Battery S.Fic [GoxTakumi] “TAKUMI” : END


Battery S.Fic [GoxTakumi]   TAKUMI”  : END

: Battery Fanfiction
: Nagakura Go x Harada Takumi
: Drama
: NC-17

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ






ผมชอบมองรูปร่างของทาคุมิจากตำแหน่งของแคชเชอร์...

เวลาที่เขายกแขนขึ้นเหนือหัวพร้อมถุงมือและลูกเบสบอลในมือ ผมสามารถมองเห็นสัดส่วนที่สวยงามของเขาได้ ไม่ว่าจะแผ่นอกแบนเรียบหรือลำตัวที่ผอมบาง ไม่ว่าจะช่วงเอวได้รูปหรือต้นขาที่ยกขึ้นมาในท่าเตรียมขว้างนั่นก็ช่างเรียวสวยไม่สมกับเป็นต้นขาของนักกีฬาที่วิ่งมาวันละหลายกิโลเลยสักนิด แล้วก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่ายูนิฟอร์มเบสบอลจะทำให้เขาดูเซ็กซี่มากในสายตาของผมยามที่เขายืนอยู่บนเนินแห่งนั้น...ยามที่พิชเชอร์อย่างเขากำลังยืนเผชิญหน้ากับแคชเชอร์อย่างผม


ผมชอบมองรูปร่างของทาคุมิจากตำแหน่งของแคชเชอร์...

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ชอบมองรูปร่างของเขา...จากมุมมองที่ผมมองอยู่ในตอนนี้...


“....ฮ้า...ฮ้า...อื้อ~...”   นัยน์ตาของผมทอดมองร่างผอมบางข้างใต้บิดเร่าอย่างพึงพอใจ ใบหน้าน่ารักๆที่มักจะเย็นชาไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องอะไรและไม่สนใจใครกำลังแสดงความทรมานราวกับจะขาดใจอยู่ตรงหน้าผม กลุ่มผมสีดำชื้นเหงื่อสะบัดไปมาละหมอนใบใหญ่ที่รองรับช่วงบนของเขาเอาไว้ มือที่เคยขว้างลูกเบสบอลใส่ผมมานับครั้งไม่ถ้วนกำลังขยี้ขย๋ำผ้าปูที่นอนอย่างต้องการจะระบายอารมณ์ร้อนที่ผมไล่ต้อนเขาอยู่

“โก....อื้อ...”   ใบหน้าของเขาสะบัดไปซุกกับหมอนเอาไว้...ผมรู้ว่าเขาคงอยากจะร้องห้ามแต่ก็จำต้องกักเก็บคำพูดเหล่านั้นลงไป ถึงร่างกายของเขาจะเป็นไปตามธรรมชาติเมื่อถูกปลุกเร้า แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้ยอมผมจากใจหรอก


มันถึงได้มีความรู้สึกต่อต้านแฝงอยู่ในร่างกายที่ยอมให้ผมกอดของเขา...


“อึ๊ก!”   ดวงตาของเขาปิดแน่นทันทีที่ผมรั้งสะโพกของเขาแล้วกระแทกกายใส่เข้าไปแรงๆ ริมฝีปากที่บอบช้ำจากแรงบดขยี้ของผมพยายามที่จะปิดเอาไว้ แต่ความเสียวซ่านท่ามกลางลมพายุทำให้ก็มีบ้างที่เขาจะทนไม่ไหวจนต้องส่งเสียงครางออกมา

“ทาคุมิ...”   ผมเรียกชื่อของเขาเพื่อตอกย้ำให้เขารู้ว่าใครกันที่กำลังลงโทษเขาอยู่ ผมโน้มตัวลงไปใกล้ๆใบหูของเขาก่อนจะกดจูบที่ซอกคอขาวๆแล้วไล่ริมฝีปากอย่างจงใจลงไปตามลาดไหล่ข้างขวาที่เขาหวงนักหวงหนา

“อ้า...อื้อ!”   เขาคงอยากจะผลักไสผมให้ออกไปห่างๆแขนของเขาแต่ช่วงล่างของผมที่ยังฝังแน่นอยู่ในตัวเขาก็ทำให้เขาทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากยอมให้ผมจูบไหล่ขวาของเขาไปเรื่อยๆ

“อึก!”   ก่อนที่ผมจะขบเม้มฝากรอยสีแดงเอาไว้ที่ต้นแขนข้างนั้น


แล้วทำไมผมถึงทำกับเขาแบบนี้น่ะเหรอ?


ก็เพราะเขาเป็นคนนิสัยแย่จนแม้แต่คนที่ใครๆก็เรียกว่าพ่อพระแบบผมยังทนไม่ไหว

เขามันเย็นชา ไม่เคยสนใจความรู้สึกใคร ไม่เคยฟังใคร เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เห็นหัวคนอื่น ดื้ออย่างตรงไปตรงมา พูดจาไม่เคยเข้าหู ไม่สนใจอะไรนอกจากการขว้างลูก คำว่าทีมก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวเขาแต่ที่เขาจำเป็นต้องเข้าทีมก็เพราะเบสบอลมันเล่นคนเดียวไม่ได้ เชื่อเถอะว่าถ้าเล่นคนเดียวได้เขาคงเล่นคนเดียวไปแล้ว

เพราะทาคุมิเป็นคนแบบนั้น เขาถึงได้ต้องเข้าไปพัวพันกับการโดนกลั่นแกล้งเพราะถูกหมั่นไส้อยู่บ่อยๆ เพราะถึงเขาจะเป็นพิชเชอร์ที่เก่งมากจนหาตัวจับยากแต่ก็เข้ากับใครไม่ได้เลย

อันที่จริงผมเองไม่ได้มีปัญหาอะไรกับนิสัยแย่ๆของเขา ผมกลับมองว่ามันเป็นความอวดดีที่น่ารักไปอีกแบบ...แต่ที่ผมมักจะทนไม่ได้ก็คือ...การถูกเขาสงสาร

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมพยายามไล่ตามเขาให้ทัน...อยากจะเป็นแคชเชอร์ที่เก่งที่สุดสำหรับเขา  แต่นับวันมันก็ยิ่งห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ...

ไม่ใช่ว่าผมไม่พัฒนา...แต่ว่าเขาเองก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน...มันทำให้ผมรู้สึกว่าไล่ตามเท่าไหร่ก็ไม่มีทางทัน และเขาก็คงรู้ถึงจุดนี้ มันถึงได้มีอยู่หลายครั้งที่เขามักจะเผลอแสดงความสงสารเห็นใจ...ด้วยการขว้างลูกแบบออมแรงเพราะกลัวว่าผมจะรับลูกของเขาไม่ได้...

และนั่นมันก็ทำให้ผมโกรธ

โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

โกรธจนอยากจะฆ่าเขาให้ตาย

โกรธจนหยุดยั้งอารมณ์ของตัวเองไม่ได้

และทุกครั้งผมก็มักเอาความโกรธนั้นไปลงกับเขา

แรกๆก็แค่ต่อย หลังๆผมเคยพลั้งมือบีบคอเขาจนเกือบตาย และท้ายที่สุดก็มาลงเอยที่....


“....อึก...โก?...”   นัยน์ตาที่สั่นพร่าของเขาเหลือบมองมาที่ผมเมื่อจู่ๆผมก็หยุดทั้งๆที่อีกไม่นานก็จะถึงจุดสูงสุด ถึงเขาจะทำเพราะถูกผมใช้กำลังบังคับแต่เขาก็ต้านความปรารถนาตามธรรมชาติไม่ไหว ร่างกายของเขาถึงได้สั่นระริกจากความต้องการเมื่อผมไม่ขยับร่างกายต่อ

ผมทอดสายตาไล่มองร่างกายของเขาจากด้านบน...มันสวยจริงๆ...สวยยิ่งกว่าตอนที่เขายืนอยู่บนเนินกลางสนามเบสบอลเสียอีก...ผมขยับมือไปลูบสีข้างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเพราะความผอมของเขาอย่างแผ่วเบา...ที่ผมอารมณ์ร้ายก็เป็นเพราะเขา กับเขา และเพื่อเขาคนเดียว

“ฮะ? อ้า~!”   ผมย้ายมือกลับมาที่สะโพกมน หลังจากที่จับยึดมันเอาไว้ ผมก็กลับมากระแทกกายใส่เขาไม่ยั้งเหมือนเดิม

ผมอาจจะช่วยเขาด้วยการเล้าโลมบ้างเพื่อให้สอดใส่เข้าไปได้ง่ายและเขาจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวจนทำให้คนอื่นๆสังเกตเห็น แต่หลังจากที่ใส่เข้าไปได้แล้วผมก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขาอีก ผมสนแค่ว่าผมจะระบายความโกรธที่เขาสร้างไว้ให้ผมยังไง ผมกระแทกกายใส่อย่างเต็มกำลังโดยไม่สนว่าเขาจะกระตุกหรือไม่ จะทรมานแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะถอยหนีด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายแต่มือใหญ่ๆของผมก็จะรั้งสะโพกของเขาเอาไว้แล้วยัดเยียดความเป็นชายของผมเข้าไปจนหน้าท้องของผมแนบแน่นอยู่ที่โคนขาของเขาเสมอ ผมมักจะใส่เข้าไปให้ลึกที่สุดเพราะผมอยากจะฝังตัวตนของผมเอาไว้ในความทรงจำของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เขาจะได้ไม่ลืมแคชเชอร์คนนี้ คนที่อยากจะเป็นที่หนึ่งของเขา คนที่ไม่ต้องการให้เขามาสงสารหรือเห็นใจ!

“อื้อ~!!”   เขาหันหน้าไปซุกกับหมอนเอาไว้เมื่อการแทรกกายครั้งสุดท้ายที่ทั้งหนักหน่วงทั้งรุนแรงนั้นจบลง น้ำสีขาวขุ่นของเขาพวยพุ่งเต็มหน้าท้องเช่นเดียวกับของๆผมที่ไหลทะลักเข้าไปในตัวเขา

“ฮ้า...ฮ้า...ฮ้า......”  เขาทิ้งตัวลงไปจนแทบจะจมหายในเตียง เสียงหอบหายใจดังคละเคล้าจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร ผมก้มลงไปซุกไซร้ที่ซอกคอของเขาเบาๆ ถึงผมจะบังคับ ถึงผมจะถือว่ามันเป็นการลงโทษ แต่ผมก็อยากจะบอกกับเขาว่าที่ผมทำลงไป...ผมไม่ได้ทำอย่างไร้หัวใจ

ความเหนื่อยล้าจากการซ้อมเบสบอลและสิ่งที่ผมสร้างให้แก่เขาทำให้ทาคุมินอนนิ่งอยู่บนเตียง เขาใช้เพียงนัยน์ตาลอยๆมองตามผมที่ถอนกายออกไปและใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดร่างกายของเขาให้ นอกจากหน้าท้องแล้วปลายนิ้วของผมยังล้วงเข้าไปในช่องทางคับแน่นเพื่อเอาของๆผมออกมา เขาขมวดคิ้วพลางหลับตาแน่นทุกครั้งที่ผมทำแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เคยห้าม ไม่เคยปฏิเสธ

หลังจากที่ลมหายใจกลับสู่สภาวะปกติ เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่งช้าๆ เสื้อเชิ้ตถูกหยิบมาสวมใส่ด้วยท่าทางเบลอๆ พอเสื้อผ้ากลับไปอยู่บนร่างกายของเขาครบ เขาก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่า

“ทาคุมิ...จะกลับแล้วเหรอ?”   วันนี้ดูเขาเพลียๆ ผมเลยถามออกไปเพราะยังไงก็เป็นห่วง

“อือ...ก็เสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง?”   เขาตอบกลับมาด้วยใบหน้าเฉยชา

ผมถึงกับกัดริมฝีปากก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดเข้าหากัน...ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้  จะไม่ถามเหตุผลหรือแม้แต่จะต่อสู้ดิ้นรนหน่อยหรือไงที่ผมทำเรื่องแบบนี้กับเขา  ปฏิกิริยาของเขามันชวนให้รู้สึกหงุดหงิดจนเพลิงอารมณ์ที่เพิ่งมอดไปคุกรุ่นกลับมาได้  ถ้าเขาร้องไห้ ถ้าเขาต่อว่าด่าทอผม ถ้าเขาต่อยผมชกผมที่ผมบังคับจนเหมือนจะเกือบๆขมขื่นเขา ถ้าเขาขัดขืนหรือต่อต้านหรือแม้แต่เขินอายบ้าง...ผมก็คงจะไม่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้บ้าที่ทำเรื่องแบบนี้กับตุ๊กตาอย่างงี้หรอก!

เขาทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนและนั่นมันก็ทำให้ผมทนไม่ได้

ไวเท่าความคิด มือของผมเอื้อมไปคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ก่อนจะกระชากลำตัวบางๆนั่นกลับลงมาที่เตียง  ตราบใดที่หัวใจของผมยังขุ่นมัว  ผมจะไม่ปล่อยเขาไป

“เดี๋ยวโก  อื้อ~”   เสื้อเชิ้ตที่เพิ่งใส่ถูกรูดกระดุมออกอีกครั้ง ผมกดเขาลงกับเตียงและไม่สนใจฝ่ามือที่พยายามจะห้าม


ผมทำเรื่องแบบเมื่อกี้ซ้ำอีกครั้ง...

ผมจัดการเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ


ในเมื่อเขาไม่เคยอยากรู้ว่าทำไมผมถึงทำเรื่องแบบนี้กับเขา ผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามเพลิงอารมณ์ที่เขาเป็นคนจุดไฟให้ผมเอง














ปั่บ!!

เสียงลูกเบสบอลที่พุ่งตรงเข้าไปอยู่ในถุงมือของผมอย่างหนีไปไหนไม่ได้นั้นผมชอบฟังมันเป็นที่สุด

แรงที่สั่นสะท้านมาถึงข้อมือทำให้ใจของผมเต้นระรัว...มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆ...สุดยอดเช่นเดียวกับเขา...คนที่ขว้างลูกแบบนี้มาให้ผมได้

ยามที่เพลิงอารมณ์ถูกกำจัดไป สำหรับผมแล้วเขาคือคนที่สุดยอดจนไม่มีใครมาเทียบได้ ทาคุมินั้นเป็นพิชเชอร์ที่เก่งมาก...เก่งจนผมคิดว่าเขาคงไม่มีวันแพ้ใคร คงไม่มีวันปล่อยแบตเตอร์คนไหนให้ตีลูกของเขาได้


เคร้ง!!


แต่ปัญหามันก็มักจะมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ...

ผมได้แต่อ้าปากค้างมองลูกบอลที่ลอยไปยังฝั่งตรงข้าม แบตเตอร์ที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าผมวิ่งผ่านหน้าไป...ทำไม? ทำไมหมอนั่นถึงตีลูกของทาคุมิได้? ถึงจะเป็นแค่การแข่งรอบคัดเลือก แพ้ก็ยังมีนัดให้แก้ตัว แต่มันควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้ใครตีลูกของเขาได้ง่ายๆน่ะ?

นัยน์ตาดุดันตวัดไปมองคนที่ยืนอยู่บนเนินทันที ผมรู้ว่าไม่มีอะไรกวนใจของเขาได้...นอกจากเรื่องของผม...

ทำไมกัน? ลูกก่อนหน้านี้ผมก็รับได้ด้วยดีไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไม? ทำไมเขาถึงได้ออมแรงเอาไว้?

“จบเกม...”   เสียงกรรมการข้างหลังดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากเขาไปมองลูกบอลในมือของเอาท์ฟิลด์ที่รับบอลที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศนั่นได้...ก็ยังดีที่นี่เป็นลูกสุดท้าย ก็ยังดีที่ทีมของผมรับบอลเอาไว้ได้ ก็ยังดีที่การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของพวกเรา...


ใช่...พวกผมชนะก็จริงและทุกคนในทีมต่างลืมเลือนมันไป แล้วหันไปเฮฮาตามประสาผู้ชนะ...แต่ลูกสุดท้ายนั่นมันกลับกวนใจผมจนอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้...ทำไม?...ทำไมเขาถึงไม่ขว้างมาให้เต็มแรง?

รถบัสสั่นสะเทือนน้อยๆตามสภาพถนน คนอื่นๆในทีมต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมจึงหันไปมองเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ...

นัยน์ตาสีอมน้ำตาลของเขาปิดลง ใบหน้าที่ดูเพลียๆของเขากำลังหลับสนิทพิงขอบหน้าต่างรถเอาไว้...เป็นไปได้ยังไง? ถึงเขาจะไม่ใช่คนตัวใหญ่แต่เขาก็แข็งแรงพอที่จะไม่เหนื่อยจนหลับไปแบบนี้แน่?

หรือว่าเขากำลังหลบหน้าผม?

ไม่อยากพูดกับผม ก็เลยแกล้งหลับ?

ฝ่ามือได้แต่กำแน่นอยู่บนหน้าตัก ระยะทางจากสนามแข่งยิ่งห่างจากบ้านผมเท่าไหร่ความโมโหของผมก็ยิ่งทบทวีเท่านั้น และพอรถบัสจอดส่งผมกับเขาลง ฝ่ามือของผมก็จับข้อมือของเขาแล้วออกแรงลากให้เดินตามมาทันที

ผมไขกุญแจบ้านทั้งๆที่มืออีกข้างยังบีบข้อมือของเขาแน่น เขาคงรู้ดีว่าผมลากเขามาที่บ้านของผมทำไม

เขาทำให้ผมหงุดหงิดบ่อยเหลือเกินพักหลังๆนี้ นอกจากเรื่องเบสบอลแล้วก็ยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างอื่นอีก...บ่อย...เสียจนการทำเรื่องแบบนี้แทบจะกลายเป็นความเคยชิน

ผมเหวี่ยงเขาเข้าไปในห้อง แรงของผมมากกว่าเขาเยอะ เพราะงั้นต่อให้พยายามขืนตัวเอาไว้แต่เขาก็ยังเซถลากว่าจะกลับมายืนตรงๆได้ก็ต้องก้าวไปไม่รู้กี่ก้าว

เขาหันมาหาผมพลางทำหน้ากระอักกระอ่วน...ความจริงเขาเป็นพวกที่แสดงออกทางสีหน้าอยู่บ้าง เพียงแต่จะไม่พูดออกมา ผมก็ไม่รู้นะว่าที่เขาไม่พูดเพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกหรือปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์หรือเปล่า และบางครั้งเขาก็เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจใช้ได้เลย

“โก...วันนี้ชั้น...”   นัยน์ตาอมน้ำตาลช้อนขึ้นมามองผม ถ้าเขาจะแก้ตัวเรื่องลูกสุดท้ายนั่นละก็ ผมไม่อยากฟัง

“ถอดเสื้อผ้าออกซะ”   ผมจึงพูดกับเขาด้วยเสียงแข็งๆ มือวางกระเป๋ากีฬาที่สะพายอยู่บนบ่ามาตลอดลงที่พื้นก่อนจะก้าวขาเข้าไปหาเขาที่ยังยืนนิ่ง

“นายรู้รึเปล่าว่าทำไมชั้นถึงทำเรื่องแบบนี้กับนาย?”   ในเมื่อเขาไม่ถอด ผมจึงเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อให้เขาแทน

“.............ถ้าทำแล้วนายสบายใจ ถ้าทำแล้วนายกลับมารับลูกให้ชั้นได้เหมือนเดิม...อยากจะทำเท่าไหร่ก็ทำไปเถอะ”   แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ผมกัดฟันกรอดอีกครั้ง

“ทาคุมิ...นายนี่มัน...”   เขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของคู่แบตเตอร์รี่ของเขาเลย เขาเคยเห็นผมอยู่ในสายตาของเขาบ้างไหม? ผมที่พยายามแทบตายที่จะได้เป็นที่หนึ่งของเขา!


ตุ้บ...


ผมโยนเขาในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยลงไปบนเตียง...ก็ดี...ในเมื่อเขาเป็นคนบอกผมเองว่าจะทำเท่าไหร่ก็ทำไปเถอะ เพราะงั้นก็อย่ามาเสียใจกับคำพูดของตัวเองเชียว!














ผมนั่งมองทาคุมิที่หลับสนิทอยู่บนเตียงหลังจากที่ทำไปไม่รู้กี่รอบ ดูจากกองทิชชู่ที่ตกเกลื่อนอยู่รอบเตียงมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เขาจะเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นแบบนี้

มือหนาเอื้อมไปลูบใบหน้าที่หลับใหลของเขาเบาๆ นี่พวกเรามาถึงขั้นนี้ได้ยังไงกันนะ เพราะนิสัยของเขานั่นแหละที่ปลุกความดำมืดในตัวผมขึ้นมา ทั้งๆที่กับคนอื่นๆแล้วผมเป็นเพียงนาคากุระ โกที่พึ่งพาได้ ใจเย็น ใจดี มีแต่รอยยิ้มเสมอ บอกตามตรงว่าผมไม่เคยโกรธ ไม่เคยโมโหใครขนาดนี้มาก่อน

แน่นอนว่าผมก็ไม่เคยเห็นใครสำคัญและเป็นคนพิเศษเท่าเขาเช่นกัน...

มือหนาขยับไล่จากแก้มใสลงมาที่ลาดไหล่เปลือยเปล่า  ร่องรอยความรุนแรงน้อยๆที่ผมฝากไว้ตามตัวเขาบางทีมันก็ทำให้ผมมานึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน ทำไมผมถึงต้องทำร้ายเขาด้วย ทำไมผมไม่อดทนอดกลั้นทั้งๆที่รู้ว่านิสัยของเขาเป็นแบบนั้น เพราะอะไรกัน...อะไรที่มันผิดเพี้ยนไปในตัวของผมกับเขากัน?

ผมลุกขึ้นยืนช้าๆก่อนจะหยิบกางเกงมาสวมลวกๆ นัยน์ตาเหลือบมองนาฬิกาที่เข็มชี้เวลาบอกว่าเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว...วันนี้ทาคุมิคงต้องค้างที่นี่...

เมื่อก่อนพอมีอะไรกันเสร็จ เขาก็จะกลับบ้าน แต่พักหลังๆมานี้มันถี่ขึ้นแล้วแต่ละครั้งก็นานขึ้น จนทาคุมิกลับบ้านไม่ไหวจนต้องนอนที่นี่อยู่บ่อยๆ

สองขาก้าวออกมาจากห้อง ผมตั้งใจจะลงมาหาน้ำดื่มแต่หลังจากที่กำลังหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็น ไฟที่โถงทางเข้าบ้านก็สว่างขึ้นเสียก่อน

“แม่? กลับมาแล้วเหรอครับ?”   ผมเอ่ยถามในขณะที่มือก็ปิดตู้เย็น  แม่เองก็ต้องไปช่วยงานที่โรงพยาบาลเพราะงั้นช่วงกลางวันถึงหัวค่ำ ที่บ้านของผมจึงไม่มีใครอยู่

“กลับมาแล้วจ้ะ”   แม่เดินเข้ามาในครัวก่อนจะวางข้าวของที่คงจะแวะไปซื้อมาลงบนโต๊ะ

“แม่เห็นรองเท้า...ทาคุมิคุงมาค้างที่นี่อีกแล้วเหรอ?”   แม่เองก็รู้จักทาคุมิดี เพราะแม่ของทาคุมิเป็นเพื่อนของแม่ อีกอย่าง เรื่องที่ผมมักจะพูดคุยกับแม่ในช่วงนี้ก็เป็นเรื่องของทาคุมิแทบทั้งนั้น

“ครับ...มาติวหนังสือน่ะ”   ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าตัวเองจะปั้นหน้าโกหกได้แนบเนียนขนาดนี้ คงต้องบอกว่าเขาเป็นคนสอนอะไรหลายๆอย่างให้ผมจริงๆ แล้วมันก็มีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น...

“.......โก...คงไม่ได้มีอะไร...มากกว่าติวหนังสือใช่ไหม...คือแม่ได้ยินมาจากเด็กโรงเรียนของลูกที่มาหาหมอที่โรงพยาบาลคุยกัน ว่าทาคุมิคุงน่ะค่อนข้างจะเป็นตัวปัญหา...”   จู่ๆแม่ก็พูดออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้ากังวล

“แม่!   ผมเผลอตวาดออกไปเพราะไม่ชอบใจเลยที่แม่จะมาตัดสินทาคุมิจากการที่ไปฟังคนอื่นมา ถึงเขาจะนิสัยแย่แต่เขาก็ไม่ใช่ตัวปัญหา ผมรู้ดีว่าทาคุมิก็พยายามใช้ชีวิตของตัวเองไป บางเรื่องเขาก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่คนอื่นๆเองนั่นแหละที่เข้าไปหาเรื่องเขา บางคนก็คิดเองเออเองบ้างล่ะว่าเขาเป็นอย่างงู้นอย่างงี้ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้จักเขาดีสักคน ขนาดคนที่อยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลาอย่างผม บางทีก็ยังไม่รู้จักเขาดีพอเลย

“แม่ก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะที่ลูกจะคบทาคุมิคุงเหมือนที่คบกับเพื่อนคนอื่นๆตราบใดที่ลูกยังตั้งใจเรียน...แต่พักหลังๆมานี้ลูกมักจะออกไปหาเค้าตอนดึกๆดื่นๆใช่ไหม? แล้วอะไรๆก็มีแต่ทาคุมิๆๆ นี่ถ้าแม่ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้ชาย แม่คงคิดว่าเค้าเป็นแฟนของลูกแน่ๆ!   และแล้วคำๆหนึ่งซึ่งผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนก็หลุดออกมาจากปากของแม่

“แฟน?....”   มันเป็นคำที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวของผมเลยจริงๆ...แต่พอได้รู้จักกับคำๆนี้...ความรู้สึกหลายๆอย่างที่ผมหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมผมถึงได้ทำร้ายเขา ทำเรื่องแบบนั้นกับเขา...มันก็ทำให้ผมพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว...

“โก....”   แม่ยกมือขึ้นมาลูบที่แก้มของผมด้วยสายตากังวลเมื่อเห็นผมนิ่งค้างไป

“ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของเรานะ ยังไงก็คิดถึงอนาคตของที่บ้านด้วย จะทำอะไร...ก็อย่าให้มันเกินเลย...”   นี่แม่ไปได้ยินเด็กในโรงเรียนพวกนั้นคุยเรื่องอะไรมากันแน่? แล้วที่ว่าทาคุมิเป็นตัวปัญหา...มันปัญหาเรื่องอะไร? แม่ถึงได้ทำเหมือนจะรู้เป็นนัยๆว่าผมกับทาคุมิไม่ใช่แค่เพื่อนกันธรรมดาๆ

ผมถอนหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับแม่ตรงๆ ผมอาจจะต้องใช้เวลาในการคิดเรื่องของตัวเองกับทาคุมิอีกสักหน่อย แต่สิ่งที่ผมมั่นใจในตอนนี้และสามารถบอกกับแม่ได้ก็คือ

“ผมจะรับช่วงต่อโรงพยาบาลแน่ครับ แม่ไม่ต้องห่วง...เพราะงั้นแลกกับเรื่องของทาคุมิ...แม่อย่ามายุ่ง”   ผมก้าวขาเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่รอฟังคำตอบจากแม่ แต่ถึงจะรอฟังก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่แม่จะมีสติพอจะให้คำตอบผมได้ ในเมื่อแว่บสุดท้ายที่ผมเห็นนั้น แม่กำลังยืนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าลูกชายที่อารมณ์ดีและอยู่ในโอวาทของเธอมาตลอดจะแข็งกร้าวถึงขนาดกล้าป่าวประกาศเรื่องแบบนั้นออกมา

ความสัมพันธ์ของผมกับทาคุมิอาจจะยังคลุมเครือในสายตาของแม่ แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ผมเลือกคือทาคุมิ...เพราะเลือกทาคุมิผมถึงได้ยอมที่จะทำตามสิ่งที่แม่ต้องการอย่างการตั้งใจเรียนแล้วรับดูแลโรงพยาบาลต่อจากพ่อ

ตอนนี้เธอคงจะรู้แล้ว...ว่าทาคุมิมีอิทธิพลต่อลูกชายของเธอขนาดไหน...
















ผมกับทาคุมิเรียนอยู่คนละห้องเพราะงั้นผมจึงไม่รู้ว่าในระหว่างที่กำลังเรียนหนังสือเขาเป็นยังไง แต่เท่าที่รู้คะแนนของเขาก็ไม่ได้แย่จนน่าเป็นห่วงอะไร ผมกลับห่วงนิสัยของเขามากกว่าว่าจะเข้ากับเพื่อนร่วมห้องได้ไหม แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีซาวากุจิ หนึ่งในเพื่อนที่ชมรมเบสบอลเรียนอยู่ห้องเดียวกับเขาด้วย

แล้วตอนนี้ซาวากุจิที่ว่าก็กำลังยืนรอผมอยู่ที่หน้าห้องเรียนของผม

“ซาวะ? มีอะไรเหรอ?”   ผมมองเพื่อนตัวเล็กที่ตัดผมทรงสกรีนเฮดจนแทบจะเรียกได้ว่าโกนที่ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนหลังจากที่เรียกผมออกมาหา เชื่อได้เลยว่าเรื่องที่ซาวะกำลังจะบอกผมน่าจะเป็นเรื่องของทาคุมิ เพราะไม่มีใครเอาเขาอยู่นอกจากผม และเวลาที่เขาโดนแกล้งขึ้นมาก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเหมือนผมเช่นกัน

“เอ่อ....คือ....”   ซาวะทำท่าอึกๆอักๆราวกับว่าไม่แน่ใจว่าควรจะพูดมันออกมาดีไหม ซึ่งมันมีแต่จะทำให้ผมอยากรู้หนักกว่าเดิม

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”   ผมยิ้มให้เขาอย่างพยายามไม่กดดัน

“คือ......คือว่านะโก...ชั้นมีเรื่องอยากจะถามหน่อย...”

“หื๋อ?”

“.......รอย...รอยแดงๆตามตัวฮาราดะ...นายเป็นคนทำใช่ไหม?”   และแล้วสิ่งที่ซาวะพูดออกมาก็ทำให้ผมหน้าชาไปครึ่งซีก

“........”   ในหัวของผมกำลังประมวลผลว่าควรจะตอบซาวะว่ายังไงดี ทั้งๆที่ผมพยายามปกปิดร่องรอยพวกนั้นโดยไม่ทำในที่ที่ใครจะมองเห็น แต่ถ้าซาวะเห็นมันเข้านั่นแสดงว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับทาคุมิ

“......ใช่”   ผมตัดสินใจสารภาพออกไปตามตรงเพราะผมคิดว่าคงไม่สามารถจะปกปิดเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทได้นานเท่าไหร่นักหรอก ปกติแล้วความสัมพันธ์ของผมกับทาคุมิก็ค่อนข้างจะล่อแหลมในสายตาพวกเพื่อนๆอยู่แล้ว สู้ยอมรับไปเลยดีกว่าจะมานั่งโกหก และผมคิดว่าทาคุมิเองก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอกถ้าหากใครจะรู้เรื่องของผมกับเขา

“คือ...ชั้นก็รู้หรอกนะว่ามันเป็นเรื่องของพวกนาย แต่ฮาราดะน่ะ หมู่นี้ดูเพลียๆใช่ไหมล่ะ  เวลาขว้างลูกไปนานๆก็จะแผ่วช่วงท้ายๆอย่างเห็นได้ชัดเพราะเค้าน่าจะหมดแรง...แล้วในคาบเรียนก็หลับตลอดเลย...แล้ววันนี้ก็ถึงขั้นเป็นลมในคาบพละ...ชั้นคลายเสื้อให้เค้าถึงได้เห็นรอยพวกนั้น...เพราะงั้นก็เลย”   สิ่งที่ซาวะบอกกับผมทำให้ผมถึงกับนิ่งอึ้งไป บางอย่างผมก็ไม่ทันคิด...อย่างเรื่องที่เขาจะหมดแรงเพราะเรื่องที่ผมทำกับเขา ผมเอาแต่ทิฐิและความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำให้ผมมองข้ามใบหน้าเพลียๆของเขาไป คิดว่าเขาพยายามจะหลบหน้าผม ทั้งๆที่เขาก็แค่เหนื่อย ที่เขาปล่อยให้ใครต่อใครตีลูกของเขาได้นั่นก็เพราะเขาหมดแรงไม่ใช่กลัวว่าผมจะรับลูกของเขาไม่ได้...

“นายบอกว่าทาคุมิเป็นลม?!   บ้าจริง! ทำไมผมถึงไม่เอะใจเลย ทำไมผมถึงได้งี่เง่าแบบนี้ ที่เขาเพลียจนถึงกับเป็นลมเป็นแล้งไปก็เพราะผมคนเดียว เขารองรับอารมณ์รุนแรงของผมโดยไม่ขัดขืนจมมันเป็นแบบนี้!

“อ่า...ใช่...ตอนนี้ยังนอนอยู่ที่ห้องพยาบาล”

“เดี๋ยวชั้นมา”   ผมก้าวขาวิ่งออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าคาบต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้น

“เฮ้โก!”   ไม่สนใจว่าซาวะจะตะโกนร้องเรียกอยู่ข้างหลัง ตอนนี้หัวใจที่ร้อนรนของผมมันเป็นห่วงอยู่แค่คนที่นอนอยู่ในห้องพยาบาลเท่านั้น



ครืด!!!



ผมเปิดประตูห้องพยาบาลอย่างไม่สนใจว่ามันจะหลุดออกมาไหม สองขาก้าวเข้าไปยังเตียงที่มีเงาของคนนอนอยู่ และใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบของเขาก็ทำเอาผมถึงกับน้ำตาซึม

จะว่าเจ็บหรือยังไงผมก็บอกไม่ได้ รู้แค่ว่าผมไม่ชอบเห็นภาพแบบนี้เลย...ภาพเขาที่กำลังบาดเจ็บ...ยิ่งจากน้ำมือของผมเอง มันก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะชกตัวเองให้ปากแตกเลยจริงๆ

มือหนาลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆเตียงก่อนจะเอาแต่จ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิด

สิ่งที่แม่บอกเมื่อนำมาผนวกเข้ากับคำพูดของซาวะ มันทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง...เข้าใจในตัวเขาและเข้าใจในความรู้สึกของผม...ว่าที่ผมโกรธ ว่าที่ผมอารมณ์ร้ายใส่เขา...จริงๆแล้วผมก็แค่รักเขาเท่านั้นเอง...




ผมนั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอยู่ตรงหน้าเขาที่กำลังหลับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย...คิดอยู่แบบนั้นจนกระทั่งแสงแดดยามเย็นสาดส่องเข้ามา

แล้วในที่สุดดวงตาสีอมน้ำตาลของเขาก็ค่อยๆลืมขึ้นมา...







วันนี้ผมกับเขาโดดซ้อมเบสบอลซึ่งมันหาได้ยากเต็มที

เงาร่างของเราสองคนทาบทับลงไปบนถนนเลียบลำคลอง ความเงียบที่ปกคลุมอยู่รอบกายทำให้รู้สึกอึดอัดแปลกๆ จนในที่สุดผมก็เอ่ยออกไปเพื่อทำลายความเงียบ

“นายมันน่าโมโหจริงๆทาคุมิ”   ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา เขาขมวดคิ้วก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น

“..............แล้วจะให้ชั้น...ทำยังไง...นายถึงจะพอใจ...”

“พอที!”   ผมโยนกระเป๋าลงข้างทางก่อนจะจับต้นแขนซ้ายของทาคุมิแล้วดันแผ่นหลังของเขาให้ปะทะเข้ากับลำต้นของต้นไม้ข้างทาง ริมฝีปากของผมประกบลงไปที่ริมฝีปากของเขา เรียวลิ้นสอดใส่เข้าไปในเชิงบังคับก่อนที่จูบนี้จะจบลงด้วยความอ่อนหวาน...

“........”   เขาหอบหนักหน่วงก่อนจะมองมาที่ผมแบบไม่เข้าใจ เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ราวกับความอดทนของเขามันก็กำลังจะถึงที่สุดแล้วเช่นกัน ผมได้แต่มองมันด้วยความเจ็บปวด

ถ้าผมรู้ตัวช้ากว่านี้...ถ้าเขาทนไม่ไหวแล้วหนีผมไป...ผมจะทำยังไงดี ผมคงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แน่

สองมือประคองไปที่ใบหน้าของเขาก่อนจะไล่ไปโอบแผ่นหลังบางๆนั่นเข้ามา ผมกอดเขาด้วยสองแขนที่แข็งแรงของผม ผมกอดเขาด้วยความอบอุ่นของผม ผมกอดเขาด้วยหัวใจทั้งดวงของผม

“นายไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำให้ชั้นพอใจ...แค่นายบอกชั้นว่านายต้องการอะไร บอกชั้นว่านายเหนื่อย บอกชั้นว่านายไม่สบาย เรื่องแค่นี้อย่าให้ชั้นต้องไปรู้จากคนอื่นสิ”   ผมกระซิบบอกเขาข้างๆหูด้วยน้ำเสียงเว้าวอนไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนเขาจะเข้าใจ เขาถึงได้นิ่งอึ้งไป

“......”    ผมละอ้อมแขนจากเขาก่อนจะดันเขาออกไปเพื่อมองใบหน้าที่กำลังมึนงงของเขา ตอนนี้ผมไม่โกรธเขาเลยที่เขาจะไม่เข้าใจ เพราะผมรู้ว่าเขานั้นไร้เดียงสากว่าที่ใครๆคิด

“...โทษทีทาคุมิ....เรามานั่งคุยกันหน่อยดีไหม?”   ผมดึงเขาลงมานั่งพิงต้นไม้เอาไว้ นัยน์ตาของเราต่างทอดมองไปยังผืนน้ำที่ไหลอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ในคลอง

“ชั้นมานึกๆดูแล้ว...มันเป็นความผิดของชั้นเอง ทั้งๆที่อยู่กับนายตลอดแต่ชั้นกลับไม่ได้สังเกตเลยว่านายไม่สบาย ถึงนายไม่บอก ชั้นก็ควรจะรู้...”   ผมพูดออกไปทั้งๆที่ยังมองประกายระยิบระยับของผืนน้ำ

“ชั้นน่ะ...เอาแต่คิดว่าที่นายยอมนอนกับชั้น ไม่ขัดขืนชั้น เป็นเพราะว่านายอยากจะเหนี่ยวรั้งแล้วก็ให้ชั้นตั้งใจกับการเป็นแคชเชอร์ให้นาย ที่มีเซ็กส์กับชั้นก็ทำไปเพื่อเบสบอลที่เป็นชีวิตจิตใจของนาย นายไม่ได้สนใจที่ตัวตนจริงๆหรือความรู้สึกของชั้นหรอก...ชั้นเอาแต่คิดแบบนั้น...โทษแต่นาย เอาความผิดทุกอย่างไปลงที่นาย...โดยที่ลืมดูตัวเอง...ว่าคนที่บังคับให้นายทำเรื่องแบบนั้น..ก็คือชั้นเอง”

“ทั้งๆที่รู้ว่านายเป็นคนแบบนี้ สื่อสารกับคนทั่วไปไม่เป็น...แต่ชั้นก็ยังทำเป็นไม่เข้าใจ”

“ทาคุมิ...ตอนนี้นายยังกลัวอยู่อีกหรือเปล่า ว่าชั้นจะรับลูกของนายไม่ได้ จะเลิกเป็นแคชเชอร์ให้นาย?”  ผมเงยหน้าขึ้นพิงกับลำต้นของต้นไม้ก่อนจะค่อยๆหันหน้าไปหาเขา ทาคุมิส่ายหน้าแทนคำตอบของคำถามเมื่อกี้ที่ผมถามเขา  ริมฝีปากของเขาค่อยๆขยับอย่างช่างใจก่อนจะค่อยๆพูดออกมาช้าๆจนได้

“.....ชั้นน่ะ...ให้ความสำคัญกับแขนของตัวเองมาก...แม้แต่แม่ชั้นก็ยังไม่ยอมให้จับ...ชั้นให้ความสำคัญกับการดูแลมันอย่างดีเพราะไม่ต้องการให้มันบาดเจ็บ...กับนายเองก็เหมือนกัน...ชั้นไม่ต้องการให้นายบาดเจ็บ...ไม่ใช่เพราะคิดว่านายจะรับลูกของชั้นไม่ได้หรือจะเลิกเป็นแคชเชอร์ให้ชั้น...”

“......”   ผมถอนหายใจพร้อมกับยิ้มบางๆ

“ชั้นก็เคยคิดนะว่าบางทีนายอาจจะแค่เป็นห่วงชั้น แต่ความโมโหแล้วก็ผิดหวังในตัวเองที่ไล่ตามนายไม่ทันสักทีมันทำให้ชั้นเลือกที่คิดกับนายในแง่ร้ายมากกว่า...ขอโทษนะทาคุมิ”   ผมสารภาพออกไปตรงๆ พอได้มาพูดคุยกันแบบนี้มันทำให้สีหน้าของเขาดูจะผ่อนคลายลง...ความหนักอึ้งในใจของผมเองก็เช่นกัน

“....พอเป็นเรื่องของนายแล้ว...ชั้นก็จะคิดมากและจริงจังมากกว่าเรื่องอื่นๆหลายเท่า...จริงๆนั่นแหละนะ...ชั้นว่าชั้นต้องตกหลุมรักนายตั้งแต่แรกเห็นแน่ๆ ยิ่งตอนนี้ยิ่งมั่นใจ...ว่าชั้นรักนายทาคุมิ”   ผมตัดสินใจพูดออกไป แต่คำสารภาพรักในประโยคของผมมันอาจจะแนบเนียนไปหน่อย เขาถึงได้ยังไม่เอะใจ

“..........”    เขาอมยิ้มน้อยๆในขณะทอดสายตามองใบไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำ...เขาไม่ทันคิดแน่ๆว่าที่ผมบอกกับเขาเมื่อกี้มันคือคำสารภาพรัก

“ทาคุมิ...ชั้นบอกว่าชั้นรักนายนะ”   ผมยื่นใบหน้าให้ไปอยู่ในสายตาของเขา ก็คิดเอาไว้อยู่หรอกว่าคนอย่างทาคุมิคงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรักๆใคร่ๆ

“.......?....รัก?.....เอ๊ะ?”   นั่นไง...ดูจากหน้าเหวอๆของเขาตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วละ

“รักไง”   ผมจึงต้องเน้นต้องย้ำบอกเขาให้ชัดๆไป

“......เอ๋?~~~   เขาลากเสียงยาวอย่างตกใจก่อนจะมองผมด้วยริมฝีปากอ้าพะงาบๆ แก้มใสทั้งสองข้างก็แดงแปร๊ดแข่งกับแสงแดดยามเย็นได้เป็นอย่างดี

ผมหัวเราะน้อยๆอย่างอารมณ์ดีก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ไม่มีทางหรอกที่ชั้นจะอารมณ์ร้ายใส่นาย ถ้าชั้นเห็นนายเป็นแค่เพื่อนเหมือนคนอื่นๆ ชั้นเป็นกับนายแค่คนเดียวเท่านั้น หลายๆเรื่อง...อย่างเช่น ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับเวลาที่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับเราสองคน อยากจะวิ่งไปหานาย ไปบอกกับนายซึ่งๆหน้าว่า “ในที่สุดก็ทำได้แล้วนะ!”  แล้วก็อยากเห็นหน้านายตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาจนต้องแอบย่องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อมาเคาะกระจกบ้านนาย ปลุกนายออกไปซ้อมเบสบอลทั้งๆที่ฟ้ายังไม่สาง  แล้วก็หงุดหงิดไม่พอใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่นายทำเพราะมันไม่เป็นไปตามที่ชั้นหวัง  โกรธ โมโหเวลาที่นายออมมือหรือแสดงความสงสาร  บอกตามตรงว่าอาการพวกนี้ชั้นไม่เคยมีกับคนอื่นหรอกนะ ไม่เคยมีใครทำให้ชั้นดีใจ ตื่นเต้น หงุดหงิด หรือโมโหจนอยากจะฆ่าให้ตายคามือเหมือนนายเลยสักคน”

“.....ไม่ใช่ว่านายแค่หลงใหลในตัวชั้นหรอกเหรอ....”   เขาส่งเสียงงึมงำออกมาจากเข่าที่เขากอดเอาไว้

“ถ้าแค่หลงใหลในตัวนาย...ได้แค่ครั้งสองครั้งก็คงเบื่อแล้วกับคนนิสัยอย่างนายน่ะทาคุมิ ฮึๆ”   ผมหัวเราะในลำคอ เขาจึงเงยหน้างอๆขึ้นมามองผมด้วยสีหน้างอนๆ

“ขอโทษด้วยแล้วกันที่ชั้นมันนิสัยแย่”   เขาทำหน้าบูดกลบเกลื่อนรอยแดงระเรื่อบนสองแก้ม  ปกติทาคุมิก็มีหน้าตาที่น่ารักอยู่แล้ว ยิ่งทำหน้าแบบนี้ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่

“นี่...ทาคุมิ...นายอาจจะยังสับสนว่ารู้สึกยังไงกับชั้นกันแน่ แต่ชั้นไม่สนหรอก ชั้นจะฉวยโอกาสใช้ช่วงเวลาที่นายยังมึนงงรุกเข้าใส่นายจนกระทั่ง...กว่านายจะรู้ตัวอีกที...นายก็หลงรักชั้นไปแล้ว”   ผมหันไปพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มมั่นใจและมันก็ทำให้เขาผงะไปก่อนจะปั้นหน้าดุๆใส่ผม

“เจ้าบ้า...คนฉวยโอกาสเค้าป่าวประกาศกันก่อนแบบนี้เหรอ...แล้วที่นายทำนั่นมันมัดมือชกชัดๆ”   เขาเสสายตาไปมองทางอื่นอย่างเขินๆ ตอนนี้เขาน่ารักจนผมนึกอยากจะดึงเขามากอดแล้วจับกดมันให้รู้แล้วรู้รอด

“ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้วไง...ว่าชั้นไม่สน”   ผมก็ตื้อทาคุมิแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ ไปตามตื้อจนทาคุมิยอมขว้างลูกให้ พอเขายอมรับในตัวผม ผมกลับจองหองจนหลงลืมความรู้สึกเหล่านี้ไป

อย่าไปคิดว่าไล่ตามเขาไม่ทันสิ...ก็แค่กลับไปตามตื้อเขาเหมือนเดิมก็เท่านั้นเอง!

“ช่างนายแล้วกัน ชั้นก็ไม่ได้ลำบากหรอกถ้าจะมีคนคอยดูแล...”   เขาส่งเสียงงึมงำๆออกมา

“ได้ครับ! จะดูแลไปจนวันตายเลยครับ!”   เจ้าหญิง!


อ่ะ คำเรียกสุดท้ายนั่นผมทำได้แค่เรียกอยู่ในใจ



เพราะถึงผมจะไม่ใช่เจ้าชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง

แต่เขาก็จะเป็นเจ้าหญิงที่ผมจะรักและให้ความสำคัญตลอดไป




“ทาคุมิของผม”







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

FIN






=[ ]=…..

อย่าไปรู้มันเรยค่ะว่าฟิคนี้ได้แต่ใดมาถถถถถ

เอาเป็นว่าขอบคุณมากๆๆนะคะที่หลงเข้ามาอ่าน55555 ถ้าชอบบ้างสักเล็กน้อยก็ดีใจแบ้ว >w<

คือคุณกวางแม่งจิ้นกระจายวายป่วงแถมติดงอมแงมมากค่ะ อนิเมะ Battery สำหรับซีซั่นนี้ คือบทและคำพูดคำจาของตัวละครนี่ทำให้คิด(?)มากอ่ะ ง๊ากกกกกก หยุดจิ้นไม่ได้เรยค่ะคุณแม่ขรา >////< ถ้าสงสัยว่ามันอะไรยังไงก็ไปดูอนิเมะเอาเองแบ้วกันนาคะ :v แถมเพลงเปิดเพลงปิดของ anderlust นี่ก็ฟังสบายๆปนเหงาๆดราม่าหน่อยๆ เข้ากับเรื่องมากอ่ะ ชอบอนิเมะอารมณ์นี้มากเลยค่ะ ดูเหมือนจะเรื่อยๆแต่ก็ดราม่าหน่วงตับได้ทุกตอน โอย...โก จับกดแม่งไปซะจะได้เคลียร์! // ผิดมาก!!

แล้วเจอกันใหม่นะคะ ขอคุณกวางไปกรีดร้องเป็นบ้าเป็นหลังตามลำพังก่อน อิอิ










1 ความคิดเห็น:

  1. หายากมากกกกกกกก ฟิคเรื่องนี้ แบบเข้าใจเนื้อเรื่องใสมาก 555แถมไม่ใช่การ์ตูนแบบกระแสแรงๆ หาคนแต่งไม่ได้เลยชอบบบบบ ถ้าเป็นแบบโกหึงหวงนี่จะฟินไปอีก

    ตอบลบ