Attack
on Titan Au.S Fic [Levi xEren] ลีลาวดีสีชมพู : 02
:
Attack on Titan Fanfiction Au
:
Levi x Eren
:
Horror Mystery Period
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
เคร้ง!!!
เสียงโลหะหล่นกระทบพื้นทำให้เขาหันไปมอง
นอกจากถาดโลหะแล้วถ้วยอาหารที่เคยอยู่บนนั้นก็หล่นแตกกระจายไปทั่ว
พนักงานหญิงของโรงแรมที่คงจะกำลังนำอาหารเย็นมาให้เขาก้าวถอยหลังในขณะที่ยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยใบหน้าหวาดผวา
สายตาของหญิงสาวกำลังมองตรงมาที่ร่างจมกองเลือดของเขา...ใช่...เธอมองผ่านเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ราวกับไม่มีตัวตน...
“กรี๊ด~~~”
หญิงสาวกรีดร้องก่อนจะวิ่งตาลีตาเหลือกจากไป
แล้วหลังจากนั้นไม่นานทั้งผู้จัดการโรงแรมและพนักงานอีกหลายคนก็วิ่งแจ้นเข้ามาร้องเรียกเขาด้วยเสียงตกใจ
“คุณรีไว!!”
แต่เป็นเขาที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น...ไม่ใช่เขาที่ยืนอยู่ตรงนี้...
เขาได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่
ได้แต่ยืนมองความโกลาหลวุ่นวายที่คนจากโรงพยาบาลมาขนร่างที่แน่นิ่งของเขาไป ยืนมองอย่างทำอะไรไม่ได้และไม่มีใครรับรู้เลยว่าเขาเองก็ยืนอยู่ตรงนี้...
ไม่จริง...
ไม่จริงน่ะ....
ถ้าร่างที่ไร้สตินั่นคือเขา
และคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือเขา...มันหมายความว่า...เขาถูกแทงตายแล้ววิญญาณเลยออกจากร่างอย่างงงั้นใช่ไหม?
คนอย่างรีไว
อัคเคอร์มันที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนแต่กลับมาตายง่ายๆแบบนั้นน่ะเหรอ?
ไม่จริง....
ไม่จริงใช่ไหม?...
สองขาถึงกับทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ด้วยใบหน้าชาวาบ
แต่ดูจากการที่ตำรวจท้องที่ที่กำลังเก็บหลักฐานกันอยู่มองไม่เห็นเขาเลยสักคนนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ใช่คนที่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป...
ไม่มีใครมองเห็นเขา...ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขา...ไม่มีใครจับต้องหรือสัมผัสเขาได้อีก...
แล้วเขาเอง...ก็สัมผัสใครไม่ได้เช่นกัน...
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองมือของตัวเองที่เคลื่อนผ่านร่างกายของตำรวจนายหนึ่งไปราวกับอากาศธาตุ
สายตาที่กล้าแข็งอยู่ตลอดเวลาถึงกับสั่นระริก...นี่เขาตายแล้ว...นี่เขาเป็นเพียงแค่วิญญาณอย่างงั้นเหรอ...
ไม่จริง...
เป็นไปไม่ได้...เขาไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตัวเองตายแล้ว
ไม่จริง....ไม่จริง!!
สองขาก้าวพรวดพราดวิ่งออกมาจากห้องพัก
ทั้งสับสน ทั้งหวาดกลัว
ต่อให้เป็นคนใจเด็ดขนาดไหนแต่ถ้าต้องรู้ว่าตัวเองกำลังจะจากโลกนี้ไป
กำลังจะต้องเดินอยู่ตามลำพังโดยไม่มีใครเห็นมันก็ต้องหวาดกลัวด้วยกันทั้งนั้น
ทั้งๆที่เขาเองก็เคยล้อเล่นกับความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่พอรู้ว่ากำลังจะตายจริงๆกลับยอมรับไม่ได้
ร่างแข็งแกร่งหลับหูหลับตาวิ่งมาจนถึงล็อบบี้ของโรงแรมก่อนจะรู้สึกราวกับว่าตัวเองเพิ่งจะวิ่งผ่านอะไรบางอย่าง
และเมื่อหันไปมองก็เห็นใบหน้าที่ชวนให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
“เอลวิน!
แกได้ยินชั้นไหม?! เอลวิน!”
เขาพยายามตะโกนใส่ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะตะโกนดังแค่ไหนก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของตัวเอง
เพราะผู้จัดการส่วนตัวของเขากลับไม่ได้ยินและมองไม่เห็นเขาเลยแม้แต่นิดเดียว....
ร่างทั้งร่างถึงกับชะงักงันเมื่อเอลวินเดินผ่านเขาไป...ที่พึ่งสุดท้ายของเขากลับไม่รับรู้เลยว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้....
ทั้งใบหน้า
ทั้งแผ่นหลังชาวาบ....เขาจะทำยังไงดี....จะต้องตายไปแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ?
ทั้งๆที่วิญญาณยังมีความรู้สึก
ทั้งๆที่เขายังน้ำตาไหลได้อยู่แบบนี้น่ะเหรอ?
สองมือกำแน่นก่อนจะพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอไป
ร่างกายเหมือนจะไร้แรงยืนขึ้นมาเสียดื้อๆ หรือว่าเขาต้องทำใจแล้วจากโลกนี้ไปแต่โดยดี
จริงสินะ...อีกไม่นานตัวเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คงจะสลายหายไปกับอากาศเช่นกัน...จะไม่มีรีไว
อัคเคอร์มันอีกต่อไปแล้วสินะ....
ทั้งๆที่พยายามห้ามแต่น้ำใสๆก็ยังร่วงลงกระทบพื้นอย่างต่อเนื่อง...ที่ผ่านมาเขาพยายามจะปฏิเสธผู้คนแต่ตอนนี้พอไม่มีใครมองเห็น
ไม่มีใครรับรู้ว่าเขายังอยู่ มันกลับเจ็บปวดจนสองมือที่กำแน่นถึงกับสั่นระริก
“ชีพจรเต้นอ่อนมากแต่ก็ยังหายใจอยู่ครับ
ตอนนี้หมอกำลังพยายามยื้อเอาไว้อยู่”
แต่แล้วเสียงของเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลที่คุยกับเอลวินอยู่ก็ดังมาเข้าหูของเขา....ว่าไงนะ?...เขายังหายใจอยู่?
นั่นก็หมายความว่า...
เขายังไม่ตาย?
แต่ที่ไม่ฟื้นก็เพราะวิญญาณออกจากร่าง?
ถ้างั้น...ถ้าเขากลับเข้าร่างของตัวเองได้...หมายความว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาใช่ไหม?
ความดีใจทำให้ความหมดอาลัยตายอยากเมื่อกี้หายไปในทันที
เขาเดินตามเอลวินที่กำลังจะไปโรงพยาบาล
แล้วไม่นานเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าเตียงคนไข้ในห้องไอซียูซึ่งมีร่างกายของตัวเองที่มีแต่สายอะไรระโยงรยางค์เต็มไปหมดนอนอยู่
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองใบหน้าที่หลับอย่างสงบของตัวเอง
ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าเจ้าคนที่นอนอยู่ตรงนี้คือคนที่ทำแต่เรื่องเดือดร้อนให้คนอื่น
เห็นทีว่าถ้าฟื้นขึ้นมาได้ เขาคงต้องทำตัวดีๆเสียบ้าง
อย่างน้อยก็อยากจะไปขอโทษยัยเทพธิดาลีลาวดีที่เขาทำเรื่องไม่สมควรลงไป...หึ...แต่ก็เพราะว่าใบหน้าของรูปสลักนั่นมันน่ารักถูกใจเขาละนะ
ถึงได้อยากจะจูบ
เขาหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงใบหน้ามุ่ยที่ทำมาจากหิน...ก็น่าแปลกนะ
ทั้งๆที่เขาพบผู้คนมามากหน้าหลายตาแล้ว90%เขาก็จำหน้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ใบหน้าของรูปสลักหินนั่นกลับยังคงวนเวียนอยู่ในหัวด้วยภาพที่ชัดเจนเสียขนาดนี้
ใบหน้าคมส่ายไปมาเบาๆ
ก่อนจะทอดมองร่างกายที่นิ่งงันของตัวเองอีกครั้ง แล้วทำยังไงเขาถึงจะกลับเข้าร่างได้กันล่ะ?
เขานั่งลงไปบนเตียงก่อนจะนอนทับลงไปบนร่างกายของตัวเอง
นัยน์ตาค่อยๆปิดลงก่อนจะปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไป...และเมื่อเปลือกตาเปิดขึ้นมาอีกครั้ง....
แสงสว่างก็สาดส่องมาทั่วห้อง....
เขาหรี่ตาเพื่อปรับสายตา
ฝ้าเพดานสีขาวของโรงพยาบาลคือสิ่งที่เขามองเห็นเป็นอย่างแรก...ในที่สุดก็คงจะกลับเข้าร่างได้แล้วสินะ...
มือข้างหนึ่งลองยกขึ้นมาก่อนจะลองขยับไปมา...นี่มันมือของเขาจริงๆด้วย...รอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้าด้วยความดีใจ
ทว่า...
ในขณะที่กำลังหันข้างเพื่อเหลือบมองร่างกายของตัวเอง...เขาก็เพิ่งจะเห็น...ว่าท่อนแขนที่เต็มไปด้วยสายเลือด
สายน้ำเกลือ และสายวัดชีพจร...มันยังวางนิ่งอยู่บนเตียง...
มือที่เขายกขึ้นมาดูได้นั้น...มันก็เป็นเพียงแค่มือของเขา...ที่ยังเป็นวิญญาณอยู่...
ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นมา
และเมื่อหันกลับไปดูก็พบว่าร่างกายที่นิ่งงันของเขานั้น...ยังคงนอนอยู่บนเตียงคนไข้เหมือนเดิม....
เขายังกลับเข้าร่างไม่ได้?
เขายังเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนอยู่เหมือนเดิม?
ไม่จริง...
ไม่จริงใช่ไหม?...
ใบหน้าชาวาบอีกรอบ
และไม่ว่าจะพยายามนอนลงไปใหม่หรือพยายามอธิษฐานอย่างแรงกล้าขนาดไหน...
วิญญาณของเขาก็ยังกลับเข้าร่างไม่ได้เหมือนเดิม....
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?!
จะให้ยอมรับว่าตัวเองตายไปแล้วจริงๆน่ะเหรอ?!
โธ่โว้ย!!!
เขาเดินโซซัดโซเซกลับมาที่ห้องพักของตัวเองในโรงแรมอะมันดารีเพราะอยู่ที่โรงพยาบาลไปก็ไม่มีประโยชน์
รังแต่อยากจะอาละวาดที่กลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้เสียมากกว่า...สู้กลับมานั่งทำใจยอมรับให้ได้คงทำให้เขาจากโลกใบนี้ไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์มากนักน่าจะดีกว่า
ร่างทั้งร่างทรุดนั่งลงไปบนเก้าอี้ก่อนที่สายตาจะทอดมองสระว่ายน้ำที่นิ่งสงบ
เพิ่งจะรู้สึกนี่แหละว่าห้องที่เขาพักมันน่าอยู่ขนาดนี้ แต่ก็แหงละเพราะเจ้าเอลวินมักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาเสมอ
แล้วดูเขาสิ...ทำแต่เรื่องเดือดร้อนให้หมอนั่น...
เขากวาดตามองไปรอบๆห้องที่ไม่เคยคิดจะมองตั้งแต่แรก
ดูเหมือนตำรวจจะเก็บหลักฐานไปหมดแล้ว
พนักงานโรงแรมถึงได้เข้ามาเคลียร์พื้นที่จนรอยเลือดที่พื้นก็ไม่มีเหลือแล้ว
ห้องที่ไม่มีใครอยู่มันถึงได้เวิ้งว้างอย่างที่เห็น...
เขาหันหน้าไปมองกีต้าคู่ใจที่ช่วยเขาแต่งเพลงที่ดังไปทั่วโลกมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จะว่าไปมันยังมีทำนองที่ค้างคาอยู่ในหัวของเขา
ถ้าได้แต่งมันก่อนจะจากไปได้ก็คงดี
เขาอาจจะตั้งชื่อเพลงนี้ว่า...ลีลาวดีสีชมพูก็เป็นได้...
“ฮึ...”
ท่าทางเขาจะหลงรักรูปสลักหินนั่นเข้าให้แล้วละมั้ง ถึงได้ยังคิดถึงแม้แต่ในเวลาแบบนี้
แล้วในขณะที่ลองฮั่มเพลงที่อยู่ในหัวเบาๆ
เงาวูบไหวของอะไรบางอย่างก็ทำให้เขาต้องหันไปมอง
มันเป็นเงาที่โผล่ออกมาจากแถวๆสระว่ายน้ำอีกแล้ว?
เงาของคน?
หรือว่า...จะเป็นเจ้าหัวขโมยคนที่แทงเขา?
ร่างทั้งร่างลุกพรวดก่อนจะวิ่งตรงไปหาทันที
แต่อีกฝ่ายกลับวิ่งหนีหายไปราวกับรับรู้ได้ว่ามีเขาอยู่ตรงนี้?
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เจ้าหัวขโมยนั่นจะได้ยินหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้แต่มันก็วิ่งโกยแน่บลงไปตามป่าหญ้าที่ลาดลงไปตามไหล่เขา
เสียงประตูที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้เขารู้ว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องและเมื่อหันไปมองก็เห็นเอลวินเดินเข้ามา...มิน่าล่ะ...เจ้าหัวขโมยนั่นเห็นเอลวินนี่เองถึงได้หนีไป...ไม่ได้เห็นเขาเสียหน่อย
“บัดซบ!” ถึงจะไม่เห็นถึงจะไม่ได้ยินแต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆหรอกนะ!
สองขาจึงกระโดดพรวดลงจากขอบสระว่ายน้ำก่อนจะวิ่งตามเจ้าหัวขโมยนั่นไป
แน่นอนว่าทั้งหญ้า
ทั้งกิ่งไม้ของป่าที่ลาดลงไปตามไหล่เขานี่ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะเขาวิ่งผ่านมันไปราวกับเป็นอากาศธาตุ
ถึงจะน่าเศร้าแต่เขาก็คิดว่ามันก็สะดวกดีเหมือนกันในสถานการณ์แบบนี้
“หยุดนะโว้ย!”
เขาตะโกนไล่หลังเงาไวๆนั่นไปทั้งๆที่อีกฝ่ายคงจะไม่ได้ยิน
เขาสไลด์ตัวลงไปตามเนินดินที่ลาดลงสลับกับวิ่งแล้วก็วิ่ง
แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังตามเจ้าหัวขโมยนั่นไม่ทัน
ดูเหมือนมันน่าจะเป็นคนในพื้นที่ที่คุ้นเคยกับภูเขาลูกนี้เป็นอย่างดี ดีไม่ดีอาจจะเคยขึ้นไปขโมยของในห้องพักมานักต่อนักแล้วก็เป็นได้
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”
ถึงจะเป็นแค่วิญญาณแต่ก็ยังเหนื่อยได้แหะ...เขายืนหอบแฮ่กหลังจากหันหน้ากลับไปดูว่าเขาวิ่งตามไหล่เขาทั้งลูกลงมาไกลขนาดไหน...แล้วในที่สุดเจ้าหัวขโมยนั่นมันก็หายไปจากสายตาของเขาเมื่อเบื้องหน้าคือหมู่บ้านและมีตรอกซอกซอยให้มันวิ่งหลบไปได้มากมายเต็มไปหมด
“บ้าเอ้ย!”
เขาได้แต่สบถอย่างหัวเสียก่อนจะเดินอย่างหงุดหงิดไปตามถนนเส้นเล็กๆที่น่าจะมีแค่เลนส์เดียว
ชาวบ้านในชุดประจำชาติเดินสวนมาแต่แน่นอนว่าไม่มีใครมองเห็นเขาสักคน ในหัวสมองของเขากำลังประมวลผลด้วยความสงสัยว่าเจ้าหัวขโมยนั่นทำไมถึงได้ยังกลับมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆที่พักของเขาอีก?
ไม่กลัวว่าใครจะจับได้หรือยังไง? หรือมาดูให้แน่ใจว่าเขาตายไปแล้ว?
หรือว่ามันลืมอะไรเอาไว้? อะไรที่อาจจะเป็นหลักฐานมัดตัวของมันได้? จะว่าไปเขาก็ยังไม่ได้ยินตำรวจพูดกันเลยนี่...ว่าพบมีดที่ใช้แทงเขาแล้ว?
หรือว่า...
เจ้าหัวขโมยนั่นจะกลับมาเพื่อหามีดของตนแล้วเอากลับไปทำลายหลักฐาน...
รอยยิ้มเหี้ยมเผยบนใบหน้าของเขาทันที
ไหนๆเขาก็เป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีอะไรจะทำแล้ว
อย่างน้อยก็ขอสะสางก่อนจะจากโลกนี้ไปทีเถอะ...ว่าใครมันบังอาจแทงเขาจนตายแบบนี้!
พอคิดได้แบบนั้นความรู้สึกสลดหดหู่ก็หายไปทันที
สายตากวาดมองรอบกายอย่างอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย...เอ...รู้สึกว่าจะคุ้นๆเหมือนกันนะที่นี่?
มันเหมือนกับหมู่บ้านที่ผู้จัดการโรงแรมพาเขาไปดูพิธีบวงสรวงเทพธิดาลีลาวดีเลยไม่ใช่หรือไง? น่าจะใช่จริงๆด้วย
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเดียวกับที่เขามองเห็นจากบนห้องพักของตัวเองจริงๆด้วย!
เขาอมยิ้มก่อนจะฮั่มเพลงที่อยู่ในหัวเบาๆ
ยังไงก็แวะไปทักทายยัยเทพธิดานั่นเสียหน่อยก็แล้วกัน
ถ้าเขาเป็นวิญญาณแบบนี้อาจจะคุยกันได้ก็ได้?
“ฮึ....” เขานึกขำกับความคิดของตัวเองก่อนจะก้าวขาผ่านซุ้มประตูแหวกเข้าไป...ไม่มีใครอยู่อย่างที่คิดจริงๆ
เพราะศาสนสถานของฮินดูไม่เหมือนวัดของชาวพุทธที่ต้องมีพระอยู่ประจำวัด
แต่ที่นี่นอกจากช่วงเวลาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมแล้ว
ยามเย็นแบบนี้ก็เป็นเพียงสถานที่ที่มีเพียงรูปปั้นอยู่ก็เท่านั้น
โครม!
เคร้ง....
“อุก....”
เสียงลากหลายดังมาเป็นชุดทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ตามลำพัง
เขาจึงหันหน้าที่ไม่คิดว่าจะมีใครเห็นไปมองร่างๆหนึ่งซึ่งล้มหน้าคะมำอยู่ที่พื้นต่างระดับของศาสนสถาน ร่างบางๆนั่นอยู่ในชุดประจำชาติเหมือนคนอื่นๆในหมู่บ้านเพียงแต่สีสันดูจะต่างออกไป
เพราะท่อนบนเป็นผ้าลูกไม้โปร่งบางสีขาวที่มองทะลุไปถึงผ้าคาดอกที่มีสีขาวเช่นเดียวกันส่วนผ้าถุงนั้นเป็นโสร่งสีน้ำตาลที่เดินเส้นลวดลายด้วยสีทองทำให้ชุดๆนี้ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์แต่ก็สูงส่งมากกว่าจะเน้นที่สีสันอันสดใสเหมือนชาวบ้านทั่วๆไป
“ฮึๆๆ”
เขายกมือขึ้นมาปิดปากในขณะที่ปล่อยเสียงหัวเราะในลำคอออกไปอย่างไม่คิดจะเกรงใจ
เพราะยังไงเด็กคนนั้นก็คงไม่ได้ยินเสียงของเขาอยู่แล้วละ
“ขำอะไรเล่า?
เห็นคนเจ็บแล้วขำงั้นเหรอ? เดี๋ยวก็ให้พระลีลาวดีลงโทษซะหรอก!” แต่แล้วใบหน้ามนที่เงยขึ้นมาส่งสายตาหาเรื่องให้เขากลับทำให้เขาถึงกับผงะไป
ใบหน้าที่กำลังขำอยู่ถึงกับนิ่งค้างอย่างตกใจ
ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไงในเมื่อเด็กนั่นดันได้ยินเสียงหัวเราะของเขา?
แถมยังจ้องเอาจ้องเอาอย่างกับมองเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้อย่างงั้นแหละ?
“เฮ้ นี่เธอมองเห็นชั้นด้วยเหรอ?” เขาสาวเท้าเข้าไปหาร่างที่ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่ผ้าถุงทันที
ด้วยความใจร้อนจึงดึงข้อมือบางๆนั่นให้ใบหน้ามนเงยขึ้นมาเผชิญหน้า...แล้วคราวนี้เขาก็ต้องตาเบิกค้างยิ่งกว่าเก่า....
เพราะใบหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลซึ่งรวบครึ่งหัวมัดเป็นจุกไว้ด้านหลังนั่น...มันช่างเหมือนกับใบหน้าของรูปสลักหินของเทพธิดาลีลาวดีอย่างกับแกะเลยน่ะสิ....
เอาแล้วไง....
โดนเข้าแล้วจริงๆใช่ไหมเขาน่ะ...
“ก็มองเห็นน่ะสิ?
มีอะไรแปลกหรือไง? เอ๋? เดี๋ยว?!”
เขาไม่สนใจว่าเด็กนั่นจะพูดว่าอะไรแต่ตอนนี้เขากำลังลากร่างโปร่งบางให้เดินตามมาก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้ารูปสลักหินที่คนทั้งหมู่บ้านต่างก็นับถือ
“อื้อ?!!”
ร่างโปร่งบางพยายามขัดขืนแต่มือแข็งแรงของเขาก็บีบปลายคางมนเอาไว้ก่อนจะขยับใบหน้าใสไปเทียบกับใบหน้าของรูปสลักหิน
เหมือน...
เหมือนกันจริงๆด้วย...
ถึงจะต่างกันตรงที่เด็กนี่มีผมสั้นเคลียต้นคอ
ไม่ได้ยาวถึงกลางหลังเหมือนรูปสลักหินนั่นก็เถอะ
“บอกให้ปล่อยไง!” ใบหน้ามนสะบัดหนีมือที่นิ่งค้างของเขาไปจนได้....นี่เขา...กำลังพูดอยู่กับยัยเทพธิดาจริงๆสินะ?
“เธอ...คือยัยเทพธิดานี่งั้นเหรอ?...” เสียงพูดของเขาลอยออกไป ก็ขนาดตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
“เทพธิดา?...เทพธิดาอะไร?
อ๊ะ!” ใบหน้ามนหันมาขมวดคิ้วให้
ก่อนจะอุทานเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ไม่ใช่นะ!
ผมเป็นคนธรรมดาๆนี่แหละ! ไม่ใช่พระลีลาวดีอย่างที่คุณคิดหรอก!”
มือบางปฏิเสธพัลวันและมันก็ทำให้เขายิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
จะบอกว่ามองเห็นแม้กระทั่งวิญญาณอย่างเขาแถมหน้ายังเหมือนรูปสลักอย่างกับแกะแบบนั้นแต่ไม่ใช่เทพธิดาลีลาวดีเนี่ยนะ?
ใครมันจะไปเชื่อ!
เขาจ้องร่างโปร่งบางนั่นเขม็งอย่างต้องการจะเค้นความจริง
ทำเอานัยน์ตากลมโตสีราวกับอัญมณีอะไรสักอย่างเสหนีไปมองพื้นก่อนจะพูดออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“กะ
ก็มีคนบอกมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าหน้าของผมเหมือนพระลีลาวดี
เพราะแบบนั้นนั่นแหละเลยถูกเลือกให้มาเป็นนักบวชทำหน้าที่คอยดูแลที่นี่ คอยดูแลรับใช้พระลีลาวดี
คอยเตรียมเครื่องสักการะ
คอยเก็บกวาดทำความสะอาด...ง่า...จะเรียกว่าคนดูแลวิหารนี้ก็ประมาณนั้นแหละ!
แถมผมยังเป็นผู้ชาย เพราะงั้นไม่ใช่พระลีลาวดีหรอก!”
เจ้าเด็กตรงหน้าหลับหูหลับตาพูดออกมารวดเดียวแล้วหนึ่งประโยคในนั้นก็ยังทำให้เขาอึ้งคูณสองเข้าไปอีก
“เป็นผู้ชาย?” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงลอยๆ
จะบอกว่าหน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้เป็นผู้ชาย?
“ครับ”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าไล่มองไปที่หน้าอกแบนเรียบกับลูกกระเดือกที่โผล่ออกมาน้อยๆบนลำคอ...ผู้ชายจริงๆเร๊อะ?!
“เป็นมนุษย์?” เขายังถามออกไปอย่างคลางแคลงใจ
“ครับ…” แต่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่จริง...แล้วทำไมมนุษย์อย่างนายถึงได้มองเห็นวิญญาณอย่างชั้นได้ล่ะ?” ไม่ใช่แค่มองเห็นนะ
แต่เขายังแตะตัวเด็กนี่ได้อีกต่างหาก?
“เอ๋?!!!!”
ร่างโปร่งบางอุทานยาวเหยียดก่อนจะถอยครูดไปจนติดผนัง
“คุณ...เป็นวิญญาณ?...ล้อเล่นอะไรน่ะครับ?...นี่เป็นนักท่องเที่ยวที่อะมันดารีพามาใช่ไหมครับ?
ผมว่ารีบกลับไปได้แล้วนะนี่ก็จะมืดแล้ว ผมไม่มีเวลามาเล่นกับคุณหรอก”
ใบหน้ามนสะบัดหนีก่อนที่จะหันไปเก็บข้าวของที่ทำหล่นเอาไว้ในตอนที่สะดุดล้มเมื่อกี้
“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?
ขยันจังนะ”
แต่แล้วเสียงทักของใครบางคนก็ทำให้ทั้งเขาทั้งเด็กนั่นหันไปมอง
“กำลังจะกลับแล้วละ
ลุงมาก็ดีเลย ช่วยพาคุณคนนี้เขากลับโรงแรมไปด้วย
รถเที่ยวสุดท้ายแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ใบหน้ามนหันไปตอบชายวัยกลางคนที่มองมาอย่างประหลาดใจ
“คุณคนไหน?
ไม่เห็นมีใครเลย? เราอยู่คนเดียวไม่ใช่รึ?”
แล้วคำพูดของชายวัยกลางคนก็ทำให้ร่างโปร่งถึงกับผงะ
ก่อนจะค่อยๆหันมามองเขาช้าๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ลุง...มองไม่เห็นผู้ชายคนนี้เหรอ?”
นิ้วเรียวสั่นพั่บๆชี้มาที่เขาแต่ชายวัยกลางคนก็เห็นมันเป็นเพียงผนังที่ว่างเปล่าเท่านั้น
“อย่ามาล้อเล่นน่า
มีอะไรเสียที่ไหน ไปๆ เก็บของเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปซะ
นี่นะ...ถึงผู้จัดการโรงแรมจะพยายามปิดข่าวแต่พวกพนักงานทำความสะอาดลือกันให้แซดเลยว่ามีโจรบุกเข้าไปปล้นห้องแขกคนหนึ่งแล้วก็แทงแขกคนนั้นตายด้วยละ
เพราะงั้นอย่าเที่ยวออกมาเดินคนเดียวดึกๆดื่นๆล่ะ
เดี๋ยวลุงขับรถไปส่งแขกที่โรงแรมก่อนละ”
ชายวัยกลางคนกระซิบกระซาบเสร็จก็โบกมือให้ก่อนที่จะเดินจากไป...นั่นมันเรื่องของเขาสินะ?...เจ้าเอลวินพยายามปิดข่าวเอาไว้นี่เอง
ถึงว่า...นักข่าวถึงยังไม่มาจนเต็มโรงแรม
เขาหันกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งเขาทั้งเด็กนั่นต่างนิ่งค้างไป
ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
เพราะมีบุคคลที่สามมาช่วยยืนยันทำให้เขารู้ว่าเด็กนี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆที่สามารถพูดคุยกับคนอื่นๆได้ไม่ใช่เทพธิดาลีลาวดี
ส่วนเด็กนี่ก็รู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆเพราะว่าไม่มีใครมองเห็นหรือได้ยินเสียงของเขา...
“เอ่อ...คุณ...เป็นวิญญาณจริงๆน่ะเหรอ....?” ใบหน้ามนทำลายความเงียบและบรรยากาศอึดอัดที่เอาแต่จ้องมองกันไปมา
“ใช่...ชั้นเพิ่งถูกแทงตายเมื่อคืนวาน
ตอนนี้ร่างยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลย”
เขาตอบออกไปราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
เจ้าเด็กตรงหน้าเองก็ดูจะอึ้งจนเลิกกลัวไปแล้วว่าเขาเป็นผี
“นายอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” เขาหันหน้ากวาดสายตามองไปรอบๆศาสนสถานที่เจ้าเด็กนั่นเรียกว่าวิหารก่อนจะเดินทอดน่องสำรวจไปทั่ว
ไหนๆเจ้าเด็กนี่ก็เป็นคนเดียวที่มองเห็นและพูดคุยกับเขาได้
ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะแต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าการอยู่คนเดียวมากอย่างที่เขาก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าการมีตัวตนในสายตาของใครสักคนมันดีกว่าการเป็นเพียงแค่อากาศธาตุเป็นไหนๆ
ทั้งๆที่ผ่านๆมาเขารำคาญที่ตัวเองเป็นจุดสนใจจนเอาแต่ทำเรื่องเลวร้ายเพื่อประชดประชันแบบนั้นแท้ๆ
“เปล่าหรอก...บ้านผมอยู่บนเนินข้างหลังวิหาร
เพราะมีหน้าที่ต้องดูแลวิหาร กลางวันก็เลยอยู่ที่นี่เป็นส่วนใหญ่” ใบหน้ามนเองก็ดูเหมือนจะทำใจได้แล้วที่ต้องคุยกับวิญญาณ
เด็กนั่นเลยพยายามจะพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางปกติ
“แล้ว...นี่กำลังจะกลับบ้าน?” เขามองท่อนแขนบางที่วางพานใส่เครื่องสักการะลงไปบนแท่นเก็บของด้านหลัง
“ครับ” ริมฝีปากสีระเรื่อตอบออกมาก่อนจะงับประตูไม้ของอาคารที่อยู่ข้างๆให้ปิดลงก่อนที่ร่างโปร่งบางจะหันกลับมาโค้งให้แทนคำบอกลา...แต่ใครว่าเขาจะไปไหนล่ะ?
ยังไม่ได้บอกซักคำเลยนี่ว่าเขาจะกลับ
เพราะฉะนั้นเขาจึงก้าวขาเดินตามเด็กนั่นไป...เว้นระยะห่างให้พอจะมองเห็นแผ่นหลังบางๆกับร่างสะโอดสะองที่ดูไม่สมเป็นผู้ชาย
ยิ่งม่านหมอกยามเย็นโรยตัวลงมา ภาพตรงหน้าก็ยิ่งดูละมุนละไมราวกับอยู่ในฝัน
เขายังคงก้าวขาตามเด็กนั่นไปเรื่อยๆ
เรื่อยๆ...ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านนี้ทำงานอยู่ที่อื่นหรือว่ายังไม่กลับมากันแน่นะ
บ้านทุกหลังที่ร่างโปร่งบางเดินผ่านจึงเงียบเชียบราวกับไม่มีใครอยู่ ลมเย็นๆที่พัดมาต้องกายทำให้ขนลุกชัน
บรรยากาศวังเวงแบบนี้ถึงเขาจะเป็นวิญญาณแต่มันก็อดที่จะหวาดๆไม่ได้
“แล้ว...คุณจะตามผมมาทำไมไม่ทราบครับ?” นัยน์ตาสีเขียวที่เขาเพิ่งนึกออกว่ามันเหมือนมรกตเหล่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเดินเท่าไหร่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะขอแยกตัวจากไป
“ไม่ได้ตามซักหน่อย...”
ใบหน้าคมเสไปทางอื่นอย่างไม่ยอมรับทั้งๆที่สองขายังคงก้าวตามร่างบางไปติดๆ
“อ้อเหรอ...ถึงบ้านผมแล้วละ
ลาก่อนนะครับ”
เด็กนั่นหันมาโค้งให้ตามมารยาทก่อนจะเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วเดินผ่านซุ้มประตูบ้านไปทิ้งให้เขายืนอยู่ตามลำพัง...ก็ช่วยไม่ได้นะที่จะไม่เชิญวิญญาณแปลกหน้าท่าทางไม่น่าไว้ใจแบบเขาเข้าบ้าน
แต่เขาก็ยังไม่มีแผนว่าจะไปไหนหรือทำอะไรต่อ
ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครจึงขยับไปยืนพิงผนังรั้วที่สูงแค่อกเอาไว้...ขนาดรั้วบ้านก็ยังประดับประดาด้วยบัวและลายปูนปั้นกันอลังการขนาดนี้เลยเหรอนี่
คนบาหลีนี่ท่าจะว่างแหะ
เขาเงยหน้ามองหลังคาหลายหลังที่อยู่ภายในรั้วเดียวกัน
เป็นครอบครัวใหญ่หรือไงนะบ้านของเด็กนั่น?
แต่จะว่าไปเขาก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันนะว่าคนพื้นเมืองของที่นี่อาศัยอยู่ในบ้านหลังไม่ใหญ่เพียงแต่ใช้รั้วร่วมกันมันเลยทำให้ดูเหมือนเป็นเครือญาติทั้งๆที่อาจจะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นก็ได้?
“.............” แล้วในขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ
พอหันกลับมาอีกทีก็ต้องสะดุ้งน้อยๆกับนัยน์ตากลมโตที่จ้องเขม็งมองมาของคนที่เขาคิดว่าน่าจะเข้าบ้านไปแล้ว?
“เฮ้อ...ถ้าจะมาทำตัวเป็นวิญญาณเร่ร่อนคอยหลอกหลอนคนอยู่ที่หน้าบ้านผมละก็
หยุดเถอะครับ...ถ้าอยากจะเข้ามาก็ตามใจ”
หื๋อ? เด็กนั่นชวนเขาเข้าบ้านใช่ไหม? ใบหน้ามนถอนหายใจก่อนจะเดินนำเข้าไป
แน่นอนว่าเขาก็ก้าวขาเดินตามทันที...ส่วนหนึ่งที่ยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆเด็กนี่ทั้งๆที่ไม่ใช่วิสัยของเขาเลยคงเป็นเพราะว่า...เด็กนี่เป็นคนเดียวที่มองเห็นเขาด้วยละมั้ง
เป็นคนเดียวที่รับรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้....
นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองอาคารหลายหลังที่ตั้งอยู่ในรั้ว...อีกแล้ว...บ้านพวกนี้ก็เหมือนไม่มีคนอยู่อีกแล้ว...
“ผมอยู่ที่นี่คนเดียวน่ะครับ
ถ้าคุณไม่มีที่ไปจะเข้าไปใช้เรือนนอนพวกนั้นก็ได้ ตามสบาย” มือบางผายมือไปทางอาคารชั้นเดียวยกฐานสูงระดับต้นขาที่มีอยู่หลายหลัง
ดูๆไปแล้วน่าจะเคยเป็นเรือนนอนของพ่อแม่พี่น้องของเด็กนั่น? ทุกหลังล้วนเป็นอาคารสไตล์บาหลีที่ดูเก่าแก่ราวกับถูกสร้างมาเป็นร้อยๆปีแทบทั้งนั้น
ดูจากหลังคามุงแฝกหนาที่มีตะไคร่กับมอสขึ้นเขียวและผนังฉาบปูนหยาบๆที่เต็มไปด้วยคราบจากความชื้นสีดำๆ
แต่เขาก็เลือกที่จะเดินตามเด็กนั่นไปอย่างเงียบๆ มือบางจุดไม้ขีดก่อนจะจรดเปลวไฟลงไปบนตะเกียง
จากแสงสลัวๆจึงค่อยๆสว่างสไวขึ้นเรื่อยๆ....อย่าบอกนะว่าไม่มีไฟฟ้าใช้?
นี่มันยุคไหนกันแล้วเนี่ย?
ถึงมันจะดูสวยดีเวลาที่แสงเทียนฉาบไล้ใบหน้ามนนั่นก็เถอะ
นัยน์ตาสีมรกตเหล่มองเขาแทนคำพูดว่าอย่าเข้ามานะ
เขาถึงได้ยืนพิงพื้นที่ยกสูงนั่นเอาไว้เมื่อเด็กนั่นหายเข้าไปในเรือนที่น่าจะเป็นเรือนนอนของตัวเอง...รู้หรอกน่าว่าไม่ควรจะเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน
ถึงเขาจะนิสัยแย่แค่ไหนแต่ก็รู้มารยาทของสังคมหรอก
ลมเย็นๆพัดมาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้บางอย่างเขาจึงเงยหน้าสูดมันเข้าไปเต็มปอด
“นั่นกลิ่นของดอกลีลาวดี...หอมใช่ไหมล่ะ?” เด็กนั่นเดินออกมาด้วยเสื้อคอกว้างกับกางเกงขายาวในแบบที่คนปัจจุบันเขาใส่กัน
ผมที่เคยรวบไว้ถูกปล่อยลงค่อยดูสมเป็นเด็กผู้ชายขึ้นมาหน่อย
ร่างโปร่งบางเดินออกมาจากเรือนนอนของตัวเองก่อนจะหายเข้าไปในอาคารอีกหลังที่ฝาเป็นไม้ซี่ๆสานกันไปมาราวกับว่าต้องการระบายอากาศ
และเมื่อเขาเดินตามเข้าไปเตาฟืนหลังใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา
หม้อที่น่าจะเป็นหม้อหุงข้าวกับต้มอาหารวางอยู่บนนั้น...เขามองมันแล้วก็ยังคงขอถามคำเดิม...นี่มันยุคไหนกันแล้วเนี่ย?
“นายชื่ออะไร?” เขาถามออกไปในขณะเด็กนั่นกำลังจุดฟืนใส่เข้าไปในเตาไฟ
เขาเดินเข้าไปใกล้ๆโต๊ะวางของที่ก่อด้วยอิฐก่อนจะหยิบเครื่องเทศแปลกตาขึ้นมาดูอย่างไม่คิดจะขออนุญาตจากเจ้าของ
“อเลนทร” ใบหน้ามนก็ตอบโดยไม่หันมามองเขาเช่นกัน
มือบางตักเมล็ดข้าวสารใส่ลงไปในหม้อก่อนจะเทน้ำตามลงไปแล้วตั้งไฟทิ้งไว้ เขาไม่ใช่ชาวเอเชีย
ไม่ได้กินข้าวเป็นอาหารหลักเลยเพิ่งรู้นี่แหละว่าข้าวมันหุงกันแบบนี้?
“อะเลนทอน?” ริมฝีปากเอ่ยทวนชื่อที่เด็กนั่นบอกมา
ยากสมเป็นชื่อของชาวเอเชียจริงๆ
“อเลนทร อะ ต้องออกแค่ครึ่งเสียงสิครับ” คราวนี้ใบหน้ามนหันมามองเขาราวกับจะสอนการออกเสียงชื่อตัวเองให้ถูกต้อง
มือบางก็เด็ดใบอะไรบางอย่างไปด้วย
“ยุ่งยาก
ชั้นจะเรียกนายว่าเอเลนก็แล้วกัน!” แล้วเขาที่เป็นคนขี้รำคาญก็สรุปเองเออเองเสร็จสรรพ
ชื่อยากๆแบบนั้นแค่พรุ่งนี้เช้าเขาก็จำไม่ได้แล้ว
“เอ๊ะ?
ไหงมาเปลี่ยนชื่อคนอื่นเอาดื้อๆแบบนั้นล่ะครับ!” เจ้าเด็กนั่นแยกเขี้ยวใส่เขา
แต่เขาสนเสียที่ไหน
“รีไว” เสียงทุ้มพูดออกไปและมันก็ทำให้คนที่กำลังแง่งๆใส่เขาถึงกับทำหน้าสงสัย
“เอ๋?”
“ชื่อของชั้นไง...รีไว” ขนาดไฟฟ้ายังไม่มีใช้คงไม่ต้องหวังหรอกว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้จักเขา
ดูจากหน้าเหวอๆนั่นก็รู้แล้วว่าคงไม่รู้หรอกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองน่ะเป็นคนดังขนาดไหน
“อะ...ครับ...” ใบหน้ามนรับคำก่อนจะก้มลงไปสนใจใบอะไรในกะละมังนั่นต่อ
แว่บหนึ่งเขาแอบเห็นว่าแก้มใสๆนั่นมันแดงระเรื่อ?
เขินเป็นเหมือนกันสินะเจ้าเด็กบ้านนอกนั่น
หึ...เขาได้แต่หัวเราะชอบใจอยู่ข้างใน
ความใสบริสุทธิ์ที่ทำให้สบายใจนี้เขาไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน
เหตุผลที่เขายังอยู่ที่นี่ชักจะไม่ใช่แค่ว่าเด็กนี่เป็นเพียงคนเดียวที่มองเห็นเขาเท่านั้นซะแล้วสิ...
ฉ่า~~
เสียงน้ำมันในกระทะดีดตัวทำปฏิกิริยาทันทีที่ผักสดๆถูกเทลงไป
ก่อนที่สีเขียวๆจะถูกแต่งแต้มด้วยสีเหลืองและส้มของดอกไม้ทำให้ผัดผักในกระทะดูน่ากินขึ้นมาทันตา
จะว่าไปเขาก็เพิ่งเคยรู้นี่แหละว่าดอกไม้พวกนี้มันกินได้ด้วย
เจ้าเด็กนั่นปล่อยผักในกระทะเอาไว้ด้วยไฟอ่อนๆก่อนจะหันไปโปรยเครื่องเทศลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือด
แล้วเห็ดหลายชนิดก็ถูกเทลงไป
กลิ่นหอมๆของอาหารล้วนเป็นกลิ่นของพืชจนเขาแปลกใจ...มันไม่มีกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ปนอยู่เลย?
“ไม่มีเนื้อบ้างเหรอ?
กินหมูได้ไม่ใช่เหรอศาสนาฮินดู?” เขาถามออกไปหลังจากไปยืนชะโงกหน้ามองจากข้างหลังอยู่พักใหญ่แล้วก็พบว่าไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆอยู่ในเมนูอาหารของเจ้าเด็กนี่เลย
“คนอื่นน่ะกินได้
แต่คุณอาจจะลืมไปเพราะงั้นผมจะบอกอีกรอบว่าผมเป็นนักบวชนะครับ ต้องรักษาศีลไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสิ!” ใบหน้ามนหันมาบอกก่อนจะหันไปคนต้มที่อยู่ในหม้อต่อ
ความจริงจังของเจ้าเด็กนี่ทำเอาเขาลอบยิ้มที่มุมปาก
ความรู้สึกอยากจะแกล้งขึ้นมานี่มันอะไรกันนะ?
ร่างทั้งร่างจึงขยับไปยืนประกบอยู่ข้างหลังร่างโปร่งบาง
“เห๋....รักษาศีลงั้นเหรอ?....” ใบหน้าคมยื่นไปกระซิบอยู่ที่ใบหู
“แล้วอย่างงี้ต้องรักษาพรหมจรรย์อะไรนั่นด้วยหรือเปล่า?” ทัพพีในมือบางหล่นไปกระทบขอบหม้อจนต้องรีบตะครุบเอาไว้
ใบหน้าใสแดงแปร๊ดก่อนจะหันมามองหน้าเขาที่อยู่แค่คืบ
“ผะ
ผมเป็นผู้ชาย เพราะงั้นแค่ไม่ผิดลูกผิดเมียใครก็ถือว่าอยู่ในศีลแล้วล่ะ!” ใบหน้าที่ยังแดงเถือกหันกลับไปหาหม้อต่อ
“หื๋ม...งั้นเหรอ?...” เขายังไม่ได้ละใบหน้าออกมา
การได้เฝ้าดูปฏิกิริยาของเด็กนี่มันสนุกดีจริงๆ
“ตะ
แต่ก็ไม่คิดจะทำเรื่องแบบนั้นหรอกนะ เพราะว่ามันสกปรก!
ผมจะอยู่คนเดียวแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลย!” มือบางคนหม้อรัวๆ
ใบหน้ามนเหมือนกับกำลังพูดกับหม้อมากกว่าพูดกับเขาเสียอีก
เขินได้น่ารังแกจริงๆเลยนะเจ้าเด็กนี่
“ฟุ
ฮ่าๆๆๆ” ไม่ไหว ทั้งความคิด
ทั้งการกระทำมันช่างไร้เดียงสาเสียจนเขากลั้นหัวเราะไม่อยู่
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ชอบหรอกนะคนแบบนี้
“ขำอะไรเล่า...” ใบหน้างอนๆหันมาค้อนเขาหนึ่งทีก่อนจะตักต้มใส่ถ้วย
“แล้วจะกินด้วยไหมครับเนี่ย?”
นัยน์ตาสีมรกตเหล่มองราวกับเขาจะไปแย่งอาหารอะไรแบบนั้นทำให้เขาขำพรืดไปอีกยกใหญ่
ให้ตายเถอะไม่ได้ยิ้มไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ
“ชั้นไม่แย่งนายกินหรอกน่า
ชั้นเป็นวิญญาณ กินได้ซะที่ไหน”
เขาปฏิเสธก่อนจะพยายามผ่อนลมหายใจให้หยุดหัวเราะ
มือใหญ่ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนจะนั่งลงไป...ท้องของเขาไม่มีปฏิกิริยากับอาหารตรงหน้าเลย
มันไม่หิวอย่างที่ว่าจริงๆ
แขนข้างหนึ่งยกขึ้นมาท้าวโต๊ะเอาไว้
ปลายคางวางลงไปบนฝ่ามือ ถึงแม้ว่าเขาจะเสหน้าไปทางอื่นแต่ก็แอบเหลือบกลับมามองใบหน้ามนที่กำลังกินอาหารด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
จนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลายเป็นว่าสายตาของเขาเอาแต่จับจ้องใบหน้าอมยิ้มเวลาเคี้ยวข้าวตุ้ยๆนั่นอย่างไม่วางตา
ความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นอยู่ข้างใน
บางทีเขาก็ไม่เข้าใจมันเลย....
พอมืดลงหน่อยแถวนี้ก็ยิ่งเงียบสงัดจนเผลอคิดไปว่าบ้านหลังนี้มันตั้งอยู่ในป่าไกลผู้ไกลคนหรือยังไงถึงได้มีแต่เสียงหริ่งเรไรไม่ใช่เสียงโทรทัศน์
เขานั่งเหม่อมองพระจันทร์อยู่ที่เฉลียงหน้าเรือนนอนของเจ้าเด็กนั่น
กลิ่นดอกลีลาวดีลอยตามลมเย็นๆมาก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงใสเอ่ยอยู่ข้างหลัง
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ....” เขาหันไปมองเจ้าของเสียง ดวงตาสีมรกตที่เคยกลมโตหรี่ปรืออย่างไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าเด็กนี่มันกำลังง่วงขนาดไหน
รู้สึกจะเพิ่งสองทุ่มเองไหม? นอนเร็วเป็นเด็กๆเลยนะ
“ยัง นายไปนอนก่อนเถอะ ถ้าง่วงเดี๋ยวชั้นหาที่นอนเอง” อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นวิญญาณถึงได้ไม่รู้สึกถึงความง่วง ใบหน้ามนพยักหงึกๆให้เขา
“อือ...ครับ...งั้น
ราตรีสวัสดิ์นะครับ...” ร่างโปร่งบางหาวหวอดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
เขานั่งอยู่ตรงนั้นอีกสักพักแล้วก็ชักจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงได้เลือกที่จะนอนตั้งแต่หัววันแบบนี้...ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรทำเลยน่ะสิ!
โทรทัศน์ก็ไม่มีดู
วิทยุก็ไม่มีฟัง จะเล่นเกมส์ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้อีก
ดีไม่ดีอาจจะไม่มีสัญญาณเนตกับโทรศัพท์ก็ได้นะแถวนี้...
เขาหันไปมองแสงตะเกียงที่เคยลอดออกมาจากขอบหน้าต่างซึ่งตอนนี้มันดับลงไปแล้ว
ร่างแข็งแกร่งจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะแอบย่องไปที่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบ
เขาตั้งใจว่าถ้าประตูมันล็อคเอาไว้เขาอาจจะลองเดินผ่านมันเข้าไป
แต่แค่ฝ่ามือผลักบานไม้นั่นเบาๆประตูก็แง้มเปิดออกให้เขาเข้าไปทันที
สองขาจึงก้าวเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง
ในนี้ไม่ได้มีสมบัติพัสถานอะไรมากมาย มีแค่ตู้กับเตียงเรียบง่ายจนคนที่ใช้ชีวิตมาอย่างหรูหราแบบเขานึกสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่อยู่ได้ยังไง?
ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครไปหยุดยืนอยู่หน้าเตียงก่อนจะทอดสายตามองใบหน้ามนที่กำลังหลับปุ๋ย...ช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลยนะเจ้าเด็กนี่...ทั้งๆที่มีวิญญาณเร่ร่อนไม่น่าไว้ใจนั่งอยู่หน้าห้องแท้ๆ
ใบหน้าคมอมยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งยาวข้างๆหน้าต่าง
ถึงแสงจันทร์จะส่องผ่านร่างกายของเขาแต่มันกลับสะท้อนใบหน้าของคนที่หลับอยู่ให้ดูน่าหลงใหล...และเขาก็ได้แต่นั่งมองใบหน้าที่กำลังหลับตานั่นอย่างไม่รู้เบื่ออยู่ทั้งคืน...
เขาออกจากบ้านของเด็กนั่นตอนฟ้าสางก่อนจะเดินทอดน่องขึ้นเขาไปเรื่อยๆจนถึงห้องพักของตัวเอง
ความจริงถ้าเดินแบบเอื่อยเฉยมันก็ไม่ได้เหนื่อยอย่างที่คิด
จะว่าไปก็ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆเองด้วยซ้ำ ไวกว่าขี่รถอ้อมไปตั้งหลายนาที
นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองห้องที่ว่างเปล่าไร้เงาของใคร
ที่เขากลับมาที่นี่แทนที่จะอยู่กับเด็กนั่นก็เพราะเขาคิดว่าไอ้หัวขโมยนั่นมันอาจจะกลับมาที่นี่อีกตราบใดที่มันยังหามีดที่ใช้ฆ่าเขาไม่เจอ...และเขาก็จะมานั่งเฝ้ามัน...รอให้มันโผล่หัวออกมา
ตอนนี้มีเอเลนที่ได้ยินเสียงของเขา
เพราะงั้นแค่รู้ว่าไอ้หัวขโมยนั่นมันเป็นใคร
เขาก็จะเอาไปบอกเอเลนให้พาตำรวจมาจับมันซะ
ขอแค่ได้เห็นหน้ามันเท่านั้น...
เขานั่งรอก็แล้ว
นอนรอก็แล้ว แต่ไม่ว่าจะรอแค่ไหน...รอจนผ่านไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน...เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน
ทำไมมันถึงไม่มาล่ะ?
หรือว่าในระหว่างที่เขาอยู่กับเอเลนในคืนนั้น...ไอ้หัวขโมยนั่นมันจะหามีดเจอแล้ว?
“บ้าเอ้ย!” เขาสบถอย่างหัวเสีย
แบบนี้นั่งเฝ้าไปก็ไม่มีประโยชน์สิ! ฝ่าเท้าเตะลงไปที่ขาเก้าอี้อย่างระบายอารมณ์ก่อนจะทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิด
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองผ่านสระว่ายน้ำไปยังป่าหนาทึบก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น...อยู่นี่ไปก็ไม่มีอะไรดี
สู้ลงไปหาคนที่มองเห็นเขา พูดคุยกับเขาได้ดีกว่า
เขาเดินผ่านป่าเขตร้อนชื้นที่ดูน่ากลัวในตอนกลางคืนเพื่อลงไปยังหมู่บ้าน
เอาเข้าจริงถ้าเขาไม่ใช่วิญญาณก็ไม่คิดจะมาเดินท่อมๆกลางป่าแบบนี้หรอก
ไอ้โจรชั่วมันอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่แถวๆนี้ก็ได้
ร่างกายที่ไม่มีใครเห็นไปหยุดยืนอยู่หน้าศาสนสถานของเทพธิดาลีลาวดี...ก็เจ้าเด็กนั่นเคยบอกเอาไว้ว่าตอนกลางวันส่วนใหญ่จะอยู่ที่นี่
เขาเลยก้าวขาเข้าไป
ข้างในยังคงสงบร่มเย็นเหมือนเดิม
มีเพียงเสียงแซ่กๆเหมือนใครกำลังขัดอะไรอยู่ที่เท่านั้นที่เป็นเสียงแปลกปลอม
และเมื่อเขาหันไปหาต้นเสียง ก็เห็นเอเลนกำลังขัดผนังสระน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่
เจ้าเด็กนั่นลงไปยืนแช่อยู่ในสระที่มีน้ำสูงระต้นขาทั้งๆที่ใส่ชุดประจำชาติแบบนั้น
โสร่งถูกดึงขึ้นมาจนถึงโคนขาแล้วรวบมามัดเป็นปมไว้ข้างหนึ่งทำให้มันอยู่ปริ่มๆน้ำพอดี
ด้วยความใสของน้ำทำให้มองเห็นขาขาวตัดกับหินสีดำที่ใช้ปูพื้นสระได้เป็นอย่างดี...แล้วความไม่ตั้งใจแบบใสซื่อของเด็กนี่มันก็ดันเซ็กซี่จนเขาที่ยืนมองอยู่ได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย ร่างบางๆนั่นยังคงขัดผนังด้านในของสระน้ำต่อไปแล้วกว่าจะหันมาเห็นเขาเข้าก็ผ่านไปหลายสิบนาที
“อ๊ะ?!
คุณรีไว? ผมนึกว่าคุณไปผุดไปเกิดแล้วซะอีก?”
ประโยคแรกที่เด็กนั่นทักทายเขามันชวนให้อยากจะยกท่อนขาขึ้นมาฟาดซักทีสองทีจริงๆ
ถึงมันจะเป็นความจริงที่น่าปวดใจนักก็เถอะ
“ทำอะไรอยู่?” เขานั่งลงที่ข้างสระก่อนจะเหยียดขาในท่าสบายอารมณ์
“ทำความสะอาดสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้พระลีลาวดีน่ะครับ” มือบางยกขึ้นมาปาดเหงื่อก่อนจะหันกลับไปขัดผนังหินนั่นต่อไป
ใบหน้าใสที่อมยิ้มน้อยๆดูจะพอใจที่ได้ทำหน้าที่เหล่านี้ และเขาเองแค่ได้นั่งดูใบหน้าแบบนั้น...ความสุขจากที่ไหนมันไหลเข้าสู่หัวใจก็ไม่รู้?...
แปล๊บ!!
จู่ๆภาพๆหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว
มันเป็นภาพของเขา?
กับเจ้าเด็กนั่น? กำลังสาดน้ำใส่กันอยู่ในสระ?
ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเขาหรือเปล่าก็เพราะชุดที่ใส่อยู่ดูยังไงๆก็เป็นชุดสมัยโบราณแน่ๆ
ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า
ท่อนล่างที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาดูจากลวดลายและลักษณะการสวมใส่น่าจะเป็นโสร่ง?
เขาไม่เคยใส่ชุดแบบนั้นแน่ๆ
ยิ่งลงไปเล่นน้ำอยู่ในสระกับเอเลนก็ยิ่งไม่เคย
ถ้างั้นภาพติดตาพวกนั้นมันคืออะไรกันล่ะ? มือแข็งแรงยกขึ้นมาบีบหัวคิ้วอย่างมึนงง
แปล๊บ!!
“อึก?!” มือยกขึ้นกุมขมับที่ปวดหนึบราวกับมีสายฟ้าฟาดใส่
ภาพเมื่อกี้มันอะไรกัน? จินตนาการของเขาที่มีต่อเจ้าเด็กนั่นหรือไงกัน?
“.......” ไม่ใช่....มันไม่น่าจะเป็นแค่จินตนาการ
เพราะภาพอีกภาพที่แว่บตามมาคือภาพของเขากับเจ้าเด็กนั่นกำลังยืนจูบกันอยู่กลางสระ....
สระที่เหมือนกับสระตรงหน้า
แต่ว่าในภาพนั่นมันเต็มไปด้วยดอกและใบบัว บรรยากาศที่สวยงามนั้นชวนให้รู้สึกโหยหาโดยเฉพาะร่างโปร่งบางในอ้อมแขนของเขา...เจ้าเด็กนั่นไว้ผมยาวถึงกลางหลัง
ไม่ใช่ผมสั้นอย่างในปัจจุบัน...
ฝ่ามือยกขึ้นมาปิดใบหน้า...มันไม่ใช่แค่จินตนาการแน่ๆ...เพราะต่อให้เขาจะช่างฝันขนาดไหนแต่ให้จินตนาการภาพของตัวเองที่กำลังจูบกับผู้ชายด้วยกันอยู่นี่มันก็เกินไปนะ?
ถ้างั้น...แล้วมันอะไรกันล่ะ?
“คุณรีไว?” เสียงใสที่ได้ยินทำให้เขาหลุดออกมาจากภวังค์
ใบหน้าคมเงยมองคนที่เพิ่งขึ้นมาจากสระน้ำด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เปล่า...” เขาตอบกลับไปพลางเรียกสติให้กลับคืนมา
จะไปบอกได้ไงกันล่ะว่า
ชั้นกำลังฝันถึงภาพที่นายจูบกับชั้นอยู่...เจ้าเด็กนี่มีหวังได้ถอยครูดไปอีกฟากของวิหารแน่ๆ
“ถ้างั้นก็กลับกันเถอะครับ
เมฆเริ่มมาแล้ว อีกเดี๋ยวฝนคงตกหนักแน่”
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เมฆดำทะมึนกำลังลอยใกล้เข้ามาอย่างที่เด็กนั่นว่าจริงๆ
ซ่า~~~
สายฝนอาจจะร่วงผ่านร่างของเขาไปแต่กับคนที่วิ่งอยู่ข้างๆแล้วไม่ใช่
มือบางยกขึ้นกันหัวก่อนจะวิ่งเหยาะๆผ่านซุ้มประตูของบ้านได้ทันพอดี
“หว๋า~
เกือบไปแล้วๆ”
มือบางปัดละอองน้ำตามร่างกายก่อนจะหันไปมองสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาด้านนอกชายคาเรือนนอนของตน
หลังคาหญ้าแฝกถึงจะซ้อนทับกันจนหนาแต่ว่ามันไม่ได้ยื่นยาวจนกันฝนที่สาดเข้ามาบนเฉลียงได้
เพราะงั้นใบหน้ามนจึงครุ่นคิดอยู่นิดหน่อยก่อนจะเอ่ยบอกกับเขา
“มานั่งข้างในห้องก็ได้ครับ...บนเฉลียงฝนมันสาดเปียกหมดแล้ว...”
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองเขาอย่างระแวงระไวนิดๆ...หึ...หารู้ไม่ว่าเขาแอบเข้าไปทุกคืนนั่นแหละ
เขานั่งลงที่ม้านั่งข้างหน้าต่างตัวเดิม เหม่อมองสายฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มีแต่จะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ บรรยากาศข้างนอกช่างมืดฟ้ามัวดินจนน่ากลัว...ต่างจากข้างในห้องที่เริ่มจะมีเสียงแกร่บๆจากการที่เจ้าเด็กนั่นกำลังเคี้ยวข้าวเกรียบแป้งตุ้ยๆ
มือบางยื่นมันมาให้เขาเมื่อเขาหันไปมอง...ก็บอกแล้วไงว่ากินไม่ได้...ปลายนิ้วจึงยื่นไปหยิบมันมาก่อนจะยัดเข้าไปในปากสีระเรื่อนั่นแทนจนคนที่อมข้าวเกรียบอยู่เต็มกระพุ้งแก้มต้องสะบัดหน้าหนี
ใบหน้ามนค้อนเข้าให้หนึ่งทีก่อนจะนั่งกินข้าวเกรียบกับเครื่องเคียงที่ไม่รู้แอบซุกไว้หรือยังไงแทนข้าวเย็นในวันนี้ต่อไป
เพราะต่อให้เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมงจนกระทั่งฟ้ามืดสนิท
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือเสียงของสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำลงมา...และนัยน์ตาสีมรกตมันก็กำลังเริ่มปรือปรอย
ร่างโปร่งบางมายืนหาวอยู่หน้าเตียงของตัวเองก่อนจะพยายามใช้สติสุดท้ายของวันนี้คิดเรื่องของเขา
“อืม...คืนนี้คุณคงจะหาที่นอนที่อื่นไม่ได้แล้วสินะครับ?
อืม...ถ้างั้น...ผมแบ่งเตียงให้ครึ่งนึงก็ได้”
อย่างที่บอกแหละว่าเขารู้สึกง่วงเสียที่ไหน
แต่ใบหน้าคมกลับพยักรับคำเชิญนั้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่อีกฝ่ายคงไม่ทันเห็น
เจ้าคนขี้เซาคลานเข้าที่นอนของตัวเองด้วยสภาพสลึมสะลือก่อนจะขยับให้เขานอนลงไปข้างๆ
“หนาว...” เขาแกล้งบ่นทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกอะไร
ใบหน้ามนจึงเงยมองเขาด้วยความรู้สึกผิดทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลยสักนิด
“ง่า...ผมก็มีผ้าห่มแค่ผืนเดียวซะด้วย...ผืนอื่นอยู่ในเรือนอื่นหมด...ขอโทษด้วยนะครับ”
“ถ้างั้นทำแบบนี้ก็แล้วกัน” เขาตะแคงข้างก่อนจะหันหน้าเข้าหาเด็กนั่น
อ้อมแขนแข็งแรงตวัดโอบกอดเอวบางเอาไว้ให้ร่างกายของเราแนบชิดกัน
“...........” เอเลนนิ่งไปก่อนจะก้มงุด
แต่ยิ่งก้มก็ยิ่งเหมือนกำลังซุกแผงอกของเขาอยู่เลย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่นาทีที่ทั้งเขาทั้งเด็กนั่นต่างนอนฟังเสียงฝนคละเคล้ากับเสียงหัวใจเต้นของกันและกันอยู่แบบนั้น
“....น่าแปลกนะครับ...ทั้งๆที่คุณเป็นวิญญาณ...แต่ผมกลับถูกตัวคุณได้...แถมร่างกายของคุณก็ยังทำให้ผมรู้สึกอุ่นอีกต่างหาก........” พูดยังไม่ทันจะจบดีก็หลับไปเสียอย่างนั้น เขาเลยได้แต่หัวเราะในลำคอ ไม่ใช่แค่ทำให้รู้สึกอุ่นหรอก
จะทำให้รู้สึกร้อนเลยก็ย่อมได้ แล้วก็กดริมฝีปากลงไปบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่ม...หอม..กลิ่นของดอกลีลาวดีสินะ...
นัยน์ตาสีขี้เถ้าลืมตาขึ้นมาอีกทีด้วยความแปลกใจ...นี่เขาหลับไป?...
ท้องฟ้าที่เริ่มจะสว่างรำไรซึ่งมองเห็นจากนอกหน้าต่างช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนนี้เขาหลับไปจริงๆ
ทั้งๆที่ผ่านมาห้าหกคืนแล้วเขาไม่เคยรู้สึกง่วง
แต่เมื่อคืนนี้กลับนอนหลับได้?
แถมตื่นมายังรู้สึกสดชื่นราวกับได้รับพลังชีวิตมาอย่างงั้นแหละ
ก้มลงไปมองใบหน้าที่ยังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นเพราะเจ้าเด็กนี่สินะ...
เอเลนน่าจะเป็นอะไรบางอย่างสำหรับเขา...อะไรบางอย่างที่เป็นสิ่งพิเศษสำหรับเขา...ตอนนี้เขารู้แค่นี้...
วันนั้นทั้งวันเขาก็ยังเฝ้ามองเจ้าเด็กนั่นเตรียมเครื่องสักการะเอย
ดอกไม้เอย เครื่องหอมเอย ทำอะไรต่อมิอะไรให้เทพธิดาลีลาวดีอยู่แบบนั้น
จนกระทั่งตกเย็นเขาถึงได้แยกตัวมาเพราะตั้งใจจะกลับไปที่โรงแรมบ้างเผื่อจะมีข่าวอะไรเกี่ยวกับร่างกายที่นอนเหมือนคนตายอยู่ที่โรงพยาบาลของเขา
แต่ก็เพราะมัวแต่เดินไปส่งเจ้าเด็กนั่นทำให้กว่าจะได้ขึ้นเขารอบๆกายก็มืดไปถนัดตา
แต่ก็ยังดีว่าคืนนี้ข้างขึ้น แสงจันทร์จึงทำให้พอจะมองเห็นอยู่บ้างว่าอะไรเป็นอะไร
นกเค้าแมวส่งเสียงร้องชวนขนลุก
เสียงแซ่กๆของสัตว์กลางคืนที่เริ่มตื่นออกมาหากินทำให้เขาก้าวขาให้เร็วขึ้นอีก
ถึงพวกมันจะมองไม่เห็นเขาแต่บรรยากาศอย่างกับป่าช้าแบบนี้ผีอย่างเขาก็หลอนเป็นนะ
แสงไฟของโรงแรมมองเห็นอยู่ไกลๆทำให้เขาเบาใจ
สองขาตั้งใจจะก้าวเดินไปทางห้องพักของตัวเองแล้วกระโดดขึ้นไปทางสระว่ายน้ำเหมือนทุกที
ทว่า...
เงาร่างของใครบางคนที่กำลังเดินเข้าป่ามาก็ทำให้เขาถึงกับหยุดชะงัก...
ใครกันน่ะ?
แขกของโรงแรมหรือเปล่า? มาเดินในป่ามืดๆค่ำๆแบบนี้ไม่กลัวหรือไง?
หรือว่า...จะเป็นไอ้หัวขโมยที่แทงเขาตาย?!
ไม่รอช้าเขารีบก้าวขาตามไปทันที
แต่ยิ่งใกล้เขาก็ยิ่งคุ้นกับโครงร่างสูงใหญ่นั่น
ยิ่งปลายผมสีทองโผล่แพลมออกมาจากฮูดสีดำที่คลุมหัวอยู่เขาก็ยิ่งมั่นใจเลยว่าคนที่เดินอยู่ตรงหน้าเป็นใคร
เอลวิน...
หมอนั่นมาทำอะไรแถวนี้?
มีธุระอะไรกับป่ามืดครึ้มที่ไม่มีใครอยากจะเข้ามานี่กัน? เขาจึงตัดสินใจเดินตามไปดู
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาเลยสักนิด
ร่างสูงใหญ่เดินลึกเข้าไปในป่าพอสมควรก่อนจะวางกระเป๋าหนังสีดำที่สะพายมาด้วยลงกับพื้นดินชื้นแฉะ
มือใหญ่รูดซิปกระเป๋าออกก่อนจะหยิบพลั่วเล็กขึ้นมา
เป็นเพราะฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อวานทำให้การใช้พลั่วขุดดินที่อ่อนนิ่มนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เอลวินจึงใช้เวลาไม่นานในการขุดหลุมที่มีขนาดพอเหมาะ
หมอนั่นตั้งใจจะฝังอะไรกัน?
เพราะดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นการมาขุดหาของ
แต่น่าจะเอาอะไรบางอย่างมาฝังมากกว่า?
เขาชะโงกหน้าไปมองให้ชัดๆ
อะไรที่ทำให้คนอย่างหมอนี่ต้องถ่อมาถึงนี่เพื่อฝังมันไม่ให้ใครรู้กันนะ?
และแล้วหมอนั่นก็ดึงห่ออะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า...มันน่าจะเป็นเสื้อเชิ้ต?
ที่ห่ออะไรบางอย่างเอาไว้อีกที? เขามองตามมือใหญ่ที่ค่อยๆเปิดห่อเสื้อเชิ้ตนั่นออกดูราวกับจะเช็คเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฝังมันลงไปเพื่อไม่ให้ผิดพลาดตามประสาคนเนี้ยบอย่างหมอนี่
แต่แล้วสีแดงคล้ำที่กระจายอยู่บนเสื้อตัวนั้นก็ทำให้เขาถึงกับตะลึงงัน....สีแดงพวกนี้มันต้องเป็นสีของชีวิตแน่ๆ...
มือยกขึ้นมาอุดจมูกเพราะกลิ่นคาวของเลือดเน่านั้นมันฉุนกึกขึ้นจมูก
กลิ่นที่รุนแรงนั้นทำให้เขามั่นใจว่าเลือดที่เปื้อนเสื้อเชิ้ตอยู่นั่นน่าจะอยู่มาราวๆห้าหกวันแล้ว?
เวลา...น่าจะพอๆกับเวลาที่เขาโดนแทง....
ยิ่งประกายสีเงินที่แว่บออกมาจากในห่อผ้าก็ยิ่งทำให้แผ่นหลังของเขาถึงกับชาวาบ....หรือว่าในห่อเสื้อเชิ้ตนั่นจะเป็นมีด...
สองขาเซถอยหลังไปสองสามก้าว
สีเงินวาวที่เอลวินเปิดออกดูนั่นคือมีดจริงๆ เป็นมีดที่เปื้อนเลือดแห้งกรัง
เป็นมีดแบบเดียวกับที่มีดที่น่าจะสร้างรอยแผลแบบนั้นเอาไว้บนท้องของเขาได้
อย่าบอกนะว่านั่นคือมีดที่ใช้แทงเขา?
ถ้างั้นทำไมถึงมาอยู่กับเอลวินได้ล่ะ?
หมอนั่นเก็บได้แล้วทำไมถึงไม่เอาไปส่งตำรวจแต่กลับเอามาฝังไว้กลางป่าแบบนี้?
หรือว่าหมอนี่....กำลังทำลายหลักฐาน?...
หลักฐานที่จะมัดตัว...ว่าคนที่แทงเขาก็คือหมอนี่เอง....คือ
เอลวิน สมิธ ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง...
ไม่จริงน่ะ...
ไม่จริงใช่ไหมเอลวิน?
ครื้นนนนน....
เสียงฟ้าร้องดังอยู่ไกลๆ
สงสัยฝนคงจะตกลงมาอีกรอบ...
และเพราะว่ามีฟ้าร้องมันจึงมีฟ้าแล่บ....แล้วแสงสว่างแค่แว่บเดียวนั่นมันก็ทำให้เขามองเห็นความจริงทุกอย่าง...
เพราะรอยยิ้มบนริมฝีปากของเอลวินยามที่กำลังฝังกลบมีดเล่มนั้น...มันช่างดูเย็นชาและ...น่ากลัว...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ตอนนี้อาจจะยาวซักหน่อย
ตอนแรกกะจะให้จบภายในสามตอน แต่พอวางพล็อตไปวางพล็อตมา....ตายห่าน
ห้าตอนจะจบไหมเนี่ยแบบเนี้ยถถถถถถถ =[ ]=!!!
ตอนนี้ก็เลยปลงแบ้วค่ะ
TvT เอาเป็นว่าเรามาหลอนกันต่อไปย์ TvT
ต้องขอขอบคุณคอมเม้นต์จากตอนที่แล้วด้วยนะคะ งื้ออออ พอรู้ว่ามีคนเข้าบลอคมาทุกวันเพื่อดูว่าคุณกวางจอมขี้เกียจมันอัพรึยัง
ก็ดีใจจนจะลอยได้แบ้วอ่ะฟฟฟฟฟ >/////<
ตอนแรกว่าจะเวิ่นหรือไม่ก็แปะรูปของสถานที่หรือเมืองของบาหลีเพื่อประกอบการจิ้น555
แต่ว่าฟิคตอนนี้เจือกยาว เลยขอยกไปไว้ตอนหน้าไม่ก็อาจจะรีวิวแยกไปเลยดีก่าเนอะ
เพราะงั้น
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า >w<
เย้ ลุ้นต่อไปว่าจะเป็นยังไงคะ สรุปคนร้ายคือเอลวินจิมๆสินะ -*-
ตอบลบดีใจที่คุณพี่อ่านเม้นของหนุด้วย^w^
ลบที่จริงแอบเป็นผีที่เข้ามาอ่านเรื่อยๆค่ะ ถือโอกาสแสดงตัวเลยแล้วกัน ตามอ่านมาตั้งแต่ ในห้องที่แสงส่องไม่ถึง ชอบอารมณ์ระหว่างเอเลนรีไวที่คุณกวางแต่งมากค่ะ มันก๊าว 555 ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ อาจจะไม่ค่อยแสดงตัวแต่ก็ตามอ่านเรื่อยๆค่ะ /โค้ง
ตอบลบตายแล้ว เอเลนน่ารักมากมาย อยากแกล้งบ้างจัง อิอิ ว่าแต่เอลวินเป็นคนร้ายรึเนี่ย ลุ้นสุดๆค่ะ
ตอบลบ