Touken
Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato] ใกล้ : 03
:
Touken Ranbu Fanfiction Au
:
Kashu Kiyomitsu x Yamato no kami Yasusada
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ยิ่งใกล้วันแสดงจริงเท่าไหร่
โรงละครอิสึมิโนคามิก็ยิ่งเปิดไฟอยู่จนดึกดื่นรับการซ้อมที่เข้มข้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
แล้วกว่าคะชู คิโยมิตสึจะกลับถึงบ้าน ไฟทุกดวงก็ดับไปจนหมดแล้ว...
ร่างโปร่งบางเดินเช็ดเส้นผมที่เปียกลู่ผ่านหน้าห้องของยาสึซาดะ...ไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากร่องใต้ประตูแบบนี้เจ้าของห้องคงจะหลับไปแล้วสินะ
สองขาจึงเดินเข้าห้องของตัวเองอย่างไม่คิดจะไปก่อกวนอีกฝ่าย
มือเรียวโยนผ้าขนหนูไปพาดไว้กับผนักพิงของเก้าอี้ก่อนที่ไดร์เป่าผมจะถูกหยิบออกมา
เส้นผมสีดำเหลือบแดงปลิวไปตามแรงลมและไม่นานมันก็แห้งสนิท
เขาเดินไปหยิบบทละครเล่มบางออกมาจากกระเป๋านักเรียนก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนเตียง
ตอนนี้เขาเหนื่อยจนตาแทบจะปิดให้ได้แต่ก็ยังพยายามรั้งสติเอาไว้ เพราะถึงจะเป็นการแสดงที่ถูกมัดมือชกให้ไปทำและเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแค่ทำฆ่าเวลาไปเรื่อย...แต่จะให้เล่นสั่วๆจำบทมั่วๆให้เสียชื่อ
คะชู คิโยมิตสึก็ไม่ได้เสียด้วย ก็เลยตั้งใจว่าอย่างน้อยก็ท่องบทให้ได้หมดก็ยังดี
นัยน์ตาสีทับทิมกวาดมองตัวอักษรที่ถูกปากกาไฮไลท์ขีดเอาไว้
แต่ยังไม่ทันจะได้ท่องจำอะไร
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาก็ทำให้ฝ่ามือที่ถือบทอยู่รีบยัดเล่มกระดาษนั้นไปไว้ใต้หมอนก่อนจะทำทีถือโทรศัพท์ขึ้นมาในช่วงเวลาที่ประตูหน้าห้องเปิดพอดี๊
พอดี
“เห๋~ นึกว่านอนไปแล้วซะอีก?
แล้วก็นะ นายเคยบอกชั้นเองไม่ใช่หรือไง ว่าจะเข้าห้องใครก็ให้เคาะประตูก่อนน่ะ?” ใบหน้าสวยเอ่ยออกไปในขณะที่ดวงตาสีทับทิมทำเป็นมองอยู่ที่หน้าจอมือถือ
ปลายนิ้วรีบปาดเข้าไปในแอพอะไรก็ได้ก่อนที่ยาสึซาดะจะรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังใช้มันอยู่จริงๆ
“ก็คิโยมิตสึทำตัวน่าโมโหนี่นา”
ยาสึซาดะในชุดนอนลายโอคิตะจากเรื่องอะไรซักอย่างเดินหน้ามุ่ยมาทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียง
ก่อนที่ร่างบางๆนั่นจะค่อยๆมุดลอดสองแขนที่ถือโทรศัพท์อยู่เหนือหัวของเขามานอนเกยอยู่บนแผงอก
เขาได้แต่มองตามด้วยความสงสัยว่าเขาไปทำอะไรให้น่าโมโห?
“.........แต่งหน้าเนี่ยต้องไปซ้อมจนดึกดื่นแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ?
แบบนี้เอาค่าเครื่องสำอางที่ใช้ซ้อมแต่งไปจ้างช่างมืออาชีพไม่ดีกว่าหรือไงเนี่ย?” อ๋อ~~
ยาสึซาดะงอนที่ช่วงนี้เขากลับบ้านดึกทุกวันนี่เอง
“อะไรกัน~
พอชั้นไม่อยู่ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาล่ะสิ?”
เขาลอบยิ้มก่อนจะแกล้งแหย่อีกฝ่ายเล่นตามปกติ
“ไม่ได้เหงาซักหน่อย...ก็แค่ห่วง
ถึงจะใกล้แค่นี้แต่ดึกๆดื่นๆมันก็อันตรายนี่นา...นายยิ่งไม่เหมือนใครเค้าอยู่ด้วย”
ยาสึซาดะเหลือบมองไปที่รอยแหวกตามคอเสื้อของเขา
คำว่าห่วงที่พูดออกมาตรงๆทำเอาใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องเสสายตาขึ้นฝ้าเพดานอย่างเขินๆ
นี่ถ้าไม่ถูกนอนทับอยู่เขาคงกลิ้งหนีไปที่อื่นแล้ว
“น่า...อีกไม่กี่วันก็จะแสดงจริงแล้ว...เดี๋ยวก็จบแล้วละ” ริมฝีปากสีสดพูดออกไปทั้งๆที่ยังไม่กล้าสบตายาสึซาดะตรงๆ
ทั้งเขิน ทั้งกลัวอีกฝ่ายจับได้ว่าเขาปิดบังอะไรเอาไว้
“อือ...” คนที่นอนเกยอยู่บนหน้าอกตอบรับเบาๆ
แต่ถึงจะเข้าใจแล้ว ร่างบางๆนั่นกลับยังไม่ยอมลุกออกไปจากตัวเขา
“........” ในความเงียบที่ผ่านไปหลายนาทีทำให้เขาเหลือบตากลับมามองคนตรงหน้าก่อนจะพบว่านัยน์ตาสีไพลินกำลังจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของเขา
พอถูกมองด้วยสายตาที่ชวนให้คิดว่าอยากจูบมันเลยทำเอาหัวใจของเขาปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก
นัยน์ตาสีทับทิมจึงทอดสายตามองใบหน้าที่อยู่ใกล้จนลมหายใจส่งถึงกัน
เพราะบรรยากาศเหมือนอยู่ในห้วงแห่งฝันหรือยังไงกันนะ
มันเลยทำให้เขายับยั้งชั่งใจไม่อยู่ รู้ทั้งรู้ว่าพวกเราเป็นแค่คนรักกำมะลอแต่ริมฝีปากที่ขยับเข้าหากันมันกลับมีอานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าแม่เหล็กขนาดใหญ่จนเขาไม่อาจจะต้านทานมันได้...จนในที่สุด...ก็จูบกัน
สัมผัสนุ่มนิ่มที่ริมฝีปากทำให้หัวใจวูบโหวงก่อนจะถูกเติมเต็มในชั่วพริบตา
ความรู้สึกเป็นสุขพรั่งพรูออกมาจากที่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าเขาอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์
ฝ่ามือเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำอมน้ำเงินก่อนจะกดเบาๆให้ยาสึซาดะขยับลงมารับจูบของเขาให้มากขึ้น
รสชาติหวานล้ำนั่นราวกับเป็นยาพิษ
เป็นยาเสพติดที่ยิ่งเสพก็มีแต่จะยิ่งต้องการมากกว่าเดิม
เขาจึงหยุดไม่ได้...ที่จะทำเพียงแค่แตะริมฝีปาก
ร่างที่เคยนอนอยู่ข้างใต้พลิกกายขึ้นมาอยู่ข้างบนก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากที่เปิดรับอย่างเผลอไผล
ลิ้นร้อนไล้เลียตั้งแต่ขอบปากไล่เข้าไปเรื่อยๆอย่างอ้อยอิ่งสมเป็นจูบจากคะชู
คิโยมิตสึจริงๆ มันไม่เชิงว่าเร่งเร้าแต่ค่อยๆเข้าไปอย่างนุ่มนวล และเพราะแบบนั้นมันเลยออกจะรัญจวนใจสำหรับคนที่รอคอย
“อื้ม....” เสียงน้ำลายดังก้องอยู่เต็มสองหูผสมผสานไปกับเสียงเรียวลิ้นที่ดูดกลืนกันและกัน
ฝ่ามือของยาสึซาดะขย๋ำกำแน่นอยู่ที่แขนเสื้อนอนของเขาราวกับจะบอกว่าทนไม่ไหวแล้วกับจูบที่เขามอบให้
ไออุ่นที่แผ่ออกจากร่างกายซึ่งแทบจะแนบชิดกันมันทำให้ลมหายใจยิ่งติดขัด
สติสัมปชัญญะแทบจะเตลิดเปิดเปิง เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันอย่างไร้เดียงสาพัดพาความหอมหวานให้เปลี่ยนเป็นเปลวไฟแห่งราคะ...ยังดีที่ต่างฝ่ายต่างใช้ลมหายใจไปจนเกือบหมด
ใบหน้าที่บดเบียดเข้าหากันจึงจำต้องละออกมา
“.....” ลมหายใจหนักหน่วงถูกเป่ารดกันและกัน
นัยน์ตาสองคู่ต่างสบประสานกันอยู่อย่างนั้นไปอีกหลายนาทีอย่างไม่อาจตอบอีกฝ่ายได้ว่าจูบครั้งนี้มันคืออะไรและทำไปเพื่ออะไร...ทั้งๆที่ในใจต่างก็มีคำตอบอยู่แล้ว...แต่กลับบอกอีกฝ่ายไม่ได้
“จะนอน...ที่นี่ไหม?”
ใบหน้าสวยเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากที่ทั้งเขาและยาสึซาดะต่างตั้งใจจะไม่พูดถึงจูบเมื่อกี้ว่ามันคืออะไร
ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดว่าเป็นเพราะบรรยากาศพาไปก็แล้วกัน
“อือ...” ยาสึซาดะตอบเบาๆก่อนจะพลิกกายตะแคงข้างแล้วซุกหน้าลงไปที่หมอนของเขา
“ลุกไปปิดไฟก่อนนะ” เสียงสวบสาบดังขึ้นเมื่อเขาลุกออกไปจากเตียง
ยาสึซาดะยังคงนอนหันหลังให้มีเพียงเสียงเบาๆดังลอดออกมาจากหมอน
“อือ...”
นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองใบหูที่แดงระเรื่อของคนบนเตียงก่อนจะยิ้มบางๆ
อย่างน้อยยาสึซาดะก็ไม่ได้รังเกียจจูบของเขา
เสียงสับสวิตซ์ดังขึ้นก่อนที่ทั้งห้องจะมืดสลัว
ร่างโปร่งเดินกลับไปล้มตัวลงนอนก่อนจะดึงตัวคนข้างๆมากอดไว้
มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่พวกเรานอนด้วยกันแบบนี้
เวลาที่เขาหรือยาสึซาดะมีเรื่องไม่สบายใจ ฝันร้าย ก็มักจะไปมุดผ้าห่มอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว...เพราะไม่อยากจะไปกวนพ่อแต่ก็กลัวที่จะต้องนอนคนเดียว
มันเลยก่อเกิดความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดนี้ขึ้นมา
.....จำได้ว่าเขาเคยนอนที่ห้องของยาสึซาดะอยู่หลายเดือน...เมื่อตอนที่ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าพ่อทิ้งพวกเราไป...
เขาฝันร้ายแล้วก็นอนคนเดียวไม่ได้อยู่เกือบครึ่งปี...
วันแสดงละครใกล้เข้ามาเรื่อยๆเช่นเดียวกับวันที่วงด้วยปากกาสีแดงบนปฏิทินที่ใกล้เข้าไปเรื่อยๆเช่นกัน...แล้วในที่สุดวันนั้นก็มาถึงจนได้
“เครื่องสำอางค์เอาไปครบแล้วใช่ไหม?
ถึงจะอยู่ใกล้แต่ก็ไม่ควรลืมอะไรจนต้องวิ่งกลับมาเอานะ”
ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยถามร่างโปร่งบางที่วิ่งขึ้นวิ่งลงบ้านตั้งแต่เช้า
“ครบแล้วน่า~
คิดว่านะ...”
คนที่นั่งใส่รองเท้าตอบกลับมาด้วยเสียงเง้างอดตามประสาคนขี้อ้อนและมันก็ทำให้คนที่มายืนส่งถึงกับอมยิ้ม
นานๆทีได้เห็นคิโยมิตสึตื่นเต้นกับอะไรบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ปกติเป็นพวกลอยชายไปวันๆแท้ๆ
“ไปละนะ”
ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนพลางกระชับสายกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกจากบ้านไป
เขาก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“คิโยมิตสึ!”
ขาเรียวชะงักก่อนที่ใบหน้าสวยจะหันมามองเขาด้วยความสงสัย
“มีอะไรเหรอ?”
ใบหน้าที่บ่งบอกว่าลืมสนิทของคิโยมิตสึมันทำให้เขาลำบากใจนิดหน่อยที่จะต้องพูดออกไป
ถึงจะแค่ไปช่วยแต่งหน้าแต่ถ้าเรื่องนี้ไปกวนใจจนส่งผลให้ทำพลาดมันก็คงไม่ดี นัยน์ตาสีไพลินจึงเหลือบมองไปที่ปฏิทินอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
“.........วันนั้นแล้วงั้นเหรอ....” แล้วก็กลับกลายเป็นคิโยมิตสึที่พูดออกมาเอง
นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองไปที่ปฏิทินซึ่งวันที่วงสีแดงเอาไว้มันตรงกับวันนี้พอดี
“จะไม่ไปเจอพ่อหน่อยเหรอ...พ่อคงดีใจถ้านายไปหา...ยังไงแค่แต่งหน้าให้นักแสดงก็น่าจะพอมีเวลา......”
เขาพูดไปก็ก้มหน้าไป...เพราะสองปีที่ผ่านมาคิโยมิตสึเอาแต่ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ไปจนเขาเองก็ทำใจไว้กว่าครึ่งแล้วว่าปีนี้ก็คงจะไม่ยอมไปเหมือนเดิม
“ไม่รู้สิ...ชั้นไปโรงละครก่อนนะ” เอ๋? ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำอมน้ำเงินเงยมองแผ่นหลังที่วิ่งออกจากบ้านไปอย่างประหลาดใจ....”ไม่รู้สิ”
งั้นเหรอ?...ทั้งๆที่ผ่านมาจะบอกว่า “ไม่ไป” อย่างชัดถ้อยชัดคำแท้ๆ
แปลว่าปีนี้อาจจะยอมไปก็ได้สินะ?
ใบหน้าน่ารักเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันสามคนมานานแค่ไหนแล้วนะ
แค่คิดว่าวันคืนเหล่านั้นมันจะหวนกลับมาก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
สองขาจึงเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมตัว
และเขาก็ออกจากบ้านตามหลังคิโยมิตสึไม่นานนัก...
ร่างบางเดินหิ้วตะกร้าไปตามถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวออกไปนอกเมือง
ทั้งใบหน้าและหัวใจเต็มไปด้วยความสงบหาได้ตื่นเต้นในการพบกันไม่
เพราะสถานที่ที่เขานัดเจอกับพ่อนั้นไม่ใช่ที่ร้านอาหาร
สวนสนุก สวนสาธารณะ หรือจุดนัดพบไหนๆ
แต่ที่ๆพ่อรอเขาอยู่กลับเป็นที่นี่....สถานที่ที่เต็มไปด้วยป้ายหลุมศพ...
สองขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าป้ายสีดำซึ่งมีชื่อของคนที่เก็บเขากับคิโยมิตสึมาเลี้ยงและเรียกตัวเองว่า
“พ่อ” สายตาเศร้าหมองสั่นพร่าทุกครั้งที่ต้องมองมัน
เพราะป้ายหินอันนั้นคือสิ่งที่ย้ำเตือนว่าพ่อจากพวกเขาไปแล้ว...จากไปอย่างไม่มีวันจะกลับมาอยู่ด้วยกันได้อีก...
จากไปในวันนี้...เมื่อสองปีที่แล้ว...
นัยน์ตาสีไพลินทอดมองแผ่นป้ายที่มีคราบฝุ่นเล็กน้อย
มือบางแตะลงไปที่แผ่นหินเย็นเฉียบพร้อมกับความทรงจำที่ไหลย้อนมาราวกับม้วนฟิล์มที่กำลังกรอกลับ
วันนั้น...เป็นวันที่ฝนตกหนัก
ตัวเขาอยู่ซ้อมเคนโด้ที่โรงฝึกด้วยความรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนคิโยมิตสึไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัดที่อยู่ไกลออกไปจากบ้านเรามาก
แต่หากมันคือความภาคภูมิใจของคนที่นี่ถ้ามีลูกหลานสอบติดที่โรงเรียนอันแสนโหดหินนั่นได้...คิโยมิตสึเลยเลือกที่จะไปเรียนต่อที่นั่น
เพื่อให้พ่อภูมิใจและไม่น้อยหน้าใครที่เก็บเด็กที่ไม่มีใครต้องการอย่างพวกเขามาเลี้ยง
แต่เป็นเพราะจู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนักทั้งๆที่พยากรณ์อากาศก็ไม่ได้บอกเอาไว้
พ่อเลยเดินถือร่มไปรับคิโยมิตสึที่สถานีรถไฟ....แล้วตอนขากลับก็เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ชีวิตของพวกเราสามพ่อลูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...
รถเก๋งคันหนึ่งเกิดเสียหลักเพราะถนนลื่น
แล้วรถคันนั้นก็พุ่งออกข้างทางชนร้านค้าพังไปสองร้าน
ชนแม้แต่คนที่เดินอยู่ตรงนั้นพอดีอย่างพ่อกับคิโยมิตสึ
พ่อบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามปกป้องคิโยมิตสึ
ส่วนคิโยมิตสึก็สลบไปไม่ได้สติอยู่เป็นอาทิตย์...กว่าคิโยมิตสึจะฟื้นอีกที...งานศพของพ่อก็เสร็จสิ้นไปแล้ว...
คิโยมิตสึเลยรับเรื่องนี้ไม่ได้มาตลอด
จากที่เคยเป็นคนอารมณ์ดี ช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ๆก็กลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนจนแม้แต่เขายังรับมือแทบไม่ไหว
คิโยมิตสึเอาแต่โทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้พ่อเสียชีวิต
ทั้งคุ้มคลั่งทั้งฝันร้าย จนท้ายที่สุดก็เลือกที่จะหนีจากความทรงจำที่มีพ่ออยู่
หนีจากเคนโด้
หนีจากชีวิตดีๆที่เคยมีความฝันร่วมกันกับพ่อ....เขารู้ว่าคิโยมิตสึยังเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ
คิโยมิตสึเลยเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างไป
ขนาดผลการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัดได้เป็นอันดับ 1 แท้ๆ
แต่คิโยมิตสึกลับปฏิเสธแล้วเข้าเรียนโรงเรียนใกล้บ้านที่เดียวกับเขาแทน
ปลายนิ้วแตะลงไปที่ตัวอักษรที่สลักอยู่บนป้ายหิน...บางทีเขาก็คิดว่า
หากคิโยมิตสึฟื้นขึ้นมาเร็วกว่านี้ก็คงจะดี...ฟื้นขึ้นมาตอนที่พ่อยังมีลมหายใจอยู่...
“พ่อดีใจที่คิโยมิตสึปลอดภัย
ดีใจที่ปกป้องคิโยมิตสึได้ พ่อเป็นคนตัดสินใจเองเพราะงั้นยาสึซาดะอย่าไปโทษคิโยมิตสึเลย...แล้วก็...พ่อฝากคิโยมิตสึด้วย
เด็กคนนั้นอาจจะไม่ให้อภัยที่พ่อทิ้งไปง่ายๆแบบนี้...แต่พ่อก็ยังยืนยันว่าพ่อดีใจที่ได้ทำ
ดีใจที่ได้ปกป้องลูกทั้งสอง ดีใจที่ได้รัก ดีใจที่พวกเราได้มารู้จักและอยู่ด้วยกัน
ถึงมันจะไม่ใช่เวลาที่ยาวนานอะไรแต่พ่อก็มีความสุขมาก...”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่พ่อพูดกับเขา
ถึงเขาจะเอามันไปถ่ายทอดให้คิโยมิตสึฟังแต่มันก็คงไม่สามารถจะถ่ายทอดได้หมด...คิโยมิตสึไม่ได้เห็นแววตาที่อบอุ่นจนวินาทีสุดท้ายของพ่อ
ไม่ได้เห็นว่าพ่อจากไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนแต่ก็เศร้าสร้อยขนาดไหน
คิโยมิตสึจึงไม่อาจจะเข้าใจและยอมรับได้เหมือนที่เขาเป็น
ใบหน้าน่ารักส่ายไปมาช้าๆอย่างพยายามเรียกสติกลับมา
เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว คิดถึงไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
มือบางจึงวางตะกร้าดอกไม้ลงอย่างตั้งใจจะทำความสะอาดหลุมศพรอคิโยมิตสึไปพลางๆ
บรรยากาศในห้องแต่งตัวด้านหลังเวทีนั้นกำลังวุ่นวายได้ที่
เพราะถึงจะซักซ้อมกันมาอย่างดีแต่พอถึงเวลาจะขึ้นแสดง
ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่พอเลยจริงๆ
เสียงโหวกเหวกดังข้ามหัวของคะชู
คิโยมิตสึไปมาเพราะนักแสดงบางคนก็หาอุปกรณ์การแต่งตัวของตัวเองไม่เจอบ้างละ
ผูกเชือกหรือรูดซิปเองไม่ได้บ้างละ
ร่างโปร่งบางจึงต้องตั้งสมาธิขนาดหนักเพื่อไม่ให้แปรงปัดแก้มในมือมันทำงานพลาดจนหน้านักแสดงที่กำลังแต่งอยู่กลายเป็นคนละคนไป
“โย้ช!
เสร็จแล้ว! คนต่อไปมาเลย!” เขาตะโกนแข่งกับเสียงโหวกเหวกรอบกาย มือบางวางแปรงลงก่อนจะหันไปหาเครื่องสำอางที่วางอยู่หน้ากระจกเพื่อเตรียมแต่งหน้าให้คนต่อไป
มันวุ่นเสียจนเขาแทบไม่มีเวลาจะหายใจ เพราะงั้นถึงได้เพิ่งเห็นสัญญาณไฟกระพริบเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกทิ้งไว้ใกล้ๆกับกองกระเป๋าของเขา...มีเมล์เข้ามางั้นเหรอ?
“ผมรออยู่นะ
ถึงไม่มาผมก็จะรอ”
นัยน์ตาสีทับทิมไล่อ่านทุกตัวอักษรนั่นด้วยใบหน้าเหม่อลอย....ยาสึซาดะ...รออยู่งั้นเหรอ...
“คะชูคุง”
เสียงนักแสดงคนต่อไปที่จะให้เขาแต่งหน้าเอ่ยเรียกจากเก้าอี้ข้างๆและมันก็ทำให้เขาหลุดออกมาจากภวังค์
มือกดปิดโทรศัพท์ก่อนจะโยนมันลวกๆกลับไปที่เดิม ตอนนี้ต้องมีสมาธิกับเรื่องการแสดงตรงหน้า
ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ก่อนแล้วกัน
นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่นิ่งงัน
ไม่มีเมล์อะไรเข้ามา
ไม่มีการตอบรับใดๆทั้งนั้นจากคิโยมิตสึ...เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตอบปฏิเสธอย่างชัดเจนเขาถึงได้ยังมีความหวัง...หวังว่าคิโยมิตสึจะมาไหว้พ่อด้วยกัน...หวังว่าอาจจะเป็นวันนี้ก็ได้ที่คิโยมิตสึจะให้อภัยตัวเองและเลิกหนีจากเรื่องของพ่อเสียที
ใบหน้าน่ารักหันไปมองตะกร้าที่ยังบรรจุดอกไม้อยู่เต็มก่อนจะเงยขึ้นมองท้องฟ้ายามบ่าย...เขาได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าคิโยมิตสึคงยังติดพันอยู่ที่หลังเวที
คงจะออกมาตอนนี้ไม่ได้ เพราะงั้นเขาก็จะรอต่อไป...
มือหยิบเศษหญ้าที่เพิ่งถูกถอนออกมาจากรอบๆป้ายหลุมศพเพื่อจะเอาไปทิ้ง
ยังไงก็ทำความสะอาดรอไปก่อนก็แล้วกัน...
“ช่วยเอาหนังสือลับนี่ไปให้ท่านซาดะมัตสึที...”
“ขอรับ!” มือบางรับม้วนกระดาษที่ใช้ในการแสดงมาก่อนจะตีลังกาหายเข้าไปในฉากฝั่งหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งตัดหลังเวทีเพื่อไปสแตนบายด์อยู่ที่ฉากอีกฝั่งหนึ่ง
การแสดงดำเนินผ่านไปด้วยดีจนถึงสามในสี่ของเนื้อเรื่องทั้งหมดแล้ว
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองไปที่เวทีก็จริงแต่ในใจก็ยังกังวลถึงหนึ่งประโยคที่อยู่ในเมล์...ถ้าเขาจะไป....ก็น่าจะยังทันอยู่
เพราะการแสดงคงจบในครึ่งชั่วโมงที่จะถึงนี้แหละ
ถ้ายังไง...จะแวะไปดูหน่อยก็แล้วกัน...เผื่อว่ายาสึซาดะจะยังรออยู่...
ใบหน้าน่ารักถอนหายใจกับแสงแดดที่เริ่มอ่อนแสงลงทุกทีๆและไม่ว่าจะหันไปมองที่ทางเดินเข้าสู่เขตสุสานมากี่สิบกี่ร้อยรอบ...มันก็ไม่มีเงาของคนที่เขาเฝ้ารอมาทั้งวันปรากฎอยู่ตรงนั้นเลย
ป้ายก็เช็ดแล้ว
แท่นสำหรับวางของไหว้ก็ล้างแล้ว
ตอนนี้หลุมศพของพ่อสะอาดเอี่ยมอ่องจนเขาไม่มีอะไรจะทำแล้ว
แต่คิโยมิตสึก็ยังไม่มา...
ถ้าแค่แต่งหน้านักแสดงต่อให้ต้องคอยอยู่ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมต่อ
แต่นี่การแสดงมันก็ใกล้จะจบเต็มที ถ้าจะปลีกตัวมาก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว
คาเนะซังก็รู้อยู่ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อคงจะยอมให้มาถ้าคิโยมิตสึขอ
แต่ที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาแบบนี้แสดงว่าตั้งใจจะไม่มาจริงๆสินะ...
ถ้างั้น...จะให้ความหวังเขาทำไมกัน...
ก็รู้หรอกว่าไม่ควรจะน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่สนใจแบบนี้
เพราะมีแต่เขาที่รู้ถึงความรู้สึกของคิโยมิตสึดี แต่บางทีมันก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้
“เฮ้อ...” ริมฝีปากสีระเรื่อถอนหายใจเบาๆก่อนจะหยิบดอกไม้ในตะกร้าออกมาแล้วปักมันไว้ในแจกันที่ตั้งอยู่หน้าป้ายหลุมศพ
“ขอโทษนะครับคุณพ่อ...ปีนี้ก็พาคิโยมิตสึมาไม่ได้อีกแล้ว...”
สองมือพนมไว้ที่หน้าอกก่อนจะเอ่ยบอกผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดถึงพ่อหรือน้อยใจที่ถูกทิ้งให้รออยู่คนเดียวมาทั้งวันหรือไงกันนะ
บรรยากาศในวันนี้เลยทำให้อยากจะร้องไห้กว่าเมื่อปีก่อนๆที่มาไหว้หลุมศพ
ฝ่ามือบางปาดน้ำใสๆที่ปริ่มอยู่ที่หัวตาก่อนจะพยายามฝืนทำตัวเข้มแข็งตามเดิม
ไม่เป็นไรหรอก...เขาไม่เป็นไร...คิโยมิตสึต่างหากที่เจ็บปวดกว่าเขา...
ใบหน้าหมองๆก้มลงมองป้ายหินอีกครั้งก่อนจะหยิบตะกร้าขึ้นมา
สองขาก้าวเดินจากไปในขณะที่แสงยามเย็นสาดส่องลงมาพอดี...ป่านนี้แล้ว
คิโยมิตสึคงไม่มาแล้วละ...เลิกรอได้แล้วยาสึซาดะ
ในที่สุดฉากสุดท้ายก็ผ่านไปจนได้
นักแสดงทั้งหมดจึงก้าวขาขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังก้องไปทั่วโรงละคร
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองใบหน้าของคาเนะซังที่ยืนยิ้มแก้มปริกับการแสดงในวันแรกที่ต้องเรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ก่อนที่ใบหน้าสวยจะหันกลับมามองยังที่นั่งของคนดูที่ต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้นักแสดงอย่างพวกเขากันเกรียวกราว
ความรู้สึกตื้นตันเอ่อล้นขึ้นมาในใจจนความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ฝึกซ้อมกันมาอย่างหนักนั้นหายไปในทันทีที่ได้เห็นภาพเหล่านี้...เขาไม่เคยคิดเลยว่าการจับพลัดจับผลูมาแสดงอย่างไม่ได้ตั้งใจนี้มันจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจอย่างที่กำลังรู้สึกอยู่ได้...ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะชอบมัน...
เป็นเพราะที่ผ่านมาคนอื่นๆต่างชื่นชมเขาที่เปลือกนอกอย่างรูปร่างหรือหน้าตา
เป็นความนิยมที่ได้มาง่ายๆโดยไม่ต้องพยายามอะไร...แต่คราวนี้มันไม่ใช่...ทุกคนที่กำลังปรบมือให้เขาต่างชื่นชอบในผลงานการแสดงของเขา
ชอบที่ฝีมือไม่ใช่ที่ภายนอกอย่างที่แล้วมา
มันเลยทำให้เขารู้สึกดีกับเสียงปรบมือในครั้งนี้สุดๆ
ฝ่ามือถูกมือของนักแสดงที่ยืนอยู่ข้างๆจับเอาไว้
ก่อนจะพากันยกขึ้นเหนือหัวแล้วโค้งให้ผู้ชมเพื่อแสดงความขอบคุณ
รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัวเลยจริงๆ
กับการแสดงครั้งแรก...เสียงปรบมือครั้งแรก...
สองขาก้าวเดินลอยๆกลับเข้าไปยังหลังเวที...นี่ขนาดเขาไม่ใช่นักแสดงหลักหรือตัวเอกของเรื่องยังรู้สึกดี
รู้สึกปลาบปลื้มขนาดนี้...ถ้าได้แสดงบทตัวเอกจะเป็นยังไงกันนะ
คงจะปลื้มใจยิ่งกว่านี้หลายเท่าแน่ๆ
“เหนื่อยหน่อยนะคร้าบ!” ท่อนแขนหนักๆของนักแสดงคนแล้วคนเล่าพาดลงมาที่คอเขาก่อนที่ต่างคนต่างก็พูดประโยคนี้กันด้วยรอยยิ้มจนเขาเผลอยิ้มตามไปด้วย
“นายเองก็แสดงได้เยี่ยมไปเลยนี่!”
คราวนี้ฝ่ามือใครสักคนเปลี่ยนไปขยี้หัวเขาแทนการกอดคอ
พอถูกชมตรงๆแบบนี้ความปลื้มใจเลยยิ่งส่งให้ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มยิ่งกว่าเดิม
ก็ถูกยอมรับจากนักแสดงอาชีพเลยนี่นา
“ขอบคุณ....” เขาก้มลงตอบงึมงำอย่างเขินๆ
“เพราะงั้นไปดื่มฉลองกันเถอะ!!” เสียงเฮดังอยู่รอบกายทันที ทุกคนต่างชูมือรับด้วยความยินดี
เขาเองก็เผลอมองคนอื่นๆอย่างคล้อยตามก่อนจะนึกถึงเมล์ของยาสึซาดะขึ้นมาได้...จริงสิ...ต้องรีบไปแล้ว!
“ผมขอตัวนะครับ
พอดีมีธุระ” ถึงจะรู้ว่าการปฏิเสธรุ่นพี่เป็นเรื่องไม่ควรทำ
แต่เรื่องของยาสึซาดะย่อมสำคัญกว่า เขาเลยแอบปลีกตัวออกมาเงียบๆ
สองขารีบวิ่งเต็มกำลังทันทีที่ออกมาจากโรงละครได้
จริงๆเขาควรจะทำเป็นไม่สนใจเหมือนปีที่ผ่านๆมา แต่คำว่า “รออยู่”
ของยาสึซาดะก็ทำให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้
แล้วไม่นานเขาก็มายืนหอบแฮ่กอยู่หน้าทางเข้าเขตสุสานเพราะวิ่งมาไกลพอสมควร
มือเผลอกระชับสายสะพายของกระเป๋าอย่างลืมตัว
เป็นเพราะว่าไม่เคยมาเลยเขาจึงไม่รู้ว่าหลุมศพของพ่ออยู่ตรงไหน...สองขาจึงก้าวเดินผ่านป้ายหน้าหลุมศพน้อยใหญ่ไปช้าๆ
ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศกดดันทำให้เขาเริ่มจะพะอืดพะอม
เขาไม่ได้กลัวสิ่งรี้ลับอย่างผีสางนางไม้อะไรพวกนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดกลับเป็นความรู้สึกในอดีตที่กำลังตามมาหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่นึกถึงพ่อเสียมากกว่า
คนที่ตายในวันนั้นมันน่าจะเป็นเขามากกว่า...
เพราะว่าพ่อน่ะเดินนำหน้าเขาอยู่
เขาที่นั่งลงเพื่อผูกเชือกรองเท้ายังจำแผ่นหลังของพ่อในวันนั้นได้ดี...ยังจำได้ดีว่ารถที่บ้าคลั่งคันนั้นมันพุ่งตรงมาหาเขา
แต่พ่อกลับวิ่งกลับมาเพื่อปกป้องเขา
ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าอ้อมแขนที่กอดเขาไว้ในวันนั้นมันทำให้เขารู้สึกยังไง...ถ้าพ่อไม่วิ่งกลับมา
ถ้าพ่อไม่กอดเขาไว้...คนที่ตายก็น่าจะเป็นเขา
ทำไม
ทำไมต้องเอาแต่ปกป้องเขาด้วย...ทั้งๆที่เขาเองก็อยากจะปกป้องพ่อเช่นกัน
อยากจะให้พ่อมีชีวิตอยู่ อยากให้พ่อได้ดูโลกที่สวยงามใบนี้ต่อไป เขาโกรธ!
เขาโกรธพ่อที่ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้!
ทั้งๆที่เขาเองก็อยากจะทำแบบนั้นให้พ่อบ้าง!
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
ร่างโปร่งหยุดยืนเท้ามือข้างหนึ่งไว้กับเสาไฟก่อนจะหอบหายใจอย่างหนักหน่วง...ไม่ไหวจริงๆ...แค่คิดถึงพ่อ
แค่นึกถึงวันที่พ่อตาย...เขาก็หายใจแทบไม่ออก...
แต่ถึงอย่างนั้นสองขาก็ยังก้าวต่อไป
ถึงจะโซเซบ้างแต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาหลุมศพของพ่อเจอจนได้...ทว่า...ยาสึซาดะกลับไม่อยู่แล้ว...
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองป้ายด้วยสายตาสั่นพร่าก่อนจะรีบละลงมามองดอกไม้ที่ปักอยู่ในแจกัน
มันยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ แสดงว่ายาสึซาดะเพิ่งจะไหว้แล้วก็เพิ่งจะกลับไป...นี่รอเขาอยู่ตลอดเลยจริงๆด้วยสินะ
สองขารีบหันหลังกลับก่อนจะวิ่งออกไปจากเขตสุสาน
วิ่งตรงกลับไปยังบ้านของเขา...
กุญแจบ้านถูกไขให้เปิดออก
ร่างบางเดินตรงเข้าไปในครัวก่อนจะวางตะกร้าลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าหมองๆ สองขาเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อนจะมองเห็นขอบตากับปลายจมูกที่ขึ้นสีแดงระเรื่อจากการที่เขาเดินร้องไห้มาตลอดทางผ่านเงาสะท้อนในกระจก
หว๋า~
แบบนี้คิโยมิตสึต้องรู้แน่ว่าเขาแอบร้องไห้...ไม่ได้การละ
ร่างบางเดินขึ้นบันไดก่อนจะเปิดประตูห้องของคิโยมิตสึเข้าไป...ต้องเป็นแป้งเนื้อหนาถึงจะปกปิดรอยแดงพวกนี้ได้...ยังไงเขาก็ไม่อยากให้คิโยมิตสึรู้นี่นา
ว่าเขาทำตัวงี่เง่าอย่างการทึกทักเอาเองว่าจะรอ แต่พออีกฝ่ายไม่มาก็กลับร้องไห้งอแงเสียเอง
“ตลับแป้งนั่นอยู่ไหนเนี่ย?”
สองมือรื้อๆค้นๆที่โต๊ะเครื่องแป้งของคิโยมิตสึ
ก็ปกติเขาไม่ได้แต่งหน้าเลยไม่มีของพวกนี้เป็นของตัวเอง เวลาจะใช้เลยแอบมาขโมยของคิโยมิตสึอย่างที่เห็นนี่แหละ
ไม่มีแหะ?
เขากวาดตามองบนโต๊ะอีกรอบแต่ก็ไม่พบแป้งตลับนั้น
คิโยมิตสึไม่น่าจะเอามันไปใช้แต่งหน้าให้นักแสดงด้วยนี่นา เห็นบ่นว่าแพงนักแพงหนา?...หรือว่าจะอยู่บนเตียง?
เพราะบางทีคิโยมิตสึก็เก็บของไม่เรียบร้อย อย่างลิปติกหรือกระจกเงานี่ก็วางเรี่ยราดอยู่บนที่นอนประจำ
ก็เจ้าตัวชอบนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพอว่างหน่อยก็หยิบลิปบ้าง
ดินสอเขียนคิ้วบ้างมาใช้แล้วก็ทิ้งไว้บนเตียงนั่นแหละ
ใบหน้าน่ารักจึงหันไปหาเป้าหมายใหม่...ดูสิ...ขนาดผ้าห่มจะพับให้ดีๆหรือไม่ก็ปูให้ตึงไปเลยก็ยังทำไม่ได้
มันถึงได้กองขยุกขยุยอยู่แบบนี้
มือบางเลยตลบโปงผ้าห่มนั่นออกอย่างตั้งใจว่าถ้าหาตลับแป้งเจอแล้วจะพับมันให้เรียบร้อย...ทว่า...สมุดเล่มบางๆที่มุมข้างหนึ่งแพลมออกมาจากใต้หมอนก็ทำให้สายตาของเขาไปสะดุดมันเข้าเสียก่อน
สมุดอะไรน่ะ?
ลักษณะเหมือนจะถูกซ่อนเอาไว้เลย?
ใบหน้าน่ารักหันซ้ายแลขวา
และเมื่อไม่มีวี่แววว่าคิโยมิตสึจะกลับมา
มือบางจึงเอื้อมไปที่สมุดเล่มนั้นทันที...ก็รู้หรอกว่าการแอบดูของของคนอื่นมันไม่ดี
แต่เขาก็อยากรู้จนทนไม่ไหวแล้วนี่นา กระดาษปกดูเรียบๆแบบนี้คงไม่ใช่หนังสืออย่างว่าหรอกมั้ง?
และเมื่อเขาพลิกปกหน้าที่ถูกคว่ำอยู่ขึ้นมาดู...ชื่อที่ถูกเขียนไว้บนนั้นมันก็ช่างคุ้นแสนคุ้น
อือ...เหมือน...กับแพมเฟลทที่คิโยมิตสึเอามาแต่งหน้าเลียนแบบนั่นเลยนี่?!
มือบางจึงเปิดเข้าไปดูข้างในที่มีแต่บทพูดเต็มไปหมด...อย่าบอกนะว่านี่มันคือบทละคร?
สองมือพลิกๆดูตั้งแต่ต้นจนถึงหน้าสุดท้าย
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์...นี่มันเป็นบทละครแน่ๆและไฮไลท์ที่ถูกขีดไว้ที่บทพูดของคนคนหนึ่งก็ทำให้ใบหน้ามนถึงกับส่ายไปมา...ไม่จริงน่า...หรือว่าคิโยมิตสึไม่ได้ไปช่วยที่โรงละครแค่การแต่งหน้าแต่ว่าไปร่วมแสดงละครด้วย?
ก็บทที่เขาถืออยู่ในมือนี่ไงคือหลักฐาน
เพราะจะว่าเป็นของคนอื่นที่บังเอิญติดกระเป๋าคิโยมิตสึมาก็ไม่น่าใช่
ก็นอกจากไฮไลท์แล้วรอบๆมันยังมีลายมือของคิโยมิตสึจดเอาไว้อย่างละเอียดว่าจะต้องทำท่าทางยังไง
จดเอาไว้แม้แต่ความรู้สึกของตัวละครที่ต้องแสดงออกไปให้คนดูรับรู้...ไม่ผิดแน่...ลายมือนี้เขาคุ้นเคยดี...มันเป็นลายมือของคิโยมิตสึจริงๆ...
ใบหน้าน่ารักชาวาบเช่นเดียวกับหัวใจดวงน้อยที่เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ร่างทั้งร่างจึงทรุดนั่งลงบนเตียง
ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาในใจทันที
ทั้งๆที่ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะเก็บอะไรเอามาคิดให้มากมายขนาดนี้
ที่ผ่านมาคิโยมิตสึก็ทำตัวเหลวไหลลอยชายมาขนาดไหนเขาก็รู้ดี...แต่คราวนี้คงเป็นเพราะเพิ่งจะน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่มาทั้งๆที่เขารออยู่ทั้งวัน...ไฟแห่งโทสะมันเลยลุกติดขึ้นได้โดยง่าย
คิโยมิตสึไปแสดงละครเวที?
แล้วทำไมต้องโกหกเขาด้วย?
ทำไมต้องหลอกเขาว่าไปช่วยแค่แต่งหน้า? ทำไม? ทำไมล่ะ? กลัวว่าเขาจะไปดู? กลัวว่าถ้าเขารู้เขาจะไปก่อกวน?
เขามันน่ารำคาญขนาดนั้นเลยหรือไง? เขามันพึ่งพาอะไรไม่ได้? ไม่ใช่คนในครอบครัว?
ไม่ใช่คนที่คิโยมิตสึคิดว่าสำคัญ ไม่ใช่คนที่จะต้องบอกงั้นสินะ?
ทำไม?
ทำไม?!!
“กลับมาแล้ว
แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
เสียงที่ดังอยู่ที่ประตูหน้าบ้านด้านล่างทำให้เขากำมือแน่นขึ้นมาทันที
ทั้งความน้อยใจ ทั้งความไม่เข้าใจ ทั้งความรู้สึกไม่ชอบใจที่ถูกอีกฝ่ายโกหกทำให้ความเยือกเย็นที่มีเป็นปกติและเส้นความอดทนที่มีมาตลอดถึงกับขาดผึง
มือข้างหนึ่งหยิบเล่มบทละครขึ้นมาก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปังลงไปหาคนที่ยืนหอบอยู่หน้าประตู
พั่บ!!
บทละครเล่มบางถูกโยนใส่หน้าคิโยมิตสึก่อนที่เขาจะจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
ใบหน้าสวยหน้าถอดสีทันทีที่มองเห็นว่าเขาขว้างอะไรใส่
“นี่คืออะไร?
อธิบายมาทีสิ คิโยมิตสึ” เขาถามอีกฝ่ายเสียงแข็งซึ่งคิโยมิตสึก็มีท่าทีร้อนลนเมื่อตอบกลับมา
“ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะโกหกหรือปิดบังนายนะยาสึซาดะ
แต่ที่ไม่ได้บอกก็เพราะกลัวว่านายจะไม่ยอมรับ...ที่ชั้นหันไปแสดงละครแทนที่จะมาช่วยงานที่โรงฝึกเคนโด้...แต่ว่ามันก็แค่เรื่องเดียวนะยาสึซาดะ
เพราะถูกคาเนะซังไหว้วานมาแล้วชั้นก็ตั้งใจว่าจะช่วยแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
พอจบแล้วก็ไม่คิดจะไปยุ่งกับการแสดงละครอีก”
คิโยมิตสึแก้ตัวเป็นพัลวัน....กลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับ?
เรื่องที่ไม่ยอมกลับมาหาเคนโด้แต่ไปแสดงละครแทน?
นี่เห็นว่าเขามันงี่เง่าขนาดนั้นเลยหรือไง? ถึงจะอยากให้คิโยมิตสึอยู่กับเขาตลอดไปแทบตายแค่ไหนแต่เขาก็รู้ว่าเขารั้งอีกฝ่ายไม่ได้หรอกถ้าคิโยมิตสึอยากจะไป!
ริมฝีปากสีระเรื่อถึงกับเม้มแน่น
สองมือที่กำอยู่ข้างลำตัวถึงกับสั่นระริก แล้วความรู้สึกน้อยใจที่อีกฝ่ายไม่เชื่อในตัวเขา
ทั้งความโกรธที่คิโยมิตสึเลือกที่จะโกหกเขาแทนที่จะเดินเข้ามาทำความเข้าใจกันดีๆมันเลยทำให้เขาเผลอพูดประชดประชันออกไป
“อ่าใช่...ผมรับไม่ได้หรอกที่นายจะไปเต้นกินรำกินแบบนั้น
มันสมเกียรติที่คุณพ่อรับเรามาเลี้ยงเสียที่ไหน
ทั้งๆที่เส้นทางอันน่าภาคภูมิก็ปูอยู่ตรงหน้ากลับไม่เลือก
แล้วดูสิว่าไปทำอะไรอยู่” เขาพูดออกไปด้วยเสียงราบเรียบอย่างพยายามสะกดกลั้นความโกรธที่ใกล้จะปะทุเต็มที
เขาอยากจะทำให้คิโยมิตสึเจ็บช้ำน้ำใจบ้าง จะได้หันมามองเขา จะได้พยายามเข้าใจความรู้สึกของเขาบ้างไม่ใช่จะให้เขาเข้าใจความรู้สึกของคิโยมิตสึอยู่ฝ่ายเดียว
ทั้งเรื่องพ่อแล้วก็เรื่องการแสดงละครนี่ด้วย!
“.........”
แล้วมันก็ได้ผล...หลังจากที่คิโยมิตสึได้ฟังทุกคำพูดที่แสนร้ายกาจของเขา
ใบหน้าสวยๆนั่นก็นิ่งอึ้งไป....ก่อนที่มันจะค่อยๆสั่นสะท้านขึ้นเรื่อยๆ
สันกรามของคิโยมิตสึกัดกันกรอดอย่างพยายามระงับความโมโห
“ช่างนายแล้วกัน
จะคิดยังไงก็แล้วแต่นายแล้วกัน!”
คิโยมิตสึตะโกนออกมาอย่างเลือดขึ้นหน้าแล้วเดินหนีไปทันที ไม่มีคำโต้เถียง
ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีความคิดที่จะพูดคุยหรือพยายามเข้าใจความรู้สึกของเขาอย่างที่เขาต้องการ...ไม่มี....แม้แต่สายตาที่จะหันมามองเขาอีก....
เขามองตามแผ่นหลังโปร่งบางไปด้วยความชะงักค้างเพราะผลมันดันออกมาตรงกันข้าม....ใต้แผ่นอกซีกซ้ายเจ็บปวดทุรนทุรายยิ่งกว่าเมื่อกี้นี้หลายสิบเท่า...ทำไมคิโยมิตสึถึงไม่พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจล่ะว่าการแสดงละครเวทีมันดียังไง?
จนถึงที่สุดแล้วก็ไม่เคยเชื่อในตัวเขาเลย
ไม่เคยเชื่อว่าเขายอมรับได้ทุกอย่างที่คิโยมิตสึเป็น เขาก็แค่พูดประชดไปอย่างนั้นเอง
แค่นี้ทำไมคิโยมิตสึถึงไม่เข้าใจล่ะ?!
ร่างทั้งร่างทรุดลงนั่งอยู่ที่พื้นทางเข้าบ้านอย่างหมดแรง
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ทะเลาะกันขนาดนี้...แล้วที่เขาพูดมันก็ไม่ผิดเสียทีเดียว
อาชีพนักแสดงอะไรนั่นมันไม่เห็นจะมั่นคงตรงไหน อายุมากขึ้นมาจะทำยังไง?
หรือไม่วันไหนเกิดบาดเจ็บจนแสดงไม่ได้จะทำยังไง?
ทั้งๆที่มีโรงฝึกเคนโด้รอให้ช่วยกันดูอยู่แท้ๆแต่คิโยมิตสึกลับไปเลือกการแสดงบ้าบออะไรนั่น...แทนที่จะเลือกโรงฝึก...เลือกที่จะอยู่ข้างๆเขา...
“ฮึก....” น้ำใสๆร่วงกราวลงมายังหน้าตัก ไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดรอยแดงที่จมูกหรือขอบตาแล้วสินะ
เพราะว่าตอนนี้เขากำลังร้องไห้อย่างไม่สนใจว่าคิโยมิตสึจะเห็นหรือไม่
เพราะยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่หันมามองเขาหรอก
เจ็บ...
ไม่รู้เลยว่าเจ็บที่ตรงไหน
สิ่งที่รู้ได้คือน้ำตาพวกนี้มันไหลเพราะว่าเขากำลังเจ็บ....
“คิโยมิตสึ....” ริมฝีปากเผลอเรียกชื่อของคิโยมิตสึออกไป
เพราะเมื่อไหร่ที่เขาร้องไห้คิโยมิตสึก็มักจะคอยอยู่ข้างๆเขาเสมอ...แต่คราวนี้ต่อให้เรียกอีกกี่ที...ข้างกายก็มีเพียงความว่างเปล่า
“คิโยมิตสึ....”
“คิโยมิตสึ........”
เสียงเรียกเหมือนจะขาดใจทำให้คนที่ยืนอยู่หลังประตูห้องต้องกัดริมฝีปากจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นเลือด
ร่างโปร่งกำมือแน่นก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินห่างออกมาจากบานประตูที่ปิดสนิท
เพราะทุกคำพูดเมื่อกี้ที่ยาสึซาดะพูดออกมามันยังดังก้องอยู่ในหัวและมันก็ทำให้เขารู้ตัวว่าต่อให้อธิบายอะไรไปอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมรับฟัง
ร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งลงไปบนเตียงอย่างหมดแรง
มือยกขึ้นปาดเลือดที่ริมฝีปากลวกๆ...นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองเล่มบทละครด้วยแววเหม่อลอย...นึกถึงเสียงปรบมือ
นึกถึงรอยยิ้มของคนดูแล้วเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าละครเวทีที่เต้นกินรำกินนี้มันด้อยกว่าเคนโด้ตรงไหน
มันทำให้คนยิ้มได้ ทำให้คนมีความสุขเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?
“.......”
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ...มันก็อาจจะเป็นความผิดของเขาที่ไม่ยอมบอกยาสึซาดะไปเสียตั้งแต่ตอนแรก
เป็นความผิดของเขาที่เลือกที่จะโกหกแทนที่จะเชื่อในตัวยาสึซาดะว่าอีกฝ่ายจะรับได้ทุกอย่างที่เขาเป็น...แต่ที่เขาเลือกแบบนี้...ที่สุดของหัวใจก็เพราะว่าเขาห่วงความรู้สึกของยาสึซาดะไม่ใช่หรือไง?
ก็เพราะว่ารัก...รักมากกว่าใคร...
แล้วก็เพราะว่ารัก
เขาถึงได้ไม่อยากจะได้ยินถ้อยคำร้ายกาจพวกนั้นจากปากของยาสึซาดะ...ไม่รู้หรอกว่าประชดหรือตั้งใจพูดจริงๆ
แต่เขาหมดแรงที่จะอธิบายแล้ว...
“โธ่เว้ย~~!”
สองมือยกขึ้นมาขยี้หัวก่อนจะทิ้งตัวลงนอน
พอกันที...หยุดคิดเรื่องของอีกฝ่ายแค่นี้ก่อนที่เขาจะเป็นบ้าไป!
ร่างโปร่งพลิกกายตะแคงก่อนจะนอนมองบทละครด้วยสายตาเหม่อลอย...แต่ก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันเลยทำให้เขาตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างได้...ตัดสินใจ...ว่าจากนี้ไปเขาจะเดินในเส้นทางไหน...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
ก้มหลบหม้อไหกะละมังที่อยู่ดีๆก็มีดราม่าเล็กๆโผล่มา
กร๊ากกกก อะ เอาน่า ถึงจะตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋แต่มันก็ต้องมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันอยู่บ้างแหละ
=w= ก็ภาวนาให้ทั้งคู่ดีกันไวๆน้า~
แล้วก็ยังไม่เคยพูดถึงเลยสินะคะว่าฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
ทำไมคะชูถึงต้องแสดงละครเวที 5555...ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะนี่ค่ะ
คะชู
ริวจิ~~~~
>/////<
ช่วงที่เริ่มติ่งคิโยะจังใหม่ๆพอเสริจหาข้อมูลดูก็มีคนพูดถึงโทมิวกันเอาไว้เยอะ
คุณกวางมันก็เลยสงสัยค่ะ แล้วก็ไปหาดูค่ะ จากนั้นก็หลงรักนางแบบหัวปักหัวปำเรยค่ะ =////= คือริวจิเป็นคะชูที่โคตรคะชูมว๊ากกกกก น่ารักสุดๆ >////< เชื่อว่าคนที่เป็นติ่งคะชูคงรู้จักนางกันหมดอ่ะเนอะ5555 นั่นแหละ
เลยอยากแต่งฟิคที่คะชูเป็นนักแสดงละครบ้างไรบ้าง กร๊ากกกกก แต่ก่อนจะมาเป็นฟิคเรื่อง “ใกล้”
ก็เคยลังเลอยู่ว่าเอาแพร์ริ่ง คะชูยามะตันไปใส่ไว้ในฟิคพญาเหยี่ยวรุ่นที่สองดีไหมนะ
แบบว่าทั้งคู่เป็นเด็กที่ศาลเจ้าโคโตฮิระเก็บมาเลี้ยง(ศาลเจ้าของก๊ก)
คนนึงต้องเป็นมิโกะดูแลศาลเจ้า(ก็น่าจะเป็นยามะตันนะ
อิมเมจนางดูบริสุทธิ์กว่าคะชู555)
ส่วนอีกคนก็หาเงินช่วยศาลเจ้าด้วยการไปแสดงละครคาบุกิ(ดำเนินรอยตามก๊ก555)
.....นักแสดงคาบุกิที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลกีย์xมิโกะที่แสนบริสุทธิ์นี่ก็ไม่เลวนาคะ
แฮ่กๆๆ *q* แต่หลังจากตบตีกับตัวเองอยู่หลายวันก็สรุปว่าอย่าเลย
เอาเรื่องหลักให้จบก่อนแบ้วกันพญาเหยี่ยวน่ะ5555 ก็เลยแยกมาเขียนเป็น “ใกล้” โดดๆไปเลยดีก่า ^ ^
แล้วก็ขอขอบคุณผู้มีอุปการคุณที่ส่งโทมิวมาให้คุณกวางร่วมฟินไปด้วยนาคะ
ช่วงปีใหม่นี่อยากจะทลายหลายไหมาก แต่เพราะคะชู ริวจินี่แหละที่ทำให้ไหนี้แตกก่อนเพื่อน5555
>////<
ความจริงตอนที่ 3 นี้เสร็จตั้งแต่ช่วงปีใหม่แบ้วค่ะ
แต่อยากจะรอให้ตอน 4 เสร็จก่อนแล้วค่อยลง แต่จนแล้วจนรอดตอน 4 ก็ยังมีอยู่แค่คืบ =
=” ก็เลยตัดสินใจลงตอน 3 กันโกดังร้างไปก่อนแบ้วกัน กร๊ากกกกก //
หลบหม้อไหกะละมังอีกรอบถถถถ
ขอบคุณทุกๆการติดตาม
ทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆเสียงทวงด้วยนะคะ เชื่อเถอะว่าคุณกวางมันไม่ใช่พระอิฐพระปูน
เวลามีเสียงทวงเด้งมาทีไรมันก็คิดจะรีบแต่งให้ไวตลอดเรยนาคะ5555 ถึงแม้จะตายกลางทางตลอดเลยก็เถอะถถถถ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
>v<
อ่านแล้วบีบหัวใจมากๆเลยค่ะตอนนี้
ตอบลบฮืออออ ทำไมไม่พูดตรงๆ
ลุ้นเหลือเกิน รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
จะรอตอนต่อไปนะคะ มาส่องทุกวันเลยว่ามาอัพรึยัง..
ตอบลบคำเดียวเท่านั้นที่แสดงได้ในตอนนี้....ค้าง
ตอบลบ