Attack on Titan Au.Fic [Levi xEren] Ryuusei : 03


Attack on Titan Au.Fic [Levi xEren]  Ryuusei : 03

: Attack on Titan Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
    : และเพื่อให้ชื่อตัวละครเข้ากับท้องเรื่องซึ่งเป็นฟิคแนวย้อนยุคของญี่ปุ่นจึงขอดัดแปลงชื่อจากคุณรีไวเป็น อาคามะ ริวาอิ , เอเลนเป็น โกคุเดระ เรน
         






สายตาคมกล้ากวาดมองไปรอบๆบริเวณที่ม้ายืนอยู่ แล้วเขาก็พบกับรองเท้าคู่หนึ่งซึ่งถูกทิ้งเอาไว้ใต้ต้นไม้?

ถ้าเป็นเสือก็ไม่น่าจะกินเหลือแต่รองเท้าสะอาดเอี่ยมแบบนี้หรอก...น่าจะเป็นเจ้าเด็กนั่นตั้งใจทิ้งมันเอาไว้ตรงนี้มากกว่า...ถ้างั้น...ทำไมถึงทิ้งเอาไว้แต่รองเท้าล่ะ?

ใบหน้าคมเงยขึ้นไปบนต้นไม้อย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากอีก เพราะคงมีเหตุผลไม่กี่ข้อหรอกที่คนเราจะถอดรองเท้าทิ้งไว้ในป่าที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ดูไม่น่าเดินแบบนี้...แล้วในที่สุดเขาก็หาตัวเจ้าเด็กจากอิสุเจอจนได้

ใบหน้าคมเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก...อย่างน้อยเจ้าเด็กนั่นมันก็ไม่ได้โดนเสือขย้ำตาย แต่มานอนหลับน่าหมั่นไส้ในขณะที่เขากังวลแทบบ้าอยู่บนต้นไม้นั่น!

ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกยืนเท้าสะเอวแหงนคอมองเจ้าคนที่ยังหลับน้ำลายย้อยอยู่บนต้นไม้ ใบหน้ามนหลับพริ้มในขณะที่ท่อนแขนและลำตัวบางกอดอิงกับลำต้นขนาดใหญ่นั่นเอาไว้แทนหมอนข้าง...ช่างดูน่าสบายเสียจริงนะ

“โฮ่ย!”    เสียงทุ้มตะโกนปลุกให้คนบนต้นไม้ลืมตาตื่นขึ้นมา สงสัยว่าจะได้นอนเต็มที่วันนี้เจ้าเด็กนั่นเลยตื่นง่ายกว่าเมื่อวาน

“อือ....?...”   มือบางยกขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย

“เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก ตื่นได้แล้ว!”    แล้วเสียงของเขาก็ทำให้เจ้าคนขี้เซาถึงกับตื่นเต็มตา ใบหน้ามนแสดงอาการตกใจอย่างไม่คิดจะปิดบังเมื่อก้มลงมาแล้วเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้

“ท่าน!”   ท่าทางของเด็กนั่นบ่งบอกว่าไม่ไว้ใจเขาอย่างชัดเจน  แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อเขาเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนั้นด้วยมือของเขาเอง

“ลงมาได้แล้ว”   เขาเอ่ยบอกพลางเตรียมจะเดินกลับไปที่ม้า ทั้งๆที่คิดว่าเจอบทเรียนที่เขาสอนให้ จากนี้ไปเจ้าเด็กนั่นก็คงจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ คงจะกลัวเขา คงจะก้มหน้าก้มตาทำตามที่เขาสั่งอย่างไม่กล้าขัดขืน  ทว่า  เจ้าคนข้างบนนั่นกลับต่างไปจากที่คิดแล้วมันก็ทำให้เขาคิ้วกระตุกขึ้นมาอีกจนได้

“ไม่ลง! ข้ารู้นะว่าท่านจะมาพาข้าไปปล่อยทิ้งไว้ที่ป่าไหนอีก คราวนี้ข้าไม่เชื่อท่านแล้ว!   เสียงใสตะโกนถ้อยคำที่ไม่เคยมีใครกล้าใช้กับเขา ไม่เคยมีใครปฏิเสธหรือกล้าโต้แย้งต่อคำสั่งของเขาเพราะงั้นท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกจึงหันกลับไปด้วยใบหน้าหงุดหงิด เส้นประสาทที่ขมับกำลังเต้นตุบๆและมันก็ทำให้เสียงทุ้มที่ราบเรียบอยู่เสมอเริ่มขึ้นเสียงดังเรื่อยๆ

“ลงมา!

“ไม่ลง!

“บอกให้ลงมาเดี๋ยวนี้!

“ให้ตายข้าก็ไม่ลง!   สันกรามบนใบหน้าคมเริ่มกัดกันกรอดๆเมื่อเจ้าตัวดียังส่ายหน้าไปมา ยิ่งแก้มป่องพองลมก่อนจะแล่บลิ้นให้เขามันก็ยิ่งทำให้เส้นความอดทนที่บางกว่าคนอื่นหลายเท่าใกล้จะขาดรอนๆ...ตั้งแต่เกิดมาเป็นอาคามะ ริวาอิก็ไม่เคยมีใครกระตุกต่อมอยากทำร้ายของเขาได้มากมายขนาดนี้มาก่อน...เจ้าเด็กนั่นมันน่านัก! ถ้าจับได้เมื่อไหร่จะตีให้ก้นลายเลยคอยดู!

“บอกให้ลงมาไง จะลงดีๆไหม?!   นัยน์ตาดุดันยังคงจับจ้องไปที่เจ้าเด็กอวดดีที่คิดว่าคงจะหนีเขาพ้นละสิถ้าอยู่บนต้นไม้แบบนั้น

“ไม่ลง!  ริมฝีปากช่างเจรจาตะโกนตอบกลับมาทันที ใบหน้ามนที่มีแววซุกซนยังคงปฏิเสธเขาเสียงแข็ง หัวสีน้ำตาลสะบัดไปมาจนเส้นผมยาวที่มัดไว้เกี่ยวกับกิ่งไม้จนยุ่งไปหมด

“ดี...ไม่ลงมาดีนักใช่ไหม....ได้...รออยู่ตรงนั้นล่ะ ข้าจะขึ้นไปลากเจ้าลงมาเอง!”    แล้วเส้นความอดทนของเขาก็ขาดลงจนได้ ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นไม่ยอมลงมาแต่โดยดีเขาก็จะขึ้นไปลากมันลงมาเอง! ว่าแล้วร่างแข็งแกร่งก็เริ่มปีนต้นไม้ด้วยความชำนาญ

“อ๊ะ?!”   คนที่นั่งอยู่บนต้นไม้จากที่เคยคิดว่าเหนือกว่ากลับเริ่มอ้าปากพะงาบๆ....เจ้าท่านแม่ทัพบ้า~ จะตามข้าขึ้นมาทำไม~ แล้วเจ้าเป็นแม่ทัพประสาอะไรถึงได้ปีนต้นไม้เก่งยิ่งกว่าลิงแบบนั้นล่ะ? ขนาดเขากว่าจะปีนมาถึงนี่ได้ก็หอบแฮ่กแทบตายเลยนะเมื่อคืน

ร่างโปร่งที่นั่งห้อยขาสบายใจอยู่จนถึงเมื่อครู่เริ่มมีท่าทางตื่นๆเพราะคนที่กำลังปีนขึ้นมานั้นเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่จับจ้องอยู่ที่เขาราวกับเสือมองเหยื่อทำให้นั่งอยู่นิ่งๆไม่ได้อีก นายน้อยแห่งอิสุจึงลุกขึ้นก่อนจะปีนหนี

“ลงไปนะ! อย่าตามข้ามานะ!”   เสียงใสตะโกนโวยวายบอกคนข้างล่าง สองแขนบางๆยังคงพยายามปีนตามกิ่งน้อยใหญ่ขึ้นไปอีกแต่คนที่ไล่อยู่ก็ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านกับคำห้ามนั่น

รอยยิ้มเย็นๆเผยอยู่บนใบหน้าคมเมื่อสายตาดุดันมองเห็นเจ้าตัวดีปีนหนีขึ้นไปอีก...จากที่เคยหงุดหงิดกลับเริ่มสนุกสนานกับการล่าเหยื่อที่ยังไงก็ไม่มีทางหนีเขาพ้น...ดี...หนีเข้า...หนีเข้าไป! เพราะท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็จะต้องเป็นฝ่ายโดนข้าจัดการแน่นอน!

แต่เหยื่อรายนี้มันก็แสบสันกว่าที่คิดหลายเท่าและไม่ยอมให้เขาจับได้ง่ายๆ

ร่างโปร่งบางจู่ๆก็หยุดอยู่ที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง  นัยน์ตาสีมรกตซุกซนหันไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้วมันก็เป็นอะไรที่ทำให้เขาถึงกับผงะ เหงื่อถึงกับไหลลงไปตามขมับใต้ไรผมสีดำอย่างห้ามไม่อยู่....

ก็ไอ้อะไรที่ว่านั่นน่ะ...มันคือรังมดแดงรังใหญ่เลยน่ะสิ!!

“โฮ่ย...อย่านะ...”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปเมื่อมือบางๆนั่นเอื้อมไปหักกิ่งไม้ที่รังมดแดงห้อยอยู่อย่างไม่คิดจะฟัง ใบหน้ามนก้มลงมาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขาราวกับผู้กุมชัยชนะ...

“ขอโทษนะเจ้ามดแดง แต่คนที่ผิดคือผู้ชายคนนั้น เพราะงั้นจงกัดมันซะ! นี่แน่ะๆๆ!    แล้วมือบางๆนั่นก็เขย่ารังมดแดงจนมดทั้งรังแตกตื่น มดหลายร้อยหลายพันตัวที่ร่วงลงมาจึงรุมกัดเขาด้วยความโกรธแค้นทันที

“นี่เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!   มือแข็งแรงจำต้องหยุดการปีนต้นไม้เพื่อหันมาปัดป้องฝูงมดแดงที่ร่วงลงมา ปากเล็กๆนับร้อยที่กัดไปตามผิวเนื้อและมัดกล้ามเล่นเอาเจ็บแสบพอๆกับตอนที่โดนดาบฟันในสนามรบเลยก็ว่าได้ มือใหญ่ทั้งปัดทั้งสะบัดพวกมันออกจากร่างกายแต่ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆในเมื่อเขายังห้อยอยู่บนต้นไม้แบบนี้ ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกที่ไม่เคยเสียท่าใครกำลังจะเสียท่าเจ้าเด็กเมื่อวานซืนด้วยกองกำลังตัวกระจิ๋วเดียวอย่างมดแดงเนี่ยนะ? รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น!

“ฮ่าๆๆๆ สมน้ำหน้า!”   ยิ่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจดังอยู่บนหัวเขาเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งทำให้ใบหน้าคมกัดฟันกรอดมากขึ้นเท่านั้น คิดเหรอว่าแค่รังมดแดงจะมาทำอะไรคนอย่างอาคามะ ริวาอิได้ อย่ามาล้อเล่นนะเจ้าเด็กเหลือขอ!

มือใหญ่ปลดยูกาตะท่อนบนออกเหลือแต่ท่อนล่างเพื่อให้มดที่เกาะอยู่ตามเสื้อร่วงลงไป ใบหน้าคมเงยขึ้นมองเป้าหมายก่อนปีนต้นไม้ต่ออย่างไม่สนใจมดแดงอีกหลายตัวที่ยังเกาะอยู่ตามมัดกล้าม เขาจะต้องจับเจ้าเด็กนั่นแล้วลากตัวมันลงไปทำโทษให้ได้!

“เหว๋อ~~!!”   จากที่เคยหัวเราะเยาะกลับต้องผวาขึ้นมาทันทีเมื่อคนที่โดนมดแดงเล่นงานดันไม่ยอมรามือแต่กลับยังปีนขึ้นมาด้วยใบหน้าสยองขวัญยิ่งกว่าเดิม ใบหน้ามนมองสลับระหว่างข้างบนกับข้างล่าง ถึงทางจะให้หนีมันเหลือน้อยเต็มทีแต่เขาคงอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วละ

“ยังไม่เข็ดอีกหรือไง! อย่าตามมานะ! ไม่งั้นข้าจะสะบัดรังมดแดงใส่เจ้าอีก!”   ใบหน้าคมเงยมองเจ้าคนปากดีที่กำลังปีนหนีอย่างลุกลี้ลุกลน...ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคงไม่มีรังมดแดงอย่างที่พูดนั่นหรอก ไม่งั้นจะหนีเขาแบบเอาเป็นเอาตายแบบนั้นเหรอ

และเมื่อรู้แบบนั้นร่างแข็งแกร่งก็ยิ่งเร่งความเร็วด้วยรอยยิ้มร้าย ต่อให้ยังเหลือมดกัดให้แสบๆคันๆตามกล้ามหน้าท้องและลาดไหล่หนาอยู่บ้าง ทว่า เกมการไล่ล่าเจ้าตัวดีที่อยู่ข้างบนก็ทำให้เขาลืมมันไปจนหมดสิ้น ในสายตามีแต่เจ้าลูกหมานั่นเท่านั้นและเขาจะต้องจับมันให้ได้!

“อ๊ะ? ว๊ากกกก~~!!”   และแล้วมือแข็งแรงก็คว้าข้อเท้าบางข้างหนึ่งได้สำเร็จ เจ้าเด็กจากอิสุสะดุ้งโหยงก่อนจะแหกปากลั่นอย่างตื่นกลัว แขนที่กล้ามเป็นมัดๆดึงลำตัวบางลงมาก่อนจะรับเอาไว้ในอ้อมกอด ผิวเนื้อเปลือยเปล่าที่ยังมีรอยมดกัดแดงๆรัดร่างโปร่งบางเอาไว้แน่น


หึ...ในที่สุดก็จับได้!


“อยู่นิ่งๆ! อยากจะตกลงไปหรือไง?!”   เสียงทุ้มดุเจ้าตัวดีที่ยังดิ้นไม่หยุด ใบหน้ามนเหยเกและมีเหงื่อแตกพลั่ก..คงจะรู้สินะว่าจากนี้ไปต้องโดนเขาลงโทษขนาดหนักแน่ๆ

“ปล่อยข้านะ~~”   เพราะงั้นเจ้าตัวดีถึงได้แหกปากลั่นทั้งๆที่ถูกเขายกขึ้นพาดบ่าแล้วพาปีนต้นไม้ลงมา

ฝ่าเท้าแตะพื้นอย่างรวดเร็วแต่ท่อนแขนก็ยังรัดพันเอวบางๆนั่นแน่น เจ้าเด็กแสบถึงได้ยังดิ้นพลาดๆอยู่บนไหล่ของเขา...หึ...อย่าหวังว่าคราวนี้จะหนีไปจากเขาได้ง่ายๆอีก!


ตู้ม!!


ท่อนแขนแข็งแรงโยนร่างโปร่งบางลงไปในลำธารที่อยู่ไม่ไกล เจ้าลูกหมาตกน้ำได้แต่ตะเกียกตะกายขึ้นมา ทว่า เขาก็ลุยน้ำลงไปรวบจับข้อมือบางไม่ให้ไปไหน

“เอามดออกให้ข้าเดี๋ยวนี้ เร็วๆ!”   ที่เขาลงน้ำก็เพราะส่วนหนึ่งต้องการจะสลัดมดให้หมด ร่างแข็งแกร่งจึงหันหลังให้ร่างโปร่งบางก่อนจะเอ่ยสั่งเพราะเขายังรู้สึกว่าโดนกัดอยู่บนแผ่นหลัง

“ท่านก็ปล่อยมือข้าสิ!”   เสียงใสตะโกนบอกเขาหลังจากสำลักน้ำจนหัวหูเปียกลู่ มือแข็งแรงจึงยอมปล่อยมือบางไปข้างหนึ่ง แต่แทนที่มันจะช่วยหยิบมดออกให้ กลับเป็นปากดีๆนั่นงับมาที่ไหล่ของเขาแทน

“โอ๊ย!”   ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกเผลออุทานออกไปเพราะไม่คิดว่าจะโดนกัด มือที่จับข้อมือบางเอาไว้จึงเผลอปล่อยจนอีกฝ่ายถอยห่างออกไปได้ 

“เจ้า!”   นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองรอยฟันอันสวยงามเรียงอยู่บนหัวไหล่ก่อนจะเงยมองเจ้าตัวดีที่ยืนยิ้มอย่างสะใจอยู่ไม่ห่าง...เจ้าลูกหมานี่...มันต้องจับตีให้ก้นลายเลยจริงๆแบบนี้!

ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครวิ่งลุยน้ำเพื่อไล่จับร่างโปร่งบางที่แน่นอนว่าไม่ยอมยืนนิ่งๆให้จับอยู่แล้ว  นายน้อยแห่งอิสุพยายามวิ่งหนีฝ่ากระแสน้ำที่ไหลอย่างเอื่อยเฉย แต่ก่อนที่จะขึ้นฝั่งได้อีกไม่กี่ก้าว เอวบางก็ถูกมือแข็งแรงรั้งเอาไว้จนได้

“ปล่อยข้าน้า~~”   แขนขาบางยังคงตะกุยตะกายจนน้ำแตกเป็นละออง ท่อนแขนแข็งแรงจึงต้องกอดรัดคนที่ยังดิ้นไม่หยุดนั่นเอาไว้จนแผ่นหลังบางแนบชิดจนแทบจะจมหายลงไปในแผงอก

“สะบัดรังมดแดงใส่ข้า แล้วยังกัดข้าอีก กล้าดีนักนะ!”  มือแข็งแรงพลิกลำตัวบางให้หันหน้ามาหาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโมโหหรือเป็นเพราะความหมั่นไส้ใบหน้าได้ใจของเจ้าเด็กแสบนี่กัน เขาถึงได้คิดบทลงโทษไม่ออกนอกจากบดขยี้ริมฝีปากลงไปบนกลีบปากที่เตรียมจะอ้าออกเพื่อเถียงเขานั่น!

“อื้อ?!”   สองมือประคองสองแก้มบังคับให้รับจูบที่ถูกยัดเยียดให้ นัยน์ตากลมโตได้แต่ตะลึงตะลานจนลิ้นร้อนสอดเข้ามานานแล้วถึงได้รู้ตัวว่าต้องผลักไส  เพราะไม่รู้ว่านี่มันคืออะไรทำให้นายน้อยแห่งอิสุปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างมึนงง

ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับเอวบางทั้งๆที่ยังยืนอยู่ในน้ำ จูบหวานล้ำและไร้เดียงสาที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบกลับทำให้ถลำลึกโดยไม่รู้ตัว กว่าจะยอมปล่อยไปได้ลมหายใจก็แทบจะถูกสูบไปหมด

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....?...”   ใบหน้ามนเงยขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกจึงปั้นสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้นลงไป ร่างแข็งแกร่งขยับเข้าใกล้และมันก็ทำให้ร่างโปร่งบางผงะถอยหลัง มือใหญ่เลยรีบคว้าข้อมือบางก่อนที่คนตรงหน้าจะหนีไปอีก

“กลับไปกับข้า”   เสียงทุ้มเอ่ยบอกแค่นั้นก่อนจะลากร่างโปร่งบางขึ้นจากน้ำ ในเมื่อร่างแข็งแกร่งไม่ยอมพูดว่าจูบนั่นมันคืออะไรคนที่ถูกกระทำเลยปิดปากเงียบไม่ถาม เพราะก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นถามยังไงเหมือนกัน การกระทำดิบเถื่อนที่ดูเหมือนจะไร้ความหมายนั้นจึงถูกปล่อยให้ค้างคาอยู่ในใจของทั้งสองฝ่ายต่อไป

“อ๊ะ!”   นายน้อยแห่งอิสุที่เพิ่งจะนึกได้ว่าตอนนี้ตนถูกจับเอาไว้จึงเริ่มดิ้นหนีอีกครั้ง ร่างโปร่งหมุนตัวกลับเพื่อหนีไปอีกทาง เดือดร้อนร่างแข็งแกร่งที่ต้องใช้แรงทั้งหมดกอดเอวบางๆนั่นเอาไว้ แต่เจ้าลูกหมาตัวดีก็ยังทั้งเตะทั้งต่อยจนน้ำแตกกระจาย เรียกว่าดื้อเสียจนนึกอยากจะต่อยท้องให้สลบแล้วค่อยอุ้มกลับไปจริงๆ


โฮกกก....


ทว่า...เสียงคำรามของอะไรบางอย่างก็ทำให้การต่อสู้ที่อยู่ในน้ำชะงักค้าง  ร่างโปร่งบางนิ่งงันไปเมื่อได้ยินเสียงกรอบแกร่บดังอยู่ที่ริมตลิ่ง ใบหน้าทั้งคู่ต่างหันไปมองมันช้าๆ นัยน์ตาคมกล้าจับจ้องไปที่ผู้มาใหม่และกลิ่นสาบรุนแรงก็ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามันคือตัวอะไร...ไม่ต้องเห็นเขาก็รู้ว่ามันต้องมีลายพาดกลอนอยู่บนตัวแน่ๆ

ริมฝีปากถึงกับสบถเมื่อนัยน์ตาเหลือบไปมองดาบที่เขาทิ้งไว้ที่ชายน้ำ อยู่มาตั้งนานทำไมไอ้เสือบ้านั่นถึงเพิ่งมาโผล่เอาป่านนี้...ตอนที่เขาไม่มีดาบอยู่กับตัวพอดีนี่น่ะ!

เงาตะคุ่มๆที่อยู่ในพุ่มไม้ส่งกลิ่นไออันตรายจนขนาดเจ้าเด็กจากอิสุยังรู้สึกได้ มือบางที่เคยทั้งข่วนทั้งผลักกลับเกาะมาที่แขนเขา ร่างโปร่งที่เคยทั้งเตะทั้งถีบกลับขยับไปยืนหลบอยู่ข้างหลังอย่างรู้งาน...ทีแบบนี้ละกลัวขึ้นมาเชียวนะ...เจ้าเสือนั่นมันน่ากลัวกว่าเขาตรงไหนกัน?!

คิดแล้วก็ไม่รู้จะส่ายหน้าหรือจะเจ็บใจดี...เห็นทีเขาคงต้องทำให้เห็นเสียแล้ว...ว่าเขาน่ะน่ากลัวกว่าเจ้าลายพาดกลอนนั่นหลายเท่า!

นัยน์ตาคมกล้าจึงหันไปมองเจ้าของดวงตาลุกวาวที่จ้องเขม็งมาที่เขาเช่นกัน จิตสังหารถูกปล่อยออกไปเต็มที่แต่ดูท่าเจ้าเสือหนุ่มนั่นก็จะมั่นใจในตัวเองเช่นกัน มันถึงได้ยังคำรามฮื่อๆแต่ก็ไม่ถอยหนี

มือที่เกาะแขนเขาอยู่สั่นน้อยๆ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวดังมาจากข้างหลัง...กลัวเป็นเหมือนกันสินะเจ้าลูกหมานั่น...หึ...และมันก็ทำให้เขาเผลอหัวเราะเบาๆในลำคอโดยไม่รู้ตัว

“ยืนอยู่ตรงนี้นิ่งๆล่ะ เดี๋ยวข้าจัดการมันเอง”   มือใหญ่ยกไปแตะมือบางเบาๆก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองที่ดาบคู่กายเขม็ง...ขอแค่หยิบดาบนั่นได้...ขอแค่หยิบดาบนั่นให้ได้!

แล้วสองขาก็ก้าวออกไปราวกับสายลม ฝ่ามือเอื้อมไปหยิบดาบก่อนจะใช้ฝ่าเท้าหยุดตัวเองเอาไว้จนฝุ่นตลบ


โฮกกกก!!


เสียงคำรามดังลั่น เจ้าเสือนั่นมันนึกว่าเขาจะเข้าไปจู่โจม มันเลยพุ่งพรวดออกมาทันที กรงเล็บสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นประกายแล้วท่อนแขนของเขาก็ตวัดดาบตามสัญชาติญาณ


โฮกกกกก!


เจ้าสัตว์หน้าขนยังคงคำรามอย่างต่อเนื่องในขณะที่กระโดดหลบดาบไปได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด นัยน์ตาสีเหลืองดวงมหึมายังคงจ้องเขาเขม็ง สี่เท้าปุกปุยเดินวนด้วยท่าทางราวกับราชสีห์ที่ถอยห่างออกไปประเมินกำลังของศัตรู ยิ่งมันรู้ว่าหัวใจของเขายังเต้นด้วยจังหวะปกติ จิตสังหารที่ปล่อยออกไปก็ยังไม่สั่นคลอน แถมดาบในมือเขาก็คมกล้าไม่น้อยไปกว่ากงเล็บของมัน มันเองก็คงจะรู้ตัวว่าเอาชนะเขาลำบาก เพราะเช่นนั้น...มันจึงหันไปเล่นงานคนที่ยืนตัวสั่นพั่บๆอยู่ในน้ำแทน!!!

“เรน!”   เป็นครั้งแรกที่เขาตะโกนเรียกชื่อเด็กนั่นและเขาก็ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย  เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าเสือร้ายนั่นมันจะสู้ถึงขนาดไม่ได้กัดเขาอย่างน้อยก็ขอให้ได้ขย้ำหนึ่งในเราสองคนก็ยังดี!

ร่างที่หนักเป็นร้อยๆกิโลพุ่งเข้าใส่คนที่ยืนตะลึงอยู่ในน้ำ แขนบางทำได้แค่ยกขึ้นมาป้องกันตัวเองก่อนจะหลับตาปี๋เพื่อรอรับความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวที่ยาวโง้งนั่น 


ตู้ม!!


เสียงกระโจนลงน้ำทำให้นัยน์ตาสีมรกตเปิดขึ้นมาดูด้วยความหวังว่าร่างแข็งแกร่งจะมาช่วยทัน แต่แล้วสิ่งที่โถมเข้ามาจนเห็นเต็มสองตาก็มีเพียงแค่ลายพาดกลอนสีเหลืองสลับดำเท่านั้น

“อ๊ะ!”   แล้วในขณะที่คิดว่าคงจะถูกกัดตายอย่างไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยขนที่กำลังแยกเขี้ยวใส่อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ถูกมือแข็งแรงคู่หนึ่งยันเอาไว้ ใบหน้านิ่งสนิทของเจ้าของมือทำให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง หัวใจดวงน้อยที่เต้นระรัวอย่างตื่นกลัวเอ่อล้นไปด้วยความอุ่นใจทันทีทั้งๆที่เสือนั่นมันยังคำรามไม่หยุด แต่เป็นเพราะหัวถูกจับเอาไว้ด้วยมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็ก ปากของมันจึงใช้การไม่ได้ อุ้งเท้าหนาจึงกางกงเล็บขึ้นมาหมายจะตะปบ ทว่า...


ฉั้วะ!!!


ดาบในมืออีกข้างของท่านแม่ทัพตวัดตัดคอมันได้อย่างง่ายดาย หัวสีเหลืองสลับดำลอยกระเด็นไปในชั่วพริบตา!

และถึงมันจะเร็วมากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของนายน้อยแห่งอิสุ ร่างโปร่งถึงกับทรุดนั่งลงไปในน้ำอย่างหมดแรงในขณะที่มองความแข็งแกร่งของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกชื่นชม ใบหน้าคมนั่นไม่ได้สะทกสะท้านต่อพละกำลังของเสือเลยสักนิด ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามใช้สันดาบผลักร่างไร้วิญญาณที่หนักเป็นร้อยกิโลออกไปจากร่างของตัวเอง

มีเลือดไหลลงมาตามท่อนแขนแข็งแรง นัยน์ตาสีมรกตจึงเพิ่งเห็นว่าแขนเสื้อยูคาตะสีเข้มนั่นถูกกงเล็บฉีกจนขาดวิ่น

“ท่านบาดเจ็บ...”   ร่างโปร่งรีบถลาเข้าไปดูอย่างเป็นห่วง เพราะถึงอีกฝ่ายจะเป็นแม่ทัพไร้ยางอายที่เอาแต่กลั่นแกล้งเขา แต่ชั่ววินาทีที่เขาจะโดนทำร้าย ผู้ชายคนนี้กลับยื่นมือมาช่วยอย่างไม่ลังเล ไม่กลัวด้วยว่าตัวเองจะบาดเจ็บ...เขายังจำใบหน้านิ่งๆที่ยันหน้าเสือออกไปจากคอของเขาได้ดี...เป็นเพราะภาพนั้นหรือเปล่านะที่ทำให้ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้ชายใจร้ายคนนี้เริ่มจะเปลี่ยนไป...

“อ่าใช่...ข้าบาดเจ็บก็เพราะเจ้า ถูกมดกัด แล้วยังถูกเสือตะปบเอา ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น สำนึกในความผิดของตัวเองแล้วกลับไปให้ข้าลงโทษแต่โดยดี”   แต่แล้วความรู้สึกที่คิดว่ากำลังจะเปลี่ยนไปกลับชะงักกึกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำกวนโมโหพวกนั้น มือบางเลิกแขนยูกาตะสีเข้มขึ้นดูแล้วก็เห็นแค่รอยเท่าแมวข่วน...อ้อ...เลือดที่เห็นว่าเยอะแยะมากมายนี่คงจะเป็นของเจ้าเสือที่น่าสงสารนั่นเองสินะ...

“ข้าไม่กลับไปกับท่านหรอก!”   ใบหน้ามนสะบัดให้ ร่างโปร่งตวัดตัวเตรียมจะหนีแต่ท่อนแขนแข็งแรงก็คว้าเอาเอวบางไว้ได้ทันที ท่านแม่ทัพเผยรอยยิ้มร้ายบนใบหน้า...เขารู้แล้วว่าเจ้าลูกหมานี่ไวยิ่งกว่าปรอท เพราะงั้นไม่มีทางทำหลุดมือเป็นครั้งที่สองแน่

“กลับกันได้แล้ว! ข้าเหนื่อยเพราะเจ้าเต็มที สงสัยต้องเอาไปขังไว้ในคุกใต้ดินสักสองวันสองคืนถึงจะสำนึกสินะแบบนี้”   เสียงทุ้มเอ่ยขู่ทำให้คนที่ถูกยกพาดอยู่บนบ่าถึงกับนิ่งค้าง

“อะ เอางี้ไหมล่ะ...ถะ ถ้าข้ายอมกลับไปกับท่านดีๆ...ท่านต้องสัญญาว่าจะไม่ขังข้าไว้ในคุกใต้ดิน ตกลงนะ!”   น่าน...ต่อรองเองแล้วก็ตกลงเองเสร็จสรรพ เขาไม่เคยเจอใครที่ใช้เล่ห์กลได้หน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตาย

“ก็ได้...ข้าจะไม่ขังเจ้าไว้ในคุกใต้ดิน...แต่ข้าจะขังเจ้าไว้ในห้องของข้า”   แล้วทันทีที่จบประโยคร่างบนบ่าก็ดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย  ริมฝีปากช่างเจรจาตะโกนลั่นป่าจนสิงสาราสัตว์แตกกระเจิง

“แบบนั้นให้ข้าอยู่ในคุกใต้ดินเสียยังดีกว่า! ปล่อยข้านะเจ้าแม่ทัพไร้ยางอาย! ปล่อยข้าๆๆ!”   แรงน้อยนิดดิ้นขลุกขลักไปตลอดทาง บอกตามตรงมันไม่ได้ระแคะระคายผิวเขาเลยสักนิด ท่อนแขนแข็งแรงยกลำตัวบางพาดไว้บนหลังม้าก่อนจะกระโดดตามขึ้นไป สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามล็อคคนที่ยังขัดขืนเอาไว้จนหมดหนทางหนีแต่เจ้าลูกหมาตัวดีก็ยังทั้งกัดทั้งข่วน

ใบหน้าคมได้แต่ยิ้มมุมปากกับการดิ้นรนที่ไร้ความหมายนั่น...ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่การปราบพยศเจ้าเด็กนี่กลับทำให้เขารู้สึกสนุกพอๆกับการบดขยี้กองทัพของศัตรูเลยก็ว่าได้

ก็นับว่าไม่เลวนักหรอก...คนที่อิสุส่งมานี่น่ะ...






ม้าสีดำสองตัวควบทะยานผ่านผืนป่าหนาทึบไปและไม่ถึงชั่วยามก็กลับมาถึงปราสาทมัตสึโมโตะจนได้

ถึงทหารยามและข้ารับใช้ที่มารอรับจะแปลกใจที่ทั้งคู่ขี่ม้าตัวเดียวกันมา แต่สภาพของท่านแม่ทัพกลับทำให้คนทั้งปราสาทประหลาดใจมากกว่า...ก็ขนาดออกศึกไปทั่วทั้งดินแดนตะวันตก...แม่ทัพใหญ่ของมัตสึโมโตะเคยเยินขนาดนี้เสียที่ไหน ทั้งยูกาตะที่มอมแมมแถมยังดูเปียกชื้นนิดๆ ทั้งเส้นผมสีดำที่ยุ่งเหยิงหน่อยๆ แล้วไหนจะยังรอยกัดรอยข่วนที่มีเต็มแขน ต้นคอ ลามไปจนถึงใบหน้า  ข้ารับใช้หลายๆคนถึงกับหันไปกระซิบกระซาบกันว่าท่านแม่ทัพคงเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันเข้าให้แล้วกระมัง

ยิ่งหันไปมองนายน้อยแห่งอิสุที่ถึงจะถูกยกพาดบ่าแต่ก็หาใช่จะยอมแต่โดยดี ท่อนแขนเล็กนั่นทั้งทุบทั้งตี ใบหน้ามนก็ตะโกนโวยวายไปตลอดทาง...จะว่าน่าสงสารหรือน่าเอ็นดูก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่ที่น่าแปลกอีกอย่างคือบรรยากาศรอบตัวท่านแม่ทัพกลับไม่ได้ดำมืด ไม่มีทั้งจิตสังหาร ไม่มีทั้งไออำมหิต...ถึงจะถูกก่อกวนขนาดนี้แต่ร่างแข็งแกร่งนั่นกลับดูอารมณ์ดีมากกว่าจะอารมณ์เสีย?

“เตรียมสำรับอาหารสิ จะยืนมองกันอีกนานไหม?”    จนเสียงทุ้มเอ่ยสั่งนั่นแหละ ข้ารับใช้ถึงได้รีบกระจายตัวกันให้จ้าละหวั่น

“อ้อ...ให้ทหารไปเก็บซากเสือที่ชายป่ามาด้วย”   ร่างแข็งแกร่งยังคงเอ่ยสั่งทั้งๆที่มีร่างโปร่งแยกเขี้ยวใส่อยู่บนบ่า

“ทะ ท่านแม่ทัพจะเอายาทาแผลหรือไม่เจ้าคะ? โดนเสือกัดมาหรือเปล่าเจ้าคะ?”   ข้ารับใช้คนหนึ่งถามออกมาในขณะที่สายตาก็ไล่มองรอยแผลจางๆบนร่างแข็งแกร่ง

“ไม่ต้อง...รอยพวกนี้ลูกหมามันกัด ไม่ใช่เสือ ไม่แสบไม่คันเลยสักนิด”   แล้วคำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบกลับดูกวนประสาทเหลือเกินในความคิดของคนที่ถูกเรียกว่า “ลูกหมา”

“หนอย...”   ใบหน้ามนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างนึกหมั่นไส้...ว่าเขาเป็นลูกหมาดีนักใช่ไหม? เจอกัดไปซะนี่แน่ะ!


งั่ม!!


“โอ๊ย?!   แม่ทัพแห่งตะวันตกเผลออุทานออกมาเป็นครั้งที่สองของวันเมื่อจู่ๆก็รู้สึกถึงรอยกัดหนักๆ

“กัดข้าอีกแล้วนะเจ้าลูกหมานี่!   เพราะเผลอผ่อนแรงทำให้คนที่ถูกพาดอยู่บนไหล่ไหลตัวหนีลงมาจนได้

“สมน้ำหน้า!”  ใบหน้ามนหันมายู่หน้าใส่ ก่อนที่เจ้าตัวแสบจะวิ่งแจ้นหนีขึ้นห้องที่ปีกทิศใต้ของตัวเองไป...นี่ถ้าเขาไม่หิวจนชักจะตาลายแล้วละก็นะ....

“เอ่อ...แล้วสำรับของนายน้อยแห่งอิสุ....”  

“ยกขึ้นไปให้ที่ห้องก็แล้วกัน”   เสียงทุ้มตอบในขณะที่ยังยกมือลูบตรงรอยที่ถูกกัดปรอยๆ

“เจ้าค่ะ”   ข้ารับใช้รับคำก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินต่อไปยังห้องทานอาหารด้วยความแปลกใจ...ก็กล้ากัดท่านแม่ทัพต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้แต่ท่านแม่ทัพกลับไม่เอาความแถมยังให้ยกข้าวยกน้ำไปให้อีก...แบบนี้มันแปลกชัดๆ?








ซากเสือตัวโตถูกทหารไปตามเก็บกลับมาตามคำบัญชาของแม่ทัพแห่งตะวันตกและบัดนี้มันก็มากองอยู่ที่ลานหน้าปราสาทมัตสึโมโตะ คนทั้งปราสาทต่างลงมามุงดูความใหญ่โตของมัน ที่สำคัญคือท่านแม่ทัพสามารถจัดการกับมันได้ด้วยตัวคนเดียว ความแข็งแกร่งนั้นไร้ข้อกังขา ทว่ามันก็มีแต่จะยิ่งทำให้ผู้คนต่างกลัวเกรงชายผู้นั้นยิ่งขึ้นไปอีก

คงจะมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ...ที่กล้าขัดคำสั่งนายเหนือหัวแห่งปราสาทสีดำหลังนี้

“อะไรเล่า? ข้าจะไปอาบน้ำ ไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้นแหละ! ปล่อยข้า!”  แล้วท่านแม่ทัพก็ต้องเป็นคนไปลากนายน้อยแห่งอิสุลงมาเองหลังจากให้ทหารไปตามมากว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

“......”    ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากใบหน้านิ่งสนิท มือใหญ่จับที่ข้อมือบางก่อนจะลากให้เดินตามราวกับไม่ต้องใช้แรงอะไรมากทั้งๆที่คนเดินตามนั้นทั้งสะบัดทั้งขัดขืนสารพัด และเมื่อเดินมาถึงลานหน้าปราสาท มือใหญ่ก็เหวี่ยงจนร่างโปร่งเซถลาไปล้มลงข้างๆซากเสือตัวโต

“ลืมไปแล้วหรือไง ว่าข้ายังไม่ได้ลงโทษเจ้า”  เป็นประโยคที่ทำเอานายน้อยแห่งอิสุถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ใบหน้ามนก็ยังคงลอยไปลอยมาอย่างพยายามทำให้รู้ว่าตนไม่ได้กลัวเลยสักนิดเดียวนะ

“เราจะแล่เอาหนังเสือนั่นออกมาใช้”   เสียงทุ้มพูดออกไปให้ทุกๆคนที่ยืนอยู่รอบๆได้ยิน

“และเจ้าต้องเป็นคนทำ...โทษฐานที่เจ้าบังอาจปล่อยรังมดแดงใส่ข้า”   แต่ประโยคนี้กลับหันมาพูดกับนายน้อยแห่งอิสุเพียงคนเดียว ใบหน้าคมเหยียดยิ้มอย่างพอใจที่ได้หาเรื่องทำร้ายอีกฝ่าย แต่เจ้าเด็กเหลือขอวายร้ายมันกลับทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายยิ้มกระตุกเสียเองด้วยใบหน้าตีมึนที่มันส่งกลับมา

“เอ๋? ข้าเหรอ?”  ร่างโปร่งบางชี้นิ้วใส่ตัวเอง ใบหน้ามนทำเป็นไม่เข้าใจจนคนความอดทนต่ำถึงกับทนไม่ไหว

“เจ้านั่นแหละ! ไปทำซะ!!

“มะ ไม่เอาหรอก...ข้าจะไปทำได้ยังไง อีกอย่าง ข้ามาที่นี่ในฐานะตัวแทนสายสัมพันธ์อันดีของมัตสึโมโตะกับอิสุนะ ท่านจะมาใช้ข้าราวกับข้ารับใช้แบบนี้ไม่ได้!  ปากดีๆยังมีหน้าเถียงกลับมา แล้วสายสัมพันธ์อันดีที่ไหนเค้าปล่อยรังมดแดงใส่กันกันล่ะ? ร่างแข็งแกร่งเดินเข้าไปหาเจ้าตัวดีก่อนจะก้มลงไปพูดใกล้ๆด้วยน้ำเสียงกดดัน

“อย่าลืม...ว่าที่นี่มันปราสาทของข้า ใครอยู่ที่นี่ก็ต้องทำตามคำสั่งของข้า ถ้าข้าอยากให้เจ้าเป็นนก เจ้าก็ต้องเป็นนก ถ้าข้าอยากให้เจ้าเป็นม้า เจ้าก็ต้องเป็นม้า ถ้าข้าอยากให้เจ้าเป็นข้ารับใช้ เจ้าก็ต้องเป็นข้ารับใช้ แต่ถ้าเจ้าไม่อยากทำตามที่ข้าสั่ง เจ้าก็ต้องเป็นเมียข้า แล้วข้าจะเชื่อฟังเจ้า เอางั้นไหมล่ะ?!

“ง่ะ....”   ใบหน้ามนถึงกับผงะไปทำให้เขาลอบยิ้มอยู่ในใจ ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องอาบน้ำในคืนแรกที่เจอกันนั่นจะทำให้เด็กนี่ยังพอจะมีความกลัวเกรงเขาอยู่บ้าง

“กะ ก็ได้! แค่แล่เอาหนังมันออกมาเท่านั้นใช่ไหม?! ข้าทำก็ได้!   ใบหน้างอหงิกตอบกลับมาก่อนจะหันไปคว้ามีดที่วางอยู่ข้างๆซากเสือ

ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกถอยห่างออกมายืนมองคนที่กำลังค่อยๆหั่นซากเสืออย่างไม่เต็มใจ นัยน์ตาสีขี้เถ้าพินิจพิจารณาวิธีการจับมีดของนายน้อยแห่งอิสุอย่างละเอียด

แค่ดูวิธีการจับมีดกับความแข็งแรงของข้อมือเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กนี่ฝีมือดาบไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ออกจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำเมื่อคิดว่าใช้ชีวิตอยู่กับคนอย่างยามาโมโตะ ทาเคชิ ผู้ชายที่เค้าล่ำลือกันว่ามีฝีมือดาบเป็นเลิศที่สุดในคามาคุระ

หรือพวกอิสุไม่ได้คิดจะสอนเพลงดาบอำมหิตให้เด็กนี่ก็ไม่รู้นะ เพราะแม้แต่วิธีจับมีดที่กำลังจะบั่นร่างเสือให้เป็นชิ้นๆมันก็ยังไม่มีจิตสังหารปนอยู่สักนิด...เพราะงั้น...ตัดให้ตายมันก็ไม่ขาดหรอก...

นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหล่มองร่างโปร่งบางที่กำลังเอามีดเลื่อยหนังเสืออย่างทุลักทุเล...แทนที่เขาจะได้หนังเสือสวยๆสงสัยมันจะได้กลายเป็นหนังแมวชิ้นกะจิดริดเสียกระมังถ้ายังให้เจ้าเด็กเหลือขอไม่ได้เรื่องนี่ทำต่อ

“โฮ่ย พอได้แล้ว...ข้ารู้แล้วละว่าเจ้ามันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ พวกโกคุเดระสอนมายังไง แค่แล่หนังเสือยังทำไม่ได้ จะไปไหนก็ไป”   เสียงทุ้มแกล้งว่ากล่าวพาดพิงไปถึงคนในตระกูลโกคุเดระ และเพราะแบบนั้นเขาถึงได้เห็นสายตาเอาเรื่องของเจ้าเด็กนั่นเป็นครั้งแรก...แล้วมันก็เป็นสายตา...ที่ทำให้เขารู้สึกถูกใจขึ้นมา

“ที่บ้านข้า พวกเราเคารพต่อศพคนตาย ต่อให้เป็นเสือเราก็ไม่เคยเอาหนังมันมาใช้!”  ริมฝีปากช่างเจรจาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลที่เขาไปดูหมิ่นตระกูลของตนก่อนที่ร่างโปร่งบางนั่นจะวิ่งฟึดฟัดจากไป

หึ...จุดอ่อนอยู่ที่ญาติพี่น้องงั้นสินะ? ถ้าเขาแตะต้องหรือลบหลู่บ้านใหญ่ตระกูลโกคุเดระขึ้นมา เจ้าเด็กนั่นคงโกรธจนถึงขั้นแตกหัก?

เพราะตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ทั้งๆที่โดนเขาหยามเกียรติของตัวเองไปตั้งหลายครั้งกลับไม่เคยแสดงความไม่พอใจขนาดนั้นให้เขาเห็น

แต่ก็ช่างเถอะ...เพราะเขาก็ไม่คิดจะใส่ใจเจ้าเด็กไม่ได้ความนั่นอยู่แล้ว...ต่อให้ในภายภาคหน้าเขาอาจจะมีเรื่องให้ต้องปะทะกับพวกโกคุเดระ...ก็ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรให้มากความ...










ตอนนั้น....เขาไม่รู้เลยว่านั่นมันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่...ที่เขาละเลยต่อหัวใจซึ่งถูกหล่อหลอมมาจากบ้าน...ที่สามารถสยบปีศาจร้ายอย่างคามาคุระจนอยู่แทบเท้าได้

เขาหยิ่งทระนงในตัวเองเกินไป.....จนไม่ทันคิด...ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกคามาคุระมันจะมาเกิดขึ้นกับ...ตัวเอง










ร่างโปร่งบางเดินปึงปังขึ้นไปยังห้องของตัวเองก่อนที่นายน้อยแห่งอิสุจะหอบกระดาษม้วนใหญ่ พู่กันอันสูงท่วมหัว ถังใส่หมึกที่ยังเป็นแท่งๆ แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดลงไปยังหอชมจันทร์ที่อยู่ล่างลงไปหนึ่งชั้น

กระดาษถูกคลี่จนแทบจะเต็มพื้นห้อง หมึกถูกฝนจนมีปริมาณมากพอ แล้วไม่นานพู่กันอันใหญ่ก็จุ่มลงไป


ปึก!


หมึกสีดำสาดกระจายเมื่อปลายพู่กันปักลงไปบนกระดาษก่อนที่มันจะถูกลากด้วยท่อนแขนบอบบาง...เส้นแล้วเส้นเล่าที่เกิดขึ้นมาด้วยความบ้าคลั่ง...เป็นคำพูด...ที่อัดแน่นอยู่ในใจของนายน้อยแห่งอิสุจนแทบจะระเบิดออกมา

เส้นผมยาวสีน้ำตาลที่ถูกรวบไว้สะบัดพลิ้วไหวไปตามร่างกายที่ตวัดพู่กันไปมา แรงมหาศาลที่ต้องใช้นอกจากจะทำให้ตัวอักษรนั้นทรงพลังแต่มันก็ยังเรียกเหงื่อและละลายความโมโหความหงุดหงิดที่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นสร้างขึ้นมาได้เป็นอย่างดี...เวลาที่เขาอารมณ์เสียก็มักจะมาระบายกับการเขียนพู่กันนี่แหละ!

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”   ร่างโปร่งบางยืนหอบมองดูผลงานที่เพิ่งจะเขียนเสร็จสดๆร้อนๆ  ตอนนี้ดูเหมือนความโกรธที่ถูกดูหมิ่นมันจะเบาบางลงไปได้บ้าง  คนอะไร...ไม่รู้จักคนในบ้านของเขาดีแท้ๆแต่กลับดูถูกกันเสียได้ ถึงเขาจะไม่ได้เรื่องจริงอย่างที่ว่าแต่ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุง ท่านอาของข้าน่ะเก่งกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า เจ้าแม่ทัพไร้ยางอาย!

“หึ!”   ใบหน้ามนสะบัดใส่กระดาษที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำหมึก ก่อนจะถือถังและพู่กันไปล้าง หอชมจันทร์จึงเงียบเชียบลงอีกครั้ง

และเพราะว่ามันเป็นห้องเดียวในปราสาทปิดทึบที่เป็นบานประตูเลื่อนแบบเปิดโล่ง มันจึงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของท่านแม่ทัพยามที่ไม่ได้ว่าราชการเช่นกัน


ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครยืนตะลึงอยู่หน้ากระดาษที่กางอยู่เต็มห้อง ถึงคำที่เขียนอยู่บนนั้นมันจะเป็นคำว่า “คนใจร้าย” แถมยังมีคำว่า “บ้า” เล็กๆเขียนอยู่ข้างๆอีกตัวซึ่งมันคงจะหมายถึงเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่ทำเอาอึ้งไปคงเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

จะว่ายังไงดี...มันไม่ได้เป็นตัวอักษรที่อยู่ในระเบียบแบบแผน ไม่ใช่ตัวอักษรที่เหมือนคัดลายมือ  แต่มันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทำให้รู้ว่าคนเขียนเขียนมันด้วยความรู้สึกยังไง แต่มันก็สวยงามและทรงพลังจนสามารถสะกดสายตาคนอย่างเขาได้

ขนแขนถึงกับลุกชันเมื่อนึกภาพคนที่เขียนมันขึ้นมา....เพราะการจะเขียนได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและต้องฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจึงเหลือบมองลงไปยังร่างโปร่งบางที่วิ่งเล่นอยู่ข้างล่างอย่างทึ่งๆ

ก็มีดีกว่าที่เขาคิดอยู่เหมือนกันนะ เจ้าเด็กเหลือขอนั่น...














เพราะไม่มีอะไรจะทำทำให้นายน้อยแห่งอิสุเดินเล่นเรื่อยเปื่อยจนมาหยุดลงที่หน้าบ้านใหญ่ตระกูลอาคามะในบ่ายวันหนึ่ง

ใบหน้ามนชะเง้อชะแง้มองประตูทางเข้าอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปทักทายดีไหม จะว่าไปเขาก็มาอยู่ที่มัตสึโมโตะเป็นอาทิตย์ได้แล้ว ถ้าไม่เข้าไปเยี่ยมท่านหญิงฟุบุกิเลยมันจะน่าเกลียดหรือเปล่านะ?

เพราะแบบนั้นร่างโปร่งบางจึงตัดสินใจเดินเข้าไปโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะมา

“อ๊ะ? นายน้อยแห่งอิสุ?”   ใบหน้าสาวใช้ที่เดินมาเจอเขาเข้าตื่นตกใจอย่างกับเห็นผี ดีที่ไม่ทำถาดในมือร่วงลงไป? เป็นอะไรน่ะ? หรือไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตรอดจากเจ้าท่านแม่ทัพปีศาจร้ายจนมายืนอยู่ตรงนี้ได้?

“ท่านเจ้าเมืองอยู่ไหม? ข้ามาขอเยี่ยมท่านหญิงฟุบุกิ?”   นัยน์ตาสีมรกตลอบมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ...จะตกใจอะไรขนาดนั้นกับอิแค่เขาที่กำลังจะเป็นเขยของที่นี่มาเยือนบ้านของตัวเองในอนาคตแบบไม่บอกกล่าวแบบนี้?

“เอ่อ...คือ...ท่านเจ้าเมือง...ใช่! ท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าไปเรียนท่านเจ้าเมืองก่อน”   เขาได้แต่ยืนมองหญิงสาวลนลานวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างมึนงง? ที่บ้านนี้ก็ยังแปลกประหลาดไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งแรกที่เขามาเลยจริงๆ


ยังคงไม่มีกลิ่นไอให้รู้สึกว่าเป็น “บ้าน” เหมือนเดิม...


ร่างโปร่งบางเดินเรื่อยเข้าไปในสวนที่อยู่ด้านใน จะให้รออยู่นิ่งๆมันก็ไม่ใช่เขาเท่าไหร่ แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปแค่ไหนก็ยิ่งมีแต่ความเงียบวังเวง บรรยากาศเย็นๆพวกนี้ก็ชวนขนลุกยังไงไม่รู้ ซ้ำดอกฮิกันบานะที่ไม่น่าจะมาปลูกอยู่ในบ้านกลับบานสลอนอยู่หน้าเรือนนอนหลังหนึ่ง?

ที่นี่มีคนตายอย่างงั้นเหรอ?

แล้วทำไมทั้งท่านเจ้าเมือง ทั้งท่านแม่ทัพกลับไม่เคยบอกอะไรเขาเลย? ยังไงเขาก็เป็นหนึ่งในครอบครัวก็น่าจะต้องร่วมไว้ทุกข์ด้วย?

“เรนคุง”   เสียงสงบนิ่งทำให้ไหล่บางถึงกับสะดุ้งโหยง และเมื่อหันกลับไปก็เห็นท่านเจ้าเมืองยืนยิ้มให้อยู่บนระเบียง

“สะ สวัสดีครับ...ขออภัยที่มาเยือนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้านะครับ คือข้าเดินเล่นมาจนถึงนี่แล้วก็เลยนึกขึ้นได้ว่าน่าจะมาเยี่ยมท่านหญิงฟุบุกิเสียหน่อย...เธอเป็นยังไงบ้างครับ?”   ชายสูงวัยเหลือบมองเรือนที่ล้อมรอบไปด้วยดอกฮิกันบานะแว่บหนึ่งก่อนจะหันมาคุยกับเขาด้วยท่าทางปกติ

“พอจะพูดคุยได้บ้างแล้วละ เชิญทางนี้เถอะ”  แล้วนายน้อยแห่งอิสุก็ถูกเชิญไปอีกฝั่งของคฤหาสน์จนเหมือนอยากจะให้เขาออกห่างจากเรือนที่ถูกล้อมรอบไปด้วยดอกฮิกันบานะหลังนั้น...มันมีอะไรอยู่หรือไง? เป็นความลับที่ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้? เขาได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนจะเดินตามชายผมสีดอกเลาไป

“ที่นี่คือเรือนของฟุบุกิ ถึงจะบอกว่าพอจะพูดคุยได้แล้วแต่ลูกสาวข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเห็นสภาพไม่น่าดูของตัวเอง นางจึงอยากจะขอร้องเจ้า ว่าขอพูดคุยโดยมีประตูกั้นอยู่แบบนี้ได้หรือไม่?”   เสียงไอที่ดังอยู่ข้างหลังบานประตูกรุกระดาษสาทำให้เขาพยักหน้ารับเงื่อนไขอย่างว่าง่าย เขามีน้องสาว ถึงจะยังกะโหลกกะลาไม่รักสวยรักงามแต่ยังไงผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำ ฮายาโนะเองเวลาป่วยก็จะไม่ยอมให้พวกพี่ชายอย่างเขาเข้าใกล้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะกลัวติดแต่ไม่อยากให้เห็นสภาพน่าอายของตัวเองต่างหาก

“ท่านโกคุเดระ...ข้าขออภัยต่อท่านด้วยที่ไม่อาจออกไปต้อนรับขับสู้ท่านได้ แค่กๆ”   เสียงเย็นๆดังผ่านบานประตูออกมา เขาจึงนั่งลงไปที่ชานไม้หน้าห้อง

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ามาเยี่ยมเจ้าเพราะอยากให้เจ้าหายไวๆ ไม่ต้องคิดมากเรื่องของข้าหรอก”   เอาเข้าจริงเขาก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับหญิงสาวเรื่องอะไรเหมือนกัน เพราะแทบจะไม่รู้จักกันเลย อีกฝ่ายชอบอะไรบ้างเขาก็ไม่เคยรู้

“อยู่กับท่านพี่ ท่านคงจะเหนื่อยแย่เลย แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ท่านไม่ต้องกลัวนะ”   เลวร้ายที่สุดเลยครับ...อยากจะบอกอยู่หรอกแต่เขาก็ยั้งปากเอาไว้ทัน

“ได้ยินว่าท่านกับท่านพี่ไปเจอเสือเข้า?”   ท่านหญิงฟุบุกิพยายามชวนเขาคุย และเมื่อถูกถามถึงเรื่องราวในวันนั้น ริมฝีปากช่างเจรจาเลยพ่นสิ่งที่ตัวเองเจอมาให้ท่านหญิงฟังจนหมด

“ฮะฮะฮะ...สมเป็นท่านพี่...แต่ข้าก็เพิ่งเคยเจอคนที่กล้าสะบัดรังมดแดงใส่ท่านพี่แบบท่านนี่แหละ นับถือท่านเลยจริงๆ ฮะฮะ แค่กๆๆ”   เสียงเย็นๆนั่นหัวเราะสลับกับเสียงไอ...เขาค่อยเบาใจลงหน่อยที่อย่างน้อยท่านหญิงก็เป็นคนที่อัธยาศัยดี พูดจาน่าฟังที่สำคัญกล้าต่อว่าเจ้าแม่ทัพบ้านั่น!

“ข้า...ดีใจจริงๆที่ได้คุยกับท่านในวันนี้...ที่ผ่านมาข้าเอาแต่กังวลมาตลอดว่ามันเป็นเพราะข้าหรือเปล่าที่ทำให้ท่านต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา ท่านอาจจะอยากหนีไปเหมือนพี่ชายของท่าน....แต่ฟังจากน้ำเสียงท่านที่ดูมีความสุขดีข้าก็หมดห่วง”   เสียงที่ห่วงใยเขาอย่างจริงใจทำให้เขารู้สึกละอายที่ทำให้เธอต้องกังวล ละอายแทนพี่ชายของเขาที่ทิ้งผู้หญิงที่ดีแสนดีแบบนี้แล้วหนีไป...เขาเองก็ดีใจที่ได้มาพูดคุยกับท่านหญิงในวันนี้เช่นกัน

เพราะความรู้สึกมันเหมือนได้คุยกับเพื่อน?

เสียงไอดังถี่ขึ้นเรื่อยๆทำให้เขารู้ว่าไม่ควรจะรบกวนมากไปกว่านี้ แล้วก็ควรจะปล่อยให้เธอได้พักผ่อนเสียที เขาจึงขอตัวออกมา




สองขาเดินทอดน่องไปตามระเบียงทางเดินที่เงียบเชียบ การได้คุยกับท่านหญิงฟุบุกิทำให้เขาสบายใจ...ใช่...มันเป็นเพียงแค่ความสบายใจซึ่งยังห่างไกลจากความรักตามที่ท่านแม่บอกมากนัก

หัวใจของเขาไม่ได้เต้นตึกตัก ไม่ได้รู้สึกเขินอายจนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่ได้มีความร้อนลนยามเมื่อได้ยินเสียง ไม่ได้มีความโหยหาว่าอยากจะเห็นหน้าทุกวินาที...ไม่มีความรู้สึกเหล่านี้เลย...


เขาควรจะชอบเธอ...


เพื่ออนาคตหลังการแต่งงาน เพื่อการใช้ชีวิตคู่ให้ราบรื่น เขาควรจะรักเธอ

แต่ไม่รู้ทำไมใบหน้าโหดร้ายของพี่ชายเธอถึงได้ลอยมาขวางทุกครั้งไป!

ใบหน้ามนสะบัดไปมาจนผมหางม้าที่มัดไว้ยุ่งเหยิงไปหมด  ไม่ๆๆ มันไม่มีอะไรหรอก

ใช่...ก็แค่เขาไม่ชอบขี้หน้าเจ้าแม่ทัพไร้ยางอายชอบวางกล้ามนั่นนั่นแหละ มันถึงทำให้เขาทำใจรักหญิงสาวไม่ได้  เพราะเขาไม่อยากจะมีพี่เขยแบบนั้นสินะ เขาถึงทำใจให้รักท่านหญิงไม่ลง

ใช่...เหตุผลมันคงมีอยู่แค่นั้นแหละ...

ไม่มีอย่างอื่นหรอก...




“จะกลับแล้วรึ?”   เสียงอบอุ่นทักขึ้นเขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงเรือนรับแขกด้านหน้าคฤหาสน์แล้ว และคนที่ทักเขาก็คือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง

“ก็...ครับ...”   ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปนั่งทับส้นอยู่ตรงหน้าชายสูงวัย อย่างน้อยเขาก็รู้เรื่องมารยาทหรอกน่าว่าไม่ควรให้ผู้ใหญ่ทักทายแต่เพียงฝ่ายเดียว

“ที่มัตสึโมโตะนี่เป็นยังไงบ้าง?...พอจะทำให้เจ้าหายคิดถึงบ้านได้บ้างหรือเปล่า?”   ถ้าไม่มีลูกชายวายร้ายของท่านข้าคงอยู่สบายกว่านี้...ก็อยากจะตอบแบบนั้นไปอยู่หรอกนะ แต่ใบหน้ามนก็ทำได้แค่ยิ้มแหยๆ

“ข้าเคยชินกับการอยู่กับพี่ๆน้องๆที่วันๆมีแต่ความวุ่นวายแถมยังเสียงดังโหวกเหวกตลอดเวลา พอมาอยู่ที่นี่ก็เลยเงียบเหงาไปถนัดตา...แต่อีกหน่อยข้าก็คงชินไปเอง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก”  ใบหน้ามนยิ้มจริงใจให้ผู้ใหญ่ตรงหน้า ทุกสิ่งที่นี่ล้วนแปลกตาและมันก็ทำให้เขาสนุกสนานได้...ยกเว้นเจ้าแม่ทัพหน้าตายนั่นอย่างเดียว!

“นั่นสินะ...การอยู่คนเดียวกับการอยู่ร่วมกับพี่น้อง...มันต่างกันโดยสิ้นเชิง...ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี”  นายน้อยแห่งอิสุทำหน้าสงสัยในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด...เพราะก็เห็นท่านเจ้าเมืองอยู่คนเดียวตลอด ไม่น่าจะมีพี่น้องที่ไหน? 

ชายผมสีดอกเลามองหน้าเขาราวกับจะรู้ทัน เสียงสุขุมจึงเล่าให้ฟังทั้งๆที่ไม่ได้ถาม...

“ข้าเองก็มีพี่ชายมากมายเหมือนเจ้านั่นแหละ...”   นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึงมาก่อน

“ทุกคนล้วนเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง...แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเหลือรอดนอกจากน้องชายคนเล็กที่รักสงบอย่างข้า...พี่ชายข้าทุกคนล้วนตายอย่างสมเกียรติในสนามรบและคงไม่มีใครคิดว่ามัตสึโมโตะจะตกมาอยู่ในมือของคนที่ไม่คิดจะทำสงครามกับใครอย่างข้า”   ใบหน้าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากราบเรียบในขณะที่เล่าออกมา ท่านเจ้าเมืองคงจะเห็นความตายมาจนชาชินถึงได้มีสีหน้าราวกับปลงได้แล้วแบบนี้

“ริวาอิน่ะ เหมือนพวกลุงๆของเขา...มีเลือดนักรบของมัตสึโมโตะไหลเวียนอยู่เต็มกาย...ข้าถึงได้ห่วงเขา...กลัวว่าสักวันเขาอาจจะตายในสนามรบเหมือนพวกพี่ชายของข้า...ทั้งๆที่ต่อสู้มาตลอดแต่กลับไม่เคยได้รับความสุขจากสิ่งที่ได้มานั่นเลย”

“ที่ลูกชายของข้าเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขาไม่มีคนรัก ไม่มีผู้หญิงที่จะทำให้เขารักชีวิตและคิดที่จะกลับมาหา...ข้าก็ได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะมีคนแบบนั้นอยู่ข้างกายเสียที”

นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองไปยังสวนหินสีขาว  ใบหน้ามนรับฟังนิ่งๆเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง   


ไม่เคยคาดคิด...ว่าถ้อยคำแห่งความคาดหวังเหล่านั้น...มันจะเกี่ยวพันมาถึง...ตัวเอง









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อไป...







ว่าจะเขียนแผนที่ภูมิภาคให้ดูว่าเมืองไหนอยู่ตรงไหนแต่ยังไม่มีเวลาเยยค่ะ เพราะงั้นแปะรูปลูกหมาแก้ขัดไปก่อน // เกี่ยวกันยังง๊ายยยยย // กร๊ากกกกกก





=w=...ว่าแต่นั่นมันชุดของท่านหญิงฟุบุกิไม่ใช่หราลูก ของหนูต้องชุดเจ้าบ่าวสิ เดี๋ยวก็เป็นลาง(?)หรอก :v

ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์ทุกๆกำลังใจมากๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้า อิ๊อิ๊ >v<




1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านตอนนี้ ขำทั้งตอนเลย รีไวกับเอเลนกวนกันฮาดี

    ตอบลบ