Prince of Stride S.Fic [Fujiwara x Yagami] YOURS : 03


Prince of Stride S.Fic [Fujiwara x Yagami]  YOURS : 03

: Prince of Stride Fanfiction 
: Fujiwara Takeru x Yagami Riku
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ





ทั้งๆที่ห้องเรียนทุกห้องและชมรมทุกชมรมต่างกำลังวิ่งวุ่นเตรียมงานโรงเรียนกันจนหัวหมุน แต่ที่ชมรมวิ่งวิบากกลับยังนั่งเล่นนอนเล่นกันอย่างสบายใจและไม่ได้ทุกข์ร้อนเลยสักนิดที่ตัวเองยังไม่ได้ส่งเอกสารลงทะเบียนสำหรับร่วมงานให้พวกกรรมการนักเรียน

“เอ่อ...รุ่นพี่ฮาเสะคุระคะ...ยังไม่เริ่มคิดอย่างจริงจังจะดีเหรอคะ...เรื่องงานโรงเรียน....”   ซากุไรซังถามออกมาในที่สุด คงเพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวในหมู่ชายโฉดด้วยละมั้งทำให้เด็กสาวดูมีความรับผิดชอบมากกว่าประธานชมรมที่ยังนอนอ่านการ์ตูนเอกเขนก หรือรุ่นพี่ปีสามที่นั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ข้างๆหน้าต่าง หรือสองรุ่นพี่ปีสองที่นั่งโขกหมากรุกกันมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน หรือแม้แต่เขากับเจ้าฟูจิวาระที่กำลังช่วยกันตั้งกล่องโปรตีนทรงกระบอกให้กลายเป็นพีรามิด

“ช่างมันเถอะ...เดี๋ยวสวรรค์ก็ประทานความคิดดีๆมาให้เองนั่นแหละ”   นั่นควรจะเป็นคำตอบจากประธานชมรมเหรอน่ะ เขาหยุดมือก่อนจะหัวเราะแห้งๆอย่างนึกสงสารซากุไรซัง ครั้นเด็กสาวหันไปขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่ปีสามที่เหลืออีกคนก็ดันได้คำตอบกลับมาว่า...

“สายลมย่อมพัดพาโชคชะตามาอยู่เสมอ ไม่ต้องห่วงหรอก”   .....ยังเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่องเหมือนเดิมเลยนะ รุ่นพี่คุกะ...ครั้นพอหันไปหารุ่นพี่ปีสอง...

“เสร็จชั้น!

“ช้าก่อน!”   การต่อสู้บนกระดานหมากรุกก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดโดยไม่สนใจคนที่ยืนน้ำตาไหลอยู่ข้างๆ...ดูเหมือนจะหวังพึ่งสองคนนั้นก็คงไม่ไหวเหมือนกันสินะ

“อะ เอาน่าซากุไรซัง...ยังมีเวลาอีกเป็นอาทิตย์ ค่อยๆคิดไปก็ได้ ที่ห้องเองก็เตรียมอะไรได้เยอะแล้ว ช่วงท้ายๆถ้าต้องโดดมาเตรียมงานของชมรมคงไม่เป็นไรหรอก”   เขายื่นมือไปตบไหล่เด็กสาวให้ใบหน้ากังวลนั่นผ่อนคลายลงมาได้บ้าง...เจ้าพวกนี้ก็จริงๆเล้ย~ นอกจากเวลาซ้อมกับเวลาแข่งแล้วก็ไม่คิดจะทำงานทำการอย่างอื่นกันเลยสินะ!

“อื้อ! ถ้างั้นค่อยๆช่วยกันคิดก็แล้วกันเนอะ!”   ใบหน้าสดใสยิ้มให้อย่างร่าเริง...สมเป็นดอกไม้ในใจของเขาจริงๆ แค่มองก็อมยิ้มตามแล้ว

“โอ๊ย?!”   จู่ๆก็มีมือยื่นมาดึงแก้มเขาและเมื่อหันไปมอง...ไอ้เจ้าบ้าฟูจิวาระ!

“อะไรของนาย?!

“คิโม่ย”  ชะ...คำด่าด้วยใบหน้านิ่งๆนั่นมันทำเอาปรี๊ดแตกจริงๆ

“อย่างแกยังมีหน้ามาว่าคนอื่นได้เหรอ ไอ้โรคจิต!   แล้วเขาเองก็สวนกลับแทบจะทันทีเหมือนกัน ดูภายนอกพวกเรายังคงเถียงกันได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในใจของเขานั้นมันเปลี่ยนไปขนาดไหน

“จะเอาเหรอ”   ฟูจิวาระขยับมายืนประชิด แว่นบนใบหน้าคมส่องประกายวิ้งๆ

“เออสิ! ใครถึงห้องเรียนก่อนชนะ! เฮ้ย! รอด้วยสิ!”   ถึงเขาจะเป็นฝ่ายท้าแต่ว่าหมอนั่นกลับออกตัวก่อนซะงั้น...วันนี้จึงเป็นอีกวันที่พวกเราวิ่งแข่งกันไปจนถึงห้องเรียน...โดยมีเสียงด่าจากอาจารย์ตามมาจนเป็นเรื่องปกติ

“ไอ้พวกชมรม Stride!! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่งบนทางเดิน!!











อาจจะเป็นเพราะโหมเตรียมงานจนดึกดื่นมาหลายคืน เพราะงั้นในวันนี้ทั้งห้องจึงตกลงกันว่าจะหยุดพักการเตรียมงานอันหฤโหดนั่นหนึ่งวัน

แต่มันก็มีอยู่เหมือนกันนะพวกที่ไม่ยอมกลับไปหลับไปนอนให้เต็มที่แต่ดันชวนกันออกไปเที่ยวเตร่แบบนี้!

“ยากามิ ขอร้องล่ะ!”   นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองเจ้าของเสียงด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก...เพื่อนในห้องคนหนึ่งกำลังพนมมือขอร้องเขาอย่างเอาจริงเอาจัง...เปล่า...มันไม่ได้จะให้เขาช่วยติวหนังสือหรือไปช่วยแข่งกีฬาอะไร แต่ที่พวกมันชวนเขาไปน่ะ...

“นะยากามิ! นัดบอดเย็นนี้กับพวกสาวๆห้อง7ดันขาดคนพอดี นายช่วยไปให้เต็มๆทีเถอะ!”    อ่า...ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พวกมันตั้งใจจะลากเขาไปนัดบอด!

นัดบอดคืออะไร? นัดบอดก็คือการที่หนุ่มๆสาวๆซึ่งไม่รู้จักกันนัดกินข้าว ร้องคาราโอเกะ ทำเรื่องเฮฮาปาร์ตี้กันเป็นกลุ่ม โดยที่ฝ่ายหญิงและชายจะต้องมีจำนวนเท่าๆกัน มันก็เป็นการสังสรรค์อย่างหนึ่งแล้วหลังจากนั้นถ้าใครถูกใจใคร จะนัดไปต่อกันสองคนก็ย่อมทำได้...อ่า...จะเข้าใจว่าปาร์ตี้จับคู่ก็ไม่ผิดนัก

“แต่ว่าชั้น...”   เขาเองก็ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำเพราะอีกฝ่ายดันก้มหัวขอร้องซะอย่างกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายนี่แหละ แล้วเขามันก็เป็นพวกเห็นใครเดือดร้อนไม่ได้ด้วยนี่นะ

“ไปเถอะน่า...ถ้านายไม่สนใจจะจีบหญิงก็ถือซะว่าไปร้องคาราโอเกะมันๆแล้วก็กินข้าวกันก็ได้ นะ!”   ใบหน้ามนหัวเราะแหะๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ปฏิเสธหรอกเรื่องเฮฮาปาร์ตี้แบบนี้ แต่ตอนนี้เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ถึงหมอนั่นจะไม่รู้ตัวเลยแต่เขาก็ไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าเขาคิดจะคบผู้หญิงไปเรื่อย

หมอนั่นยิ่งพูดๆอยู่ว่าไม่อยากให้เขามีแฟน....

ปั้ดโธ่! แล้วจะมาเขินกับความคิดของตัวเองทำไมเนี่ย?!

ใบหน้ามนสะบัดไปมาจนผมหางม้าสีชาชี้ฟู เขาหันไปบอกเพื่อนคนนั้นตามความเป็นจริง

“ชั้นต้องไปซ้อมวิ่งน่ะ ไม่รู้ว่า”

“เลิกเมื่อไหร่ค่อยตามไปก็ได้! นะยากามิ!”    เอ่อ....ถ้าจะดักทางกันขนาดนี้เขาก็จนใจที่จะปฏิเสธแล้วละ

“เฮ้อ...ก็ได้ๆ ชั้นตามไปหลังเลิกซ้อมก็ได้”   เขาถอนหายใจก่อนจะรับปากส่งๆไป คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงเจ้าฟูจิวาระก็ไม่ได้มารู้เรื่องอะไรด้วยซักหน่อย...

ไม่มีทางรู้หรอก...ความรู้สึกของเขาน่ะ...





เพราะเขาเองก็ไม่เคยรู้เลยเหมือนกัน...ว่าฟูจิวาระจะได้ยินบทสนทนาทุกอย่างในห้องนั่น....






“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก......”   ลมหายใจของเขากำลังหอบถี่และหนักหน่วง รู้สึกว่ากระบังลมจะขยับขึ้นลงมากกว่าครั้งไหนๆ  เหนื่อย...เขาเหนื่อยจนจะตายให้ได้อยู่แล้ว!

“แฮ่ก...ไม่ไหว...แล้ว....แฮ่ก....แฮ่ก....ถ้านาย...ยังให้ชั้นวิ่ง....อีก...ชั้นคง...ตายแน่...แฮ่ก...แฮ่ก....”   เขาถึงกับลงไปนอนแผ่หลาอย่างหมดแรง นัยน์ตาสีทับทิมเปิดขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อมองใบหน้าที่มีเหงื่อเกาะพราวของฟูจิวาระ  หมอนั่นมันเป็นบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้วันนี้ถึงได้ให้เขาวิ่งไม่หยุด วิ่งมาตั้งแต่เมื่อเย็นจนกระทั่งมืดค่ำ วิ่งตั้งแต่พวกรุ่นพี่ยังอยู่จนตอนนี้เหลือแค่เขากับหมอนั่นตามลำพัง เหนื่อย...เหนื่อยจนไม่นึกอยากจะแวะไปไหน...เหนื่อยจนอยากจะตรงดิ่งกลับบ้านแล้วอาบน้ำนอนให้รู้แล้วรู้รอด!

“แฮ่ก...ยัง...ยังวิ่งได้อีกรอบ...”   ทั้งๆที่หอบจนพูดแทบจะไม่รู้เรื่องอยู่แล้วยังมีหน้ามาบอกว่ายังวิ่งได้อีก มันน่านัก!

“โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว! นายอยากวิ่งก็วิ่งไปคนเดียวเถอะ! ชั้นจะกลับบ้านแล้ว! หัวหน้าห้องอุตส่าห์หยุดให้พักแต่นายดันมาจับชั้นซ้อมปางตายแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน เจ้าปีศาจ!”   เขาสะบัดหน้างอนๆใส่ก่อนจะลุกเดินออกมา

“........”   เขาเหลือบกลับไปมองคนที่ไม่พูดอะไร สายตาที่ทอดมองมายังเขามันมีแววเหงาๆแต่นอกจากนั้นเขาก็อ่านไม่ออกว่าหมอนั่นต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ยึดตัวเขาเอาไว้แบบนี้ แล้วเขาก็ปฏิเสธคำชักชวนปนท้าทายนั่นไม่ได้เสียทีจนอยู่ด้วยกันมาจนเย็นป่านนี้

“ฮึ่ม...ชั้นรออยู่ที่ห้องชมรมล่ะ!”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาสะบัดกลับมาแล้วรีบจ้ำอ้าวกลับห้องชมรมก่อนจะถูกหมอนั่นหลอกล่อให้ไปวิ่งอีกรอบ...เหนื่อยจนขาจะลากอยู่แล้ว วิ่งไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก มีแต่จะฝืนเปล่าๆ


ครืด....ครืด....ครืด....


และเมื่อเขาเปิดล็อคเกอร์ของตัวเองออกมา โทรศัพท์มือถือก็กำลังสั่นเป็นสัญญาณว่ามีสายเข้าพอดี...นัยน์ตาสีทับทิมมองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ...ง่ะ...นี่มันเบอร์เจ้าพวกนั้นนี่! ตายละ...เขาลืมไปเลยว่าต้องไปงานนัดบอด!

“ยากามิ! ยังซ้อมไม่เลิกอีกเหรอ?”   เสียงจากปลายสายดังขึ้นทันทีที่เขากดรับ

“เออ...เพิ่งจะเลิก...เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว คงต้องขอบายละ เจ้าปีศาจฟูจิวาระมันจับชั้นซ้อมซะขาลากเดินแทบไม่ได้แล้วเนี่ย!”   เสียงเฮฮาที่ดังมาจากปลายสายทำให้เขารู้ว่าถึงเขาไม่ไปก็คงไม่เป็นไรแล้วมั้งป่านนี้?

“ว้า~ เสียดายจัง มีสาวๆถามถึงนายด้วย~”   หมอนั่นพยายามตะโกนแข่งกับเสียงคาราโอเกะที่ดังลั่น ทำให้เขาขำออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ฝากขอโทษด้วยก็แล้วกันนะคร้าบ~ แค่นี้ก่อนล่ะ ชั้นจะเปลี่ยนเสื้อ”   ปลายนิ้วจิ้มกดปิดมือถือก่อนจะถอดเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อออกแล้วสวมชุดนักเรียนแทน เขาใช้เวลาไม่นานในการแต่งตัวตามประสาผู้ชายทั่วไป แล้วในขณะที่กำลังยกกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพายบ่าเตรียมจะกลับบ้าน ฟูจิวาระที่เพิ่งจะล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เดินเข้ามาพอดี

“ยากามิ”   หมอนั่นเรียกเขาด้วยท่าทางอ้ำๆอึ้งๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา

“หื๋อ?”   เขาจึงหันไปทำหน้าสงสัยใส่

“อย่าเพิ่งกลับ...”   ตอนนี้หน้าเขามีแต่เครื่องหมายคำถาม...หมอนั่นมีอะไรหรือไง? หรือว่ามีอะไรจะคุยกับเขา? ใบหน้านิ่งๆนั่นไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เดินไปที่ล็อคเกอร์ของตัวเองก่อนจะเปลี่ยนเสื้อ....จากที่เตรียมจะกลับบ้านเขาจึงเปลี่ยนมานั่งรอแทน

“เสร็จแล้ว กลับกันเถอะ”   แล้วเสียงนิ่งก็ทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก...อ้าว? ไม่ได้มีอะไรจะคุยกับเขาหรอกเหรอ? แล้วจะให้เขารอทำเบื๊อกอะไรเนี่ย? ทุกๆวันก็ใช่ว่าจะต้องกลับบ้านด้วยกันเสียหน่อย?

วันนี้หมอนี่แปลกไปจริงๆด้วย...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?

นัยน์ตาสีทับทิมลอบมองใบหน้าที่ถอดคอนแทคเลนส์ออกมาใส่แว่นตามปกติ...หมอนั่นเหมือนจะกังวลอะไรอยู่? แต่อย่างเขาควรที่จะถามไหมนะ? อาจจะเป็นเรื่องที่ฟูจิวาระไม่อยากบอกก็ได้มั้ง ไม่งั้นคงบอกเขานานแล้วก็ในเมื่อช่วงเย็นมานี้ก็อยู่ด้วยกันตามลำพังตลอด...ถ้ามันเป็นเรื่องที่บอกเขาได้ ก็คงบอกมาแล้ว...

ใบหน้ามนยิ้มแห้งเมื่อคิดว่าหรืออาจจะเป็นเพราะเขามันพึ่งพาไม่ได้ก็ไม่รู้นะ หมอนั่นถึงได้ไม่คิดจะเล่าอะไรให้ฟัง

สองขาเดินต่อไปเรื่อยๆและเมื่อมันก้าวผ่านผนังที่แปะโปสเตอร์ของนักร้องคนหนึ่งเขาจึงเพิ่งนึกขึ้นได้

อ๊า! วันนี้ซิงเกิล ninelie ของ aimer ออกนี่!!

เขายืนอ้าปากพะงาบๆอยู่หน้าโปสเตอร์...ลืมสนิทไปเลยแหะ...ยังไงก็อยากฟังวันนี้นี่นา~….เพราะงั้นจากที่ตั้งใจจะกลับบ้าน จึงเปลี่ยนแผนกะทันหัน  เข้าไปซื้อซีดีที่ร้านในย่านการค้าก่อนก็กินเวลาไม่นานหรอก

“ฟูจิวาระ เดี๋ยวชั้นจะเข้าไปในเมืองก่อน นายกลับไปก่อนก็ได้”   ริมฝีปากเอ่ยบอกฟูจิวาระด้วยใจที่ลอยไปถึงร้านซีดีแล้ว เพราะงั้นจึงไม่ทันสังเกตว่าหมอนั่นกำลังกัดฟัน

สองขาหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินไปอีกทาง

ทว่า...


ฝ่ามือที่ฉุดรั้งข้อมือของเขาเอาไว้กลับทำให้เดินต่อไปไม่ได้


“เอ๊ะ?”   เขาหันกลับไปมองมือข้างนั้นงงๆ และเมื่อเงยขึ้นมองใบหน้าของฟูจิวาระ หมอนั่นกลับอึกๆอักๆ จะพูดอะไรก็ไม่พูด

“มีอะไรหรือเปล่า? นายแปลกๆนะเย็นนี้? ว่าไงล่ะ? มีอะไรก็บอกมาสิ ชั้นต้องรีบเข้าไปในเมือง เดี๋ยวมันจะมืดซะก่อน”   เขาจ้องหน้าหมอนั่นแต่นัยน์ตาที่อยู่หลังกรอบแว่นกลับเสหลบไม่ยอมสบตา...แปลกจริงๆด้วย...

“ฟูจิวาระ?”   เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายทำให้หมอนั่นเม้มริมฝีปากแน่น แล้วในขณะที่ฟูจิวาระตัดสินใจจะพูดออกมา....

“ไม่ให้ ---“


ปรี๊น~~~


เสียงแตรรถลากยาวก็ทำให้ทุกถ้อยคำสลายหายไปกับสายลม...

เขาไม่รู้เลยว่าหมอนั่นพูดอะไรออกมา? แล้วในขณะที่หันไปด่าด้วยสายตาใส่ไอ้พวกเด็กประถมที่เดินไปเล่นไปจนรถมันต้องบีบแตรใส่ ฟูจิวาระกลับปรับสีหน้าแล้วพูดออกมาใหม่...

“ไหนๆวันนี้นายก็ตั้งใจซ้อมเป็นอย่างดี...ชั้นจะเลี้ยงไอศกรีมโคนของร้านฟุยุฟุยุก็แล้วกัน”   นัยน์ตาสีทับทิมทอประกายวิ้งวับขึ้นมาทันที จะอะไรก็ไม่รู้ละ แต่ไอศกรีมโคนของที่นั่นมันสุดยอดเลยนี่!

“ห๋า? จริงดิ? กินๆๆ! ลัคกี้~~”   เขายิ้มเฉ่งและพร้อมจะเดินตามฟูจิวาระไปทันที...อ่ะ...ไม่ได้เห็นแก่ของกินหรอกนะ! แต่นานๆทีหมอนี่จะยอมเลี้ยงอะไรที่ไม่ใช่อาหารเพื่อสุขภาพนี่นา มันก็ต้องกินให้คุ้มค่าล่ะ! อีกอย่างมันก็ไปทางเดียวกับร้านขายซีดีที่เขาจะไปอยู่แล้วด้วย

“แต่ขอชั้นแวะร้านขายซีดีก่อนได้ไหม? ชั้นมีซีดีที่ยังไงก็ต้องซื้อให้ได้วันนี้น่ะ!”   สองมือประกบเข้าหากันเป็นเชิงขอร้อง ดูเหมือนฟูจิวาระจะชะงักไปกับคำขอร้องของเขา?

“ร้านซีดี? ไม่ใช่คาราโอเกะ?”   เสียงทุ้มถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ...อะไรของหมอนี่น่ะ?

“ร้านซีดีก็ร้านซีดีสิ ที่อยู่ตรงมุมถนนบลอค 5 นั่นไง? คนละร้านกับร้านคาราโอเกะนะ?”   สงสัยหมอนี่คงไม่ค่อยได้มาร้านแบบนี้เท่าไหร่ อีกอย่างก็เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานอาจจะยังจำไม่ได้? ถึงได้สับสนระหว่างร้านขายซีดีกับคาราโอเกะ?

“........เอาสิ จะแวะก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”   ฟูจิวาระรับคำและมันก็ทำให้เขาไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก สองขาเดินต่อไปอย่างอารมณ์ดี


ทั้งๆที่ถ้าคิดตามคำพูดของฟูจิวาระให้ดี...เขาก็จะรู้ได้ทันทีว่าทำไมหมอนี่ถึงได้พยายามยื้อไม่ให้เขาแยกจากตัวเองนักในเย็นวันนี้...






ซีดีที่เรียงรายอยู่แน่นร้านไม่ได้ทำให้เขาหาเป้าหมายได้ช้าลงเลย เพราะแผ่นที่เขาตั้งใจจะมาซื้อมันออกวันนี้เพราะงั้นมันจึงวางอยู่ในชั้นแนะนำ

ขาเรียวตรงดิ่งไปหยิบซีดีที่ปกเป็นรูปกราฟฟิคยุ่งเหยิงที่ดูแล้วก็สวยดีขึ้นมา นัยน์ตาสีทับทิมไล่มองรายละเอียดลวกๆ แต่ก่อนที่จะหยิบมันไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชีย...ร่างสูงสมส่วนของฟูจิวาระที่เดินมองนู่นมองนี่เหมือนนานปีทีหนจะเข้าร้านซีดีก็ทำให้เขานึกสนุกอะไรบางอย่างขึ้นมา

“ฟูจิวาระ ทางนี้ๆ”   เขากวักมือเรียกเจ้าคนหน้าตายและเมื่อหมอนั่นยังยืนงงสงสัย เขาจึงเป็นฝ่ายเดินกลับไปหาหมอนั่นแทน  แขนซ้ายสอดไปคล้องแขนขวาของฟูจิวาระก่อนจะออกแรงลากให้หมอนั่นเดินตามมา และเมื่อขาทั้งสองคู่หยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้เพลงตัวอย่าง...เฮดโฟนสีดำก็ถูกสวมลงไปบนหัวของฟูจิวาระ

“ลองฟังดูสิ นี่ไงเพลงที่ชั้นชอบ!”   ปลายนิ้วจิ้มๆหน้าจอเพื่อเลือกเพลงที่เขาชอบ ฟูจิวาระยังมองหน้าเขางงๆ เขาจึงจับเฮดโฟนปิดลงไปบนสองหูของหมอนั่น...และป่านนี้ก็คงได้ยินเสียงเพลงที่กำลังเล่นอยู่แล้ว...

“เป็นไงๆ?”   นัยน์ตาสีทับทิมจ้องคนที่ยืนฟังนิ่งๆอย่างลุ้นระทึก ถึงจะรู้ว่านอกจาก Stride แล้ว เขากับหมอนี่จะรสนิยมไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างเพลงเอย หนังเอยด้วยกันบ้าง เพราะงั้นเขาจึงอยากรู้ว่าฟูจิวาระจะคิดยังไงกับเพลงที่เขาชอบเพลงนี้

“........”   แต่หมอนั่นก็ยืนฟังเงียบๆ

“เป็นไงบ้าง?”   เขายังคงถามต่อไป...ซึ่งหมอนั่นก็ทำเพียงแค่โบกมือให้...อ่ะ...ไม่ใช่ว่าฟูจิวาระไม่ชอบเพลงนี้หรอก...แต่หมอนั่นไม่ได้ยินที่เขาพูดเพราะกำลังฟังเพลงจากเฮดโฟนอยู่ต่างหาก

เชอะ...เอาไว้ถามตอนฟังจบเพลงแล้วก็ได้

เขายกมือขึ้นมากอดอกพลางเป่าลมเข้าไปในสองแก้มจนมันป่องออกมา นัยน์ตาสีทับทิมเหล่มองฟูจิวาระที่ดูเหมือนจะถูกเสียงเพลงดูดเข้าไปอยู่อีกโลก...หึ! เพลงเพราะล่ะสิ ถึงได้ทำเหมือนไม่สนใจเสียงของเขาแบบนั้น!

เดี๋ยวนะ...จะว่าไปตอนนี้ฟูจิวาระไม่ได้ยินเสียงของเขานี่?....เพราะงั้นถ้าเขาจะด่าอะไรมันก็ย่อมทำได้สินะ?

ริมฝีปากสีระเรื่อยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับไปยืนข้างๆคนที่กำลังฟังเพลงอย่างตั้งใจ

“เจ้าปีศาจร้ายฟูจิวาระ”   หึๆๆ ด่าขนาดนี้ยังไม่รู้เรื่องเลยแหะ สนุกจัง~

“ตาบ้าฟูจิวาระ!”   ฮ่าๆๆ เขาต้องพยายามกลั้นหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง แต่ไม่ว่าจะด่ายังไงหมอนั่นก็ยังไม่ได้ยิน

ไม่ว่าจะถ้อยคำไหนๆก็หายไปในอากาศ

เห๋....

แล้วถ้าเป็นคำพูดที่เขาไม่อาจจะบอกกับฟูจิวาระได้ล่ะ? ถ้าเป็นในสถานการณ์นี้เขาก็บอกออกไปได้สินะ?

ใบหน้ามนยิ้มจางๆอย่างมีความสุขก่อนจะหันไปบอกกับคนที่ยังฟังเพลงไม่จบ นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองหน้าปัดที่ซีดียังหมุนติ้วๆก่อนจะปล่อยคำพูดให้ลอยไปกับสายลม...


"ทาเครุ ชั้นชอบนาย"


เขาช้อนสายตามองฟูจิวาระก่อนจะอมยิ้มซุกซน มือหยิบซีดีแล้วเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน...เพราะงั้นเขาจึงไม่เห็น...ว่าคนที่คิดว่าไม่ได้ยิน ว่าคนที่คิดว่าไม่เข้าใจ กำลังค่อยๆดึงเฮดโฟนออกไปจากหัวด้วยใบหน้านิ่งค้าง


สองแก้มภายใต้กรอบแว่นร้อนผ่าว...ถึงจะไม่ได้ยินเสียงที่ริมฝีปากสีระเรื่อนั่นพูดออกมา แต่ว่ามีหรือที่จะอ่านปากไม่ออก...

“ริคุ...”  เสียงพึมพำดังอยู่ใต้ฝ่ามือที่ยกขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ก่อนที่ใบหน้านิ่งจะมองตรงไปยังคนที่ยืนจ่ายเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก....









สายฝนที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่ช่วงสายๆยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดทั้งๆที่เย็นป่านนี้แล้ว

นัยน์ตาสีทับทิมที่กำลังทอดมองลงไปยังชั้นล่างของอาคารเรียนมีแววกังวลนิดๆ เพราะร่มหลากสีสันที่กำลังเคลื่อนตัวกลับบ้านพวกนั้นยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าฝนมันยังตกอยู่จริงๆด้วย

“หว๋า~ หวังว่ามันคงจะหยุดก่อนที่ชมรมจะเลิกนะ”   สองมือยกขึ้นมาประสานกันพลางภาวนาต่อฟ้าดิน ที่ต้องมายืนลุ้นอย่างลุกลี้ลุกลนแบบนี้ก็ไม่ใช่อะไร...เขาไม่ได้เอาร่มมาน่ะสิ!

“ยากามิคุง? ไม่ได้เอาร่มมาเหรอ?”   เสียงทักดังมาจากเพื่อนผู้หญิงในห้องที่นั่งโต๊ะข้างๆกัน เขาจึงหัวเราะแหะๆเป็นเชิงตอบรับ

“แหม~ ถ้ายอมโดดชมรมแล้วกลับบ้านตอนนี้ คงมีสาวๆให้ติดร่มไปด้วยเยอะอยู่หรอก เจ้ายากามิน่ะ!”   เสียงแซวดังมาจากเพื่อนผู้ชายในห้อง เพราะเล่นกันสนุกๆเขาจึงรับมุกกลับไป

“เห๋~ เป็นงั้นหรอกเหรอ~ เอาไงดีน้า~

“กลับด้วยกันไหม ยากามิคุง?!   แต่แล้วเสียงประสานที่ดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายของเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ทำให้เขาถึงกับผงะ

“ฮ่าๆๆ พวกเธอไม่ต้องไปบ้าจี้ตามหมอนี่นักก็ได้! อีกอย่างชั้นคงไม่โดดชมรมหรอก พวกเธอก็รู้ว่ารุ่นพี่ชมรมวิ่งวิบากน่ะ....น่ากลัวขนาดไหน...”   เขาหัวเราะร่วนอย่างไม่คิดอะไรก่อนจะจบลงที่คำขู่ให้ดูน่ากลัว...ก็แหงละที่คนอื่นๆจะยังไม่กล้าเข้าใกล้พวกชมรม Stride นักเพราะเหตุทะเลาะวิวาทของพวกรุ่นพี่จนชมรมแตกเมื่อสองปีก่อน

ทั้งๆที่จริงแล้วตอนนี้ก็เหลือแต่รุ่นพี่เพี้ยนๆที่ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยแท้ๆ~

“เอาล่ะ! ไปชมรมกันเถอะฟูจิวาระ!   เขายกกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพายบ่า ถึงฝนจะตกจนออกไปวิ่งไม่ได้แต่ยังไงก็ยังต้องไปที่ห้องชมรม

“นายไปก่อนเลย ชั้นมีเรื่องต้องแวะไปทำ เดี๋ยวตามไป”   ร่างที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยลุกจากเก้าอี้ คำปฏิเสธของฟูจิวาระทำให้เขาเหวอไปนิดหน่อย เพราะปกติแล้วคนที่มักจะชวนกึ่งบังคับให้เขารีบไปชมรมก็คือหมอนี่ พอวันนี้ไม่ได้เดินไปด้วยกันมันเลยรู้สึกแปลกๆ

“เอ๋? อ้อ อื้ม เอางั้นก็ได้...”   เขาตอบรับไปอย่างพยายามทำความเข้าใจว่าหมอนี่ก็คงมีธุระอะไรบ้างแหละ ยังไงซะก็ออกไปวิ่งไม่ได้อยู่แล้ว รีบไปชมรมก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่ดี

สองขาจึงก้าวเดินไปบนระเบียงหน้าห้องเรียนตามลำพัง....ไม่สิ...ไม่ว่ายังไงก็ไม่เข้าใจกับพฤติกรรมแปลกๆของเจ้าฟูจิวาระในวันนี้เลยจริงๆ หมอนั่นไม่เข้ามาวุ่นวายเรื่องของเขาเหมือนทุกที ไม่อยู่ใกล้ จะว่าไปก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยตั้งแต่เช้ามา...

หรือว่า...


เขากำลังโดนหลบหน้า?


ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ...


แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่ามันเป็นแบบนั้น...เพราะแม้แต่ในห้องชมรม ฟูจิวาระก็ไม่มานั่งข้างๆเขาอย่างทุกที....

“อ่า...คือ...ชั้นมีข่าวร้ายจะมาบอก...เกี่ยวกับเรื่องงานโรงเรียน...”   เสียงหวาดหวั่นของรุ่นพี่ฮาเสะคุระ ประธานชมรมวิ่งวิบากทำให้เขาพยายามละสายตาจากฟูจิวาระแล้วมีสมาธิกับการประชุมของชมรมแทน

“ข่าวร้าย?! ตายแล้วๆสงสัยงานนี้ชมรมวิ่งวิบากจะถูกยุบแน่ๆเลยละโคฮินาตะซัง”   แล้วคนที่โวยวายด้วยแอคติ้งโอเวอร์ก็ไม่ใช่ใคร...คู่หูปีสองของชมรมนั่นเอง

“ตายแล้วๆ สงสัยเป็นเพราะเรายังไม่ได้ส่งหัวข้อกิจกรรมที่จะทำในงานโรงเรียนแหงๆเลยละ อายูมุคุง”   แล้วท่าทางแตกตื่นที่ไม่ได้จริงจังอะไรก็ไปทำให้ต่อมปรี๊ดของท่านประธานชมรมแตกได้โดยง่าย

“พวกนาย....อยากออกไปวิ่งท่ามกลางสายฝนใช่ไหม?”   เสียงทุ้มกดต่ำทำให้สองคนที่เล่นกันอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง

“ไม่อยากคร้าบ~”   สองเสียงจึงร้องประสานกันให้คนที่เหลือได้แต่มองพลางเหงื่อไหลที่ขมับ

“เอาละ! กลับมาที่เรื่องงานโรงเรียน...ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าชมรมกีฬาส่วนใหญ่มักจะเลือกแสดงละครหรืออะไรพวกนี้ ซึ่งจริงๆก็แค่ทำส่งๆไปขอแค่มีชื่อว่าได้ร่วมงานแล้วก็พอ...แต่ก็นะ เพราะความที่ทำแบบเอาฮาเลยทำให้ละครของพวกชมรมกีฬาเป็นที่จับตามองอยู่ทุกปีนั่นแหละ แน่นอนว่าพวกเราจะไม่ไปแสดงอะไรแบบนั้น...แต่....”

“แต่.....”   คนที่นั่งฟังอยู่โดยรอบเริ่มกลืนน้ำลายอย่างลุ้นระทึก...เพราะดูเหมือนรุ่นพี่ฮาเสะคุระจะสรุปได้แล้วว่าพวกเขาจะทำอะไรกันในงานโรงเรียน

“แต่พวกเราจะเปลี่ยนพื้นโรงยิมให้กลายเป็นแคทวอล์ค! และเปลี่ยนจากนักวิ่งมาเป็นนายแบบยังไงล่ะ!! โฮะ โฮะ โฮะ!”    แน่นอนว่าเสียงหัวเราะราวกับจะครองโลกนี่ไม่ใช่ของรุ่นพี่ฮาเสะคุระแต่เป็นเสียงของพี่สาวรุ่นพี่ที่เพิ่งจะเปิดประตูผางเข้ามาเมื่อกี้นี้เอง

“ห๊ะ?!!”   เสียงอุทานดังลั่นห้อง ทำให้พี่สาวของรุ่นพี่ฮาเสะคุระซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าและสปอนเซอร์ของชมรมวิ่งวิบากโบกนิ้วไปมา

“ไม่มีคำปฏิเสธนะจ๊ะเด็กๆ...พวก-นาย-ต้อง-เดิน-แฟ-ชั่น-โชว์-แบรนด์-รันรุริ-ใน-งาน-โรง-เรียน-ครั้ง-นี้!”   คำพูดเน้นย้ำแทงใจดำทำให้พวกเขาซาบซึ้งแล้วว่า “ข่าวร้าย” ของรุ่นพี่ฮาเสะคุระคืออะไร  ถึงพวกเขาจะยังไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันแต่ถ้าพี่สาวจอมเผด็จการว่ามาอย่างงั้นก็คงปฏิเสธไม่ได้อย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ

“ชั้นมั่นใจว่ามันต้องมีแต่ข้อดีและข้อดี! อย่างแรกก็คือพวกนายจะได้ประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าชมรม Stride ของโรงเรียนโฮนันเก็บซ่อนเด็กหนุ่มหน้าตาดีไว้มากมายขนาดไหน! โฮะโฮะโฮะ”   เดี๋ยวนะ ทั้งโลกนี่มันหมายความว่ายังไง?

“เอ่อ...นั่นไง เพื่อให้คนอื่นๆในโรงเรียนลดความหวาดกลัวพวกชมรมวิ่งวิบากอย่างพวกเราไง”   รุ่นพี่ฮาเสะคุระพยายามแปลคำพูดของพี่สาวผสมโน้มน้าวพวกเขาไปในตัว

“อย่างที่สอง เพราะชั้นเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ของชมรมพวกนาย เพราะงั้นถ้าชั้นต้องการก็ต้องทำตาม! โฮะโฮะโฮะ”   ยังไงก็จะบังคับให้ทำอยู่แล้วสินะ...

“ก็...นั่นไง...เพื่อค่าใช้จ่ายในการไปแข่งครั้งต่อไปของชมรมเราไง”   รุ่นพี่ฮาเสะคุระเช็ดเหงื่อไปอธิบายไป

“ตกลงตามนี้! เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมพวกนายไม่ต้องห่วง เชื่อมือช่างของชั้นได้เลย ฝากด้วยล่ะ โฮะโฮะโฮะ”   พี่สาวผู้มาไวไปไวและไม่เคยฟังใครเดินหัวเราะลั่นทางเดินจากไป ทิ้งให้พวกเขายังนั่งงงอย่างตามไม่ค่อยจะทันอยู่ที่เดิม

“.....สรุปว่า...เราก็มีกิจกรรมที่จะทำในงานโรงเรียนแล้วสินะครับ?”   เขาถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

“อ่า...ชั้นก็คิดว่างั้นนะ...”   เขาถึงกับยิ้มแห้งเมื่อประธานชมรมตอบกลับมาแบบนั้น

“ถ้างั้นวันนี้เลิกชมรมเร็วหน่อยก็แล้วกัน ยังไงก็คงออกไปวิ่งไม่ได้ กลับบ้านก็ระวังเปียกกันด้วยล่ะ เป็นหวัดขึ้นมาจะลำบาก”   สมาชิกทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เขากับฟูจิวาระเองก็เช่นกัน

นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า...ทั้งๆที่ปกติแล้วจะเดินอยู่ข้างๆ แต่วันนี้กลับ...

“ฟูจิวาระ”   เขาตั้งใจจะถามให้เคลียร์ จะว่าไปหมอนี่ก็มีอาการแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อวาน ถึงจะเพิ่งมาหลบหน้าเขาเอาวันนี้ก็เถอะ

“ชั้นวิ่งกลับก่อนแล้วกัน ไม่ได้เอาร่มมา”   แต่เจ้าบ้าฟูจิวาระกลับตัดบทมาแบบนั้นพร้อมกับวิ่งออกไปในทันที

“เดี๋ยว.....”   เขาได้แต่ยกมือค้างมองแผ่นหลังที่ห่างออกไป...เป็นบ้าอะไรของหมอนั่นกันนะ! ช่างเถอะ ไม่เห็นจะอยากสนใจเลย!

เขาบ่นขมุบขมิบอยู่คนเดียวก่อนที่ฝ่ามือจะเปิดล็อคเกอร์รองเท้าออก...แล้วสิ่งของที่วางอยู่บนรองเท้าของเขาก็ทำเอานัยน์ตาเบิกกว้าง

ร่ม...?

ทำไมถึงมีร่มพับมาวางอยู่ในล็อคเกอร์ของเขาล่ะ?

ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาหันมองตามทางที่ฟูจิวาระวิ่งไปทันที...ไม่สิ...อย่างหมอนั่นไม่มีทางจะลืมเอาร่มมาเหมือนเขาแน่ แต่ที่ต้องวิ่งตากฝนกลับไปนั่นก็เพราะร่มของฟูจิวาระมันอยู่ที่เขา  หมอนั่นเอาร่มของตัวเองมาให้เขา...

เรื่องที่ต้องแวะไปทำก่อนที่จะไปห้องชมรมของหมอนั่น...ก็คือเรื่องนี้เองสินะ....

“ตาบ้าฟูจิวาระ...”   นัยน์ตาที่ทอดมองร่มสีดำคันนั้นมันสั่นระริกอย่างรู้สึกได้ ในหัวใจกำลังเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกอุ่นวาบ บนใบหน้าเองก็ร้อนผ่าวไปหมด...แล้วแบบนี้จะไม่ให้หลงรักได้ยังไงเล่าเจ้าบ้าๆๆ!


ปึ้ง


เขารีบปิดตู้ล็อคเกอร์ก่อนจะสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว สองขารีบวิ่งตามออกไปแต่ก็ไม่ลืมที่จะกางร่มที่ฟูจิวาระทิ้งไว้ให้

มันก็น่าโมโหอยู่หรอกที่หมอนั่นทำเป็นเท่ห์เสียสละร่มให้เขา...แต่ใจหนึ่งก็อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง...ว่าหมอนั่นกำลังกางแขนปกป้องเขาจากสายฝนอันหนาวเหน็บ...ผ่านร่มคันนี้

หว๋า~ คิดอะไรเป็นสาวน้อยไปได้ เวลาคนเรามีความรักนี่มันน่าอายแบบนี้นี่เอง

“ฟูจิวาระ!! รอเดี๋ยว~!!”   เขาแหกปากตะโกนลั่นแข่งกับเสียงของสายฝนเพื่อให้คนที่วิ่งอยู่ไกลลิบนั่นหันมามอง

แต่ฟูจิวาระก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาจึงต้องเร่งฝีเท้ามากขึ้น แต่ดูเหมือนระยะห่างก็แทบจะไม่ได้ใกล้เข้าไปเลย แหงละ ก็เขากางร่มอยู่ด้วยนี่นะ

“บอกให้หยุดก่อนไงฟูจิวาระ!”   เจ้าบ้านี่! ทั้งๆที่ร่มมันใช้ร่วมกันสองคนก็ได้แท้ๆ แล้วทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนแบบนั้นล่ะ? ไม่จำเป็นต้องมาเสียสละเพื่อเขาหรอกน่า เปียกมะล่อกมะแลกไปด้วยกันเสียยังจะดีกว่า

แล้วชั่ววินาทีที่เขามัวแต่ก้มลงไปมองแอ่งน้ำที่นองอยู่บนถนนเพื่อวิ่งหลบมัน...แผ่นหลังของฟูจิวาระก็หายไปจากสายตาของเขาเสียแล้ว...

อะไรกัน...

หมอนั่นหายไปไหนล่ะ?

ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะมันก็มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่จะใช้กลับบ้านของเขาและหมอนั่น ยิ่งฝนตกและฟูจิวาระก็ไม่มีร่ม...ไม่มีทางเลยที่หมอนั่นจะแวะไปที่ไหนก่อน

ที่หายไปแบบนี้...จะมีก็แค่...


ตั้งใจหลบหน้าเขา?


เพราะไม่อยากเดินอยู่ในร่มคันเดียวกัน? เพราะแบบนั้นเลยเอาร่มมาให้เขา?

ใต้แผ่นอกซ้ายเจ็บแปลบอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆที่เมื่อกี้มันยังดีใจ ยังอาบไล้ไปด้วยความอบอุ่นอยู่เลย...แต่ตอนนี้...ตอนที่ได้เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของฟูจิวาระ...มันกลับเจ็บปวด


สองขาที่วิ่งมานานหยุดชะงัก  สายฝนยังคงโปรบปรายลงมาบนร่มสีดำ ถึงแม้ร่างกายของเขาจะไม่ได้เปียกปอนแต่ที่หัวใจกลับรู้สึกหนาวเหน็บเหลือเกิน...

ฟูจิวาระเป็นอะไรไปกันนะ? ทำไมจู่ๆถึงอยากหนีไปจากเขา ทำไมถึงได้มาหลบหน้าเขาเอาวันนี้ ทั้งๆที่ผ่านๆมาก็ยังมองหน้ากันอยู่ทุกวัน


หรือว่า....


หมอนั่นจะได้ยิน....คำสารภาพรักที่เขาพูดไปในร้านซีดีเมื่อวานนี้....

นัยน์ตาสีทับทิมถึงกับเบิกกว้าง ร่างทั้งร่างชาวาบก่อนจะนิ่งงันอยู่ท่ามหลางสายฝน



ไม่จริงน่า....


เพราะถ้าเป็นแบบนั้น....


ถ้าฟูจิวาระได้ยินมันจริงๆ...แล้วปฏิกิริยาที่หมอนั่นตอบรับมาคือการหลบหน้าเขา...



นี่มันคือการปฏิเสธหรือเปล่า?




ทำยังไงดี...

แล้วเขาควรจะทำยังไงดี....







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.





งื้ออออออ น้องริคุน่ารักกกกกก >/////< แต่งเองฟินเองลงไปดิ้นเองอยู่คนเดียวค่ะ5555 ชอบแต่งฟิคเงียบๆงึมๆช้าๆมีแต่ฉากแบบนี้จริงๆ >////<

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคเอาแต่ใจของคุณกวางเรื่องนี้ด้วยนาคะ อิอิ ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์ด้วยค่า  จะว่าไปคุณกวางก็เพิ่งทราบข้อมูลตัวละครอย่างเช่นกรุ๊ปเลือด วันเกิดอะไรพวกนี้ นึกว่าอย่างฟูจิวาระนี่จะเป็นพวกกรุ๊ป AB ซะอีกนะ แปลกประหลาดพรรณนั้น555 ดันกรุ๊ป A ซะได้ อืมแต่จะว่าไปก็ใช่อยู่นะ5555 ส่วนริคุกรุ๊ป O ค่ะ >////<

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่า~





1 ความคิดเห็น:

  1. อมกกก.(>////<) บร๊ะเจ้าริคุน่าร้ากก จบลงด้วยมาม่าเบาๆฟุจิวาระนายมารีบง้อเลยนะ!
    แต่งดีมากๆฮะ จะรอน้า~~

    ตอบลบ