เพราะเขารู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับเขา...อันที่จริงตอนแรกก็ไม่รู้หรอก จนกระทั่งวันที่คิโยมิตสึประกาศต่อหน้าสาธารณะชนว่าเป็นแฟนของเขา ตั้งแต่ตอนนั้นรุ่นพี่ก็ดูซึมๆไปช่วงหนึ่ง ทำให้เขาพอจะรู้แล้วว่าความรู้สึกของรุ่นพี่ที่มีให้เขานั้นมันมากกว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องอยู่มากทีเดียว

“......เอาเถอะ...ถ้านายไม่อยากบอกชั้น ถ้างั้นไม่ลองคุยกับคะชู คิโยมิตสึดูล่ะ เค้าเป็นแฟนนายนี่...แล้วคนคนนั้นก็ดูท่าทางน่าจะช่วยนายได้ด้วย”   อีกฝ่ายตัดบทอย่างยอมแพ้เมื่อเขาไม่ยอมพูดปัญหาที่แท้จริงออกไปและยังแนะนำทางแก้ไขให้เขาด้วยความหวังดี...โดยที่ไม่รู้เลยว่าชื่อของคนที่เอ่ยออกมานั่นแหละ...ที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บจี๊ดไปทั่วทันทีที่ได้ยิน

“..........ครับ...ผมจะลอง...คุยกับคิโยมิตสึดู...”   เสียงแผ่วเบาพยายามเอ่ยออกไปให้เป็นปกติที่สุด ใบหน้าหวานก้มมองพื้นอย่างกลัวว่าคนตรงหน้าจะจับพิรุธได้ เขาได้ยินเพียงเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงน่าฟัง

“รู้ไหม...ว่ามีคนชอบนายอยู่มากขนาดไหน...แต่คนพวกนั้นไม่กล้าที่จะยอมรับเรื่องที่จะคบกับผู้ชายด้วยกัน จึงไม่มีใครกล้าสารภาพรักกับนาย...เพราะงั้นการที่นายตัดสินใจเลือกคะชู คิโยมิตสึที่ยอมรับทุกอย่างที่เป็นนายได้...กล้าบอกกับใครต่อใครว่าเขาคบกับนายอยู่...นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว...เพราะคนคนนั้นจะปกป้องนายได้ไม่ว่าใครจะมองมายังไงก็ตาม”   มือใหญ่ตบลงมาที่บ่าของเขาเบาๆก่อนจะลุกออกไป ทิ้งให้เขานั่งเหม่อมองพื้นอยู่อย่างนั้น

นั่นสินะ...ถึงใครๆจะไม่รู้ว่าเขากับคิโยมิตสึเป็นแค่แฟนกำมะลอ แต่ตัวเขาเองก็มีความสุขมากที่ได้ใช้ชีวิตราวกับคนรักกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม...เขาไม่ควรจะทำมันพังไปทั้งๆอย่างนี้ เขาควรจะหาทางคุยกับคิโยมิตสึอย่างที่รุ่นพี่รองกัปตันบอก...เพียงแต่...เขากลับคิดอะไรไม่ออก

คิดไม่ออกเลยว่าจะง้ออีกฝ่ายยังไง...แค่จะเรียกให้หันมาก็ยังทำไม่ได้...















เสียงลือเริ่มแพร่กระจายและดูจะหนาหูขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาอันดับหนึ่งประจำสัปดาห์ของโรงเรียนไปแล้วว่าคะชู คิโยมิตสึกับยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ เลิกกันแล้ว...เพราะถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ก็จะเป็นคู่รักที่ไม่ได้แสดงความหวานแหววให้ใครเห็น แต่อาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งคู่กลับแทบจะไม่คุยกันเลย เจอหน้ากันก็เอาแต่หลบจนทุกคนสงสัยว่าคงจะไปกันไม่รอดตามที่คาดไว้

แล้วก็เพราะข่าวลือที่ว่านั่นแหละ...ที่ทำให้กัปตันร่างบางของชมรมเคนโด้ต้องตกที่นั่งลำบากอยู่ในตอนนี้

“ตกลงพวกนายเลิกกันแล้วใช่ไหม?”   นัยน์ตาสีไพลินจ้องหน้ารุ่นพี่กัปตันชมรมบาสเก็ตบอลผู้เป็นเจ้าของคำถามที่ไม่ได้มีความเกรงใจหรือเห็นอกเห็นใจนั่น

“........”    ริมฝีปากสีระเรื่อยังคงปิดสนิท ใบหน้าที่เหนื่อยล้าพยายามหาทางหลบเลี่ยงแต่ก็ดูเหมือนคนที่ตั้งใจจะมาดักรอเอาคำตอบจากเขาจะไม่เปิดช่องให้หนีได้เลย

“หึ! เป็นไงล่ะ! ชั้นเตือนนายแล้วใช่ไหมว่าคนอย่างคะชู คิโยมิตสึน่ะ ไม่เคยรักใครจริงหรอก พอเบื่อก็ทิ้ง หมอนั่นไม่สนใจหรอกว่านายจะรู้สึกยังไง ถ้านายเชื่อชั้นตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้หรอก!”   ร่างสูงใหญ่ใช้ทั้งท่าทางที่คุกคามและน้ำเสียงกดดัน ทว่า เขากลับทำเพียงฟังเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวา รุ่นพี่พูดอะไรออกมาอีกมากมายแต่เขากลับไม่ได้ยินมันเลย...สองสามวันมานี้เอาแต่โหมงานของที่โรงฝึกแล้วไหนจะยังงานของกรรมการนักเรียนจนแทบไม่ได้นอน บอกตามตรงว่าเขาเหนื่อยจนไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ เอาเถอะ อยากพูดอะไรก็พูดไป ตอนนี้สองขาของเขามันก็ล้าเต็มทีที่จะเดินหนีแล้วด้วย

แล้วก็เพราะว่ามันคือหัวข้อสนทนาที่คนทั้งโรงเรียนต่างให้ความสนใจ เพราะงั้นตอนนี้ทุกบานหน้าต่างของห้องเรียนที่ล้อมรอบสวนหย่อมที่ยามาโตโนะคามิ ยาสึซาดะกับกัปตันชมรมบาสยืนอยู่จึงเต็มแน่นไปด้วยเหล่าคนผู้อยากรู้อยากเห็นและรอลุ้นว่าคำตอบมันคืออะไรกันแน่ จะเลิกกันแล้วอย่างที่ลือจริงๆหรือเปล่า

หน้าต่างของห้อง 2-D เองก็เต็มแน่นเช่นกัน ยกเว้นบานหนึ่งซึ่งคะชู คิโยมิตสึจับจองเอาไว้ก่อนที่เหตุการณ์ข้างล่างนั่นจะเกิดขึ้นเสียอีก

นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองลงไปยังสองคนที่อยู่เบื้องล่าง ร่างโปร่งบางยังคงนั่งนิ่งอยู่บนขอบหน้าต่างและมองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง  เพื่อนๆในห้องจึงลอบมองไปยังร่างโปร่งบางนั่นสลับกับสองคนข้างล่าง ต่างลุ้นระทึกว่าคะชู คิโยมิตสึจะทำยังไง จะเลิกกันไปแล้วจริงๆใช่ไหม เพราะอย่างคะชูเมื่อก่อนก็มีบ่อยๆที่ปล่อยให้เด็กผู้หญิงตบกัน หรือพวกผู้ชายต่อยกันเพื่อนแย่งตัวเองโดยไม่คิดจะเข้าไปห้ามสักนิด ขนาดแฟนที่เคยคบกันมาถูกคนอื่นแกล้ง คะชู คิโยมิตสึก็ยังทำเมินเฉย ไม่เคยคิดจะเข้าไปช่วย...แล้วคราวนี้...ถ้ายังนั่งอยู่นี่ได้อีกก็แสดงว่าคงเลิกกันแล้วจริงๆ

“เฮ้อ....”   แต่แล้วใบหน้าสวยก็ถอนหายใจออกมา  จู่ๆคะชู คิโยมิตสึก็ทำเอาเสียงฮือฮาดังไปทั่วห้องเมื่อร่างโปร่งบางนั่นลุกจากขอบหน้าต่างก่อนจะเดินออกจากห้องช้าๆ....แล้วไปปรากฏตัวอีกทีที่สวนหย่อม 

ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อน้อยๆตวัดโอบรอบคอยาสึซาดะก่อนจะดึงคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเข้ามา แผ่นหลังบางปะทะเข้ากับแผ่นอกแบนเรียบก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะหันมามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา...ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาช่วย...

นัยน์ตาสีทับทิมตวัดมองใบหน้าตื่นตะลึงของคนในอ้อมแขนนั่นแว่บหนึ่งก่อนจะตวัดกลับมาจ้องเขม็งตรงไปยังไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่ตื้อไม่เลิกนี่ เห็นทีคงต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียแล้ว

อันที่จริง...เขาไม่ได้คิดจะเข้ามาช่วยหรอก เพราะยังไงยาสึซาดะก็จัดการหมอนั่นได้อยู่แล้ว เพียงแต่...วันนี้อาการของยาสึซาดะดูแปลกๆไป ไอสังหารที่เคยมีอยู่ในตัวหมอนี่กลับไม่มีให้เขารับรู้ได้เลย...เป็นอะไรไปหรือเปล่า? เท่าที่จับตัวก็ไม่ได้ร้อนอะไร? หรือจะไม่สบายตรงไหน? อ่า~ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน ยังไงก็ขอจัดการไอ้รุ่นพี่จอมตื้อนี่ก่อน

“มายุ่งอะไรกับแฟนผมครับรุ่นพี่?”  ถึงน้ำเสียงจะยังฟังดูสบายๆตามสไตล์คะชู คิโยมิตสึ แต่แววโหดเหี้ยมที่แฝงอยู่ในทุกคำพูดนั้นก็ทำให้หลายๆคนรับรู้ว่าคะชู คิโยมิตสึกำลังเอาจริง ไม่ได้เล่นๆอย่างที่ผ่านมา  ทว่า  เจ้าคนตรงหน้ากลับไม่ได้รู้เรื่องเลยสักนิด

“หึ! แฟนงั้นเร๊อะ? พวกนายเลิกกันแล้วล่ะสิ อย่ามาโกหกกันหน่อยเลยน่า ใครๆเค้าก็เห็นว่าพวกนายไม่คุยกันเลยถึงแม้จะอยู่ในวิชาที่เรียนด้วยกันก็เอาแต่หลบหน้ากันตลอด แบบนี้ไม่เรียกว่าเลิกกันแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?”   เจ้ารุ่นพี่นั่นยังพ่นออกมาไม่หยุดอย่างไม่ได้รับรู้ถึงจิตสังหารที่เขาส่งไปให้เลย...จะบื้อก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถอะ! อ๊า~~ น่ารำคาญจริงๆ!

“อ้า~ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เลิกกัน น่ารำคาญจริง!  แล้วเขาก็ทนไม่ไหวจนเผลอสบถสิ่งที่คิดอยู่ออกไป ใบหน้าสวยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะทำท่าเหมือนตัดสินใจอะไรได้ทั้งๆที่วางแผนไว้ในหัวตั้งแต่ตอนที่เดินลงบันไดมานั่นแล้ว

“อยากรู้นักใช่ไหม? ก็ได้!  ชั้นกับยาสึซาดะก็แค่ทะเลาะกันเรื่องที่หมอนี่ไม่ยอมให้ชั้นมีเซ็กส์กับเขาที่อื่นนอกจากในห้องนอน บ่นแต่ว่าน่าอายๆอยู่นั่นแหละ ชั้นก็แค่อยากกอดหมอนี่ทุกๆที่ ไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องเรียนหรือแม้แต่ในตรอกข้างถนน! ชั้นก็เลยแกล้งงอนเผื่อยาสึซาดะจะยอมใจอ่อนบ้างน่ะ รุ่นพี่~   แล้วทุกคำพูดที่ออกไปจากปากของเขาก็ทำเอาทั่วทั้งโรงเรียนนิ่งไปราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ยังไงอย่างงั้น ทุกคนที่ได้ยินต่างอ้าปากค้างไม่เว้นแม้แต่ยาสึซาดะ ไม่มีใครคิดหรอกว่าเขาจะเอาเรื่องแบบนี้มาพูดต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไหล่บางยักน้อยๆอย่างไม่ยี่หร่ะ ใครจะคิดยังไงก็ช่าง ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบยาสึซาดะอีกเลยก็ยิ่งดี!

ใบหน้าสวยเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากในขณะที่เหยียดมองเจ้ารุ่นพี่ชมรมบาสที่ทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าราวกับลืมหายใจไปแล้วนั่น...หึ! สมน้ำหน้า!

“หะ ห๋า? ทะเลาะกันเรื่อง...แบบนั้น.....”   ใบหน้าซีดเผือดครางออกมาเบาๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“ไม่เชื่องั้นเหรอ? จะให้ทำให้ดูอีกไหมล่ะ?”   ใบหน้าสวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้าทายก่อนจะปรายสายตาเจ้าเล่ห์มองอีกฝ่ายอย่างผู้เหนือกว่า

“ไม่ต้องๆ”   รุ่นพี่กัปตันชมรมบาสนั่นรีบโบกมือพัลวัลก่อนจะหันกลับไปทรุดอย่างหมดแรงต่อ

“เอาเถอะ ยังไงก็ขอบใจนะ ที่ทำให้ต้องป่าวประกาศจนยาสึซาดะต้องอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแบบนี้”    ใบหน้าเหวอๆเงยขึ้นมามองยาสึซาดะอย่างรู้สึกผิด แต่ก็พูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ...ทีนี้เจ้ารุ่นพี่นี่ก็คงรู้ตัวแล้วละว่าไม่มีทางเข้าหน้ายาสึซาดะติดอีกแล้ว แล้วก็คงจะตัดใจ เลิกตามตื้อไปเอง หึ คิดจะมายุ่งกับคนของคะชู คิโยมิตสึน่ะ ยังเร็วไปอีกร้อยปี!

มือที่เล็บถูกเคลือบไว้ด้วยสีแดงกุมมือบางของอีกคนก่อนจะพาเดินออกไปจากตรงนั้น

นัยน์ตาสีไพลินที่สั่นไหวจ้องมองมือที่กอบกุมมือของตนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ...นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เดินจูงมือกันแบบนี้ ไม่สิ...นี่มันกี่วันมาแล้วนะที่เขาไม่ได้เข้าใกล้คิโยมิตสึขนาดนี้...กลิ่นหอมเย้ายวนอันคุ้นเคยที่โชยออกมาจากร่างกายของคิโยมิตสึทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าน่ารักได้แต่เดินก้มหน้าตามแต่อีกฝ่ายจะพาไปโดยไม่พูดอะไร...เพราะกลัว...กลัวว่าเสียงที่สั่นพร่าของตนจะไปทำให้คิโยมิตสึรู้ตัวแล้วก็หนีไปจากเขาอีก

ตอนนี้...เขาชักรู้สึกอยากจะขอบคุณข่าวลือและรุ่นพี่กัปตันชมรมบาสนั่นเสียแล้วสิ ที่ทำให้คิโยมิตสึยอมออกมาปกป้องเขาแบบนี้...ยอมหันมามองเขาแล้วแบบนี้

“ระวังตัวหน่อยสิ...ว่าแต่นายเป็นอะไรหรือเปล่า? ดูหน้าซีดๆนะ?”   นัยน์ตาสีทับทิมของคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหน้าเหลือบมามองเขาแว่บหนึ่ง โดยที่ขาทั้งสองคู่ยังก้าวเดินต่อไป

“เปล่าหรอก...ไม่ได้เป็นอะไร...ยังไงก็...ขอบใจนะที่เข้ามาช่วย...”   ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยงึมงำ อันที่จริงในหัวกำลังหาคำพูดดีๆมาขอโทษคิโยมิตสึ กำลังรวบรวมความกล้า กำลังหาเหตุผลมากมาย กำลัง กำลัง กำลัง...อ้า~~ มันกำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว!

“อื้อ...ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว...”   คิโยมิตสึตอบรับเบาๆ ในขณะที่หัวของเขากำลังจะมีควันพุ่งออกมา นัยน์ตาสีไพลินก็ทันได้เหลือบไปเห็นว่าคิโยมิตสึกำลังอมยิ้มน้อยๆตอนที่บอกว่าเขาไม่เป็นไรก็ดีแล้ว....ยังเป็นห่วงเขาอยู่สินะ ยังห่วงเขาเหมือนเดิมสินะ...

จู่ๆหัวใจดวงน้อยก็อุ่นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ค่ำคืนที่ทะเลาะกันจะเป็นจะตายราวกับจะสลายหายไปกับอากาศธาตุ ยังไงก็คงตัดกันไม่ขาดจริงๆ ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เพราะเราไม่ใช่ทั้งพี่น้อง ไม่ใช่ทั้งคนรัก เพื่อนก็ไม่ใช่เพราะมันข้ามเส้นนั้นมาแล้ว

“ที่โรงละคร...เป็นยังไงบ้าง...”   คิโยมิตสึหยุดเดินก่อนจะนั่งพิงราวเหล็กกั้นแปลงดอกไม้เอาไว้ บรรยากาศที่กำลังดีๆทำให้เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องในคืนนั้นออกมาเลย ริมฝีปากจึงเอ่ยถามเรื่องสัพเพเหระอย่างอื่นแทน

“ก็ดีแหละ...ชั้นกำลังจะได้รับบทเป็นตัวหลัก ก็เลยต้องฝึกกันหนักหน่อย”   คิโยมิตสึตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ อันที่จริงเขาก็แอบกังวลว่าถามเรื่องที่โรงละครจะดีไหมนะ แต่เขาก็อยากรู้ความเป็นอยู่ของคิโยมิตสึนี่นา ถ้าลำบาก ถ้าร้องไห้ หรือถูกแกล้งถูกรังแก เขาไม่ยอมแน่...

“งั้นเหรอ....งั้นก็ดี...แล้วละ....”   แต่คิโยมิตสึดูท่าทางมีความสุขดี เขาจึงตอบกลับไปได้แค่นี้

“แล้ว...กินข้าวครบทุกมื้อหรือเปล่า? คาเนะซังให้นอนที่ไหน? มีฟูกมีผ้าห่มไหม? ไม่หนาวใช่ไหม? ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว....”

“คิก~   เสียงหัวเราะดังขึ้นมาขัดประโยคที่เผลอถามออกไปเป็นชุดตามความเคยชิน

“ยังจู้จี้ขี้บ่นเป็นคุณแม่เลยนะนายน่ะ! ชั้นยึดห้องแต่งตัวห้องหนึ่งมาเป็นห้องนอน ฟูกก็มี ผ้าห่มก็มี ข้าวไม่ได้กินแค่มื้อเช้ามื้อเดียวนอกนั้นกินครบ พอใจรึยัง?”   ใบหน้าสวยตอบกลับมาเป็นชุดเช่นกัน รอยยิ้มในขณะที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมามันชวนให้คิดถึงจนน้ำตาแทบไหล...เขาเพิ่งรู้ เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เอง...ว่าเขารักคิโยมิตสึมากขนาดไหน

“ยาสึซาดะ?”   นัยน์ตาสีทับทิมที่ช้อนมองเขาทำให้นัยน์ตาสีไพลินเริ่มสั่นระริกขึ้นเรื่อยๆ

“ว่าแต่นายเถอะ...กินข้าวครบทุกมื้อแน่เหรอเนี่ย?”   มือที่ทาเล็บสีแดงแตะมาที่แก้มของเขาก่อนจะลูบมันเบาๆ ดวงตาที่ต่างทอดมองกันและกันกลับสัมผัสได้แต่ความรู้สึกโหยหา...ยิ่งได้เข้าใกล้ก็ยิ่งคิดถึงจับใจ...เพราะงั้นกว่าจะรู้ตัวอีกที


พวกเราก็เผลอจูบกันไปแล้ว...


ใบหน้าทั้งสองรีบผละออกจากกันก่อนต่างฝ่ายจะต่างเสมองพื้นคนละฝั่ง หัวใจที่เต้นโครมครามนั้นส่งเสียงร้องอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกยังไงกับคิโยมิตสึ....และคิโยมิตสึรู้สึกยังไงกับเขา...

ไม่มีทางที่คนเราจะเผลอจูบคนที่ไม่ได้คิดอะไรด้วยแน่ๆ...

เพราะจูบมันคือความต้องการของหัวใจ ไม่เหมือนเซ็กส์ที่เป็นความต้องการจากแค่ร่างกายก็ได้

หรือว่าบางที...คิโยมิตสึอาจจะมีความรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา?

นี่เขา...เข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่านะ?


“ออดดังแล้ว...ต้องไปเข้าเรียนไม่ใช่เหรอ”   ใบหน้าสวยเอ่ยออกมาทั้งๆที่ยังก้มงุด แก้มของคิโยมิตสึแดงกว่าบรัชออนที่แต่งแต้มอยู่หลายเท่า แน่นอนว่าสองแก้มของเขาก็คงไม่ได้ต่างกันเพราะตอนนี้เขารู้สึกว่ามันช่างร้อนผ่าว

“อะ อื้อ...ไปเรียนก่อนนะ...”   เขาตอบออกไปอย่างอึกๆอักๆ แล้วมันก็เป็นแบบนี้ทุกทีหลังจากที่เผลอจูบกัน ต่างฝ่ายต่างอายที่จะพูดออกไปให้ชัดเจนว่าจูบพวกนี้มันคืออะไรกันแน่

ร่างโปร่งบางของคิโยมิตสึเผ่นแนบไปไกลแล้ว ตัวเขาถึงได้เดินลอยละล่องออกมาจากตรงนั้นทันอาจารย์เดินเข้าห้องอย่างฉิวเฉียด...เอาเถอะ...ถึงท่าทางของเขาประกอบกับข่าวที่เพิ่งจะออกเต็มสื่อเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วมันจะทำให้เพื่อนๆรอบกายต่างหันไปซุบซิบก่อนจะอมยิ้มหัวเราะคิกคักกัน มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอับอายหรืออะไรได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้ทั้งหัวใจทั้งสมองของเขามันกำลังล้นปรี่ไปด้วยความสุขที่ไม่ได้พบได้เจอมาหลายอาทิตย์















แกร่ก...

ประตูหน้าบ้านถูกไขเปิดออกก่อนที่คะชู คิโยมิตสึจะรีบก้าวขาเข้าไป สองมือถูแขนตัวเองไปมาก่อนจะกระโดดเหยงๆเพื่อให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่น...อูย~~ ...ข้างนอกนั่นหนาวชะมัด~ นี่ขนาดยังไม่ทันจะเข้าฤดูหนาวดีเท่าไหร่เลยนะ ยังแค่ปลายฤดูใบไม้ร่วงเอง ใบไม้ร่วง!

มือที่ทาเล็บสีแดงรีบปิดประตูก่อนที่ไอเย็นจะแผ่ซ่านเข้ามาในบ้าน อ้า~ ข้างในนี้อุ่นกว่าตั้งเยอะ~

ใบหน้าสวยเผลอเคลิ้มไปเล็กน้อยกับความอบอุ่นที่คอยอ้าแขนต้อนรับ ไม่สิๆ เขาไม่ได้มีเวลามายืนฟินอยู่ตรงนี้นะ ที่กลับมานี่ก็แค่จะมาเอาเสื้อโค้ทเท่านั้นแหละ

สองขาจึงก้าวเดินเข้าไปในบ้านช้าๆ แต่แทนที่จะเดินขึ้นบันไดไปเลย แสงไฟระเรื่อๆที่ลอดออกมาจากห้องนั่งเล่นก็ทำให้เขาเผลอเดินเข้าไปหาจนได้...ยาสึซาดะอยู่เหรอ? นึกว่าอยู่โรงฝึกซะอีก?

ใบหน้าสวยลอบมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนจะกวาดสายตาหาคนที่น่าจะนั่งอยู่บนโซฟา...อาจจะเป็นเพราะเขาเริ่มทำใจได้แล้วละมั้ง ถึงไม่คิดจะหันหลังหนียาสึซาดะอีก...จากนี้ไป ไม่ว่ายาสึซาดะจะพูดอะไร เขาจะรับฟังมันให้ได้

แล้วนัยน์ตาสีทับทิมก็เจอร่างของคนที่กำลังมองหา ยาสึซาดะไม่ได้นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา แต่ว่ากำลังฟุบหน้าหลับอยู่กับโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาต่างหาก

ร่างโปร่งบางจึงเดินเข้าไปด้วยเสียงอันเงียบเชียบ...แต่ถึงจะเงียบยังไงถ้าเป็นปกติยาสึซาดะจะต้องรู้สึกตัวแล้ว?

เขาหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาช้าๆ นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองใบหน้าตะแคงข้างของคนที่ฟุบหลับอย่างสำรวจตรวจตรา...ยาสึซาดะดูเหนื่อยๆนะ ไม่ได้เป็นอะไรแน่เหรอ?

นัยน์ตาสีทับทิมไล่มองไปยังกองหนังสือและกล่องดินสอที่วางอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าน่ารักฟุบหลับไปคาหน้าสมุดที่ถูกเปิดค้างเอาไว้นั่นแหละ...ดูเหมือนจะกำลังทำการบ้านอยู่สินะ?  ใบหน้าสวยจึงชะโงกมองหน้ากระดาษจากข้างหลัง หมอนี่ยังจดอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม เพียงแต่...โจทย์เลขที่ทำคาเอาไว้เขาดูปราดเดียวก็รู้ว่ามันไม่น่าจะถูก

ร่างทั้งร่างจึงทรุดนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังคนที่ยังหลับเป็นตาย ก็ถ้าเขาดึงสมุดออกมายาสึซาดะก็จะตื่นนี่นา ท่อนแขนที่เอื้อมออกไปจึงดูคล้ายกำลังโอบกอด แต่มือเรียวก็แค่หยิบดินสอที่กลิ้งอยู่แถวนั้นมาขีดๆเขียนๆวิธีทำที่ถูกต้องเอาไว้ให้...คืนนี้นายจะได้นอนเร็วขึ้นอีกหน่อยนะยาสึซาดะ

ใบหน้าสวยยิ้มบางๆมองใบหน้าที่ยังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่อง ใจนึงก็นึกห่วงว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะปกติยาสึซาดะไม่เคยหลับลึกขนาดนี้ ขนาดเขาเขียนหนังสืออยู่ข้างหูยังไม่ตื่นเลย...เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจอุ้มร่างที่นั่งฟุบอยู่กับโต๊ะนั่นขึ้นมานอนบนโซฟาดีๆ ผ้าห่มผืนบางถูกคลี่คลุมไว้ให้ก่อนที่เขาจะมองใบหน้าที่แสนคิดถึงนั่นอีกครั้ง

ปลายนิ้วเผลอแตะลงไปที่ริมฝีปากของตัวเองยามที่สายตาไล่ไปถึงริมฝีปากของยาสึซาดะ รสจูบแผ่วเบาที่เผลอจูบกันที่โรงเรียนเมื่อสองวันก่อนยังคงตราตรึงอยู่ตรงนี้ไม่รู้หาย ไม่รู้ว่ามันเป็นจูบจากความโหยหาและความคิดถึงด้วยหรือยังไงกันนะ มันถึงได้ไม่ยอมหลุดไปจากหัวใจของเขาสักที


รัก...รักจนไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว









“อืม....”    เสียงงึมงำดังออกมาจากใบหน้าที่ยังไม่ค่อยอยากจะตื่นสักเท่าไหร่ เปลือกตาที่หนักเหลือแสนพยายามเปิดขึ้นมาเพราะรู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่เวลานอน

“อือ...”   มือบางควานหาโทรศัพท์มือถือหรืออะไรก็ได้ที่จะบอกเวลา แต่กลับไม่เจออะไรเลย

เอ๋? ที่นี่ที่ไหนเนี่ย?  หัวสีดำเหลือบน้ำเงินผงกขึ้นมองรอบกายอย่างงัวเงียก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาแถมมีผ้าห่มคลุมเรียบร้อย? อ้าว? เขาไม่ได้เผลอหลับไประหว่างทำการบ้านหรอกเหรอ?

ร่างบางค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอยู่บนโซฟาด้วยสภาพเบลอๆ หื๋อ? ละเมอหรือไงนะ?  มือยกขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะค่อยๆไหลลงไปนั่งที่เบาะรองนั่งหน้าโต๊ะเตี้ยอย่างตั้งใจจะทำการบ้านต่อ


ทว่า


พอสายตาเหลือบไปเห็นสมการคณิตศาสตร์ที่ถูกแก้ไว้ยาวเหยียดพร้อมคำอธิบายที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย...เขาก็รู้ทันทีว่า...เขาไม่ได้ละเมอหรือฝันไป...

ลายมือนี่มัน...ลายมือของคิโยมิตสึ?

เดี๋ยวนะ? คิโยมิตสึงั้นเหรอ?!

สองมือยกขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะเพ่งมองตัวหนังสือพวกนั้นใหม่...ไม่ผิดแน่ๆ...ลายมือของคิโยมิตสึแน่ๆ...ต่อให้เขาละเมอขนาดไหนก็ไม่น่าจะเขียนหนังสือด้วยลายมือแบบนี้ได้หรอก!


ถ้างั้นก็หมายความว่า...คิโยมิตสึมาที่นี่?!


ร่างทั้งร่างลุกพรวดพราดก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นด้วยความหวังว่าจะได้เจออีกฝ่าย...แต่รอบกายก็ยังคงมีเพียงความเงียบ

ใบหน้ามนหันซ้ายแลขวาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ที่หน้าประตูก็ไม่มี ที่ห้องครัวก็ไม่มี ที่ห้องน้ำก็ไม่มี สองขาจึงก้าวยาวๆจนแทบจะกลายเป็นวิ่งขึ้นบันไดไป ฝ่ามือหมุนลูกบิดห้องของคิโยมิตสึออกโดยไม่ได้ขออนุญาต แต่ห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องสำอางก็มีเพียงความว่างเปล่า...

หรือว่าคิโยมิตสึจะกลับไปแล้ว….

หูหางที่ตั้งขึ้นมาด้วยความดีใจตกลู่ลงไปอีกครั้ง นัยน์ตาสีไพลินสังเกตเห็นบานประตูตู้เสื้อผ้าที่แง้มเปิดอยู่ สองขาจึงเดินไปเปิดมันออกดู...อ่า...เสื้อโค้ทของคิโยมิตสึหายไป...คงจะกลับมาเอาสินะ...

โธ่~~ แล้วทำไมเขาต้องหลับเป็นตายขนาดนั้นด้วยเนี่ย?!

สองมือได้แต่ยกขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองอย่างเจ็บใจ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหลับลึกขนาดนั้นแท้ๆ แล้วดูสิ ดันมานอนเอาตอนสำคัญเสียได้! บ้าที่สุดเลยนายน่ะยาสึซาดะ!

“เฮ้อ~…”   เขาถอนหายใจก่อนจะทรุดตัวนั่งลงไปที่ปลายเตียงพลางเหม่อมองขวดน้ำยาทาเล็บสีแดงที่วางอยู่บนโต๊ะ ถึงจะไม่ได้เห็นด้วยตาแต่ภาพเจ้าของเล็บสีนี้ที่กำลังนั่งเขียนวิธีแก้สมการพร้อมคำอธิบายให้เขามันกลับเด่นชัดอยู่ในหัว...ใบหน้าสวยนั่นต้องอมยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์นิดๆอยู่ด้วยแน่ๆ

ทำไมเขาจะไม่รู้ ในเมื่อทุกๆครั้งที่เขาทำการบ้านไม่ได้มันก็มักจะเป็นแบบนี้  คิโยมิตสึมักจะป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆตัวเขา โดยที่เขาก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือด้วยหมั่นไส้ในความหัวดีของเจ้าแมวจอมขี้เกียจนั่น ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าเรียนเลยแท้ๆแต่กลับดูแว่บเดียวก็ตอบได้มันยุติธรรมเสียที่ไหน? แล้วในขณะที่เขากำลังนั่งหน้าดำหน้าแดงหาคำตอบของการบ้านอยู่นั้น คิโยมิตสึก็มักจะหาทางบอกใบ้เขาด้วยสีหน้าอมยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นอยู่ตลอด

นัยน์ตาสีไพลินทอดมองสมุดโน้ตที่คว้าติดมือมาด้วยก่อนจะค่อยๆไล่สายตาไปตามตัวหนังสือหวัดๆที่ถูกเขียนด้วยดินสอ...คิโยมิตสึยอมกลับมา แถมยังทำตัวตามปกติกับเขาแล้วแบบนี้ แปลว่าถ้าเขาเข้าไปขอโทษ...คิโยมิตสึจะไม่หลบหน้าเขาแล้วใช่ไหม? จะยอมให้อภัยแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันหรือเปล่า?


ปล.ลอกๆไปเถอะน่า~ แล้วก็รีบๆนอนซะ! นอนไม่พอหน้าเหี่ยวเดี๋ยวก็ไม่น่ารักเอาหรอก!’


ดวงตากลมโตอ่านประโยคปิดท้ายของสมการยาวเหยียดนั้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ใต้แผ่นอกซีกซ้ายอบอุ่นจนรู้สึกถึงสิ่งที่เต้นเป็นจังหวะ 

นอกจากเรื่องที่ต้องขอโทษขอคืนดี...

เขาก็ยังมีเรื่องของหัวใจที่อยากจะพูดกันให้รู้เรื่องไปเสียที


คราวนี้แหละจะต้องพูดออกไปให้ได้








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




กราบบบขอประทานอภัยที่หายหัวไปนานมากกกกกกกกกกก m(_ _)m คือเห็นคอมเม้นต์บ้างเสียงทวงบ้างที่ถามมาแบ้วก็อยากจิแต่งให้จบตอนแล้วรีบลงให้จริงจังค่ะ แต่แต่งไปได้หน่อยก็หมดแรงนอนตายเองตลอดถถถถ TvT ตอนนี้เลยอาจจะไม่เนียนเท่าที่ควรนาคะ555 แต่งๆหยุดๆตลอดเลยถถถถถ

ตอนนี้ก็กำลังพยายามสุมไฟให้ตัวเองอยู่ค่ะ5555 ขอบคุณทุกๆการติดตามเลยนะค้า >3<

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า





1 ความคิดเห็น:

  1. กำลังรออยู่เลยค่ะแงงงง

    ยอดไปเลยอ่าาาาาา สุดยอดดดด

    ตอบลบ