Prince
of Stride S.Fic [Fujiwara x Yagami] YOURS : 02
:
Prince of Stride
Fanfiction
:
Fujiwara Takeru x Yagami Riku
:
Romantic
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
เฮ้อ....แบบนี้มันเลวร้ายที่สุดจริงๆนั่นแหละ...
เขานั่งถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้อยู่ในห้องชมรม...พอเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาก็ดันมีแต่ปัญหาและปัญหา
ก็ถ้าคนที่เขาชอบเป็นผู้หญิงก็แค่รวบรวมความกล้าแล้วสารภาพรักออกไปก็แค่นั้น
จะสมหวังหรือไม่มันก็ไม่น่าหนักใจเท่ากับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้หรอก
ฟูจิวาระเป็นผู้ชายแถมยังเป็นเพื่อนสนิท...
คิดยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้วเขาก็ไม่ควรแม้แต่จะบอกอีกฝ่ายว่า
“รัก” ด้วย…เพราะถ้าเขาบอกออกไป...เราอาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลยก็ได้...
เฮ้อ....รู้งี้ไม่รู้ตัวซะก็ดีหรอก~...
ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาที่มัดไว้ครึ่งหัวถอนหายใจออกมาอีกรอบ...วันนี้ทั้งวันก็พยายามหลอกตัวเองว่าความรู้สึกที่เขามีให้หมอนั่นมันไม่ใช่ความรัก
มันก็คงเป็นแค่การหวงเพื่อนธรรมดาๆ…
ตุบ...
แต่แค่เจ้าฟูจิวาระนั่งลงมาข้างๆ
เขาก็ต้องหันหน้าหนีเพราะสองแก้มมันร้อนจี๋แล้วป่านนี้มันก็คงจะแดงไปจนถึงใบหู
ปัดโธ่~~~ แบบนี้จะหลอกตัวเองต่อไปได้ยังไงล่ะว่ามันไม่ใช่ความรัก!
“ยากามิคุง...ผูกเชือกรองเท้าผิดข้างแล้วนะ?
แล้วก็นี่ไม่ใช่รองเท้าใส่วิ่งไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้ามนถึงกับผงะเมื่อจู่ๆก็มีเสียงทักจากซากุไรซัง
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองผลงานของตัวเองที่อุตส่าห์นั่งผูกมาเป็นสิบๆนาที...เขาเอาเชือกรองเท้าข้างขวามาผูกกับเชือกรองเท้าข้างซ้ายจริงๆด้วย!
แถมนี่ก็เป็นรองเท้าที่ใส่ในวิชาพละไม่ใช่รองเท้าที่ใส่วิ่งวิบากอีกต่างหาก...
เป็นเอามากนะริคุ
นายน่ะ....
ในขณะที่เขากำลังร่ำไห้อยู่ในใจ
เสียงทุ้มราบเรียบก็เอ่ยออกมาให้ยิ่งเจ็บใจ
“มีสมาธิหน่อยสิ
นายเหม่อแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”
เป็นเพราะใครกันเล่าไอ้บ้า! แกนั่นแหละจะเข้ามาอยู่ในหัวชั้นทำไม?!
เขาได้แต่ตะโกนด่าอยู่ในใจ
สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่หันไปมองหน้าเจ้าฟูจิวาระพลางกัดริมฝีปากน้ำตาปริ่มเท่านั้น
“มากันครบรึยัง?” รุ่นพี่ฮาเสะคุระ ประธานชมรมวิ่งวิบากเดินถือปึกเอกสารเข้ามาด้วยใบหน้าเซ็งๆ
เขาจึงเลิกฮึ่มๆใส่ฟูจิวาระก่อนจะหันไปสนใจรุ่นพี่แทน
“ยังเหลือรุ่นพี่คุกะค่ะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ซากุไรซังถามออกไป
ดูท่าจะมีแค่พวกปีหนึ่งอย่างพวกเขาสามคนเท่านั้นที่ทำหน้างง
“อ้อ...เหลือเคียวสึเกะเร๊อะ?
งั้นไม่ต้องรอก็ได้ เราเริ่มประชุมกันก่อนเลย”
แล้วจู่ๆรุ่นพี่โคฮินาตะกับรุ่นพี่คาโดวากิที่กำลังดวลหมากรุกกันอยู่ก็หันมาทำสายตาเจ้าเล่ห์
“ไอ้นั่นสินะ....” ใบหน้าที่ออกไปทางเด็กผู้หญิงของรุ่นพี่โคฮินาตะแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
“ใช่แล้วคุณโคฮินาตะ...ถึงเวลาของไอ้นั่นอีกแล้วสินะ.....” และลูกคู่อย่างรุ่นพี่คาโดวากิก็ขยับแว่นรับยิ่งทำให้เขาถึงกับกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ...ไอ้นั่นที่ว่าเนี่ย...เป็นเรื่องอันตรายขนาดนั้นเชียว?
คงไม่ได้จะให้ไปทดสอบความกล้าอะไรงี้หรอกนะ?
“และนั่นก็คือ...”
“คือ!!”
“งานโรงเรียนประจำปีของโฮนัน~~”
ทั้งสองคนเฉลยพร้อมกันด้วยเสียงรื่นเริงจนเขาที่เผลอเคลิ้มตามไปแทบจะตกเก้าอี้...ก็แค่งานโรงเรียนเองไม่ใช่เร๊อะ?
“ไม่ขำเลยนะเฟ้ย...น่าเบื่อจะตายชัก” รุ่นพี่ฮาเสะคุระหันมาตวาดใส่พลางเอนหลังทิ้งตัวพิงลงไปบนโซฟาด้วยท่าทางหน่ายๆ
มีเพียงรุ่นพี่ปีสองทั้งคู่ที่เห็นอะไรก็เป็นเรื่องสนุกสนานไปเสียหมดที่ยังคงเอนจอยกับงานออกร้านประจำปีที่ทุกห้องทุกชมรมต้องมีส่วนร่วมนั่น
“คร้าบๆ
ถ้างั้นให้พวกปีหนึ่งเสนอมาดีกว่าว่าจะให้ชมรมของพวกเราทำกิจกรรมอะไรกันดีในงานประจำปีของโรงเรียน” แล้วรุ่นพี่โคฮินาตะก็ผลักภาระมาให้พวกเขาซะงั้น
“เอ๋~?” ซากุไรซังอุทานเสียงหลง...เขาเหลือบมองจำนวนสมาชิกของชมรมแล้วก็ให้รู้สึกว่ามีกันอยู่แค่นี้จะไปทำอะไรได้?
“......ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้นี่ครับ?” เขาจึงเสนอออกไป
เพราะยังไงก็เป็นแค่ชมรม ไม่น่าจะเคร่งครัดเหมือนห้องเรียน?
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นน่ะสิ
เพราะการเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนเองก็จะส่งผลต่อการพิจารณาชมรมของปีต่อไป
แค่นี้ชมรมของพวกเขาก็หวุดหวิดจะถูกยุบอยู่รอมร่อมอยู่แล้ว
ยังไงก็คงต้องหาอะไรทำสักอย่าง”
รุ่นพี่ฮาเสะคุระอธิบายด้วยใบหน้าหน่ายๆ…อ้อ...เป็นแบบนี้นี่เอง...ต้องร่วมงานเพื่อความอยู่รอดของชมรมสินะ?
“ฮึ
ฮึ ฮึ...ว่าแล้วเชียว
ว่ายังไงพวกเราก็ต้องแสดงให้ทุกๆคนในโรงเรียนเห็นความแข็งแกร่งของพวกเราด้วยการแข่งขันวิ่งวิบากหมากรุก!” คนเสนอไอเดียไม่ใช่ใคร...รุ่นพี่คาโดวากิประธานชมรมหมากรุกที่ถูกหลอกมาเข้าชมรมวิ่งวิบากนั่นเอง
“แต่ชั้นไม่เล่นหมากรุก” แล้วคนที่ปิดฉากการสนทนานั้นก็ไม่ใช่ใคร...เจ้าบ้าฟูจิวาระคนเดิมนั่นแหละ
“ฟูจิวาระ
แก๊~”
รุ่นพี่คาโดวากิกระโจนเข้าใส่ฟูจิวาระทันที แต่ถึงหมอนั่นจะไม่ปฏิเสธ
คนที่เหลือในชมรมก็คงไม่มีใครเอาด้วยอยู่แล้ว
“แข่งวิ่งวิบากโชว์ไหมล่ะค่ะ?” คนที่อยู่นอกวงการต่อสู้จึงหันมาปรึกษากันต่อ
“วันงานคนจะเยอะมากเพราะเปิดให้คนนอกเข้าด้วย
อีกอย่างทั้งในห้องเรียน ทั้งในโรงยิมหรือแม้แต่ทางเดินระหว่างอาคารก็จัดกิจกรรมเต็มทุกที่นั่นแหละ
ไม่มีที่ว่างให้พวกเราวิ่งได้หรอก”
รุ่นพี่ฮาเสะคุระบอกตรงๆ เขาเลยสงสัยว่า
“ถ้างั้น
ปีก่อนๆพวกรุ่นพี่ทำอะไรกันล่ะครับ?”
ริมฝีปากเอ่ยถามออกไปอย่างไม่คิดอะไร
อันที่จริงก็แค่ทำเหมือนปีที่แล้วก็ได้นี่?
แต่ดูเหมือนคำถามของเขาจะไปสะกิดความทรงจำอันเลวร้ายของรุ่นพี่ฮาเสะคุระกับรุ่นพี่โคฮินาตะเข้า
ทั้งสองคนจึงหันไปมองหน้ากันด้วยบรยากาศมืดมน
“............แสดงตลก......” รุ่นพี่ฮาเสะคุระตอบเขาราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว.....อ่า...อย่างงี้เองสินะ...ดูจากสีหน้าของรุ่นพี่แล้วก็คิดว่าคงเป็นแผลใจที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่...แล้วก็คงจะเป็นอะไรที่ไม่น่าจะทำตามด้วย...
“กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ?” เสียงทักดังขึ้นหลังจากที่เสียงประตูเปิดเข้ามาทำให้ทุกสายตาหันไปมอง...รุ่นพี่คุกะมาแล้ว
“โอเค...เรื่องน่าเบื่อๆนั่นช่างมันไว้ก่อน
ไปซ้อมกันได้แล้ว!”
“คร้าบ~” เพราะงั้นทั้งหมดจึงพากันออกไปซ้อมทั้งๆที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร
เอาเถอะ...ยังเหลือเวลาอีกหลายวันก็ค่อยๆคิดกันไป...
ร่างเพรียวบางเดินตามทุกคนในชมรมไปยังสวนด้านหลังโรงเรียน
สนามฝึกซ้อมของพวกเขานั้นไม่เหมือนชมรมกีฬาไหนๆ เพราะมีแค่ทางเดินเล็กๆเราก็วิ่งกันได้แล้ว
ชมรมวิ่งวิบากเลยไม่เคยต้องไปทะเลาะกับใครเพื่อแย่งสนามซ้อม
นัยน์ตาสีทับทิมแอบเหลือบมองกลุ่มคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเป็นระยะๆ....เอาแล้วไง...เวลาแบบนี้เขาจะหลีกเลี่ยงฟูจิวาระได้ยังไงกันล่ะ
จากที่อุตส่าห์สงบใจได้บ้างตอนคุยเรื่องงานโรงเรียน แต่ตอนนี้หัวใจของเขามันกำลังกลับมาเต้นระรัวอีกครั้งเพราะรู้ดีว่าจะต้องใกล้ชิดหมอนั่นทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ทำใจ
อ๊า~~
ไอ้นิสัยเหมือนสาวน้อยนี่มันมาสิงอยู่ในตัวเขาได้ไง?!
ออกไปนะ!!
สองขาตั้งใจจะเดินไปหารุ่นพี่โคฮินาตะ...อย่างน้อยก็ขอทำใจก่อนตอนวอร์มร่างกายก็ยังดี...แต่ก็ดูเหมือนไอ้ตัวต้นเหตุมันจะไม่ยอมให้เขาได้ทำใจ
เพราะไม่ทันไรมือของฟูจิวาระก็จับหมับมาที่ต้นแขนของเขา
“จะไปไหน?
มาวอร์มร่างกายก่อนสิ” แง๊~
อยู่กับแกแล้วชั้นจะมีสมาธิวอร์มได้ไงเล่า!
เขาได้แต่น้ำตาไหลพรากอยู่ในใจก่อนจะยอมเดินตามหมอนั่นไป
ถ้าจะหนีหน้ากันดื้อๆเดี๋ยวคนอื่นๆก็จะสงสัยอีก ดีไม่ดีอาจจะมีคนจับได้ก็ได้ว่าเขารู้สึกยังไงกับฟูจิวาระ
เพราะงั้นตอนนี้ก็คงมีแต่จะต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติไว้ก่อน
แต่มันจะปกติไปได้สักกี่น้ำกันเชียวกับคนที่เก็บความลับอะไรไม่ได้เลยอย่างเขาน่ะ!
เพราะแค่เริ่มวอร์มร่างกายง่ายๆเขาก็เริ่มประหม่าจนทำอะไรก็ขาดๆเกินๆไปหมด ไม่ต้องพูดถึงการจับคู่วอร์มที่เจ้าฟูจิวาระมักจะยึดตัวเขาไว้ให้คู่กับมันเลย
ไหล่บางสะดุ้งโหยงทุกครั้งที่หันไปเห็นสายตาโหดๆของเจ้าฟูจิวาระที่จ้องเขาเขม็งเพราะเขาเอาแต่ประหม่าจนจังหวะยันขาสลับกันมันมั่วซั่วไปหมด
ดูท่าว่าถ้าเขาไม่รีบเรียกสมาธิกลับมาเจ้าบ้านั่นมันคงจะปรี๊ดแตกจนได้ทารุณกรรมเขาเหมือนทุกทีที่เขางอแงไม่ยอมซ้อมแน่
แต่จะทำยังไงให้มีสมาธิได้เล่าในเมื่อนัยน์ตาสีไพลินนั่นจ้องเขาเอาๆแบบนี้
“ยากามิ...”
หมอนั่นเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกทำให้เขาสะดุ้งเฮือก
แต่จู่ๆหมอนั่นก็ลุกขึ้นมาจากท่านอนหงายที่พวกเขาทั้งคู่ทำอยู่ ก่อนจะคร่อมมาบนร่างกายของเขา
ฝ่ามือหนาค่อยๆทาบมาที่ต้นคอของเขาช้าๆ
ทุกอากัปกิริยาที่นัยน์ตาเบิกกว้างของเขามองเห็นทำเอาลมหายใจติดๆขัดๆแล้วความร้อนก็ยิ่งสูบฉีดไปที่ใบหน้าหนักกว่าเดิม
“ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่?
แล้วทำไมหน้านายเหมือนคนเป็นไข้? นี่ได้กินอาหารครบตามแคลอรี่ที่ชั้นบอกหรือเปล่า?
เนื้อขาวน่ะ กินครบใช่ไหม?”
“อ่ะ....” แล้วมือของหมอนั่นก็ละออกไป
ทำเอาหายใจหายคอแทบไม่ทัน
“ว่าไง?”
ใบหน้าที่ลอยอยู่เหนือใบหน้าของเขาไม่ถึงคืบถามออกมาอย่างกดดันและมันก็ยิ่งทำให้เขาลนลาน
“กินครบน่า
ก็แค่รู้สึกร้อนๆก็เท่านั้นแหละ ไม่เป็นไรหรอก!”
สองมือผลักแผงอกของหมอนั่นออกไป...ไม่ไหว...ถ้าอยู่แบบนี้ต่ออีกสักสิบนาทีเขาได้ระเบิดตัวเองตายแน่...ความรักนี่มันมีอานุภาพขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย
เขาเพิ่งรู้
ถึงจะบอกอีกฝ่ายว่าไม่ได้เป็นอะไรแต่เขาก็ยังตั้งสมาธิไม่ได้เลย
เพราะงั้นถึงได้ทำให้เจ้าฟูจิวาระฉุนขาดจนลุกขึ้นมาวอร์มให้แบบเจ็บๆจนน้ำตาเล็ด
ตอนวิ่งเองก็เหมือนกัน จะแท็กมือก็ดันเขินขึ้นมาจนพลาดแล้วพลาดอีก
เลยถูกหมอนั่นทำโทษอย่างขาดสติด้วยการล็อคคอแล้วจับเขากดไว้กับพื้นให้ต้องฟาดมือป๊าบๆร้องยอมแล้วๆกันอยู่หลายรอบ
“ดูท่าว่าเรื่องของงานโรงเรียนจะทำให้พวกเราไม่ค่อยมีสมาธิกันเท่าไหร่นะ?
เอาเป็นว่าวันนี้เลิกซ้อมไวหน่อยก็แล้วกัน ไม่เป็นไรหรอก
อีกซักวันสองวันพอเลิกตื่นเต้นกันมันก็จะหายไปเองแหละอารมณ์แบบนี้” รุ่นพี่ฮาเสะคุระพูดพลางปาดเหงื่อออกจากใบหน้า
รุ่นพี่พูดเหมือนเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีเพราะว่าคนทั่วไปก็คงจะตื่นเต้นกับงานโรงเรียนประจำปีกันนั่นแหละ
หารู้ไม่ว่าอาการของเขามันไม่ได้เกี่ยวกับงานโรงเรียนเลยสักนิด...
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
พอรู้ตัวขึ้นมาแม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้
ก็หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นโครมครามจนน่าอายเลยน่ะสิ
แบบนี้...มันเป็นความรักจริงๆสินะ...
มือบางปิดล็อคเกอร์พลางถอนหายใจออกมาอีกรอบหนึ่ง
“ชั้นจะอยู่ซ้อมต่อ....”
นั่นคือคำพูดของเจ้าฟูจิวาระที่หันมาพูดกับเขาด้วยใบหน้าทะมึนก่อนจะออกวิ่งไปตามลำพัง
เขาได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่ไกลออกไปพลางยิ้มแหยๆ
“เฮ้อ....”
เพราะทุกคนในชมรมกลับบ้านไปกันหมดแล้วเขาถึงได้กล้าถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้
แต่นึกถึงท่าทางของฟูจิวาระแล้วก็แอบปวดใจนิดๆแหะ
ก็หมอนั่น...ยังมองหน้าเขาได้ตรงๆ
ยังคงเห็นเขาเป็นแค่เพื่อน....
“เฮ้อ....” คงจะไม่มีใครผิดแปลกแบบนายหรอกริคุ...กลับบ้านเถอะ...
สองขาก้าวออกจากห้องชมรมมาด้วยใบหน้าปลงตก...ตอนนี้ในหัวของเขาไม่มีทั้งเรื่องที่จะตัดใจ
ไม่มีทั้งเรื่องที่จะเดินหน้าต่อไป ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรมั้ง?
ตราบใดที่หมอนั่นไม่รู้และเขาก็ยังได้อยู่ข้างๆหมอนั่น...
“เอ่อ...ยากามิคุง....” แล้วจู่ๆเสียงของผู้หญิงที่ไม่คุ้นหูก็ทำให้สองขาต้องหยุดชะงัก
“หื๋อ?
เรียกชั้นเหรอ?”
แต่ดูจากรอบๆที่ไม่เหลือใครแล้วก็น่าจะเป็นเขาแหละนะที่เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนี้เรียก
“ค่ะ...คือ...ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ?” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำที่ยาวเคลียไหล่ช้อนสายตาขึ้นมามองเขาด้วยแววกล้าๆกลัวๆ...เห๋ๆๆ...นี่มันๆๆ...ฉากสารภาพรักอะไรงี้หรือเปล่าน้า~
“ได้สิ
มีอะไรเหรอ?”
เขาพยักหน้าให้เธอพลางคิดเล่นไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนขี้เล่น
“ชั้นชอบคุณค่ะ!” ห๊ะ?! เอาจริงดิ?!! เขาได้แต่อ้าปากค้าง ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าตัวเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร
แต่ที่ผ่านมาโทโมเอะพี่ชายของเขาไม่เปิดช่องว่างให้เด็กผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้เขาได้เลย
วันๆก็เอาแต่ลากเขาไปซ้อมวิ่งอยู่ตลอด เพราะงั้นนี่จึงเป็นครั้งแรก...ครั้งแรก...ที่มีคนมาสารภาพรักกับเขาจึงอดที่จะแปลกใจระคนตกใจไม่ได้
“ชั้นมองยากามิคุงมาตลอดตั้งแต่เปิดเทอม...ชั้นชอบยากามิคุงที่สดใสร่าเริง
ชอบตอนที่ยากามิคุงวิ่งแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข...เพราะฉะนั้น...โปรดรับไว้พิจารณาด้วยนะคะ!
ยังไม่ต้องตอบชั้นตอนนี้ก็ได้!” เด็กสาวก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าแดงเถือก...จะว่าไงดีล่ะ...เขาเองก็ดีใจนะที่มีคนมาชอบ
ดีใจที่ได้ยินคำสารภาพรัก...นี่ถ้าเขาไม่รู้ใจตัวเองเสียก่อนก็คงจะตอบตกลงไปแล้ว
เสียงฝีเท้าก้าวอยู่ไม่ไกลทำให้บรรยากาศที่หยุดนิ่งระหว่างเขาและเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“ยากามิ?” แล้วเจ้าของฝีเท้านั้นก็ไม่ใช่ใคร...ฟูจิวาระที่น่าจะบังเอิญกำลังเดินกลับบ้านพอดี...
“อะ
โอ้...”
เขายกมือขึ้นทักหมอนั่นอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี
เด็กสาวตรงหน้าที่เขาไม่รู้แม้แต่ชื่อเงยหน้ามองพวกเขาสองคนอย่างอายๆ
“แล้วจะขอฟังคำตอบวันหลังนะคะ
ขะ ขอตัวก่อนนะคะ!” เด็กสาวก้มหน้าก้มตาวิ่งหนีไป
ทั้งเขาทั้งฟูจิวาระมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นไปก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน...หมอนี่ได้ยินแน่ๆ...เรื่องระหว่างเขากับเด็กสาวคนนั้น...
บ้าจริง...ไม่ได้อยากจะให้มาเห็นภาพแบบนี้เสียหน่อย
ถึงเขาจะไม่ได้นอกใจแต่มันก็รู้สึกไม่ดี...แล้วยิ่งได้เห็นว่าใบหน้าของหมอนั่นมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยก็มีแต่จะยิ่งทำให้ใต้แผ่นอกซ้ายเจ็บแปลบ...
“....นายว่า...ชั้นควรตอบตกลงดีไหม?” เขาถามออกไปด้วยเสียงลอยๆ
จะว่าลองใจหรือประชดเขาก็เรียกไม่ถูก...เขาก็แค่อยากรู้ว่าหมอนี่คิดยังไงกับการที่เขาจะมีผู้หญิงคนอื่น
“นายควรจะเอาเวลามาทุ่มเทให้กับการแข่งวิ่งวิบากมากกว่า” และนั่นก็คือคำตอบที่ตอบออกมาแทบจะทันที
ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่น...ทำไมถึงรู้สึกปวดใจหนักกว่าเดิมก็ไม่รู้...แบบนี้มันยิ่งน่าโมโหมากกว่าบอกให้เขาตอบตกลงอีกไม่ใช่หรือไง...ในสายตาของหมอนี่เขามีตัวตนมากกว่าคนๆหนึ่งในทีมแข่งวิ่งวิบากที่มีไว้เพื่อชัยชนะของตัวเองหรือเปล่า?
“....เพื่อชมรมสินะ
อะไรๆก็เพื่อ Stride
สินะ แล้วความรู้สึกของชั้นล่ะ?!” เขาตะโกนใส่หน้าฟูจิวาระอย่างฉุนเฉียว
นัยน์ตาสีทับทิมมองอีกฝ่ายด้วยแววสั่นระริกก่อนจะผงะไปเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองชักจะพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นของหมอนั่นเองก็ชะงักไป...แย่แล้ว...ถ้าเขายังอยู่ตรงนี้...ถ้าเขาโดนหมอนี่คาดคั้น...เขาต้องเผลอบอกออกไปแน่ๆ
และเราก็จะไม่สามารถเป็นได้แม้แต่เพื่อนกันอีก...
สองขาจึงก้าวถอยหลังก่อนจะตัดสินใจวิ่งหนี...หนี...ไปที่ไหนก็ได้...หนี...ไปให้ไกลจากความรู้สึกทรมานพวกนี้
“ยากามิ!!” แต่ฟูจิวาระก็ยังวิ่งตามมา
“หยุดก่อนยากามิ!”
เสียงตะโกนไล่หลังดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...สมแล้วที่หมอนั่นเป็นไม้สุดท้ายของทีมเรา...เขาจึงต้องเร่งฝีเท้ามากกว่าเดิม
“บอกให้หยุดไง!” ฟูจิวาระยังไม่ละความพยายามที่จะตามเขาให้ทัน
“ไม่หยุด!” เขาหลับหูหลับตาตะโกนตอบกลับไป
คนที่ไล่ตามจึงกัดฟันกรอดก่อนจะเร่งความเร็วเฮือกสุดท้ายแล้วคว้าจับข้อมือของเขาเอาไว้จนได้
“ริคุ!!”
นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างเมื่อฟูจิวาระตะโกนเรียกชื่อของเขาออกมา
และมันก็ทำให้สองขาของเขายอมหยุดลงแต่โดยดี
“แฮ่ก...แฮ่ก....แฮ่ก....ถ้างั้น...นายต้องการให้ชั้นพูดยังไง?
ต้องการให้ชั้นบอกอะไรกับนายกันแน่?”
ฟูจิวาระพูดออกมาทั้งๆที่ยังหอบหนักและมันก็ทำให้เขาถึงกับชะงัก
นัยน์ตาสีทับทิมนิ่งค้างมองอีกฝ่ายก่อนจะเสหลบอย่างไม่กล้าเผชิญหน้า...นั่นสินะ...เขาคาดหวังให้ฟูจิวาระตอบกลับมาว่ายังไงกันแน่
“ริคุ...” ฟูจิวาระเรียกเขาราวกับอ้อนวอนขอคำตอบ
ซึ่งเขาเองก็ทำได้แค่ส่ายหัวทั้งๆที่ยังก้มหน้า
“ไม่รู้......ตัวชั้นเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน...” เขาตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา
ฟูจิวาระจึงลากเขาไปนั่งที่ริมแม่น้ำทั้งๆที่ยังจับข้อมือเขาอยู่...
ไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่ปล่อยไปไหน...จุดนี้แหละที่หมอนี่ต่างจากโทโมเอะพี่ชายของเขา
“นายอยากคบกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ?”
จู่ๆเสียงทุ้มที่เงียบไปนานก็ถามออกมาทำให้เขาส่ายหน้ารัวๆ
“ถ้าไม่อยากคบก็ปฏิเสธไปสิ” ถ้าสิ่งที่ฟูจิวาระพูดออกมาคือความรู้สึกของตัวหมอนั่นเองก็คงจะดี
แต่เขาก็รู้ว่ามันคงไม่ใช่ มันก็แค่คำพูดของที่ปรึกษาทั่วๆไปนั่นแหละ
พออารมณ์เริ่มเย็นลงก็เหมือนจะคิดอะไรได้มากขึ้น
เขาจึงเหม่อมองท้องฟ้าก่อนจะพูดออกไปว่า
“ชั้นก็แค่...อยากจะลองรักใครสักคนดู...อันที่จริงอยากให้คนที่ชอบหันมารักเรามากกว่า” เขาพูดออกไปแบบไม่ได้คิดอะไร แล้วก็ไม่ได้หวังว่าฟูจิวาระจะเข้าใจหรือตอบรับอะไรกลับมา
“นั่นแสดงว่านายมีคนที่ชอบแล้วและไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น
ถ้างั้นปฏิเสธเธอไปซะ” แต่หมอนั่นก็ยังคงยืนยันให้เขาปฏิเสธเด็กสาวคนนั้นไป...บางทีไอ้คำพูดนิ่งๆที่ไม่แสดงอารมณ์หรือที่มาที่ไปนี่มันก็ดูกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูกจนบรรยากาศดีๆเสียหมด
“อ่า~
เข้าใจแล้วครับ! พรุ่งนี้จะไปปฏิเสธครับ!!” หรือเขาควรตัดใจจากไอ้คนไร้ความโรแมนติกนี่เสียดีไหม?
ดูท่าชีวิตนี้คงจะไม่เข้าใจหรอกว่าการรักใครสักคนมันเป็นยังไง...
“.........” ฟูจิวาระเงียบไปอีกแล้ว...แล้วนี่จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร?
เขาเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของหมอนั่น
ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆราวกับกำลังข่มใจทำให้เขาสงสัย...บางที...หมอนี่อาจจะอยากรู้ก็ได้ว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร...แต่ก็เหมือนจะกลัวกับคำตอบที่จะได้รับ?
กลัวว่าเขาจะตอบว่าเป็นซากุไรซังหรือยังไง?
เพราะบางทีฟูจิวาระอาจจะชอบซากุไรซังอยู่ก็ได้
ใบหน้ามนหันกลับมาหาหน้าตักของตัวเองก่อนจะก้มลงด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ
ไม่ต้องกลัวหรอกว่าเขาจะชอบซากุไรซัง
ไม่ต้องกลัวหรอกว่าเขาจะแย่งเธอมา ในเมื่อความรักของเขานั้นมันวิปริตผิดแปลกกว่านั้นมาก
เขาชอบฟูจิวาระ...เขาชอบหมอนี่จริงๆนั่นแหละ...และเขาคงไม่อาจจะบอกกับอีกฝ่ายได้
เขาไม่อยากให้ความเป็นเพื่อนของเราต้องพังทลาย ไม่อยากถูกมองด้วยสายตารังเกียจ...
“กลับกันเถอะ” จู่ๆเสียงทุ้มก็พูดออกมาเพราะระหว่างพวกเราคงจะไม่มีบทสนทนาใดๆอีกในวันนี้
หมอนั่นทำท่าจะลุกขึ้นยืน
“พรุ่งนี้ยังมีงานต้องเตรียมอีกหลายอย่าง” เขาพยักหน้ารับทั้งๆที่ไม่ยอมสบกับดวงตาสีไพลิน
มือของหมอนั่นยังคงจับข้อมือของเขาราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยแล้วเขาจะวิ่งหนีอีก
...ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นซักหน่อย...
เงาสองเงาทอดทับกันลงไปบนถนนเลียบริมแม่น้ำ
ฟูจิวาระเดินไปส่งเขาซึ่งวันธรรมดาแบบนี้เขาไม่ต้องไปช่วยงานที่ร้าน
เพราะงั้นมือหนาจึงปล่อยข้อมือของเขาเมื่อเรามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
“ริคุ...” เวลาที่เราเรียกชื่อกันและกันมันจะรู้สึกถึงความพิเศษอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
รู้แต่ว่าร่างกายถูกนัยน์ตาสีไพลินคู่นั้นสะกดเอาไว้และสองหูก็กำลังตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดออกมา
“ชั้นไม่อยากให้นายมีแฟน...ชั้นไม่รู้ว่านี่คือคำตอบที่นายต้องการจะได้ยินจากชั้นรึเปล่า
แต่มันคือสิ่งที่ชั้นคิดอยู่ในใจ ชั้นบอกนายได้เท่านี้แหละ” ถึงจะก้มหน้าแต่นัยน์ตาของเขาก็กำลังเบิกกว้าง
หัวใจที่อยู่ใต้แผ่นอกซ้ายเต้นกระตุกไปกับคำพูดของฟูจิวาระ ทั้งๆที่รู้ว่ามันคงไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งมากกว่าความเป็นเพื่อน
แต่กระนั้นสองแก้มของเขาก็ร้อนผ่าวราวกับโดนไฟเผา
“เจ้าบ้า....” เสียงงึมงำดังออกมาจากใบหน้าที่ก้มงุด
ถึงแม้ว่าหมอนั่นจะเดินไกลออกไปมากแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถจะเงยหน้ามองแผ่นหลังนั่นได้เลย
รู้ทั้งรู้ว่าหมอนั่นคงจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเหมือนเขาที่คิดไม่ซื่อ
แต่ขอแค่ได้เข้าข้างตัวเองชั่ววินาทีนี้ก็ยังดี
ขอตีความเข้าข้างตัวเอง...ว่าประโยคที่ฟูจิวาระพูดมา
ว่าหมอนั่นหวงเขาแค่ภายในใจนี้ก็ยังดี...
แค่นี้ก็มีความสุข
แค่นี้ก็เขินจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว...
เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น...ว่ารสชาติแห่งความสุขมันมีแต่จะยิ่งทำให้เขาไม่รู้จักพอ
แค่เพื่อนมันไม่พอ....
ถึงแม้ว่าชาวชมรมวิ่งวิบากจะยังหาข้อสรุปอะไรไม่ได้เกี่ยวกับงานโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
ทว่า สำหรับห้อง 1-3 ของพวกเขาก็ตกลงกันได้แล้วว่าจะทำ “คาเฟ่แมว”
แน่นอนว่าไม่ได้พาเจ้าเหมียวตัวเป็นๆมาให้เหล่าทโมนจับเล่นหรอก
แต่มันก็เป็นแค่ให้สมาชิกในห้องคอสเพลย์เป็นแมวแล้วก็ขายอาหารกับเครื่องดื่มเท่านั้นแหละ
“จากนี้ไปต้องเตรียมฉากแล้วก็หูแมวกับหางแมวจำนวนมาก
เพราะงั้นหลังเลิกเรียนขอให้ทุกคนอยู่ช่วยกันด้วยนะ
ส่วนพวกชมรมกีฬาที่มีซ้อมเย็นก็อนุญาตให้ไปซ้อมได้...แต่!!
หลังซ้อมแล้วให้กลับมาทำต่อด้วย!”
นั่นคือประกาศิตจากหัวหน้าห้องซึ่งพวกที่อยู่ชมรมกีฬาอย่างเขาได้แต่ครวญครางรับทั้งน้ำตา...แค่ซ้อมแต่ละวันนี่ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
ยังจะต้องให้มานั่งทำเรื่องน่าเบื่อๆแบบนั้นอีก
เพราะงั้นวันนี้แทนที่เขาจะได้กลับบ้านก็จำต้องลากสังขารอันแหว่งวิ่นกลับมาถึงห้องเรียนจนได้
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว~~” ร่างเพรียวบางนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองก่อนจะพาดลำตัวเอาไว้กับโต๊ะในขณะที่รอบกายมีเศษผ้าตกอยู่เกลื่อนไปหมด
“ยา-กา-มิ-คุง...ยังไงก็ช่วยทำหูแมวของตัวเองให้ได้สักอันทีเถอะ
ลุกขึ้นมา!” ประธานการจัดงานของห้องเดินมาดึงหูเขาให้ลุกจากโต๊ะ
“โอ๊ย
เจ็บๆๆ! ยอมแล้วคร้าบ~”
มือบางยกขึ้นไปลูบหูปอยๆ จะโหดร้ายกับเขาไปถึงไหนนะ!
“ถ้าเข้าใจก็ดี
วิธีทำเขียนอยู่บนกระดาน ฝากทำต่อด้วยก็แล้วกัน งานของวันนี้ก็แค่ทำหูให้ครบทุกคน
เดี๋ยวพวกชั้นจะกลับละ” พวกที่อยู่มาตั้งแต่เลิกเรียนเตรียมตัวจะออกไปจากห้อง
ดูจากกองหูแมวที่พวกนั้นทำไว้ก็นับว่าพวกเขาคงเหลือแต่ทำให้ตัวเองก็น่าจะเรียบร้อย
“มาทำด้วยกันเถอะยากามิ
จะได้เสร็จเร็วๆ” ฟูจิวาระขยับเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
“อะ
อื้อ...” ดูเหมือนวันนี้เขาจะสามารถมองหน้าหมอนั่นได้มากขึ้น
แต่กระนั้นก็ยังมีอาการประหม่าจนต้องเสสายตาทำเป็นมองวิธีการทำบนกระดานไปเรื่อยเปื่อย
“ต้องทำเผื่อซากุไรด้วยสินะ
นายกับชั้นแบ่งคนละข้างก็แล้วกัน” พวกเขาให้ซากุไรซังกลับไปกับพวกเด็กผู้หญิงคนอื่นๆในห้องก่อน
จะปล่อยให้อยู่จนมืดค่ำก็คงไม่ดี เพราะงั้นงานในส่วนของซากุไรซังพวกเขาจึงตั้งใจจะทำให้แทน
“เห๋~
นึกว่านายจะทำให้ทั้งหมดซะอีก” เขาคุ้ยผ้าขนๆที่จะใช้ทำหูแมวขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน
“อย่ามาอู้
รีบๆทำซะ” เขายู่หน้าให้เจ้าจอมเผด็จการก่อนจะหยิบผ้าขนๆสีแดงเลือดนกขึ้นมา
“ของชั้นใช้สีนี้ดีกว่าหรือเปล่านะ?” เพราะชอบสีแดงที่ให้ความรู้สึกสดใสร้อนแรงมาแต่ไหนแต่ไร
เขาถึงได้สะดุดตาผ้าผืนนี้ก่อนสีอื่น
“สีนี้สิ” แต่แล้วฟูจิวาระกลับหยิบผ้าขนๆสีชามาให้เขา
“เอ๋~
แต่ชั้นชอบสีแดงอ่ะ”
“แต่สีนี้มันเข้ากับผมนายมากกว่า” มือที่ตั้งใจจะปัดผ้าผืนนั้นไปถึงกับหยุดชะงัก
ความใส่ใจในตัวเขาของหมอนั่นทำเอาหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว
ใบหน้าจำต้องก้มงุดเพราะเริ่มรู้สึกว่าความร้อนกำลังลามมาที่สองแก้ม
“ก็ได้...” มือบางยื่นออกไปรับผ้าสีชาผืนนั้นมา...สีของมันเหมือนกับสีผมของเขาจริงๆด้วย...ทั้งๆที่ในกองผ้าพวกนั้นมีสีน้ำตาลอ่อนๆแบบนี้ตั้งหลายโทน
แต่ฟูจิวาระกลับเลือกออกมาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน...
ใบหน้ามนลอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อมองผ้าผืนนั้น...แค่นี้ก็ดีใจจนเห็นดอกไม้บานอยู่รอบๆไปหมด...เป็นเอามากเลยแหะเขาเนี่ย...
เขาลงมือตัดๆเย็บๆตามวิธีที่เขียนเอาไว้บนกระดาน
ถึงจะไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ง่ายนักหรอกสำหรับผู้ชายอกสามศอกอย่างเขา
กว่าจะเสร็จได้ก็เล่นเอาเหงื่อหยด
“เสร็จแล้ว!
เย้~ ชั้นชนะ!” เขาชูที่คาดผมหูแมวของตัวเองให้ฟูจิวาระดู
ก่อนจะลองสวมลงไปบนหัว
“ดูสิๆ
เหมาะไหม?”
สองมือชี้นิ้วใส่ตัวเองพลางเอียงหัวอย่างไม่ได้คิดอะไร
ไม่ได้คิด...ว่าท่าทางของเขามันจะทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงัก
“อืม.......เหมาะมาก....” เสียงทุ้มพูดออกมาแบบนั้น ฟูจิวาระก็มองเขาเหมือนกับทุกทีเขาเลยวิ่งไปรอบๆห้องเพื่อโชว์หูแมวของตัวเองให้ไอ้เจ้าพวกเพื่อนๆที่ยังเหลืออยู่ในห้องดู
เพราะมีแต่พวกชมรมกีฬาป่าเถื่อนทั้งนั้นหูแมวของเขาจึงดูดีกว่าหูแมวโชกเลือดในมือพวกมันเป็นเท่าตัว
แล้วก็เป็นเพราะเขามัวแต่เยาะเย้ยเพื่อนๆพวกนั้น...จึงไม่ทันเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของฟูจิวาระ
ไม่ทันเห็น...ว่าแท้ที่จริงแล้ว...นัยน์ตาสีไพลินคู่นั้นมันจ้องมองเขาอย่างตกตะลึงแค่ไหน...
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าชิมิสึเย็บหูไปแปะพลาสเตอร์ยาไป
ฮ่าๆๆ”
ร่างเพรียวบางกลับมานั่งหัวเราะร่วนทั้งๆที่มีหูแมวคาดอยู่บนหัว
“ส่วนของเจ้าพวกนั้นนะ
บอกตามตรงว่าชั้นแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนเป็นหูแมวอันไหนเป็นเต้าหู้ทอด ฮ่าๆๆ” ใบหน้ามนวิจารณ์หูแมวของคนอื่นไปหัวเราะไปทำให้ไม่ทันสังเกตว่าฟูจิวาระกำลังทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่หูแมว...จนกระทั่งมันถูกยื่นมาตรงหน้า
“เอ๊ะ?
อะไร?” เขาก้มลงไปมองห่วงที่ถูกม้วนๆด้วยผ้าสีแดงง่ายๆ
ถึงจะคับคล้ายคับคลาแต่ก็ไม่แน่ใจเลยถามออกไป
“ปลอกคอไง
สีแดงด้วย” ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นตอบกลับมาด้วยเสียงนิ่งที่ทำให้ทั้งรู้สึกว่ามันกวนประสาท
ทั้งรู้สึกใจแกว่ง...คะ
คงไม่ได้จะแสดงความเป็นเจ้าของอะไรแบบนี้หรอกนะ...คิดเองก็เขินเอง
“อะ
ไอ้บ้า ใครจะไปใส่...” เขาหยิบม้วนปลอกคอผ้านั่นปาใส่ใบหน้านิ่ง
แต่เจ้าฟูจิวาระก็แค่ขำอยู่ในลำคอ
“หึ...” หนอย...ตั้งใจจะแกล้งเขาสินะ!
เดี๋ยวเถอะ!
ตรู๊ด~ ตรู๊ด~~
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขัดขวางฉากฆาตกรรมขึ้นมาเสียก่อน
แล้วชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็ทำให้เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรบอกที่บ้าน!
“ริคุ!
อยู่ไหนเนี่ย?! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วห๊ะเจ้าเด็กใจแตก! จะกลับไหมบ้านเนี่ย?!!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร
เสียงวีนแตกของแม่ก็ส่งมาจากปลายสายให้ไหล่เขาสะดุ้งโหยงทันที
“แม่
ขอโทษๆ ลืมโทรบอกว่าวันนี้ต้องอยู่ช่วยงานที่ห้อง อาจจะกลับดึก...”
“ไสหัวไปนอนที่อื่นเลยนะ
ชั้นจะปิดประตูบ้านแล้ว!”
พูดจบก็วางสายไปทันทีโดยไม่ฟังเขาสักนิด............
“ฟูจิวาร้า~~”
เขาหันไปน้ำตาไหลพรากใส่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นายดูแม่ชั้นทำกับลูกชายที่น่ารักคนนี้สิ~” แล้วไม่ทันไร
โทรศัพท์ของเจ้าฟูจิวาระก็สั่นครืดๆ
ชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอทำให้นัยน์ตาสีทับทิมกับนัยน์ตาสีไพลินเงยขึ้นมาสบกันก่อนที่นิ้วของเขาจะจิ้มลงไปที่ลำโพงทำให้เขาได้ยินการสนทนานี้ด้วย
“สวัสดีครับ” ฟูจิวาระทักขึ้นก่อนอย่างมีมารยาท
“ฟูจิวาระคุง...น้ามีเรื่องจะรบกวนหน่อย” หนอย...ทีแบบนี้ละเสียงอ่อนเสียงหวานเชียวนะ!
แน่นอนว่าคนที่โทรหาหมอนั่นไม่ใช่ใครอื่น...ก็แม่ของเขานั่นแหละ!
“ครับ”
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นตอบรับพร้อมกับเหลือบสายตาขึ้นมามองที่เขา
“ฝากริคุให้ไปนอนด้วยสักคืนได้ไหม?
พอดีน้าต้องตื่นไปซื้อของกันแต่เช้าในวันพรุ่งนี้
ต้องรีบนอนก็เลยต้องรีบปิดบ้านน่ะ”
แล้วนี่แม่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเขาจะต้องอยู่กับเจ้าฟูจิวาระแน่ๆถึงได้โทรหาหมอนั่นราวกับรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ
ฟูจิวาระคุงจะกลับเมื่อไหร่ก็ไปหิ้วลูกชายน้ากลับด้วย อะไรแบบนั้น
“ครับ” ฟูจิวาระรับคำ
“ขอบใจมากน้า
ฟูจิวาระคุงนี่พึ่งพาได้จริงๆ”
หนอย...จะบอกว่าเขามันไม่ได้เรื่องอย่างงั้นสินะ แม่นะแม่!
โทรศัพท์ถูกตัดสายไปท่ามกลางเสียงฟึดฟัดของเขา
“เลิกงอแงแล้วรีบๆทำให้เสร็จเถอะ
นี่ก็ดึกแล้ว” หมอนั่นเงยหน้ามาบอกเขา
เอาเข้าจริงเขาก็เพิ่งจะรู้ตัวนี่แหละว่าตอนนี้มันสี่ทุ่มกว่าไปแล้ว
“คร้าบ~”
เขาหยิบผ้าสีน้ำตาลอ่อนที่น่าจะเข้ากับสีผมของซากุไรซังมามั่วๆ
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองฟูจิวาระที่ยังเย็บหูสีดำของตัวเองไม่เสร็จ...แปลกแหะ...ทีของซากุไรซังหมอนั่นกลับไม่ทักเลยว่าสีผ้ามันจะเข้ากับสีผมยาวๆนั่นหรือไม่...ถ้าเป็นคนที่หมอนั่นชอบก็น่าจะอยากเลือกให้สิ?
แล้วกว่าพวกเขาจะช่วยกันเย็บหูแมวของซากุไรซังเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม
หันไปมองรอบกายอีกทีก็มีแต่ศพกองให้เกลื่อน...เอาเถอะ...ห้าทุ่มของพวกเขาก็ยังเสร็จก่อนเจ้าพวกนั้นหลายเท่าละนะ...
เขาเอาชื่อผูกไว้ที่ที่คาดผมก่อนจะเอาหูทั้งสามคู่ไปวางรวมกับของคนอื่นๆที่ทำเสร็จไปก่อนหน้านี้
“โฮ้ย~~
ชั้นกลับบ้านก่อนละนะ~~ สู้ๆ~” จะว่าให้กำลังใจหรือกวนประสาทก็ไม่ทราบได้
แต่เสียงยานคางปนเยาะเย้ยหน่อยๆของเขาก็ทำเอาเศษผ้าปลิวตามมาส่งให้เพี้ยบ
“ฮ่าๆๆ” เขาส่งเสียงหัวเราะลั่นทางเดิน
ดูเหมือนห้องอื่นๆเองก็ยังมีคนหลงเหลืออยู่เพื่อเตรียมงานเหมือนกัน
“....นายนี่มันน่าอายจริงๆ...” เจ้าฟูจิวาระดันแว่นก่อนจะบ่นพึมพำแล้วเดินนำออกไป
“นี่...ไม่วิ่งแข่งแล้วนะ
ชั้นเหนื่อยจะตายอยู่แล้ววันนี้”
เขารีบบอกก่อนเจ้าบ้า Stride จะชวนแข่งตามวิสัยอีก
“อืม” แต่ดูเหมือนหมอนั่นก็คงล้าๆแล้วเช่นกัน
คืนนี้พวกเขาถึงได้เดินชิลๆไปตามถนนที่เริ่มจะร้างไร้ผู้คน
แสงจันทร์นวลตาสาดส่องจนถนนที่มืดสลัวกลับดูไม่น่ากลัว
บรรยากาศอันแสนจะโรแมนติกแบบนี้หากเขาเป็นคู่รักกันก็คงจะดี...แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ข้างในแล้วเดินเคียงข้างฟูจิวาระต่อไป
ขี้โกงจังนะริคุนายน่ะ...
ใช้ความเป็นเพื่อนบังหน้าทั้งๆที่ในใจไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์...
“หิวไหม?”
เสียงทุ้มถามออกมาท่ามกลางอากาศที่กำลังเย็นสบาย
“นิดหน่อย
ที่ห้องนายมีอะไรกินหรือเปล่า?”
พวกเขาเดินตัดสวนสาธารณะซึ่งปลูกต้นซากุระเรียงราย...ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิช่วงเวลานี้คงจะสวยน่าดู...ซากุระสีชมพูที่ชูช่อรับแสงจันทร์
“มี”
เขาหมุนตัวกลับมาทันเห็นสายตาเป็นประกายวิ้งวับอยู่หลังกรอบแว่นนั่น
อ่ะ...ลืมไปเลยว่าไอ้บ้านี่มัน...
“เดี๋ยวชั้นทำให้กิน
รับรองได้แคลอรี่ไม่ขาดไม่เกิน” หว๋า~~
เขาไม่อยากกินไข่ขาวก่อนนอนหรอกนะ!
“อ่า...ชั้นว่าแวะซื้อโกโก้อุ่นๆที่คอนวีเนียนสโตร์ก่อนขึ้นห้องนอนดีกว่า
ดึกแล้ว อย่าส่งเสียงดังเลยนะ”
ใบหน้ามนยิ้มแห้งก่อนจะหาข้ออ้างไปอย่างเนียนๆ
ขาทั้งสองคู่ยังคงก้าวต่อไปในแสงสลัวๆ
ถ้าเป็นตอนกลางวันพวกเขาคงวิ่งแข่งกันจนไม่ได้มองความงดงามของทิวทัศน์รอบๆตัวแน่ๆ...เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแหะ...เดินกันไป
คุยกันไป เถียงกันไป
หัวเราะกันไป...เขาก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ข้างๆหมอนี่...เพื่อให้ได้ทำเรื่องแค่นี้ก็เท่านั้นเอง...
ประตูห้องห้องหนึ่งซึ่งเขาเคยมาแล้วหลายครั้งถูกเปิดออก
ในนี้มันยังคงมีแต่โกเบทาเระ มาสคอตประจำเมืองโกเบ บ้านเกิดของฟูจิวาระ ไม่ว่าจะแก้วน้ำลายโกเบทาเระ ขวดน้ำลายโกเบทาเระ ผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดมือ
ผ้าเช็ดตัว จาน ชาม ช้อน ส้อม
เบาะรองนั่งและสารพัดสิ่งของอะไรก็ได้ที่จะสามารถพิมพ์ลายวัวนี่ลงไปได้!
“เอ้า” ผ้าขนหนูกับชุดนอนชุดหนึ่งถูกยัดใส่มือของเขา
หง่ะ...นี่หมอนั่นคิดจะให้เขาใส่ชุดนอนลายวัวโกเบทาเระนี่จริงๆเร๊อะ?!
“ถอดเสื้อผ้านายมาสิจะได้ซัก
พรุ่งนี้ก็ต้องใส่ไปโรงเรียนใช่ไหมล่ะ”
เป็นเพราะว่ามัวแต่มองชุดนอนลายวัวนั่นน่ะแหละทำให้เขาเผลอพยักหน้าก่อนจะทำท่าจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
“ถอดตรงนี้แหละ
จะได้ไม่เสียเวลา” ห๊ะ?
ใจที่มัวแต่ลอยๆกลับเข้าร่างทันที
“ชะ
ชั้นว่า ชั้นไปถอดในห้องน้ำแล้วโยนออกมาให้นายดีกว่า....” เขายิ้มแห้งด้วยใบหน้าที่เริ่มจะซีดเซียว
เขารู้ว่าหมอนั่นคงไม่ได้คิดอะไรและคงตั้งใจจะสำรวจกล้ามเนื้อของเขาตามเคย
แต่ยังไงตอนนี้มันก็อายนี่นา....ไม่ไหวหรอก
“ถอดเดี๋ยวนี้” ไม่ว่าเปล่าเจ้าจอมเผด็จการเอื้อมมือมาดึงกักกุรันของเขาออกทันที
“เฮ้ย?!”
เขาพยายามเอี้ยวตัวหลบแต่จนแล้วจนรอดทั้งเสื้อกั๊กสีแดงกับเชิ้ตสีขาวก็ถูกพรากไปด้วยน้ำมือของเจ้าฟูจิวาระจนได้ แง๊~ อยากจะร้องไห้จริงๆ
ถึงเขาจะไม่ใช่สาวน้อยแต่มาจับถอดกันแบบนี้มันก็ต้องมีอายกันบ้างแหละ!
แล้วก็ยัง...เจ้าบ้านั่นมันยังไม่ยอมหยุดจนกว่าจะได้กางเกงสแล็คสีดำของเขาไป
ต่อให้เขาจะหันหลังให้เจ้าบ้าฟูจิวาระก็ตามมารวบตัวเขาจากข้างหลัง
ใบหน้าที่ดูหงุดหงิดเพราะเขาไม่ยอมแต่โดยดีเกยอยู่บนหัวไหล่ สองมือสอดมาข้างเอวก่อนจะพยายามปลดเข็มขัดของเขา
เพราะต้องปลุกปล้ำกันอยู่นานทำให้กว่าจะรู้ตัวว่าหมอนั่นกอดเขาอยู่
ร่างกายของเราก็แนบชิดกันจนแทบจะไม่มีที่ว่าง...
“อ่ะ...เอ่อ....” ทั้งเขาทั้งฟูจิวาระต่างนิ่งค้างไป ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดอยู่ที่ข้างแก้ม
“เข้าไปถอดในนั้นแล้วโยนออกมาให้ชั้น” จู่ๆหมอนั่นก็ยอมปล่อยเขาแล้วหันไปก้มเก็บเสื้อของเขาที่ถูกเหวี่ยงกระจายอยู่ที่พื้น
“อือ...” สองขารีบก้าวเข้าไปในห้องน้ำ
นึกถึงสภาพเมื่อกี้แล้วก็ให้รู้สึกแปลกๆ
“เร็วๆ”
เสียงทุ้มเร่งมาจากข้างนอกทำให้เขาที่ยังชะงักค้างได้สติกลับคืนมา
มือรีบถอดกางเกงก่อนจะยื่นออกไปให้
“รู้แล้วน่า~ เร่งจัง!”
เมื่อกางเกงถูกดึงไปเขาก็รีบปิดประตูห้องน้ำใส่ทันที
หัวใจเจ้ากรรมนี่ก็เต้นโครมครามอยู่ได้! โธ่~
เขาใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำก่อนจะออกมานั่งเป่าผมรอหมอนั่นที่อาบน้ำไวยิ่งกว่าเขาอีก
“อ๊ะ!
ทำไมนายไม่ใส่ชุดนอนลายวัวนี่ล่ะ?”
เขามองฟูจิวาระพลางอ้าปากพะงาบๆเมื่อหมอนั่นออกจากห้องน้ำมาด้วยเสื้อยืดกับกางเกงนอนแบบปกติชน
“หึ...”
แล้วหมอนั่นก็ถึงกับหลุดขำเมื่อมองเห็นสภาพของเขาในชุดนอนลายวัว หนอยแน่ะเจ้าบ้านี่!
ที่เขายอมใส่ก็เพราะคิดว่าหมอนั่นจะใส่เหมือนกันซะอีก!
“เอาชุดนอนแบบที่นายใส่มาให้ชั้นเลยนะ!” เขาชี้นิ้วใส่เจ้าของห้อง
“ใส่ๆไปเถอะ
เหมาะกับนายออก” เหมาะตรงไหน?
น่าอายจะตาย!
เขาละอยากจะกระโดดใส่หมอนั่นนัก
แต่พอคิดอีกทีว่าเจ้าฟูจิวาระชอบโกเบทาเระมากขนาดไหน
แล้วการที่หมอนั่นอยากให้เขาใส่ชุดวัวนี่....มันก็อาจจะดีก็ได้....
“อ๊า~~” เขาแหกปากอย่างทำอะไรไม่ได้ก่อนจะเดินฟึดฟัดไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ปล่อยให้เจ้าของห้องขนฟูกสำรองออกมาปูที่พื้นไป
นัยน์ตาสีทับทิมมองสำรวจห้องที่เรียบง่ายสมเป็นห้องของเด็กผู้ชาย...บ้านของฟูจิวาระอยู่ที่เมืองโกเบ
จังหวัดเฮียวโงะ เพราะงั้นการที่มาเรียนต่อในโตเกียวจึงต้องพักอยู่ในอพาทเม้นต์นี่ตามลำพัง
“เห๋~
จะมีหนังสืออย่างว่าซ่อนอยู่ตามใต้เตียงบ้างไหมน้า~~” เขาทอดมองใต้เตียงด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะรีบสไลด์ตัวแล้วสอดมือเข้าไปควานหาทันที
“........!!.” มีหนังสือซ่อนอยู่จริงๆด้วย! แต่ทั้งหมดมันเป็นหนังสือเกี่ยวกับวิ่งวิบากแทบทั้งนั้น!
“เป็นไอ้บ้า
Stride เข้าขั้นเลยจริงๆนะนายเนี่ย หว๋า~~ น่าเบื่อชะมัด!” เขายัดหนังสือพวกนั้นกลับเข้าไปใต้เตียง
ลึกๆในใจก็ดีใจอยู่หรอกนะที่มันไม่ใช่หนังสือโป๊ะอย่างที่คิด
“ไปนอนได้แล้ว
จะนอนข้างล่างหรือข้างบน” เสียงทุ้มเอ่ยบอกอย่างรำคาญๆหลังจากที่ปูฟูกเสร็จจนได้
“ข้างบนสิ!
ชั้นอยากนอนบนเตียงของฟูจิวาระคุงมานานแล้ว ว๊าย~ ดีใจจัง~” เขากระโดดขึ้นไปบนเตียงของหมอนั่นอย่างไม่สนใจว่าใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่
“........” ฟูจิวาระไม่ว่าอะไรแถมยังปล่อยให้เขายึดเตียงของตัวเองไปอีกต่างหาก
หมอนั่นเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนบนฟูกที่ปูอยู่บนพื้น
ถึงความมืดจะโรยตัวลงมาแต่นัยน์ตาของเขากลับยังเบิกโพลง
ริมฝีปากจึงเอ่ยถามเรื่องที่คงไม่กล้าถามแน่หากยังมองเห็นหน้ากันอยู่
“....นี่ฟูจิวาระ...นายมีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า?” ทั้งๆที่เขาต้องรวบรวมความกล้าตั้งมากมายแต่หมอนั่นกลับตอบออกมาได้อย่างรวดเร็ว
“หมายถึงพ่อกับแม่น่ะเหรอ?” แล้วมันก็ทำให้เขาแทบจะตกเตียง
“ไม่ใช่สิ!
ชั้นหมายถึงความรักน่ะ ความรัก!” จากที่ว่าจะไม่มองหน้าแต่ตอนนี้เขากลับตะแคงตัวเกาะขอบเตียงจนมองเห็นหมอนั่นนอนห่มผ้าเรียบร้อยอยู่ในความมืด
“แม้แต่จะอธิบายยังพูดไม่ถูกเลยนะนายน่ะ
หมายถึงความรักแบบผู้ชายกับผู้หญิง?”
ฟูจิวาระถอดแว่นก่อนจะวางไว้ข้างๆหมอน
“ใช่!
นั่นแหละ!” จากที่กล้าๆกลัวๆ แต่ตอนนี้เขากลับอยากรู้ขึ้นมาเสียจริงๆ
“.............” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำนั่นนิ่งไป
“ว่าไง?
เงียบไปแบบนี้มันน่าสงสัยนะ”
“.......ชั้นก็ตอบไม่ได้...ว่ามันคือความรักแบบไหนกันแน่...เพียงแต่...ชั้นมองแต่เค้าคนนั้นมาตลอด...มองมาตลอดตั้งแต่เด็กๆแล้ว
มีเพียงเค้าคนนั้นที่อยู่ในใจของชั้นเรื่อยมาและมันก็ทำให้ชั้นเป็นชั้นในทุกวันนี้ได้” ฟูจิวาระตอบกลับมาด้วยเสียงที่มั่นคงจนเขารู้สึกอิจฉา
“คนคนนั้น” ขึ้นมา
“....ฟังดูยิ่งใหญ่จัง....คนคนนั้นเป็นใคร?
บอกชั้นได้ไหม” เขาถามด้วยเสียงลอยๆ
จะว่าอยากรู้ก็ใช่ จะว่าไม่อยากรู้ก็ใช่อีก
“ไม่ได้” เพราะงั้นเมื่อฟูจิวาระตอบออกมาแบบนั้นมันจึงทำเขาโล่งใจ
“เห๋~
ขี้งก!” เขาพลิกตัวหันหลังให้ก่อนจะตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุม
เป็นอันว่าบทสนทนาก็จบลงด้วยดวงตาที่เริ่มจะหรี่ปรือ
แล้วในขณะที่อยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน
เสียงที่คุ้นเคยก็ดังอยู่ข้างๆหู...
“ส่องกระจกดูสิริคุ
แล้วนายจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร...”
หื๋อ? เสียง? ของฟูจิวาระหรือเปล่า?
แล้วกำลังพูด...เรื่องอะไรกันนะ?...อ้า~
ง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นเลย.....เอาไว้พรุ่งนี้....ค่อยถามก็แล้วกัน.................
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To
be con.
ขออภัยในความเรื่อยเปื่อยของฟิคเรื่องนี้มากๆเรยค่ะ TvT ชีวิตประจำวันสุดๆถถถถถ
แต่ก็อยากให้ค่อยๆเห็นพัฒนาการของความรักที่ค่อยๆเพิ่มพูนผูกมัดกันมากขึ้นเรื่อยๆท่ามกลางการใช้ชีวิตทุกวันๆอะไรแบบนี้อ่ะ
ก็เอาใจช่วยสองหนุ่มรวมถึงคุณกวางกันด้วยนาคะ อิ๊อิ๊
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ของตอนที่แล้วมากๆๆนะคะ
// น้ำตาไหลพราก // ดีใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีคนอ่าน5555 ก็นะ
เขียนอัลไลไม่มีปรึกษาใครถถถถ จะว่าไปการแต่งฟิคที่คนดำเนินเรื่องเป็นฝั่งเคะเนี่ย
บอกตามตรงว่าไม่ถนัดค่ะ5555 เพราะปกติจะแต่งตามมุมมองของเมะที่อยากจะกินเคะมากกว่า
แบบว่ามันเหมือนเอาจิตวิญญาณของตัวเองเข้าไปสิง ก๊ากๆๆๆ อย่างริคุเนี่ย
อยากจะเขียนชมว่าริคุน่ารักใจจะขาด แต่เพระว่ามันเป็นมุมมองของริคุไง
จะเขียนชมว่าตัวเองน่ารักมันก็ยังไงอยู่555
เอาไว้สักวันจะเขียนในมุมมองของทาเครุบ้าง ฮี่...
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
*v*
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น