Attack
on Titan Au.S Fic [Levi xEren] ลีลาวดีสีชมพู : 03
:
Attack on Titan Fanfiction Au
:
Levi x Eren
:
Horror Mystery Period
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ร่างทั้งร่างนิ่งคว้างกับความจริงที่ได้รับรู้...
เขาทำได้แค่ยืนมองเอลวินฝังกลบหลักฐานชิ้นสำคัญด้วยความตะลึงงันอยู่แบบนั้น...มันเป็นชั่ววินาทีที่เขาทำอะไรไม่ถูก...เพราะชีวิตนี้คนที่เขาไว้ใจมีแค่สองคนและหนึ่งในนั้นก็คือร่างสูงใหญ่ที่กำลังสะพายกระเป๋าแล้วเดินจากไป...มีแต่คำว่าไม่จริงใช่ไหมและทำไมถึงทำแบบนี้ลอยอยู่ในหัว
เพราะเขาทำแต่เรื่องชั่วๆให้เอลวินต้องปวดหัวจนสุดจะทนอย่างนั้นใช่ไหม?
เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะบอก จะขู่ จะขอร้องเขายังไงเขาก็ไม่เคยจะฟัง
ไม่เคยจะสำนึกและไม่เคยคิดจะเลิกทำเรื่องแย่ๆ...เพราะเอลวินทนเขาอีกต่อไปไม่ไหวแล้วใช่ไหมถึงได้ถือมีดเข้ามาแทงเขาแบบนี้....
ไม่มีเหตุผลเลย...
ในเมื่อเอลวินอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก
อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เขายังไม่มีใครในโลกรู้จักสักคน เขารู้ว่าเอลวินทนต่อความเจ้าอารมณ์ของเขามามากขนาดไหน
แต่อีกฝ่ายก็ยอมรับตัวตนของเขาได้มาตลอด
แล้วทำไม...
ทำไมถึงได้อยากจะมาฆ่าเขาเอาป่านนี้...
ทำไมกัน...
ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด!!
ครื้นนนนน.....
เสียงฟ้าร้องยังดังอยู่ไกลๆ
ไม่รู้ว่าบาหลีฝนตกเป็นประจำหรือท้องฟ้ากำลังร่ำไห้ให้เขากันแน่...
เขาเดินโซเซกลับห้องพักที่มืดสนิท...
นัยน์ตากวาดมองข้าวของที่ยังวางอยู่เหมือนเดิม...ห้องๆนี้...เป็นห้องที่เอลวินเลือกให้เขาสินะ...ตอนแรกเขาเคยคิดว่าหมอนั่นช่างสรรหาแต่สิ่งดีๆให้เขา
แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าที่เอลวินเลือกห้องที่อยู่ริมสุดไกลผู้ไกลคนให้เขาเป็นเพราะรู้ใจว่าเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายหรือมันจะง่ายเวลาที่หมอนั่นจะลงมือฆ่าเขากันแน่
เขารู้แค่ว่าการฆาตกรรมครั้งนี้มีการไตร่ตรองมาอย่างดี
มันไม่ใช่บันดาลโทสะเพราะว่าเราไม่ได้ทะเลาะกัน...หมอนั่นทำให้คนอื่นๆเชื่อ...ว่าเขาถูกโจรฆ่าตาย
ทั้งๆที่จริงแล้วคนที่ปีนขอบสระว่ายน้ำขึ้นมาฆ่าเขา
คนที่แกล้งวิ่งหนีไปทางหมู่บ้านก็คือตัวหมอนั่นเอง ฉากทั้งหมดเอลวินเป็นคนจัดมันขึ้นมาเอง!
ถ้าเป็นเอลวิน
สมิธละก็ทำได้แน่...
เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง...
ในหัวครุ่นคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก...ว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไปดี
เขาควรจะไปหาเอเลนแล้วบอกให้หมอนั่นพาตำรวจมาขุดมีดเล่มนั้นไปเพื่อทำให้เพื่อนที่เขาเคยไว้ใจที่สุดต้องติดคุก
หรือเขาควรจะปล่อยเรื่องนี้ไปเพราะไหนๆเขาก็ตายไปแล้ว...
เขาควรจะทำยังไง...
เขาควรจะทำยังไงดี...
แกร่ก...
เสียงประตูหน้าถูกไขด้วยกุญแจก่อนที่เงาร่างสูงใหญ่ที่กลับไปใส่สูทเรียบร้อยจะเดินเข้ามาพร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่ง
เขาเพียงแค่จับตามองอีกฝ่ายอย่างหมดอาลัยตายอยากเพราะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าทำไมหมอนั่นจะต้องฆ่าเขาด้วย
ถ้าจะถามว่าเขาไปทำอะไรให้หรือไงคงต้องตอบว่าเยอะแยะมากมายจนนับไม่หวัดไม่ไหวเลยละปัญหาที่เขาก่อให้
ก็นั่นแหละ ถ้าอยากจะฆ่าเขาจริงๆหมอนั่นน่าจะทำไปนานแล้วคงไม่รอมาจนถึงป่านนี้หรอก
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินผ่านหน้าไปยังโต๊ะข้างเตียง
มือใหญ่เปิดซองเอกสารก่อนที่กระดาษปึกหนึ่งจะถูกดึงออกมาพร้อมๆกับอีกมือที่ดึงลิ้นชัก...หมอนั่นกำลังจะทำอะไรน่ะ?...ด้วยความสงสัยเขาจึงลากสังขารอันโรยราเพื่อยื่นหน้าเข้าไปดู
และแล้วร่างกายก็ได้แต่นิ่งงันไปอีกครั้งเมื่อมองเห็นหัวกระดาษแผ่นนั้น
เพราะมันเขียนเอาไว้ว่า...พินัยกรรม....
เขามองไม่เห็นว่ารายละเอียดของเนื้อหานั้นมันเขียนว่ายังไงเพราะซองสีน้ำตาลมันบังอยู่
มองไม่เห็นชื่อของคนรับมรดก มองไม่เห็นแม้แต่ว่ามันเป็นพินัยกรรมของใคร แต่จากการที่เอลวินหยิบตราประทับของเขาที่วางอยู่ในลิ้นชักไปประทับลงที่ท้ายกระดาษมันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพินัยกรรมฉบับนี้มันเป็นของเขา?
อย่าบอกนะว่าหมอนั่นกำลังปลอมพินัยกรรมซึ่งเขาไม่เคยทำไว้เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตายไวขนาดนี้
แล้วตอนนี้เอลวินก็กำลังสร้างพินัยกรรมนั่นขึ้นมาใหม่และไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าชื่อคนรับมรดกมหาศาลของเขาต้องเป็น
“เอลวิน สมิธ” แน่ๆ...
ไม่งั้นคงไม่ลงทุนลวงเขามาฆ่าถึงบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้หรอก...ดีไม่ดีเอลวินอาจจะรู้จักคนที่นี่เป็นอย่างดี
อาจจะปิดคดีโดยมีสรุปว่าเขาถูกโจรฆ่าตายโดยที่ยังจับตัวไม่ได้ก็ได้
มือที่เคยอ่อนแรงจนถึงเมื่อครู่ถึงกับกำแน่น...
หรือเหตุผลที่หมอนั่นฆ่าเขาจะเป็นเพราะเรื่องเงิน?
เพราะเอลวินเป็นคนเดียวที่รู้ดีทุกอย่างว่าเขามีทรัพย์สินมากมายขนาดไหน
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ฆ่าเขาเป็นเพราะยังไม่ได้ตามเป้า?
เลยต้องปล่อยให้เขาทำเงินไปเรื่อยๆก่อน?
สันกรามได้แต่กัดกันกรอดอย่างเจ็บแค้นที่ไม่สามารถชกหมอนั่นสักทีสองทีได้
ได้แต่ยืนมองมือใหญ่เก็บตราประทับลงไปในลิ้นชักตามเดิม
เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดกับเขาแบบนี้
ความเป็นเพื่อนที่เขาไม่เคยหยิบยื่นให้ใครแต่ยกให้หมอนั่นมันไม่มีค่าเลยใช่ไหม?
หรือที่ผ่านมานายไม่เคยคิดว่าชั้นเป็นเพื่อนนายเลยงั้นสิ?
นายถึงได้ทำกับชั้นแบบนี้น่ะเอลวิน?!
สองมือยกขึ้นตั้งใจจะเขย่าคอเสื้ออีกฝ่ายแต่มันก็ทำได้แค่เพียงเคลื่อนผ่านร่างกายสูงใหญ่นั่นไป...เขาทำอะไรไม่ได้
ถามอะไรก็ไม่ได้ ไม่ได้เลย
ปึง...
เสียงประตูปิดลงเบาๆรอบกายจึงเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น....
ความรู้สึกของการถูกทรยศหักหลังมันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง...อยากจะร้องไห้แต่น้ำตาก็ไม่ไหลเพราะในอกมันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
มือที่กำอยู่ยิ่งกำแน่นกว่าเดิม...
เขาไม่ยอม...
เขาจะไม่ยอมให้หมอนั่นชุบมือเปิบไปง่ายๆแบบนี้หรอกในเมื่อเขายังมีทายาทโดยชอบธรรม
หรือต่อให้ไม่มีทายาทก็สู้เอาไปบริจาคให้วิหารของเอเลนซะยังจะดีกว่า!
เขาไม่ยอม!
เขาจะไม่ให้หมอนั่นได้เงินของเขาไปซักแดงเดียวเลยคอยดู!
ขอแค่จับเอลวินยัดใส่ตะรางได้
มรดกและรายได้มหาศาลของเขาก็จะตกไปเป็นของญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ทันที
ใช่...สมบัติพวกนั้นมันจะต้องเป็นของ
มิคาสะ อัคเคอร์มัน...หลานสาวเพียงคนเดียวของเขา
ฝ่าเท้าก้าวออกจากห้องด้วยความเคียดแค้น
จากความไว้ใจแปรเปลี่ยนเป็นความชิงชัง เขาจะทำทุกอย่างให้เอลวินได้รับกรรมที่มันทำเอาไว้กับเขา
เขาจะกระชากหน้ากากมันออกมาแล้วทำให้มันทุกข์ทรมานอยู่ในคุกอย่างสาสม!
ร่างแข็งแกร่งโดดลงจากขอบสระว่ายน้ำก่อนจะเดินผ่านป่าลงไปยังหมู่บ้าน
รู้ตัวอีกทีนี่ก็เกือบจะฟ้าสางแล้ว...
เขามาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านของเอเลนตอนที่แสงแดดลำแรกสาดส่องมาพอดี...จริงสิ...มิคาสะเองก็น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเอเลนละมั้ง?
อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับยัยเด็กมืดมนนั่นนัก
เพราะงานที่ยุ่งรัดตัวแล้วไหนจะยังนักข่าวที่ชอบเข้ามายุ่งวุ่นวาย
เขาเลยตัดสินใจส่งยัยเด็กนั่นไปเรียนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศที่ปลอดภัยและความเป็นอยู่ดีทุกอย่าง
ถึงต่างฝ่ายต่างไม่ค่อยได้พูดคุยกันแต่สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวก็ทำให้มิคาสะเป็นอีกหนึ่งคนที่เขาไว้ใจ
แน่นอนว่าเอลวินก็รู้จักยัยเด็กนั้นดี...ออกจะทำตัวเป็นผู้ปกครองที่ได้เรื่องได้ราวมากกว่าเขาเสียอีก
แล้วทำไม...ทำไมเอลวินถึงยังคิดจะแย่งสิ่งที่เป็นของมิคาสะกันล่ะ?
หมอนั่นก็รู้ว่าหากไม่มีเขาอยู่
ยัยเด็กที่ตัวเองก็เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานจะต้องลำบาก
แล้วทำไม...ทำไมถึงยังคิดจะทำลายครอบครัวของเขา...
ริมฝีปากกัดกันจนรู้สึกเจ็บ
ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาผ่านประตูบ้านที่ปิดสนิทไป สว่างขนาดนี้เอเลนตื่นแล้วแน่นอน
“โฮ่ย”
เขาเอ่ยทักเจ้าของห้องและเป็นเพราะเดินผ่านประตูที่ปิดสนิทเข้ามาทำให้คนที่อยู่ข้างในไม่ทันระวัง
ร่างโปร่งบางจึงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเพราะกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ฮี้?!!” ใบหน้ามนอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อหันมาเห็นเขาเข้า
มือบางดึงผ้าถุงขึ้นมาปิดบังร่างกายแต่ก็ได้แค่บางส่วน
“เดี๋ยวสิคุณรีไว!
ใครอนุญาตให้คุณเข้าๆออกๆห้องนอนของผมเหมือนเป็นห้องของตัวเองแบบนี้กันห๊ะ?!
แถมยังเดินผ่านประตูมาหน้าตาเฉยแบบนี้อีก!” ริมฝีปากช่างเจรจาต่อว่าเขาทันที
“.........” แต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปเพราะมัวแต่จ้องมองร่างกึ่งเปลือยตรงหน้าอย่างเผลอไผล
ทั้งไหล่บางๆ ทั้งเอวบางๆ ทั้งร่างกายที่ไร้กล้ามเนื้อ ทั้งต้นขาเรียวเล็ก
แล้วไหนจะผิวสีน้ำผึ้งที่เนียนเรียบดูน่าสัมผัส...ไม่ยักจะรู้ว่าร่างกายของผู้ชายก็เร้าอารมณ์ได้ขนาดนี้
“แน่ะ!
ยังจะมองอีก! ออกไปเลยนะเจ้าผีไม่มีมารยาทนี่!”
หมอนที่อยู่ใกล้มือถูกปาผ่านร่างกายของเขาไป เขาเองก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้เพราะสัญชาติญาณดิบมันกำลังพลุ่งพล่านมากขึ้นทุกที...เขามาที่นี่เพื่อให้เอเลนช่วยสะสางเรื่องการฆาตกรรม
ขืนไปทำเรื่องหื่นๆพรรณนั้นเข้าเจ้าเด็กนี่คงไม่ยอมช่วยเขาแน่
เพราะงั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บกดความต้องการแล้วรีบเดินออกจากห้องไป
ผ่านไปพักใหญ่กว่าประตูไม้บานนั้นจะยอมแง้มเปิดออก
นัยน์ตาสีมรกตกลมโตจ้องเขม็งมองเขามาจากหลังบานประตูอย่างไม่ไว้ใจ
ผ่านไปอีกพักใหญ่กว่าเจ้าเด็กนั่นจะยอมเดินออกมาพูดกับเขาดีๆเหมือนเดิม
“ฮึ่ม...แล้วตกลงมีอะไรครับ?!” ใบหน้ามนหงิกเล็กๆก่อนจะตวัดสายตามามองเขา
“ไปด้วยกันหน่อย” มือแข็งแรงคว้าข้อมือเล็กก่อนจะลากให้เดินตามมาโดยยังไม่ทันได้อธิบายอะไรเพราะนี่ก็เสียเวลาไปมากแล้ว
“เอ๋?
จะไปไหนครับ?”
“มาเหอะน่า” ขาทั้งสองคู่เดินเข้าไปในป่าที่หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ
เขาเห็นใบหน้ามนนั่นเหลือบมองรอบกายอย่างกังวล ปกติแล้วเอเลนคงจะไม่ค่อยได้เข้ามาในป่าลึกที่อยู่ใกล้ๆโรงแรมมากนัก
อีกอย่างโดนวิญญาณเร่ร่อนไม่น่าไว้ใจอย่างเขาลากเข้าป่ามันก็ต้องกลัวบ้างแหละ
เขาจึงตัดสินใจค่อยๆเล่าให้เด็กนั่นฟัง
“ฟังนะ
เมื่อคืนนี้ชั้นเจอเอลวิน สมิธในป่า หมอนั่นเป็นผู้จัดการส่วนตัวของชั้น แล้วเมื่อคืนหมอนั่นก็เพิ่งจะฝังมีดที่ใช้แทงชั้นเอาไว้ที่ชายป่า
ชั้นอยากให้นายไปดูที่ที่ฝังมีดเอาไว้แล้วรีบกลับมาบอกตำรวจ...ใช่...พาตำรวจไปขุดมีดแล้วลายนิ้วมือบนมีดก็จะฟ้องเองว่าเจ้าเอลวินเป็นคนที่ฆ่าชั้น!”
เขาเผลอใส่อารมณ์ทั้งๆที่พยายามจะใจเย็นแล้ว
แต่พอพูดถึงเอลวินทีไรไฟแค้นที่อยู่ในใจก็พลุ่งพล่านทุกที
“อะไรของคุณน่ะ?
ผมงงไปหมดแล้ว?” เอเลนทำหน้าสับสนและตามไม่ทันอย่างที่ปากบอก
คงจะเป็นเพราะเขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลยว่าเขาไปทำอีท่าไหนถึงได้กลายมาเป็นวิญญาณเร่รอนอยู่แบบนี้
เด็กนั่นก็เลยเพิ่งจะรู้นี่แหละว่าเขาโดนฆาตกรรม
“ก็บอกแล้วไงว่าชั้นเพิ่งจะเจอหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่าชั้น
แล้วนายก็ต้องเป็นคนไปบอกตำรวจเพราะไม่มีใครมองเห็นหรือได้ยินเสียงของชั้นนอกจากนาย!”
“เอ๋?
อ่อ...ครับ?” เอเลนพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อจากปากคนพูดไม่เก่งอย่างเขา
ถึงจะพยักรับแต่ใบหน้าใสนั่นก็ยังเต็มไปด้วยแววมึนงง
“เอ้า!
ตรงนี้แหละ! นายพอจะจำได้ใช่ไหม? จะพาตำรวจมาถูกใช่ไหม?” หลังจากเดินผ่านป่าเขตร้อนชื้นมาพอสมควร
เขากับเอเลนก็มาหยุดอยู่หน้าหลุมๆหนึ่งซึ่งหน้าดินยังร่วนซุยราวกับเพิ่งถูกขุดขึ้นมาใหม่ๆ
ถึงเอลวินจะใช้เศษกิ่งไม้ใบไม้มาคลุมเอาไว้แต่สภาพผืนดินที่ทับถมกันตามธรรมชาติก็ยากที่จะเลียนแบบได้อยู่ดี
“ก็...พอได้อยู่หรอก...แต่ว่า...จะให้ผมบอกตำรวจว่ายังไงล่ะถ้าเค้าถามว่าผมมาทำอะไรในป่าลึกแบบนี้ถึงได้มาเจอมีดนี่เข้าน่ะ
ไม่ไหวหรอก~” ใบหน้ามนส่ายไปมาอย่างไม่คิดว่าตนจะโกหกใครรอด
“ไหวสิ!
เด็กบ้านนอกไม่มีไฟฟ้าใช้แบบนาย บอกตำรวจเค้าไปว่ามาเก็บหน่อไม้
เก็บเห็ดอะไรก็ว่าไป ใครเค้าก็เชื่อแบบไม่สงสัยแล้ว!” เขาพยายามจะช่วยหาข้อแก้ตัวแต่มันดันไปทำให้นัยน์ตากลมโตเหล่มองเขาอย่างเหยียดๆมากกว่า
“มันน่าโมโหนะครับ
ประโยคเมื่อกี้...”
“เอาเถอะน่า
นายรีบกลับไปบอกตำรวจ เดี๋ยวชั้นจะกลับไปจับตาดูเอลวินเอาไว้
ถ้ามันคิดจะหนีออกนอกประเทศหรือทำอะไรแปลกๆละก็ ชั้นจะได้มาบอกนาย” เขาตัดสินใจเองเสร็จสรรพโดยที่อีกฝ่ายทำได้เพียงใบหน้าละเหี่ยใจ
“โธ่~
เอาไงก็เอาครับ...ทำไมผมต้องมาพัวพันเรื่องน่าปวดหัวของคุณด้วยเนี่ย!”
เขาแยกกับเอเลนก่อนจะเดินกลับโรงแรม
เขาหาตัวเอลวินเจอได้ไม่ยากและหมอนั่นก็กำลังจะไปโรงพยาบาล
ทำทีไปเฝ้าไข้เขาอย่างทุกวัน
ทั้งๆที่ความจริงนั้นอาจจะไปคอยดูว่าถ้าเขามีแววจะฟื้นเมื่อไหร่จะได้ถอดสายช่วยหายใจหรือให้ยาให้เขากลายเป็นเจ้าชายนิทราแบบนั้นต่อไป
สองขาก้าวเข้าไปในห้องพิเศษเดี่ยวซึ่งไม่ได้มาเสียหลายวัน
ร่างกายของเขายังนอนนิ่งงันอยู่บนเตียงเหมือนเดิม แต่เดี๋ยวนะ
อะไรบางอย่างที่วางอยู่ข้างเตียงมันสะดุดตาเขาจนต้องเดินเข้าไปดู
ในพานไม้ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมีตุ๊กตาดินเผาตัวเท่าฝ่ามือวางอยู่
ข้างๆมีดอกลั่นทมแล้วก็กระทงใส่เครื่องสักการะที่เขาเห็นได้ทั่วไปในบาหลี
เขาเหลือบมองสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นอย่างไม่ไว้ใจ...ใครมันกำลังทำคุณไสยใส่เขาหรือเปล่าเนี่ย?
แต่พอลองมองดูตุ๊กตาดินเผานั่นให้ดีๆถึงหน้าตาจะใส่รายละเอียดได้ไม่ชัดเท่าไหร่แต่ท่าทางมันก็ให้รู้สึกคุ้นตา...นี่มันยัยเทพธิดาลีลาวดีนี่?
ถึงว่า...ถึงได้วางดอกลั่นทมไว้ข้างๆ...
ถ้างั้นก็คงจะเป็นความเชื่อของคนที่นี่ละมั้งที่เอารูปจำลองของเทพธิดาลีลาวดีมาไว้ใกล้ๆร่างของเขาเพื่อให้ช่วยปกปักรักษาและก็ทำให้เขาที่ยังไม่ฟื้นคืนสติลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ใครกันช่างหวังดี ขนาดตัวเขาเองยังถอดใจไปแล้วเลย แต่ก็ไม่แน่...อาจจะเป็นเพราะพลังจากยัยเทพธิดานั่นก็ได้ที่ยังยื้อลมหายใจที่อ่อนแรงของเขาเอาไว้
ร่างของเขาถึงได้ยังหลับใหล ไม่ขาดใจตายไปแล้วแบบนี้
วันนั้นทั้งวันเอลวินก็ยังทำตัวตามปกติ
ยังคงนั่งเฝ้าร่างของเขาไปพลางโทรศัพท์ติดต่อเลื่อนงานของเขาไปพลาง โทรศัพท์จากตำรวจก็ยังไม่มีมา
แต่ก็อย่างว่าแหละ เพิ่งจะได้มีดที่เป็นหลักฐานไป
ตำรวจคงยังไม่ทันได้ตรวจสอบลายนิ้วมือหรือแม้แต่เทียบรอยแผลว่ามันเป็นมีดที่ใช้แทงเขา...คงจะต้องรออีกหลายวันเลยกว่าจะโยงมาถึงเอลวินได้
เขาเดินหาวหวอดตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่เพิ่งกลับมาถึงโรงแรม
วิถีชีวิตของหมอนี่ช่างน่าเบื่อจริงๆ
ถ้าเขาไม่ก่อเรื่องวุ่นวายเจ้าเอลวินคงไม่ได้เจอเรื่องตื่นเต้นอะไรเลยแหงๆ
เขาเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปในห้องพักของหมอนั่นที่อยู่ห่างออกมาพอสมควรเพราะเอลวินไม่ได้จองเป็นห้องสวีทแบบของเขา
แต่หมอนั่นเลือกห้องพักแบบธรรมดาๆที่มีแค่เตียงกับตู้เสื้อผ้าแล้วก็ห้องน้ำในตัวแค่นั้น
ตรู้ด....
เสียงโทรศัพท์ที่โทรมาหลังเวลาเลิกงานทำให้เขาหันไปสนใจ
ยิ่งชื่อที่เอลวินเรียกคนที่ปลายสายก็มีแต่จะทำให้ยิ่งต้องเงี่ยหูฟัง
“ไงมิคาสะ” มือใหญ่คลายเนคไทในขณะที่ก้าวขาไปยืนอยู่หลังหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ของป่าเขาเขียวขจี
“ไม่ต้องห่วงหรอก....รีไว...ก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ...”
ตอนที่พูดเรื่องของเขาเสียงของหมอนั่นฟังดูลำบากใจ...แหงล่ะ...ต้องโกหกว่าเขายังสบายดีทั้งๆที่เขานอนเหมือนคนตายอยู่ที่โรงพยาบาล
ต้องโกหกแบบนั้นต่อคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและคงจะโทรมาถามไถ่ด้วยความห่วงใยอย่างยัยเด็กนั่น...ต่อให้ใจหินขนาดไหนก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างนั่นแหละ
“อื้อ...ดูแลตัวเองด้วย...แค่นี้นะ” ฝ่ามือของเขากำแน่น....หมอนั่นยังกล้าพูดแบบนั้นกับมิคาสะอีกงั้นเหรอ?
ทั้งๆที่ตัวเองตั้งใจจะพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากยัยเด็กนั่นเนี่ยนะ?
เลวที่สุด...
เขาก้าวขาฉับๆออกมาจากห้องนั้นอย่างไม่อยากจะอยู่ร่วมกับหมอนั่นอีกแม้แต่วินาทีเดียว
เดินออกมาด้วยความหงุดหงิดเสียเต็มประดา
แล้วก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของเอเลนเสียได้...
คงจะเป็นเพราะเขาสบายใจละมั้ง...เมื่อได้อยู่ใกล้ๆเด็กนั่น
เขาก้าวขาเดินเข้าไปราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
ใบหน้ามนซึ่งกำลังนั่งเด็ดผักอยู่ที่ม้านั่งยาวหน้าครัวจึงค้อนเข้าให้หนึ่งที
“ตำรวจมาเก็บมีดไปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” เขานั่งลงไปข้างๆอย่างถือวิสาสะ
ก่อนจะหยิบกลีบดอกไม้ที่เด็ดแล้วในตะกร้ามาหมุนเล่น
“ใช่ครับ” เอเลนตอบกลับมาพลางทำหน้าแหยงๆก่อนจะพูดต่อไปว่า
“ไม่เอาแล้วนะครับ
ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคุณอีกแล้ว
กว่าตำรวจจะเชื่อได้ว่าผมไปเก็บเห็ดจริงๆก็ต้องอธิบายกันแทบตายแน่ะ!” ใบหน้ามนทำหน้ามุ่ย เขาจึงมองด้วยสายตาเอ็นดู
คิดถึงว่าถ้าเป็นตัวเองจะยอมช่วยใครก็ไม่รู้ถึงขนาดนี้ไหมนะ?....คำตอบคืออาจจะไม่ก็ได้
เพราะงั้นจึงนับว่าโชคดี...ที่คนที่เขาได้มาเจอคือเอเลน...
มือแข็งแรงวางกลีบดอกไม้กลับลงไปในตะกร้าก่อนจะหยิบดอกลั่นทมหนึ่งในสองสามดอกที่วางอยู่ในนั้นขึ้นมา...
ก่อนจะทัดมันเอาไว้ที่ใบหูของเด็กนั่น...
“เอ๊ะ?...” ใบหน้ามนเงยขึ้นมาก่อนจะอุทานเล็กๆ
มือบางจับๆลงไปที่ดอกลั่นทมนั่นเบาๆ แล้วแก้มใสก็แดงระเรื่อ นัยน์ตากลมโตเสหลบอย่างเขินอาย
ไม่รู้ว่าทำไมใบหน้าใสยามนี้กลับชวนมองจนเขาเผลอยื่นหลังมือไปแนบแก้มนิ่มนั่นก่อนจะไล่นิ้วลงมายังปลายคาง
ไม่รู้ทำไม...ถึงนึกอยากจะจูบริมฝีปากที่กำลังเม้มน้อยๆนั่นขึ้นมา....
“กินข้าวหรือยัง?” เขาถามออกไปด้วยเสียงลอยๆ
บรรยากาศของบาหลีมันมีมนต์สะกดหรือยังไงกันนะเขาถึงได้เคลิบเคลิ้มได้ขนาดนี้
ต้องห้ามใจแค่ไหนไม่ให้เผลอจูบเด็กนั่นลงไป
“กินแล้ว...ครับ....” ใบหน้ามนยังคงก้มงุด
รอยแดงที่ลามมาจนถึงใบหูทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงเขินอายไม่หาย
เขาละมือจากปลายคางไปจับข้อมือเล็กเอาไว้ก่อนจะดึงเบาๆให้ลุกตามมา
เอเลนมองตามเขาด้วยสายตามึนงง
เขาลากเด็กนั่นออกจากบ้านก่อนจะเดินไปตามทางที่เริ่มจะมืดสลัว...แต่คราวนี้ไม่ได้พาเข้าป่า
ทว่า มันกลับเป็นทางที่เด็กนั่นคุ้นเคยดี...เพราะอีกไม่นานพวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าวิหารเทพธิดาลีลาวดี
ก็แค่อยากจะขอบคุณที่ช่วยเหลือ
เขาจึงอยากให้เอเลนได้เห็น...สิ่งที่เขาเผอิญมาเจอเข้าตอนที่ผ่านมาก่อนจะไปหาเอเลนเมื่อเย็น...
ใบหน้ามนหันมามองเขาด้วยความสงสัยและเมื่อเขาก้าวขาเดินเข้าไปในวิหาร
ร่างโปร่งบางก็ก้าวตามเข้ามา...แล้วนัยน์ตาสีมรกตก็ถึงกับเบิกกว้างกับภาพตรงหน้า
ใบหน้าที่ตื่นตะลึงของเด็กนั่นทำให้เขารู้ว่าเอเลนไม่เคยเห็นมันมาก่อน...ก็เป็นไปได้เพราะเด็กนี่จะกลับบ้านก่อนที่จะมืด...จึงไม่เคยรู้เลยว่าเหนือสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ยามค่ำคืนนั้นมันงดงามเพียงใด...
ดวงจันทร์กลมโตสะท้อนอยู่บนผืนน้ำที่เต็มไปด้วยใบบัว
หินสีดำทำให้แสงสว่างเล็กๆของหิ่งห้อยนับร้อยยิ่งดูสวยงามตระการตา
บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์กลับอบอวลไปด้วยความหอมหวนอันน่าโหยหา ซึ่งมันทำให้ยิ่งน่าหลงใหลด้วยความที่เป็นสถานที่ต้องห้าม
ร่างโปร่งบางยืนตะลึงงันอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน
สายตาที่เอาแต่จับจ้องภาพตรงหน้าทำให้คนพามาอย่างเขาสุขใจเสียยิ่งกว่าได้มองภาพเหล่านี้ด้วยตาของตัวเองเสียอีก
เขาดึงมือบางให้ร่างโปร่งนั่งลงมาข้างๆ
แผ่นหลังพิงฐานของรูปสลักเทพธิดาลีลาวดีเอาไว้ก่อนจะทอดสายตามองสระน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเงียบๆ
ยิ่งเวลาผ่านไปร่างโปร่งบางก็ยิ่งขยับซุกเข้ามาใกล้ๆด้วยไอเย็นที่อยู่รอบตัว
แต่ถึงกระนั้นกลับไม่ยอมปริปากว่าอยากกลับบ้าน...ราวกับว่าพวกเขากำลังจมดิ่งไปกับบรรยากาศต้องมนต์นี่และไม่อาจหนีมันได้...ไม่อาจจะละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว...
ฝ่ามือเลื่อนไปกอบกุมมือบางเอาไว้ให้ไออุ่นส่งผ่านถึงกัน
ใบหน้ามนขยับมาเกยอยู่ที่หัวไหล่ของเขาราวกับลูกหมากำลังออดอ้อน นัยน์ตาสีขี้เถ้าจึงเหลือบมองพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆก่อนจะละสายตากลับมามองภาพตรงหน้า
ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกำลังหยุดนิ่งแต่เขากลับไม่รู้สึกเบื่อ
ไม่รู้สึกว่าอยากจะลุกไปจากตรงนี้ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนที่จะทนอยู่กับอะไรได้นานๆ
แล้วก็...
น่าแปลก...
ถึงจะไม่ได้จูบ
ไม่ได้แสดงความรักใดๆ....แต่หัวใจของเขากลับรู้ดีว่าตอนนี้มันมีความรักอยู่เต็มเปี่ยม
เป็นความสุขที่เอ่อล้นมาจากหัวใจ
ไม่ใช่ความสุขชั่วข้ามคืนที่มาจากร่างกาย....
เป็นความรู้สึกที่คงจะไม่หายไปง่ายๆเขารู้ดี…
เสียงจิ๊บๆของนกเล็กๆทำให้นัยน์ตาที่ปิดสนิทค่อยๆลืมตาตื่น...นี่เขาหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
เอาอีกแล้ว...
เขาเผลอหลับไป
ไม่สิ ต้องบอกว่าเขาหลับได้เพราะอยู่ใกล้ๆเอเลนอีกแล้ว
ใบหน้าคมหันไปมองใบหน้าหลับปุ๋ยที่ซบอยู่ที่หัวไหล่
ร่างกายที่อิงแอบแนบชิดนั้นแสนอบอุ่น ทั้งๆที่ม่านหมอกยามเช้านั้นแสนจะหนาวเหน็บ
เขาเงยหน้าขึ้นมามองสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งบัดนี้ไม่มีหิ่งห้อยเหลืออยู่แล้ว
จะมีก็เพียงไอหมอกจางๆที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำให้ความรู้สึกสวยงามที่แตกต่างไปจากตอนกลางคืน
เป็นยามเช้า...ที่เหมือนในเช้าวันนั้น.......เมื่อนานมาแล้ว....
“อึ่ก?!!” จู่ๆภาพอะไรบางอย่างก็แทรกเข้ามาในโสตประสาท
มันเป็นภาพของเอเลน...หรือเปล่านะ?
เพราะถึงจะมีใบหน้าที่เหมือนกันแต่คนในภาพนั่นผมยาวถึงกลางหลัง...บอกว่าเหมือนยัยเทพธิดาลีลาวดียังจะใกล้เคียงเสียกว่า
ร่างโปร่งบางเดินเข้ามาในวิหารที่ดูจะใหญ่กว่าที่ที่เขานั่งอยู่ด้วยใบหน้าตื่นๆราวกับเพิ่งจะเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก
ใบหน้ามนนั่นหันซ้ายแลขวาก่อนจะผงะไปเมื่อมองเห็นร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่แต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามยืนขวางอยู่ที่บันไดทางขึ้น
นั่นมัน...เขางั้นเหรอ?
เขาจ้องมองผู้ชายที่คล้ายกับตัวเองนั่นอย่างตื่นตะลึง
ไม่สิ...ไม่ใช่เขาหรอก
เพราะเขาไม่เคยแต่งตัวราวกับเทพเจ้าอะไรสักอย่างของศาสนาฮินดูแบบนั้น
“เจ้าน่ะรึข้ารับใช้คนใหม่ที่คนในหมู่บ้านผลักไสมา?” ....คราวนี้ไม่ใช่แค่ภาพอย่างเดียว
แต่เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างสองคนนั้นด้วย?
“ไม่ใช่ข้ารับใช้แต่เป็นเครื่องสักการะอันศักดิ์สิทธิ์!
แล้วก็ไม่ได้ผลักไสแต่เป็นหน้าที่อันทรงเกียรติต่างหาก!” คนที่เหมือนเอเลนตอบอีกฝ่ายเสียงห้วนเหมือนไม่ชอบใจที่ถูกคนไม่รู้จักดูถูกเอา?
“โฮ่?
มีแต่คนร้องห่มร้องไห้ไม่ใช่หรือไงถ้าต้องถูกเลือกน่ะ?
อย่างเจ้าคงไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีบ้านให้กลับไปสินะ ถึงได้คิดว่าหน้าที่นี้มันศักดิ์สิทธิ์?” แต่คนที่เหมือนเขานั่นก็กวนประสาทใช้ได้
น้ำเสียงหยันๆเลยส่งกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดๆบนใบหน้า
“ช่างข้าเถอะ!
แล้วไหนล่ะเทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาหมู่บ้านของเราน่ะ? อ่ะ?
หรือว่าข้าเพิ่งมาใหม่จะยังมองไม่เห็น?”
สองคนนั้นพูดเรื่องอะไรกัน พอถึงตรงนี้เขาก็เริ่มงงเป็นไก่ตาแตก
“เจ้าถูกส่งมาในฐานะผู้รับใช้
เพราะงั้นตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในเขตแดนของข้า
เจ้าก็มองเห็นเทพที่เจ้าว่านั่นแล้วล่ะ”
คนที่เหมือนเขาเดินลงมาจากบันไดช้าๆ
“.......เห็นแล้ว?” ใบหน้ามนนั่นหันไปหันมาเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง
“.........” คนที่เหมือนเขายืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายพลางยกแขนขึ้นมากอดอก
“ยะ
อย่าบอกนะว่าคือเจ้า?” คนที่เหมือนเอเลนผงะไปก่อนจะมีท่าทีตกใจ
แต่คนที่เหมือนเขากลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ท่อนแขนแข็งแรงเกี่ยวกระหวัดเอวบางให้แนบชิดกับหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของตน น้ำเสียงกดต่ำที่กำลังจะเอ่ยออกมาอาจจะทำให้อีกฝ่ายหน้าถอดสีแต่ทำไมตัวเขาถึงรับรู้ได้ว่าชายที่เหมือนเขานั่นกำลังพอใจ
“ใช่
ข้านี่แหละ
คนที่เจ้าต้องรับใช้ไปชั่วชีวิต...จากนี้ไป...ก็จงทำให้ข้าพอใจซะ...เพื่อความอยู่รอดของหมู่บ้านของเจ้า
หึ...”
“อึ่ก?!” ความเจ็บจี๊ดแล่นลิ่วอยู่ในหัวจนเขาต้องยกมือขึ้นมาบีบที่ขมับ ภาพเมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ?
ฝัน?
หรือจินตนาการ?
ความรู้สึกลึกๆของเขาบ่งบอกว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง...แล้วถ้างั้นมันอะไรกัน?
“อื้อ~....คุณรีไว....?” น้ำเสียงงัวเงียปลุกเขาออกมาจากภวังค์
เขาหันไปมองเอเลนที่ค่อยๆละจากหัวไหล่ของเขาพลางยกมือขึ้นมาขยี้ตา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?
คุณดูไม่ค่อยสบาย?”
ใบหน้าที่ยังแข็งเกร็งต้องรีบปรับให้กลับไปเป็นปกติก่อนจะส่ายปฏิเสธว่าไม่เป็นไร
“เช้าแล้ว
จะกลับบ้านก่อนหรือว่าจะอยู่ที่นี่ต่อเลย?”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองใบหน้าที่ยังไม่ยอมลืมตาดี ไม่ว่าจะเป็นแก้มใส
จมูกเป็นสันรั้นนิดๆหรือริมฝีปากสีระเรื่อก็ล้วนชวนให้นึกถึงภาพปริศนาที่ปรากฏขึ้นมาในหัว...เหมือน....เหมือนกันมากจริงๆ
“ฮ้าว~
กลับไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าครับ....” ร่างโปร่งบางลุกขึ้นช้าๆก่อนจะเดินหาวหวอดไปยังทางออกจากวิหาร
“อ๊ะ!
ลืมเลย!” แต่เด็กนั่นก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาหาเขา...ด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณที่พามาดูอะไรสวยๆนะครับ”
มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามท่ามกลางแสงสีทองของดวงตะวัน...ใช่...มันสวยงามเสียจนหัวใจของเขาถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ
ความรู้สึกแห่งการตกหลุมรักมันคงจะเป็นแบบนี้นี่เอง
เขาเพิ่งจะมารู้จักเอาก็เมื่อเหลือแต่วิญญาณไปแล้ว....
เหมือนกินน้ำผึ้งผสมเปลือกส้มอยู่เลยแหะ...
“ท่านนักบวช?
มาแต่เช้าเลย แล้วเมื่อกี้ท่านคุยกับใครอยู่รึ?”
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวออกไปจากวิหาร เสียงของหญิงคนหนึ่งก็ทักขึ้นที่หน้าประตูหิน
หญิงชาวบ้านที่อยู่ในชุดพื้นเมืองถือเครื่องสักการะเอาไว้ในมือ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยกรอกตามองหาใครสักคนที่ควรจะอยู่ที่นี่แต่เธอก็เห็นเพียงผู้รับใช้เทพธิดาลีลาวดียืนอยู่เพียงลำพัง
เธอไม่มีวันมองเห็นเขา...ทั้งๆที่เขายืนอยู่ตรงนี้...ยืนอยู่ข้างๆเอเลน...ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“ปะ
เปล่านี่...ไม่ได้คุยกับคนที่ไหนเลยครับ สงสัยจะหูแว่วไปเอง?
พอดีผมลืมของเอาไว้น่ะเลยรีบมาเอา ขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” เจ้าเด็กนั่นหัวเราะแหะแหะก่อนจะรีบเดินเลี่ยงไป
เอเลนก็ไม่ได้โกหกนะเพราะว่าไม่ได้คุยกับ “คน” จริงๆ แต่คุยกับวิญญาณต่างหาก
หญิงชาวบ้านมองตามแผ่นหลังโปร่งบางไปด้วยสายตาไม่วางใจ
ก่อนจะมองรอบๆกายอย่างหวาดๆ...เขาไม่ใช่ผีไม่ดีหรอกน่า
ขนาดมีโอกาสทั้งคืนยังไม่ได้ทำอะไรเด็กนั่นเลยสักนิด!
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินตามเอเลนไปปล่อยหญิงคนนั้นไว้ตามลำพัง
ตอนนั้นเขาไม่เคยคิดเลย...ว่าความคลางแคลงใจเล็กๆพวกนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาในอนาคต...
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาตามเฝ้าเจ้าเอลวินไม่ได้ห่าง
และมันก็ทำให้รู้ว่ากิจวัตรประจำวันของหมอนี่มันซ้ำซากจำเจแค่ไหน ตราบใดที่เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงคนไข้อยู่แบบนี้
ตำรวจเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะโทรมา...จะว่าไปเขาก็ลืมนึกไปเลยว่าอย่างเจ้าเอลวินมันคงเช็ดลายนิ้วมือออกเกลี้ยงไปแล้วก็ได้
เพราะงั้นกว่าตำรวจบ้านนอกนี่จะสาวมาถึงตัวมันดีไม่ดีเขาอาจจะไปเกิดใหม่ไปแล้ว!
ปัดโธ่โว้ย! ไม่มีวิธีกระชากหน้ากากของหมอนี่ออกมาได้บ้างเลยหรือไงนะ?!
นอกจากมีดแล้วยังมีหลักฐานอย่างอื่นที่น่าจะหลงเหลืออยู่หรือเปล่า?
คิดสิคิด!
ตรู๊ด~~
“ครับ”
เจ้าเอลวินหันไปรับโทรศัพท์และเขาก็ขี้เกียจจะฟังมันแล้วเพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องงานของเขาทั้งนั้น
เดี๋ยวนะ
โทรศัพท์งั้นเหรอ?
จริงสิ!
โทรศัพท์มือถือของเขายังไงล่ะ! หลักฐานชิ้นสำคัญที่จะมัดตัวเจ้าเอลวินได้อย่างดิ้นไม่หลุดแน่!
เพราะเขาจำได้ว่าก่อนที่ไฟจะดับเขากำลังหยิบกีต้าขึ้นมาเพื่อที่จะแต่งเพลงให้ยัยเทพธิดาลีลาวดี
และปกติแล้วเวลาที่เขาจะแต่งเพลงก็มักจะใช้มือถืออัดวีดีโอเอาไว้เผื่อแกะโน้ตในภายหลัง
เพราะงั้นมือถือของเขาน่าจะอัดเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้โดยบังเอิญ
ถึงแม้ตอนเกิดเหตุมันจะมองไม่เห็นอะไรเพราะไฟดับ
แต่เขาเชื่อว่าแสงของฟ้าแลบฟ้าผ่าในตอนนั้นก็น่าจะทำให้พอจะเห็นหน้าของคนร้ายได้บ้างสักแว่บสองแว่บนั่นแหละ
ว่าแต่....แล้วตอนนี้มือถือของเขาอยู่ไหนล่ะ?
เขาก็นั่งอยู่ในห้องพักตอนที่ตำรวจมาเก็บหลักฐาน
ถึงจะเหม่อเพราะสะเทือนใจที่ตัวเองกลายเป็นวิญญาณแต่เขาก็ได้ยินได้เห็นทุกอย่างว่าตำรวจเก็บอะไรไปได้บ้าง
ใช่...เขาลืมไปได้ยังไง...ว่าในกองหลักฐานที่พวกตำรวจเก็บไป...มันไม่มีโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่เลย
เป็นไปได้ไหมว่ามันยังตกหล่นอยู่ที่ไหนสักที่ในห้องพักของเขา
แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในเมื่อตำรวจค้นจนแทบจะพลิกพื้นห้องขึ้นมาดูอยู่แล้ว
เขาทิ้งตัวเอนหลังลงไปในโซฟาในห้องพิเศษเดี่ยวของโรงพยาบาลอย่างท้อใจที่จะคิดต่อไป
คงไม่ใช่ว่าเจ้าเอลวินหามันเจอแล้วเอาไปพังทิ้งไปแล้วหรอกนะ?
เขาเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังนินทาอยู่ในใจ
หมอนั่นเก็บข้าวของก่อนจะลุกจากม้านั่งราวกับกำลังเตรียมตัวจะออกไปไหน
จะว่าไปก็เย็นป่านนี้แล้วนี่นะ เขาเองก็กลับไปหาเอเลนบ้างดีกว่า
ทว่า...
สัญชาติญาณก็บอกเขา...ว่าให้เดินตามเอลวินไป...
เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ
เพราะไม่ใช่จะมีแต่หมอนั่นที่รู้เรื่องของเขาดี
แต่เขาเองก็พอจะมองออกว่าตอนนี้เจ้าเอลวินกำลังทำตัวแปลกๆ
ถึงใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองจะยังคงนิ่งเฉยแต่สายตาที่ล่อกแล่กกรอกมองรอบตัวไปมาราวกับกลัวว่าจะถูกสะกดรอยตามนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกสนใจ
กลัวใครจะเห็นเข้าหรือไงว่ากำลังจะไปไหน
หรือว่ากำลังจะไปหาใคร?
เขาเดินทอดน่องสบายใจตามหมอนั่นไปทั้งๆที่อีกฝ่ายกำลังมีท่าทีหวาดระแวงกลัวว่าใครจะตามมา...เป็นวิญญาณมันก็มีข้อดีอยู่ตรงนี้แหละนะ
แล้วก็แทนที่จะนั่งรถของโรงแรมที่จ้างคนขับประจำเอาไว้แต่หมอนั่นกลับเลือกที่จะโบกแท็กซี่....
แน่นอนว่าเขาตามเข้าไปนั่งข้างๆอย่างที่หมอนั่นไม่มีวันรู้ตัว คนขับรถพาผู้จัดการส่วนตัวของเขาขึ้นเขาไปเรื่อยๆ
รถขนาดกะทัดรัดวิ่งเลาะไหล่เขาผ่านป่าหนาทึบจนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าเอลวินมันกำลังจะไปไหนกันแน่
แล้วเวลาโพล้เพล้แบบนี้คนดีๆที่ไหนคงไม่อยากจะเข้าไปในป่ากันหรอก
หรือว่าหมอนี่จะยังเก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้อีก?
อย่างเช่นยังมีหลักฐานอื่นที่ยังไม่ได้ทำลาย?
แล้วที่ต้องออกมาไกลขนาดนี้ก็เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่ามันเป็นหลักฐานที่มาจากคดีเดียวกัน?...อย่าบอกนะว่าโทรศัพท์มือถือของเขา?
เขามองใบหน้าเฉยชานั่นอย่างเคียดแค้น...เจ้าเล่ห์จริงนะแกเอลวิน! แล้วแบบนี้เขาจะจำทางได้ยังไง?
จะพาเอเลนมาเก็บซากโทรศัพท์มือถือของเขาถูกที่ไหน?
แล้วถึงจะเก็บได้แต่จะให้ใช้เหตุผลอะไรไปบอกตำรวจล่ะว่าเอเลนมาทำอะไรที่นี่ถึงได้เจอหลักฐานในคดีของเขาอีกแล้ว
จะให้บอกว่ามาเก็บเห็ดไกลถึงนี่ก็คงไม่มีใครเค้าเชื่อหรอก!
แผ่นหลังเอนพิงเบาะรถอย่างหงุดหงิด
ข้ออ้างของเจ้าเด็กนั่นเอาไว้ค่อยคิดแล้วกันแต่ปัญหาตอนนี้คือเขาจำทางแทบไม่ได้เลย
เพราะงั้นนัยน์ตาสีขี้เถ้าจึงต้องพยายามมองหาสัญลักษณ์อะไรก็แล้วแต่ที่จะบ่งบอกได้ว่าที่นี่คือที่ไหน
อย่างเช่นมีวัดสำคัญอะไรไหม มีรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์อะไรหรือเปล่า?
แต่เท่าที่ผ่านสายตามา...มันดันมีแต่ป่าและป่า...
เขากัดฟันกรอดๆก่อนจะชกหน้าของเจ้าเอลวินไปสองสามที
ถึงแม้ว่ามันจะทะลุผ่านไปหมดก็เถอะ เขาสะบัดใบหน้ากลับไปมองข้างทาง...แล้วป้ายบางอย่างก็แว่บผ่านหน้าไป
ภูเขาไฟคินตามณี?
ป้ายมันน่าจะเขียนเอาไว้อย่างนั้นไม่ผิดแน่
ถ้างั้นก็หมายความว่าเอลวินกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของบาหลีสินะ
เอาเถอะ อย่างน้อยก็พอจะจำกัดวงให้แคบลงได้บ้าง
แท็กซี่วิ่งผ่านทุ่งนาที่เริ่มมืดสนิท
ตอนนี้มีรถเพียงคันเดียวจริงๆที่วิ่งอยู่
แล้วจู่ๆสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาทักทาย
ถึงจะไม่ได้มากมายแต่บรรยากาศราวกับคืนฆาตกรรมมันก็ทำให้เขารู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาชอบกล
เสียงที่ปัดน้ำฝนดังครืดๆท่ามกลางความเงียบ
ทั้งมืด
ทั้งหนาวทำเอาขนลุกชันไปหมด...ยิ่งรู้ว่าเอลวินจะมาทำอะไรที่นี่ก็มีแต่จะยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวงขึ้นไปอีก
รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าทางเข้าของโรงแรมเก่าๆแห่งหนึ่ง
หลังจากที่พวกเขาก้าวขาลงมารถคันนั้นก็รีบวิ่งจากไปทันทีราวกับไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานนัก
เขาก้าวขาเดินตามเอลวินไป
รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย
โรงแรมนี่ก็อีก...จะไม่มีพนักงานมาต้อนรับกันบ้างเลยหรือไงถึงได้ปล่อยให้เจ้าเอลวินเดินดุ่มๆเข้ามาเองแบบนี้
สภาพอาคารที่ดูทรุดโทรมและสกปรกมันเหมือนกับไม่มีแขกมาพักหรือไม่ก็เจ๊งไปแล้วยังไงอย่างงั้น
แต่ก็เล่นมาตั้งอยู่ซะกลางป่ากลางเขาแถมบรรยากาศราวกับป่าช้ามันก็น่าจะเจ๊งอยู่หรอก
สองขายังคงก้าวตามเอลวินไปอย่างอดทน
แต่ก็น่าแปลกใจที่หมอนั่นไม่เดินเข้าไปในป่าเพื่อฝังหรือทำลายหลักฐานตามที่เขาคาดเอาไว้...แต่เอลวินกลับเดินตรงไปยังทางเดินซึ่งทอดไปยังประตูห้องพักยาวเหยียด
ตกลงหมอนั่นมาทำอะไรที่นี่กันแน่?
จะว่านัดพบใครก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูจากสภาพแล้วก็ไม่น่าจะมีใครอยู่เลยนะที่นี่
แล้วก็ถ้าเป็นนัดเจอกันมันก็น่าจะเดินไปทางห้องอาหาร
ห้องรับรองหรือห้องประชุมอะไรก็ว่าไปสิ
แต่นี่หมอนั่นยังคงก้าวตรงไปยังโซนห้องพักไม่หยุด
และแล้วมือใหญ่ก็เคาะประตูหนึ่งในห้องพักเหล่านั้น....นี่ตกลงว่ามีคนอยู่ที่นี่จริงๆน่ะเหรอ? หลอนขนาดนี้เนี่ยนะ?
“นี่ชั้นเอง” เสียงทุ้มกระซิบกระซาบกับบานประตู
การกระทำอันน่าสงสัยของเอลวินทำให้เขาหน้าชาเมื่อนึกถึงความจริงบางอย่างขึ้นมา...หรือว่าคนที่เอลวินมาพบคือหัวขโมยที่แทงเขา?
เพราะดีไม่ดีเจ้าเอลวินอาจจะไม่ได้ทำงานคนเดียว
แล้วมันก็เป็นไปได้ด้วยเมื่อคิดถึงความรอบคอบและความเจ้าแผนการของคนอย่างเอลวิน...หมอนั่นไม่มีวันให้มือตัวเองเปื้อนเลือดเด็ดขาด
นี่ก็อาจจะจ้างวานคนในพื้นที่ให้เป็นคนลงมือฆ่าเขา จากนั้นก็พาตัวมาซ่อนที่นี่....แล้วตอนนี้เอลวินก็กำลังจะมาทำลายทั้งหลักฐานและพยาน...
เอลวินกำลังจะมาปิดปากหัวขโมยนั่นเพื่อไม่ให้เรื่องสาวไปถึงตนได้?....
เขามองของในซองสีน้ำตาลที่เอลวินถือมาด้วยอย่างตื่นตะลึง
เพราะนอกจากปึกเอกสารแล้วมันยังมีอะไรบางอย่างนูนขึ้นมา แล้วลักษณะของมันถ้าให้เขาเดาก็น่าจะเป็น...ปืนพกขนาดเล็ก?
แย่แล้ว...
ถ้าคนข้างในเปิดประตูออกมาคงจะโดนเอลวินฆ่าแน่ๆ
แล้วทีนี้คนที่จะซัดทอดไปถึงตัวหมอนี่ได้ก็คงจะตายตามเขาไป จะไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดก็คือเอลวิน
สมิธ ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง
ทำยังไงดี?
เขาจะเตือนเจ้าคนที่อยู่ข้างในนั่นยังไงดี? เขาได้แต่หันซ้ายหันขวาอย่างบ้าคลั่ง
พอไม่ได้อยู่ใกล้ๆเอเลน แม้แต่พลังที่จะหยิบหลอดกาแฟขึ้นมาเขาก็ไม่มีด้วยซ้ำ
แอ้ด....
เสียงประตูที่ค่อยๆแง้มเปิดออกทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม ทำยังไงดีล่ะ! แบบนี้มันไม่ทันแล้ว!!
เขาโผตัวเข้าไป
พยายามตั้งจิตอธิษฐานเต็มที่ให้ฝ่ามือของเขาผลักบานประตูกลับไปได้ที...ทว่า...มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ฝ่ามือของเขาลอยวืดผ่านประตูไปอย่างที่คิด
และเพราะแบบนั้นมันเลยทำให้เขาเซถลำไปข้างหน้า....ก่อนที่จะเงยหน้ามาสบกับสายตาของเจ้าฆาตกรที่เป็นคนฆ่าเขา...
มันช่างเป็นดวงตาคู่เย็นชาที่แสนจะคุ้นเคย...
ริมฝีปากจึงเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย….
“มิ...คาสะ......?”
ใบหน้าของคนที่เขาเห็นมาตั้งแต่ฝ่าเท้ายังเท่าฝาหอยทำให้ร่างทั้งร่างของเขาราวกับถูกตรึงด้วยหมุดเล่มใหญ่
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเบิกกว้างมองครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่นั่นอย่างตื่นตะลึง
ทำไม...
ทำไมยัยมิคาสะถึงมาอยู่ที่นี่?....ตอนนี้ไม่ใช่ว่าต้องอยู่ที่สวิสหรือไง?
หรือว่าจะถูกเอลวินจับตัวมา?
“กินอะไรรึยัง?
อดทนหน่อยก็แล้วกัน ชั้นจะรีบหาทางส่งตัวเธอกลับสวิสให้เร็วที่สุด
จะต้องไม่มีใครรู้ว่าเธอมาที่นี่” แต่แล้วทั้งน้ำเสียงทั้งสายตาที่แสดงออกว่าห่วงใยของเอลวินก็ทำให้เขารู้ว่าเขาคิดผิด
หมอนี่ไม่ได้จับตัวมิคาสะมาแต่เหมือนทั้งคู่จะรู้เห็นเป็นใจกันมากกว่า
เจ้าเอลวินไม่ได้อยากจะกำจัดมิคาสะ
ทายาทโดยชอบธรรมเพียงคนเดียวของเขาหรือไง?
ไม่ได้อยากจะได้ทรัพย์สินของเขาอย่างงั้นเหรอที่อุตส่าห์ลงทุนฆาตกรรมเขาเนี่ย?
เขามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามานั่งที่โซฟาในห้องอย่างไม่เข้าใจ
เขาพลาดตรงจุดไหนไป? ถึงได้เดาผิดไปไกลขนาดนี้?
หรือว่า....
การฆาตกรรมเขาจะไม่ใช่ฝีมือเอลวิน?
แต่ที่เอลวินเอามีดไปซ่อนเพราะต้องการปกป้องฆาตกรตัวจริง?
งั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะที่หมอนั่นเป็นห่วงมากถึงกับยอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง?
แล้วสายตาก็ทอดมองไปที่หลานสาวเพียงคนเดียวของเขา...หรือว่า...เอลวินกำลังปกป้องมิคาสะอยู่?
เขารู้สึกเหมือนกับถูกตีแสกหน้าให้มึนงงไปหมด หรือบางทีในคืนที่เขาถูกฆ่า
เอลวินอาจจะมาเห็นเข้าว่าคนที่ลงมือคือหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา
หมอนั่นเลยตั้งใจจะปกป้องมิคาสะที่ตัวเองรักเหมือนลูกเหมือนหลานมากกว่าคนนิสัยเสียชอบสร้างแต่ปัญหาแถมใกล้จะตายอยู่รอมร่อแล้วแบบเขา?
แล้ว...มิคาสะจะมีเหตุผลอะไรถึงต้องฆ่าเขาล่ะ?
ถึงเขาจะเลี้ยงยัยเด็กนั่นแบบทิ้งๆขว้างๆแต่อย่างน้อยที่ทุกวันนี้มิคาสะมีชีวิตดั่งเจ้าหญิงมันก็เป็นเพราะเงินของเขาทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง?
เป็นเพราะเงินของเขา.....
ใบหน้าถึงกับนิ่งค้างเมื่อความคิดมาหยุดอยู่ตรงเรื่องที่ชวนเอาขนลุก
อย่าบอกนะว่ายัยเด็กนี่ก็คิดจะฆ่าเขาเพราะเงิน?
“........” มาคิดๆดูแล้วก็เป็นไปได้มากทีเดียวเพราะหากเขาตาย
มิคาสะก็จะได้รับมรดกของเขาทั้งหมดไปเพียงคนเดียว ทั้งเงินเป็นพันๆล้านดอลล่า
ทั้งลิขสิทธิ์เพลงของเขาที่มีมูลค่ามหาศาล ทั้งที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่เขาซื้อเอาไว้
แล้วยังจะพวกผับที่ร่วมหุ้นกับคนรู้จักอยู่อีกนับสิบ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะตกเป็นของมิคาสะ อัคเคอร์มันเพียงผู้เดียว
ยังไงซะ...เป็นเจ้าของทรัพย์สินพวกนั้นเองย่อมดีกว่าเงินเดือนที่เขาให้ทุกเดือนๆอยู่แล้ว
ดีไม่ดีเอลวินอาจจะร่วมมือกับมิคาสะอยู่ก็ได้...เพราะหากเขาตายอย่างน้อยหมอนั่นก็แค่ผันตัวเองจากผู้จัดการนักร้องเจ้าปัญหาไปเป็นผู้จัดการมรดกให้มิคาสะแทน
อีกอย่างหมอนั่นก็จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องชั่วๆที่เขาทำอีก
แค่เขาตาย...สองคนนี้ก็จะสบายทันที...
“นี่เอกสารเรื่องมรดกของรีไว...ชั้นทำมาให้เธอเรียบร้อยแล้ว...เงินทุกดอลล่าของหมอนั่นมันจะได้เป็นของเธออย่างแน่นอน
แค่มีพินัยกรรมนี่ก็จะไม่มีใครกล้ากังขาในตัวเธอ มิคาสะ” แล้วทุกคำพูดของคนที่เคยเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจก็ทำให้ใต้แผ่นอกซ้ายเจ็บแสบจนแทบจะไม่อยากเห็นหน้าสองคนนี้อีก
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นชื่อผู้รับมรดกที่อยู่ในพินัยกรรมนั่น...ได้แต่เดาเอาเองว่ามันคงจะเป็นชื่อของเอลวิน...แต่ตอนนี้เขาเห็นมันเต็มสองตาเมื่อหมอนั่นหยิบมันออกมาให้หลานสาวเพียงคนเดียวของเขาดู...
และมิคาสะ
อัคเคอร์มัน...ก็คือชื่อเพียงชื่อเดียวที่อยู่บนพินัยกรรมแผ่นนั้น
นี่...ตกลงมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม...ที่พวกแกทั้งสองคนรวมหัวกันฆ่าชั้นเพราะทรัพย์สมบัติน่ะ?
จิตปรารถนาอันแรงกล้าทำให้เขาหายแว่บจากห้องที่ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่มายืนอยู่ที่หน้าบ้านเอเลนโดยไม่รู้ตัว
เขาเดินโซเซเข้าไปด้วยหัวใจที่พังทลาย...ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง
กำลังใจที่เคยมีในการหาตัวฆาตกรไม่เหลืออยู่อีก ตอนนี้เขาอยากจะหายไปจากโลกใบนี้เสียให้พ้นๆ
ไม่อยากจะพบไม่อยากจะเจอกับคนที่เอาแต่หลอกลวงกันอีกต่อไปแล้ว
“คุณรีไว?
เป็นอะไรไปครับ?!” ร่างโปร่งบางถลาเข้ามาประคองไหล่ของเขาเมื่อสองขามันก้าวไม่มั่นคงและจวนเจียนจะล้มลง
“มานั่งนี่ก่อนครับ”
เอเลนประคองเขาไปนั่งที่ชานหน้าเรือนนอนของตัวเอง
ใบหน้ามนเต็มไปด้วยความตกใจระคนลนลาน...สีหน้าของเขามันคงจะแย่มากเลยสินะ
ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ ริมฝีปากจำต้องกัดกันจนได้กลิ่นคาวเลือดเพื่อระงับความรู้สึกอันหลากหลาย
ทั้งอยากร้องไห้ ทั้งโกรธเกลียด ทั้งเคียดแค้น
“เป็นอะไรไปครับ?
ใครทำอะไรคุณ? นี่...บอกผมสิ?...หรือมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกผมมาได้เลย
คุณรีไว...”
ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ยื่นสองมือบางมาประคองสองแก้มของเขาไว้ให้สบกับดวงตาสีมรกตนั่นตรงๆ
เขามองมันด้วยแววสั่นพร่า น้ำตาอาจจะไม่ได้ไหลนองหน้า
ทว่าที่หัวใจของเขากลับชื้นแฉะไปหมดเพราะน้ำตามันไหลอยู่ข้างใน...
“ชั้นอาจจะไม่เคยรักใครก็จริง
แต่ความเชื่อใจในตัวใครสักคนหนึ่งชั้นก็มี...และตอนนี้คนที่ชั้นเชื่อใจมากที่สุดสองคนกำลังร่วมมือกันทรยศหักหลังชั้น...” ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอหลังจากที่ระบายออกไปเป็นคำพูด
ท่อนแขนบางๆจึงดึงตัวเขาเข้าไปก่อนจะโอบกอดเขาจนใบหน้าแนบชิดไปกับแผ่นอกแบนเรียบนั่น
นัยน์ตาสีขี้เถ้าถึงกับเบิกกว้างก่อนจะค่อยๆหรี่ลงแล้วปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอ้อมแขนของเด็กนั่น
กลิ่นของดอกลีลาวดีที่ออกมาจากร่างกายของเอเลนทำให้ความทรมานค่อยๆหายไป ความอบอุ่นไหลเข้ามาไม่ขาดสายแล้วมันก็กำลังปลอบโยนหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเขา
“เอเลน...”
เสียงทุ้มถูกเปล่งออกไปทั้งๆที่ยังซุกหน้าเอาไว้กับแผ่นอกแบนเรียบ
“ครับ?” สองแขนบางยังคงกอดเขาเอาไว้ มือที่ไม่ได้ใหญ่โตนั่นลูบเส้นผมสีดำของเขาเบาๆ
อาจจะเป็นเพราะเขากำลังอ่อนแอ
อาจจะเป็นเพราะเขากำลังผิดหวัง อาจจะเป็นเพราะเขากำลังต้องการใครสักคน
ริมฝีปากถึงได้พูดออกไปแบบนั้นอย่างเลื่อนลอย
“ช่วยทำให้ชั้น...ลืมเรื่องของสองคนนั้นที...”
อ้อมแขนที่กอดเขาอยู่ค่อยๆคลายออกก่อนที่เอเลนจะละออกไปแล้วมองมาที่เขาด้วยสีหน้าอ่อนโยน
รอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าใสค่อยๆขยับเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ
ก่อนที่รอยยิ้มนั้นมันจะประทับลงบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา
“.....ถ้างั้น...คุณก็มองหน้าผมแล้วก็คิดแต่เรื่องของผมแทนสิครับ”
ใบหน้าที่ถอยห่างไปแค่คืบพูดออกมาแบบนั้น
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองริมฝีปากที่หอมหวานนั่นอย่างเผลอไผล...ถ้าชั้นคิดแต่เรื่องของนายแล้วจะลืมความเจ็บปวดพวกนั้นได้ใช่ไหม?
ท่อนแขนที่ตกอยู่ข้างลำตัวมาตลอดจึงค่อยๆยื่นออกไปหาแล้วรวบเอวบางเข้ามา
ริมฝีปากที่เพิ่งละออกไปแนบลงบดเบียดอีกครั้งอย่างไม่คิดจะห้ามตัวเองอีก เรียวลิ้นแตะริมฝีปากสีระเรื่อเพื่อให้มันอนุญาตให้เขาล่วงล้ำเข้าไป
เขาพลิกร่างโปร่งบางให้ลงมานอนอยู่ใต้ร่างทั้งๆที่เรียวลิ้นยังพัวพันกันอยู่ข้างใน
จะว่าเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะเขาต้องการคนปลอบใจหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ลึกๆเขาก็รู้ตัวมาสักพักแล้วว่าเขาต้องการเด็กนี่
อยากจะทำแบบนี้มาโดยตลอด
ใบหน้าคมจำต้องละออกมาเพราะอีกฝ่ายกำลังจะขาดอากาศหายใจ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองร่างโปร่งที่หอบจนตัวโยน
นัยน์ตาสีมรกตเชื่อมปรอยที่มองตรงมายังเขาราวกับจะสะกดให้เผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“ไม่หรอก...ชั้นไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้กับนายเพราะแค่บรรยากาศพาไปหรือเพราะแค่ต้องการคนปลอบใจ...แต่เป็นเพราะว่าชั้นรักนายต่างหาก
เอเลน”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ตัดตอนได้น่าถีบไม่เปลี่ยนเรยนะคุณกวาง
ก๊ากๆๆๆ ก็แหม...พอเป็นฉากอย่างว่าทีไรก็จะใช้เวลาเขียนน๊าน นาน
ก็เลยตัดเอาตอนนี้มาลงก่อน ไม่อยากให้รอนาน อิ๊อิ๊อิ๊
คุณรีไวในฟิคเรื่องนี้จะออกแนวใกล้เคียงกับมนุษย์มนาปกตินิดนึงนะคะ
ยังมีด้านที่อ่อนแอ ยังมีด้านที่ไม่เข้มแข็งให้เห็น
ส่วนที่ว่าท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเอลวินหรือมิคาสะกันแน่ที่ฆ่าคุณรีไว...ก็ต้องรอดูกันต่อไปย์
ขอบคุณคอมเม้นต์จากตอนที่แล้วมากๆๆๆนะคะ
คุณกวางเข้ามาอ่านตลอดแหละ >////< แต่ช่วงนี้ที่ไม่ค่อยได้ลงฟิคเพราะงานที่ออฟฟิศเยอะจริงๆ
เหนื่อยมากแทบจะลากซากตัวเองกลับบ้านไม่ไหวในแต่ละวัน TvT
กลับถึงบ้านก็คิดอะไรไม่ค่อยออกได้แต่โม่ยเอเลนไปวันๆ // ผลั๊วะ!!
ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกๆการติดตามไม่ว่าจะเข้ามาดูทุกวันหรือนานๆเข้ามาดูทีนะคะ
ทุกครั้งที่ได้รู้ว่ายังมีคนเข้ามาส่องบลอคเกือบร้างนี่ทีไรก็ให้ปลื้มใจจนจะลอยไปดาวลูกไก่ทุกที555
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
>v<
แอร้ย~~หนูก้เริ่มงงเเล้วค่ะว่าใครคือฆาตกรกันเเน่ ฮ่าา รอลุ้นต่อปัยคะ(ฉากต่อจากตอนจบ)ว่าจะเปนยังงัยต่อ อิอิ
ตอบลบว้ากกกกกกก รอตอนต่อนะคะะะะะ/////////
ตอบลบสวัสดีค่ะเราพึ่งเข้ามาอ่านก็เลยอยากรู้ว่าถ้าจะติดตามการเคลื่ิอนไหวของฟิคจะติดตามได้ที่ไหนถ้ามีช่วยบอกเราหน่อยนะ ฟิคสนุกมากเลยเราชอบมากอ่านมาหลายเรื่องแล้วอยากให้มาอัพตอนต่อไปทั้งของเรื่องนี้แล้วก็เรื่องอื่นๆของคู่นี้ด้วยนะคะสนุกมากค่ะจะติดตามรอตอนต่อไปนะสู้ๆจ้า
ตอบลบ