B-Project
S.Fic [Kitakado x Korekuni] - TSUKI - 01
:
B-Project
Fanfiction
:
Kitakado Tomohisa x Korekuni Ryuji
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
เส้นใยนุ่มนวลชวนให้นึกถึงขนแมวทำให้นัยน์ตาสีฟ้าหลบหนีออกมาจากนิทราก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ขนแมวที่ไหนแต่เป็นเส้นผมของร่างกายที่เล็กกว่าเขาครึ่งหนึ่งซึ่งนอนซุกอยู่ข้างๆ
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายอมยิ้มน้อยๆเมื่อนัยน์ตาสีฟ้าทอดมองใบหน้าของคนที่ยังหลับปุ๋ย
ห้องๆนี้เป็นห้องพักของ Kitakore
ไอดอลหนึ่งในสามกลุ่มของ B-Project เพราะงั้นคนที่นอนอยู่ข้างๆเขา
คิตาคาโดะ โทโมฮิสะ จึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โคเรคุนิ ริวจิ เพราะถึงจะเรียกว่ากลุ่มแต่
Kitakore ก็มีสมาชิกเพียงแค่สองคน
ห้องปีกหนึ่งในชั้นบนสุดของคอนโดจึงกว้างใหญ่และหรูหราเกินพอสำหรับพวกเขา
ยิ่งริวจิแทบจะไม่ได้ไปนอนที่ห้องของตัวเองเลยแต่กลับมาหลับอยู่ที่เตียงของเขาตลอดด้วยแล้ว
พื้นที่มันจึงเหลือเฟือจนพวก Moon ที่มีสมาชิกถึง 5 คนถึงกับอิจฉาตาร้อน
เขาละสายตาจากใบหน้าที่น่ารักเหมือนเจ้าหญิงไปมองแสงแดดอ่อนๆที่ส่องผ่านผ้าม่านโปร่งบางเข้ามาจนต้องหรี่ตา
สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย...
เมื่อคืนพวกเขาอัดรายการโทรทัศน์จนดึกดื่น
กว่าจะได้กลับมานอนก็เหนื่อยจนแทบคลาน เพราะงั้นทั้งตัวของพวกเขานั้นมันจึงมีแค่กางเกงขายาวคนละตัว
นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองกองเสื้อสองตัวที่พื้นข้างเตียง
ทั้งอยากจะถอนหายใจทั้งอยากจะขำในคราวเดียวกัน เป็นไอดอลก็ใช่ว่าจะสบาย ดูสิ
ทั้งซ้อม ทั้งออกรายการ เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
เขาละสายตากลับมาหาคนที่ยังไม่ยอมตื่น
ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากผิวเนื้อที่แนบชิดกันบางส่วนทำให้เขาไม่รู้สึกหนาวทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เสื้อ
สภาพที่ดูล่อแหลมไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเพราะมันก็เป็นแบบนี้ประจำ
“ริวจิ....ตื่นได้แล้วนะ”
เขาพลิกตัวนอนตะแคงก่อนจะเอานิ้วจิ้มแก้มป่องของอีกฝ่าย
ถ้าไม่มองที่แผ่นอกแบนเรียบนั่นก็คงจะคิดว่าริวจิเป็นเด็กผู้หญิงแน่ๆ
เพราะทั้งเค้าโครงหน้าทั้งรูปร่างเล็กบางก็ได้มาจากแม่แทบจะทั้งหมด
“อือ....” ใบหน้าเล็กส่งเสียงอืออาพลางขยับหน้าหนีแต่เปลือกตาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมเปิดขึ้นมา
คงจะเหนื่อยจริงๆนั่นแหละเมื่อคืน ริวจิถึงได้นอนแหมะลงไปบนเตียงของเขาทันทีที่กลับมาถึง
ส่วนเขาเองก็ทำได้แค่ถอดเสื้อให้เพราะจะปล่อยให้นอนทั้งแบบนั้นมีหวังเช้านี้คงมีรอยกระดุมอยู่ตามตัวแน่ๆ
“เช้าแล้วนะ...วันนี้มีซ้อมเต้นเพลงใหม่นี่นา” มือใหญ่ดึงแก้มใสอย่างไม่ได้จริงจังในการปลุกมากนัก
จะบอกว่าเขาชอบช่วงเวลาแบบนี้ของริวจิก็ว่าได้ เหมือนลูกแมวที่ถูกก่อกวนเวลานอนยังไงอย่างงั้น
พยายามหนีจากมือของเขาทั้งๆที่ตายังปิดสนิท
และก็เพราะแบบนั้นแหละผ้านวมสีขาวมันถึงได้ร่นลงไปกองอยู่ที่เอวเผยให้เห็นรูปร่างที่แตกต่างจากเขาอย่างชัดเจน ลำตัวของริวจิไม่ได้หนาเหมือนเขาแต่กลับแบบบางเหมือนเด็กผู้หญิง
หน้าท้องของริวจิก็ไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบเขาแต่กลับแบนเรียบได้รูป
ริวจิแทบไม่ต่างไปจากตอนเด็กๆ
ไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่เจอกัน...ตอนนั้นที่เขา....
“อือ...”
เสียงในลำคอทำให้เขาหยุดมือที่กำลังม้วนปลายผมสีรัตติกาลนั่นเล่น
รอยยิ้มน้อยๆเผยอยู่บนใบหน้าอย่างนึกอะไรออก
ร่างกายสูงยาวจึงพลิกกลับไปหาโต๊ะข้างเตียงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“ชู่ว...เรามาแอบดูริวจังตอนนอนกันนะครับ
อย่าส่งเสียงไปล่ะ”
นิ้วยาวกดอัดวีดีโอด้วยโทรศัพท์ก่อนจะแพลนกล้องให้เห็นตัวเองกับคนที่ยังไม่ยอมตื่น
บทพูดราวกับกำลังเป็นพิธีกรรายการแอบดูดาราถูกเอ่ยออกมาหยอกเย้าให้คนนอนเริ่มขยับหัวคิ้ว
“ริวจังยังไม่ยอมตื่นครับ
นี่ริวจัง~
ลืมตามาโบกมือให้แฟนๆหน่อย~”
มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์โบกน้อยๆให้กล้อง
ลาดไหล่เปลือยเปล่าของเขาแนบชิดไปกับใบหน้าเล็กจนเส้นผมสีเข้มละอยู่ที่ซอกคอ
ความใกล้ชิดอาจจะชวนให้เข้าใจผิดเพราะพวกเขาไม่ได้ใส่เสื้อ
แต่คนอื่นๆคงนึกภาพไม่ออกหรอกว่าเจ้าชายที่ทุกคนต่างยกย่องอย่างเขาก็ยังมีมุมขี้เล่นแบบนี้ที่จะทำกับริวจิเพียงคนเดียว
“อือ....”
เสียงอืออาดังพร้อมๆเปลือกตาที่เปิดขึ้นอย่างงัวเงีย พอรู้ว่าเขากำลังถ่ายวีดีโอเล่น ใบหน้าเล็กนั่นก็ซุกลงไปบนเตียงหนานุ่มต่ออย่างไม่ยอมตื่นง่ายๆ
“ถ้าริวจังยังไม่ยอมตื่น
สงสัยว่าเราคงจะต้องบันทึกภาพริวจังนอนน้ำลายยืดเอาไว้แล้วละ” เขาหันไปยิ้มให้กับกลุ่มผมซึ่งระต้นคออยู่
ดูเหมือนรอยขยุกขยิกจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อคนขี้เซายอมลืมตาขึ้นมาจนได้
“โทโม....” น้ำเสียงแง่งอนทำให้เขาเผลอหัวเราะในลำคอ
นัยน์ตาสีม่วงอมชมพูที่รีขวางทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้พอใจนักที่เขาบอกว่าตนนอนน้ำลายยืด
จู่ๆใบหน้ามุ่ยจึงงุบมาที่ไหล่ของเขาอย่างต้องการจะเอาคืน
“อ่ะ?!
เล่นงับกันอย่างงี้เลยเหรอริวจิ? แบบนี้มันต้องเจอ!”
เขาปล่อยโทรศัพท์มือถือให้หล่นลงอีกฝั่งของเตียงก่อนจะหันไปตะปบลำตัวริวจิเอาไว้ก่อนจะจักจี้ไปที่เอวบาง ผิวเนื้อแนบสัมผัสกันครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ยอมให้เขาจักจี้ได้ง่ายๆ
แต่ยิ่งขัดขืนก็มีแต่จะทำให้ถึงเนื้อถึงตัวกันมากกว่าเดิม
“ฮ่าๆๆๆ
โทโมอย่า ฮ่าๆๆ นี่ หยุดนะ~”
เสียงหัวเราะอย่างทรมานดังอยู่พักนึงก่อนที่จะเหลือเพียงเสียงสวบสาบแผ่วเบาให้โทรศัพท์มือถือบันทึกเสียงเอาไว้
เพราะตอนนี้หน้าจอที่ไม่ได้รับการสนใจมันหงายขึ้นไปบนฝ้าเพดาน
“ริวจิ?
อ้าปากซิ”
จู่ๆบทสนทนาก็ดังขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงทุ้มนุ่มลึกฟังดูเซ็กซี่แปลกๆก่อนจะตามมาด้วยเสียงเส้นผมกระทบกับหมอนไปมาราวกับว่าอีกคนส่ายหัวปฏิเสธไม่ยอมอ้าปากตามที่บอก
เสียงสวบสาบเหมือนเกิดการต่อสู้ขัดขืนกันเล็กน้อยค่อยๆเงียบหายไปด้วยเสียง...
“อื้อ...อื้ม~” เสียงราวกับเสียงครางอยู่ในลำคอนั้นจะว่ายากก็ยาก
ง่ายก็ง่ายที่จะเดาว่ามันเป็นเสียงของอะไร มันดังแบบนั้นอยู่ชั่วครู่ก็ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจเบาๆ
“ขอชั้นดูข้างล่างด้วย” เจ้าของเสียงทุ้มยังคงจู่โจมต่อไป
แรงขยับทำให้โทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่เล็กน้อยแต่ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนข้างๆ
“เดี๋ยวโทโม!
อื้อ~~ เจ็บ~”
ปลายเสียงครางอย่างแสดงถึงความเจ็บแสบจากบาดแผลอะไรบางอย่าง?
“อื้อ~
อย่าถูกตรงนั้น~ มันเจ็บ~ ฮ้า~ อ๊ะ...”
เสียงร้องห้ามผสมผสานไปกับเสียงหอบหายใจยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยออกมา
“น่าจะเจ็บอยู่หรอก
ข้างในอาการไม่ค่อยดีเลยนะ...มีเลือดออกด้วย...ชั้นน่าจะพานายไปให้หมอที่โรงพยาบาลของพ่อชั้นตรวจตั้งแต่เมื่อวานแท้ๆ
ขอโทษนะริวจิ”
“จะขอโทษทำไมเล่า
นายไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย...”
“ผิดสิ
เพราะชั้นไม่ทันสังเกตจนทำให้นายต้องเจ็บแบบนี้ไง...เอาเถอะ...ยังไงเย็นนี้เราไปโรงพยาบาลกัน
ถ้าเป็นที่นั่นก็ไม่ต้องห่วงหรอกว่าข่าวจะรั่วไหล ไม่ว่าจะเป็นแผลแบบไหนก็ตาม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ...มันน่าอายจะตาย”
“ไม่ได้
ถ้ามันอักเสบจนไข้ขึ้น คนอื่นเห็นความอาจจะแตกยิ่งกว่านะ”
“อือ...ก็ได้...”
“งั้น...ไปอาบน้ำกันเถอะ
นายจะอาบน้ำก่อนหรือให้ชั้นอาบก่อน?”
เสียงทุ้มนุ่มของคนที่ใครๆต่างก็ยกให้เป็นเจ้าชายดังผ่านเข้ามาให้โทรศัพท์บันทึกเอาไว้
โดยที่ไม่รู้เลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ทั้งคู่ทำอะไรกันอยู่
“อาบพร้อมกันนี่แหละ
เดี๋ยวสึบาสะก็จะมารับแล้วไม่ใช่หรือไง? เพราะนายมัวแต่เล่นนั่นแหละ!” น้ำเสียงที่ฟังดูเอาแต่ใจดังสวนขึ้นมา
ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตัวเองนั่นแหละที่ไม่ยอมตื่น
“ครับๆ
เอ้า ลุกเถอะ”
เสียงสวบสาบดังตามมาก่อนที่หน้าจอที่เคยจับอยู่ที่ฝ้าเพดานจะถูกมือใหญ่บังเอาไว้
ในที่สุดปุ่มหยุดการอัดวีดีโอก็ถูกกดแล้วโทรศัพท์มือถือก็ถูกโยนง่ายๆเอาไว้บนเตียงตามเดิม
“ฟันผุ...แล้วก็ลามไปจนเหงือกอักเสบ
มันถึงได้มีเลือดออกตามไรฟันเป็นบางครั้งแบบนี้ไง”
ไฟดวงใหญ่ที่ทำให้เห็นได้ทุกซอกทุกมุมในปากของโคเรคุนิ
ริวจิถูกปิดลงเมื่อทันตแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลคิตาคาโดะวินิจฉัยเสร็จ
ร่างเล็กบางลุกขึ้นมานั่งหน้าซีดพลางยกมือขึ้นมากุมที่แก้มปรอยๆ
“เป็นเพราะเอาแต่กินอมยิ้มใช่ไหม?
แถมยังไม่มีวินัยในการแปรงฟันอีก?”
คุณหมอยกมือขึ้นขยับแว่นพลางเหล่ตามองจุ๊บปาจุ๊บในมือบางที่ยังถือค้างอยู่
ซึ่งร่างสูงยาวเจ้าของโรงพยาบาลที่นั่งอยู่ด้วยตลอดการรักษาก็ถึงกับถอนหายใจ...ก็เป็นอย่างที่คุณหมอว่านั่นแหละ
ริวจิเสพติดเจ้าอมยิ้มนั่นพอๆกับคนติดบุหรี่ วันนึงๆอมมันตั้งไม่รู้กี่อัน
แถมบางครั้งเพราะเหนื่อยจัดก็หลับไปทั้งๆที่อมยิ้มยังคาปากก็มี
เห็นทีหลังจากนี้เขาคงจะปล่อยปละละเลยเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ซะแล้ว
“จะกินก็ไม่ได้ว่าหรอกนะ
แต่ควรจะรักษาความสะอาดของฟันด้วย แปรงฟันให้เป็นวินัยเข้าใจไหม? แล้วนี่จะเอายังไง? ให้หมออุดให้เลยไหม?
ปล่อยไว้จะยิ่งแย่นะ คงไม่อยากเป็นไอดอลฟันหรอคนแรกของวงการใช่ไหมล่ะ?” ในเมื่อคุณหมอขู่ซะน่าขนลุกขนาดนั้น
ใบหน้าน่ารักจึงพยักลงอย่างจำใจทันทีจนคนนั่งดูอยู่อย่างเขาทั้งนึกขำทั้งนึกสงสารไปในคราวเดียวกันเลยละ
ริวจินอนลงไปบนเตียงสำหรับทำฟันอีกครั้ง
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีรัตติกาลอ้าปากก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ
แล้วสัมผัสนิ่มๆที่แตะมาที่มือของเขาก็ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าต้องเหลือบลงไปมอง
รอยยิ้มน้อยๆค่อยๆเผยอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
เพราะสิ่งที่แตะมือของเขาอยู่ไม่ใช่อะไร...มันคือมือของริวจิที่กำลังหาที่พึ่งนั่นเอง...
มือใหญ่จึงกระชับจับมือของคนที่กำลังนอนรอคุณหมออยู่บนเตียง
ถึงจะทำเป็นเก่งแต่ที่จริงแล้วก็กลัวอยู่สินะ?
เสียงเครื่องมือทำฟันดังหวี่ๆอยู่ใกล้ๆ
ถึงเขาจะไม่ได้หันไปมองแต่ทุกความรู้สึกของริวจิก็ส่งผ่านมายังมือของเขาให้รับรู้ได้เป็นอย่างดี
ทั้งความหวาดกลัวยามที่มือเล็กๆข้างนั้นบีบมือของเขาเอาไว้แน่น
ทั้งความอุ่นใจที่มีเขาอยู่ใกล้ๆทำให้มือข้างนั้นค่อยๆผ่อนคลาย
สุดท้าย...การทำฟันก็ผ่านไปด้วยดี...ละมั้ง?
“จากนี้ไปต้องแปรงฟันให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
คุณหมอถอดถุงมือยางทิ้งก่อนจะหันมาบอกร่างเล็กที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆ
มือบางยกขึ้นกุมแก้มที่บวมปูดของตัวเองพลางน้ำตาปริ่ม
“ครับ” เสียงทุ้มจึงตอบออกไปแทนริวจิที่ตอนนี้คงไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากฟันที่เจ็บแปล๊บๆของตัวเอง
คุณหมอจ่ายยาเอาไว้ให้
เขาจึงพาริวจิกลับที่พัก
อ่าใช่...เมื่อเช้าที่เขาปลุกปล้ำกันอยู่บนเตียงก็เพียงเพราะจะตรวจดูฟันของริวจินี่แหละ...ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆกันหรอกนะ
เตียงที่ยุบยวบลงไปตามร่างกายเล็กบางที่ทิ้งตัวนอนแหมะทำให้ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายละจากหนังสือในมือหันไปมอง
กลิ่นหอมฟุ้งจากการอาบน้ำใหม่ๆที่แผ่ออกมาจากร่างกายของริวจินั้นเป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
มันช่วยบำบัดจิตใจที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันของเขาได้โดยที่เจ้าตัวก็คงจะไม่รู้หรอก
“ยังปวดอยู่อีกเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่เงยหน้าขึ้นมาจากการนอนคว่ำ
แก้มที่ยังบวมแดงกับใบหน้ายู่ยี่ของริวจิทำให้เขาถามออกไปแบบนั้น
“อือ...แต่ก็น้อยกว่าเมื่อเช้าแหละ”
เริ่มจะพูดได้บ้างแล้วแบบนี้แปลว่าอาการคงทุเลาลง
นัยน์ตากลมโตเหลือบมองมาที่เขาซึ่งนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ก่อนที่ร่างเล็กบางนั่นจะกลิ้งกลุกๆมาชนสีข้างของเขาแล้วเด้งกลับไปนอนหงายบนหมอนของตัวเองพอดี...หึ...เขาหลุดขำในลำคอเพราะคงไม่มีใครคิดหรอกว่าคนที่เย่อหยิ่งราวกับเจ้าหญิงอย่างริวจิจะมีท่าเข้านอนที่น่ารักแกมขี้เกียจแบบนี้
“โทโมอ่านแต่หนังสือยากๆอีกแล้ว” นัยน์ตากลมโตมองมาที่หนังสือในมือเขา
“ไอดอลมันไม่ได้เป็นได้ตลอดไปใช่ไหมล่ะ
เพราะงั้นหลังจากที่เลิกเป็นไอดอลแล้วชั้นคงต้องกลับไปสานต่อโรงพยาบาลของที่บ้าน
นี่ก็แค่เตรียมตัวไว้”
เขาขยับหนังสือเตรียมสอบในมือ มันก็ไม่ได้ยากเย็นจนเขานึกเบื่ออะไร
มีเวลาว่างเว้นจากงานเขาก็แค่อ่านมันผ่านๆก็เท่านั้น
“บางทีชั้นก็สงสัยนะว่าทำไมนายถึงมาเป็นไอดอล?
ทั้งๆที่นายก็มีทุกสิ่งทุกอย่างแถมยังเพอร์เฟ็คขนาดนี้” ร่างบางที่นอนคว่ำอยู่ยันท่อนบนขึ้นมาก่อนจะทำหน้าแหยงๆเมื่อมองเห็นตัวหนังสือยากๆในหน้าหนังสือที่เขาถืออยู่
เขายิ้มน้อยๆด้วยความเอ็นดูในท่าทางของริวจิ...ไม่หรอก...เขาไม่ได้เพอร์เฟ็ค...นั่นก็เพราะว่า
“ชั้นยังขาดอยู่อีกอย่างนึงนะริวจิ
ชั้นเลยมาเป็นไอดอลเพื่อตามหามัน”
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีเงินก้มลงไปกระซิบบอกใกล้ๆใบหน้าน่ารัก
“หื๋ม?....” เสียงยานคางด้วยความสงสัยลากยาวให้เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะบอกริวจิออกไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ชั้นยังขาดเจ้าหญิงของชั้นไงล่ะ”
“พรูด~ ฮ่าๆๆ
โอ๊ยๆๆ” ร่างเล็กบางหงายหลังไปหัวเราะจนตัวงอแล้วมันก็สะเทือนไปจนถึงกระพุ้งแก้มให้ต้องร้องโอดโอยตามมาจนได้
“สม....” เพราะหัวเราะเรื่องของเขาคราวนี้เขาเลยไม่โอ๋แต่สมน้ำหน้าแทน...ที่เขาใช้น้ำเสียงทีเล่นทีจริงก็เพราะต้องการปฏิกิริยาแบบนี้จากริวจินี่แหละ...ไม่ได้อยากจะให้รู้หรอก...ว่าเรื่องที่เพิ่งบอกไปเมื่อกี้มันคือสาเหตุที่เขามาเป็นไอดอลจริงๆ
“ฮึ่ม...แล้วไงล่ะ?
เจอบางหรือยังล่ะเจ้าหญิงของนาย?”
ใบหน้าเล็กทำแก้มป่องในขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นลูบแก้มที่ยังบวมน้อยๆปรอยๆ
“อันที่จริงชั้นเจอมานานแล้วล่ะ
เพียงแต่ว่าเค้าไม่เคยรู้ตัวเลย ชั้นก็เลยทำได้แค่อยู่ข้างๆ” เขาพูดออกไปด้วยรอยยิ้มจางๆ...แต่ถึงอีกฝ่ายจะไม่เคยรู้ตัวเลยก็ไม่เป็นไร
สำหรับตอนนี้แค่ได้เฝ้าดูแลอยู่ใกล้ๆก็พอแล้ว
เขาเองก็ยังมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวให้ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน
แล้ววันใดที่ทุกอย่างลงตัว...เขาจะมารับเจ้าหญิงของเขาเข้าสู่อ้อมแขนคู่นี้แน่นอน
“เป็นคนแบบไหนกันน้า~
คงจะทำให้ผู้หญิงทั้งโลกน้ำตาตกเลยสินะ จะว่าน่าอิจฉาหรือว่าน่าสงสารดีล่ะ? ฮึๆๆ” ร่างบางพลิกตัวกลับมานอนหงายเหม่อมองฝ้าเพดานของเตียงสี่เสาก่อนจะลงท้ายด้วยเสียงกลั้นหัวเราะ...คงจะคิดว่าเขาพูดไปเรื่อยล่ะสิ?
แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว
“ยังจะขำอยู่อีกเหรอ?” มือปิดหนังสือก่อนจะนอนตะแคงลงมาข้างๆ
“เปล่าซักหน่อย
อ่า...ชักง่วงขึ้นมาแล้วแหะ ราตรีสวัสดิ์นะ...โทโม....” ร่างบางพลิกกายเข้าหาเขา
ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาก่อนที่นัยน์ตากลมโตจะปิดลงแล้วหลับไปอย่างง่ายดาย
นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองใบหน้าที่กำลังหลับอย่างสงบ...ชั้นไม่ใช่เจ้าชายที่แสนเพอร์เฟ็คหรอกริวจิ...เพราะชั้นคงจะทำให้ครอบรัวผิดหวังแน่หากชั้นบอกพวกเค้าว่าคนที่ชั้นรักและจะใช้ชีวิตด้วยเป็นผู้ชาย...
ไม่ต้องคิดเลยว่าที่บ้านจะคัดค้านและต่อต้านกันขนาดไหน
ที่ผ่านมาเขาเชื่อฟังที่บ้านมาตลอด ทำตัวอยู่ในลู่ในทางมาตลอด...
ถ้าคืนนั้นชั้นไม่หนีออกไปจากงานเลี้ยงก็คงดีสินะริวจิ...
ถ้าชั้นไม่หนีออกไป...ไม่ได้เจอกับเจ้าหญิงของชั้น...วันนี้ชั้นก็คงจะเป็นเจ้าชายที่แสนเพอร์เฟ็คไปแล้ว...
แต่จะเพอร์เฟ็คได้อย่างที่คิดจริงๆน่ะเหรอ?
เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนหรือใครสักคนที่จะทนรับความกดดันจากการอยู่ข้างๆเขาได้เลย
ทุกคนมักจะเห็นเขาเป็นเจ้าชาย
เป็นคนที่สูงส่งเกินเอื้อม จริงอยู่ที่บ้านของเขาเป็นมหาเศรษฐี เป็นครอบครัวที่มาจากชนชั้นและเชื้อสายที่ดี
ตัวเขาจึงได้รับการฝึกฝนจนเป็นเลิศในทุกๆด้านมาตั้งแต่ยังเด็ก
พอโตขึ้นมาจึงกลายเป็นว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีไปเสียหมด...ทำได้ดีจนเพื่อนหรือใครก็ตามที่อยู่รอบกายรู้สึกกดดัน...แล้วสุดท้ายก็จากเขาไปด้วยคำพูดที่ว่าเรามันต่างชั้นกันเกินไป...
มือใหญ่ลูบเส้นผมสีรัตติกาลด้วยความอ่อนโยน...ก็คงมีแต่นายนี่แหละริวจิที่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น...
ความภาคภูมิใจและความเย่อหยิ่งของนายทำให้นายไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองด้อยกว่าเขา
จะเป็นเพราะริวจิก็มาจากครอบครัวของคนที่มีชื่อเสียงหรือว่ายังไงดี
แต่จนถึงตอนนี้ริวจิเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างๆเขาได้...โดยไม่มีความกดดันเรื่องชนชั้นไร้สาระพวกนั้นมารบกวน
สมแล้ว...ที่เป็นคนที่เขาเลือก...
ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้าไปหาใบหน้าที่หลับสนิท...ก่อนจะจุมพิตที่แก้มใสแผ่วเบา
ราตรีสวัสดิ์นะ...เจ้าหญิงของชั้น...
ดูเหมือนอาการปวดฟันของริวจิจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เพราะงั้นผ่านมาแค่สองวันแก้มที่เคยบวมปูดเพราะอักเสบก็กลับมาบวมปูดเพราะอมยิ้มเหมือนเดิมจนได้
ร่างสูงสง่าทอดสายตามองเปลือกห่อจุ๊บปาจุ๊บที่ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะก่อนจะเดินเช็ดผมสีเงินที่เพิ่งสระมาใหม่ๆไปที่เตียง
นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องไปที่ร่างเล็กบางซึ่งกำลังนอนกลิ้งเกลือกพลางอมอมยิ้มไปด้วย
“ริวจิ...แปรงฟันรึยัง?”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนมาตลอดแข็งขึ้นนิดๆเมื่อยืนมองมือบางโบกไปมา
“เดี๋ยวก็ได้น่า...” เดี๋ยวก็หลับคาอมยิ้มอีกหรอก!
เขาได้แต่ยืนยิ้มเย็นๆ
ต่อให้ใช้สายตากดดันแต่ริวจิก็ทำเป็นอ่านหนังสือการ์ตูนไม่สนใจ
ทั้งๆที่อาบน้ำแล้วแท้ๆแต่ก็ยังจะอมอมยิ้มอีก! คิดว่าตอนปวดฟันขึ้นมาใครกันที่ต้องคอยพาไปหาหมอ
คอยดูแล แต่เรื่องดูแลนั่นเขาก็ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก
แต่ไอ้การที่ริวจิปวดจะเป็นจะตายนั่นต่างหากที่เขาทนไม่ได้!
มือใหญ่จึงดึงผ้าขนหนูลงมาจากผมที่ยังไม่ทันจะแห้งดีด้วยใบหน้าทะมึนอย่างที่คงไม่มีใครคิดว่าเจ้าชายอย่างเขาก็มีด้านดาร์กๆอยู่
ร่างสูงสง่านั่งลงไปบนเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปดึงข้อมือเล็กๆของริวจิแล้วลากตัวเข้ามา
ใบหน้าน่ารักที่ยังงงๆถูกดึงมาจนใกล้แค่คืบ
เสียงทุ้มเย็นๆกระซิบออกไปพอให้อีกฝ่ายได้ยิน
“เลือกเอานะริวจิ...ระหว่างจะไปแปรงฟันเองดีๆหรือจะใช้วิธีทำความสะอาดในแบบของชั้น?” แล้วอมยิ้มในปากเล็กก็ถูกดึงออกด้วยมือของเขา
น้ำลายที่ไหลย้อยติดมาไม่ได้ทำให้นึกรังเกียจจนหยุดสิ่งที่กำลังจะทำ
แต่มันยิ่งเย้ายวนจนต่อมความอดทนพังทลาย ริมฝีปากจึงประกบปิดลงไปที่กลีบปากนุ่มเพื่อหยุดน้ำลายพวกนั้น
ลิ้นร้อนจึงสอดแทรกเข้าไปแทนที่อมยิ้มแสนหวานนั่น
“.....อือ?”
นัยน์ตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างจนแทบจะเท่าไข่ห่าน
เขาได้แต่หัวเราะในลำคอแต่ก็ยังคงสอดลิ้นเข้าไป ค่อยๆกวาดไล่ตั้งแต่กระพุ้งแก้ม
ซอกฟันบน ซอกฟันล่าง
ก่อนจะย้อนกลับมาพัวพันรีดเอารสหวานๆออกมาจากเรียวลิ้นที่ตอบโต้เขาอย่างไร้เดียงสา
ฝ่ามือเล็กทุบที่อกของเขาเบาๆเป็นเชิงบอกว่ากำลังจะหมดอากาศหายใจ ริมฝีปากของเขาถึงได้ยอมละออกมา
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
ร่างเล็กหมดแรงจนต้องใช้สองแขนยันพื้นเตียงเอาไว้
แต่เขาก็รวบลำตัวบางนั่นขึ้นมาใหม่
“ยังไม่สะอาดเลยนะริวจิ”
พูดยังไม่ทันจะจบดีเขาก็ขยับเปลี่ยนมุมก่อนจะบังคับให้ริมฝีปากแดงช้ำเปิดออกมาอีกครั้ง
เรียวลิ้นสอดใส่เข้าไปใหม่ก่อนจะกวาดต้อนความหอมหวานข้างในนั้นตามแต่ใจ เสียงจุ๊บๆผสมผสานไปกับเสียงน้ำลายที่คละเคล้ากันจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร
ลมหายใจที่เป่ารดกันทำให้ล่องลอยราวกับอยู่ในฝัน
สัมผัสอันแสนอ่อนหวานแต่ก็รัญจวนใจที่อยู่ในโพรงปากค่อยๆปลุกเร้าจนมันกลายเป็นจูบที่เร่าร้อนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
คงเพราะเป็นจูบที่รอมานานแสนนานมันถึงได้ทำให้เขาเผลอเรียกร้องและรุนแรงกับอีกฝ่ายมากไป
“อื้อ~~”
มือเล็กทุบมาที่ไหล่ของเขาอีกเมื่อรสชาติหวานๆของอมยิ้มมันหายไปหมดแล้วพร้อมๆกับอากาศที่จะใช้หายใจ
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....” คราวนี้เขารับร่างบางเอาไว้
ริวจิถึงได้หอบหายใจหนักหน่วงอยู่บนแผงอกของเขา
ใบหน้าใสแดงจนแทบจะกลายเป็นลูกเชอร์รี่ มันน่ารักเสียจนเขาเผลอจรดริมฝีปากลงไปคลอเคลียแก้มนิ่มกับริมฝีปากที่ถูกบดเบียดจนแดงช้ำนั่น
“พะ...พอแล้ว...ชะ..ชั้นจะไปแปรงฟันเอง...แฮ่ก...แฮ่ก...” มือเล็กพยายามยันตัวเองออกไปจากแผงอกของเขา
แต่มันก็ใช้เวลาไม่น้อยสำหรับเจ้าเด็กที่ใสบริสุทธิ์ที่คงจะขาอ่อนได้กับแค่โดนจูบ
เพราะงั้นกว่าริวจิจะวิ่งปนโซเซไปถึงห้องน้ำได้ เขาก็กลั้นขำแทบตาย
“หึๆๆ...” กว่าเขาจะหยุดหัวเราะได้ก็ผ่านไปหลายนาที
รอยยิ้มพอใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าในขณะที่ทอดสายตามองไปยังประตูห้องน้ำ...ในที่สุด
ก็ได้มาจนได้นะ...ริมฝีปากของนาย...ริวจิ
แกร่ก....
ประตูห้องน้ำปิดลงพร้อมๆกับที่ร่างบางก้าวไปยืนพิงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเอาไว้
มือเล็กยกขึ้นมาทาบแผ่นอกที่ยังไม่ทันจะหายใจเป็นปกติดีเท่าไหร่ก่อนที่มืออีกข้างจะยกขึ้นมาวางบนริมฝีปาก...
เมื่อกี้นี้มันอะไรกันน่ะ?
จะบอกว่าเป็นวิธีการทำความสะอาดปากในแบบของบ้านคิตาคาโดะมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้?
ถึงเขาจะยังเด็กและไม่ค่อยจะรู้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นมันเรียกว่า....จูบ?
แถมยังไม่ใช่จูบแบบทักทายธรรมดาๆแต่ต้องเรียกว่า
Deep
Kiss เลยมากกว่า...
นัยน์ตาสีชมพูอมม่วงถึงกับเบิกกว้าง
ในหัวสับสนปนเปไปหมด ทั้งมึนงง
ทั้งจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกว่าทำไมจู่ๆโทโมถึงทำแบบนั้นกับเขา?
จะว่าแค่ขู่เรื่องที่เขาไม่ยอมแปรงฟันแต่ขู่กันแบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง?
แล้วยังความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในใจนี่อีก...มันคืออะไรกัน?
ร่างเล็กหมุนตัวกลับไปหาเคาน์เตอร์หินอ่อนกว้างใหญ่
สองมือยันมันเอาไว้ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้าแดงระเรื่อของตัวเองในกระจก...จูบ...มันทำให้รู้สึกแบบนี้เองน่ะเหรอ?
จะว่ารังเกียจก็ไม่ใช่ทั้งๆที่โทโมเป็นผู้ชายด้วยกันแต่มันกลับรู้สึกดีจนน่าโมโห...ถึงจะทรมานจนแทบขาดใจตายแต่มันก็หอมหวานเสียยิ่งกว่าอมยิ้มที่เขาอมอยู่ทุกวันนั่นอีก
แย่แล้ว...นี่เขาเป็นอะไรไป?
ไม่สิ...โทโมทำอะไรกับเขากันแน่?
แก้มป่องพองลมก่อนจะทำหน้ามุ่ย...จะอะไรก็ช่างมันแล้วกัน!
คิดเองแบบนี้ก็ไม่มีทางได้คำตอบหรอก มีแต่ต้องไปถามเอาจากโทโมเท่านั้น!
มือเล็กจึงหยิบแปรงสีฟันหนึ่งในสองอันที่วางอยู่ข้างกันขึ้นมา
ยาสีฟันถูกบีบลงไปจนแทบล้นทะลัก
ต้องแปรงฟันให้หนักๆเลยโทโมจะได้ไม่มีข้ออ้างว่าทำแบบนั้นเพราะเขาไม่ยอมแปรงฟัน
ดูซิว่าถ้าทำแบบนั้นกับเขาอีกทีนี้จะอ้างว่าอะไร?!
ก็อย่างที่บอก...ว่าเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจ...แต่ก็แค่อยากรู้ว่าทำแบบนั้นกับเขาเพราะอะไร...ในเมื่อเท่าที่รู้มา...คนเราจะจูบใครสักคนได้มันต้องมีความรู้สึกบางอย่างให้...
ความรู้สึก...?
ฟองสีขาวถูกบ้วนลงไปในอ่างล้างหน้าก่อนที่น้ำจะตามเข้าไปล้างในปากจนสะอาดเอี่ยม
เขาบ้วนแล้วบ้วนอีกราวกับจะเอาความสงสัยในใจทิ้งไปกับน้ำพวกนั้นแต่มันก็ยังคาอยู่ในใจ
บ้วนยังไงก็ไม่หายไปเสียที
มือเล็กดึงผ้าขนหนูมาเช็ดปากก่อนจะมองใบหน้าของตัวเองในกระจก...ไม่มีทางหรอก...อย่างโทโมน่ะเหรอจะคิดอะไรกับเขา?
ถึงจะไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรหรือคิดอะไรทำนองว่ามีคนที่เหมาะสมกับโทโมมากกว่า
หรือโทโมนั้นเป็นเจ้าชายที่สูงเกินเอื้อม เรื่องแบบนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวเขาก็จริง
แต่ดูจากที่โทโมเคยจูบแก้มของสึบาสะ ผู้ดูแลคนใหม่ของวงง่ายๆแบบนั้น...กับเขาเองก็อาจจะเป็น...นั่นสินะ...ที่เรียกว่าความเอ็นดู?
เพราะปกติโทโมก็ดูแลเขาเหมือนเขาเป็นเด็กๆอยู่แล้ว?
ทุกวันนี้ที่ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกันได้อย่างไม่เขอะเขินก็เพราะโทโมเห็นเขาเป็นเด็กไม่ใช่หรือไง?
นัยน์ตาสีชมพูอมม่วงจ้องลึกลงไปในดวงตาของตัวเองในกระจก....แล้วตัวเขาเองล่ะ...คิดยังไงกับโทโมกันแน่?
ตุ้บ...
เตียงที่ยุบยวบทำให้คนที่ยังเช็ดผมไม่แห้งเงยหน้ามองแผ่นหลังเล็กที่ยกขาขึ้นมากอดเข่าเอาไว้
ใบหน้ามุ่ยน้อยๆหันมามองเขาด้วยสายตาที่ปิดไม่มิดว่ากำลังสงสัย
“มะ
เมื่อกี้...มันจูบไม่ใช่หรือไง?” ....เรื่องนี้เองสินะ...แต่ก็นับว่ายังดีที่ริวจิพอจะรู้ตัวอยู่บ้าง
ก็ถือว่าเขาไม่ได้เสียแรงเปล่า
เขาจึงขยับเข้าไปใกล้ๆก่อนจะบอกอีกฝ่ายด้วยใบหน้าอมยิ้มตามปกติ
“ก็ใช่สิ
จูบไง? อย่าบอกนะว่าไม่เคย?” แล้วจู่ๆหมอนนิ่มๆก็ฟาดมาที่แขนของเขาเต็มแรง
“....ฮึ่ม....โทโมบ้า!
บ้าที่สุด!”
ถึงจะเป็นหมอนแต่มันก็แอบเจ็บเหมือนกันนะ
ยิ่งริวจิฟาดมาไม่ยั้งแบบนี้เขาก็มีแต่จะต้องรีบคว้ามันเอาไว้
“โอ๊ย!” แล้วกว่าจะตะครุบทั้งตัวคนฟาดทั้งหมอนได้ก็เล่นเอาหอบ
เขากดลำตัวเล็กลงกับเตียงก่อนจะนอนทับเอาไว้แล้วมองใบหน้างอหงิกนั่นจากข้างบน
“ยังมีหน้ามาถาม!
ก็ไม่เคยน่ะสิ! ชั้นจะไปจูบกับใครได้เล่า?!” ใบหน้างอนๆสะบัดไปอีกทาง
แก้มใสที่แดงระเรื่อทำเอาเขาอยากจะยิ้มให้แก้มปริแต่ก็จำต้องเก็บอาการเอาไว้
เสียงทุ้มเย็นๆจึงพูดออกไปด้วยทีเล่นทีจริง
“หื๋ม....งี้นี่เอง...ถ้างั้นก็หมายความว่า...จูบแรกของเจ้าหญิงก็เป็นของชั้นงั้นสินะ?” ....ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่านี่ต้องเป็นจูบแรกแน่ๆ
เพราะตั้งแต่เด็กจนโตริวจิถูกเลี้ยงมาเหมือนเด็กผู้หญิงแต่ก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิง
เพราะงั้นเจ้าตัวถึงเข้ากับเพื่อนผู้ชายไม่ค่อยได้แถมกับเพื่อนผู้หญิงเองก็ถูกอิจฉาเพราะดันไปน่ารักกว่า
อย่าว่าแต่จะมีแฟนหรือคนรักให้จูบได้เลย เพื่อนสักคนยังไม่มี
“ฮึ่ม....” ริวจิตวัดสายตางอนๆมองค้อนเขาทีนึงก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปมองด้านข้างตามเดิม
เขาจึงทิ้งตัวลงไปก่อนจะซุกใบหน้าไว้กับข้างแก้มของอีกฝ่าย
“ดีใจจัง” เขากระซิบเบาๆที่ใบหูของริวจิ
“ฮึ่ย...ไม่ต้องมาเฉไฉ!
โทโมบ้า!” ถึงจะสบถออกมาแบบนั้นแต่ความร้อนผ่าวที่แผ่ออกมาจากแก้มที่เขาแนบอยู่มันก็ทำให้รอยยิ้มเผยอยู่บนใบหน้าของเขาได้ไม่ยาก
“แต่ก็จำไว้แล้วกัน
ถ้านายไม่ยอมแปรงฟันให้เป็นเวลา ชั้นจะทำแบบนี้อีก”
ก็แกล้งขู่ไปงั้นแหละ...เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าริวจิไม่ได้รังเกียจที่ถูกผู้ชายด้วยกันอย่างเขาจูบ
ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะผู้ชายคนนั้นคือเขาหรือเปล่าที่ทำให้ริวจิไม่รังเกียจแต่นี่ก็ถือว่าหากเขาจะเดินหน้าต่อไป...อนาคตที่เขาหวังไว้มันก็คงจะพอมีทางเป็นไปได้
“ง่ะ.......” ร่างข้างใต้ผงะไปกับคำขู่ของเขา
“โทโมคนบ้า...มีใครเค้าทำแบบนั้นกับคนไม่ยอมแปรงฟันกันบ้างเล่า...” ริวจิพลิกตัวไปอีกฝั่งก่อนจะตลบผ้าห่มคลุมหัวแล้วบ่นงึมงำ
เขาจึงทอดสายตามองก้อนคลุมโปงนั่นด้วยรอยยิ้มบางๆ
อีกไม่นานหรอกริวจิ...อีกไม่นาน...ที่ชั้นจะบอกนายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ข้างในใจของชั้น...
แชะ!
ต่อให้ในใจจะยังสับสนและขุ่นมัวแต่เมื่อเสียงชัตเตอร์ดัง
หน้ากากแห่งรอยยิ้มอันสดใสก็ถูกดึงมาสวมใส่บนใบหน้าของเขาทันที
ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกบางๆยกยิ้มให้ใบหน้าเล็กดูเชิดหยิ่ง
ถึงจะสดใสเหมือนคุณหนูแต่ก็ดูสูงส่งเอาแต่ใจ...นั่นแหละลุคของเขา
“โคเรคุนิซังขยับเข้าไปชิดคิตาคาโดะซังมากกว่านี้อีกหน่อยครับ
แล้วก็คิตาคาโดะซังช่วยโอบเอวโคเรคุนิซังเอาไว้ด้วยครับ อย่างงั้นแหละครับ” แล้วเสียงชัตเตอร์ก็ดังต่อหลังจากจัดท่าทางของพวกเขาเสร็จ
ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่ที่ต้นคอของโทโม...หากโทโมคิดอะไรกับเขาจริงก็ไม่มีทางยังนิ่งแล้วอมยิ้มราวกับเจ้าชายให้กล้องได้แบบนี้หรอก
คิดแล้วมันก็น่าโมโห
ทั้งๆที่เมื่อคืนตั้งใจจะถามเหตุผลแท้ๆแต่ดันโดนโทโมมาจี้ใจดำเรื่องจูบแรกซะได้
ใครมันจะไปเคยกันล่ะในเมื่อเพื่อนสักคนเขายังไม่มี แล้วจะไปมีแฟนที่ไหนมาให้จูบ!
หมั่นไส้นัก
เจ้าเจ้าชายขี้แกล้ง!
“โอเค...พักแป๊บนึงนะครับ” สิ้นเสียงตากล้อง ในขณะที่ทุกคนเผลอ
เขาจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้ แล้วงั่มต้นคอโทโมด้วยความหมั่นเขี้ยวไปหนึ่งที
“เอ๋?
ริวจิ?”
ใบหน้าหล่อเหลาสาวกรี๊ดตายไปข้างนั่นหันมามองเขางงๆ
“สม!” เขาละออกมาด้วยใบหน้าหงิกๆซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงแค่ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะขยับคอปกเสื้อให้เข้าที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ร่างเล็กบางเดินตัวปลิวออกมาหากลุ่มสต๊าฟที่กำลังยืนมุงมอนิเตอร์กันอยู่
ดูเหมือนจะเปิดเช็คภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จไป ทีมเมคอัพตรงรี่เข้ามาซับเหงื่อบ้างเติมแป้งบ้างบนใบหน้าของเขาทันที
เขารับน้ำจากสต๊าฟอีกคนก่อนจะดูดมันไปพลางเหลือบมองมอนิเตอร์ไปพลาง
“คิตาคาโดะซัง~
อย่างกับเจ้าชายแน่ะ~” น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มดังมาจากกลุ่มสต๊าฟสาวๆที่เริ่มไปรวมตัวกันดูรูปในมอนิเตอร์
จะว่าเขาได้ยินอะไรแบบนี้มาบ่อยก็เป็นได้
หลังๆเลยเริ่มรู้สึกชิน แล้วอีกเดี๋ยวคนพวกนั้นก็จะพูดถึงเขาว่า
“แต่พอมีริวจังอยู่ข้างๆแล้วทำให้เจ้าชายดูอบอุ่นขึ้นนะ
อารมณ์เหมือนอยู่กับลูกแมว? ว๊าย~~”
นะ...ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกที่จะถูกชมว่าน่ารักเหมือนลูกแมว
ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้จับให้เขาเข้าคู่กับโทโมทั้งๆที่เขากับโทโมนั้นไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกันเลย
เรียกว่าต่างกันแทบจะคนละขั้ว
แทนที่จะหาคนที่ดูเหมือนเจ้าชายหรือเจ้าหญิงเหมือนกันให้มาคู่กับโทโมแท้ๆ...แต่ตอนนี้เขาพอจะรู้แล้วละว่าโทโมน่ะ...ไม่สามารถจะจับคู่กับใครได้เพราะออร่าเจ้าชายของตัวเองนั่นแหละ
ไม่ว่าใครจะอยู่ข้างๆก็คงจะโดนรัศมีราวกับราชสีห์นั่นกลบจนมิด
ดีไม่ดีคงทำกลุ่มล่มได้ง่ายๆเพราะแฟนๆอาจจะเทใจให้โทโมคนเดียว
แล้วก็เชื่อเลยว่าเพื่อนร่วมทีมก็คงไม่พอใจนักหรือไม่ก็คงรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
รู้สึกว่าเป็นคนละชนชั้น
เพราะงั้นแทนที่จะให้จับคู่กับคนที่คล้ายๆกันก็สู้ฉีกไปคนละขั้วแบบเขาเสียเลยดีกว่า
บางครั้งการเป็นเจ้าชายนี่ก็ช่างน่าสงสาร
ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ตามลำพัง~
“ริวจิ?”
โทโมที่มายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่ไหร่ไม่รู้ก้มลงมามองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเขาส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าเห็นใจ
“เอ้านี่
ชั้นให้”
มือเล็กจึงยื่นอมยิ้มไปให้โดยที่โทโมก็ได้แต่รับไปด้วยสีหน้างงๆ
แกร่บๆๆ
มือใหญ่แกะเปลือกอมยิ้มออกแต่ก่อนที่เขาจะได้ควานหาอันใหม่ในกระเป๋า
“ริวจิ” เสียงทุ้มที่เรียกชื่อเขาทำให้เขาหันไปหา
“อื้อ?”
แล้วอมยิ้มอันนั้นก็ถูกยัดใส่ปากของเขาด้วยมือของโทโม
“หึ....”
เขาขมวดคิ้วให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ใครก็คิดว่าเป็นยิ้มพิมพ์ใจของเจ้าชาย
แต่ไหงเขาถึงได้มองเห็นแววน่าสะพรึงอะไรบางอย่างอยู่หลังรอยยิ้มนั่นได้ก็ไม่รู้
“เดี๋ยวชั้นเมล์บอกสึบาสะก่อนนะว่าเราใกล้ถ่ายกันเสร็จแล้ว
ทางนั้นจะได้เตรียมรถมารับ” โทโมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าก่อนจะจิ้มลงไปบนหน้าจอ
“หมดเวลาพักแล้วคร้าบ~
เชิญถ่ายฉากต่อไปได้แล้ว”
เสียงสต๊าฟร้องเรียกอยู่ตรงฉากที่เซตเอาไว้
“ครับ”
และมันก็ทำให้ทั้งขวดน้ำในมือเขาและโทรศัพท์มือถือในมือโทโมถูกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะก่อนที่พวกเราจะกลับไปเข้าฉากสำหรับถ่ายรูป
“โคเรคุนิซัง
ฉากนี้ขออารมณ์แบบเขินๆนะครับ พร้อมนะ...”
ตากล้องสั่งออกมาให้เขาถึงกับผงะ
“เดี๋ยว
เขินเหรอ?” จะว่าไม่เข้าใจคำสั่งมันก็ไม่ใช่
แต่จู่ๆจะให้เขาทำหน้าเขินแล้วมันต้องทำยังไงล่ะ?
“อ่า...ลองนึกเรื่องที่ทำให้เขินดูนะครับ” ตาล้องยังคงพยายามแนะนำ
“ห๋า?” ถึงจะบอกให้ลองนึกถึงเรื่องที่รู้สึกเขินแล้วเขาควรจะคิดถึงเรื่องแบบไหนล่ะ
ใช่ตอนที่ลื่นล้มจนคนทั้งสตูดิโอมองอะไรแบบนั้นหรือเปล่า?
“....อย่างเช่นเรื่องจูบเมื่อคืนไงริวจิ” แต่แล้วจู่ๆเสียงทุ้มก็กระซิบมาข้างๆหู
ทั้งฉากทั้งความรู้สึกตอนที่ถูกจูบเมื่อคืนฉายราวกับภาพสโลโมชั่นอยู่ในหัวทันที
ฉ่า....
ถ้ามีเสียงใบหน้าร้อนผ่าวคนทั้งสตูดิโอก็คงจะได้ยินเสียงแบบนี้แน่ๆ
เขาเหลือบมองคนทั้งสตูดิโอที่มองเขาตาค้าง...จะ...จะมองอะไรกันเล่า...ร่างเล็กจึงขยับเข้าไปหลบอยู่หลังโทโมก่อนจะเกาะแขนอีกฝ่ายไว้ด้วยท่าทางอายๆ
แน่นอนว่าเสียงชัตเตอร์รัวแทบไม่ได้หยุด
จนแล้วจนรอดการถ่ายภาพก็จบลงด้วยดีจนได้
“ริวจังน่ารักมากกกกกเลยครับช็อตสุดท้ายเนี่ย
กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันน้า ถึงได้เขินได้น่ารักขนาดนี้” เลิกแซวซักทีเถอะน่า~ เขาได้แต่ก้มหน้าที่ยังแดงเถือกหลบ
ยิ่งเหลือบไปเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของโทโมก็มีแต่อยากจะยกมือขึ้นไปบิดแขนข้างนั้นนัก!
ในขณะที่สต๊าฟและทีมงานต่างยืนเช็คภาพในมอนิเตอร์กันไปหัวเราะร่วนกันไป...จึงไม่มีใครรู้ตัวเลยว่ามีผู้มาเยือนคนใหม่หยุดยืนอยู่ที่โต๊ะวางของ...
มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือที่ถูกกวางทิ้งไว้ขึ้นมา…
เห๋...นี่มันโทรศัพท์ของเจ้าชายนี่นา?
ปลายนิ้วสไลด์ลงไปบนหน้าจอ...คลิปวีดีโอที่ถ่ายเล่นๆในวันนั้นยังไม่ทันได้ลบ
คนที่แอบเปิดดูจึงเห็นมันเข้าเต็มๆ....รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายนิรนาม
ดูเหมือนชั้นจะเจอของดีที่จะใช้ชิงตัวเจ้าหญิงมาจากนายแล้วนะ
คิตาคาโดะ โทโมฮิสะคุง…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be Con.
เอาหัวโขกกำแพงรัวๆ
มายังไงฟร้าไหนี้ถถถถถ TT[
]TT
เอาเป็นว่าอย่าไปคาดหวังอะไรมากนัก
ไม่รู้จะได้เขียนต่อหรือเปล่าถถถถ ตอนนี้ก็แต่งเพื่อสนองนี้ดตัวเองล้วนๆ5555 //
โดนโบก
คือไปตกหลุมอนิเมะไอดอลเรื่อง
B-Project
เข้าค่ะ ฮือออออออ ปกติอนิเมะไอดอลทำอัลไลตรูได้ที่หน๊ายยยยยย
แต่เรื่องนี้ดูตอนแรกช่วงแรกๆก็ยังไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอเจอเพลง Hoshi to
Tsuki no Sentence ของ kitakore เข้าไป
อ๊ากกกกก ตรูชอบเพลงนี้!! >////< แถมชอบความเจ้าชายในตัวคิตาคาโดะซังมากค่ะ
ริวจังก็น่ารักน่าลวงกลับบ้านมากค่ะ
มันถึงได้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างเป็นไหอย่างที่เห็น TvT แถมในอนิเมะเองยังมีฉากให้จิ้นไม่บันยะบันยังอีกต่างหากถถถถถ
เห็นใจแฟนเกินอย่างหนูบ้างเถ้อออออ *q*
ส่วนชื่อฟิคเรื่องนี้
Tsuki
แปลว่าพระจันทร์ค่ะ
ต้องการให้พ้องเสียงกับคำว่า Suki ที่แปลว่าชอบ แล้วในความรู้สึกตัวเอง
คิตาคาโดะซังนี่เหมือนพระจันทร์ยังไงไม่รู้ ดูเย็นๆสุขุมๆ *q* // เพ้อค่ะ ปล่อยมันไป
ยังไงก็ขอขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านกันนะคะ
m(_
_)m แล้วเจอกัลเมื่อเอเลนต้องการ // ผิด
อัลไลคือการถอดเสื้อร้องเพลงท่ามกลางสายฝนกันคะคุณแม่ขราฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ >//////<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น