Prince of Stride S.Fic [Fujiwara x Yagami] YOURS : 01
: Prince of Stride Fanfiction
: Fujiwara Takeru x Yagami Riku
: Romantic
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...
สองขายังคงก้าวต่อไปแม้ว่าลมหายใจจะถี่กระชั้นจนน่ากลัว เสียงหอบที่ได้ยินมีแต่จะทำให้รู้สึกหนวกหูแต่กระนั้นเขาก็หยุดไม่ได้
ทรมาน....
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่การวิ่งมันทรมานขนาดนี้...
ทั้งๆที่เริ่มจะสนุกขึ้นมาได้บ้างหลังจากยอมรับเรื่องของพี่ชาย...ทั้งๆที่ยังจำรอยยิ้มและความดีใจในวันที่วิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกับทุกๆคนในทีมได้เป็นอย่างดี...แต่แทนที่เมฆหมอกมันจะผ่านพ้นไป...แล้วทำไมทุกวันนี้เขาถึงกลับมีแต่ความทรมาน...
ไม่เข้าใจ...ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด...
ฝ่ามือยันลงไปบนบาร์ที่ขวางหน้าอยู่ก่อนจะเทคตัวลอยข้ามมันไปได้อย่างง่ายดาย....ต่างจากหัวใจที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกำแพงสูงใหญ่ที่มองไม่เห็นนี่ไปได้
เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องของโทโมเอะที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
มันต่างกัน...
ความรู้สึกทรมานมันต่างกัน...
ความทรมานที่เกิดจากโทโมเอะมันก็แค่ความอึดอัด...แต่ตอนนี้...เขากำลังจะหายใจไม่ออก
เพราะอะไรกัน?
“54.7 ยากามิคุง!” เสียงใสตะโกนบอกเขาหลังจากสองขาก้าวผ่านจุดสิ้นสุดของการจับเวลา ตัวเลขที่ดังออกมานั้นนับว่าดีทีเดียว แต่ทำไมเขากลับรู้สึกทรมานแบบนี้แทนที่จะดีใจกระโดดโล้นเต้นดังเช่นตัวเขาในสมัยก่อน
อะไรมันผิดไปหรือยังไง?
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....” ร่างเพรียวบางล้มตัวลงนอนแผ่หลาทั้งๆที่ยังหอบหายใจหนักหน่วง แล้วเงาที่ทาบทับลงมาก็ทำให้ใจเต้นระคนหงุดหงิดในคราวเดียวกัน
“บอกว่าให้หายใจเป็นปกติก่อนค่อยนอนไง” ใบหน้าราบเรียบของเจ้าคนน่าหมั่นไส้โผล่เข้ามาในสายตาพร้อมกับน้ำขวดหนึ่ง หมอนี่คือฟูจิวาระ ทาเครุ เจ้าคนที่ไปลากแกมบังคับให้เขาต้องเข้ามาอยู่ในชมรมวิ่งวิบากทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะเฉียดเข้ามาใกล้เลยสักนิด ท่าทางที่เหมือนกับว่าโลกทั้งใบมีแต่ Stride ของหมอนั่นมันทำให้เขาไม่อยากจะยอมแพ้...ก็เลยกลายเป็นว่าต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับทุกคนในชมรมวิ่งวิบากทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจมาก่อนซะแบบนั้น
จนตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว...ที่เขากับหมอนั่นวิ่งอยู่เคียงข้างกัน
“รู้แล้วน่า...” มือชุ่มเหงื่อสะบัดไปรับขวดน้ำมาก่อนจะลุกขึ้นนั่งชันเข่าเอาไว้ กางเกงกีฬาขาสั้นไหลลงไปกองที่โคนขาแต่เพราะมีกางเกงซับในสีดำอยู่เขาจึงไม่ใส่ใจท่านั่งของตัวเองนัก ผู้ชายที่ไหนก็นั่งแบบนี้ทั้งนั้นแหละ มือยกขวดน้ำขึ้นจ่อปากก่อนจะเงยหน้ากระดกมันเข้าไปอย่างไม่สนใจเจ้าคนที่ยืนจ้องเอาๆอย่างไม่คิดจะปิดบังนั่น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะขนลุกกับสายตาของหมอนั่น แต่เพราะอยู่ด้วยกันจนเคยชินทำให้เขาเลิกใส่ใจไอ้คนบ้ากล้ามเนื้อขานั่นไปได้ในที่สุด อยากจะมองขาเขานักก็มองไปเถอะ เห็นแล้วมันรู้สึกดีตรงไหนเขาก็ไม่เข้าใจ?
และเพราะเป็นคนง่ายๆไม่คิดอะไรมากแบบนั้นแหละ...เขาจึงไม่เคยรู้ตัวเลย...ว่าสายตาที่มองมายังร่างกายของเขานั้น...มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่...
“เวลาดีใช้ได้เลยนะยากามิคุง” ซากุไรซังดอกไม้หนึ่งเดียวในทีมวิ่งวิบากเหม็นเหงื่อก้มลงมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทำเอาเผลอคิดไปเลยว่า...อ้า~ นางฟ้าของผม~
“ขอดูสถิติของวันนี้ทั้งหมดหน่อย” แต่แล้วเสียงทุ้มของเจ้าฟูจิวาระก็เข้ามาขัดบรรยากาศแสนหวานให้เขาได้แต่นั่งฟึดฟัดอยู่คนเดียวในเมื่อตอนนี้ทั้งคู่กำลังยืนดูข้อมูลในแท็บเล็ตจนหัวแทบจะชนกัน
นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองคนทั้งสองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ถึงจะสูงไล่เลี่ยกับเขาแต่ฟูจิวาระกลับมีร่างกายที่หนากว่า แผงอกแข็งแรงนั่นคงจะปกป้องร่างกายเล็กๆของซากุไรซังได้ดีกว่าเขา ใบหน้าของทั้งคู่เงยขึ้นมามองกันเป็นระยะๆถึงจะมีแต่ซากุไรซังที่ส่งยิ้มไปให้แต่ฟูจิวาระก็ส่งสายตาที่อบอุ่นคืนกลับมา รอบกายของทั้งสองคนราวกับมีอาณาเขตที่มองไม่เห็นมากางกั้นเอาไว้ ความรู้สึกที่เหมือนถูกกันออกมานี้มันคืออะไร
ทรมาน...หรือนี่จะคือสาเหตุแห่งความทรมานของเขา...
ใช่แล้ว...การวิ่งไม่ได้ทรมาน แต่การที่เขาจะต้องมาเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่างหากล่ะที่ทรมาน!
เขาไม่รู้หรอกว่าทั้งคู่รู้สึกยังไงต่อกัน ไม่อยากจะรู้ด้วย แต่พักหลังๆมานี้ทั้งสองคนคุยกันบ่อยขึ้นจนแม้แต่เขายังรู้สึกได้ ทั้งตอนอยู่ในชมรม ทั้งตอนอยู่ในห้องเรียน
และเขา...ซึ่งต้องอยู่ทั้งสองที่นั้นเช่นกันก็มองเห็นมันมาตลอด...
เห็นมาตลอด พอๆกับความรู้สึกทรมานอย่างหาสาเหตุไม่ได้ของเขาที่มีแต่จะมากขึ้นทุกทีๆ
สำหรับเขา ฟูจิวาระน่ะเป็นเพื่อน เป็นคู่แข่ง เป็นคู่ซ้อม เป็นผู้คุม? ส่วนซากุไรซังก็คงจะเป็นคนที่เขาชอบ?...เขาถึงได้รู้สึกปวดในหัวใจเมื่อเห็นทั้งคู่สนิทสนมจนมีแนวโน้มที่จะเป็นคนรักกันแบบนั้น....
เขาคงจะชอบซากุไรซังจริงๆนั่นแหละ...ถึงได้ไม่ชอบใจเวลาที่ฟูจิวาระเข้าไปใกล้ๆ....
อยากจะแยกทั้งคู่ออกจากกัน อยากจะผลักฟูจิวาระออกไปไกลๆ อยากจะดึงซากุไรซังให้เดินตามมา อยากจะ อยากจะ อยากจะ!!!
สองขาก้าวพรวดๆออกมาจากบรรยากาศดีๆตรงนั้น ต่อให้ในใจจะร่ำร้องอย่างบ้าคลั่งแค่ไหน...แต่เขาก็ทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้
ในเมื่อคนที่ต้องเลือกนั้นไม่ใช่เขา...แต่เป็นซากุไรซังต่างหาก
ร่างเพรียวบางหลับหูหลับตาวิ่งรวดเดียวกลับมาถึงห้องชมรมที่บัดนี้มีเพียงกระดานหมากรุกตั้งอยู่อย่างเดียวดาย...ยังไม่มีใครกลับมาสินะ? แหงละก็เพิ่งจะซ้อมไปได้ไม่ถึงครึ่งเองนี่นา
เมื่อก่อนก็อยู่ด้วยกันสามคนบ่อยๆไม่เห็นจะเป็นแบบนี้...คงจะเป็นเพราะอยู่ด้วยกันจนความรู้สึกมันค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆละมั้ง เขาถึงได้เพิ่งมารู้ตัวเอาป่านนี้ว่าตัวเองกำลังมีความรัก?
“เฮ้อ....” ร่างทั้งร่างทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าล็อคเกอร์พลางถอนหายใจ...ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่ารู้สึกดีกับซากุไรซังตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่ไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาแบบนี้...แถมคู่แข่งยังเป็นเพื่อนซี้ที่อยู่ด้วยกันตลอดอีกนี่สิ
“ปัดโธ่~~” สองมือยกขึ้นมาขยี้หัวจนเส้นผมสีชาที่อุตส่าห์รวบมัดไว้ครึ่งหัวชี้โด่ชี้เด่ นัยน์ตาสีทับทิมพยายามกวาดมองหาอะไรก็ตามที่จะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวน่ารังเกียจนี้หายไปเสียที
แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งเข้า...ของรุ่นพี่โคฮินาตะหรือเปล่านะ?
มือบางจึงหยิบมันขึ้นมา หน้าปกมีรูปเด็กสาวในชุดนักเรียนหนึ่งคนกับเด็กหนุ่มอีกสองคน...แล้วทำไมยิ่งอ่าน สถานการณ์มันก็ยิ่งคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น...
“อ๊า~ พอที รักสามเส้าอะไรกันเล่า~!!” ริมฝีปากสีระเรื่อโวยวายพร้อมกับปาหนังสือการ์ตูนเจ้าปัญหาที่ราวกับว่ากำลังเขียนเรื่องราวของเขาในตอนนี้ซะแบบนั้น
“กลับมาแล้วคร้าบ~~” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับรุ่นพี่ปีสองของชมรมทั้งสองคนก้าวขาเข้ามาในจังหวะที่หนังสือการ์ตูนกระแทกข้างฝาพอดี...
“ว๊าก!! ริคุ! นายกล้าปาหนังสือการ์ตูนของชั้นงั้นเหรอ~ อย่างงี้มันต้องโดนโคฮินาตะพั้นท์!” รุ่นพี่โคฮินาตะเจ้าของหนังสือกระโดดใส่เขาทันที ถึงรุ่นพี่จะตัวเล็กแต่แรงก็มากพอจะจับเขาล็อคคอก่อนจะจี้ลงมาที่เอวทั้งสองข้าง...พั้นท์บ้าอะไรไหงกลายเป็นจั๊กจี้เขาแบบนี้ล่ะ?!
“อะ ฮ๊ะๆๆๆ พอเถอะครับรุ่นพี่~!” ใบหน้ามนหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ถึงจะกำลังขุ่นมัวแต่เจอแบบนี้เข้าไปใครจะทนได้
“สำนึกผิดแล้วสินะ!” เสียงเข้มดังอยู่ข้างหลังทั้งๆที่มือเล็กๆนั่นยังจี้เอวเขาอย่างไม่ปรานี ฝ่ามือทั้งสองข้างจึงตบลงไปที่พื้นโซฟาด้วยท่าทางทรมาน
“คร้าบ~~” เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออกอีกรอบ
ฟูจิวาระก้าวขาเข้ามาก่อนจะเหยียดมองด้วยสายตาทะมึนทำให้แก๊งสามบ้าหยุดเล่นกันจนได้ก่อนจะค่อยๆแยกย้ายกันไปคนละมุมห้อง...ก็ไอ้สายตาที่มองมาอย่างกับพวกเขาไร้สาระนั่นมันน่าเจ็บใจนี่นา จะจริงจังไปไหนนักหนาก็ไม่รู้
ร่างเพรียวที่ยังหอบหายใจจากการหัวเราะนั่งลงบนม้านั่งยาว เงาดำๆขยับตามพื้นจนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“ยากามิ เรายังซ้อมกันไม่เสร็จ” คำพูดขวานฝ่าซากแบบมะนาวไม่มีน้ำนั่นมันน่าโมโหจริงๆ เขาหนีกลับมาแทนที่จะถามสักคำว่าเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนหรือไงกลับพูดถึงแต่เรื่องซ้อมๆๆอย่างเดียว!
“พอแล้วละวันนี้ นายเองก็เหอะ เอาแต่ซ้อมๆๆ ระวังจะหาแฟนไม่ได้! เชอะ!” เขาพูดออกไปด้วยอารมณ์เซ็งๆ ก็คนมันไม่อยากจะกลับไปเห็นภาพบาดตาพวกนั้นแล้วนี่ ผิดตรงไหน?!
ฟูจิวาระมองลงมาด้วยสายตานิ่งๆ หมอนี่คงเคยชินแล้วมั้งเวลาที่เขางอแงไม่ยอมไปซ้อมขึ้นมาแล้วเจ้าบ้านี่ก็จะมีสารพัดวิธีที่จะลากเขาไปจนได้...
แต่วันนี้เจ้าฟูจิวาระกลับมาแปลก เพราะหมอนั่นดันนั่งลงข้างๆพลางรูดซิปเสื้อวอร์มลง
“วันนี้พอแค่นี้ก็ได้ เพราะนายทำเวลาได้ดีทุกรอบ” เห๋?...รู้ดีตลอดเลยนะหมอนี่ หรือเมื่อกี้ที่ขอซากุไรซังดูจะเป็นสถิติและข้อมูลของเขากันน้า~
คงจะเป็นข้อดีของเขาแหละที่เป็นคนไม่คิดอะไรนานๆ ตอนนี้เขาถึงได้นั่งโยกตัวหน้าทีหลังทีอยู่บนเก้าอี้...จู่ๆก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเลยแหะ? เพราะอะไรกันหว่า?
“แล้วก็...แฟนไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับนายและชั้นในตอนนี้ ไม่มีนั่นแหละดีแล้ว” ใบหน้านิ่งหันมามองเขาตรงๆทำเอาเขาถึงกับตาค้าง ก็แทนที่เจ้าฟูจิวาระจะพูดเป็นความนัยน์ว่าไม่จำเป็นต้องหาแฟนเพราะมีซากุไรซังอยู่แล้ว แทนที่จะเยาะเย้ยเขา เจ้าบ้าตรงหน้ากลับพูดออกมาแบบนั้นซะงั้น
“หวะ...แห้งเหี่ยวชะมัด ฮึๆๆ” เขาหันหน้าหนีก่อนจะกลั้นหัวเราะเต็มที่...เพราะงั้นถึงได้ไม่รู้...ว่าอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาแบบไหน...
มันเป็นสายตา...ของคนที่กำลังเก็บซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ข้างใน...
เวลาเกือบปีบางทีก็ทำให้คนเราคุ้นเคยกับการอยู่ใกล้ใครบางคนจนลืมตัวได้เหมือนกัน...
ร่างเพรียวบางเดินถือสมุดเล่มหนึ่งซึ่งมีปากกาเสียบง่ายๆเข้าไปในห้องเรียนคหกรรมด้วยท่าทางสบายๆ รอยยิ้มกับใบหน้าสดใสที่พูดคุยเล่นหัวกับคนอื่นๆอย่างเป็นกันเองทำให้รอบตัว ยากามิ ริคุ นั้นรายล้อมไปด้วยเพื่อนๆมากมายทั้งชายและหญิง
แต่คนที่มักจะอยู่ข้างๆเขาจริงๆและแทบจะตลอดเวลากลับมีเพียง ฟูจิวาระ ทาเครุ เพียงคนเดียว
มือบางดึงเก้าอี้ออกมาจากใต้โต๊ะแบบกลุ่ม แทบจะไม่ต้องมองก็รู้เลยว่า ไม่ซ้ายก็ขวามือของเขานี่แหละที่หมอนั่นจะนั่งตามลงมา
ด้วยความที่เป็นคนง่ายๆไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่าไหร่ เขาถึงเพิ่งจะมาสังเกตเห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าคนที่มักจะนั่งอยู่ข้างกายเขาไม่ว่าจะเป็นที่ชมรม ตอนเดินทางไปแข่ง หรือตอนอยู่ในห้องเรียน ก็คือฟูจิวาระ
เขาไม่รู้ว่าหมอนั่นจงใจ หรือไม่มีใครคบนอกจากเขา หรือจะเป็นเพราะเราตัวเท่าๆกัน ตอนอยู่ในชมรมจึงมักต้องจับคู่ซ้อมจับคู่วอร์มด้วยกันจนหมอนั่นเคยชิน? หรือบางทีหมอนั่นอาจจะคิดว่าการอยู่ใกล้ๆเขาอาจจะทำให้เราสามารถสื่อถึงกันซึ่งเป็นผลดีตอนเปลี่ยนตัวเวลาแข่งวิ่งวิบากก็ไม่รู้นะ
เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง ตราบใดที่หมอนี่ไม่ได้อยู่ใกล้ซากุไรซังเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก
“เอาละ วันนี้เราจะฝึกเย็บผ้าด้วยวิธีด้นกันนะ” เสียงอาจารย์ประจำวิชาตะโกนปาวๆอยู่หน้าห้องทำให้เสียงเจี๊ยวจ้าวเงียบลงทันที
“หยิบผ้าที่อยู่ตรงหน้าพวกเธอขึ้นมาคนละชิ้น จากนั้นเอาปากกาเขียนผ้านี่วาดรูปหรือจะเขียนคำอะไรก็ได้ จากนั้นก็ให้ด้นตามรอยที่เขียนไว้ หมดชั่วโมงแล้วเอามาส่งครูด้วย”
“เห๋~~....” เสียงครางอย่างเกียจคร้านดังจากฝั่งนักเรียนชายทันที แต่เขากลับนึกสนุก มือจึงเอื้อมไปหยิบผ้าสีแดงขึ้นมาแล้วขีดๆเขียนๆอะไรบางอย่างลงไป แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาก็คงไปสะกิดสายตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นของเจ้าฟูจิวาระเข้า หมอนั่นถึงได้ชะโงกหน้ามาดูว่าเขาเขียนอะไร
“น่ะ....” หมอนั่นชะงักค้างไปหลายวินาทีก่อนจะมองหน้าเขาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือที่หนากว่าเขาเล็กน้อยเอื้อมไปหยิบปากกาเขียนผ้าขึ้นมาบ้างก่อนจะขีดๆเขียนๆลงไปบนผ้าสีน้ำเงินของตัวเอง สีหน้าเอาจริงเอาจังทำให้เขายื่นหน้าเข้าไปดูบ้างว่าฟูจิวาระกำลังเขียนอะไร
“เฮ้ย?! นี่ชั้นเหรอ? ต้องหล่อกว่านี้สิ? ตาก็ไม่น่าจะโตเท่านี้ด้วยนะ?” เขาวิพากษ์วิจารณ์ลายเส้นยึกยือที่หมอนั่นวาดลงบนผ้า แหงละที่เขารู้ว่ารูปนั่นคือเขาก็เพราะบนผ้าของเขาเองก็วาดเป็นรูปเจ้าแว่นฟูจิวาระเช่นกัน
“ยุ่ง...” เสียงทุ้มนิ่งๆเอ่ยออกมาก่อนจะเหลือบตาขึ้นมามองหน้าเขาก่อนจะขีดๆเขียนๆเส้นผมลงไป เขายิ้มท้าทายไปให้หมอนั่นก่อนจะแข่งกันสอยเข็มลงไปตามรอยที่วาดเอาไว้อย่างเมามัน
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังอยู่บนใบหน้าของเขา คิดดูก็แล้วกันว่าการเย็บผ้าที่ผู้ชายหน้าไหนก็ต้องร้องยี้ แต่แค่เขาอยู่กับหมอนี่งานน่าเบื่อพวกนี้กลับสนุกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ...สนุก...เหมือนตอนที่ได้วิ่งอยู่เคียงข้างกัน
“เย้~~ ชั้นเสร็จก่อน!!” กรรไกรถูกตัดลงไปบนด้ายสีขาวก่อนที่เขาจะชูผ้าขึ้นอย่างผู้ชนะ
“ก็ของนายเส้นน้อยกว่า จะเสร็จก่อนมันก็ธรรมดา” ใบหน้านิ่งภายใต้กรอบแว่นนั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งๆที่มือยังจ้วงเข็มเอาๆ แล้วในที่สุดใบหน้าราวกับนางเอกการ์ตูนตาหวานของเขาจากฝีมือของเจ้าฟูจิวาระก็สำเร็จเสร็จสิ้นจนได้
“ชั้นจะเอามันไปแปะไว้ที่หน้าล็อคเกอร์ชมรม” แล้วเสียงนิ่งนั่นก็ทำเอาเขาอ้าปากค้าง จะเอาหน้าไม่สมประกอบของเขาไปแปะประจานให้พวกรุ่นพี่ดูงั้นเร๊อะ แกนะแก~
“ถ้างั้นชั้นก็จะเอาหน้านายไปแปะไว้หน้าล็อคเกอร์ของชั้นเหมือนกัน! หึๆ” อย่าคิดว่าจะทำให้เขาอับอายได้คนเดียวนะ! เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะหัวเราะอย่างภาคภูมิใจแล้วก้าวขาออกไปเพื่อเอาผ้านั่นไปส่งอาจารย์
เพราะงั้นเขาจึงไม่เห็น...ว่าใบหน้าภายใต้กรอบแว่นมันกำลังมีรอยแดงระเรื่อปรากฏอยู่บนโหนกแก้ม...
สองขาก้าวผ่านกลุ่มที่ซากุไรซังนั่งอยู่ นัยน์ตาจึงเหลือบมองโดยอัตโนมัติ
เห๋~....ชมรมวิ่งวิบากสู้ๆ!
อ่า...ก็เขียนได้สมกับที่เป็นซากุไรซังละนะ
เขายิ้มแฉ่งให้เด็กสาวก่อนจะก้าวขาเดินต่อไป...เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ?
ฝ่าเท้าหยุดยืนอยู่ที่หลังห้องก่อนจะหันกลับไปมองที่โต๊ะของซากุไรซังอีกครั้งอย่างเพิ่งจะนึกขึ้นได้...นอกจากซากุไรซังแล้ว กลุ่มนั้นยังมีเพื่อนผู้ชายในห้องนั่งอยู่อีกสองคน
เอ๋?...ทำไมกันล่ะ? ทั้งๆที่กำลังมีผู้ชายคนอื่นเข้าใกล้ซากุไรซังแต่เขากลับไม่นึกหึงไม่นึกหวง ไม่ได้สะกิดใจอะไรเลยด้วยซ้ำ?
เขาไม่ได้จะต้องพาลใส่ผู้ชายทั้งโลกที่คิดจะเข้าใกล้ซากุไรซังหรอกเหรอ?
เขาชอบเธอไม่ใช่หรือไงกัน?
มันยังไงกันนะ???
ร้านยากามิเบเกอรี่นั้นยุ่งสุดชีวิตเสมอเมื่อวันเสาร์อาทิตย์มาเยือน
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่พนักงานดันมาลาคลอดพร้อมกันถึงสองคนแบบนี้ เพราะฉะนั้นแม้แต่ลูกชายของร้านที่อบขนมปังยังไม่เป็นก็ยังต้องมาช่วย
“อยากให้โทโมเอะมาเห็นจริงๆ ว่าในขณะที่ตัวเองซ้อมวิ่งชิลๆอยู่ที่เซนได น้องชายที่น่ารักอย่างชั้นต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหน!” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาที่มัดไว้ครึ่งหัวบ่นเป็นหมีกินผึ้งในขณะที่กำลังเช็ดแก้วมือเป็นระวิง ตั้งแต่เช้ามาเขาก็ต้องช่วยงานที่ร้านของครอบครัวจนแทบไม่ได้โงหัว ขายขนมปังยังไม่พอดันเปิดเป็นร้านกาแฟด้วยนี่สิถึงได้ยุ่งตัวเป็นเกรียวกันขนาดนี้!
“บ่นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกน่า ยังไงซะพี่เค้าก็ไม่คิดจะรับช่วงต่อร้านอยู่แล้ว ปล่อยๆไปเถอะ” คนเป็นแม่เองก็วิ่งวุ่นอยู่แถวๆเครื่องทำกาแฟแต่ก็ยังสามารถพูดคุยกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระได้อยู่
“ห๋า? แล้วผมล่ะ? บอกตอนไหนว่าจะทำร้านนี่ต่อให้น่ะ?” ใบหน้ามนหันไปมองคนเป็นแม่ก่อนจะหันกลับมาเช็ดแก้วกาแฟงกๆต่อ
“บ้านเราก็ไม่เหลือใครแล้วนะริคุ...แล้วลูกน่ะเหมาะจะตายไป แม่มั่นใจเลยว่าหน้าตาท่าทางอย่างลูกคงจะไปหากินอย่างอื่นไม่ได้หรอก” ห๊ะ?! ความมั่นใจนั่นมันยังไงกัน? ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนถูกด่าชอบกล?
“แม่นะแม่!” แต่ก่อนจะได้ชวนทะเลาะ เสียงของพ่อที่ยืนอยู่หลังเคาเตอร์ก็ตะโกนขัดเสียก่อน
“รับออเดอร์โต๊ะสองด้วย”
“คร้าบ~” มือบางวางแก้วลงก่อนจะหยิบสมุดจดแล้วเดินออกมาหน้าร้านที่แน่นขนัดไปด้วยผู้หญิง สมกับที่เป็นร้านเบเกอรรี่จริงๆน้า~
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังบ่งบอกว่ามีแขกมาเยือน ริมฝีปากสีระเรื่อจึงกล่าวคำต้อนรับตามอัตโนมัติ
“ยินดีต้อนรับครับ! อ้าว นายเองเหรอ? เข้าไปนั่งรอในห้องเปลี่ยนเสื้อก่อนสิ!” แล้วคนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ดวงตาสีทับทิมของเขาเป็นประกาย ก็มีแค่ช่วงเวลานี้นี่แหละที่เขาดีใจที่ได้เห็นหน้าเจ้าบ้าฟูจิวาระ!
“ฟูจิวาระคุงมาแล้วเหรอ? หน้าบานเชียวนะริคุ!” คนเป็นแม่โผล่ออกมาจากหลังเครื่องทำกาแฟก่อนจะหันมาดุระคนหมั่นไส้ให้ลูกชายคนเล็กของตน
หึๆๆ ก็จะไม่ให้เขายิ้มหน้าบานได้ไง ในเมื่อแม่สัญญากับเขาเอาไว้ว่าจะปล่อยให้ไปซ้อมวิ่งได้ในช่วงเย็นซึ่งมันเป็นช่วงเดียวในวันเสาร์อาทิตย์ที่เขาจะมีอิสระ~ แล้วเจ้าฟูจิวาระก็มักจะแวะมารับเขาเป็นการบ่งบอกว่าได้เวลาออกไปวิ่งแล้ว!
“ไปก่อนละนะคร้าบ~” เขาหันไปยิ้มกริ่มให้ผู้เป็นแม่ที่ยืนหน้าหงิกอยู่หลังเคาน์เตอร์ แล้วก้าวขาตามฟูจิวาระเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับพนักงาน
“นี่ฟูจิวาระคุง ขากลับมาแวะเอาขนมปังกลับไปด้วยนะ แม่ลองอบสูตรใหม่ ลองเอาไปกินแล้วก็ช่วยบอกหน่อยว่าเป็นไงบ้าง” แม่ยังไม่วายโผล่หน้าเข้ามาบอก จะว่าไปหมอนี่ก็สนิทสนมกับครอบครัวของเขาไปโดยปริยาย เพราะดูเหมือนพ่อกับแม่จะวางใจที่จะให้หมอนี่คอยดูแลเขาแทนโทโมเอะ พี่ชายที่ย้ายไปเรียนต่อที่อื่น...ชิ...เขาไม่ใช่เด็กๆแล้วเสียหน่อย ไม่เห็นจะต้องมีใครคอยดูแลเลย!
“ครับ” ใบหน้านิ่งตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแม่จึงถอยกลับไป
“รอแป๊บนะ” เขาก้าวขาไปหาล็อคเกอร์ของตัวเอง ชุดพนักงานของร้านเป็นแบบตะวันตกซึ่งจะมีผ้ากันเปื้อนสีดำคาดไว้ที่เอวทำให้ต้องใช้เวลาถอดมากกว่าชุดนักเรียนเยอะ
นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองกระจกเงาซึ่งมันทำให้เขาเห็นว่าฟูจิวาระก็ยังคงจ้องมองเขาตรงๆเหมือนทุกครั้งไม่เปลี่ยน...เจ้าคนบ้ากล้ามเนื้อนั่น...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าร่างกายของเขามันน่าดูตรงไหน? มือปลดผ้ากันเปื้อนสีดำออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่เป็นเพราะไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียนหรือชุดวอร์มบางทีก็เลยรู้สึกประหม่ากับสายตาของหมอนั่นอยู่เหมือนกัน...ยิ่งพักหลังๆมานี้กลับรู้สึกอายแปลกๆ....
“เดี๋ยวชั้นออกไปรอข้างนอก” เสียงทุ้มพูดจาห้วนๆตามปกติก่อนที่ฟูจิวาระจะเดินออกไปทิ้งให้เขามึนงง
เอ๋? แปลกแหะ? ปกติเห็นชอบจ้องอย่างกับพวกโรคจิตแท้ๆ แล้ววันนี้เป็นอะไรของหมอนั่น? เขามองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยสีหน้างงๆ
จะว่าไปเขาเองก็เคยชินเกินไปแล้ว หมอนั่นไม่มองก็ดีแล้วนี่? แต่ก็นะจะไม่ให้ชินได้ไงในเมื่อทุกวันก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องชมรมด้วยกันตลอด ไหนจะวิชาพละเอย อาบน้ำด้วยกันก็เคยมาแล้วนี่นะ
รองเท้าสำหรับวิ่งวิบากถูกสวมเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนที่มือจะปิดตู้ล็อคเกอร์ เขาเตรียมจะก้าวขาออกไปในขณะที่นัยน์ตาสีทับทิมก็กวาดมองหาฟูจิวาระ ไปรออยู่ตรงไหนของหมอนั่นกันนะ?
อ่ะ เจอแล้ว ยืนรออยู่ที่หน้าร้านเลยนี่นา
แต่ก่อนที่จะได้เดินเข้าไปหา สองขากลับหยุดชะงักเอาเสียดื้อๆ...เมื่อมองเห็นว่าฟูจิวาระไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว...
มีผู้หญิงสองสามคนยืนรายล้อมอยู่ ดูเหมือนพวกนั้นจะพยายามชวนหมอนั่นคุยซึ่งใบหน้านิ่งๆนั่นแทนที่จะเมินเฉยตามปกติกลับพูดคุยด้วย? สงสัยผู้หญิงพวกนั้นจะชวนคุยเรื่องวิ่งวิบากล่ะสิ?
แล้วทำไม...
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจแบบนี้?
ไม่อยากให้ฟูจิวาระคุยกับผู้หญิงพวกนั้น ไม่อยากเห็นรอยยิ้มที่หมอนั่นส่งให้คนอื่น
เขารู้สึก...ทรมาน....
เอ๋?...
แล้วทำไมจู่ๆเขาก็รู้สึกแบบนี้ขึ้นมาล่ะ?
ในเมื่อตรงนี้ไม่มีซากุไรซังอยู่เสียหน่อย?
แล้วทำไมเขาถึงได้รู้สึกไม่พอใจ ไม่ชอบใจที่ฟูจิวาระเข้าไปใกล้ผู้หญิงพวกนั้น...ทั้งๆที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ซากุไรซัง...?
เดี๋ยวนะริคุ...
เอาใหม่...ตั้งสติแล้วคิดให้ดี....
ถ้าเขาชอบซากุไรซังมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะหึงหวงไม่อยากให้ผู้ชายหน้าไหนเข้าใกล้ แน่นอนว่ารวมถึงฟูจิวาระด้วย
แต่ตอนนี้ซากุไรซังไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่เขาก็ยังรู้สึกหึงหวง...นั่นหมายความว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้หวงซากุไรซัง...แต่คนที่เขาหวงคือฟูจิวาระ? เขาไม่อยากให้ซากุไรซังเข้าใกล้ฟูจิวาระต่างหาก?
มือบางยกขึ้นมาปิดปากที่อ้าค้างเพราะเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
เขาไม่ได้ชอบซากุไรซัง...
แต่คนที่เขาชอบคือฟูจิวาระ?!!
แย่แล้ว...
แบบนี้แย่แน่ๆ...
นี่มัน...เลวร้ายที่สุดเลยไม่ใช่หรือไง ริคุ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be con.
นี่มัน...เลวร้ายที่สุดเลยไม่ใช่หรือไง คุณกวาง......
อ๊ากกกกกกก เอาหัวโขกกำแพงหนักมากเพื่อขออภัยที่สร้างไหใหม่แบบไม่ปรึกษาใคร >[ ]< ก็ริคุจะน่ารักทำไมเล่า งื้อๆๆๆ
เอาเถอะ...ไหนๆก็สร้างมาแล้วนี่นะ ทำไงได้ TvT เพราะงั้นมาแนะนำตัวละครสำหรับคนที่ยังไม่เคยดู Prince of Stride กันดีก่า *w*
Yagami Riku ค่ะ หนุ่มม.ปลายปีหนึ่ง น่ารักสดใส >////<
Fujiwara Takeru นี่ก็ม.ปลายปีหนึ่งเหมือนกันค่ะ
และรูปตอนสองคนอยู่ด้วยกัน อันเป็นสาเหตุแห่งการจิ้นฟฟฟฟฟ
คือตัวอนิเมะจะเน้นไปที่เรื่องราวของชมรมวิ่งวิบากหรือ Stride คุณกวางดูไปก็จิ้นไปว่า เอ...แล้วเวลาปกติตอนที่ไม่ได้อยู่ชมรมนี่เป็นไงกันบ้างน้า~~ =w= ในฟิคก็เลยน่าจะเน้นไปทางนั้นน่ะค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามฟิคสายฟ้าแล่บเรื่องนี้ด้วยนาคะ TvT จริงๆหลุดจากแนวที่ถนัดมาพอสมควร555 ปกติไม่ค่อยแต่งฟิคที่ไม่ใช่ Au เท่าไหร่ งานนี้เลยต้องรีวนดูอนิเมะหลายรอบเลยเพื่อเก็บรายละเอียด อิอิ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า m(_ _)m
ก่อนไปแอบแปะเพลงที่ฟังอยู่ตอนแต่งฟิคเรื่องนี้ซะหน่อย >////< เพราะอ่า~~ อยากทำ MAD ทาเครุริคุ มากให้ตายฟฟฟฟฟ
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก่อนอื่นเลยเค้าต้องขอบคุณพี่กวางมากๆที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา
ตอบลบคือเค้าดูเรื่องนี้แล้ว เค้าคิดว่ามันสนุกนะ น่ารักดีอ่ะ แต่แอบเสียใจที่มันไม่บูม นักพากย์เองก็ดีๆทั้งนั้น ยังกะขนมาจาก KNB ฮ่าๆๆ เพราะงั้นขอบคุณค่ะ เลอค่าจริงๆ
สำหรับฟิค พี่กวางก็ยังคือพี่กวาง แม่ก็คือแม่ อันนี้ชาบู คือชอบความคิดนุ้งริคุมากกกกกกกกกกกกกกกกกก สมควรแล้วที่ให้น้องเป็นตัวเดินเรื่อง คือแบบดีงาม ชอบที่ริคุมองว่าทาเครุคุงเป็นทั้งคู่แข่งและเพื่อนซี้อ่ะค่ะ แล้วชอบตอนที่ทาเครุคุงมายื่นมือฉุดริคุยืนขึ้น ง๊ากกก ฉากนี้ในอฟช.ก็กรี๊ดไปที มาเจอฟิคพี่กวางยิ่งกรี๊ดไปใหญ่ ชอบเวลาสองคนนี้จับมือกัน
คือมันดูมีซัมติง เคมีวิ้งๆแปลกๆ เหมือนไม่ใช่แค่เพื่อนกัน นักกีฬาจับมือแท็กมือกันเยอะไป แต่ไม่มีใครฟินได้เท่าสองคนนี้ งือออออ ชอบความสัมพันธ์
เขินกับสายตาของทาเครุคุงค่ะ เขินมากกกกกกกกกกก!! ยิ่งอ่านยิ่งเขินอะไรมากมาย จ้องซะ >/////< คือชอบตอนที่ทาเครุออกไปตอนริคุจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก >////< กรี๊ด กลัวห้ามใจไม่ไหวล่ะเซ่ กลัวจะเอาจริงตั้งแต่ตอนแรกใช่ไหมล่ะ // เดี๋ยวๆ ทำไมเม้นท์นี้เริ่มหื่น ทำไมยังไม่จบเรื่องเอาจริง ฮ่าๆๆๆๆๆ
น่ารักมากๆค่ะ น่ารักอีกรอบก็ตอนเย็บผ้า งืออออออออ อันนี้ยิ้มแก้มแตกเลยจริงๆ น่ารักมาก เขินเว่อร์ ชอบตอนที่ทาเครุคุงหน้าแดงง่ะ ฮือออออ ดีใจ นุ้งริคุ ขุ่นมี้ว่าหนูไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแปลกไป ไอ้คนข้างๆหนูมันก็แปลกไปเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ คือพี่กวาง พี่กวางเขียนออกมาดีมาก ในเรื่องของความสัมพันธ์ของสองคนนี้ เรื่องความคิดความอ่านของกันและกัน สุดยอดมาก เหมือนเอาอฟช.มาวางเลยค่ะ รักษาคาร์แร็กเตอร์สุดยอด
ชอบตอนที่ริคุบอก ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็มีฟูจิวาระนี่แหล่ะที่อยู่ข้างกัน >////< มันคงเริ่มรู้ตัวแล้วสินะ ว่าตัวเองได้ไปอยู่ในสายตาของใครตลอดเวลา ตัวเองมีค่าและเป็นที่จับตามองของใครบางคนมากแค่ไหน งื้ออออออออออออออ น่ารักกกกกกกกกกกก
จิตามต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ เม้นท์อะไรไม่รู้เรื่องโปรดอภัย สติโดนแดเมจตั้งแต่เห็นพี่กวางขึ้นสถานะ ฮ่าๆๆๆๆ คืออยากเชียร์ให้แต่งนานแล้ว แต่กลัวงานเยอะ ขอบคุณสำหรับฟิคค่า >w<
ชอบตอนจบมากค่ะ!
ตอบลบฉากที่พีคที่สุดก็ตอนที่ไฮทัชกันแล้วฟุจิวาระบอก "ฉันรักนาย" แล้วน้องก็น้ำไหลพรากๆๆๆ
#ไม่ใช่แล้วววว# คือตอนนั้นไม่สนแล้วว่าบทจะเป็นยังไงแต่พระเอกต้องพูดประโยคนี้แหละนายเอกถึงร้องไห้ได้5555+