Touken Ranbu Au.Fic [Yamato x Kashu] GLIDE : SF16-H Raspberry #02


Touken Ranbu Au.Fic [Yamato x Kashu]  GLIDE : SF16-H Raspberry #02


: Touken Ranbu feat. Attack on Titan , KHR , A/Z  Fanfiction Au
: Yamato no kami Yasusada x Kashu Kiyomitsu , Nagasone Kotetsu x Hachisuka Kotetsu with Levi x Eren , 8059 , Cruhteo x Slaine
: Romantic Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
             : ไม่จำเป็นต้องอ่าน GLIDE ภาคก่อนๆก็ได้ค่ะ เพราะตัวละครของภาคก่อนแค่มาก่อปัญหา(?)เล็กน้อยแต่ไม่มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องในภาคนี้ค่ะ
             : เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับวงการแข่งรถฟอร์มูล่าวันและมาเฟียในอิตาลีค่ะ อาจมีคำศัพท์เทคนิคค่อนข้างมากแต่จะอธิบายใส่เนื้อเรื่องไปเรื่อยๆค่ะ

             
         


ก๊อก......

เสียงปากกระบอกไม้ไผ่กระทบกับอ่างหินหลังจากที่มันบรรจุน้ำจนเต็มส่งให้สถานที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่นโดยแท้...แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีไม้ไผ่น้ำล้นนั่น บ้านใหญ่หลังนี้ก็มีทุกกระเบียดนิ้วเป็นแบบญี่ปุ่นโบราณอยู่แล้วก็ตาม

เด็กหนุ่มในกางเกงฮากามะสีดำกับกิโมโนสีน้ำเงินเดินเข้าไปในห้องรับรองที่เงียบสงบด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มจะหวานเหมือนเด็กผู้หญิงแต่ความเรียบเฉยราวกับถูกอบรมเรื่องมารยาทชั้นสูงมาอย่างดีก็ทำให้เด็กหนุ่มมีบรรยากาศที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน

ร่างในชุดฮากามะนั่งลงบนเบาะรองนั่งฝั่งตรงข้ามคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายใส่สูทสมัยใหม่ทำให้เป็นคู่สนทนาที่ดูต่างกันพอสมควร...แต่ก็นะ...จะกับใคร เขาก็ต่างทั้งนั้นแหละ...ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลยกยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างที่คนตรงหน้าไม่มีวันจะสังเกตเห็นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงนักสืบเอกชนชื่อดังก็ตาม

“สวัสดีครับนายน้อย”   นักสืบวัยกลางคนเอ่ยทักทายทั้งๆที่เป็นฝ่ายอายุมากกว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ้มอย่างเป็นกันเองมาให้แต่สายตาที่ผ่านคดีความมามากมาย ไม่ว่าจะโจทก์หรือจำเลยเขาก็เคยทำงานร่วมกันมานักต่อนักกลับบอกได้เลยว่ารอยยิ้มที่ดูไม่ต่างจากเด็กทั่วไปของ ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะนั้นมันมีความอันตรายแฝงอยู่ เพียงแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอันตรายสำหรับใครหรืออะไร เพราะเท่าที่รู้จักกันมาเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นแทบจะไร้ที่ติ

แล้วก็ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่คิดแบบนั้น เพราะไม่ว่าจะคนในบ้าน คนภายนอก หรือใครก็ตามที่ได้รู้จักเด็กหนุ่มต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ เป็นคนจิตใจดีที่พึ่งพาได้ เป็นกันเองและมักจะยิ้มแย้มแจ่มใสถึงแม้จะเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลก็ตาม เด็กหนุ่มไม่มีความถือตัวแต่มารยาทชั้นสูงที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้ดูสุภาพเรียบร้อยจนเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวน้อยสาวใหญ่ได้ไม่ยาก เพราะนอกจากจะนิสัยดี รูปร่างหน้าตาดี ยังมีอิทธิพลและรวยล้นฟ้าอีกต่างหาก แล้วแบบนี้จะมีสาวคนไหนไม่สนใจบ้าง?

ทั้งๆที่เนื้อหอมขนาดนั้น เด็กหนุ่มกลับไม่เคยสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ ไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหน ไม่เคยแม้แต่จะชายตาแล....

แต่กลับมีคนอยู่คนหนึ่ง...ซึ่งเด็กหนุ่มผู้เพียบพร้อมคนนี้ยึดติดและคงไม่คิดจะวางมือแน่ถ้าไม่ได้มา...

“ถ้าไม่ได้เรื่องอะไร คุณคงไม่มาหาผมถึงที่นี่หรอกจริงไหมครับ?”   ผู้เป็นเจ้าบ้านและเจ้าของงานที่ให้เขาไปสืบเอ่ยเปิดบทสนทนาอย่างไม่อ้อมค้อมและนักสืบวัยกลางคนก็ดันหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไปให้เด็กหนุ่มตรงหน้า...ก็เพราะรับงานนี้นี่แหละ เขาเลยได้รู้จักอีกตัวตนหนึ่งของ ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ ที่ใครๆคงไม่รู้จัก คงไม่มีใครนอกจากคนในบ้านที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ดูไม่สนใจใครคนนี้กลับไล่ล่าคนคนหนึ่งราวกับคนบ้า...ตามหามาสองปีเต็มๆ เสียเงินเสียทองไปไม่รู้เท่าไหร่เพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน จริงๆเมื่อสี่เดือนก่อนก็หาเจอแล้วแต่อีกฝ่ายก็หนีไประหว่างพาตัวกลับญี่ปุ่นอีกจนได้ เขาถึงต้องทำงานนี้ต่ออีกรอบ

นัยน์ตามากประสบการณ์เหลือบมองหนังสือพิมพ์ที่เลื่อนไปให้เด็กหนุ่ม...แต่ก็เข้าใจได้ละนะว่าทำไมถึงได้ยึดติดขนาดนั้น...ในเมื่อคนที่กำลังตามหาเป็นถึงเพชรแท้น้ำงามเพียงหนึ่งเดียวของบ้านหลังนี้...ยังไงก็คงปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว

ฝ่ามือบางรับหนังสือพิมพ์ไปก่อนที่ภาษาที่ไม่คุ้นเคยจะผ่านเข้ามาในสายตา...ใบหน้ามนจึงเหลือบมองไปที่กรอบชื่อและวันที่ของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นแล้วก็พบว่ามันเป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี?

นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองหน้านักสืบแว่บหนึ่งก่อนจะพลิกหน้าต่อไปดู...แล้วเขาก็ได้รู้ว่าทำไมนักสืบวัยกลางคนนั่นถึงส่งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาให้เขา

ก็รูปของคนที่เขากำลังตามล่าจนแทบจะพลิกแผ่นดินหามันเด่นหราอยู่บนนั้นน่ะสิ

เนื้อข่าวเหมือนจะเป็นเรื่องการถล่มงานเดินแบบของพวกมาเฟียหรืออะไรสักอย่างนี่แหละเขาอ่านภาษาอิตาลีไม่ออก แล้วเขาก็ไม่สนใจด้วย เพราะสิ่งที่อยู่ในสายตามีเพียงใบหน้าของคนที่เดินอยู่บนแคทวอล์คนี่ต่างหาก


หึ....

เจอ – ตัว – จน – ได้....


ใบหน้าหวานเผยรอยยิ้มเย็นๆออกมาจนคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าต้องรีบตัดบท

“คุณหนูน่าจะหนีไปอยู่ที่อิตาลีครับ...อย่างน้อยก็ช่วงนี้...”   นักสืบวัยกลางคนเอ่ยบอก

“อิตาลีเหรอ...”   ใบหน้าหวานพูดลอยๆ...รู้สึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมายังไงไม่รู้ เพราะมันไม่ใช่ประเทศเสรีอย่างอเมริกาที่เขาจะเข้าไปทำอะไรก็ได้ แต่อิตาลีมีสิ่งที่เรียกว่าผู้มีอิทธิพลอยู่...แล้วอย่างเจ้าลูกแมวตัวแสบนั่นก็มีโอกาสเป็นไปได้...ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนอย่างพวกมาเฟีย...

หึ...ยังไงเชื้อก็ไม่ทิ้งแถว...ต่อให้ตัวเองจะปฏิเสธแต่เลือดเนื้อของยากูซ่ายังไงมันก็เรียกหาแต่เรื่องอันตรายๆอยู่วันยังค่ำ

“ผมกำลังตามสืบว่าอยู่ที่ไหนในอิตาลีกันแน่...ตอนนี้ก็หาทางเหนืออย่างมิลาน เวโรน่า เวนิช อยู่ครับ”

“ครับ...ถ้าได้เรื่องยังไงก็แจ้งผมแล้วกัน แล้วก็นี่...ค่าใช้จ่ายสำหรับงวดนี้”   มือบางดันถาดใส่เงินปึกหนาไปให้ นักสืบได้แต่โค้งรับอย่างนอบน้อมเพราะเงินขนาดนี้ทำให้ที่ออฟฟิศเขาไม่จำเป็นต้องรับงานที่ไหนอีก แค่งานนี้งานเดียวก็กินไปได้หลายปี




นักสืบวัยกลางคนขอตัวกลับไปแล้ว ร่างในชุดฮากามะจึงเดินออกมาจากห้องรับรองก่อนจะก้าวไปตามระเบียงทางเดินยาวเหยียดที่ห้อมล้อมไปด้วยอาคารไม้ที่น่าจะสร้างมากว่าร้อยปี ดูจากสีและความเก่าแก่ของมันก็นับเป็นมรดกของญี่ปุ่นได้เลยถ้ามันเป็นวัดไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของตระกูลเขา

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณยาสึซาดะ!”   เสียงทักทายดังขึ้นทันทีที่หนึ่งในบรรดาลูกน้องที่เดินว่อนกันอยู่ทั่วบ้านเห็นเขาเข้า ใบหน้าหวานจึงหันไปผงกหัวพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง สำหรับคนอื่นเขาไม่จำเป็นต้องโหดร้าย แต่กับคนที่ไม่เชื่อฟังเขา เขาก็มีวิธีจัดการให้หลาบจำไปจนวันตายอยู่เหมือนกัน...แล้วคนแบบนั้นมันก็ดันมีอยู่แค่คนเดียวเสียด้วยนี่สิ

“อรุณสวัสดิ์นายน้อย!”   สองขาก้าวเดินต่อไปอีกไม่เท่าไหร่เสียงทักทายก็ดังให้ได้ยินอยู่ตลอด...มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เขายังเด็กจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่สำหรับคนทั่วไปคงไม่คิดว่ามันปกติ...เปล่า...ที่นี่ไม่ใช่รังของยากูซ่าหรอก...มันต่างกันตรงที่พวกเขาไม่ได้เรียกตัวเองว่าแบบนั้น

เพราะตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้วที่คนในตระกูลนี้มีฉากหน้าอยู่ในระบบการเมืองท้องถิ่น ไม่ว่าจะระดับใหญ่อย่าง สส.หรือเล็กลงมาอย่างหัวหน้าชุมชนก็มีคนในบ้านหลังนี้แทรกซึมอยู่ทุกที่ เรียกว่าเป็นตระกูลผู้มีอิทธิพลเก่าแก่ของเมืองก็ว่าได้...เพราะงั้นพวกเราจึงไม่ได้เรียกตัวเองว่ายากูซ่าทั้งๆที่เบื้องหลังนั้นก็แทบไม่ได้ต่างกัน ที่รวยมากขนาดนี้มีหรือแค่เงินเดือน สส. มันพอ ถ้าไม่ใช่เพราะปล่อยเงินกู้นอกระบบ เก็บค่าที่ เก็บส่วย รับใต้โต๊ะก่อนจะใช้อิทธิพลเคลียร์ทางให้

ใบหน้าหวานมองเงาของตัวเองผ่านกระจกหน้าต่าง ถึงรูปลักษณ์ของเขาจะดูดีแค่ไหนแต่ข้างในมันก็ไม่ได้ต่างจากเศษเดนที่ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้นั่นนักหรอก

“นายน้อย วันนี้จะออกไปไหนไหมครับ? ผมจะได้เตรียมรถ”   ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาถามในขณะที่เขายังเดินกลับไปไม่ถึงห้องของตัวเองด้วยความใหญ่โตของบ้านหลังนี้

“ผมจะไปมหาวิทยาลัย ช่วยเตรียมรถให้หน่อยก็แล้วกันนะครับ”   คำพูดที่สุภาพเรียบร้อยมักจะออกไปจากปากของเขาเสมอ ก็อย่างที่บอกแหละว่าพวกเราไม่ได้เรียกตัวเองว่ายากูซ่า เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวดิบเถื่อนเหมือนพวกเศษเดนพวกนั้น...ความโหดเหี้ยมน่ะ เก็บเอาไว้ใช้กับคนที่ควรใช้ก็พอ...

“ครับ”   ลูกน้องคนสนิทที่สักลายพร้อยไปทั้งตัวถอยออกไป เขาจึงก้าวขาต่อเพียงลำพังอีกครั้ง ทั้งบ้านหลังนี้ ทั้งสมบัติทั้งหมดที่มี ทั้งอิทธิพลและชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน มันกลายเป็นของเขาไปหมดแล้ว...ตั้งแต่ที่นายใหญ่หรือพ่อของเขาตายไปเมื่อสามปีก่อน

สองขาเปลี่ยนเส้นทางจากที่คิดจะกลับห้องของตน และเดินแค่อีกไม่กี่ก้าวเขาก็เจอกับสวนสีเขียวขนาดพอดีๆที่มีสิ่งก่อสร้างแสนจะแปลกตาถ้าเทียบกับหมู่อาคารไม้เก่าแก่ที่ล้อมรอบมันอยู่

เรือนเล็กหลังหนึ่งถูกสร้างอยู่กลางสวนนั่น...มันเป็นอาคารที่ถูกสร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เรียกว่าโมเดิร์น ทุกส่วนของตัวอาคารแทบจะไม่มีไม้นอกจากส่วนที่เป็นระแนงเพราะโครงสร้างของมันเป็นคอนกรีตกับเหล็กแทบทั้งหมด มันเป็นเรือนที่ยังดูใหม่มากหากเทียบกับอาคารรอบๆเพราะเรือนหลังนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนเท่านั้นเอง...สร้างให้กับลูกชายสุดที่รักของพ่อ...

สองขาเดินเข้าไปในตัวอาคารที่มักจะปิดตายเอาไว้ เพราะนอกจากคนทำความสะอาดแล้วเขาก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในนี้ได้อีก...ปลายนิ้วแตะไล้ไปตามเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกเช็ดทำความสะอาดเป็นอย่างดี...ถึงที่นี่จะไม่มีคนอยู่มาหลายปีแต่เขาก็สั่งให้คนคอยดูแลมันตลอดเพื่อรอเจ้าของเรือนหลังนี้กลับมา...สองขาเดินขึ้นบันไดต่อไปยังห้องนอนบนชั้นสอง กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ลอยออกมาจากหมอน ที่นอนและสิ่งของที่อยู่รอบตัว ปลายนิ้วแตะลงไปที่โซ่เส้นใหญ่ซึ่งถูกล่ามติดกับเตียงเอาไว้ ครั้งหนึ่งมันเคยถูกใช้พันธนาการเจ้าของห้องๆนี้...แต่ถึงขนาดนั้นเจ้าเหมียวนิสัยไม่ดีก็ยังหาทางหนีเขาไปจนได้

มือเลื่อนเปิดประตูระเบียงออกไป จากตรงนี้นอกจากสวนแล้วยังมองเห็นบ้านใหญ่ได้เกือบทั้งหลัง หมู่หลังคาน้อยใหญ่ไล่เรียงกันไปเป็นสิบๆอาคาร นัยน์ตาสีน้ำเงินได้แต่ทอดมองมันด้วยความรู้สึกว่างเปล่า...เขาไม่เคยต้องการมันเลย...ไม่ว่าจะบ้านหลังนี้ ชื่อเสียง อิทธิพล ลูกน้อง เงินทองหรืออะไรต่อมิอะไรที่เขาได้มาและใครๆต่างก็อิจฉา เขาไม่เคยอยากได้มันเลย แต่เขาจำต้องรับมันมาเพราะมันคือสิ่งที่ทุกคนต่างบอกว่ามันคือสิ่งที่ “ดี” แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขา “ชอบ”

ตั้งแต่เด็กๆมาแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำตามความต้องการของตัวเอง ได้แต่ทำในสิ่งที่คนอื่นๆบอกว่าดี...แต่ก็นั่นแหละ...เพราะเขาเองก็ไม่เคยต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ใครๆต่างก็คิดว่ามีค่าขนาดไหนมันก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย


แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีสิ่งที่อยากได้


มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาอยากได้มาตลอดตั้งแต่เด็กๆ

มีแค่สิ่งเดียว...ที่เขาอยากครอบครองให้มันเป็นของของเขาคนเดียว


อิสระที่ผสมผสานไปกับความสวยงามราวกับปีกของนกฟีนิกส์  ทำตามใจตัวเองทั้งๆที่มีลวดผูกมัดจนแทบดิ้นไม่หลุดแต่คนคนนั้นก็ยังยิ้มได้ราวกับสายลมสีเพลิง...


เขาอยากได้...อยากครอบครองมัน...คนที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านั้น.......คนที่เป็นเจ้าของเรือนเล็กหลังนี้...


สองขาเดินกลับมาหยุดอยู่ที่หน้ารูปขนาดใหญ่ที่สกรีนใส่บานประตูกระจกฝ้าของห้องน้ำเอาไว้...มันเป็นรูปของเจ้าของเรือนหลังนี้...

นัยน์ตาสีน้ำเงินทอดมองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั่นด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

คุณ...คิดจะหนีผมไปอีกนานแค่ไหนกัน...คิโยมิตสึ

















“อื้อ~ อะ...อย่า....”   สองมือจิกผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อระบายความเสียวซ่าน ใบหน้าสวยสะบัดเงยจนปลายผมยาวสยายเต็มหมอน ท่อนขาถูกจับแยกออกจากกันก่อนจะถูกจับพาดไว้กับต้นขาของคนที่กำลังสอดใส่ความเป็นชายเข้ามา ทั้งใบหน้าและกลิ่นเหงื่อหอมๆนั่นมันยังฝังอยู่ในทุกความทรงจำจนเก็บเอามาฝันครั้งแล้วครั้งเล่า


เฮือก!!


นัยน์ตาสีเพลิงเบิกโพลงก่อนจะหอบหายใจหนักหน่วง...ฝัน...ฝันถึงค่ำคืนเหล่านั้นอีกแล้ว...

ร่างเปลือยเปล่าพลิกกายก่อนจะขดตัวเข้าหากันอยู่ใต้ผ้าแพรสีแดง ทั้งๆที่เกลียด ทั้งๆที่กลัว แต่ร่างกายของเขากลับจดจำสัมผัสพวกนั้นได้ดีจนน่ารังเกียจ


“คุณมันก็เป็นแค่ตุ๊กตาพังๆ ถึงจะแต่งตัวสวยจนใครๆดูไม่ออก แต่ตัวคุณเองย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าของที่พังแล้วมันไม่มีใครต้องการจากใจจริงหรอก...นอกจากคนที่ไม่สมประกอบเหมือนกันอย่างผม”

ตุ๊กตา...ที่พังแล้วงั้นสินะ....

สำหรับหมอนั่นเขาเป็นแค่ตุ๊กตา...งั้นสินะ...


สองมือยกขึ้นมาปิดหูทั้งๆที่รู้ว่าถึงจะปิดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะทุกถ้อยคำมันถูกสลักเอาไว้ในหัวใจมิใช่แค่คำพูดลอยๆ

เหมือนเซ็กส์ที่หมอนั่นทำกับเขา หมอนั่นตั้งใจสลักมันไว้ในร่างกาย มิใช่แค่การกระทำที่ไร้จุดหมาย มันถึงได้ยังฝังแน่นอยู่ในทุกอณูแบบนี้

“โธ่~~”   ร่างโปร่งลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งอย่างหัวเสีย เพราะความฝันบ้าๆนั่นทำให้อารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเลยวันนี้ คงต้องโทษความรักดีของเขาด้วยนั่นแหละที่ไม่คิดจะไปนอนกับใครๆเพื่อให้ลืมสัมผัสแห่งฝันร้ายนั่นไปเสียที!

ร่างสีขาวราวกับน้ำนมลุกจากเตียงอย่างไม่สนใจผ้าแพรสีแดงที่ติดร่างกายมาว่ามันจะไหลพาดระตามพื้นยังไง ร่างเปลือยเปล่าเดินเข้าห้องน้ำไปก่อนจะใช้ไอเย็นๆล้างหัวให้อย่างน้อยก็ลืมเรื่องของหมอนั่นไปชั่วคราวก็ยังดี

มือบางบิดก๊อกฝักบัวปิดให้สายน้ำที่ชำระไปตามร่างกายหยุดลง ฝ่ามือสีขาวลูบกระจกเงาที่เต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวก่อนที่เงาร่างของตัวเองจะปรากฏอยู่บนนั้น...ถ้าเขายังอยู่คนเดียวอยู่แบบนี้ก็คงไม่มีวันลืมสัมผัสพวกนั้นได้หรอก...แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่ เพราะงั้นการจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน มันจึงเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดจะทำ เพราะรู้ดีว่าคงทำให้คนคนนั้นเจ็บปวดจากเรื่องของเขาแน่ๆ คงต้องถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องของเขาแน่ๆ ถึงได้ตั้งใจจะอยู่คนเดียวแบบนี้ต่อไป จะไม่ผูกพันกับใคร จะไม่เข้าใกล้ใคร เพราะรู้ดีว่าตัวเขาที่ยังมีเงาของปีศาจร้ายครอบงำอยู่คงไม่อาจทำให้ใครมีความสุขได้หรอก

กับเรื่องแข่งรถก็เหมือนกัน...

เขาไม่คิดจะอยู่ทีมไหนนานๆ ไม่คิดจะสนิทสนมกับเพื่อนร่วมทีมเพราะหากวันใดที่ถูกหาตัวเจอขึ้นมา เขาจะได้จากไปอย่างไม่ต้องเจ็บปวด

นัยน์ตาสีเพลิงทอดมองใบหน้าของตัวเองในกระจก...เป็นแบบนี้ต่อไปจะดีแล้วหรือไงนะ?

ทำไมถึงต้องหนี? ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ไล่ล่าเขาเอาเป็นเอาตายขนาดนี้? ไม่รู้เลย...ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจเหตุผลของยาสึซาดะเลย...



‘hidoi yo hidoi yo mou isso boku no karada wo kowashite hikisaite sukina youni shite yo
โหดร้ายเหลือเกิน โหดร้ายเหลือเกิน ในที่สุดแล้ว ได้โปรดทำลายร่างกายของฉัน ฉีกมันออกให้สาสมกับที่ใจเธอต้องการเถอะ

sakende mogaite mabuta wo harashitemo mada kimi wa boku no koto wo dakishimete hanasanai
แม้ฉันจะกรีดร้อง ดิ้นรน จนตาบวม แต่เธอก็ยังคงโอบกอดฉันไว้ ไม่ยอมห่าง

mou ii yo!’ 
พอได้แล้ว!



เสียงโทรศัพท์ทำให้หลุดออกมาจากภวังค์แต่เขาก็ยังปล่อยให้มันดังต่อไปเรื่อยๆ เสียงร้องที่ตะโกนแทบขาดใจมันกรีดลึกอยู่ข้างในตัวของเขาราวกับเข้าใจเพลงเพลงนี้เป็นอย่างดี ทั้งๆที่ยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวดแต่เขากลับลบมันออกไปจากโทรศัพท์มือถือไม่ได้

...ก็เหมือนกับที่เขาไม่เคยลืมเรื่องของหมอนั่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว...


ร่างโปร่งละจากหน้ากระจกก่อนจะตลบเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวแล้วก้าวขาเดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อเพลงรอสายเริ่มวนกลับมารอบใหม่...ต่อให้ชีวิตทั้งชีวิตจะถูกเงาของปีศาจร้ายอย่างหมอนั่นคอยไล่ล่า แต่ว่าเขาก็อยากจะลองดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นต่อไป...ปลายนิ้วสีแดงจึงสไลด์หน้าจอมือถือเพื่อรับสาย...ก็คงเป็นใครสักคนในแผนกโมเดลลิ่งที่เขาไปสมัครเล่นๆเอาไว้โทรมาตามให้ไปเดินแบบนั่นแหละ ถึงไม่ได้คิดจะยึดอาชีพนี้ไปตลอดแต่ทำฆ่าเวลาก็ถือว่าสนุกใช้ได้เหมือนกัน เงินก็ดีอีกต่างหาก

“ฮัลโหล”   ปลายสายที่ทักทายเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็ยังติดสำเนียงอิตาลีทำให้เขานึกแปลกใจขึ้นมาทันที เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ติดต่อเรื่องงานเดินแบบกับเขามักจะเป็นผู้หญิง ไม่ใช่เสียงทุ้มของผู้ชายอย่างที่ได้ยินอยู่

“ครับ?”   ริมฝีปากสีสดจึงตอบรับไปอย่างไม่ลงรายละเอียดว่าตัวเองเป็นใครเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจขึ้นมาชั่วขณะ...อาจจะเป็นนักสืบที่หมอนั่นจ้างให้ตามสืบเรื่องของเขาอยู่ก็ได้

“ผมเอลวิน สมิธ ทีมบอสของสครูเดอเลีย เฟอร์รารี่...นั่นคะชู คิโยมิตสึใช่ไหมครับ?”   แต่แล้วการแนะนำตัวของคนที่ปลายสายก็ทำให้เขาถึงกับนิ่งค้าง จะมีใครบ้างในวงการมอเตอร์สปอร์ตที่จะไม่รู้จักทีมบอสชื่อดังที่พารถฟอร์มูล่าวันของเฟอร์รารี่คว้าแชมป์มาไม่รู้กี่สมัยคนนั้นกันบ้างล่ะ

“เอ๋?....”   ริมฝีปากสีสดได้แต่อุทานออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ว่าคนระดับเอลวิน สมิธจะโทรมาหาเขา ในหัวจึงมีแต่ความมึนงงสับสนจนคิดอะไรต่อไม่ถูก

“ฮะฮะ ไม่ต้องกลัวว่านี่คือการแอบอ้างนะ ผมคือเอลวิน สมิธจริงๆ...เมื่อวันก่อน เธอได้พบกับครูเทโอ CEOของเรากับสเลน ทรอยยาร์ดนักขับของเราใช่ไหมล่ะ? สองคนนั้นแนะนำให้ชั้นลองโทรมาคุยกับเธอดู”

“คุย?”   ถึงจะรู้ว่าเสียมารยาทที่ตอบไปห้วนแสนห้วนขนาดนั้น แต่ตอนนี้เขากำลังตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกต่างหากล่ะ! ตอนที่เจอสเลน ทรอยยาร์ดนั้นเขารู้ตัวอยู่ก่อนแล้วเลยไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ กับCEOที่เหมือนหมีขาวขั้วโลกคนนั้นเขาก็ไม่รู้สึกอะไรด้วยเพราะเป็นพวกสายบริหาร แต่กับพวกสายทีมแข่งอย่างคนที่อยู่ปลายสายนี่มันคนละเรื่องกันเลย! เขาชื่นชอบเฟอร์รารี่ถึงได้แอบหนีมาอยู่เมืองบ้านนอกคอกนาอย่างมาราเนลโลแทนที่จะไปอยู่มิลานก็เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของเฟอร์รารี่ถึงจะแค่เล็กน้อยก็ยังดี เขาชื่นชมเอลวิน สมิธเป็นการส่วนตัวอยู่ก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจเลยที่ตัวเองจะมือไม้สั่นขนาดนี้ที่ได้คุยกับอีกฝ่าย

“ก็คุยเรื่องที่จะให้เธอมาลองทดสอบเป็นนักขับของเฟอร์รารี่ยังไงล่ะ?”


ตุบ....


โทรศัพท์มือถือถึงกับร่วงลงไปบนพื้นพรมสีแดงก่อนที่เขาจะรีบตามไปตะครุบมันขึ้นมาเมื่อรู้ตัว

“นะ นักขับของเฟอร์รารี่?!”   เขากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อย่างที่คิดว่าตอนนี้ตัวเองคงอยู่ในฝัน...ก็มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จู่ๆจะมีทีมบอสยักษ์ใหญ่โทรมาให้เขาไปขับรถแข่งให้กับทีมที่ตัวเองแอบปลื้มมานานแบบนี้ ตื่นๆๆคิโยมิตสึ!

“โอ๊ย!”   ริมฝีปากสีสดเผลออุทานเบาๆเมื่อปลายนิ้วบิดแขนอีกข้างของตัวเองแล้วปรากฏว่ามันดันเจ็บ...ไม่ได้ฝันสินะ....

“หื๋อ? อ่า ใช่...ชั้นอยากให้เธอมาลองทดสอบดู...แต่ถึงจะบอกว่าเป็นตำแหน่งนักขับแต่ก็คงต้องบอกกันตรงๆ ว่าจะให้มาขับสำรองให้กับโกคุเดระ ฮายาโตะ...นักขับมือหนึ่งของเรา”   ว่าไงนะ? นักขับสำรอง? ของโกคุเดระ ฮายาโตะ?

“หมายความว่าจะได้อยู่พิตการาจเดียวกับโกคุเดระ ฮายาโตะ?”   หัวใจดวงน้อยยิ่งเต้นโครมครามไปกันใหญ่ เพราะนี่มันเป็นเรื่องที่แม้แต่ฝันยังไม่กล้า

“ก็ทำนองนั้น ว่าไง? สนใจไหม?”   ใบหน้าสวยพยักรัวๆอยู่คนเดียว...ทว่า...พอนึกถึงความเป็นจริงขึ้นมา...ใบหน้าของเขาก็ถึงกับชะงักค้าง...

ไม่สิ...ถึงจะดีใจจนแทบจะคลั่งให้ได้แต่เขาก็จะลืมไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเขามีปีศาจร้ายครอบงำอยู่...เรื่องของเขาอาจจะทำให้ทีมอย่างเฟอร์รารี่เดือดร้อนก็ได้ เพราะว่าเป็นทีมที่แอบชอบแอบเชียร์มาตลอด หากต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา เขาคงไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ

“เอ่อ...คือว่า...”   เขาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงลังเล แล้วก็ราวกับปลายสายจะจับน้ำเสียงของเขาได้ว่ากำลังลังเลด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เอลวิน สมิธจึงตัดบทด้วยเสียงทุ้มสบายๆ

“ยังไงก็ลองมาทดสอบดูก่อนก็แล้วกัน สเลนเชียร์เธอมากเลยนะ เอาเป็นว่า เดี๋ยวจะส่งคนไปรับ”   แล้วปลายสายก็ตัดไปทิ้งให้เขายืนถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้นอีกหลายนาที...ทำยังไงดี...นี่มันเฟอร์รารี่เลยนะ...จะมีใครบ้างไม่อยากไปขับให้ แต่เขาก็อาจจะทำให้ทีมเดือดร้อนถ้าหมอนั่นหาเขาเจอ เขาอาจจะต้องหนี อาจจะต้องทิ้งทีมไปและมันคงไม่ง่ายเหมือนทีมก่อนๆที่เขาไม่ได้มีความผูกพัน เพราะเฟอร์รารี่นั้นเป็นทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่ที่เริ่มดูการแข่งรถใหม่ๆ มันมีสิ่งที่เรียกว่าสายสัมพันธ์มาก่อนที่จะได้รู้จักกันนั่นแล้ว

ทำยังไงดี?...เขาควรจะตอบรับตามที่หัวใจเรียกร้อง หรือควรปฏิเสธไปเพื่ออนาคตของทีมที่เขารัก

ทำยังไงดี?

ทำยังไงดีๆๆ?!

สองมือยกขึ้นมาขยี้ผมสีดำเหลือบแดงนั่นจนกระจุยกระจาย ทั้งความรู้สึกดีใจ ทั้งความรู้สึกว่าทำไม่ได้หรอกตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด



‘hidoi yo hidoi yo mou isso boku no karada wo kowashite hikisaite sukina youni shite yo
sakende mogaite mabuta wo harashitemo mada kimi wa boku no koto wo dakishimete hanasanai
mou ii yo!’ 




แล้วในขณะที่เขายังตบตีกับตัวเองไม่เสร็จ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาอีกระลอก ใบหน้าถึงกับหันไปมองมันอย่างชะงักค้าง เบอร์ที่ขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอเป็นคนละเบอร์กับที่เอลวิน สมิธใช้โทรมาเมื่อกี้ เขาจึงกดรับอย่างกล้าๆกลัวๆ

“......................”    หื๋อ? ปลายสายเงียบสนิทจนเขาเริ่มสงสัย แต่ก่อนจะส่งเสียงทักทายออกไป ปลายสายก็พูดออกมาเสียก่อน

“เอลวินให้มารับ.....”   ช่างเป็นน้ำเสียงที่เฉยชาเสียจนเขาถึงกับผงะไป....เจ้าคนที่โทรมานี่มันตื่นดีหรือยังเนี่ย? อ่ะ! แต่จะมัวมาสนใจเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้เขาต้องลุกไปแต่งตัวก่อน!

“รอเดี๋ยวนะ”   เขาวางสายไปก่อนจะวิ่งวนไปทั่วห้องราวกับพายุ ทั้งๆที่ปกติแล้วกว่าจะระเยื้องระย่างจับนู่นแต่งนี่จนเสร็จก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ แต่คราวนี้เขากลับแต่งตัวเสร็จภายในห้านาที!

สองขาก้าวพรวดๆออกมาจากห้องด้วยเสื้อคอกว้างสีดำขาดๆตามสไตล์พั้งค์ กางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูปอยู่ในรองเท้าบูทที่สูงเกือบถึงเข่า ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกคงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าเขาเป็นนักแข่งรถที่เคยคว้าแชมป์อินดี้คาร์ของอเมริกามาแล้ว!

ร่างโปร่งวิ่งลงบันไดมาอย่างไม่ได้สนใจว่าเอลวิน สมิธจะส่งใครมารับ ก็เล่นมาซะไวขนาดนี้คงไม่พ้นคนขับรถอะไรพวกนั้นหรอกมั้ง?


ทว่า...


เมื่อนัยน์ตาสีเพลิงของเขามองเห็นว่า ใครกันที่ยืนพิง Ferrari California สีแดงสดรอเขาอยู่นั้น ร่างทั้งร่างก็แทบจะแข็งเป็นหิน...มีเพียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำราวกับกำลังบ้าคลั่ง

นั่นมัน...โกคุเดระ ฮายาโตะ ไม่ใช่หรือไง?

ทำไม? ทำไมเอลวิน สมิธถึงส่งคนคนนี้มารับเขา? ไม่น่าจะรู้หรอกว่าเขาแอบปลื้มอีกฝ่ายมากมายแค่ไหนในฐานะนักขับในดวงใจเพราะเขาไม่เคยบอกใคร...เท่าที่คิดได้ก็คงจะเป็นการให้เกียรติเขาถึงได้ส่งเบอร์หนึ่งของทีมมารับ? หรือไม่ก็ต้องการบอกเป็นนัยๆว่านักขับกับทีมงานของเฟอร์รารี่สนิทกันขนาดไหน จะใช้ให้ไปทำธุระหรือแม้แต่ซื้อของที่มินิมาร์ทให้ก็ยังได้...นั่นรวมไปถึงสนิทกันถึงขั้นดูแลคุ้มครองกันได้ด้วย...

บางที...เอลวิน สมิธอาจจะตั้งใจบอกกับเขาว่า...ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องอะไร หากเป็นคนของเฟอร์รารี่แล้วก็จงวางใจได้...

รอยยิ้มบางๆปรากฏอยู่บนใบหน้าสวย แย่แหะ เจอทีมบอสที่ดักทางเขาได้แบบนี้แล้วจะให้หนีไปไหนรอด...

“พอดีต้องเอาอาหารมาให้หมีแถวนี้...เอลวินเลยให้แวะมารับไปที่สนาม”   เสียงเฉยชาอันเป็นเอกลักษณ์ที่เขาเคยแต่ได้ยินผ่านการสัมภาษณ์ในโทรทัศน์เอ่ยบอกก่อนที่โกคุเดระ ฮายาโตะจะเหลือบตามองไปที่ตึกสีอิฐที่อยู่เยื้องๆกันไป...หมี?

“สนาม...”   เขาได้แต่พูดออกไปด้วยเสียงลอยๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนที่เป็นเหมือนไอดอลของตัวเองในระยะใกล้ขนาดนี้ ยิ่งอีกฝ่ายบอกว่ามารับเขายิ่งไม่เคยคิดไปกันใหญ่

“สนามฟิโอราโน่ของเฟอร์รารี่...ไปกันเถอะ”   ร่างบอบบางในชุดลำลองของเฟอร์รารี่เดินอ้อมไปยังที่นั่งคนขับก่อนที่เจ้าตัวจะลงไปนั่งอยู่ในเฟอร์รารี่เปิดประทุนคันนั้น

“อะ อื้อ...”   โธ่~คิโยมิตสึ! ความมั่นใจที่นายมีมันหายไปไหนหมด! เขาสะบัดหน้าสองสามทีก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่เบาะข้างๆ แล้ว Ferrari California ก็ทะยานออกไปในทันที

สายลมที่ปะทะใบหน้าทำให้พอจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง  ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเฟอร์รารี่สีแดงคันนี้ช่างเหมาะกับอีกฝ่ายดีจริงๆ เพราะคนข้างๆคือโกคุเดระ ฮายาโตะที่เขาชื่นชมหรือเปล่านะที่ทำให้รู้สึกประหม่าได้ขนาดนี้ เขาพยายามจะเรียกตัวตนของตัวเองกลับมาด้วยการหันไปสนใจวิธีการขับรถของอีกฝ่ายแทน จะว่าไปการขับรถบนถนนของโกคุเดระ ฮายาโตะนั้นต่างจาก สเลน  ทรอยยาร์ด โดยสิ้นเชิงเลยจริงๆ ไม่สิ คงต้องบอกว่ากรณีของสเลน ทรอยยาร์ดน่าจะเป็นกรณีพิเศษมากกว่า...

“หึ....”   จู่ๆก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าลนลานที่ตรงข้ามกับใบหน้าราวกับรูปสลักน้ำแข็งของคนข้างๆ เพราะเขาติดตามผลงานของทั้งคู่อยู่ตลอด ได้เห็นแต่ใบหน้าจริงจังเวลาที่อยู่ในสนามแข่ง พอได้มาเห็นตัวตนจริงๆที่แสดงออกอย่างเป็นกันเองแบบนี้มันเลยอดที่จะรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปเป็นพรรคพวกไม่ได้....รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ รู้สึกว่าไม่อยากจะทิ้งที่แบบนี้ไป...

จะดีหรือเปล่านะ ถ้าเขาจะปล่อยให้ตัวเองถลำลึกลงไป ถึงแม้จะรู้ว่าในภายหลังอาจจะต้องเจ็บปวดเจียนตายเลยก็ตาม

จะดีหรือเปล่า ที่ไม่ยอมหักห้ามใจตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้...

เจ้ารถสีเพลิงแล่นเข้าไปในกลุ่มโรงงานขนาดยักษ์ของเฟอร์รารี่ ขนาดตอนที่เขาออกไปเดินเล่นในมาราเนลโล่ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วนะว่าเมืองๆนี้มันช่างมีแต่สัญลักษณ์ของเฟอร์รารี่จนแทบจะเป็นอาณาจักรได้อยู่แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าข้างนอกน่ะมันเทียบไม่ได้กับในโรงงานนี่เลย  แล้วยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่เขาก็ราวกับหลงอยู่ในเมืองในฝัน เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่สัญลักษณ์ม้าลำพองและสีแดงเต็มไปหมด ความเป็นเอกภพของมันสกัดกั้นความลังเลในใจของเขาไปจนไม่มีเหลือ จากที่คิดว่าคงปฏิเสธมันได้ แต่ตอนนี้ส่วนลึกที่เรียกร้องมาตลอดกลับเด่นชัดว่าเขาอยากจะอยู่ที่นี่ อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของการาจสีแดงแห่งนี้

ความรู้สึกมันแตกต่างจากตอนอยู่ในทีมแข่งที่อเมริกา นั่นเขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ไม่ได้อยากจะอยู่จากความต้องการของตัวเอง แต่เป็นเพราะว่ากำลังหนีและก็มีคนรู้จักแนะนำทีมนั้นให้พอดี...มันต่างจากที่นี่...ที่ที่เป็นความใฝ่ฝัน ที่ที่อยากจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในนั้น...


เอี๊ยด!


เสียงเบรกเบาๆเรียกสติของเขาให้โฟกัสไปที่ภาพตรงหน้าและมันก็ทำให้นัยน์ตาสีเพลิงถึงกับเบิกกว้าง...เขาเคยผ่านสนามแข่งมามากมายหลายสนาม แต่ไม่มีที่ไหนจะทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนที่นี่เลย...สนามแข่งรถสีเขียวขจีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั้นช่างตัดกับป้ายสีแดงขนาดมหึมา...และคำที่อยู่บนป้ายนั้นก็ทำให้ขนทั่วร่างถึงกับลุกชันโดยไม่รู้ตัว...


Fiorano…


ที่นี่คือสนามส่วนตัวของเฟอร์รารี่...

เป็นที่ที่ถึงแม้จะเป็นนักขับระดับโลกก็ใช่ว่าจะเคยได้ขับในสนามแห่งนี้...เพราะมันเป็นที่ของเหล่าม้าลำพองเท่านั้น คนที่จะเคยได้ขับในสนามแห่งนี้คือคนที่อยู่ในทีมเฟอร์รารี่เท่านั้น




อ่า....อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่างมันแล้วกัน....ต่อให้ต้องขายวิญญาณให้กับซาตานเขาก็ยอมเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่

อยากเป็นส่วนหนึ่งของพิตการาจสีแดงแห่งนี้...





ขาเรียวก้าวตามโกคุเดระ ฮายาโตะที่เดินนำเข้าไปในตัวอาคารด้วยใบหน้าไม่สนใจใคร ร่างบอบบางนั่นคงเข้าออกที่นี่ราวกับเป็นบ้านของตัวเองไปแล้วละมั้ง? ต่างจากเขาที่เพิ่งจะเคยเข้าไปเหยียบเป็นครั้งแรก แล้วอุปกรณ์ล้ำสมัยที่สุดในแวดวงยานยนต์ที่อยู่ในห้องคอนโทรลก็ทำให้เขาถึงกับตื่นตาตื่นใจ...นี่เหรอรถฟอร์มูล่าวัน...ถึงเขาจะเคยขับรถที่ใกล้เคียงกันแต่เรื่องนวัตกรรมก็ยังไม่ถึงขนาดนี้

“คะชู คิโยมิตสึ?”   จู่ๆชื่อของเขาก็ถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มเสียงหนึ่งและเขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าในห้องคอนโทรลนั้นไม่ได้ว่างเปล่าแต่มีเหล่าวิศวกรในชุดฟอร์มสีแดงของเฟอร์รารี่ยืนอยู่เต็มไปหมด...โธ่~ มัวแต่ตื่นเต้นจนลืมสังเกตรอบข้างไปเลย

“อ่ะ ครับ...”   แล้วคนที่ทักเขาก็ไม่ใช่ใคร...เอลวิน สมิธ กำลังเดินเข้ามาหาเขา แน่นอนว่าเขารู้จักทีมบอสของเฟอร์รารี่เป็นอย่างดีเพราะเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายผ่านสื่อต่างๆมานับไม่ถ้วน แต่อีกฝ่ายน่าจะเพิ่งเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรก ทีมบอสร่างสูงใหญ่นั่นถึงได้จ้องเอาๆก่อนจะไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ถ้ารูปร่างหน้าตาแบบนี้ละก็ ผ่านการทดสอบของรีไวได้สบายๆ”   ห๋า? เขาได้แต่เหวออยู่ในใจเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นมันไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด รูปร่างหน้าตา? มันมาเกี่ยวอะไรกับการทดสอบด้วยล่ะ? นักขับของเฟอร์รารี่ไม่น่าจะวัดกันที่ตรงนั้นมั้ง? ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีแต่พวกรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับเขาทั้งนั้นก็เถอะ?

“มานี่สิ”   ทีมบอสร่างสูงใหญ่อมยิ้มอย่างไม่คิดจะเฉลยข้อสงสัยของเขาก่อนจะเดินนำออกไปให้เขาต้องก้าวขาเดินตาม

แต่แล้วห้องที่เอลวิน สมิธพาเขาไปกลับไม่ใช่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของนักขับหรือห้องซิมูเลชั่นที่ใช้จำลองการขับโดยไม่ต้องลงสนามจริง ไม่ใช่แม้แต่ห้องที่ใช้เซ็นต์สัญญา แต่ห้องที่สองขาของเขามาหยุดยืนอยู่นั้น....มันคือพิตการาจของเฟอร์รารี่

ที่นี่คือพิตจริงๆ....เพราะสิ่งที่จอดอยู่กลางห้องซึ่งเชื่อมต่อไปยังสนามแข่งนั้นก็คือ รถฟอร์มูล่าวันสองคันที่จอดเรียงกันอยู่...และหนึ่งในนั้นก็เขียนข้างตัวถังเอาไว้ว่า SF16-H HAYATO…มันคือรถที่โกคุเดระ ฮายาโตะใช้ในการแข่งขันในปีนี้จริงๆ

ถ้างั้นอีกคันก็น่าจะเป็นรถของสเลน? ไม่สิ...บนตัวถังของรถคันนั้นมันยังว่างเปล่า เพราะถ้าเป็นรถของสเลนมันจะต้องมีคำว่า SF16-H SLAINE ติดอยู่...ถ้างั้นก็หมายความว่า...รถคันนั้นอาจจะเป็น...ของเขา?

ร่างกายขยับเข้าไปหารถคันนั้นโดยไม่รู้ตัว สีแดงเพลิงที่สวยงามของมันดึงดูดเขาราวกับแม่เหล็กขนาดยักษ์ที่ไม่มีทางต่อต้านได้ ปลายนิ้วสัมผัสปีกหลังสีแดงสดไล่ลงไปถึงยางหน้าเรียบสีดำสนิท เลือดในกายกรีดร้องอย่างรุนแรงว่าเขาต้องการเป็นเจ้าของมัน...อยากจะขับมัน...อยากจะขับมัน!!

“เห็นเจ้านี่แล้วรู้สึกยังไงบ้าง ไม่สิ ชั้นคงต้องขอถามนายตรงๆเลยก็แล้วกันว่า...จะเป็นนักขับสำรองให้กับพวกเราไหม? ตอบมาแค่ว่าตกลงหรือไม่ก็พอ ส่วนเรื่องที่เหลือ...เฟอร์รารี่จะจัดการให้นายเอง”   เสียงทุ้มของทีมบอสร่างสูงใหญ่เรียกให้ใบหน้าลอยๆของเขาหันกลับไปหา...เรื่องที่เหลือที่ว่านั่นหมายถึงเรื่องที่ทำให้เขาลังเลใจอยู่อย่างนั้นใช่ไหม? จะบอกว่าเฟอร์รารี่จะจัดการเรื่องของยาสึซาดะให้เขาอย่างงั้นน่ะเหรอ? ทั้งๆที่เขายังไม่ได้รับการทดสอบอะไรเลยเนี่ยนะ? ที่ถามมานั่นหมายความว่าจะรับเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมแล้วอย่างงั้นน่ะเหรอ? บอกตามตรงว่ามันเป็นคำถามที่เหลือเชื่อเกินไปสำหรับเขาเลยจริงๆ

“เอ๋? แต่ว่าไม่ต้องให้ผมขับทดสอบให้ดูก่อนเหรอ?”   ริมฝีปากสีสดจึงถามออกไปด้วยความมึนงง

“ไม่ต้องหรอก ชั้นมั่นใจว่านายขับมันได้แน่”  ทำไมล่ะ? ทำไมอีกฝ่ายถึงได้มั่นใจในตัวเขาขนาดนั้น?

“ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นผมขับเนี่ยนะ?”   ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะขับรถสูตรหนึ่งได้ไหม แต่อีกฝ่ายกลับมั่นใจและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์รารี่ ทั้งๆที่ก็น่าจะมีนักขับอีกมากมายที่น่าจะเหมาะกับตำแหน่งนี้แต่อีกฝ่ายกลับเลือกเขา ทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักอย่าง แล้วทำไมเอลวิน สมิธ ถึงกล้าที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของเขา? เพราะมั่นใจในแบ็คอัพของตัวเองจนอะไรก็ไม่กลัวแล้วหรือไง?

“โทษที พวกเราไม่มีเวลาขนาดนั้นเพราะนี่ไม่ใช่ช่วงปิดฤดูกาล แต่พรุ่งนี้เรากำลังจะเดินทางไปบาห์เรนเพื่อแข่งสนามที่ 4 ถ้านายตกลงเราก็จะให้นายฝึกขับฟอร์มูล่าวันกันจริงๆจังๆเลย”   ร่างสูงใหญ่เดินไปที่ห้องข้างๆพิตการาจ เขาจึงได้แต่เดินตามไป...มันจะไม่กะทันหันไปหน่อยเหรอ? ถึงเอลวิน สมิธจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีสายตาแหลมคมจนสามารถไปขุดเพชรอย่างรีไวกับโกคุเดระ ฮายาโตะออกมาจากสลัมในมิลาน ปั้นดวงดาวจากโคลนตม สร้างนักขับชื่อคับโลกที่มาจากแก๊งอันธพาลแข่งพนันรถพวกนั้นได้ แม้แต่มือสองอย่างสเลน คนคนนี้ก็ยังมองเห็นประกายอันคมกล้าจนยอมรบรากับผู้บริหารระดับสูงของตัวเอง...แล้วกับเขาล่ะ? อีกฝ่ายมองเห็นอะไรในตัวเขากัน? แล้วก็เห็นมันได้ยังไงในเมื่อเขายังไม่เคยขับรถให้ดูเลยสักนิด

แต่แล้วคำถามที่เฝ้าวนเวียนอยู่ในหัวของเขาก็ได้รับคำตอบแทบจะทันทีที่ร่างสูงใหญ่เปิดประตูห้องด้านข้างพิตการาจนั่นเข้าไป...มันก็ดูเหมือนจะเป็นห้องพักของลูกทีมธรรมดาๆที่มีโซฟา ตู้เครื่องดื่ม โทรทัศน์ แล้วก็เครื่องเล่นดีวีดี...แต่สิ่งที่เป็นคำตอบของคำถามของเขานั้นมันอยู่ที่....

“แล้วก็...ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเห็นนายขับหรอกนะ เพราะนายไม่ใช่นักขับหน้าใหม่ ผลงานของนายน่ะ ชั้นหามาดูได้ไม่ยากหรอก”   เขาจ้องมองกองดีวีดีด้วยดวงตาที่เบิกกว้างนั่นมัน....บันทึกการแข่งอินดี้คาร์ของเขา? แล้วกองดีวีดีที่น่าจะมีเกือบร้อยแผ่นแบบนั้นไม่น่าจะเป็นแค่บันทึกเทปที่เผยแพร่แค่ทางโทรทัศน์แน่...ดีไม่ดีอาจจะเป็นบันทึกที่ทางทีม Chip Ganassi Racing เก็บข้อมูลเอาไว้เพื่อใช้ปรับปรุงการแข่งขันก็เป็นได้

“............”    ริมฝีปากเอ่ยอะไรต่อไม่ถูกเลยเมื่อพอจะรู้แล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมั่นใจที่จะเลือกเขานัก

“โฮ่ยรีไว...ตื่นได้แล้ว”   เสียงทุ้มของเอลวิน สมิธเอ่ยเรียกบุคคลที่สามที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็น ไม่ใช่เป็นเพราะอีกฝ่ายตัวเล็กพอๆกับเขา แต่เป็นเพราะนักขับที่เป็นอันดับหนึ่งตลอดกาลซึ่งเลิกขับไปแล้วและผันตัวเองมาเป็นหนึ่งในทีมงานของเฟอร์รารี่นั้นนอนหลับยาวอยู่บนโซฟาต่างหาก...พอสิ้นสุดเสียงเรียก...ตำนานที่ยังมีชีวิตของวงการฟอร์มูล่าวันก็ลุกนั่งงัวเงียอยู่บนโซฟาทันที

อย่าบอกนะว่า รีไวกับเอลวิน สมิธนั่งศึกษาการขับของเขาผ่านวีดีโอพวกนั้นกันทั้งคืน ไม่สิ อาจจะหลายคืนแล้วด้วย...ตั้งแต่วันที่เขาเจอกับสเลนและCEOหนุ่มคนนั้น

เพราะแบบนี้สินะถึงได้มั่นใจว่าเขาจะขับเจ้ารถสีแดงนั่นได้...


“.....เจ้าเด็กเหลือขอล่ะ?”   แล้วจู่ๆใบหน้าบอกบุญไม่รับกับน้ำเสียงราวกับกำลังอารมณ์ไม่ดีก็ถามออกมาห้วนๆชวนเขางงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่รู้ว่าคุณรีไวพูดเรื่องอะไรอยู่?

“ยังทดสอบรถไม่เสร็จ สนามที่แล้วดูท่าจะโดนมาหนักเลยรถของสเลน”   แต่ก็ดูเหมือนทีมบอสร่างสูงใหญ่จะเข้าใจในสิ่งที่คุณรีไวพูด เสียงทุ้มถึงได้เอ่ยออกไปแทน

“งั้นนายจะปลุกชั้นทำไม? ถ้าเรื่องของเด็กนั่นชั้นก็ให้ผ่านไปแล้วนี่? นอนละ”   แล้วร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่แต่ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครนั่นก็ล้มตัวลงนอนต่อไปอย่างไม่สนใจแม้แต่ทีมบอสที่เป็นหัวหน้าของตัวเองเลยสักนิด

“เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจเจ้าคนไร้มารยาทนั่นเลยนะ”   เอลวิน สมิธพาเขาเดินออกมาจากห้องพักด้วยสีหน้าราบเรียบราวกับเคยชินกับมารยาทยอดแย่นั่นเป็นอย่างดี ร่างสูงใหญ่พาเขาเดินกลับเข้าไปในพิตการาจก่อนจะหยุดลงตรงหน้ารถสีเพลิงที่ยังไม่มีเจ้าของ...

“ตกลงคำตอบของนายคือ?”   เสียงทุ้มถามออกมาอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาจึงทอดมองลงไปที่เจ้ารถสีแดงคันนั้น...บางที...คำตอบของเขาสำหรับเฟอร์รารี่...อาจจะมีเพียงหนึ่งเดียวมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้...ริมฝีปากสีสดจึงเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดจะลังเลอีก

“.....ผมก็แค่กำลังหนีจากปีศาจร้าย....ถ้าเฟอร์รารี่คิดว่าจะปกป้องผมได้...ผมก็จะยอมอยู่ด้วย”

“ดี! ยินดีต้อนรับสู่พิตการาจสีแดงนะ คะชู คิโยมิตสึ”   ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้กรอบผมสีทองยิ้มให้เขาด้วยความหนักแน่น...ถ้าเป็นคนคนนี้...ถ้าเป็นทีมทีมนี้...บางที...ก็อาจจะทำให้เงาของปีศาจร้ายหายไปจากชีวิตของเขาจริงๆก็ได้

“เรียก คิโยมิตสึ ก็ได้ครับ”   ใบหน้าสวยจึงยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกเช่นกัน  ดวงตาสีฟ้าของทีมบอสจึงทอดมองไปที่ข้างตัวถังรถพลางครุ่นคิด

“ถ้างั้น...รถคันนี้จะให้เขียนข้างตัวถังว่า SF16-H KIYOMITSU เลยดีไหม?”  

“อย่าดีกว่า!   เขาเผลอตอบออกไปตามปฏิกิริยาอัตโนมัติเหมือนตอนที่ตอบทีมที่เคยอยู่มาก่อนหน้านี้...เพราะเขาไม่อยากให้ยาสึซาดะหาตัวเขาเจอ เขาจึงพยายามปกปิดตัวตนเท่าที่จะทำได้ รถทุกคันที่เขาเคยขับมาก็เช่นกัน...มันจะไม่มีชื่อของเขาอยู่บนนั้นเลย

“หื๋ม?”   เอลวิน สมิธทำหน้างงกับคำตอบของเขา เขาจึงนิ่งคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบอีกฝ่ายออกไปว่า

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป...ช่วยเขียนชื่อของมันว่า...”


SF16-H RASPBERRY...ก็แล้วกัน


มันน่าจะเหมาะกับเขามากที่สุดแล้ว...ชื่อของเจ้าผลไม้เล็กๆสีแดงรสเปรี้ยวอมหวานพวกนั้น...ราสเบอร์รี่...











ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ในเมื่อในสนามฟิโอราโน่นั้นเปิดไฟสว่างจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ตอนกลางวัน

เจ้ารถสีเพลิงวิ่งกลับเข้าสู่การาจหลังจากวิ่งจับเวลาอยู่ในสนามเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แรกๆก็ยังนับด้วยตัวเองได้อยู่หรอก แต่หลังจากที่กล้ามเนื้อทั่วร่างต้องรับภาระหนักจากความเร็วมากกว่า350กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่เช้าจรดมืด มันเลยทำให้เขาเริ่มจะรู้สึกล้าจนสองตาเริ่มจะพร่ามัว

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ร่างกายนายคงถึงขีดจำกัดแล้วละ”    เสียงทุ้มของทีมบอสดังมาจากวิทยุสื่อสาร....ก็แหงละ ในเมื่อเขาไม่ได้จับรถแข่งมาตั้งสามสี่เดือน ความฟิตของร่างกายที่จะใช้กับรถสูตรหนึ่งแบบนี้เลยมีไม่พอ แถมนี่ก็เพิ่งจะเป็นวันแรกที่เขาได้เรียนรู้การขับรถที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก แล้วทางทีมก็อัดทุกอย่างใส่เขาอย่างจริงจังขนาดนี้...สมแล้วที่เป็นทีมยักษ์ใหญ่ ไม่มีเวลาให้พักหายใจจากความกดดันอันหนักหน่วงนี้ได้เลยจริงๆ

รถสีแดงที่ข้างตัวถังยังว่างเปล่าเพราะยังติดชื่อไม่ทันจอดลงที่หน้าพิตการาจก่อนที่ลูกทีมจะกรูกันเข้ามาช่วยกันเขนมันให้เข้าไปในพิต ทีมงานที่ดูแลรถของเขาจะเป็นทีมเดียวกับที่ดูแลรถของโกคุเดระ ฮายาโตะ เพราะพวกเขาสองคนจะไม่มีวันได้ลงสนามพร้อมๆกัน แต่จะมีเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ได้ลงแข่ง...ถ้าโกคุเดระ ฮายาโตะไม่มีอาการปวดขากำเริบขึ้นมา ตำแหน่งตัวจริงก็จะยังเป็นของโกคุเดระอยู่  ก่อนที่จะเซ็นต์สัญญาเมื่อเช้า ทีมบอสร่างสูงใหญ่นั่นก็ถามเขาย้ำหลายรอบว่าพอใจกับการเป็นแค่ตัวสำรองแบบนี้ไหม เพราะไม่ต้องการให้ทีมมีปัญหาในภายหลังจึงต้องทำความเข้าใจกับเขาเสียก่อน...แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร ดีเสียอีกเพราะปีศาจร้ายจะได้มีโอกาสหาเขาเจอแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ น่าเสียดายก็แค่ไม่มีโอกาสได้แข่งกับคนที่เป็นไอดอลของตัวเองก็เท่านั้นแหละ

และเพราะว่าทีมงานของเขาจะเป็นทีมเดียวกับของโกคุเดระ เพราะงั้นวิศวกรสนามที่จะดูแลเขาก็จะเป็นคนเดียวกับที่ดูแลโกคุเดระด้วยเช่นกัน

“อ๊า~~ เวลาของนายนี่มันใช้ได้เลยจริงๆนะคิโยมิตสึ! นี่ดีพอๆกับรีไวตอนที่ทดสอบรถของเราครั้งแรกเลยนะ! อ๊า~~ ตื่นเต้นจริงๆ!”   คุณฮันซี่ หัวหน้าวิศวกรสาวหนึ่งเดียวของทีมกระโดดโล้ดเต้นอยู่ข้างๆรถพลางถือชาร์ตที่จดเวลาของเขาไปด้วย...ไม่หรอก...เขารู้ว่าตัวเองยังเอาไปเทียบกับคุณรีไวและโกคุเดระไม่ได้ หรือแม้แต่สเลนเองก็เช่นกัน...เพราะสามคนนั้นไม่เคยขับรถที่มีความเร็วระดับนี้มาก่อน ผลทดสอบครั้งแรกจะต่ำกว่าเขามันก็ไม่แปลก เขาเองต่างหากทั้งๆที่มีความคุ้นเคยกับรถที่มีความเร็วขนาดนี้มาตั้งหลายปีแต่กลับมีผลทอดสอบไม่ได้ทิ้งห่างคนอื่นๆมากนักนั่นนับว่ายังใช้ไม่ได้...

ร่างโปร่งบางลุกออกมาจากรถก่อนจะถอดหมวกกันน็อคแล้วสะบัดผมที่ชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อไปมา ภาพของตัวเองที่อยู่ในชุดนักขับสีเดียวกับธงของเฟอร์รารี่ที่สะท้อนอยู่บนเงาของตัวรถทำให้ใจเต้นด้วยความตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก...นี่เขาเป็นนักขับของม้าลำพองแล้วจริงๆสินะ...

“เก็บของแล้วกลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้ใครมาสายก็นั่งเครื่องตามไปเองก็แล้วกันนะ โดยเฉพาะเธอ ฮันซี่! กลับบ้านแล้วก็นอน! ห้ามนั่งต่อเครื่องยนต์จนเช้าเข้าใจไหม?”   นัยน์ตาสีเพลิงเหลือบมองทีมบอสที่โบกมือไล่ต้อนลูกทีมให้เก็บข้าวของ แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังลงมือทำด้วยตัวเอง ความรู้สึกที่เหมือนกำลังมองพ่อไล่ลูกๆไปนอนมันทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ขอบคุณมากนะครับที่อยู่เทรนให้ผมจนดึกเลย”   ร่างโปร่งบางอุ้มหมวกกันน็อคเดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก เจ้าพวกนี้ปกติก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าไม่ไล่ก็คงคิดจะปักหลักอยู่ที่นี่จนกลายเป็นรังไปนั่นแหละ บ้านช่องก็มีแท้ๆ ไม่อยากจะกลับกัน”   ใบหน้าสวยยิ้มรับ...ก็เพราะบรรยากาศของที่นี่มันเหมือนบ้านยังไงล่ะ จะไม่อยากไปไหนคงไม่แปลก

“อ้อ จริงด้วยคิโยมิตสึ...”   เอลวิน สมิธทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะเดินนำให้เขาเดินตามไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ล็อกเกอร์อันหนึ่งถูกเปิดออกก่อนที่ทีมบอสจะคุ้ยหาอะไรบางอย่างในกองสีแดงที่แทบจะถล่มลงมาอยู่รอมร่อ

“ดีจริงๆที่พวกนายตัวเท่าๆกัน ชั้นจะได้ไม่ต้องขออนุมัติสั่งตัดใหม่ให้เจ้าCEOปีศาจนั่นบ่นจนหูชาอีก”   ใบหน้าหล่อเหลาบ่นงึมงำในขณะที่ยังค้นหาอะไรบางอย่างต่อไป แล้วในที่สุดมือใหญ่ก็ดึงห่อพลาสติกที่บรรจุผ้าสีแดงเลือดนกออกมาสามสี่ห่อ ก่อนจะยัดมันใส่มือเขา?

“ก่อนกลับ...นี่เป็นของๆนาย ตอนเข้าไปอยู่ในสนามแข่งไม่ว่าจะวันไหน ไม่ว่าจะซ้อมหรือแข่งจริงหรือตอนที่ต้องอยู่หน้าสื่อมวลชนก็อยากจะให้ใส่ชุดของเฟอร์รารี่หรือใส่แค่เสื้อก็ยังดี เอ้านี่...นี่เป็นชุดลำลองของพวกนักขับ มีแค่นาย โกคุเดระแล้วก็สเลนเท่านั้นนะที่จะได้ใส่ชุดนี้...สองคนนั้นน่ะใส่อยู่ตลอดเลยละ ถึงแม้ว่าจะมีแค่สเลนคนเดียวก็เถอะนะที่คิดว่ามันคือความภาคภูมิใจ ส่วนเจ้าฮายาโตะน่ะไม่ได้ใส่ใจหรอก จัดอะไรให้ก็ใส่ ถ้าไม่จัดให้คงได้ใส่ชุดลายหมีมาแน่”   ใบหน้าหล่อเหลาชักสีหน้าละเหี่ยใจก็จริงแต่ก็อมยิ้มอยู่ เขาจึงก้มลงมองกองชุดยูนิฟอร์มในอ้อมแขนด้วยนัยน์ตาสั่นระริก....เมื่อก่อนน่ะ...เขาแทบจะไม่เคยทำตัวอยู่ในกฎในระเบียบของที่ไหน ขนาดโรงเรียนสมัยม.ต้น ม.ปลาย เขายังไม่เคยแต่งชุดนักเรียนถูกระเบียบเลยสักครั้ง แต่เพิ่งจะมีชุดยูนิฟอร์มที่ถืออยู่ในมือนี่แหละที่อยากจะใส่มันด้วยความภาคภูมิใจจริงๆ

สองแก้มจู่ๆก็รู้สึกร้อนผ่าว แค่วันนี้วันเดียวเขากลับรู้สึกว่ามีความสุขแทบจะเท่ากับความสุขที่สะสมมาทั้งชีวิต...แค่วันนี้วันเดียว...

และตราบใดที่ยังไม่ถึงเที่ยงคืนของวันนี้ ความสุขที่คิดว่ามากมายแล้วมันก็ยังมีมาเพิ่มอีกไม่หยุด...


ตึกๆๆๆ


ทั้งเขาทั้งบอสต่างหันหน้าออกไปมองที่ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายตรงรี่มาทางนี้ อาจจะเป็นเพราะรอบกายมืดสนิทและไม่มีใครอยู่แล้วเขาถึงได้ยินเสียงฝีเท้าคู่นั้นได้อย่างชัดเจน แต่แล้วจากที่คิดว่าคงเป็นลูกทีมสักคนที่ลืมของแล้วรีบวิ่งกลับมาเอา นัยน์ตาของเขากลับต้องเบิกกว้างเมื่อใบหน้าที่มองเห็นนั้นเป็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย

“คิโยมิตสึ!   เขาแทบจะหยุดหายใจด้วยความลืมตัวเพราะไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับอีกฝ่ายที่นี่...ทั้งเสียงที่เรียกชื่อของเขา ทั้งร่างกายสูงใหญ่ ทั้งไหล่ที่มีไว้ให้เขาพักพิง ทั้งใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเครา ทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้เขาเสมอ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดวงตาของเขามองเห็นนั้นมันชวนให้คิดถึงจนน้ำตาคลอ

“..................นากาโซเนะ...ซัง?”   เขาเรียกอีกฝ่ายออกไปด้วยเสียงลอยๆ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดีจริงๆที่วิ่งมาทัน...ไม่งั้นกว่าจะได้เจอกันคงต้องอาทิตย์หน้าเลย”    มือใหญ่ๆจับลงมาที่ไหล่ของเขาอย่างคุ้นเคย มันเป็นมือที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่ตลอด...เป็นมือที่คอยซุกซ่อนเขาจากปีศาจร้ายมาก็หลายครั้ง...รวมทั้งคนคนนี้ยังเป็นคนที่พาเขาหนีออกนอกญี่ปุ่นและฝากฝังเขาไว้กับทีมแข่งรถอินดี้คาร์ที่อเมริกาด้วย

“นากาโซเนะซังจริงๆด้วย!”   ริมฝีปากสีสดตะโกนออกไปด้วยความดีใจก่อนจะโผกอดอีกฝ่ายตามความเคยชิน เขาสนิทกับนากาโซเนะซังตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ม.ต้นส่วนอีกฝ่ายกำลังจะจบม.ปลาย...ทั้งๆที่ตอนนั้นออกจะเถื่อนอย่างกับพวกอันธพาลแท้ๆแต่กลับเติบโตมาเป็นผู้เป็นคนได้ขนาดนี้นะนากาโซเนะซัง

“นานแล้วจริงๆที่ไม่ได้เจอคุณเลย”   เขาละออกมาก่อนจะมองใบหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันนั่นเลย....สองปีกว่าแล้วสินะ...ตั้งแต่ที่นากาโซเนะซังทิ้งเขาไว้ที่อเมริกาตามลำพัง

“แล้ว! คุณมาทำอะไรที่นี่น่ะ?”   เขาเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่ความรู้สึกหลากหลายจะเอ่อล้นขึ้นมา ในเมื่อนากาโซเนะซังอยากจะเล่นบทพี่ชายที่แสนดีให้เขา เขาก็ไม่คิดจะร้องขออะไรไปมากกว่านั้น...ในเมื่อพวกเรา...ต่างก็มีพันธะอื่นอยู่ด้วยกันทั้งคู่...

“ถูกซื้อตัวมาน่ะ...เป็นวิศวกรอยู่ที่นี่แหละ”   ใบหน้าคมตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

“จริงดิ.....”    ทั้งๆที่ไม่คิดว่าจะได้อยู่ด้วยกันอีกแล้วแต่โชคชะตากลับยังพาพวกเขามาเจอกันอีกจนได้...ฟ้ากำลังจะเล่นตลกอะไรกับเขาอีกหรือเปล่านะ?...เพราะจะว่าไปสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยาสึซาดะกลายเป็นปีศาจร้าย...ก็อาจจะมาจากนากาโซเนะซังนี่แหละ...

“อื้อ ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วแล้วละ แต่ไม่ได้เป็นวิศวกรสนาม ชั้นอยู่ส่วนพัฒนาเครื่องยนต์ เลยอยู่ในแล็ปกับที่โรงงานเป็นหลัก วันนี้ก็มาเพื่อเปลี่ยนเกียร์บ็อกและทดสอบรถของสเลน”    อ๋อ...รถอีกคันก็ทดสอบอยู่นี่เอง เขาถึงได้ไม่เห็นสเลน ทรอยยาร์ดเลย

“เหนื่อยจัง~~ อ๊ะ! คุณเอลวิน! คุณรีไวล่ะครับ?”   พูดถึงก็มาเลย...สเลน ทรอยยาร์ดเดินคู่มากับวิศวกรประจำรถของตัวเอง...เอเลน เยเกอร์...คนคนนี้เขาก็ได้เห็น แล้วก็ได้ยินเรื่องราวผ่านข่าวต่างๆอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เรียกว่าชื่อดังตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เป็นวิศวกรของที่นี่ด้วยซ้ำ

“นอนหลับน้ำลายยืดรอนายอยู่ที่ห้องพักนู่น”    บอสเอ่ยตอบเอเลน เยเกอร์หลังจากที่ยืนฟังเขาคุยกับนากาโซเนะซังอยู่นาน

“ห๋า? น่าเกลียดจริงๆเลยตาลุงนั่น ผมขอตัวไปดูก่อนนะครับ อ๊ะเดี๋ยว! นาย! นักขับใหม่ที่สเลนเล่าให้ฟังสินะ! ยินดีที่ได้รู้จักนะ! ชั้นเอเลน เยเกอร์ ไว้ค่อยคุยกัน!”   แล้วร่างโปร่งบางนั่นก็วิ่งแจ้นจากไปโดยไม่รอฟังคำทักทายของเขาสักนิด....

“เจ้าลูกหมานั่นก็งี้แหละ...ติดเจ้าของ...อย่าไปใส่ใจเลย”   ทีมบอสร่างสูงใหญ่ยักไหล่บอกกับเขา...เจ้าของนี่หมายถึงคุณรีไวสินะ?

“เจอกันอีกจนได้นะครับ ยินดีที่ได้ร่วมงานอย่างเป็นทางการครับ”   สเลน ทรอยยาร์ดยิ้มอ่อนโยนมาให้พร้อมกับมือบางๆที่ยื่นออกมาตรงหน้า เขายื่นมือไปจับอีกฝ่ายหลวมๆก่อนจะส่งยิ้มกลับไป จะว่าไปถ้าสเลนไม่เอาเรื่องของเขามาเล่าให้เอลวิน สมิธฟัง ป่านนี้เขาคงจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

“สเลนมาก็ดีเลย ชั้นมีรายงานจะฝากให้ครูเทโอหน่อย ส่วนคิโยมิตสึ....อือ...ฝากนายไปส่งทีสิ อยู่ไม่ไกลจากนี่หรอก”   มือใหญ่ๆของบอสตบไปที่ไหล่ของนากาโซเนะซังอย่างเป็นกันเอง ใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยหนวดเคราก็พยักรับง่ายๆ

“...สงสัยคงต้องเขียนรายงานบอกเจ้าครูเทโอเรื่องรถของนายด้วย ไม่มีรถไปไหนมาไหนมันลำบากใช่ไหมล่ะ?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองหันมามองเขาทำให้รู้ว่าบทสนทนานั้นมันเป็นเรื่องของเขา?

“...?...ครับ?”   รถอะไร? หมายถึงรถส่วนตัวของเขาน่ะเหรอ? เป็นนักขับนี่ต้องดูแลกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? ตอนอยู่ที่อเมริกาเขาก็ซื้อของเขาเองอยู่หรอกนะ แต่เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ที่อิตาลีนี่นานแค่ไหนในตอนแรกก็เลยไม่ได้คิดจะซื้อไว้

ทีมบอสร่างสูงใหญ่กับสเลนเดินจากไป ตรงนี้จึงเหลือเขากับนากาโซเนะซังตามลำพัง

“กลับกันเถอะ เดี๋ยวชั้นไปส่ง”   มือใหญ่ดึงซองใส่ชุดยูนิฟอร์มที่เขาหอบอยู่ไปถือไว้เสียเองก่อนจะก้าวขาออกเดินนำหน้า นัยน์ตาสีเพลิงทอดมองแผ่นหลังกว้างๆนั่นพลางยิ้มบางๆ...ยังคงแสนดีและเอาใจใส่เขาอยู่เสมอเลยนะ...จะเผลอหลงรักก็คงไม่แปลก

เพียงแต่...ความใกล้ชิดสนิทสนมของเขากับนากาโซเนะซังไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของตัณหาราคะ มันอาจจะมากกว่าเพื่อนมากกว่าพี่น้องเพราะเราผ่านอะไรด้วยกันมาหลายอย่าง ชอบอะไรเหมือนๆกัน คุยกันถูกคอ เคยหัวเราะ เคยพึ่งพา เคยผลัดกันยืมไหล่ เคยแม้แต่ร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็น...เขากล้าพูดว่ามันคือความรัก แต่มันเป็นความรักที่ปราศจากความต้องการ ไม่มีความรู้สึกหึงหวง ไม่ได้อยากจะครอบครอง ไม่ได้อยากจะได้มาเป็นของของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างมีแต่ความหวังดีให้กัน...เพราะแบบนั้นระหว่างเขากับนากาโซะเนะซังจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคบกันแบบแฟน

ถึงจะยิ้มให้กัน ถึงจะกอดกัน แต่มันไม่เคยมีความรู้สึกว่าอยากจะนอนด้วยอยู่เลย...


“คิโยมิตสึ?”   ร่างสูงใหญ่หันกลับมาเรียกเขาด้วยสีหน้าสงสัย เขาจึงได้แต่สะบัดหน้าไปมาก่อนจะอมยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์นิดๆแล้วก้าวขาเดินตามไป

“หน้าแบบนี้ กำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่ล่ะสิ?”   มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้หอบของยกขึ้นมาขยี้หัวเขาในขณะที่เอ่ยแซว 

“เปล่าซักหน่อย~ แค่กำลังคิดว่า หิวจังเลยน้า~ ถ้ามีคนเลี้ยงข้าวก็คงดี~~”   ร่างโปร่งบางขยับเข้าไปอ้อนเหมือนแมวซึ่งมักจะเป็นแบบนี้ประจำระหว่างเขากับนากาโซเนะซัง...ถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้คิดอะไร...เพียงแต่...มันก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจ...

“หึๆ แผนร้ายจริงๆด้วย แต่วันนี้คงไม่ได้หรอก ไว้คราวหน้าแล้วกัน”   ใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยเครายกยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะปฏิเสธตรงๆ

“เห๋~ มีคนรอกินข้าวเย็นอยู่สินะ? นา-กา-โซ-เนะ-ซัง~   แขนบางขยับไปไพล่หลังก่อนจะจ้องหน้าร่างสูงใหญ่แล้วคาดคั้นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ แต่แทนที่นากาโซเนะซังจะตอบกลับมาด้วยท่าทางอายๆ อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าอึกอัก

“ก็ประมาณนั้น....อ่า...แต่ไม่ใช่สาวสวยที่ไหนอย่างที่นายกำลังคิดหรอกนะ....เรื่องคราวนั้นทำเอาชั้นไม่อยากมีแฟนอีกเลย”   เรื่องคราวนั้นที่ว่านั่นมัน....

“........”   ร่างโปร่งบางได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนจะมองตามแผ่นหลังที่ดูโดดเดี่ยวนั่นไป...แปลว่าตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอีกเลยงั้นสินะ?...เขาที่อยู่ข้างๆนากาโซเนะซังมาตลอดแม้แต่ในเวลาที่ย่ำแย่อย่างในวันนั้นทำให้เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดขนาดไหน จะไม่กล้ารักใครอีกมันก็คงไม่แปลกอะไร

“นี่รถชั้น ขึ้นไปสิ”   เสียงทุ้มเอ่ยบอกทำให้ใบหน้าสวยหลุดออกจากภวังค์ เขาหันไปมองรถแทนที่จะแสดงความเห็นใจเพราะอีกฝ่ายคงกำลังพยายามที่จะลืมเลือนมันอยู่ เขาไม่ควรจะไปขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก

“เห๋~ เดี๋ยวนี้ไม่ขับรถสัญชาติญี่ปุ่นแล้วเหรอ?”   ใบหน้าสวยเอ่ยแซวเมื่อนัยน์ตาสีเพลิงแลเห็นรถที่จอดอยู่ตรงหน้า...เจ้ารถสีเทาเข้มนั่นคือฟอร์ด มัสแตง ปี 2015

“.....ฮาจิสึกะ.....ไม่ยอมให้ชั้นทำให้ภาพพจน์เค้าเสียหาย เลยเอาเจ้าแก่ของชั้นไปทิ้งแล้วบังคับให้ใช้รถนี่แทนน่ะ”   ....อ่า...ฮาจิสึกะ โคเท็ตสึ อีกแล้วสินะ? ถ้าในโลกนี้จะมีคนที่เลวร้ายพอๆกับยาสึซาดะ เขาก็อยากจะยกตำแหน่งให้กับคนคนนี้นี่แหละ!

“หื๋ม~~   นัยน์ตาสีเพลิงไล่มองเจ้ารถสีเทาเข้มอย่างพินิจพิจารณา ถึงเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับ ฮาจิสึกะ โคเท็ตสึ เท่าไหร่แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอนั่นรสนิยมดีจริงๆ รถคันนี้เองก็เลือกมาให้ได้เหมาะกับนากาโซเนะซังอย่างไม่มีที่ติ

“ขึ้นรถเถอะน่า”   ใบหน้าคมตัดบทราวกับไม่ค่อยอยากพูดถึงฮาจิสึกะเท่าไหร่ กลัวเขาจะวีนใส่ละสิ? นากาโซเนะซังก็เป็นแบบนี้ตลอด จะยอมหมอนั่นไปถึงไหน ถึงจะเป็นเพราะไม่มีทางเลือกก็เถอะแต่ก็ไม่เห็นจะต้องยอมยกให้ทุกอย่างแม้แต่อนาคตของตัวเองแบบนี้เลย! เรื่องแฟนคนก่อนนั่นก็ด้วย!

ร่างโปร่งบางก้าวขาเข้าไปนั่งบนเบาะข้างคนขับก่อนที่ Ford Mustang จะค่อยๆแล่นออกจากลานจอดรถช้าๆ สองข้างทางมืดสลัวมีเพียงแสงไฟหน้ารถที่สาดส่องตามลำพังอยู่บนถนนที่ว่างเปล่า

“แล้วตกลงว่า ไปไงมาไงนากาโซเนะซังถึงได้มาลงเอยอยู่ที่เฟอร์รารี่นี่ได้ล่ะ? ทิ้งผมมาจากอเมริกาแท้ๆ~   ริมฝีปากสีสดเปิดบทสนทนาใหม่ด้วยน้ำเสียงเง้างอดตามประสาคนขี้อ้อน

“ก็พอ Chip Ganassi Racing เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ Honda ไปเป็น Chevrolet วิศวกรอย่างพวกชั้นก็ถูกเรียกตัวกลับญี่ปุ่นตามที่บอกนายไปนั่นแหละคิโยมิตสึ แต่พอกลับถึงญี่ปุ่นก็ปรากฏว่าทาง แม็คลาเล็น หนึ่งในทีมแข่งฟอร์มูล่าวันต้องการให้ฮอนด้าผลิตเครื่องยนต์ฟอร์มูล่าวันให้ ชั้นก็เลยได้อยู่ในทีมพัฒนาเครื่องยนต์ตัวนี้ต่อ...จนกระทั่งเมื่อปีก่อนถูกเฟอร์รารี่ทาบทามให้มาอยู่ด้วย...ตอนนั้นชั้นก็ไม่ได้คิดจะย้ายหรอกนะ...แต่ว่าก็มีเรื่องของที่บ้านด้วย...เลยต้องย้ายมาอยู่ที่อิตาลี”   เรื่องของที่บ้าน?...อ่า...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะใคร คนที่บงการชีวิตนากาโซเนะซังได้อย่างเลวร้ายสุดๆก็คงมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ...ฮาจิสึกะ

“......เรื่องของน้องชายคุณอีกแล้วสินะ....อา~ ยังเป็นที่หนึ่งจนน่าอิจฉาเหมือนเดิมเลยน้า~   แผ่นหลังโปร่งบางเอนพิงเบาะก่อนจะพูดประชดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หร่ะ

“นายก็รู้ว่าชั้นไม่ได้..........ช่างเถอะ...แล้วนายล่ะคิโยมิตสึ เก่งเหมือนกันนี่ที่ถูกเฟอร์รารี่หมายตาเข้าจนได้”   นากาโซเนะซังตัดบทหนีจากเรื่องของตัวเองไปอีกจนได้ก่อนจะเหลือบตามามองเขาด้วยแววชื่นชม

“หึ...ก็แค่หนีมาเหมือนเดิมนั่นแหละครับ~   แต่ริมฝีปากสีสดก็เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันตัวเอง

“นี่หมอนั่นยังไม่เลิกรังควาญนายอีกงั้นเหรอ?........ทั้งๆที่รักนายมากแท้ๆ”   ประโยคสุดท้ายหายไปกับเสียงแตรรถที่วิ่งสวนมา ทำให้ใบหน้าสวยหันไปมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย

“หื๋อ?”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แต่ชั้นว่านายไม่ต้องกังวลกับเรื่องของหมอนั่นแล้วละ เพราะเฟอร์รารี่อันที่จริงก็มีมาเฟียคอยดูแลอยู่ แถมเป็นมาเฟียอันดับหนึ่งของอิตาลีเสียด้วยนะ คนของบ้านนายน่ะมาทำอะไรที่นี่ไม่ได้ง่ายๆแน่”   ใบหน้าคมเอ่ยออกมาโดยสายตายังมองอยู่ที่ถนน

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างงั้น...แต่นากาโซเนะซังก็รู้จักยาสึซาดะดี...หมอนั่นน่ะ...จะไม่หยุดจนกว่าไม่ลมหายใจของผมก็ของหมอนั่นจะหมดกันไปข้าง”   เพราะนากาโซเนะซังเองก็เคยโดนพิษสงของหมอนั่นเล่นงานอยู่เหมือนกัน ก็ยังดีที่ตระกูลโคเท็ตสึไม่ใช่ตระกูลกระจอกๆเลยพอจะคุ้มหัวพี่ชายคนนี้ของเขาเอาไว้ได้

“อ่า...มันก็....นะ.......”   ใบหน้าคมหัวเราะแห้งๆก่อนจะยกมือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัยรถขึ้นมาเกาแก้ม

“อพาทต์เม้นต์ข้างหน้านั่นแหละ”   ปลายนิ้วที่ทาเล็บด้วยสีแดงชี้ไปที่อพาทต์เม้นต์สไตล์อิตาเลี่ยนข้างหน้า

“เฮ้ๆ นี่มันอยู่ตรงข้ามตึกของพวกวองโกเล่เลยนี่ อย่างงี้นายปลอดภัยชัวร์!   นากาโซเนะซังหันมาบอกด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น

“วองโกเล่?”   แน่นอนว่าเขาได้แต่งงเพราะเพิ่งจะมาอยู่ที่อิตาลีได้ไม่นาน ชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นเขาไม่รู้จักเลยสักนิด

“ก็ตึกสีอิฐนั่นไง...เท่าที่ชั้นรู้ ตึกนั่นเป็นของพวกหน่วยพิรุณของวองโกเล่ มาเฟียที่ชั้นบอกนายไงว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเฟอร์รารี่ เพราะว่าหัวหน้าหน่วยพิรุณนั่นเป็นแฟนของโกคุเดระ ฮายาโตะ แล้วก็เป็นคนญี่ปุ่นเหมือนพวกเราด้วย”   คำอธิบายของร่างสูงใหญ่ไขข้อสงสัยของเขาไปได้หลายเรื่องเลยทีเดียว

“เห๋~~ งั้นเมื่อเช้าโกคุเดระก็มาที่ตึกนั่นเองสินะ?”   ว่าแต่ในตึกนั่นเลี้ยงหมีเอาไว้ด้วยเหรอ? สมกับเป็นพวกมาเฟีย ชอบเลี้ยงอะไรแปลกๆ อันตรายๆ?

“ส่งแค่นี้ก็พอแล้วละ ขอบคุณมากนะนากาโซเนะซัง~ แล้วเจอกันพรุ่งนี้~   ร่างสูงใหญ่โบกมือให้อยู่ข้างในรถก่อนที่ Ford Mustang จะวิ่งหายไปบนถนนที่มืดสลัว

ร่างโปร่งบางเดินตัวปลิวขึ้นห้องด้วยหัวใจที่พองโต แสงสว่างกระพริบติดขึ้นมาเมื่อสองขาก้าวเข้าไปในห้อง แล้วในขณะที่มือบางกำลังปิดม่านที่หน้าต่าง นัยน์ตาสีเพลิงก็เหลือบมองไปที่ตึกสีอิฐที่อยู่เยื้องๆกันก่อนจะอมยิ้ม เพิ่งรู้สึกว่าปลอดภัยหลังจากที่หนีมาอยู่ต่างแดนเสียหลายปีก็วันนี้เอง

ได้แต่หวังว่า...ค่ำคืนที่ต้องฝันร้าย มันจะหายไปจากเขาเสียทีนะ...










ฟอร์ด มัสแตงปี 2015 แล่นเข้าไปในเขตรั้วบ้านหลังขนาดกลางที่อาจจะไม่ได้หรูหรามากนักถ้าเทียบกับบ้านใหญ่ในญี่ปุ่น...แต่พอคิดว่ามันเป็นแค่บ้านพักหลังหนึ่งของตระกูลโคเท็ตสึแล้ว ใบหน้าคมก็ได้แต่ยิ้มฝืดๆเพราะดูยังไงบ้านหลังนี้ก็ใหญ่เกินกว่าจะเป็นแค่บ้านพักตากอากาศธรรมดาๆ

ร่างสูงใหญ่เดินลอดผ่านโถงที่จอดรถก่อนจะเข้าไปในตัวบ้านที่เปิดไฟไว้สลัวๆ บอกตามตรงว่าการตกแต่งบ้านสไตล์เรเนซองส์ที่ฝาผนังเต็มไปด้วยวอลเปเปอร์ลายพร้อยกับภาพเขียนฝีมือจิตรกรเลื่องชื่อแถมเครื่องเรือนไม้สีเข้มบุหนังอย่างดีแลดูชั้นสูงพวกนี้มันไม่ได้เข้ากับเขาเลยสักนิด...แต่กับร่างเพรียวระหงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาซึ่งตอนนี้กำลังส่งสายตาจิกกัดมาที่เขานั่นคงต้องบอกว่าเข้ากันกับบ้านหลังนี้สุดๆ

ฮาจิสึกะ โคเท็ตสึ....มีศักดิ์เป็นน้องชายของเขา....

“ไปไหนมา? บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าจะกลับดึกให้โทรมาบอกก่อน มารยาทแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ อย่างนายไม่มีทางเป็นคนตระกูลโคเท็ตสึของเราได้หรอก”   น้ำเสียงหยิ่งๆเอ่ยออกมาจากใบหน้าเชิดๆที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมยาวถึงกลางหลัง...เอาอีกแล้ว...เจอหน้าเขาเป็นได้แขวะอยู่ตลอดทั้งๆที่นี่ก็เกินเวลาที่เขากลับบ้านตามปกติมาแค่ชั่วโมงเดียว

“....พอดีรถมันโดนมาหนักกว่าที่คิด เลยกว่าจะซ่อมกว่าจะทดสอบเสร็จก็ดึกเลย แล้วไง? นี่ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? ไปกินข้าวกันเถอะน่า ชั้นเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขี้เกียจรบรากับนายอีก”   มือใหญ่ดันแผ่นหลังบางให้เดินเข้าไปในห้องทานอาหารที่จานทุกใบถูกฝาครอบสแตนเลสอย่างดีปิดเอาไว้ และเมื่อสาวใช้เห็นพวกเขาเดินเข้าไป มือในถุงมือสีขาวก็จัดโต๊ะจนพร้อมภายในไม่กี่วินาที

“อย่าเอามือเหม็นกลิ่นน้ำมันนั่นมาโดนตัวชั้น แล้วชั้นก็ไม่ได้รอด้วย อย่าสำคัญตัวผิด”   ใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยเครายิ้มหน่ายๆให้กับความหยิ่งยโสและเจ้ายศเจ้าอย่างของคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายซึ่งสะบัดกายนั่งลงไปที่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารยาว

“........”    ไม่มีบทสนทนาใดๆระหว่างมื้ออาหารและมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว...นัยน์ตาสีทองเหลือบมองใบหน้ายโสที่กำลังตักอาหารเข้าปากด้วยเสียงที่เงียบกริบตามมารยาท “ผู้ดี” ที่อีกฝ่ายมักจะพูดติดปาก

เขากับฮาจิสึกะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆหรอก ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีสายเลือดเดียวกันเลยถึงจะถูก...เพราะว่าแม่ของเขาแต่งงานใหม่กับพ่อของฮาจิสึกะและเราก็เป็นลูกติดด้วยกันทั้งคู่...แม่กับเขาถูกรับเข้าไปอยู่ในตระกูลโคเท็ตสึในฐานะสมาชิกใหม่ แต่มันก็ไม่ง่ายนักหรอกสำหรับครอบครัวที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสูงมีหน้ามีตาในสังคมแบบนั้น  ความกดดันหลายๆอย่างมันเลยตกมาอยู่ที่เขา...คนที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลที่เก่าแก่นั่นเลย

หลายๆอย่างเขาก็จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพื่อให้แม่ไม่ต้องลำบากใจและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในบ้านหลังนั้นได้...การที่ต้องย้ายออกจากญี่ปุ่นมาอยู่ที่อิตาลีนี่ก็เช่นกัน...มันเป็นคำสั่งของบ้านใหญ่ให้เขาตามมาดูแล ปกป้อง คุ้มครองฮาจิสึกะที่มาเรียนด้านดีไซน์ที่นี่

นัยน์ตาสีทองเหลือบมองใบหน้ายโสที่ไม่รู้จะพูดว่าหล่อหรือสวยดี...กับสายเลือดแท้ของตระกูลโคเท็ตสึอย่างหมอนี่...เขาก็ไม่ได้ญาติดีกันนักหรอก...เพราะฮาจิสึกะไม่เคยยอมรับเขา ไม่ว่าจะในฐานะพี่ชายหรือคนของตระกูลคนหนึ่ง...ซึ่งเขาก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ฮาจิสึกะไม่ปฏิเสธพวกผู้ใหญ่ตอนที่พวกนั้นจะให้เขาตามมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อน

ทั้งๆที่เกลียดเขาซะขนาดนั้น...

“คิดจะกินอีกกี่ชั่วโมง...ชั้นยังมีงานต้องไปทำส่งอาจารย์นะ”   เสียงไม่พอใจเอ่ยออกมาเมื่อใบหน้าภายใต้กรอบผมสีม่วงยาวถึงกลางหลังนั่นเงยขึ้นจากจานอาหารของตัวเองแล้วพบว่าอาหารของเขามันยังไม่พร่องลงไปเท่าไหร่ แย่ละสิ มัวแต่คิดเรื่องของอีกฝ่ายจนลืมตักอาหารเข้าปากซะนี่

“ครับๆ”   เขาตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจและมันก็ทำให้ใบหน้าราวกับภาพวาดนั่นงอหงิกได้ไม่ยาก แต่กระนั้นร่างระหงก็ยังคงนั่งกินอาหารต่อไปเพราะการส่งเสียงดังบนโต๊ะอาหารนั้นถือว่าเสียมารยาทเช่นเดียวกับการที่จะลุกออกไปก่อนที่ทุกคนบนโต๊ะจะกินเสร็จ...เพราะแบบนั้นแหละ ต่อให้เขาจะกินช้าเป็นเต่า อีกฝ่ายก็จะนั่งรอไม่ลุกไปไหน

“หึ...”   เขาลอบยิ้มโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ดูไปดูมาไอ้นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างนั่นมันก็ตลกดีนี่นา แถมเขายังแอบเอาคืนได้ด้วย มือใหญ่จึงค่อยๆตักอาหารเข้าปากอย่างเชื่องช้าเพื่อถ่วงเวลาให้คนที่ทำหน้าหงิกลุกไปไหนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแหละ

จะมีใครเป็นเหมือนเขาบ้างไหมนะ? เพราะที่จริงแล้วเขาเองน่ะ โดนฮาจิสึกะทำพิษใส่เอาไว้ไม่ใช่น้อย....เขาเคยฝันว่าอยากมีอู่ซ่อมรถเล็กๆเป็นของตัวเองก็แค่นั้น แล้วเขาก็รับสืบทอดมันมาจากพ่อแท้ๆของเขาได้สำเร็จ แต่พอเข้าตระกูลโคเท็ตสึมาก็ถูกสั่งให้ปิดมันไปซะเพราะว่ามันเป็นงานที่ “ไม่สมเกียรติ” ของโคเท็ตสึ เขาจึงทำได้แค่กัดฟันเปลี่ยนเส้นทางในอนาคตของตัวเองไปเรียนวิศวกรรมแล้วกลายมาเป็นวิศวกรเครื่องยนต์เพราะมันคงเป็นสิ่งเดียวที่จะเชื่อมโยงเขากับโลกของรถและความเร็วเอาไว้ได้โดยไม่ “เสียเกียรติ” ของโคเท็ตสึ....นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายต่อหลายเรื่องที่เขาจำต้องฝืนใจทำตามคำสั่งของบ้านใหญ่ และทุกครั้งคนที่อยู่เบื้องหลัง คอยเอาเรื่องของเขาไปบอกพวกผู้ใหญ่...ก็คือฮาจิสึกะ....เขาเคยถูกบังคับให้เลิกกับแฟนที่รักและตั้งใจจะแต่งงานกัน....ก็เพราะฮาจิสึกะ....

ทั้งๆที่ควรจะเกลียดเด็กนั่นเข้าไส้ แต่กลับไม่อาจหนีไปไหนได้...ก็แค่รู้สึกว่าต่อต้านไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้แม่ของเขา แถมเอาเข้าจริง เวลาที่เขาเดือดร้อนขึ้นมา ตระกูลโคเท็ตสึก็ช่วยคุ้มกะลาหัวเขาได้อยู่...มันก็คงเพราะแบบนั้นแหละที่ทำให้เขายังอยู่ใกล้ๆกับคนที่บงการชีวิตเขาอย่างเจ้าเด็กตรงหน้านี่ไหว















ร่างสูงใหญ่ของยามาโมโตะ ทาเคชิยกดาบขึ้นพาดไหล่ก่อนจะเดินด้วยท่าทางสบายๆไปตามถนนที่สวยงามเส้นหนึ่งในย่านชานเมืองของโตเกียว

ก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะได้กลับมาเร็วขนาดนี้ แต่พอดีมี “ธุระของวองโกเล่” ต้องมาทำที่ญี่ปุ่นพอดี เลยว่าจะแวะมาทักทายเด็กนั่นเสียหน่อย

ผู้พิทักษ์แห่งสายฝนของวองโกเล่รุ่นที่สิบหยุดยืนอยู่หน้าบ้านแบบญี่ปุ่นหลังใหญ่ ใบหน้าคมยิ้มแห้งก่อนจะไล่สายตามองรั้วสีขาวยาวเหยียดที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่โตขนาดไหน ก่อนที่นัยน์ตาสีเปลือกไม้จะมาหยุดลงที่แผ่นป้ายชื่อตระกูลที่เขียนเอาไว้ว่า  “คะชู”


ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ...อยู่ที่นี่สินะ?...


ถึงจะติดใจเรื่องชื่ออยู่บ้างแต่ตระกูลใหญ่ขนาดนี้ก็คงจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังซับซ้อนอะไรหลายๆอย่างนั่นแหละ?

อ่า...ถ้าเด็กนั่นเป็นเจ้าบ้านรุ่นต่อไปของตระกูลผู้มีอิทธิพลที่โด่งดังในแถบนี้ตามที่วองโกเล่สืบมาได้...เขาก็คงต้องเตรียมใจที่จะโดนปฏิเสธเอาไว้บ้างละนะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ...เพชฌฆาตมันไม่ได้หากันง่ายๆนี่นา~


ร่างสูงใหญ่เดินอาดๆเข้าไปในบ้านก่อนจะแจ้งว่ามาขอพบเจ้าบ้านรุ่นต่อไป ด้วยกลิ่นไออันตรายที่คนประเภทเดียวกันถึงจะรู้กันดีทำให้เขาไม่ถูกไล่ตะเพิดออกมา แล้วหลังจากนั่งรออยู่ในห้องรับรองได้ไม่นาน...เด็กหนุ่มหน้าหวานที่เขาจำได้ดีก็เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าเขา

“สวัสดีครับ มีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ?”   เด็กหนุ่มทักทายด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อย ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นก็ปกปิดความอำมหิตได้อย่างมิดชิด...อ่า...แบบนี้ยิ่งอยากจะได้ตัวไปช่วยงานเขาจริงๆ ทำยังไงดีน้า~

“จำนี่ได้ไหม?”   มือใหญ่วางชิงุเระคินโทคิ ดาบคู่ใจลงไปที่พื้นเสื่อทาทามิตรงหน้า และมันก็ทำให้นัยน์ตาสีน้ำเงินชะงักไปเล็กน้อย...คราวนี้รอยยิ้มเย็นๆกลับฉายขึ้นมาบนใบหน้าหวานๆนั่นแทน...อ่า...แบบนี้อาจจะคุยกันง่ายหน่อย

“คุณ...คนที่ให้ผมยืมดาบในคืนนั้นนั่นเอง....ขอบคุณครับ...และ....ต้องการอะไรจากผมก็บอกมาตรงๆเลย”

“ชั้น ยามาโมโตะ ทาเคชิ เป็นผู้พิทักษ์แห่งพิรุณของวองโกเล่รุ่นที่สิบ...มาเฟียที่อยู่ในอิตาลี...สิ่งที่ต้องการจากนายก็คือ...อยากให้ช่วยเป็นเพชฌฆาตคนต่อไปให้หน่อย”   ถ้าคนทั่วไปได้ฟังประโยคนี้คงลงไปขำกลิ้งและคงหาว่าเขาบ้าไปแล้วที่จู่ๆก็มาเดินเคาะประตูตามบ้านแล้วถามว่า จะไปฆ่าคนกับชั้นไหม? แต่ร่างที่อยู่ในชุดฮากามะตรงหน้ากลับยังสงบนิ่ง

“เห๋....”   เสียงที่ลากยาวกับนัยน์ตาสีน้ำเงินที่มองตรงมายังเขาด้วยแววมืดมนนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ เข้าใจว่างานที่เขาอยากให้ทำคืออะไร...และอีกฝ่ายน่าจะเคยฆ่าคนมาแล้ว แววตาสีน้ำเงินคู่นั้นมันถึงนิ่งได้ขนาดนั้น

“พันธะที่นายจะมีต่อวองโกเล่ก็แค่ในช่วงเวลาที่วองโกเล่รุ่นที่สิบยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าวองโกเล่เปลี่ยนผู้นำ ผู้พิทักษ์ก็จะถูกเลือกขึ้นมาใหม่ ทั้งชั้นทั้งนายก็จะถูกปลดระวาง...แต่หากนายยังสนุกกับงานของวองโกเล่อยู่ จะทำต่อก็ย่อมได้”

“..............”    ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลที่ถูกมัดรวบเอาไว้กำลังครุ่นคิดอย่างชั่งใจ คำว่าเพชฌฆาตอาจจะหอมหวนยวนใจสำหรับเด็กหนุ่ม แต่หน้าที่ต่อบ้านหลังนี้ที่เด็กหนุ่มต้องรับผิดชอบก็อาจจะทำให้เขาถูกปฏิเสธได้ไม่ยาก...นอกเสียจากจะมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมากจนทำให้เด็กหนุ่มทิ้งทุกอย่างเพื่อมันไปได้อย่างง่ายดาย

“ผมไม่ได้สนใจงานของวองโกเล่หรอกนะครับ...แต่ว่า.......วองโกเล่เนี่ย...เป็นมาเฟียอันดับที่เท่าไหร่ในอิตาลีเหรอครับ?”   แต่แล้วคำถามแรกที่ออกมาจากใบหน้าหวานก็ทำให้ร่างสูงใหญ่ถึงกลับแปลกใจ ทำไมถึงอยากรู้เรื่องแบบนั้นกันล่ะ? ฮะฮะ

“ก็ไม่ได้อยากจะยกหางตัวเองหรอกนะ แต่ว่าวองโกเล่คือมาเฟียอันดับหนึ่งของอิตาลี”   และเมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้น รอมยิ้มเย็นๆก็ปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มทันที

“ผมกำลังตามล่าเจ้าเหมียวนิสัยไม่ดีที่หนีผมไป...ถ้าวองโกเล่คิดว่าจะช่วยผมตามล่ามันได้ ผมจะยอมเป็นเพชฌฆาตคนต่อไปให้ก็ได้”   แล้วคำตอบที่ทำเอาคาดไม่ถึงก็ทำให้มือสังหารอันดับหนึ่งของวองโกเล่ถึงกับยิ้มที่มุมปาก...มีจริงๆด้วยสินะ...สิ่งสำคัญที่ทำให้ ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ ทิ้งทุกอย่างได้เพื่อมัน....

“ถ้างั้นก็ตกลง”  








ร่างในชุดฮากามะยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองของเรือนหลังเล็ก นัยน์ตาสีน้ำเงินทอดมองบ้านที่เขาเติบโตมาอย่างไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ต้องจากมันไป...แต่มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรกับเขาหากเทียบกับปีกของนกฟินิกส์คู่นั้นที่เขาอยากได้มันมาตลอดชีวิต

รอยยิ้มเย็นๆเผยอยู่บนริมฝีปากก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำเงินจะหันกลับไปมองใบหน้าสวยของรูปที่ถูกสกรีนอยู่บนกระจกฝ้าหน้าห้องน้ำ....

คิโยมิตสึ....

อนาคตของผมน่ะจะเป็นยังไงก็ช่างมัน....ต่อให้ต้องขายวิญญาณให้กับซาตานผมก็ยอมเพื่อตามล่าคุณกลับมาให้ได้


ผมสาบาน....






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.




แล้วเนื้อเรื่องก็ยังไม่คืบไปไหน แถมมีอีกคู่ใส่เข้ามาซะงั้น55555 // กุมขมับ // พูดถึงคู่นากาโซเนะซังกับฮาจิสึกะก่อน คือติดใจมาตั้งแต่ตอนดูอนิเมะแล้วค่ะ กับฉากซึนๆที่น้องไม่ยอมรับพี่แต่ก็อยากให้เขาปลอดภัยกลับมานั่นมันอุกรี๊ดมากค่ะฟฟฟฟฟ >////< คือสารภาพว่าตั้งแต่ต้นเรื่อง ฮาจิสึกะที่ออกมาตั้งแต่ตอนแรกไม่ได้ทำให้คุณกวางติดใจได้เท่ากับฮาความทองของพี่แก555 // โดนเสียบ // แต่พอนากาโซเนะซังออกมาเท่านั้นแหละ อูยยยย พี่น้องคู่นี้มันยังไงกัน ว๊ายๆๆๆ >/////< โดนมากค่ะ แอบจิ้นอยู่คนเดียว จนได้มีโอกาสได้ดูโทมิว ชินเซ็นนี่แหละ....โอยยยยยย จิ้นไปเต็มๆเลยแระกัน คู่ท่านพ่อท่านแม่ของเหล่าชินเซ็นคู่นี้ฟฟฟฟฟฟฟฟ ก็นะ เลยแอบใส่มาในฟิคเรื่องนี้ด้วยเรยแล้วกัน ก๊ากๆๆๆ

อีกเรื่องที่คุณกวางเมาๆ แต่ก็เอาแบบนี้แล้วกันถถถถ คือเรื่องชื่อกับนามสกุลของเหล่าหนุ่มดาบ5555 ตอนคะชู ให้คะชูเป็นนามสกุล คิโยมิตสึเป็นชื่อ แต่พอตอนสองหนุ่มจากโคเท็ตสึ ดันให้โคเท็ตสึเป็นนามสกุลซะงั้น =w= อ่านเอาความเป็นฟิกชั่นไปไม่ต้องใส่ใจความเมาพวกนี้แบ้วกันนะคะ 5555 // ทรุด

แล้วก็ในฟิคเรื่องนี้จะต่างจาก “ใกล้” นิดนึงตรงที่ยามะตันจะแทนตัวเองว่า “ผม” กับเรียกคะชูว่า “คุณ”  ซึ่งในฟิคใกล้ จะเป็น “ผม” กับ  “นาย”  นั่นก็เพราะว่าใน GLIDE ยามะตันจะให้เกียรติคะชูที่มีศักดิ์สูงกว่าตัวเองน่ะค่ะ

ตอนนี้น่าจะเป็นการเปิดตัวละครซะส่วนใหญ่ ยังไม่มีศัพท์เทคนิคทางฟอร์มูล่าวันอะไรมากนักอ่ะนะ5555 ส่วนเสียงโทรศัพท์ของคะชูก็มาจากท่อนหนึ่งของเพลง Kokoronashi ที่เคยแปะไปในช่วงทอล์คของตอนที่แล้ว เครดิตคำแปลจากที่นี่ค่ะ

Romanji + Translate :: AniaRovana
https://konohana-sakura.blogspot.com/2014/11/kokoronashi-gumi.html


สำหรับคนที่เพิ่งอ่าน GLIDE ที่ภาคนี้ครั้งแรกมีเพลงแรงบันดาลใจหลักของเรื่องนี้มาแปะให้เผื่ออยากฟังค่ะ5555 ชื่อเพลง GLIDE เหมือนชื่อฟิคเรย เพราะคุณกวางไปลอกเค้ามา กร๊ากกกก







ชุดลำลองของเฟอร์รารี่ที่คะชูต้องใส่ก็แอบยืมเอาชุดของสองหนุ่มใน MMD นี้มาใช้ ชุดสุดท้ายที่เป็นโค้ทดำกับเสื้อเชิ้ตแดงเลือดนกนั่นแหละค่ะ //  แต่จริงๆแล้ว พวกนักขับของเฟอร์รารี่ในความเป็นจริงเค้าก็จะใส่ชุดลำลองเป็นเสื้อฟอร์มของทีมเหมือนที่ลูกทีมคนอื่นๆใส่นั่นแหละค่ะ แบบที่คุณกวางจิ้นไว้นี่มีเฉพาะในฟิคน้า

ถ้าใน MMD ไม่ชัดก็มีรูปของคุณรีไวที่เคยมีคนส่งให้ตอนเขียนภาคแรก เป็นแบบนี้ค่ะ เท่ห์สลัดมาก >/////<






ทั้งก๊ก สเลน คุณรีไวและคะชู ใส่เหมือนกันแบบนี้ทั้งหมดค่ะ

ขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆเสียงทวงด้วยนะคะ คุณกวางแม่งแอบอู้ไปนาน5555 พอๆกับที่ F1 ปิดพักฤดูกาลถถถถถ มัวแต่โม่ยด้วยอะไรด้วย // โดนถีบ

แล้วเจอกันตอนหน้าน้า >w<








6 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากๆเลยค่าา จะรอต่อนะคะะะ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ23 เมษายน 2560 เวลา 23:11

    ชอบมากกกกกกค่า รอตอนต่อไป>_< อยากรู้ว่ายามะตันเจอกับคะชูแล้วจะเป็นยังไงน้าา

    ตอบลบ
  3. รอตอนต่อไปQ_Q

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ25 ธันวาคม 2560 เวลา 07:11

    อัพพพ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ21 มีนาคม 2562 เวลา 04:13

    อัพต่อได้มั้ยคะ มันค้าางงงงง����������

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ31 มีนาคม 2562 เวลา 08:17

    เรื่องนี้แต่งต่ออยู่ไหมคะ​ คือถ้าไม่อัพเราจะได้ตัดใจซะ​ตอนนี้​ เราชอบเรื่องนี้กับใกล้มากๆคือมันดีมากๆ​ชอบค่ะ

    ตอบลบ