Prince
of Stride S.Fic [Fujiwara x Yagami] YOURS : 04
:
Prince of Stride
Fanfiction
:
Fujiwara Takeru x Yagami Riku
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ทำยังไงดี...
เขาควรจะทำยังไงดี....
ถ้อยคำเหล่านี้ได้แต่วนเวียนอยู่ในหัวเพราะมันยังหาทางออกไม่เจอ
แล้วก็เพราะแบบนั้นทำให้เมื่อคืนเขาแทบจะไม่ได้นอนเลยสักงีบ เอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมา กังวลไปล่วงหน้าจนแม้แต่ข้าวเช้าก็แทบจะไม่ได้แตะ
เขาไม่อยากเสียฟูจิวาระไป
ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนก็ตาม
“เฮ้ย!
ยากามิ? ไหวไหมเนี่ย?”
เพื่อนร่วมชั้นตบเบาๆมาที่ไหล่เขา
สภาพเหมือนซอมบี้ผสมหมีแพนด้าทำให้ใครต่อใครอดทักไม่ได้ว่าเขาไปทำอะไรมา
“อื้อ
ไม่เป็นไร”
เขาโบกมือน้อยๆก่อนจะเดินลอยๆไปที่โต๊ะของตัวเอง
“ต่อไปคาบพละด้วย
ไม่ไหวก็ไปนอนพักที่ห้องพยาบาลก็ได้นะเว้ย”
ใบหน้ามนหันไปหัวเราะแหะๆรับความหวังดีของเพื่อนๆ จะทำแบบนั้นได้ไงล่ะ วิชาพละคือวิชาโปรดของเขา
การโดดวิชาพละก็เหมือนการดูหมิ่นประวัติศาสตร์โลกนั่นแหละ!
เพราะงั้นเขาจึงยังคงหยิบชุดพละมาเปลี่ยนต่อไปทั้งๆที่ภาพรอบกายดูสโลโมชั่นแปลกๆ?
ไม่สิ ที่สโลโมชั่นนั่นมันเขาเองมากกว่า?
เขาว่าเขาก็ทำทุกอย่างตามปกติแต่ทำไมคนอื่นๆดูจะเปลี่ยนชุดกันไวราวกับม้วนฟิล์มที่ไหลอย่างต่อเนื่อง?
เสื้อเชิ้ตถูกถอดกองไว้บนโต๊ะในขณะที่หลายๆคนเริ่มเดินออกไปจากห้องในชุดพละเรียบร้อย
สองมือจับเสื้อยืดสีขาวมาสวมลงไปบนหัว
เอ๋?...
ทำไมมันมืดไปหมดแบบนี้ล่ะ?
คอเสื้ออยู่ตรงไหนกัน?
สองมือยกค้างอย่างพยายามหาคอเสื้อเพื่อให้หัวโผล่ออกไปแต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอสักที
นี่เขาเบลอถึงขั้นไหนกันแน่เนี่ย?
“อื้อ?” หน้าท้องแบนเรียบที่มีกล้ามอ่อนๆรู้สึกเย็นวูบเพราะมันเปลือยอยู่แบบนั้นมาสักพัก
โธ่โว้ย ไอ้พวกเพื่อนบ้ามันหายไปไหนกันหมด ทำไมไม่มีใครมาช่วยเขาสักคน?
ถึงมันจะน่าอนาถจนชวนหัวเราะเลยก็เถอะ แต่ถึงงั้นกลับไม่มีเสียงใครหัวเราะ...หรือว่าไปกันหมดแล้ว?
ไม่นะ! ใครก็ได้ช่วยชั้นจากปีศาจเสื้อนี่ที!
และแล้ว
“ใครก็ได้” ที่ว่าก็ทนไม่ไหว
มือที่เต็มไปด้วยไออุ่นๆช่วยดึงเสื้อยืดลงมาทำให้หัวของเขาโผล่ออกจากคอเสื้อจนได้ ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาสะบัดไปมาเมื่อได้สูดอากาศโล่งๆเสียที
และเพราะไม่มีเสื้อยืดคอยปิดกั้นสายตาแล้วเขาถึงได้เห็นว่า “ใครก็ได้”
นั่นคือฟูจิวาระ....
ถึงจะหลบหน้าเขาแต่หมอนี่ก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยเขาเอาไว้จริงๆ...
ถ้าจะว่าเขาขี้โกง...หมอนี่มันก็ใจร้ายมากเหมือนกันนั่นแหละ...
อันที่จริงก็อยากจะตอบโต้อะไรออกไปบ้างแต่สภาพของเขากลับมีแรงแค่ยืนมองฟูจิวาระด้วยสายตาเหม่อๆ
และเมื่อหมอนั่นเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยิบเสื้อวอร์มมาใส่ มือที่ใหญ่กว่าเขานิดหน่อยจึงจับแขนของเขายัดเข้าไปในเสื้อวอร์มแล้วรีบรูดซิบให้จนถึงคอ
หมอนั่นเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรทำให้เขาได้แต่มองตามด้วยสายตามึนงง
ถ้าเป็นทุกทีเขาคงตามไปเค้นคอถามให้รู้เรื่อง แต่วันนี้แค่จะเดินยังลำบากเต็มที
เขาเลยปล่อยฟูจิวาระกับความสงสัยนั่นไป
ช่างเถอะ...ยังไงหมอนั่นก็คิดจะปฏิเสธเขาอยู่แล้วนี่
ไม่จำเป็นต้องถามว่าหมอนั่นทำไปเพื่ออะไรให้ตัวเองต้องเจ็บเปล่าๆหรอก
เขาก้มลงมองความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่า....ในห้องที่เขาคิดว่าไม่มีใครอยู่...กลับยังมีเพื่อนๆของเขายืนนิ่งค้างอยู่เต็มไปหมด....
“อ้าว?
พวกนายยังอยู่กันอีกเหรอ? แล้วทำไมไม่ช่วยชั้นล่ะฟ๊ะ?!” ปล่อยให้เขาผจญกับปีศาจเสื้อยืดอยู่ได้!
หนอย...ถ้าไม่อดนอนจนหมดแรงแบบนี้ละก็พ่อจะไล่เบิร์ทกะโหลกรายตัวเลย!
“ก็อยากช่วยอยู่หรอก
แต่หมอนั่นน่ากลัวชิบเป๋ง...จ้องซะอย่างกับว่าถ้าพวกชั้นเข้าใกล้นายมันจะปล่อยกระแสไฟมาช็อตตายอะไรแบบนั้น” ห๋า? หมอนั่น?
“เฮ้ย!
โยชิดะมาแล้ว! ซวยละ ใส่เกียร์หมาเร็ว!” เสียงตะโกนทำให้ทั้งห้องแตกฮือ เขาได้แต่เก็บความสงสัยว่า “หมอนั่น” ของเจ้าพวกนั้นน่ะมันอะไร
ก่อนจะรีบวิ่งตามเพื่อนๆไปเพราะดูเหมือนอาจารย์วิชาพละขาโหดจะมาถึงโรงยิมแล้ว
ลูกบาสถูกแจกจ่ายไปทั่วโรงยิมหลังจากอาจารย์สอนการชู้ตตามหลักสูตรเสร็จแล้ว
“ใครจะลองชู้ตกับแป้นก็เข้าแถวเลย!” เสียงของอ.โยชิดะดังลั่นทั่วโรงยิม
“คร้าบ~” แต่เสียงตอบรับดูจะเอื่อยเฉื่อยไปหน่อย พวกเขาค่อยๆเดินไปต่อแถว...ก็ยังดีที่วันนี้ไม่ต้องจับคู่ซ้อมเหมือนทุกที
เพราะเขายังนึกไม่ออกเลยว่าจะปั้นหน้าใส่เพื่อนๆยังไงถ้าฟูจิวาระไปขอให้คนอื่นเป็นคู่ด้วย...ก็ตั้งแต่เปิดเทอมมาหมอนั่นก็แทบจะยึดเขาเอาไว้คนเดียว
ไม่เคยมีคาบพละคาบไหนที่พวกเขาไม่คู่กัน
เสียงลูกบาสกระทบพื้นเป็นจังหวะเมื่อเพื่อนคนข้างหน้าเริ่มเลี้ยงลูกเข้าหาแป้นบาส...เขายืนมองด้วยสายตาเหม่อยลอย...มันก็แค่การเลี้ยงลูกเข้าไปชู้ตแบบง่ายๆ...
“เอ้า!
ยากามิเตรียมตัว” อ.โยชิดะตะโกนเรียกชื่อเขาเมื่อเพื่อนคนข้างหน้าชู้ตไปเรียบร้อยแล้ว
สองขาจึงออกวิ่งตามเสียงนกหวีดทันที...มันก็แค่การเลี้ยงลูกเข้าไปชู้ตอย่างง่าย...ไม่มีทั้งใครมาคอยแย่งลูก
ไม่มีทั้งคู่แข่งมายืนขวาง ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น
โครม!!
“เฮ้ย!
ยากามิ?!!” เสียงตะโกนอย่างแตกตื่นดังอยู่ข้างหลัง
อะเร๊ะ?
นี่เขาเป็นอะไรไป? สงสัยจะเบลอจนเผลอวิ่งเต็มกำลัง
มันถึงได้วิ่งมาชนขาตั้งแป้นบาสแล้วล้มแอ้งแม้งอยู่แบบนี้?
“เป็นไรไหม?” เพื่อนที่วิ่งมาถึงตัวเขาถามออกมาทันที
เขาได้แต่มองตอบสายตากังวลเหล่านั้นด้วยใบหน้าลอยๆ
“สบายมาก
ไม่เป็นไร....” อ้าว?
แล้วเลือดใครมันไหลแหมะๆลงไปบนพื้นแบบนี้เนี่ย?
“ว๊าก!!! ยากามิเลือดออกครับอาจารย์!!” เสียงใครสักคนโวยขึ้นมา...อ๋า?
เลือดของเขางั้นเหรอ?
“ไหนดูซิ?”
ปลายคางถูกมือของอ.โยชิดะจับไว้ก่อนใบหน้าของเขาจะถูกจับหันไปหันมา
“ไม่เป็นไร
แค่เลือดกำเดา เอ้า! เดี๋ยวครูจะพาไปห้องพยาบาล พวกเธอซ้อมกันเองไปก่อน
อย่าให้บาดเจ็บอีกล่ะ”
ท่อนแขนแข็งแรงของอาจารย์พยุงตัวเขาขึ้น
ท่าทางเขาจะแย่จริงๆแหะเพราะรอบกายมันเบลอไปหมด
แล้วไม่นานห้องพยาบาลก็อยู่ตรงหน้า
“นั่งตรงนี้ก่อน
เงยหน้าขึ้น”
เขาถูกพาไปนั่งที่เตียงๆหนึ่งก่อนครูพยาบาลประจำห้องจะมารับช่วงต่อจากอ.โยชิดะ
“ดูเหมือนเลือดจะหยุดแล้วละ”
“ถ้างั้นฝากไว้นี่ก่อนก็แล้วกันนะครับ
ผมขอกลับไปดูนักเรียนที่เหลือก่อน”
อ.โยชิดะขอตัวกลับไป เขาจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ห้องพยาบาลตามลำพัง
“ถ้าก้มแล้วเลือดยังไหลอยู่ก็ให้เงยหน้าไว้ก่อนนะ”
ครูพยาบาลบอกเขาก่อนจะยื่นผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆมาให้
“ขอบคุณครับ” เขายื่นมือไปรับทั้งๆที่ยังเงยหน้า
“หน้าเธอซีดน่าดูเลย
ถึงเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่ก็นอนพักที่นี่ก่อนก็ได้
อ้อ ถอดเสื้อยืดออกด้วยดีกว่านะ
เลอะเลือดเต็มไปหมด”
ครูพยาบาลหันมายิ้มให้ก่อนจะรูดผ้าม่านบังเตียงให้แล้วเดินกลับไปนั่งประจำโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าห้อง
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาลองก้มดู...ไม่มีเลือดหยดลงมาแล้ว
เขาจึงใช้ผ้าเช็ดรอยเลือดที่อยู่บนใบหน้าออก และเมื่อก้มลงไปดูเสื้อยืดที่สวมอยู่มันก็เต็มไปด้วยรอยเลือดอย่างที่ครูพยาบาลบอกจริงๆ
เขาถอดเสื้อวอร์มออกด้วยสภาพเบลอๆ...อ่า...แบบนี้อย่ากลับไปโรงยิมเลยดีกว่า
คงต้องนอนพักอย่างที่ครูพยาบาลบอก
เสื้อยืดถูกดึงผ่านหัวออกไป
ร่องรอยแห่งการกระทำที่ฟูจิวาระทิ้งเอาไว้ทำให้เขานึกถึงตอนที่หมอนั่นช่วยเขาใส่มันเมื่อเช้า
แล้วมันก็ทำให้แอบน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก...ถึงเขาจะมึนเบลอแค่ไหนแต่เขาก็เห็นความเป็นไปรอบๆตัวอยู่ตลอด...ตอนที่เขาชนขาตั้งแป้นบาสจนล้มกองอยู่ที่พื้น...ทั้งๆที่ปกติแล้วคนที่จะต้องมาถึงตัวเขาก่อนใครก็คือฟูจิวาระ
แต่คราวนี้หมอนั่นกลับยืนมองอยู่ไกลๆ
ไม่น่าเลย...ในร้านซีดีวันนั้นเขาไม่น่าพูดออกไปเลย...
ร่างกายที่รู้สึกเหนื่อยล้าล้มตัวลงนอนไปบนเตียงสีขาวสะอาดตา
เขาดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมตัวไว้ สงสัยจะเป็นเพราะใส่เสื้อวอร์มบางๆแค่ตัวเดียวเลยทำให้รู้สึกหนาวแบบนี้...แล้วสติที่มีก็ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมๆกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ....
เดิมทีเขาก็ไม่ได้ป่วยไข้อยู่แล้ว
พอได้นอนเต็มที่ทำให้การลืมตาตื่นครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความสดชื่นกว่าเมื่อเช้ามากมาย
เขาลุกขึ้นนั่งก่อนจะบิดขี้เกียจช้าๆ
สายตาเหลือบไปเห็นเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลาบ่ายแก่ๆ...นี่เขานอนจนเลยเวลาพักกลางวันแถมลากยาวมาจนใกล้จะเลิกเรียนแล้วเหรอเนี่ย?
ถึงว่า รู้สึกดีกว่าเมื่อเช้านี้เยอะเลย
รอยยิ้มเจื่อนๆปรากฏอยู่บนใบหน้า
ถึงร่างกายจะรู้สึกดีขึ้นแล้วแต่สภาพจิตใจมันยังแย่อยู่ยังไงก็ยังแย่อยู่อย่างนั้น...ถึงจะลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นแต่ความว่างเปล่า...
เขาเคยชินกับการที่ปกติแล้วฟูจิวาระจะต้องนั่งอยู่ตรงนั้น...ข้างๆเตียงของเขานั่น...เพราะงั้นพอมันว่างเปล่าแบบนี้...ใต้แผ่นอกซ้ายเลยปวดแปลบขึ้นมาทันที
“เฮ้อ....” เผลอถอนหายใจออกไป...เขาไล่ตามองที่โต๊ะซึ่งวางอยู่ข้างเตียง
บนนั้นมีนมกล่องอยู่สองสามกล่อง คงจะเป็นของเพื่อนในห้องเอามาทิ้งไว้ให้...เขาหันหน้าออกไปมองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างเหนื่อยๆ
แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นพวงกุญแจโกเบทาเระตกอยู่ที่พื้น...เดี๋ยวนะ...ไอ้คนที่จะใช้ของแบบนี้ทั้งโรงเรียนโฮนันไม่มีใครอีกแล้วนอกจากหมอนั่น!
นัยน์ตาสีทับทิมจ้องมองเจ้าวัวนั่นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
ฟูจิวาระมาที่นี่...
หมอนั่นมาหาเขา...
หัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับพองโตขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างทั้งร่างลุกพรวดออกจากเตียงก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาดว่ายังไงก็คงต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!
สองขาก้าวยาวๆจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเพื่อกลับไปยังห้องเรียน
แล้วเสียงออดเลิกเรียนก็ดังทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป
“ฟูจิวาระ!!
ชั้นมีเรื่องจะคุยกับนาย!”
เขาตะโกนลั่นจนคนทั้งห้องหันมามอง แม้แต่อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ที่เพิ่งจะสอนจบไปยังมองเขาพลางอ้าปากค้าง
“เอาแล้วเว้ย
อีท่านี้สงสัยจะสารภาพรักแหงๆ ฮ่าๆๆ หายดีแล้วเร๊อะยากามิ!” เสียงเพื่อนในห้องแซวขึ้นมา แต่ใครจะไปสน
เขาเดินดุ่มๆเข้าไปหาฟูจิวาระที่มีท่าทางผงะไปก่อนจะจับแขนของหมอนั่นแล้วลากให้เดินตามมา
ก่อนจะไปหยุดลงที่...ดาดฟ้า
เขายังคงจับข้อมือของฟูจิวาระเอาไว้ทั้งๆที่หมอนั่นก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหนี...ฟูจิวาระเองก็คงตัดสินใจจะพูดกับเขาให้รู้เรื่องเหมือนกันสินะ...
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาที่มัดไว้ครึ่งหัวก้มมองพื้นเนิ่นนาน
เบื้องล่างที่มองเห็นผ่านรั้วตระแกรงลวดคือนักเรียนในโรงเรียนที่กำลังทยอยกลับบ้านคนแล้วคนเล่า...คนแล้วคนเล่าที่เดินออกไปแต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับฟูจิวาระเสียที
ถึงแม้จะตั้งใจมาเป็นอย่างดีแต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ตื่นเต้นจนมือไม้สั่นไปหมด
พวกเด็กผู้หญิงที่มาสารภาพรักกับเขาคงจะรู้สึกแบบนี้นี่เองสินะ...ทั้งตื่นเต้น
ทั้งกลัว...
มือปล่อยข้อมือของฟูจิวาระช้าๆก่อนจะสูดลมหายใจรวบรวมความกล้า
แต่ถึงอย่างนั้นเสียงที่ตั้งใจจะเปล่งออกไปกลับมีเพียงคำพูดตะกุกตะกัก
“ในร้านซีดีวันนั้น....นายได้ยินที่ชั้นพูด...ใช่ไหม....” หัวคิ้วแทบจะขมวดเป็นปม
หลังจากที่ตัดสินใจพูดไปแต่ตอนนี้กลับเครียดจนอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด
ฟูจิวาระเพียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“....ไม่ได้ยินหรอก” เอ๊ะ?
เขาผงะไปก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
อย่าบอกนะว่าที่เขาคิดไปต่างๆนานานั่นมันก็แค่คิดไปเอง?
“แต่อ่านปากออก....” แต่แล้วคำตอบของฟูจิวาระก็ทำให้เขาถึงกับนิ่งค้างไปอีกรอบ
ใบหน้าชาวาบจนลามไปถึงแผ่นหลัง
“....................” ริมฝีปากได้แต่สั่นระริกอย่างนึกคำพูดอะไรไม่ออก
นัยน์ตาสีทับทิมได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยแววสั่นระริก
ทั้งๆที่เตรียมใจมาแล้วแต่ตอนนี้กลับอยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้เสียให้ได้
ฟูจิวาระรู้ความรู้สึกของเขาแล้วจริงๆด้วย...
รู้แล้วจริงๆว่าเขาคิดยังไง...
รู้แล้วใช่ไหมว่าเขามันคิดไม่ซื่อ...
รู้แล้ว...ว่าเขารัก...
ความเงียบโรยตัวอยู่บนดาดฟ้าอีกพักใหญ่ก่อนที่ฟูจิวาระจะตัดสินใจพูดออกมา
“.......ยากามิ...นั่นคือความรู้สึกของนายเหรอ?” นัยน์ตาสีทับทิมถึงกับนิ่งค้างเช่นเดียวกับใบหน้าที่รู้สึกชาไปจนถึงสมอง
“............................” ฟูจิวาระถามออกมาแบบนี้แล้วเขาควรจะตอบยังไงดี
ทั้งๆที่มันไม่ยากเลยแต่ริมฝีปากกลับไม่ยอมขยับ เขาควรจะเสี่ยงดีไหม
บอกไปตามตรงเลยว่าใช่ จากนั้นค่อยมายอมรับกับคำว่าเพื่อนที่ต้องจบลง
หรือเขาควรจะหัวเราะเสแสร้งไปแล้วบอกว่านายเข้าใจผิด ที่จริงชั้นพูดคำอื่นที่คล้ายกัน
มันไม่มีอะไรหรอก เรามาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
จากนั้นค่อยมาแอบรักหมอนั่นข้างเดียว
ต้องคอยเก็บซ่อนกลบเกลื่อนความรู้สึกไปตลอดแบบนั้นน่ะเหรอ?
ริมฝีปากขบเม้มจนรู้สึกเจ็บไปหมด
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนที่ตัดสินใจได้ยากขนาดนี้มาก่อนเลย
ฝ่ามือกำแน่นก่อนจะรู้สึกราวกับโลกมันกำลังหมุนคว้าง
ถ้าเขาจะเครียดจนเป็นลมล้มพับไปมันก็ไม่น่าแปลกใจเลย
“...ริคุ....”
แต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มๆที่เรียกชื่อเขาออกมามันกลับทำให้จิตใจที่กำลังสับสนสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ
นัยน์ตาสีทับทิมชะงักไปเล็กน้อย ถ้อยคำสั้นๆเพียงคำเดียวกลับเป็นดั่งน้ำยาจับเท็จ
ความจริงจากใจที่เกือบจะซ่อนไว้กลับพูดออกไปได้อย่างง่ายดาย
“ใช่......”
“นั่นคือความรู้สึกของชั้น...ชั้นรู้ว่ามันบ้า
แต่ว่าพอรู้ตัวอีกทีก็ดันชอบนายไปแล้ว! จะให้ทำยังไงล่ะ?!” เขาเผลอตะโกนใส่หน้าฟูจิวาระเพราะนี่คือความรู้สึกที่เขาจริงจังที่สุดในชีวิต
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะ Stride
หรืออนาคตที่จะต้องรับช่วงต่อร้านเบเกอรี่เขาก็แค่ทำตามที่โทโมเอะและพ่อแม่บอกก็เท่านั้น
ไม่ว่าจะการเรียนหรือความชอบอะไรก็ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากคนอื่น...แต่มีแค่เรื่องนี้...มีแค่เรื่องของฟูจิวาระ...ที่มันเป็นความต้องการจากหัวใจของเขาล้วนๆ...เป็นความรู้สึก...ที่ออกมาจากหัวใจของเขาคนเดียว
“..........” ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นนิ่งอึ้งไปและมันก็ทำให้ความมั่นใจที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วยิ่งหดหาย
ถึงจะยอมรับว่ารักอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่อยากจะเสียฟูจิวาระไปเลยจริงๆ
ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“...ชั้นไม่อยากจะรู้สึกอึดอัดแบบนี้อีกแล้ว...ความรู้สึกของชั้นจะเป็นแบบไหนก็ช่างหัวมันเถอะ!
เราเป็นแค่เพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้ ชั้นจะพยายามตัดใจ!
นายกลับมาอยู่ข้างๆชั้นเหมือนเดิมได้ไหม? ชั้นจะไม่ทำให้นายลำบากใจ ได้ไหมทาเครุ?” ...ยอมแล้ว...ตอนนี้ไม่ว่าจะต้องเป็นฝ่ายที่ทำได้แค่เฝ้ามองเขาก็ยอม...เพื่อให้ฟูจิวาระยังอยู่ข้างๆเขา...
“....ชั้น....”
แต่หมอนั่นกลับอ้ำๆอึ้งๆ
คำพูดที่นิ่งค้างไปไม่สมกับที่เป็นฟูจิวาระมันทำให้เขาพอจะรู้แล้วว่า...
ไม่ได้สินะ...
นั่นสินะ...ใครมันจะไปทำได้
จะให้อยู่ใกล้ๆเพื่อนที่คิดไม่ซื่อกับตัวเองเนี่ยนะ? ใครมันจะไปทำได้!
ใต้แผ่นอกซ้ายรู้สึกเจ็บแปลบจนแทบจะไม่อยากเต้นต่อไป
ม่านน้ำตารื้นขึ้นมาจนเขาต้องรีบก้มหน้า
“ขอโทษ” ริมฝีปากเอ่ยคำขอโทษออกไปเบาๆ
ขอโทษที่เขาทรยศต่อความเป็นเพื่อนที่ฟูจิวาระมีให้กันเสมอมา
เขาไม่มีหน้าจะยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว
ร่างกายจึงหันหลังอย่างฉับพลันก่อนจะวิ่งออกมาจากตรงนั้น
“ริคุ!” วิ่งออกมาโดยไม่สนใจอีกแล้วว่าฟูจิวาระจะเรียกเขาไปเพื่ออะไร
วิ่งออกมา...เพราะไม่อยากให้หมอนั่นเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดพวกนี้
เจ็บจริงๆเลยน้า~
ความรักที่อกหักเนี่ย...
เขาโดดเรียนไปสองวันเต็มๆเพราะขอบตาที่บวมช้ำทำให้ไม่อยากจะมาโรงเรียนให้เพื่อนๆถามว่าเป็นอะไร
แต่ถึงแม้ว่าวันนี้สภาพร่างกายจะดีขึ้นแล้วแต่สภาพจิตใจก็ยังย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม
สองขาเดินไปตามระเบียงทางเดินสวนกับเพื่อนร่วมชั้นห้องอื่นๆที่ต่างก็อยู่ในช่วงพักเที่ยง
อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงบันไดแต่พอมองเห็นว่าคนที่เดินอยู่ไกลๆนั้นเป็นใคร
สองขาก็รีบก้าวหลบไปอีกทางทันที
ฟูจิวาระเดินผ่านหน้าไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขายืนพิงผนังหลบอยู่ตรงนี้...
เขารู้...เขารู้ดีว่าควรจะต้องตัดใจ
รู้ดีว่าฟูจิวาระไม่ได้ผิดอะไร แต่ยังไงก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับหมอนั่นตามลำพัง...เขาถึงได้ต้องคอยหลบหน้าหมอนั่นอยู่แบบนี้...
ก็เขาไม่รู้นี่...ว่าควรจะต้องทำหน้ายังไง
หากต้องยืนอยู่ตรงหน้าหมอนั่น
ก็นับว่ายังดีที่เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานโรงเรียนแล้ว
ทุกๆคนจึงมีงานให้ทำจนหัวหมุน ไม่มีเวลามานั่งเล่นหรือเวลาให้คิดอะไรฟุ้งซ่าน
อีกอย่าง
เขาก็จะได้มีข้ออ้างที่จะไปไหนมาไหนกับเพื่อนคนอื่นๆที่ไม่ใช่ฟูจิวาระด้วย...
ที่ชมรมวิ่งวิบากเองก็เหมือนกัน
เป็นเพราะต้องซ้อมเดินแบบสำหรับขึ้นโชว์ในงานโรงเรียนจึงต้องงดซ้อมวิ่งไปโดยปริยาย
ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องอยู่กับฟูจิวาระตามลำพังเหมือนทุกๆที...เท่านี้ก็หลบได้หมดแล้ว...
“ขออีกรอบนึงก็แล้วกัน!”
เสียงพี่สาวของรุ่นพี่ฮาเสะคุระตะโกนอยู่หน้าแคทวอล์คที่สร้างขึ้นมากลางโรงยิมอย่างถือวิสาสะทำให้เขาต้องพุ่งสมาธิให้กับทางเดินเป็นเส้นตรงนั่นแทน
เพราะมันไม่ได้กว้างใหญ่พอที่จะให้เขาหลบหน้าฟูจิวาระได้
ตอนที่จะต้องเดินสวนกันเขาจึงต้องตั้งสติให้ดี
“มาเลยฟูจิวาระ”
พี่สาวของรุ่นพี่ฮาเสะคุระเรียกให้ฟูจิวาระเดินออกไปหลังจากที่รุ่นพี่คุกะกำลังโพสท่าอยู่ที่ปลายแคทวอล์ค
จากที่เดินกันไม่เป็นโล้เป็นพายก็เริ่มจะพอจับจังหวะกันได้บ้างแล้ว
เขาทอดมองแผ่นหลังของฟูจิวาระที่เดินออกไปด้วยท่าทางตามปกติ
ทั้งๆที่อยู่ในชุดวอร์มของโรงเรียนธรรมดาๆ ทั้งๆที่ไม่ได้เต๊ะท่าอะไรเลย
แต่หมอนั่นกลับเท่ห์มากในสายตาของเขา
เสียงกรี๊ดเบาๆดังมาจากกลุ่มนักเรียนหญิงหลายสิบคนที่มาแอบดูอยู่ที่ประตูโรงยิม
เพราะพวกเขาไม่ได้ปิดข่าวเรื่องการเดินแบบด้วยไม่คิดว่าใครจะสนใจ
มันเลยทำให้ข่าวแพร่กระจายจนหลายๆคนมาแอบดู
จากนั้นคำล่ำลือในทางที่ดีก็เลยยิ่งทำให้นับวันๆเด็กสาวแทบจะทุกชั้นปีต่างก็แวะเวียนมาคอยส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันมากขึ้น
ความกลัวเกรงในชื่อเสียงไม่ดีที่รุ่นพี่รุ่นก่อนๆสร้างเอาไว้ดูเหมือนจะเริ่มหายไป
จนชมรมวิ่งวิบากกลายเป็นชมรมสุดฮอตไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ยากามิอย่ามัวแต่เหม่อ
เตรียมตัวได้แล้ว!”
พี่สาวของรุ่นพี่ฮาเสะคุระตะโกนบอกเขา
“อะ
ครับ!” เสียงกรี๊ดที่ดังพอสมควรทำให้เขาต้องรีบเรียกสมาธิ
สายตาเพ่งมองไปยังด้านหน้าซึ่งมีฟูจิวาระกำลังกลับตัวอยู่ที่ปลายอีกฝั่งของแคทวอล์ค
ตอนนี้จำต้องตัดความรู้สึกทุกอย่างออกไปแล้วเชิดหน้าเข้าไว้ เพราะอิมเมจของเขาในการเดินแบบครั้งนี้คือ
“แบดบอยที่แสนสดใส?” ถึงจะเข้าใจยากไปหน่อยแต่เขาก็เหยียดยิ้มน้อยๆพร้อมกับก้าวขาออกไป
เดินตรงไปในขณะที่ฟูจิวาระก็กำลังเดินกลับมา...
หมอนั่นยังคงเดินหน้าตายเพราะอิมเมจของฟูจิวาระคือ
“หนุ่มอันตรายผู้เงียบขรึม”
ใบหน้าเฉยชามองตรงมาที่เขาเช่นเดียวกับสองขาที่ก้าวตรงมาหาไม่หยุด
ระยะห่างที่ลดลงเรื่อยๆยิ่งทำให้เขามองเห็นทั้งร่างกาย ทั้งใบหน้า
ทั้งสายตาของหมอนั่นชัดเจนขึ้นทุกทีๆ
ตอนนี้เสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นระรัวมันดังยิ่งกว่าเสียงเพลงประกอบการเดินแบบนี่เสียอีก
อีกเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเราก็จะเดินสวนกัน อีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น........สาม...สอง.....หนึ่ง!
ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆที่ต้องเผชิญหน้ากันแต่เขาก็ต้องใช้สมาธิขนาดหนักเพื่อที่จะมองหน้าของฟูจิวาระด้วยสายตาท้าทายตามอิมเมจที่ได้รับมา
ยิ่งเสียงกรี๊ดดังขึ้นมารบกวนก็ยิ่งทำให้สมาธิเสียไปในชั่ววินาที
แล้วยิ่งทางเดินแคบๆแบบนี้ มันก็เลยทำให้ขาของเขาพันกันอย่างไม่น่าให้อภัย
“อ่ะ?!” แล้วในขณะที่คิดว่ากำลังจะล้ม
มือของคนที่เดินสวนกันอยู่ก็ดึงข้อมือของเขาเอาไว้
ถึงเขาจะกลับมาทรงตัวได้แต่สถานการณ์แบบนี้คงจะทำให้การเดินแบบล่มแน่และเขาก็คงจะถูกพี่สาวสุดโหดนั่นกินตับเอาแน่ๆ
แต่แล้วฟูจิวาระกลับแก้สถานการณ์โดยจับมือของเขาชูขึ้นไปเหนือหัว
แล้วสายตาที่เหลือบมองมามันก็ทำให้เขาเข้าใจในทันที
มือที่ปล่อยออกจากันชั่วครู่ตบเข้าหากันเบาๆอีกครั้ง
การไฮทัชเลียนแบบสัญญาณการเปลี่ยนตัวของ Stride ทำให้เสียงกรี๊ดยิ่งดังสนั่นเข้าไปใหญ่
เขาเหลือบมองหมอนั่นอย่างขอบคุณก่อนจะเดินต่อไป
ไม่ไหวเลยแหะ...ถูกช่วยเอาไว้อีกจนได้...
แล้วแบบนี้จะตัดใจได้ไง...
ในที่สุดงานโรงเรียนก็มาถึงจนได้
ช่วงเวลาที่ซ้อมเดินแบบแทบเป็นแทบตายกำลังจะสิ้นสุดลงเสียที
แต่ก่อนหน้านั้นช่วงเช้าของวันนี้
เขาต้องไปเข้าเวรเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านคาเฟ่แมวของห้องเรียนเสียก่อน
“เค้กวนิลา
สตอเบอร์รี่ชีสเค้ก กับน้ำส้มได้แล้วครับ!”
ขนมเค้กหน้าตาน่ากินถูกย้ายจากถาดสีเงินในมือลงไปวางบนโต๊ะ
เด็กสาวสามคนที่นั่งล้อมมันอยู่ดูจะไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่เพราะเอาแต่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเขามาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
“ว๊าย
ยากามิคุงหูแมวน่ารักจัง~” เขาได้แต่เกาะแก้มแก้เขิน
ถึงจะถูกบอกแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มกะของตัวเองแต่ยังไงมันก็ไม่ชินนี่นาที่จู่ๆก็มาชมกันซึ่งๆหน้าแบบนี้
“คุ้มค่าที่ต่อแถวมาตั้งครึ่งชั่วโมงเลยเน้อ~” สามสาวหันไปเม้าท์กันเอง
ก็ดีใจอยู่หรอกนะที่ป๊อปปูล่าในหมู่สาวๆ แต่ถ้ารู้ว่าคนที่เขาชอบดันเป็นผู้ชายขึ้นมาจะทำหน้ายังไงกันน้า
“นี่ยากามิคุง~ ไปเดินเล่นในงานด้วยกันเถอะ~” หนึ่งในนั้นเอ่ยชวน
ผู้หญิงสมัยนี้ต้องกล้าๆแบบนี้สินะ
แต่เพราะดูไม่ได้จริงจังเท่าไหร่เขาถึงกล้าล้อเล่นด้วยกลับไป
“ฮะฮะฮะ
คงต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลูกค้า! ผมยังมีงานต้องทำ
แต่ถ้าคุณลูกค้าจะเหมาเค้กทั้งร้านก็อาจจะไปด้วยดีไหมน้า~”
“หว๋า~
ขี้งก!”
“ฮ่าๆๆ
เชิญตามสบายนะครับ!”
เขาโบกมือให้ก่อนจะเดินไปรับออเดอร์โต๊ะถัดไป
เป็นเพราะคนเข้าร้านกันไม่ขาดสายทำให้เขาไม่มีเวลาจะมานั่งฟุ้งซ่าน
เอาแต่ทำงานๆๆแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน เพราะงั้นวันทั้งวันเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ยากามิไปพักได้แล้วเฟ้ย
พวกชั้นมารับช่วงต่อแล้ว!”
เพื่อนในห้องเวรถัดไปเดินเข้ามาพร้อมกับสวมหูแมวบนหัว
เขาถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าเวรของเขามันจบแล้ว
“อื้อ
ฝากด้วยนะ!”
เขาถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะส่งให้เพื่อนคนหนึ่ง
“เสียดายจังที่ดันต้องมาเข้าเวรต่อจากนาย
ชั้นก็อยากไปดูชมรมวิ่งวิบากเดินแบบบ้างนี่นา~ เห็นเค้าลือกันว่าเจ๋งสุดๆ” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาหัวเราะแหะแหะ
เพราะหลังจากเลิกงานของห้องก็ต้องไปเตรียมตัวเดินแบบต่อ
แล้วก็คำล่ำลืออะไรนั่นพูดกันไปถึงไหนนะ?
แค่วันซ้อมก็กรี๊ดกันจนเขาแทบจะเดินตกเวที แล้ววันจริงแบบนี้จะขนาดไหนกัน
“ไปละๆ” เขาโบกมือให้เพื่อนๆที่ต่างมองตาละห้อย
แต่ก่อนจะได้ก้าวขาออกมาจากห้องเรียนที่กลายสภาพเป็นคาเฟ่แมวหนึ่งวัน ร่างทั้งร่างกลับต้องชะงักงันเพราะมีเด็กสาวคนหนึ่งมายืนขวางประตูเอาไว้
“อะ
เอ่อ...ยากามิคุง...”
ใบหน้าน่ารักที่ดูกล้าๆกลัวๆทำให้รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาหายไป...ผู้หญิงคนนี้จริงจังนั่นคือบรรยากาศที่เขารับรู้ได้…
“พอจะมีเวลาสักครู่ไหม...ชั้น...มีเรื่องอยากจะคุยด้วย...”
ปลายเสียงค่อยๆแผ่วลงไปทุกทีๆ...และเขาเองก็พอจะรู้ว่ามาแบบนี้น่าจะอยากสารภาพรักกับเขา...
“โทษทีนะ
คงต้องคราวหน้าแล้วละ พอดีต้องรีบไปเตรียมตัวงานของชมรมต่อน่ะ
ขอโทษด้วยจริงๆนะ”
เขาโค้งขอโทษเด็กสาวก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มให้
แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเด็กสาวต้องการอะไรแล้วใช้งานของชมรมมาบังหน้า
“อะ
จ้ะ งั้นก็ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าก็ได้”
ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวเหวอไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามยิ้มให้แล้วโบกมือเป็นพัลวัน
เขาโค้งขอโทษอีกทีก่อนที่จะรีบเดินหนีมา
ไม่ใช่ว่าเขาใจร้ายใจดำไม่ยอมรับฟังแม้แต่คำบอกรัก...แต่เป็นเพราะสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะเผชิญมามันเลยทำให้เขายังไม่พร้อมที่จะรับฟังคำสารภาพรักของใครทั้งนั้น
ไม่อยากถูกสารภาพรัก
ไม่อยากหักอกใคร...เพราะรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน...
เจ็บมาก...จนอยากจะร้องไห้เลยแหละ
เขาก้มหน้าก้มตาเดินตรงดิ่งไปยังโรงยิม...โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า...มีสายตาของใครบางคนเฝ้ามองเขาอยู่ตลอด...ตั้งแต่เริ่มกะของร้านจนกระทั่งเลิกงาน
ใช่...เขากับฟูจิวาระเข้าเวรของห้องในกะเดียวกัน...
ถึงจะเป็นแค่การเดินแบบของมือสมัครเล่นแต่ด้านหลังเวทีก็กำลังวุ่นวายได้ที่
เขาที่เพิ่งจะก้าวขาเข้ามาจำต้องเบี่ยงตัวหลบราวแขวนผ้าที่ถูกเข็นมาอย่างกับพายุ
“หลบๆๆ!” เหวอ~
สั่งคนอื่นหลบอย่างเดียวแต่ตัวเองกลับเข็นไม่มองใครเลยเนี่ยนะ?
สมกับที่เป็นทีมงานของพี่สาวรุ่นพี่ฮาเสะคุระจริงๆ
“ชั้นรู้สึกได้ว่านายกำลังนินทาชั้นอยู่ในใจสินะ
ยากามิคุง...”
เสียงเย็นๆดังอยู่ข้างหลังและมันก็ทำให้เขาถึงกับสะดุ้งโหยง...รู้กระทั่งความในใจของเขาแบบนี้จะไม่ให้เรียกปีศาจได้ไง
“ปะ
เปล่าครับ แหะแหะ”
เขาหันไปมองใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางจัดจ้าน
“มายืนอยู่ตรงนี้มันเกะกะนะ
เป็นนายแบบแท้ๆทำไมยังไม่เข้าไปที่ห้องแต่งตัวอีก?” ใบหน้าทะมึนของหญิงสาวถามเขาด้วยรอยยิ้มเหี้ยม...ไปมาแล้วครับ...แต่ที่นั่นดันไม่มีใครอยู่เลยครับนอกจากเจ้าฟูจิวาระ
เขาถึงได้ต้องเลี่ยงออกมาตามหาคนอื่นๆอยู่ตรงนี้ไง
“อ้อ
ช่างแต่งหน้าทำผมกำลังมา
ยังไงก็ช่วยไปนั่งรอดีๆอยู่ในห้องทีก็แล้วกัน...เข้าใจใช่ไหม
ยา-กา-มิ-คุง...”
รอยยิ้มอันโหดร้ายนั่นเล่นเอาเขาได้แต่ขาสั่นพั่บๆ
ยอมอยู่กับเจ้าฟูจิวาระสองต่อสองก็น่าจะดีกว่าถูกฆ่าตายอยู่ตรงนี้นะว่าไหม?
เขาจึงเดินคอตกกลับไปที่ห้องแต่งตัวอย่างช่วยไม่ได้...ไม่รู้ว่าคนอื่นๆไปไหนกันหมดนะ?
ซากุไรซังเขาก็ไม่แปลกใจหรอกที่จะไม่เห็นเพราะยังไงก็เป็นเด็กผู้หญิง
ห้องแต่งตัวเลยแยกกัน แต่อย่างรุ่นพี่ฮาเสะคุระกับรุ่นพี่คุกะล่ะไปไหนกัน?
อ่า...แต่สำหรับรุ่นพี่ปีสองทั้งสองคนเขาก็พอจะรู้อยู่หรอกนะว่าหายไปไหน...ป่านนี้รุ่นพี่คาโดวากิคงกำลังวิ่งไล่จับรุ่นพี่โคฮินาตะที่ต้องเดินแบบในชุดฟินอลเล่อันอลังการงานสร้างนั่นอยู่แน่ๆ
“ขอรบกวนด้วยนะครับ...” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อมือจำต้องเลื่อนประตูห้องแต่งตัวให้เปิดออก
เจ้าฟูจิวาระจ้องเขม็งมองมาอย่างที่คิดจริงๆด้วย
เขาหลบสายตาแน่วแน่นั่นก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแล้วนั่งลงบนม้านั่งตัวที่อยู่ห่างๆ
ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมห้องแต่งตัวทันที เพราะปกติแล้วเขาจะเป็นคนชวนหมอนั่นคุย
ชวนหมอนั่นทะเลาะ ชวนหมอนั่นเถียงกัน แต่พอเขาไม่พูดอะไรออกไปแบบนี้
ฟูจิวาระก็ไม่คิดจะเริ่มก่อน
สองมือได้แต่บีบกันอยู่บนหน้าตัก
ใบหน้าก้มมองแต่พื้นเพราะไม่อยากเงยหน้าขึ้นไป
ไม่อยากสบกับสายตาที่เอาแต่มองเขาคู่นั้น เพราะมันทำให้รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
สองหูได้ยินเสียงนาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ
เรื่อยๆ
ท่ามกลางความอึดอัดที่เขาได้แต่เฝ้าภาวนาให้ใครสักคนโผล่หน้าเข้ามาในนี้ที...ใครก็ได้...ใครก็ได้....
ตุบ
หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อสายตาที่มองพื้นอยู่เห็นปลายรองเท้าของฟูจิวาระที่มายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาจึงเงยขึ้นมองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ
“ยอมมองหน้าชั้นแล้วเหรอ
ริคุ...”
คำพูดของฟูจิวาระทำให้นัยน์ตาและริมฝีปากของเขาสั่นระริก
อยากจะหันหน้าหนีแต่สายตาของหมอนั่นก็ตรึงเขาเอาไว้ให้ทำได้แค่รอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดออกมาเท่านั้น...ทำไมล่ะ...ถ้าคิดจะปฏิเสธกันก็อย่ามองเขาด้วยสายตาแบบนั้น
อย่ามองเขาด้วยใบหน้าแบบนั้นเลย
เพราะมันทำให้ชั้นยิ่งรู้สึกผิด
ที่ไปทำให้นายเจ็บปวด
เจ็บปวดเพราะชั้นดันไปรักนายเองแล้วก็หลบหน้านายเองแบบนี้…
“หลังเลิกงานโรงเรียนเย็นนี้อย่าเพิ่งกลับล่ะ
ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย”
ฟูจิวาระตัดสินใจพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาซึ่งเขาได้แต่หัวเราะเจื่อนๆอยู่ในใจ...ถึงประโยคมันจะคล้ายๆกับเด็กสาวที่มาดักรอเขาที่หน้าห้องเรียนก่อนหน้านี้
แต่อย่างหมอนี่คงจะไม่ได้มาสารภาพรักเขาหรอกแต่คงจะมาบอกปฏิเสธให้ชัดเจนจากนั้นก็คงบังคับให้เขาตั้งใจและมีสมาธิกับการวิ่งวิบากมากกว่า
ไม่ไหวหรอก...เขายังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรทั้งนั้นในตอนนี้
“อื้อ
ได้สิ” แต่ใบหน้ามนก็พยักรับไป...อย่างตั้งใจว่าพอเดินแบบเสร็จแล้วเขาจะแอบหนีไปเงียบๆ
เสียงกรี๊ดดังสนั่นเมื่อนายแบบแห่งชมรมวิ่งวิบากทุกคนเดินขึ้นไปบนแคทวอล์คพร้อมๆกัน
มือเอื้อมไปจับกันไว้ก่อนจะยกขึ้นเหนือหัวแล้วโค้งให้กับทุกคนที่อยู่ในโรงยิมเพื่อแสดงความขอบคุณที่มารับชม...และนั่นก็เป็นอันจบการเดินแบบของชมรมวิ่งวิบากได้อย่างสวยงาม
ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฝึกซ้อมไว้
และตอนนี้พวกเขาก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงเรียนไปในชั่วพริบตา
เพราะคำล่ำลือทำให้ในวันเดินจริงๆอย่างในวันนี้มีคนมาดูล้นทะลักจนต้องให้พวกชมรมกระจายเสียงช่วยถ่ายทอดสดไปที่จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ของโรงเรียนให้
แบรนด์เสื้อผ้าเองก็ดูเหมือนจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
ทุกๆอย่างผ่านไปด้วยดีจนพวกเขาแทบจะปลีกตัวออกมาจากเวทีไม่ได้เลยแหละ
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาหันไปมองฟูจิวาระที่ถูกพวกชมรมหนังสือพิมพ์ดึงตัวเอาไว้เพื่อสัมภาษณ์
แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่ๆ สองขาจึงแอบย่องออกมาอย่างแนบเนียน
เขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว...ต้องรีบไป...ต้องรีบหนีก่อนที่ฟูจิวาระจะกลับมา...เขายังไม่อยากเจอหน้า
ไม่อยากคุยกับหมอนั่น ไม่อยากฟังคำปฏิเสธ...
เพราะแค่นี้เขาก็เจ็บจนแทบจะฟื้นตัวไม่ได้อยู่แล้ว...
สองขารีบก้าวออกมาจากห้องแต่งตัวก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมาจากโรงเรียน...วิ่ง...วิ่ง...วิ่ง...แล้วก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที
ทั้งๆที่คิดว่าวันนี้คงจะหนีรอดแล้ว
แต่เจ้าฟูจิวาระกลับยังตามตื้อไม่เลิก!
จะว่าสมกับที่เป็นหมอนั่นมันก็คงใช่...เขายังจำได้อยู่เลยว่าหมอนั่นเคยบอกให้เขาไปปฏิเสธเด็กผู้หญิงที่มาสารภาพรักให้ชัดเจนซะ...แล้วตอนนี้ฟูจิวาระก็คงกำลังจะทำแบบนั้นกับเขา
ปฏิเสธให้ชัดเจน...ว่าเราไม่มีทางคบกันแบบคนรักได้...
เขาก็อยากจะรับฟังอยู่หรอก
แต่ขอแค่ไม่ใช่วันนี้จะได้ไหม? แผลที่หัวใจของเขามันยังเหวอะหวะอยู่เลย...
ร่างโปร่งบางยืนหลบอยู่หลังบานหน้าต่างในห้องนอนของตัวเอง
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองลงไปยังประตูหลังของร้าน
แม่ของเขากำลังออกมาเพื่อเปิดประตูบ้านให้กับฟูจิวาระ!
หมอนั่นจะปล่อยเขาไปสักวันไม่ได้เลยหรือไง?
ทำไมถึงต้องรีบเอาน้ำร้อนมาราดลงไปบนแผลของเขาด้วย
นายคงไม่รู้
นายคงไม่เข้าใจว่ามันเจ็บแค่ไหน...
พอกันที พอกันที!!
สองขาก้าวพรวดๆออกมาจากห้องนอนก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมาจากบ้านอย่างที่ไม่มีแม้แต่จุดหมายว่าจะหนีไปไหน
รู้แค่ว่าจะต้องหนีไปให้ไกลๆ
ต้องไปให้ไกลพอที่จะไม่ได้ยินคำปฏิเสธพวกนั้นที่มันกำลังจะออกมาจากปากของฟูจิวาระ!
มือยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
สภาพน่าอดสูแบบนี้มันน่าสมเพชชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นสองขาก็ยังวิ่งต่อไปเรื่อยๆ
เรื่อยๆ....
เขาไม่รู้เลยว่าวิ่งมานานแค่ไหน
เพราะรู้ตัวอีกทีก็มานั่งเหม่ออยู่ที่ชานชลาในสถานีรถไฟเสียแล้ว
ในเวลาแบบนี้กลับนึกถึงแต่โทโมเอะ...
รถไฟชินคันเซ็นวิ่งเข้ามา
สองขาเลยก้าวขาขึ้นไปและเพียงไม่กี่ชั่วโมง....เขาก็มาถึงเซนไดจนได้
ถ้าเป็นโทโมเอะ...คงไม่มีทางปฏิเสธเขาเหมือนฟูจิวาระแน่...
มือยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“โทโมเอะ...มารับชั้นที”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ยังคงอึมครึมต่อไป
TvT แต่เวลาแต่งเรื่องนี้แบ้วมันสนุกจริงๆ >////<
ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์นะค้า
คุณกวางหายหัวไปนาน แว่บไปบาหลีมาสี่ห้าวันค่ะ555 โอยยย สวยจนจิ้นบรรเจิดมาก *q*b ไว้จะเอาของฝาก(?)มาแปะนาคะ อิ๊อิ๊อิ๊
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
เอร้ยยยยย จะรอตอนต่อไปนะคะ><
ตอบลบอ่าาา พึ่งเข้ามาอ่านสนุกมากๆเลยค่ะ อัพตอนต่อไปเร็วๆด้วยนะคะ อย่าพึ่งทิ้งเรื่องนี้น้าาา ตามหามานาน😂😂😂
ตอบลบ