Attack
on Titan Au.Fic [Levi xEren] Ryuusei : 05
:
Attack on Titan Fanfiction Au
:
Levi x Eren
:
Period Drama
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: และเพื่อให้ชื่อตัวละครเข้ากับท้องเรื่องซึ่งเป็นฟิคแนวย้อนยุคของญี่ปุ่นจึงขอดัดแปลงชื่อจากคุณรีไวเป็น
อาคามะ ริวาอิ , เอเลนเป็น โกคุเดระ เรน
บันไดไม้ที่ทอดยาวลงไปสู่ชั้นฐานปราสาทส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อมีน้ำหนักกดทับ
ยิ่งเป็นกลางดึกซึ่งคนทั้งปราสาทหลับใหลไปกันหมดแล้วเสียงของมันก็ยิ่งชัดเจนอยู่ในความมืด
นัยน์ตาสีมรกตของคนที่นั่งกอดเข่าอยู่หลังแผงลูกกรงไม้จึงเหลือบขึ้นมามองผู้มาเยือนยามวิกาลก่อนที่ใบหน้ามนจะก้มลงไปซุกหัวเข่าตั้งชันอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนถือตะเกียงอยู่อีกฝั่งของกรงขังเป็นใคร
“ยังไม่นอนอีกรึไง?” เสียงทุ้มของแม่ทัพแห่งตะวันตกเอ่ยออกไป
ใบหน้าคมคายทอดมองเจ้าเด็กเหลือขอด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างที่ตัวเองยังนึกแปลกใจ...ก็ถ้ามีใครกล้าเมินเขาแบบนี้คงไม่พ้นโดนเตะสักทีสองทีแน่ๆ
ใช่...เขาแปลกใจตัวเอง...ตั้งแต่ที่ตัดสินใจละจากฟูกนอนอันอบอุ่นแล้วถือตะเกียงเดินลงมายังคุกใต้ดินแห่งนี้แล้ว...
“พื้นก็แข็ง
หมอนก็ไม่มี หนาวก็หนาว แล้วแบบนี้ข้าจะนอนได้ไหมล่ะ? ถามไม่คิด
เป็นถึงแม่ทัพเสียเปล่า”
เสียงใสบ่นอย่างน่าหมั่นไส้อยู่หลังลูกกรงไม้
ใบหน้ามนบูดนิดๆตามน้ำเสียงไม่ได้ดั่งใจนั่น
เจ้าเด็กนี่...มันคิดว่ากำลังพักร้อนอยู่ในบ้านพักตากอากาศหรือไงกัน?
เขาไม่จับไปขังไว้ในคุกเดียวกับพวกนักโทษเดนตายก็ดีแค่ไหนแล้ว
คุกใต้ดินในปราสาทนี่น่ะดีกว่าคุกที่อื่นในมัตสึโมโตะตั้งหลายเท่า
เขาได้แต่ปล่อยเจ้าตัวดีบ่นเป็นหมีกินผึ้งต่อไป
เพราะถึงจะบ่นยังไงก็ยังยอมถูกขังอยู่ในนี้แต่โดยดี แต่ดูจากที่ลดความเกรียนใส่เขาลงไปมากก็คงพอจะบอกได้ว่าเจ้าเด็กนี่ยังมีความสำนึกผิดอยู่บ้าง...เพราะอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เขาก่อนวันนี้จะใจดีด้วยสักหน่อยก็แล้วกัน
ร่างแข็งแกร่งจึงหันหลังให้ลูกกรงก่อนจะพิงมันเอาไว้...ทำไมเขาถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้
บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...
“....เป็นเพราะข้าไม่ไว้ใจท่าน
ไม่เชื่อใจท่านสินะ...พวกนั้นถึงได้หลอกข้าได้ง่ายๆจนปล่อยนักโทษคนสำคัญนั่นไป...แล้วนี่...จะเป็นไรไหมครับ...”
ริมฝีปากช่างเจรจานั่นหยุดบ่นไปพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อยๆ
“หมายถึง
สึซากะ มิคาสะ น่ะรึ? หล่อนคงจะสร้างความลำบากให้กับมัตสึโมโตะอีกมาก
แต่ในท้ายที่สุดแล้วข้าก็จะเป็นคนกำราบและลากหล่อนกลับมาขังไว้ในคุกเอง
ไม่ต้องห่วงหรอก”
เสียงทุ้มพูดออกไปราวกับไม่ยี่หระที่จะต้องต่อสู้กับแม่ทัพหญิงคนนั้น
ทำให้คนที่ฟังอยู่หลังลูกกรงนึกหมั่นไส้ในความมั่นใจนั่นขึ้นมา จากตอนแรกว่าจะบอกว่าหากมีอะไรให้ช่วยเหลือ
กองทัพของคามาคุระและอิสุก็ยินดีที่จะช่วยแท้ๆ
“หึ!
แต่จะว่าไปมันก็เป็นความผิดของท่านนั่นแหละที่ทำให้ข้าไม่เชื่อใจ
ถ้าท่านไม่กลั่นแกล้งข้า ไม่หาเรื่องข้า ข้าก็คงไม่เชื่อสาวใช้พวกนั้นง่ายๆหรอก!”
นั่น....โยนความผิดมาให้เขาหน้าตาเฉย
ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกได้แต่ลอบหัวเราะในลำคอ
“ข้าไม่เคยมีผู้หญิงที่นึกรักจนอยากจะหึงหวงแบบนั้นหรอก
ถ้าแค่ความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวก็มีอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้ข้าอยากจะกลับไปหาเป็นครั้งที่สองได้หรอก...ข้าบอกเจ้าเอาไว้
เจ้าจะได้ไม่ไปหลงเชื่อคำใครง่ายๆอีก”
นัยน์ตาสีมรกตทอดมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งของลูกกรงด้วยหัวใจที่พองโต
ถึงจะไม่รู้สาเหตุของความดีใจนี้แต่การที่อีกฝ่ายยอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง
ยอมพูดจากันดีๆ แค่นี้ก็ทำให้ใบหน้ามนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ความเงียบโรยตัวอยู่พักหนึ่งก่อนที่เจ้าของปราสาทมัตสึโมโตะจะรับรู้ถึงแรงดึงที่ชายแขนยูกาตะของตัวเอง...ไม่ต้องหันกลับไปมองแค่ไออุ่นที่แผ่มาถึงก็ทำให้รู้ว่าเจ้าเด็กจากอิสุเป็นคนดึงชายแขนเสื้อยูกาตะของเขา
“....จริงๆแล้วข้ากลัวผี...ก็เลยไม่กล้านอน...เพราะงั้นท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะหลับได้ไหม?”
ใบหน้าคมที่กำลังลอบอมยิ้มกับความซื่อตรงของเจ้าลูกหมานั่นไม่ได้ตอบอะไรออกไป
แต่การที่ร่างแข็งแกร่งยังยืนนิ่งอยู่กับที่ก็แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี
ไม่คิดเลยจริงๆว่าคนอย่างอาคามะ
ริวาอิจะมายืนเป็นเพื่อนนักโทษในห้องขังแบบนี้ เพราะคงจะไม่มีนักโทษคนไหนกล้าอ้อนเขาเหมือนลูกหมาหาเจ้าของเหมือนเจ้าเด็กนี่อีกแล้วละ...ทั้งๆที่ยังไม่ยอมเชื่องกับเขา
ยังเห่า ยังกัดเขาตลอด แต่เวลาที่ง่วงขึ้นมากลับซุกหาไออุ่นจากเขาหน้าตาเฉย
คงจะมีแบบนี้อยู่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ
เสียงขยุกขยิกที่ดังอยู่เรื่อยๆดูเหมือนจะเงียบไป?
ใบหน้าคมจึงหันกลับไปมองคนที่นั่งพิงอยู่อีกฝั่งของลูกกรงซึ่งหลับหัวห้อยไปแล้ว
“โฮ่ย...ไปนอนที่แคร่ดีๆสิ”
เขานั่งยองๆลงไปก่อนจะสอดมือเข้าไปในระหว่างซี่ลูกกรงเพื่อเขย่าให้ร่างโปร่งรู้สึกตัว...แต่เขาก็ไม่ลืมหรอกว่าเจ้าเด็กนี่มันขี้เซาแค่ไหน
เพราะงั้นต่อให้เขย่าจนลำตัวบางๆนั่นโงนเงนก่อนจะเอนลงไปพาดอยู่ที่พื้นด้วยท่าผิดธรรมชาติขนาดไหน
นัยน์ตาสีมรกตนั่นก็ไม่ยอมลืมขึ้นมา
ปล่อยให้อยู่แบบนี้มีหวังพรุ่งนี้ได้เคล็ดขัดยอกทั้งวันแน่...สำนึกในความเป็นคนดีของข้าซะด้วยล่ะเจ้าเด็กเหลือขอ!
เจ้าของปราสาทมัตสึโมโตะยืดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบกุญแจออกมาไขแล้วก้าวเข้าไปในห้องขัง
ท่อนแขนแข็งแรงช้อนลำตัวบางขึ้นมาในท่าอุ้มเจ้าสาวก่อนจะเอาไปวางไว้บนแคร่ไม้ไผ่
มือใหญ่จับหัวสีน้ำตาลวางลงบนท่อนไม้ตัดแทนหมอนก่อนที่ผ้าห่มเหม็นอับจะถูกคลุมทับไหล่บางและร่างโปร่ง
แต่ก่อนที่จะได้ก้าวขาเดินจากมา
ฝ่ามือบางกลับรั้งชายยูกาตะของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย....
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองมือของคนที่หลับไม่รู้เรื่องนั่นอย่างชั่งใจ...ใบหน้าพริ้มเพรานั่นราวกับมีมนต์สะกด
เพราะแทนที่เขาจะสะบัดมือบางๆนั่นทิ้งไป
กลับกลายเป็นว่าแคร่ไม้ไผ่ต้องรับน้ำหนักของคนเพิ่มไปอีกคน...
เห็นเจ้าเด็กนี่บ่นว่าหนาวนักหนา...ถ้าเป็นแบบนี้คงจะเลิกบ่นได้แล้วสินะ?
ร่างแข็งแกร่งล้มตัวนอนลงไปข้างๆก่อนจะกอดกระชับเอวบางเข้ามา
เจ้าลูกหมาขยับหาไออุ่นทันทีทั้งๆที่ตายังปิดสนิท
ผิวเนื้อนุ่มนิ่มของเด็กอายุ15ทำเอารู้สึกร้อนจนต้องรีบข่มความรู้สึกลงไป
เขาเกือบจะพลั้งมือทำเรื่องไม่สมควรกับเด็กนี่ไปหลายครั้งก็เพราะรูปร่างหน้าตาที่อยู่ใกล้จนสัมผัสได้นี่แหละ
เขายอมรับว่าเขาถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นนัยน์ตากลมโตสีไม่เหมือนใครที่สดใสซุกซน
ไม่ว่าจะจมูกโด่งรั้นรับกับใบหน้ามน ไม่ว่าจะริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อที่เผยอออกน้อยๆราวกับกำลังเชิญชวนเขาอยู่...
เป็นเด็กผู้ชายแล้วไง?
เขาสนใจเรื่องนั้นเสียที่ไหน
ใบหน้าคมค่อยๆขยับเข้าไปหา
ลมหายใจที่สะท้อนกันไปมาทำให้ความหนาวเย็นรอบๆกายหายไปในพริบตา
กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยออกมาจากร่างกายและเส้นผมสีน้ำตาลยิ่งทำให้ลุ่มหลงมัวเมา เจ้าเด็กนี่จะรู้บ้างไหมว่าเขาต้องข่มใจแค่ไหนเพื่อไม่ให้ทำมากไปกว่าจูบ!
ใบหน้าคมละออกมาจากใบหน้าที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง...ไม่ๆๆ
จะมาแอบลักหลับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้มันไม่สมกับเป็นเขา...เอาไว้ทำตอนมันตื่นและมีสติรับรู้ทุกอย่างดีกว่า
แบบนั้นน่ะต่อให้ใช้กำลังบังคับก็ไม่ได้รู้สึกผิดเท่ามาแอบทำลับๆล่อๆแบบนี้หรอก!
ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับเอวบางจนแทบจะหักกลางด้วยความหงุดหงิดระคนหมั่นไส้ในใบหน้ามนที่ยังหลับปุ๋ย...กอดซะแน่นขนาดนี้เจ้าเด็กนี่มันยังไม่รู้เรื่องสักนิด
มันน่าหงุดหงิดจริงๆ!
ใบหน้าคมซุกลงไปในกลุ่มผมที่นุ่มราวกับแพรไหม
แต่กว่าจะข่มตาหลับลงจริงๆได้ก็ใกล้จะเช้าเต็มที....
ข้ารับใช้ต่างแปลกใจกันเป็นแถวเมื่อเห็นนายเหนือหัวเดินหาวหวอดขึ้นมาจากคุกใต้ดินเมื่อยามฟ้าสาง ยังดีที่เจ้าเด็กนั่นมันขี้เซามันเลยไม่รู้ว่าเขาเองก็นอนอยู่ที่นั่นทั้งคืน
เจ้าของปราสาทมัตสึโมโตะล้างหน้าล้างตาก่อนจะกลับมานั่งอ่านสารที่เมืองใต้ปกครองต่างๆส่งมาด้วยใบหน้าซังกะตาย
จะว่าไปเขาก็ไม่เคยอยู่ติดบ้านติดเมืองได้นานขนาดนี้มาก่อน
ที่จะมานั่งๆนอนๆอยู่ในปราสาทเป็นเดือนๆแบบนี้แทบจะไม่เคยมีเลยสักครั้ง
เป็นเพราะเจ้าเด็กจากอิสุ?
“ท่านแม่ทัพ
มีข่าวจากสึซากะขอรับ”
นายทหารจากหน่วยข่าวเดินเข้ามาพร้อมกระดาษแผ่นเล็กๆซึ่งน่าจะเป็นกระดาษที่ถูกผูกติดมากับพิราบสื่อสาร
ทำให้เขาต้องหยุดคิดเรื่องของเจ้าเด็กนั่นเอาไว้ก่อน
“สึซากะ
มิคาสะ ยังไม่ได้กลับไปที่บ้านใหญ่ตระกูลสึซากะขอรับ มีความเป็นไปได้ว่านางจะรู้ว่าในบ้านใหญ่มีสายสืบที่เราส่งตัวไปแฝงอยู่
ตอนนี้จึงไม่รู้ว่านางไปหลบอยู่ที่ไหน”
.....แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีที่ซ่องสุมกำลังพลอยู่ที่อื่น?...
นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองตัวอักษรบนกระดาษอย่างใช้ความคิด
หากยัยผู้หญิงนั่นไม่กลับบ้านใหญ่
การรบครั้งต่อไปอาจจะไม่ได้ทำแบบเป็นทางการแต่มาแบบกองโจร?
ซึ่งมันจะอันตรายกว่าการประกาศสงครามกันตรงๆมากเพราะเขาจะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมาจากทางไหน
“ส่งข้อความกลับไปถึงสายสืบว่าให้อยู่เฉยๆไปสักพัก
ช่วงนี้ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร พวกสึซากะจะได้ไม่สงสัย ส่วนเรื่องข่าวก็หาทางสืบเอาด้วยวิธีอื่น”
“ขอรับ” นายทหารขอตัวออกไป
แม่ทัพแห่งตะวันตกจึงนั่งครุ่นคิดอยู่ตามลำพัง
ตอนนั้นเขาไม่ได้ติดใจสงสัยเลยว่า...สงครามระหว่างมัตสึโมโตะกับสึซากะจะเปลี่ยนเป้าหมายไป...ไม่คิดเลยว่ามันจะไม่ใช่แค่การช่วงชิงดินแดนเหมือนเมื่อก่อน
แต่สิ่งที่แย่งชิงกันกลับกลายเป็น.....
การหารือเรื่องต่างๆรวมทั้งงานเอกสารสิ้นสุดลงยามบ่ายแก่ๆ
บรรดาข้าหลวงและนายทหารทุกชั้นยศทยอยกันออกจากปราสาททำให้นายเหนือหัวไม่มีอะไรจะทำแล้วในวันนี้
ร่างแข็งแกร่งเดินขึ้นไปที่หอชมจันทร์อย่างตั้งใจจะพักผ่อนแต่กระดาษแผ่นใหญ่ที่เขียนว่า
“คนใจร้าย”
ซึ่งยังกางหราเต็มพื้นก็ทำให้ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี...ลงไปดูเจ้าลูกหมานั่นหน่อยดีกว่า...ป่านนี้คงครางหงิงๆร้องหาแม่ไปแล้วมั้ง?
ฝ่าเท้าจึงเปลี่ยนเป้าหมายเดินลงไปยังคุกใต้ดินแทน
แต่มันกลับไม่ได้มีเสียงร้องไห้กระซิกๆอย่างที่เขาคิด
เพราะเสียงที่ดังลั่นขึ้นมามันเป็นเสียงแหกปากโวยวายมากกว่า
เป็นบ้าอะไรอีกล่ะเจ้าเด็กเหลือขอนั่น?
“ว๊ากกกกกก~~!!”
“โฮ่ย...” เขาร้องทักคนที่วิ่งพล่านอยู่ในกรงขัง
ใบหน้าตื่นๆนั่นมีน้ำตาปริ่มและเมื่อมันหันมาเห็นเขาเข้า ร่างโปร่งก็รีบถลามาเกาะลูกกรงไม้ทันที
“แมลงสาบ!
เอามันออกไปให้ข้าที!”
ห๋า? แหกปากซะลั่นขนาดนี้เพราะกลัวแมลงสาบ? สมชายชาตรีจริงๆเจ้าเด็กนี่...
ใบหน้าคมส่ายน้อยๆก่อนจะไขกุญแจแล้วเดินเข้าไป
รองเท้าสานตบป้าบลงไปบนสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์พันธุ์ถึกจนเละติดพื้น
เจ้าลูกหมามองมาที่เขาด้วยสายตาซาบซึ้ง....
เขาฆ่าเสือให้ยังไม่ขอบคุณสักคำ
แต่กลับจะอ่อนข้อให้เขาเพราะแมลงสาบตัวเดียวเนี่ยนะ?
รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่นไหมล่ะ
ร่างแข็งแกร่งเดินกลับออกไปนอกห้องขังด้วยใบหน้าซักกะตาย
ไหล่หนาเอนพิงลูกกรงไม้เอาไว้
แต่ก็เพราะแปลกประหลาดเกินความคาดหมายของเขาแบบนี้แหละ ถึงยังอยู่ด้วยกันได้จนถึงตอนนี้
“.....ขอบคุณครับ...” เสียงเบาๆดังมาจากด้านหลังซึ่งแม่ทัพแห่งตะวันตกก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
ความเงียบจึงโรยตัวลงมาโอบกอดพวกเขาเอาไว้
“นี่...ข้าถามหน่อยได้ไหม...ท่าน...ยังโกรธพี่ชายของข้าที่หนีการแต่งงานไปอยู่หรือเปล่า?” แล้วคนที่ทำลายความเงียบก็คือนายน้อยแห่งอิสุ นัยน์ตาสีมรกตลอบมองแผ่นหลังกว้างอย่างกลัวคำตอบ
แต่ความอยากรู้ก็มีมากเกินกว่าจะอดทนต่อไปได้ เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาหลายวัน
มันเป็นคำถามที่คาใจเขามาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
แม่ทัพแห่งตะวันตกเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ
“โกรธมากจนอยากจะฆ่าให้ตายเลยละ...ไม่เคยมีใครหยามเกียรติของข้าขนาดนี้...มัตสึโมโตะไม่เคยกลัวใครไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต
ทั้งๆที่การแต่งงานทางการเมืองพวกนี้ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเราเลยสักนิด
แต่ข้าก็เห็นแก่ท่านพ่อก็เลยยอมตกลง
ทั้งๆที่พวกข้ายอมเลือกหนทางแห่งการผูกมิตรที่มิใช่วิสัยของมัตสึโมโตะ
ยอมให้ความร่วมมือขนาดนี้แต่คนของอิสุกลับหนีไปง่ายๆ
ทิ้งสิ่งที่ข้าอุตส่าห์หยิบยื่นให้ไปง่ายๆ...เป็นเจ้าเจ้าจะโกรธไหม? ศักดิ์ศรีที่เจ้ามีถูกทำลายไปขนาดนี้เจ้าจะไม่แค้นเคืองได้หรือไง?”
“.....แต่เวลาก็ผ่านมาขนาดนี้...ท่านก็ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?” เสียงเซื่องๆถามมาจากหลังลูกกรง
แต่เสียงทุ้มที่ตอบกลับมาแทบจะทันทีก็ทำให้นายน้อยแห่งอิสุรู้ว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามกล่อมคนตรงหน้าให้ยอมให้อภัยพี่ชายของตน
“ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปีหรืออีกกี่สิบปี...อาจจะทั้งชาตินี้เลยก็ได้ที่ข้าจะไม่ยอมอภัยให้พี่เจ้า”
“....ถ้า...สมมติว่าท่านรู้ว่าพี่ข้าไปหลบอยู่ที่ไหน...ท่านจะทำยังไง?”
“ข้าจะพังที่นั่นให้ราบเพราะมันบังอาจให้ที่พักแก่พี่เจ้า
ส่วนพี่เจ้าก็มีเพียงความตายเพียงสถานเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ข้าหายแค้นเคืองได้” ใบหน้ามนสลดไปกับคำตอบที่ได้รับ...ไม่มีทางเลยจริงๆสินะ...
“.............เจ้าคิดเจ้าแค้นจังนะท่านน่ะ...”
เสียงบ่นงึมงำดังมาจากข้างหลังทำให้ร่างแข็งแกร่งหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่อยู่อีกฝั่งของลูกกรง
“หึ...สองสาวใช้ไส้ศึกที่หลอกเจ้าไม่ได้หลอกเจ้าทั้งหมดหรอก...เพราะมันเป็นความจริงที่ว่าหากข้าเกลียดใครก็จะเกลียดมาก...”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องลึกลงไปในดวงตาสีมรกตก่อนจะพูดต่อไปว่า
“แต่หากรักใครขึ้นมา...ข้าก็จะรักไปจนวันตาย”
แก้มของคนที่ยืนอยู่หลังกรงขังขึ้นสีแดงระเรื่อ
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นทำให้ร่างแข็งแกร่งขยับเข้าไปใกล้
มือใหญ่สอดลอดลูกกรงเข้าไปประคองแก้มที่ร้อนผ่าวอย่างเผลอไผล
คำถามหนึ่งถูกถามอยู่ในใจ
แล้วเจ้าล่ะ
อยากจะเป็นคนที่ข้ารักหรืออยากเป็นคนที่ข้าเกลียด? โกคุเดระ เรน...
เวลาหนึ่งอาทิตย์สำหรับคนทั่วไปแล้วคงไวจนแทบจะไม่รู้สึกอะไร
แต่กับคนที่อยู่ไม่สุขแล้วเวลามันช่างเดินเชื่องช้าเสียราวกับว่าผ่านมาเป็นปีๆได้
นายน้อยแห่งอิสุนั่งเกาขาทำหน้าเบื่อโลกอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
ไม่มีอะไรให้ทำเลยหรือไง? เบื่อจะตายอยู่แล้ว!
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ทำให้ร่างโปร่งบางเด้งจากแคร่ก่อนจะถลาไปเกาะลูกกรง
ถ้ามีคนมาอย่างน้อยก็ดีกว่านั่งเฉยๆอยู่บนแคร่
จะเอาอาหารมาให้หรือมาพูดคุยเฉยๆก็แล้วแต่
นัยน์ตาคมกริบของผู้มาใหม่เหลือบมองเจ้าลูกหมาที่ยืนส่ายหางพั่บๆอยู่หลังกรงขัง
ท่าทางดีใจเหมือนหมาเห็นเจ้าของทำให้ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกผงะไปก่อนจะยื่นกระดาษที่พับมาอย่างดีสี่ห้าแผ่นให้
โหนกแก้มรู้สึกร้อนๆจนต้องหันหน้าไปทางอื่น
“เอ๋?
อะไรน่ะ? จดหมาย?”
นัยน์ตาสีมรกตกลมโตมองสำรวจโดยที่ยังไม่ได้รับมา
“ใช่
จดหมายของเจ้า ส่งมาจากอิสุ” แล้วในขณะที่มือบางตั้งใจจะยื่นออกไปรับ
มือใหญ่กลับชักมันคืนเสียก่อน
“อ๊ะ?!”
“ต้องให้ข้าตรวจดูก่อนว่าพวกเจ้าไม่ได้ซ่อนหรือส่งข่าวอะไรกัน
เจ้าเองก็อาจจะเป็นไส้ศึกที่อิสุส่งมาหาข่าวอยู่ที่นี่ก็ได้?” ถึงจะดูแล้วไม่ใช่พันเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ
อย่างเจ้าเด็กไม่ได้เรื่องได้ราวนี่คงทำหน้าที่สำคัญแบบนั้นไม่ได้หรอก
มือใหญ่แกะจดหมายออกดู
ถึงจะมีเสียงโวยวายของเจ้าของจดหมายร้องห้ามอยู่แต่แม่ทัพแห่งตะวันตกก็ไม่สนใจว่านี่มันคือการละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่น
แต่แล้วลายมือโย้เย้เหมือนลายมือเด็กที่มองเห็นก็ทำให้คิ้วสีดำขมวดเข้าหากัน
....ท่านพี่
ท่านสบายดีไหม? ท่านอาไปน้ำพุร้อนกับท่านอามา เลยให้ข้าเขียนจดหมายถึงท่าน...
ไม่ใช่แค่ลายมือ
แต่การเขียนการเรียงประโยคก็มั่วซั่วเหมือนเด็กเขียนจริงๆ...หรือจะเป็นจดหมายจากโกคุเดระ
ฮายาโนะ น้องสาวคนเล็กของบ้าน รู้สึกจะยังแค่หกเจ็ดขวบ?
ใบหน้าคมยังคงก้มอ่านต่อไปถึงแม้ว่ายิ่งอ่านจะยิ่งขมวดคิ้วก็ตาม
....เมื่อวันก่อนท่านพี่รองลื่นล้มลงไปจับกบ
เลยเอากบมาเป็นอาหาร เพราะล้มเลยก้นเขียว เลยต้องกินก้นกบจะได้หาย.....
ก้นกบ?
หมายถึงสะโพกข้างหลังของคนเราหรือเปล่า? หรือว่าก้นของกบ? แล้วจะไปกินมันทำไมน่ะ?
นี่มันจดหมายรหัสลับประจำตระกูลหรือไง?
มันถึงได้อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด...แต่กระนั้นนัยน์ตาสีขี้เถ้าก็ยังพยายามอ่านต่อไป
....ท่านอายามาโมโตะสอนวิชาดาบให้แต่เจ้าบ้ายามาโมโตะ...เพราะเขียนเป็นจดหมายท่านอาเลยให้ข้าเรียกท่านอาทาเคชิว่าท่านอายามาโมโตะ...ท่านอากับท่านอาพาข้าไปน้ำตกด้วยละแต่ที่น่าโมโหคือเจ้าบ้ายามาโมโตะก็ไปด้วย.......
ตกลงว่าท่านอานี่มีกี่คนกันแน่?
แล้วยามาโมโตะล่ะมีกี่คน?
แม่ทัพแห่งตะวันตกรู้สึกยอมแพ้
มือใหญ่พลิกๆดูจดหมายแผ่นที่เหลือก็เห็นมีแต่ลายมือแบบนี้เต็มไปหมดเลยตัดสินใจส่งคืนให้เจ้าของจดหมายทั้งๆที่ยังอ่านไม่ถึงครึ่งหน้า
ถ้ามันจะมีอะไรซ่อนอยู่ในจดหมายนี่ก็คงมีแต่ความพิศวงชวนงงเท่านั้นแหละ!
มือบางยื่นมารับด้วยรอยยิ้มแหยๆ
ตั้งแต่เห็นลายมือก็รู้แล้วว่าใครเขียนมา...ก็ฮายาโนะน่ะถึงจะแก่แดดแก่ลมรู้ไปซะทุกเรื่องแถมช่างพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองแต่ยังไงก็ยังแค่เด็กอายุเจ็ดขวบ
เขียนหนังสือได้ขนาดนี้ทั้งๆที่เป็นเด็กผู้หญิงนี่ก็เก่งมากแล้ว
แม่ทัพแห่งตะวันตกปล่อยให้นายน้อยแห่งอิสุอยู่กับจดหมายพิศวงนั่นตามลำพัง
แล้วพอร่างแข็งแกร่งคล้อยหลังไป...มือบางก็พลิกหาแผ่นกระดาษหน้ารองสุดท้ายก่อนจะหยิบขึ้นมา
นี่ต่างหากล่ะ...จดหมายที่แท้จริง...
ถึงแม้ว่าลายมือจะยังเป็นของฮายาโนะ
แต่ทุกประโยคที่อยู่บนหน้ากระดาษนี้เป็นคำพูด...ที่ออกมาจากปากของโกคุเดระ
ฮายาโตะ...ท่านอาของเขา
มันคือวิธีหนึ่งที่จะส่งข่าวให้ลูกหลานของตระกูลโกคุเดระที่แฝงตัวอยู่ในเมืองต่างๆโดยที่จะถูกจับได้น้อยที่สุด
ก็ขนาดอาคามะ ริวาอิยังทนอ่านมาถึงเนื้อจดหมายที่แท้จริงไม่ได้เลย
ตอนที่เขายังเด็กๆและฮายาโนะยังไม่เกิด
เขาเองก็เคยทำหน้าที่ “เขียนจดหมาย” แบบนี้เหมือนกัน ช่วงต้นๆของจดหมายท่านอาฮายาโตะจะให้เขาเขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียนลงไป
แล้วหลังจากนั้นท่านอาก็จะให้เขาเขียนตามที่ท่านอาบอก
ส่วนแผ่นสุดท้ายก็จะให้เขาเขียนอะไรที่อยากเขียนลงไปเพื่อกันคนตรวจจดหมายพลิกแผ่นสุดท้ายขึ้นมาอ่านก่อน
นัยน์ตาสีมรกตไล่อ่านไปตามตัวอักษร
สองสามประโยคแรกก็เป็นประโยคทักทายธรรมดาๆ จนมาถึงประโยคๆหนึ่งที่ทำเอาสะดุดกึกไปทั้งร่าง
....พี่ชายของเจ้าถูกจับตัวได้แล้ว...
พี่ชายที่หนีการแต่งงานไป...ถูกท่านอาฮายาโตะกับท่านอาทาเคชิจับตัวได้แล้วงั้นสินะ...ไม่เคยมีใครหนีรอดไปจากสองคนนี้ได้เลยจริงๆ
.....จับตัวได้พร้อมกับแม่ทัพแห่งโคฟุ ทั้งบ้านจึงได้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วพี่ของเจ้ารักอยู่กับแม่ทัพแห่งโคฟุที่ถูกคุมขังเอาไว้ก่อนที่จะตัดสินใจหนีไปด้วยกัน…..
ทั้งสองคน...รักกันอย่างที่เขาคิดจริงๆสินะ...เขาถือจดหมายด้วยใบหน้าเหม่อลอย...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
บรรดาผู้นำตระกูลโกคุเดระต่างยืนอยู่รอบๆคบไฟที่ส่องให้เห็นเงาร่างสองร่างที่ถูกมัดมือไพล่หลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นดิน
หนึ่งคือหลานชายที่หนีการแต่งงานทางการเมืองไป ส่วนอีกหนึ่งคือแม่ทัพเดนตายแห่งโคฟุ ร่างสูงใหญ่ของคนที่ไปจับตัวกลับมาได้ก้าวขาเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งคู่
“....หนี...แล้วคิดจะทำยังไงต่อไป?” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกของยามาโมโตะ
ทาเคชิถามแม่ทัพแห่งโคฟุที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น นัยน์ตาสีเปลือกไม้มืดมนเหยียดมองแม่ทัพเดนตายที่กว่าจะจับตัวได้ก็เล่นเอาเสียเหงื่อไปไม่ใช่น้อย...เจ้านี่ฝีมือใช่ย่อยเลยทีเดียว
“..........” นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องกลับมาเขม็ง
เป็นครั้งที่สองแล้วที่แม่ทัพแห่งโคฟุถูกไล่ต้อนจนอยู่ในสภาพแบบนี้
แต่คราวนี้มันต่างจากครั้งก่อนหน้านิดหน่อยเพราะแม่ทัพหนุ่มไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนครั้งก่อน ใบหน้าได้รูปที่เต็มไปด้วยฝุ่นด้วยดินจากการหลบหนีจึงยอมตอบออกมาในที่สุด
“ข้าจะกลับไปโคฟุ...ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้าและยังมีกองกำลังที่กระจายตัวกันหนีอยู่...หากข้ากลับไป...กองกำลังพวกนั้นก็พร้อมที่จะมารวมตัวกันใหม่...ข้าไม่ได้หวังว่าจะยึดเมืองโคฟุคืนมาจากคามาคุระและอิสุ เพียงแต่...ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาสั่งประหารข้าได้อีกและหากพวกอิสุยังไล่ล่าข้ากับเด็กนั่น
ข้าก็จะลุกขึ้นสู้แน่นอน”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นโคลนพยักเพยิดไปทางหลานชายที่ละทิ้งการแต่งงานแล้วหนีไปด้วยกัน...ที่พูดนั่นหมายถึงจะปกป้องเด็กคนนั้นด้วยชีวิตสินะ
“หึ...”
ใบหน้าคมคายของผู้นำตระกูลยามาโมโตะหัวเราะในลำคออย่างชอบใจในความใจเด็ดและตรงไปตรงมาของแม่ทัพแห่งโคฟุ
ที่สำคัญความตั้งใจของชายคนนี้ยังทำให้นึกถึงตัวเองกับโกคุเดระในอดีตขึ้นมา
นึกถึงวันที่เคยหนีคำสั่งประหารซมซานมาจากคามาคุระเพื่อพึ่งพากองกำลังที่แตกพ่ายและถูกซุกซ่อนไว้ของอิสุ
ซึ่งบรรดาพี่ชายที่ยืนอยู่รายรอบบริเวณนั้นก็เข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ดี...ว่ายามที่ปีศาจร้ายมันพยายามปกป้องหัวใจของตัวเองนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน
นัยน์ตาสีเปลือกไม้ทอดมองแม่ทัพแห่งโคฟุอย่างพินิจพิจารณา
ก่อนหน้านี้ที่จำต้องสั่งประหารเพราะผู้ชายคนนี้อันตรายเกินกว่าจะปล่อยเอาไว้ได้
กว่าคามาคุระจะเอาชนะโคฟุแล้วจับตัวผู้ชายคนนี้มาได้ก็ต้องสังเวยด้วยเมืองทั้งเมือง
มันอันตรายเกินไปถ้าจะปล่อยให้มีชีวิต
เพราะถ้าหนีไปได้มันคงจะกลายเป็นหอกอันใหญ่ที่พุ่งกลับมาทำร้ายอิสุเอง
ใช่...นั่นเป็นเรื่องของเมื่อปีที่แล้ว...แต่ตอนนี้เขารู้ว่ามีอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไป...เขาสามารถใช้งานผู้ชายคนนี้ได้...อิสุสามารถเชื่อใจแม่ทัพแห่งโคฟุคนนี้ได้...
นั่นเป็นเพราะไม่มีร่างกายที่ไหนจะทำร้ายหัวใจของตัวเองได้ลงหรอก...
นัยน์ตาสีเปลือกไม้หันไปทอดมองหลานชายที่เห็นมาตั้งแต่แบเบาะ
กับเด็กคนนี้เขาก็รักก็เอ็นดูไม่แพ้ฮายาโนะหรือเรน
เพราะงั้นตอนที่ได้ข่าวว่าเด็กนี่หนีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงอย่างการแต่งงานทางการเมืองไป
เขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าคงมีเรื่องหนักหนาสำหรับเด็กนี่จริงๆถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น
เพราะการแต่งงานเร่งให้เด็กนี่ต้องทำเรื่องที่ทรยศหักหลังต่อทุกคนในบ้าน...การแต่งงานที่มีก่อนวันประหารของแม่ทัพแห่งโคฟุเพียงแค่เดือนเดียว...
ตอนแรกที่ได้ยินเด็กนี่บอกว่าที่หนีไปเพราะทั้งสองคนรักกันเขายังไม่เชื่อเสียทีเดียว
เขาคิดว่าเจ้าแม่ทัพเดนตายนั่นหลอกใช้หลานชายของเขาให้พาหนีหรือเปล่า?
แต่จากการที่ได้ประมือกันมา
เขารู้ว่าแม่ทัพแห่งโคฟุสามารถหนีไปคนเดียวได้...หนีไปแล้วปล่อยให้หลานชายของเขาถูกจับกลับมารับโทษตามลำพัง...แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ทำ...
แม่ทัพนั่นยังคงยืนหยัดต่อสู้กับเขาทั้งๆที่รู้ว่าสู้ไม่ได้
ยังคงหันดาบใส่เขาเพียงเพราะต้องการปกป้องหลานชายของเขา
เพราะแบบนั้นแหละ...เขาถึงได้คิดว่าเขาคงวางใจในตัวของแม่ทัพแห่งโคฟุได้...ว่าจะไม่หวนกลับมาทำร้ายคนของอิสุ
เป็น...เหมือนดั่งที่เขาและฮิบาริ
เคียวยะเป็น...
ใบหน้าคมทอดมองคนทั้งสองก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ได้สิ...ข้าจะปล่อยเจ้ากลับไปโคฟุ” แล้วคำพูดของยามาโมโตะ
ทาเคชิก็ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับหันมองกันเลิ่กลั่ก
ทั้งๆที่กว่าจะจับตัวกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วจะให้ปล่อยเสือเข้าป่าไปได้ยังไง
“เดี๋ยวสิ” เจ้าเมืองอิสุผู้มีศักดิ์เป็นพี่ยกมือขึ้นหมายจะห้าม
แต่ใบหน้าอมยิ้มเย็นๆของยามาโมโตะ
ทาเคชิก็ทำให้มือนั้นหยุดชะงัก...บรรยากาศรอบตัวของหมอนี่น่าขนลุกยังไงก็ยังน่าขนลุกอยู่อย่างนั้น
ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว
เพราะงั้นถึงเขาจะเป็นเจ้าเมืองอิสุโดยชอบธรรมแต่คนที่เขาต้องฟังกลับกลายเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจราวกับปีศาจคนนี้
เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ายามาโมโตะ
ทาเคชิ คือชายที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างของอิสุ
พวกเขามีชีวิตอย่างสงบสุขอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำมือของชายผู้นี้เพียงคนเดียว
“ฮายาโตะ...”
เจ้าเมืองอิสุหันไปหาน้องชายคนเล็กของตน...ถึงยามาโมโตะ ทาเคชิจะน่ากลัวขนาดไหนแต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อหัวใจของตนเองและคนที่ทำให้ปีศาจแบบนั้นอยู่ร่วมกับมนุษย์แบบพวกเขาได้ก็มีเพียงโกคุเดระ
ฮายาโตะคนนี้นี่แหละ
“..........”
แต่ใบหน้าสวยภายใต้กรอบผมสีเงินที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นกลับไม่มีวี่แววจะคัดค้านยามาโมโตะเลย...ราวกับว่ากำลังเห็นด้วยที่จะปล่อยแม่ทัพแห่งโคฟุไป
เสียงที่ตั้งใจจะเปล่งออกไปคัดค้านจึงเงียบลงในทันที...เพราะเขารู้ว่าฮายาโตะจะไม่ใช้อารมณ์ชั่ววูบในการทำสิ่งใด
แต่หัวสมองที่เฉียบแหลมนั้นจะคิดมาอย่างดีแล้วว่ามันจะส่งผลดีต่ออิสุ
จริงอยู่ที่ยามาโมโตะ
ทาเคชิน่ากลัว...แต่นั่นก็เป็นเพราะฝีมือที่ร้ายกาจมันผนวกกับหัวสมองอันชาญฉลาดของโกคุเดระ
ฮายาโตะได้อย่างลงตัวต่างหาก
“ข้าจะให้เจ้ากลับไปปกครองโคฟุที่ตอนนี้เหมือนกับพยัคฆ์ไร้หัว
บ้านเมืองกำลังระส่ำระสายเพราะขาดผู้นำ ทางอิสุเองก็ยังไม่รู้จะส่งใครไปปกครองดี” แม่ทัพแห่งโคฟุเงยหน้ามองยามาโมโตะ
ทาเคชิอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งๆที่คิดว่าครั้งนี้คงไม่อาจหนีรอด
คงจะถูกฆ่าตายแต่กลับได้รับการหยิบยื่นชีวิตมาให้ แล้วจะไม่ให้ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นขึ้นมาได้ยังไง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะไม่รู้สึกยินดีที่ศักดิ์ศรีของตนถูกเหยียบย่ำด้วยการไว้ชีวิตแบบนี้...แต่ตอนนี้เขามีคนที่อยากจะอยู่ด้วย
มีคนที่อยากจะกลับไปหา อยากเห็นรอยยิ้ม อยากพูดคุย อยากจะหัวเราะ อยากจะร้องไห้ไปด้วยกัน...เพราะงั้นเขาจึงไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป
มือที่มีแต่รอยแผลจึงยื่นออกไปรับดาบแห่งโคฟุของตนคืนมาจากยามาโมโตะ
ทาเคชิ
“ส่วนนายน้อยแห่งอิสุที่เจ้ารัก
ข้าก็จะยกให้ เพียงแต่เจ้าต้องสัญญากับข้าและพ่อแม่พี่น้องของเด็กคนนี้...ว่าเจ้าจะรักเขามากกว่าชีวิตของเจ้า”
นัยน์ตาของนักโทษทั้งสองคนถึงกับเบิกกว้างเมื่อได้ฟัง
เพราะต่างฝ่ายต่างทิ้งความหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันในชาตินี้ไปแล้ว
ใบหน้าคมของผู้นำตระกูลยามาโมโตะยิ้มเย็นๆ
ยังไงซะเรื่องการแต่งงานทางการเมืองกับมัตสึโมโตะมันก็ผ่านไปแล้ว...ตอนนี้ได้โคฟุมาเป็นพันธมิตรอีกเมืองก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
และการจะทำให้โคฟุอยู่ในกำมือของอิสุได้ก็มีแต่วิธีนี้นี่แหละ
“ข้าสาบาน” แม่ทัพแห่งโคฟุรับคำหนักแน่น
ถึงแม้จะรู้ว่าการที่อีกฝ่ายยกนายน้อยแห่งอิสุคนนี้ให้เขาจะเป็นเรื่องทางการเมือง
แต่ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง อะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ดี...ถือว่าตอนนี้โคฟุกับอิสุเป็นพันธมิตรต่อกัน...หากเจ้ามีปัญหาพวกข้าจะช่วย
ขอแค่ดูแลเด็กคนนี้ให้ดี ให้สมกับที่เขายอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเจ้า” แม่ทัพแห่งโคฟุพยักหน้ารับด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย
จากศัตรูมาเป็นญาติมิตรนั่นก็เพราะความรักเพียงอย่างเดียว
ความรัก...มันเปลี่ยนโลกใบนี้ได้จริงๆ....
“และพวกเจ้าเองห้ามลืมคนอีกคน...ที่ยอมเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของพวกเจ้า...ห้ามลืมโกคุเดระ
เรน น้องของเจ้าเป็นอันขาด”
ทั้งสองคนมองหน้ากันและตั้งใจมั่นว่าหากมีอะไรที่พวกตนทำได้เพื่อน้องชายที่ถูกส่งตัวไปแต่งงานแทน...พวกตนก็ยินดีที่จะทำให้
ใบหน้าคมของยามาโมโตะ
ทาเคชิเงยขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี....ดูเหมือนเมฆหมอกที่ปกคลุมโคฟุและอิสุอยู่มันจะสลายหายไปแล้ว
จะเหลือก็แค่ที่มัตสึโมโตะสินะ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
มือบางปิดจดหมายลงพร้อมด้วยใบหน้าโล่งใจ...เขาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานหรือต้องลำบากอะไร
เพราะงั้นหากพี่ชายจะได้พบเจอกับเรื่องดีๆเขาย่อมมีความสุขไปด้วย...ก็อย่างที่เคยภาวนาเอาไว้นั่นแหละว่าเขาอยากให้พี่ชายหนีรอด
ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเขาเองที่ต้องมารับผิดชอบต่อหน้าที่นั้นแทน...แต่ยังไงเขาก็ยังอยากภาวนาแบบนั้นอยู่ดี
เพียงแต่...
จดหมายฉบับนี้คงต้องซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด...เพราะหากอาคามะ
ริวาอิ รู้ว่าพี่ของเขาตอนนี้อยู่ที่ไหน...คงจะไม่อยู่เฉยแน่...
โคฟุเองก็เหมือนเป็นปราการด่านสุดท้ายของภาคกลางฝั่งตะวันออกก่อนจะมุ่งหน้าลงทางใต้ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปของกองทัพมัตสึโมโตะอยู่แล้ว
เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกมัตสึโมโตะเดินทัพผ่านเมืองที่อยู่ในฝั่งตะวันตกไม่ข้ามไปก้าวก่ายฝั่งตะวันออก...แต่หากรู้ว่าพี่ของเขาอยู่ที่โคฟุและคนที่ทำให้พี่เขาหนีไปคือแม่ทัพแห่งโคฟุ...ไม่ต้องคิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“หากข้าเกลียดใครก็จะเกลียดมาก...”
“แต่หากรักใครขึ้นมา...ข้าก็จะรักไปจนวันตาย”
เพราะถ้อยคำเหล่านั้น...มันยังก้องอยู่ในหัวใจไม่เสื่อมคลาย...
ทั้งจดหมาย
ทั้งความรู้สึกที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ของเขา...จึงต้องเก็บซ่อนมันไว้ให้ดี...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามต่อไป...
แอร๊ยยยย
ท่านแม่ทัพหล่ออ่ะ >/////< “แต่หากรักใครขึ้นมา...ข้าก็จะรักไปจนวันตาย” ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ เท่ห์จริงจริ๊งงงพ่อลูกเขยยยยย
>////<
แต่งเองกรี๊ดเอง
ปล่อยคุณกวางมันไปค่ะ =
=”
นะ...มีแววว่าจะรับศึกทั้งสองด้านยังไงไม่รู้ท่านแม่ทัพแห่งมัตสึโมโตะของเรา
=v= เอาเป็นว่าสู้เค้าละกานค่ะ
แผนที่ก็ยังไม่เสร็จอีกตามเคย
งานแม่งนรกมากจนไม่มีเวลาทำอะไรนอกจากแต่งฟิคๆๆๆอย่างเดียวเรยช่วงนี้ถถถถ แต่ก็ดูอนิเมะตอนกินข้าวเหมือนเดิมนะ
ริคุน่ารักกกกก
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามค่ะ
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า~
ท่านแม่ทัพคิดอะไรกะน้องหมารึเปล่าคะเนี่ย//ตัวงอเปนกุ้งง ติดตามตลอดนะคะหนูเข้ามาดูทุกวันเลย//รีเอบันซัย
ตอบลบ