Attack on Titan Au.Fic [Levi xEren] Ryuusei : 04


Attack on Titan Au.Fic [Levi xEren]  Ryuusei : 04

: Attack on Titan Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
    : และเพื่อให้ชื่อตัวละครเข้ากับท้องเรื่องซึ่งเป็นฟิคแนวย้อนยุคของญี่ปุ่นจึงขอดัดแปลงชื่อจากคุณรีไวเป็น อาคามะ ริวาอิ , เอเลนเป็น โกคุเดระ เรน
         






เจ้าฮิกันบานะชูช่อบานสะพรั่งล้อมเรือนหลังนั้นเอาไว้ไม่ต่างอะไรไปจากหลุมศพ

เป็นดอกไม้ที่หมายถึงความตายและการพลัดพรากจึงหายากที่ใครจะปลูกมันเอาไว้ในบ้าน...

สีแดงราวกับโลหิตจึงยังคงติดตามาจนถึงตอนนี้...





หัวสีน้ำตาลสะบัดไปมาเพื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกไป...นายน้อยแห่งอิสุนั่งทำหน้ายุ่งอยู่ที่หอชมจันทร์มาตั้งแต่ตอนเย็นจนพลบค่ำ ตั้งแต่กลับมาจากคฤหาสน์อาคามะเขาก็เอาแต่คิดถึงเรือนไม้หลังนั้นมาตลอด ก็มันน่าสงสัยไม่ใช่หรือไง? ของไม่เป็นมงคลอย่างต้นฮิกันบานะทำไมท่านเจ้าเมืองถึงได้ยอมให้เอาเข้ามาปลูกในบ้านซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของมัตสึโมโตะ?

นอกเสียจากว่าคนที่เคยอยู่ในเรือนหลังนั้นจะมีความสำคัญจนแม้แต่ความเชื่อก็ถูกมองข้ามไป? หรือไม่ก็เป็นความอัปยศที่ไม่อาจให้คนภายนอกรู้ได้ถึงได้ปลูกฮิกันบานะล้อมไว้ไม่ให้ใครเข้าใกล้?

ในเรือนหลังนั้นมันมีอะไรอยู่กันแน่นะ?...

“อ๊า~~~ สงสัยจริงๆเชียว!”   มือบางยกขึ้นมาขยี้หัวจนเส้นผมสีน้ำตาลที่มัดไว้ชี้โด่ชี้เด่

“ถ้าไม่คิดจะรักษาให้ดีก็ตัดมันซะเลยดีไหมผมเจ้าน่ะ?”   และแล้วเสียงทุ้มที่ดังขึ้นก็ทำให้ไหล่บางสะดุ้งโหยง ใบหน้ามนหันกลับไปมองประตูบานเลื่อนที่ติดกับตัวปราสาทที่เปิดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้และเจ้าท่านแม่ทัพนั่นก็มายืนพิงบานเลื่อนถือถ้วยสาเกมองเขาอยู่นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้!

“ไม่ต้องมายุ่งกับหัวของข้า”   ใบหน้ามนสะบัดกลับมามองพระจันทร์ดวงใหญ่ที่สะท้อนอยู่ในผืนน้ำรอบปราสาท...กินเหล้าแต่หัววันเลยนะเจ้าคนร้ายกาจคนนี้!

เงาวูบไหวที่ขยับอยู่ข้างกายทำให้นายน้อยแห่งอิสุตวัดสายตาไปมอง ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในยูกาตะสีน้ำเงินเข้มนั่งลงข้างๆอย่างถือวิสาสะ ขวดสาเกที่แม่ทัพแห่งตะวันตกหิ้วมาด้วยถูกวางลงไปก่อนที่ร่างแข็งแกร่งจะนั่งด้วยท่าทางสบายๆ ยูกาตะที่สวมแบบหลวมๆทำให้มองเห็นไปจนถึงหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมชายชาตรีจนคนที่ไม่มีได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะความอิจฉา

“รินสาเกให้ข้าสิ”   แล้วคำพูดที่เหมือนคำสั่งซึ่งใบหน้าคมนั่นเอ่ยออกมาก็มีแต่จะทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดยิ่งเดือดขึ้นอีกหลายเท่า

“ห๋า? ข้าไม่ใช่เกอิชานะ อยากดื่มก็รินเองเถอะ!”   ใบหน้ามนสะบัดหน้าหนีแต่จู่ๆข้อมือก็ถูกคว้าเอาไปทำให้ร่างโปร่งจำต้องเซถลาเข้าหาแผงอกของอีกฝ่ายตามแรงดึงมหาศาลนั่น

“อ๊ะ?!”   ผิวแบบผู้ชายที่ใบหน้ามนปะทะเข้าเต็มๆทำให้นัยน์ตาสีมรกตเบิกค้าง กลิ่นสาเกโชยออกมาอ่อนๆทำให้รู้สึกมึนเมาจนแก้มใสร้อนผ่าว

“จะรินดีๆไหม?”   ถึงใบหน้าคมจะยังนิ่งเฉยแต่ในใจกำลังพอใจกับการได้เห็นใบหน้าตื่นๆของเจ้าเด็กนี่  นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบลงไปมองใบหน้าแดงระเรื่อที่ห่างจากแผงอกของตนไม่ถึงคืบ การได้ทรมานอีกฝ่ายทำให้รู้สึกดียิ่งกว่าการบดขยี้กองทัพของศัตรูเสียอีก  เพราะการได้ทำลายศักดิ์ศรีของเด็กนี่ก็เท่ากับว่าได้แก้แค้นที่พวกอิสุบังอาจมาหยามเกียรติของเขา

“รินก็ได้! ฮึ่ม...”   มือบางผลักตัวเองออกไปจากแผงอกของเขาก่อนจะถือขวดสาเกขึ้นมาด้วยใบหน้างอนๆ นัยน์ตาสีมรกตนั่นตวัดมองเขาเคืองๆ แต่ยิ่งเจ้าเด็กจากอิสุนี่ไม่พอใจเท่าไหร่ ยิ่งคับแค้นใจแค่ไหน...เขาก็มีแต่จะยิ่งชอบใจมากขึ้นเท่านั้น

ใบหน้าคมจึงยกยิ้มที่มุมปากให้คนที่จำต้องทำหน้าที่ราวกับสาวน้อยในโรงน้ำชา

ทว่าท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกก็ย่ามใจอยู่ได้ไม่นาน เมื่อปากขวดสาเกที่มันควรจะรินลงไปในถ้วยที่มือใหญ่ถืออยู่ มันกลับราดลงไปที่หว่างขาแทนซะงั้น!

“นี่เจ้า!”   เจ้าตัวดีถอยหนีไปยืนหัวเราะสะใจในขณะที่เขากำลังสะบัดยูกาตะที่ชุ่มโชกไปด้วยสาเก แล้วราดตรงไหนไม่ราดมาราดลงบน.....ของเขา มันน่านักเจ้าลูกหมานั่น!

“สมน้ำหน้า!”   ใบหน้ามนแลบลิ้นปลิ้นตาให้ก่อนจะรีบวิ่งแจ้นหนีไปทันที เขาได้แต่กัดฟันกรอด อยากจะวิ่งตามไปจับมาตีให้ก้นลายแต่น้ำเมาที่ซึมลงไปจนถึงข้างในก็ทำให้ต้องหันมาจัดการทางนี้ก่อน

ดูความแสบสันของเจ้าเด็กนั่นสิ มันกลัวเขาที่ไหน ทั้งๆที่อยู่ในปราสาทแบบนี้ถ้าเขาจะทำโทษขึ้นมาก็ไม่มีทางหนีได้แท้ๆ แต่เจ้าเด็กเหลือขอนั่นก็ไม่เคยหงอ ไม่เคยปล่อยให้เขารังแกแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่เหมือนใครแบบนั้นไงเขาเลยชักไม่แน่ใจว่านี่กำลังทรมานอีกฝ่ายหรือทรมานตัวเองอยู่กันแน่? รู้แต่ว่าตอนนี้เขาคงต้องอาบน้ำอีกรอบทั้งๆที่เพิ่งจะอาบมาเมื่อกี้นี้!





ปัง!

ประตูบานเลื่อนปิดดังสนั่นตามอารมณ์ครุกรุ่นของเจ้าของห้อง นายน้อยแห่งอิสุเดินปึงปังไปนั่งลงบนฟูกก่อนจะกร่นด่าเจ้าคนที่ทำให้ตนต้องหงุดหงิดแบบนี้อยู่ในใจ

จะคุยกันด้วยดีสักครั้งไม่มีเลยหรือไงนะผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้น  เขาว่าจะถามเรื่องเรือนที่ถูกล้อมไปด้วยดอกฮิกันบานะในบ้านใหญ่ตระกูลอาคามะเสียหน่อย แบบนี้คงมีแต่จะต้องไปแอบดูเองเสียแล้ว

ร่างโปร่งบางจึงล้มตัวนอนลงไปทั้งๆที่ปากยังบ่นขมุบขมิบ



และเช้าวันรุ่งขึ้น นายน้อยแห่งอิสุก็มาแอบด้อมๆมองๆอยู่หน้าบ้านใหญ่ตระกูลอาคามะอย่างที่ว่าไว้จริงๆ...




ร่างโปร่งใช้กำแพงรั้วของบ้านข้างๆเพื่อกำบังกาย นัยน์ตาสีมรกตจ้องเขม็งไปที่ประตูทางเข้าที่ไม่มีแม้แต่ทหารยามเฝ้าสักคน...เป็นจวนเจ้าเมืองแท้ๆแต่กลับไม่มีคนเข้าออกเลยแหะ จะว่าเช้าไปก็ไม่น่าใช่เพราะที่ปราสาทมัตสึโมโตะน่ะมีคนเข้าออกกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางด้วยซ้ำ

ใบหน้ามนผลุบๆโผล่ๆอยู่หลังกำแพง เขายืนรอเวลาที่ว่าที่พ่อตาจะออกไปศาลเจ้าอย่างที่บอกเขาไว้เมื่อวาน แล้วไม่นานชายสูงวัยก็เดินออกมาจากจวนพร้อมด้วยข้ารับใช้สองสามคน สงสัยศาลเจ้าจะอยู่ไม่ไกล ทั้งหมดนั่นถึงได้เดินไปแทนที่จะใช้รถม้า...ดีล่ะ!

ร่างโปร่งบางเดินเข้าประตูบ้านใหญ่ตระกูลอาคามะหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองคล้อยหลังไปแล้ว ใบหน้ามนทำไม่รู้ไม่ชี้เมื่อสาวใช้ทักทายขึ้น

“นายน้อย? มาหาท่านเจ้าเมืองหรือเจ้าคะ? ท่านเจ้าเมืองเพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี้เอง”

“เอ๋? งั้นเหรอ? คลาดกันจนได้นะ...ไม่เป็นไร...เดี๋ยวข้านั่งรอก็ได้”

“ถ้างั้นเชิญที่ห้องรับรองดีกว่าเจ้าค่ะ”   เขาเดินตามสาวใช้ไปอย่างว่าง่าย แต่หลังจากที่นางยกน้ำชามาให้และขอตัวไปทำงานของตนต่อ ก็ได้เวลาที่เขารอคอยมาทั้งคืนเสียที!

ร่างโปร่งย่องออกมาจากห้องรับรองก่อนจะเดินตรงรี่ไปที่เรือนไม้หลังนั้น...ดอกฮิกันบานะยังคงเบ่งบานเปล่งสีสันที่สดสวยราวกับสีของโลหิตอยู่เช่นเดิม เขามองภาพตรงหน้าพร้อมกับขนที่ลุกชัน 

เขาไม่ชอบบรรยากาศที่หลุมศพ มันทั้งวังเวง น่ากลัว และน่าเศร้า แล้วเขาก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกันเมื่อได้มองเรือนไม้หลังนั้น...

ถึงจะไม่ชอบแต่การเข้าไปดูให้รู้ก็เป็นเพียงทางเดียวที่จะไขข้อข้องใจของเขาได้ เพราะงั้นสองขาจึงก้าวเดินฝ่าดงดอกไม้สีแดงนั่นเข้าไป...ทั้งๆที่สวยออกขนาดนี้แต่กลับมีความหมายในทางที่ไม่ดี...นัยน์ตาสีมรกตทอดมองดอกฮิกันบานะอย่างนึกเห็นใจ

เพราะหัวของมันมีพิษ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ถ้ากินเข้าไปแบบไม่ทำความสะอาดให้ดีก็อาจจะถึงตายได้ ที่คนสมัยก่อนเอามันมาปลูกไว้รอบๆหลุมศพก็เพราะต้องการให้มันช่วยไล่สัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินไม่ให้มากินศพที่ฝังไว้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันว่าดอกฮิกันบานะจะเบ่งบานอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำแห่งปรภพเพื่อต้อนรับวิญญาณคนตายที่ข้ามไป...มันจึงกลายเป็นดอกไม้ที่ไม่เป็นมงคลก็เพราะแบบนี้

ฝ่าเท้าบางก้าวเข้าไปจนถึงบันไดขึ้นเรือน  อันที่จริงดูเหมือนจะเคยมีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกับเรือนอื่นๆอยู่แต่ก็ถูกรื้อออกไป?

นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองประตูกันฝนที่ถูกปิดสนิท ข้างหลังประตูบานนั้นซุกซ่อนความลับอะไรอยู่กันแน่...เขาจะขึ้นไปดูให้รู้เดี๋ยวนี้แหละ

“อ๊ะ?”   แต่ก่อนที่ฝ่าเท้าจะได้ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก ข้อมือกลับถูกจับเอาไว้เสียก่อน และเมื่อเขาหันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือที่จับเขาเอาไว้ หัวใจก็แทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ท่าน?! มาได้ไงเนี่ย?!!”   เพราะคนคนนั้นไม่ใช่ท่านเจ้าเมืองหรือข้ารับใช้คนไหนๆในบ้าน แต่กลับกลายเป็นท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้เลยน่ะสิ!

“ข้าเห็นเจ้าทำตัวน่าสงสัยตอนออกมาจากปราสาทของข้าก็เลยแอบตามมา แถมยังมายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าบ้านข้าตั้งนานสองนาน ที่แท้คิดจะแอบเข้าไปในเรือนหลังนี้งั้นสินะ? มานี่เลย!”   ร่างแข็งแกร่งลากนายน้อยแห่งอิสุออกไปจากบริเวณนั้น แน่นอนว่าคนถูกบังคับก็ดิ้นไม่หยุด

“ก็ข้าสงสัยนี่ ว่าพวกท่านซ่อนอะไรเอาไว้ในนั้น ถามใครก็มีแต่จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบข้า!”   ใบหน้ามนตะโกนบอกออกไปตรงๆ ร่างโปร่งพยายามขืนต่อแรงลากสุดฤทธิ์แต่เจ้าของปราสาทมัตสึโมโตะกลับลากไปได้อย่างง่ายดายจนบางครั้งนายน้อยแห่งอิสุก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปเอาแรงวัวแรงควายนี่มาจากที่ไหนทั้งๆที่ตัวก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าตนเลยสักนิด

ร่างโปร่งบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อถูกลากออกมาถึงหน้าเรือนรับรอง ฝ่ามือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กเหวี่ยงน้อยๆในขณะที่ปล่อยทำให้นายน้อยแห่งอิสุถึงกับเซถลา กว่าจะกลับมาทรงตัวได้ฝ่าเท้าบางก็ก้าวไปหลายก้าว

ใบหน้ามนตวัดขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่ใบหน้ามืดมนของท่านแม่ทัพก็ทำให้ริมฝีปากช่างเจรจาไม่กล้าพูดอะไรออกมา...ถึงแม้ว่าจะร้ายกาจเป็นปกติแต่เขาเพิ่งจะเคยเห็นแววตาที่น่าขนลุกขนาดนี้จากอีกฝ่าย...มันบอกกับเขาว่าหากยังก้าวล้ำเส้นมากไปกว่านี้จะไม่มีคำว่าปรานีให้อีก...

“ทุกๆคนทำถูกแล้วที่ไม่บอกเจ้าว่าในนั้นมีอะไร...เพราะมันเป็นสถานที่ต้องห้ามที่คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะเข้าไป...”   นัยน์ตาคมกล้าที่เหยียดมองลงมาในขณะที่พูดประโยคนี้ทำเอาหัวใจดวงน้อยถึงกับปวดแปลบ  นัยน์ตาสีมรกตทอดมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่นิ่งค้าง...ทั้งๆที่เขากำลังจะเข้ามาเป็นคนในครอบครัวแล้วยังจะมีอะไรไม่คู่ควรอีก?

หรือว่าคนที่นี่ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในอาคามะเช่นกัน...ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในครอบครัว...

ไม่มีใครยอมรับเขาเลยอย่างงั้นใช่ไหม?


ริมฝีปากช่างเจรจาได้แต่เก็บคำพูดที่อยากจะตะโกนออกไปเอาไว้ในใจแล้วก้มหน้าก้มตาเดินตามแรงลากของอีกฝ่ายกลับปราสาทมัตสึโมโตะ นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกอย่างพยายามห้ามน้ำตาไม่ไห้ไหลลงมา ทั้งๆที่เขาคิดว่าที่นี่คือบ้านอีกหลังของเขา แต่คนอื่นๆกลับคิดว่าเขาเป็นเพียงคนนอกแล้วมันจะไม่น้อยใจได้ยังไง ทั้งน้อยใจ ทั้งโมโห ทั้งยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม แต่วันนี้เขาก็ไม่มีแรงจะสู้รบกับอีกฝ่ายแล้ว อยากจะลากไปไหนก็เชิญ!

“ห้ามลงจากชั้นสองนี่เด็ดขาด...ถ้าวันนี้ข้าเห็นเจ้าก้าวขาลงมาละก็...”   เสียงทุ้มไม่ได้บอกว่าจะลงโทษอะไรแต่สายตาดุดันนั่นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคงโดนไม่น้อยแน่ ถึงแม้ว่าในยามปกติแล้วเขาจะไม่ได้กลัวเกรงเลยก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ไม่มีแก่ใจจะท้าทายอีกฝ่ายแล้ว เพราะงั้นนายน้อยแห่งอิสุจึงเดินโซเซไปนั่งแหมะอยู่ที่ม้านั่งหลังบานหน้าต่างขนาดเล็กของปราสาท  เสียงฝ่าเท้าที่ก้าวย่างอย่างมั่นใจนั่นเดินจากไปไกลแล้วแต่ร่างโปร่งก็ยังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม

จนกระทั่งได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน ใบหน้ามนถึงได้หันไปมอง

“น่าสงสารท่านหญิงจริงๆ”   เป็นเสียงของสองสาวใช้ที่กำลังคุยกันไปเช็ดทำความสะอาดข้าวของที่วางอยู่บนชั้นในห้องข้างๆไป สองคนนั้นคงจะไม่เห็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ ก็คงไม่คิดแหละว่าเขาที่เอาแต่ออกไปสำรวจข้างนอกอยู่ทุกวันจะมานั่งแกร่วถูกกักบริเวณอยู่ในปราสาทแบบนี้ 

แผ่นหลังบางเอนพิงผนังอย่างไม่คิดจะขยับตัวไปไหน เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังสักหน่อยเพียงแต่เสียงพวกนั้นมันเข้าหูมาเองต่างหาก

“ใช่...น่าสงสารจริงๆจะออกไปไหนก็ไม่ได้ ต้องถูกขังเอาไว้แบบนั้น...”   ถูกขัง? ท่านหญิงฟุบุกิน่ะเหรอ? เท่าที่เขาดูน่าจะป่วยหนักจนออกไปไหนเองไม่ได้มากกว่ามั้ง?

“ตอนนั้นข้ายังไม่ได้เข้ามาเป็นข้ารับใช้ที่นี่ ข้าเห็นท่านหญิงที่งานเทศกาลของศาลเจ้า ท่านหญิงมากับท่านแม่ทัพ...สวย~~จนข้ายังตะลึง”

“ใช่ไหมล่ะ...ทั้งสวยทั้งอ่อนหวาน เรียกว่าเหมาะสมกับท่านแม่ทัพราวกับกิ่งทองใบหยก ขนาดท่านหญิงฟุบุกิเองยังติดว่าที่พี่สะใภ้คนนี้แจเลยละ”    เอ๋?...ท่านหญิงที่สองสาวใช้พูดถึงนี่ไม่ได้หมายถึงท่านหญิงฟุบุกิหรอกรึ? หมายความว่าในบ้านอาคามะนั่นยังมีท่านหญิงที่ถูกขังไว้อยู่อีกคน? ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่องเลย?

แผ่นหลังบางขยับมานั่งตัวตรงเพื่อจะได้แอบฟังได้ถนัดๆ ภายในบ้านใหญ่ที่ฉากหน้าดูเงียบสงบหลังนั้นยังมีความลับซุกซ่อนเอาไว้จริงๆด้วยสินะ

แล้วมันก็เป็นความลับของอาคามะ ริวาอิ โดยตรงเลยด้วย...

“ใครจะไปรู้...ว่าจากผู้หญิงที่ท่านแม่ทัพเคยรักมากจนคิดที่จะแต่งงานด้วยจะกลายมาเป็นแบบนี้...ท่านแม่ทัพน่ะออกรบอยู่ตลอดเลยไม่ค่อยได้กลับบ้าน...จริงๆก็ไม่มีใครรู้เรื่องในคืนนั้นหรอก รู้กันแค่ว่าท่านแม่ทัพกลับมาแล้วพบว่าท่านหญิงกำลังคุยกับชายอื่นตอนดึกๆดื่นๆ ท่านแม่ทัพคิดว่านางมีชู้เลยจับไปขังไว้ นางไม่ยอมรับเลยทรมานต่างๆนานา...ตอนนี้ก็ยังถูกขังอยู่ที่นั่น...แต่ข้านะ ไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงที่อ่อนหวานแสนดีแบบนั้นจะมีชู้ อีกอย่างชายคนนั้นเป็นใครก็ไม่มีใครรู้ใครเห็นเลยด้วย เป็นคนจากที่บ้านของนางหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ใบหน้ามนได้แต่อึ้งไปเพราะเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายจะถูกเติมเต็มความสงสัยของเขาได้พอดี

หรือว่าที่จริงแล้วคนที่ถูกขังอยู่ในเรือนที่ถูกล้อมรอบไปด้วยดอกฮิกันบานะจะเป็นท่านหญิงคนนั้น?

ดอกฮิกันบานะมีความหมายอย่างไรใครๆก็คงรู้ดี การที่ท่านแม่ทัพเอามันมาปลูกล้อมเรือนที่ท่านหญิงถูกขังเอาไว้ก็เพราะจงใจจะทรมานคนที่อยู่ข้างในให้รู้สึกราวกับมีความตายอยู่รอบกายอย่างนั้นสินะ? ทั้งถูกขัง ทั้งถูกกดดันทางความรู้สึกขนาดนี้ อีกไม่นานก็คงเป็นบ้าเข้าสักวัน

หรือไม่ก็อาจจะเป็นบ้าไปแล้ว? คนทั้งบ้านถึงได้พยายามปกปิดเรื่องนี้กับเขา

ขนแขนลุกชันไปกับเงาดำมืดของคฤหาสน์ที่ดูเหมือนจะเงียบสงบหลังนั้น...ที่แท้มันก็ซุกซ่อนเรื่องอัปยศหดหู่แบบนี้เอาไว้นี่เอง...

ยิ่งนึกถึงคนกระทำก็ยิ่งไม่ชอบใจ ถึงจะทำผิดหรือไม่ก็ตามยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิง ซ้ำยังเป็นผู้หญิงที่ตนเคยรักมากก็เลยเกลียดมากอย่างนั้นสินะ ช่างเป็นคนที่อารมณ์รุนแรงจนน่ากลัวเลยจริงๆเจ้าแม่ทัพไร้ยางอายนั่น

แผ่นหลังบางถึงกับชาวาบไปกับความจริงที่ได้รู้...สิ่งที่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นทำกับเขากลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทำกับท่านหญิงที่ไร้ทางสู้คนนั้น...ทั้งๆที่เป็นคนรัก ทั้งๆที่คิดจะแต่งงานด้วย...

แล้วทำไม...เขาถึงได้รู้สึกเศร้าใจขนาดนี้...


“เออใช่...เมื่ออาทิตย์ก่อนข้าเจอกับสาวใช้ของบ้านใหญ่...”   สองสาวใช้ยังคงพูดคุยกันต่อไป

“นางเป็นคนเอาอาหารไปให้ท่านหญิง...นางเล่าให้ข้าฟังว่าท่านหญิงที่เคยสวยงามกลับซูบผอมราวกับตรอมใจ ซ้ำยังร้องไห้อ้อนวอนขอให้นางช่วยปล่อยตนไป...ท่านหญิงอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาพ่อแม่ แต่แรกก็ไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่อยู่แล้วเพียงแค่ท่านแม่ทัพเกิดถูกใจแล้วใครก็คงไม่กล้าปฏิเสธ ท่านหญิงเลยจำต้องมา สาวใช้คนนั้นยังบอกเลยว่าน่าสงสารจนไม่รู้จะทำยังไง แต่นางก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะท่านแม่ทัพกล่าวเอาไว้ว่าหากใครปล่อยท่านหญิงไปคนคนนั้นจะต้องชดใช้ด้วยหัวของตัวเอง”

นายน้อยแห่งอิสุกัดฟันกรอดเพราะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวดี ความรู้สึกที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทั้งๆที่ไม่เต็มใจแล้วยังต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายที่ผู้ชายคนนั้นสร้างไว้ให้อีก

ร่างโปร่งบางจึงตั้งใจแน่วแน่...ว่าตนจะเป็นคนไปปล่อยท่านหญิงเอง!

“นี่ก็เห็นว่าอาการไม่ค่อยดีนัก? สภาพจิตใจคงจะไม่ไหวแล้วกระมังถึงได้กรีดร้องตอนกลางคืนบ่อยๆ? ท่านเจ้าเมืองกลัวว่าจะไปรบกวนท่านหญิงฟุบุกิ ก็เลยให้ท่านแม่ทัพย้ายไปไว้ที่อื่น ดูเหมือนตอนนี้จะถูกย้ายไปไว้ที่คุกฝั่งตะวันตกแล้วละ”

“ชิ...”  ใบหน้ามนสบถออกมาเบาๆเมื่อได้ยินสิ่งที่สาวใช้คุยกัน...ที่ย้ายออกไปเป็นเพราะรู้ว่าเขาเริ่มระแคะระคายต่างหาก! มีหรืออยู่มาได้ตั้งนานก็ไม่เห็นเป็นไร แต่พอเขาเดินเฉียดเข้าไปใกล้แค่ครั้งสองครั้งก็รีบย้ายหนีทันที แบบนี้มันยิ่งทำให้อยากจะช่วยกว่าเดิมอีก!

นายน้อยแห่งอิสุเงี่ยหูฟังต่อไปจนในที่สุดก็รู้ตำแหน่งของคุกฝั่งตะวันตกซึ่งจะว่าไปแล้วก็อยู่ไม่ได้ไกลจากตัวปราสาทมัตสึโมโตะเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะไปช่วยท่านหญิงในคืนนี้!



ซ่าๆๆ


เสียงฝนตกลงมาไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ตอนหัวค่ำทำให้นายน้อยแห่งอิสุมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกังวล ทั้งมืดทั้งเปียกแฉะแบบนี้เขาเองจะไหวไหมนะ?

แต่คิดอีกทีคืนนี้อาจจะเหมาะดีแล้วก็ได้ ในคืนที่ฝนตกเย็นสบายแบบนี้ข้ารับใช้ก็คงเข้าห้องตัวเองไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน  ทหารยามก็คงเกียจคร้านไปกับอากาศที่น่านอนนี่  แล้วคนจากบนปราสาทก็คงจะมองไม่เห็นเขาเพราะมีสายฝนช่วยพลางกาย...เมื่อคิดได้แบบนั้นมือบางจึงหยิบเสื้อคลุมฮาโอริสีดำสนิทมาสวมทับกิโมโมสีขาวกับฮากามะดำที่ใส่อยู่เป็นประจำ

มือบางไม่ลืมหยิบผ้าพันคอสีแดงเลือดนกพันคอไปด้วย สายฝนคงจะทำให้เขาหนาวเหน็บแล้วยิ่งกว่านั้นผ้าพันคอนี่ยังช่วยปิดบังใบหน้าท่อนล่างของเขาได้ด้วย

ร่างโปร่งบางแอบแง้มประตูห้องด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ที่ผ่านมาก็เคยแอบหนีไปเที่ยวเล่นนอกบ้านอยู่หลายครั้งแต่คราวนี้สิ่งที่จะทำมันยิ่งใหญ่กว่านั้นมากจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อขนาดนี้

ใบหน้ามนพยักหน้าเรียกความมั่นใจให้ตัวเองก่อนจะแอบย่องออกจากห้อง ฝ่าเท้าเหยียบย่างลงไปบนบันไดอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสีมรกตเหลือบซ้ายแลขวา ไม่รู้ว่าเจ้าท่านแม่ทัพนั่นอยู่ที่ไหนเพราะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนเดียวที่ชอบโผล่มาตอนที่เขากำลังจะแอบหนีไปทำอะไรแบบนี้นัก!

ทว่า...

คืนนี้ผู้ชายคนนั้นกลับไม่โผล่มา...

แล้วเขาก็หลบออกจากปราสาทได้ง่ายดายกว่าที่คิด...

สายฝนยังคงเทกระหน่ำทำให้ทหารยามต่างยืนหาวหวอด ร่างโปร่งอาศัยความมืดวิ่งข้ามสะพานสีแดงออกไปทางด้านหลังปราสาท ก็ดีที่เขาเป็นพวกอยู่ไม่สุขเพราะงั้นรอบๆปราสาทเขาจึงออกมาสำรวจไว้หมดแล้ว การจะหาตำแหน่งของคุกฝั่งตะวันตกตามที่สองสาวใช้คุยกันจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ร่างโปร่งยืนหอบแฮ่กอยู่หน้ารั้วสูงใหญ่....แล้วทีนี้เขาจะเข้าไปยังไงล่ะเนี่ย?

จริงสิ...ถึงจะเข้าไปได้แต่เขาก็ไม่มีกุญแจจะไขเพื่อปล่อยท่านหญิงออกมาอยู่ดี...ใช่...ตัวเขาไม่มีกุญแจแต่ทหารยามที่เฝ้าอยู่น่ะมี!

ร่างโปร่งย่องๆเข้าไปในห้องควบคุม เวลาแบบนี้พวกทหารยามน่าจะกำลังเดินตรวจคุกอยู่...มือบางจึงล้วงเอายานอนหลับออกมาจากสาบเสื้อกิโมโนก่อนจะเทมันลงไปในกาน้ำชาหอมกรุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ

เสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆบ่งบอกว่าพวกทหารยามกลับมาแล้ว...เขาก็แค่หลบไป...แล้วก็ตั้งใจรอคอยอย่างอดทน...รอ...จนทหารพวกนั้นดื่มชาจนหมด...รอ...จนทหารพวกนั้นหลับเป็นตายด้วยฤทธิ์ยาของเขา

นายน้อยแห่งอิสุคว้าพวงกุญแจมาจากเอวทหารยามคนหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งตะบึงเข้าไปในคุก นักโทษที่อยู่ในนั้นมีแต่ชายฉกรรจ์หน้าโหดซึ่งมันก็ทำให้เขาตามหาท่านหญิงได้โดยง่าย ไม่ต้องบอกเลยว่าใช่หรือไม่ในเมื่อทั้งคุกมีหญิงสาวอยู่เพียงคนเดียว

เขายืนหอบอยู่หน้าลูกกรงไม้ท่อนใหญ่ ใบหน้าสวยที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำทอดสายตามองมาที่เขาด้วยแววตาหมดอาลัยตายอยาก ท่านหญิงที่อยู่ด้านหลังลูกกรงนั่นไม่แม้แต่จะขยับมาหา ดูท่าว่านางคงจะหมดแรงที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วกระมัง

ช่างน่าสงสารจริงๆ...

โดนทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วหรือนี่...ทั้งๆที่บอกว่ารัก ทั้งๆที่ไปพรากเธอมาจากอกพ่อแม่...เจ้าผู้ชายใจร้ายคนนั้นเขาจะไม่มีวันให้อภัยเลยคอยดู!

มือบางไขกุญแจดอกแล้วดอกเล่า แล้วไม่นานแม่กุญแจอันใหญ่ก็ถูกปลดออกมาจนได้

“ท่านหญิง...ข้ามาปล่อยท่านกลับบ้าน...”   เขาพูดกับวงหน้าสวยติดจะเย็นชาซึ่งกำลังทอดสายตามองมาที่เขา

“ขอบใจเจ้ามาก...ข้าอยากกลับบ้านเหลือเกิน...ข้าไม่ได้มีชู้  คนที่มาหาข้าคือพี่ชายที่อยู่ข้างบ้านที่บ้านเกิด แต่ท่านแม่ทัพก็ไม่ยอมฟัง”   หญิงสาวจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะหันหน้าไปร้องไห้ทางอื่นในขณะที่พูดออกมา คงจะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาแห่งความเสียใจนั่นสินะ แต่ไหล่ผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านจนดูน่าสงสารก็ทำให้เขารู้ได้ว่าหญิงสาวกำลังร้องไห้

“ท่านรีบหนีไปเถอะ ก่อนที่พวกทหารยามจะตื่นเข้า”   เขาก็อยากจะปลอบใจเธอให้มากกว่านี้แต่ก็กลัวว่ายานอนหลับจะหมดฤทธิ์เอาเสียก่อน

ท่านหญิงพยักใบหน้าอิดโรยนั่นให้ ร่างกายที่ดูสั่นน้อยๆของเธอทำให้เขาปลดผ้าพันคอของตัวเองออกก่อนจะพันที่รอบคอของหญิงสาว

“ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ยังดีกว่าหนาวตายโดยไม่ทำอะไรละนะ”   ใบหน้ามนยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาว แล้วรอยยิ้มนั่นก็ทำให้นัยน์ตาสีดำถึงกับเบิกกว้าง  ฝ่ามือซีดเซียวดึงใบหน้าของนายน้อยแห่งอิสุเข้าไปหาก่อนจะจุมพิตที่แก้มใสเบาๆ

“ถ้าเจ้าต้องโดนผู้ชายที่เลวร้ายคนนั้นทำโทษเพราะข้า ข้าคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะมาช่วยเจ้าเอง”  ร่างโปร่งได้แต่นิ่งอึ้งไป มือบางยกขึ้นมาลูบแก้มตัวเองปรอยๆก่อนจะมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่ค่อยๆหายไปในความมืด  คำพูดของท่านหญิงทำให้เขามึนงง ตัวนางเองก็ไม่ได้มีแรงกำลังอะไรแท้ๆแล้วจะมาช่วยเขาได้อย่างไร? บางทีนางคงจะหวาดกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยพูดอะไรไม่รู้เรื่องออกมาแบบนั้น?









เช้าวันรุ่งขึ้นปราสาทมัตสึโมโตะแทบจะลุกเป็นไฟอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เสียงฝีเท้าของทหารและข้ารับใช้วิ่งกันให้วุ่นวายไปหมดซึ่งคนที่นั่งฟังอยู่ในห้องก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง ถ้าออกตามหากันให้จ้าละหวั่นขนาดนี้แสดงว่าท่านหญิงยังหนีรอดอยู่ จะว่าโชคดีก็ได้ที่เมื่อคืนฝนตกเพราะป่านนี้รอยเท้าคงจะลบเลือนไปจนหมดแล้ว

ใบหน้ามนอมยิ้มอย่างสะใจ...หึ! อย่าคิดว่าเจ้าจะรังแกคนอื่นได้ฝ่ายเดียวนะเจ้าท่านแม่ทัพบ้า!

แต่แก้มใสก็ยิ้มอยู่ได้ไม่นานเมื่อเสียงฝ่าเท้าปึงปังดังใกล้เข้ามา


ครืด!!!


ประตูบานเลื่อนเปิดออกอย่างไม่คิดจะขออนุญาตเพราะคนที่เปิดเป็นเจ้าของทั้งปราสาท ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นสีหน้าทะมึนของคนที่ย่างสามขุมเข้ามา แต่นายน้อยแห่งอิสุก็ยังคงลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป

“เจ้าเป็นคนทำใช่ไหม?”   เสียงทุ้มฟังดูโกรธจัดจนคนผิดเริ่มเกรงๆแต่กระนั้นก็ไม่คิดจะยอมรับผิดง่ายๆ ในเมื่อเขาเชื่อมั่นว่าที่เขาทำลงไปนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง!

“ทำอะไร?”   ใบหน้ามนเชิดถามทำให้คนที่กำลังโมโหถึงกับกัดฟันกรอด นัยน์ตาดุดันจ้องมองมาด้วยสายตาราวกับอยากจะฉีกเป็นชิ้นๆเสียให้ได้

“เจ้าเป็นคนปล่อยนักโทษของข้าใช่ไหม?”   เสียงทุ้มกดต่ำจนข้ารับใช้ถึงกับถอยหนี เพราะท่านแม่ทัพที่อยู่ในสภาวะแบบนี้นั้นน่ากลัวยิ่งกว่ามัจจุราชเสียอีก จะมีอยู่ก็คนเดียวเท่านั้นที่ยังกล้าจ้องตาสวนกลับไป

“ข้าเปล่า”   เป็นเพราะผู้ร้ายปากแข็งยังไม่ยอมรับทั้งๆที่มีหลักฐานมัดตัวชัดเจนทำให้คนคาดคั้นหมดความอดทน เสียงทุ้มตะคอกใส่ร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับชูรองเท้าฟางของเจ้าตัวให้ดูเต็มๆ

“เจ้านั่นแหละที่เป็นคนทำ อย่ามาไขสือ! นี่รองเท้าของเจ้า ถ้าเจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกเมื่อคืนนี้ทำไมมันถึงได้มีแต่โคลนเลอะเต็มไปหมด?!

“ข้าอาจจะแค่ออกไปในสวนข้างล่างนี่ก็ได้ ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าข้าไปทำเรื่องที่ท่านกล่าวหา?”   แต่เจ้าตัวดีก็ยังพยายามหาข้ออ้างมาสุมไฟแห่งโทสะเข้าไปใหญ่

“..........”    ใบหน้าคมนิ่งงันอย่างพยายามระงับความโกรธไม่ให้พลั้งมือทำอะไรเด็กนี่ลงไป...ใบหน้ามนที่ยังลอยหน้าไปมานั่นไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยใช่ไหมว่าทำเรื่องใหญ่ลงไปแค่ไหน...ใช่...มันเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นสั่นคลอนความมั่นคงของมัตสึโมโตะได้เลยกับนักโทษที่เจ้าเด็กจากอิสุนี่ปล่อยไป!

“คราวหลังก็หัดฟังคนอื่นเค้าซะบ้าง ไม่ใช่อะไรก็ยัดเยียดความผิดตามความคิดของตัวเองไปซะหมด”   ริมฝีปากช่างเจรจายังมีหน้ามาสั่งสอนเขา นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังกล้าสั่งสอนเข้าเสียงทุ้มต่ำจึงเอ่ยออกไปด้วยความโกรธจัด

“...รู้สิ...แล้วข้าก็ฟังด้วย....ข้าถึงได้ยินพวกนักโทษในคุกมันบอกมาว่าคนที่เข้าไปปล่อยยัยผู้หญิงคนนั้นคือนายน้อยแห่งอิสุ!

“อ่ะ....”   ใบหน้ามนถึงกับผงะไปกับพยานที่ตนลืมคิดถึงไปเลย และมันก็เปิดช่องให้คนที่กำลังจะมอดไหม้ด้วยไฟแห่งโทสะขยับเข้ามาประชิด สองมือแข็งแรงตรงเข้าไปบีบต้นแขนบางอย่างไม่ปรานี

“เจ้าเป็นคนทำใช่ไหม?! ตอบมา! สารภาพออกมาเดี๋ยวนี้!   แค่แรงบีบก็เจ็บจนน้ำตาปริ่มแต่แม่ทัพแห่งตะวันตกยังเขย่าจนหัวสีน้ำตาลแทบจะหลุดจากคอ

“ปล่อยข้านะ!  ใช่!! ข้านี่แหละเป็นคนปล่อยท่านหญิงไปเอง!!   มือบางยันอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะหลับหูหลับตาตะโกนออกไป อยากได้ยินนักใช่ไหมล่ะคำสารภาพของเขา!

“เจ้า!!   แรงเขย่าหยุดลงในชั่วพริบตาก่อนจะกลายเป็นแรงเหวี่ยงจนหัวหมุน รู้ตัวอีกทีร่างทั้งร่างก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว

“โอ๊ย?!   มือแข็งแรงตามมากระชากข้อมือเขาขึ้นไปอีก ความรุนแรงที่อีกฝ่ายไม่เคยใช้ด้วยทำให้ไหล่บางถึงกับสั่นน้อยๆ ที่ผ่านมาถึงจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาสารพัดแต่ก็ไม่เคยลงไม้ลงมือ ไม่เคยเผยด้านที่เหี้ยมโหดขนาดนี้ให้เขาได้เห็น เพราะงั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะรู้สึกกลัวผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า...นี่สินะ...ผลของการที่เขากล้าไปท้าทายปีศาจร้ายตนนี้

“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าทำอะไรลงไป ห๊ะ?!   ข้อมือบางถูกบีบจนเจ็บไปหมด คนตรงหน้าตะคอกใส่ราวกับกำลังจะคุมสติไม่อยู่...สิ่งที่เขาทำมันผิดร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือไง...เขาก็แค่ปล่อยผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นให้เป็นอิสระ...หรือว่าที่จริงแล้วท่านยังรักนางมากจนทำใจที่จะปล่อยไปไม่ได้กัน...

“ข้ารู้แต่ว่าข้าทำเรื่องที่ถูกต้อง!   ใบหน้ามนยังคงเถียงกลับทั้งๆที่นัยน์ตาสั่นพร่าและน้ำเสียงก็ไม่ได้หนักแน่นดังเดิม ข้อมือที่ถูกทำร้ายมันเจ็บก็จริงแต่บางที่ในหัวใจกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่า...เพราะอะไร? ทำไมกัน?

“ถูกยังไง? ไหนเจ้าบอกมาซิว่าการที่เจ้าปล่อยนักโทษเดนตายของข้าไปมันถูกยังไง!   ข้อมือบางถูกผลักด้วยแรงมหาศาลทำให้ร่างทั้งร่างล้มลงไปกองที่พื้นอีกรอบ ถึงแม้ร่างกายจะสั่นระริกไปด้วยความกลัวแต่ทิฐิและความเชื่อมั่นว่าตัวเองทำถูกแล้วก็ทำให้ใบหน้ามนรวบรวมความกล้าก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคนที่กำลังเดือดเป็นไฟอีกครั้ง

“ท่านมันใจร้าย! ท่านหญิงไม่ได้มีชู้ทำไมท่านไม่รู้จักพูดคุยกับนางให้ดีก่อน คนที่มาหานางในคืนนั้นคือพี่ชายข้างบ้านที่บ้านเกิดของนางต่างหาก! ทั้งๆที่ท่านบอกว่าท่านรักนางมากแล้วทำไมถึงไม่เชื่อใจนาง! ท่านขังท่านทรมานนางแบบนี้มันใช่เรื่องที่ควรแล้วหรือไง?! นางก็เป็นแค่ผู้หญิงที่ไร้ทางสู้ ท่านมันโหดร้าย! แม้แต่คนที่ท่านรัก คนที่เคยมอบความสุขให้กับท่านท่านยังทำได้ลงคอ ใจร้ายที่สุด!!”   ใบหน้ามนหลับหูหลับตาตะโกนใส่อย่างเหลืออด ทั้งๆที่คิดว่าคงจะโดนฝ่ามือหยาบกร้านนั่นตบเข้าที่ใบหน้าหรือไม่ก็โดนทุบตีเตะต่อย....ทว่า....ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับพูดออกมาแค่

“ห๋า?”   ใบหน้าคมได้แต่อึ้งปนมึนงง นิยายน้ำเน่าอะไรกันน่ะที่เจ้าเด็กนั่นกำลังพูดอยู่? แต่ดูจากใบหน้ามนที่หันมามองเขาอย่างงงๆเช่นกันมันเลยทำให้เขาต้องถามย้ำอีกรอบ

“เจ้าว่าใครรักใครมากนะ?”   เจ้าตัวดีเลยตอบกลับมาแบบเหวี่ยงๆทันที

“ก็ท่านไงล่ะ! ท่านเคยรักท่านหญิงคนนั้นมากใช่ไหมล่ะ พอรู้ว่ามีชู้ก็เลยเกลียดมากจนไม่ยอมฟังอะไร พอเข้าใจผิดก็เลยขังนางเอาไว้แล้วทรมานจิตใจนางสารพัด!”    เขาเนี่ยนะรักยัยผู้หญิงคนนั้น? ยัยผู้หญิงที่แทบจะตีกันตายทุกครั้งที่เจอหน้ากันเนี่ยนะ? แถมยังมีเรื่องชู้อีก? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?

ไฟแห่งโทสะดูเหมือนจะปลิวหายไปกับความมึนงง มันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่ๆเพราะดูเหมือนยัยผู้หญิงป่าเถื่อนที่เขารู้จักจะอยู่คนละโลกกับท่านหญิงผู้น่าสงสารของเจ้าเด็กนี่เลย?

“เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาจากใคร?”   ดูจากใบหน้าเชื่อมั่นในตัวเองของเจ้าเด็กจากอิสุเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องมีคนสร้างเรื่องนี้ให้ไปเข้าหูเจ้าเด็กนี่แน่ๆ ถึงได้เชื่อเป็นตุเป็นตะขนาดนั้น แล้วก็ดูท่าเด็กนี่จะไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองปล่อยไปคือเสือร้ายไม่ใช่ท่านหญิงอ่อนแอ

“ข้าไม่บอกท่านหรอก! ถ้าท่านรู้ท่านจะไปลงโทษเขาใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นข้าไม่บอกหรอก!”   มันน่านักเจ้าลูกหมานี่...แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างเมื่อกี้แล้ว หากความจริงยังคลุมเครืออยู่แบบนี้ เขาก็มีแต่จะต้องหาคำตอบให้ได้เสียก่อน

มือแข็งแรงเอื้อมออกไปคว้าข้อมือบางเอาไว้ก่อนจะออกแรงลากให้เดินตามมา สองขาก้าวฉับๆโดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะเดินทันไหม แน่นอนว่าริมฝีปากช่างเจรจานั่นยังโวยวายไม่หยุด  น่ารำคาญจนนึกอยากจะหันไปปิดปากอยู่หลายรอบนักเชียว

ร่างแข็งแกร่งลากร่างโปร่งบางลงไปยังชั้นฐานปราสาทซึ่งอยู่ใต้ดิน ประตูลูกกรงไม้ถูกเปิดออกและมันก็ทำให้นายน้อยแห่งอิสุรู้ว่าภายในตัวปราสาทเองก็มีคุกอยู่ด้วย

“ในเมื่อเจ้าเป็นคนปล่อยยัยผู้หญิงคนนั้นไป เจ้าก็ต้องเข้าไปอยู่ในกรงขังนั่นแทน!”    ร่างโปร่งถูกเหวี่ยงเข้าไปแต่แรงไม่ได้มากเหมือนก่อนหน้านี้ทำให้นายน้อยแห่งอิสุแค่เซถลาก่อนจะหันกลับมาเกาะลูกกรงเอาไว้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาถูกขัง มือบางเลยเขย่าลูกกรงหวังให้มันพังลงมา

“ปล่อยข้าออกไปนะ! ข้าไม่ผิด! เจ้าท่านแม่ทัพบ้า! ข้าจะฟ้องท่านพ่อ ข้าจะฟ้องท่านแม่ ข้าจะฟ้องท่านอาทาเคชิให้ยกทัพมาขยี้เจ้าให้เละเลย! ปล่อยข้านะ!”   เจ้าลูกหมาเห่าเสียงดังอยู่หลังกรงขังซึ่งคนกระทำเดินหายออกไปนานแล้ว

และเมื่อแหกปากจนเหนื่อยแต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจ นายน้อยแห่งอิสุจึงนั่งลงที่แคร่ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในนั้นอย่างอ่อนแรง  จะว่าเหนื่อยกายก็ใช่แต่ทำไมถึงเหนื่อยใจเขาก็ไม่เข้าใจ...ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยสักนิดแล้วทำไมถึงต้องเก็บมาคิดให้มากมายด้วยนะ...

แผ่นหลังบางเอนพิงไปกับหินก้อนใหญ่ซึ่งแผ่ไอเย็นๆออกมา หัวสีน้ำตาลพิงมันไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้านอกหน้าต่างลูกกรงบานเล็ก...ก็ยังดีที่ยังเห็นเดือนเห็นตะวันอยู่บ้าง...

ป่านนี้ที่อิสุจะเป็นยังไงบ้างนะ

ท่านแม่จะรู้หรือไม่..ว่าลูกชายที่เลี้ยงดูมาอย่างดีถูกจับมาขังราวกับนักโทษแบบนี้...

นัยน์ตาสีมรกตทอดกลับมายังลูกกรงไม้ที่ดูแน่นหนา...ภาพที่ท่านหญิงคนนั้นมองเห็นคงจะเป็นแบบนี้เองสินะ...เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าคนที่เคยรักกันทำไมถึงเกลียดกันได้มากมายขนาดนั้น จะโกรธแค้นไปให้มันได้อะไรขึ้นมา

ไม่ใช่ว่าใช้ความโกรธเกลียดนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้กักขังอีกฝ่ายไว้ข้างกายหรือไงกัน

ท้ายที่สุดแล้วผู้ชายคนนั้นก็ยังรักท่านหญิงอยู่ไม่ใช่หรือ...


“เจ็บจัง....”   ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ลงไปที่รอยแดงบนข้อมือทั้งๆที่ไม่รู้ว่าที่เจ็บนั้นมันอยู่ตรงไหนกันแน่  ใบหน้ามนได้แต่เหม่อลอยไปไกล เผื่อว่าสีฟ้าใสๆนอกหน้าต่างนั่นมันจะช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บที่ไม่มีรอยแผลของเขาได้บ้าง...










ท่านแม่ทัพแห่งมัตสึโมโตะกลับมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในห้องโถงว่าการ หัวสมองอันเฉียบคมกำลังประมวลผลจากคำพูดและการกระทำอันตรงไปตรงมาของเจ้าเด็กจากอิสุนั่นอยู่

อย่างเจ้าเด็กเหลือขอนั่นถึงจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแต่ก็ไม่น่าจะปล่อยนักโทษของเขาเล่นๆอย่างไม่มีเหตุผล เพราะถึงที่ผ่านมาจะเอาแต่เที่ยวเล่นเป็นเด็กๆไปวันๆก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนนอกเสียจากเขาจะเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเด็กนั่นก่อน เด็กนั่นถึงจะโต้ตอบมาอย่างสาสม เพราะงั้นเรื่องคราวนี้เองก็เหมือนกัน...มันน่าจะมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างอยู่...

เด็กนั่นน่าจะต้องไปได้ยินเรื่องที่จงใจแต่งขึ้นนี่มาจากใครแน่ๆ....แต่ว่า...ใครล่ะ?

“โฮ่ย มีใครอยู่ตรงนั้นไหม?”   เสียงทุ้มตะโกนเรียกใครก็ตามที่อยู่หน้าห้อง

“ขอรับท่านแม่ทัพ”   ทหารคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาแต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขา คำสั่งก็ถูกเอ่ยออกไปทันที

“ไปดูให้ทั่วปราสาทซิ ว่ามีข้ารับใช้หรือทหารหายไปบ้างไหม? โดยเฉพาะพวกที่เพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่เกินสองปี”

“ขอรับ”   ทหารออกไปทำตามคำสั่งของเขาและไม่ถึงชั่วยามข่าวที่เฝ้ารอก็มาถึง


“ท่านแม่ทัพ มีหายไปจริงๆขอรับ...”   นายทหารกระหืดกระหอบวิ่งมารายงาน

“เป็นสาวใช้สองคน...”   เสียงพูดคละเคล้าไปกับเสียงหอบหายใจเพราะคงวิ่งหน้าตั้งถามไปทั้งปราสาท

“พวกหล่อนมาจากที่ไหน?”   นายเหนือหัวถามออกไปด้วยใบหน้าที่ยังครุ่นคิด

“เอ่อ...ดูเหมือนจะมาจากโคโชคุขอรับ...พวกนางบอกว่าจะขอลากลับบ้าน...”   แล้วคำตอบของนายทหารก็ทำให้ร่างแข็งแกร่งถึงกับนิ่งค้าง

“โคโชคุ?”   นั่นมันใกล้ๆกับสึซากะเลยไม่ใช่หรือไง?

แล้วเรื่องราวก็เหมือนจะเริ่มปะติดประต่อได้อยู่ในหัว....เป็นแบบนี้นี่เอง...ทุกอย่างมันเป็นแผนการของยัยผู้หญิงป่าเถื่อนนั่น....เจ้าเด็กจากอิสุไม่ได้เป็นคนผิดแต่น่าจะโดนหลอกใช้...


ร่างแข็งแกร่งตวัดตัวแล้วรีบเดินกลับไปยังคุกใต้ดินที่ทั้งมืดทั้งเหม็นอับ และทันทีที่ก้าวขาไปยืนอยู่หน้าลูกกรง เสียงขู่ฮื่อๆเหมือนลูกหมาก็ดังขึ้นมาต้อนรับเขา นัยน์ตาสีมรกตวาวโรจน์จ้องเขม็งกลับมาอย่างไม่ได้มีกลัวเกรงถึงแม้จะถูกขังอยู่ก็ตาม

หึ....เอาจริงสินะ ที่บอกว่าจะฟ้องยามาโมโตะ ทาเคชิให้มาขยี้เขาให้เละน่ะ...ก็ดีเหมือนกัน เขาก็อยากจะสู้กับผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว

“เจ้ารู้ไหม...ว่าคนที่เจ้าปล่อยตัวไปนั้นไม่ใช่ท่านหญิงที่น่าสงสารอย่างที่เจ้าเข้าใจ”   เสียงทุ้มเอ่ยออกไปและมันก็ทำให้ใบหน้ามนสะบัดให้ทันที  ฮึ! จะยังยืนยันว่านางคบชู้สู่ชายจริงๆงั้นสินะ จนถึงขนาดนี้ก็ยังคิดจะใส่ความนาง ไม่เชื่อใจนางทั้งๆที่บอกว่ารักมากอย่างงั้นอีกสินะ!

ใบหน้ามนหันไปฮึ่มๆใส่คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของลูกกรง แต่แล้วคำพูดของแม่ทัพแห่งตะวันตกก็ทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับชะงักค้างอย่างมึนงง

“หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ......แต่หล่อนเป็นแม่ทัพหญิงแห่งเมืองสึซากะ...เป็นผู้หญิงที่คร่าชีวิตทหารของมัตสึโมโตะไปมากมาย เป็นเชลยศึกที่กว่าข้าจะจับกลับมาได้ก็ต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปไม่รู้เท่าไหร่ยังไงล่ะ”

“เอ๋?!!   เสียงใสอุทานจนลั่นคุก จากที่เคยคิดว่าจะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ทว่า เรื่องราวที่หลุดออกจากปากของอีกฝ่ายมามันเหมือนกับเป็นหนังคนละม้วนทำให้นายน้อยแห่งอิสุตะลึงงันอย่างตามไม่ทัน

“ท่านว่ายังไงนะ? ผู้หญิงคนนั้นเป็น...แม่ทัพ?.....”   มือบางถลามาเกาะลูกกรงอย่างไม่อยากจะเชื่อสองหูของตัวเอง ทำให้ใบหน้าคมพยักรับ...นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองใบหน้ามนที่อ้าปากค้างก่อนจะถอยกลับไปทรุดนั่งลงบนแคร่ราวกับหมดแรง...จริงๆด้วย...เจ้าเด็กนี่ไม่เคยรู้เลยจริงๆว่ายัยผู้หญิงนั่นที่แท้แล้วเป็นใครกัน

“หล่อนคือ สึซากะ มิคาสะ จอมทัพหญิงแห่งสึซากะ เมืองเล็กๆเพียงเมืองเดียวที่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อมัตสึโมโตะทั้งๆที่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ข้าจับตัวนางมาขังไว้เป็นตัวประกันเพราะต้องการให้พวกสึซากะไม่กล้าก่อกบฏขึ้นมาอีก แต่เจ้าก็ปล่อยนางไป...ปล่อยเชลยศึกของพวกเราไป”

“........ข้า....?...”   เสียงที่เคยแข็งกร้าวอยู่จนถึงเมื่อครู่อ่อนแรงลงจนเหลือเพียงเสียงลอยๆ เพราะเป็นลูกหลานในตระกูลนักรบย่อมรู้ดีว่าการปล่อยเชลยศึกไปนั้นมีโทษสถานหนักเพียงใด เพราะเชลยศึกบางคนกว่าจะจับตัวกลับมาได้ก็ต้องแลกกับชีวิตของคนทั้งเมืองเลยก็ว่าได้

“สาวใช้สองคนนั่นคงจะเป็นไส้ศึกที่แฝงกายเข้ามาเพื่อช่วยยัยผู้หญิงนั่นออกไป คงจะเห็นว่าเจ้ามาใหม่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครในที่นี้ ก็เลยกรุเรื่องหลอกเจ้า”   ร่างโปร่งชาวาบเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอกใช้ ใบหน้ามนหันกลับมาถามท่านแม่ทัพด้วยเสียงลอยๆ

“ท่านไม่ได้รักนาง? ไม่ได้ขังนางไว้เพราะเข้าใจผิดว่านางเป็นชู้?”   ไม่สิ ที่เขาตั้งใจจะถามคืออีกฝ่ายไม่ได้หลอกเขาใช่ไหม เรื่องที่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ทัพแห่งสึซากะนั่นคือความจริงใช่ไหมต่างหาก

“จะบ้าหรือไง?! ผู้หญิงล่ำๆมีกล้ามเป็นมัดๆแบบนั้นใครจะไปกอดลง! แล้วนั่นก็ไม่ใช่แบบที่ข้าชอบเลยด้วย สำหรับนางสิ่งเดียวที่ข้าพอใจก็คือการได้สู้กันในสนามรบ!  

“เอ๋....”

ท่านแม่ทัพแห่งมัตสึโมโตะถึงกับกุมขมับกับความใสซื่อจนทำให้โดนหลอกเอาได้ง่ายๆของเจ้าเด็กตรงหน้า ท่าทางที่นิ่งค้างไปช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการหลบหนีของสึซากะ มิคาสะ ในเมื่อทุกอย่างก็กระจ่างแล้วแต่เขาก็ยังมีเรื่องให้ต้องหนักใจอยู่อีกเรื่อง

“ข้าไม่รู้จริงๆว่าข้าควรจะลงโทษเจ้ายังไงดี....”   ถ้าเจ้าเด็กนี่ปล่อยยัยผู้หญิงหัวดำนั่นไปด้วยความตั้งใจของตัวเองเขาคงจะลงโทษอย่างไม่ปรานีแน่ๆ แต่นี่ดันถูกหลอกจนทำเรื่องไม่น่าให้อภัยลงไปแล้วเขาจะทำโทษเด็กนี่ให้เต็มที่ก็ไม่ได้อีกเพราะยังไงมันก็ไม่ได้ผิดเต็มๆ แถมไม่ใช่ลูกตาสีตาสาที่เขานึกอยากจะทำอะไรก็ได้แต่มันมีโคตรเง้าวงศ์ตระกูลของมันค้ำคอเขาอยู่อีก  ขืนไปลงโทษคนของคามาคุระสุ่มสี่สุ่มห้าแถมมันยังไม่ได้ผิดแบบนี้มีหวังคงได้เป็นชนวนสงครามแน่ๆ

ดีไม่ดีนี่อาจจะเป็นแผนของยัยผู้หญิงนั่นก็ได้ใครจะไปรู้...แผน...ที่จะให้เขารบรากับคามาคุระ สึซากะจะได้เข้ามาตีมัตสึโมโตะของเขาทีหลังเพราะเขาคงจะอ่อนกำลังลงไปมากหากต้องสู้รบกับพวกคามาคุระ

“...........”   นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองคนที่นั่งอยู่หลังลูกกรงเขม็ง

“ขะ ข้าขอโทษ....”   เสียงอ่อยๆเอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด

“คำขอโทษของเจ้ามันแลกกับชีวิตทหารของข้าที่จะต้องตายด้วยน้ำมือสึซากะ มิคาสะ ในอนาคตไม่ได้หรอกนะจะบอกให้”   ถึงคำพูดจะฟังดูโหดร้ายแต่ทุกอย่างมันคือเรื่องจริง เขาจำเป็นที่จะต้องทำให้เด็กนี่รู้ถึงความผิดของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ผิดซ้ำสองอีก

“............”   ร่างโปร่งบางหูลู่หางตก แล้วในขณะที่ร่างแข็งแกร่งยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงต่อไป เสียงอ่อยๆก็เอ่ยออกมาให้ได้ยิน

“ท่าน...จะขังข้าไว้ในคุกใต้ดินนี่ก็ได้...ข้าทำผิด หากอิสุหรือคามาคุระว่ากล่าวท่าน ข้าจะรับผิดต่อพวกเขาเอง”   เจ้าเด็กนี่เข้าใจ...ว่าเขาคงปล่อยให้ลอยนวลโดยไม่ทำโทษอะไรเลยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นทหารของมัตสึโมโตะคงจะหมดศรัทธาในตัวเขา

ถึงจะไม่ได้เรื่องได้ราว...แต่เจ้าเด็กนี่ก็มีเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่เต็มกายและมันก็ทำให้เขารู้สึกชื่นชม

“ข้าจะขังเจ้าไว้ในคุกใต้ดินเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆในมัตสึโมโตะเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก...เจ้าจะยอมรับหรือไม่”   เสียงทุ้มประกาศออกไปเพราะคิดว่าทางนี้คงจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว

“.......ข้ายอมรับ...”   เจ้าเด็กจากอิสุยอมรับด้วยใบหน้าหงอยๆเหมือนเด็กที่ถูกทำโทษทั่วๆไป ไม่ได้ยอมรับโทษด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนซามูไรและนั่นมันก็ทำให้เขาได้แต่ส่ายหน้า...ถึงจะมีเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่ในกายแต่ยังไงเจ้าเด็กนี่ก็ยังเป็นแค่เด็กเหลือขอวันยังค่ำ

“ดี  ทหาร! จัดการตามนี้”  

“ขอรับ!







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อไป...







น่าน...ท่านแม่ทัพมีศัตรูหัวใจเพิ่มมาอีกหนึ่ง ก๊ากๆๆๆ เพื่อสีสันความรัก :v //โดนเตะคอหลุด

สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านดาวตกภาคหลักอาจจะงงว่าตกลงคามาคุระกับอิสุนี่มันเมืองเดียวกันหรือเปล่า....จริงๆเป็นคนละเมืองกันค่ะ แต่แรกเริ่มเดิมทีแล้วเมืองใหญ่ที่ชอบทำสงครามตีชาวบ้านเค้าไปทั่วคือคามาคุระค่ะ ส่วนอิสุจะเป็นเมืองขนาดกลางที่ใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่จนแล้วจนรอดคามาคุระที่จ้องจะทำสงครามยึดเอาอิสุมาเป็นเมืองใต้อาณัติก็แพ้ภัยตัวเองค่ะ เพราะคนของคามาคุระดันไปหลงรักคนของอิสุ >////<  สองเมืองก็เลยเหมือนเป็นเมืองพี่เมืองน้องเป็นพันธมิตรต่อกัน อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันน่ะค่ะ    ปัจจุบันคามาคุระก็ยังน่ากลัวในเรื่องของกำลังทหารอยู่ค่ะ คือแม่ทัพของคามาคุระมีสองคน คนหนึ่งอาศัยอยู่ในอิสุ(ยามาโมโตะ ทาเคชิ) ส่วนอีกคนปกครองคามาคุระอยู่(ฮิบาริ เคียวยะ) แต่เวลาทำสงครามทั้งสองคนก็จะทำสงครามภายใต้ชื่อกองทัพคามาคุระ เพราะงั้นเวลาที่คนอื่นๆพูดถึงก็จะพูดถึงในชื่อของคามาคุระมากกว่า แต่ก็จะรู้ๆกันอยู่ว่าทั้งหมดทั้งมวลมีอิสุอยู่เบื้องหลัง5555 =w=

ไหนๆแผนที่มันก็ไม่เสร็จซักที วันนี้เลยเอาข้อมูลอย่างอื่นมาบอกกันค่ะ นั่นก็คือายุของตัวละครในเรื่อง...จะได้จิ้นกันถูกเนอะ :v หนูเลนก็ 15 ปีตามธรรมเนียม(อัลไล?)  ส่วนคุณรีไวลดอายุให้หน่อยจะได้ไม่มีช่องว่างระหว่างวัยมากจนเกินไป // โดนใบมีดปักคอ//  คุณรีไวจะอยู่ในช่วง27-28ค่ะ จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกคุณฮิและทูน่า ก็คือจะแก่กว่ายามะก๊กนิดหน่อย เป็นรุ่นอาของหนูเลนก็พอเนอะ อย่าให้ถึงพ่อเรย :v แต่ถึงจะลดอายุให้ได้แต่ความสูงนี่คุณกวางไม่สามารถจริงๆ :v ยังไงท่านก็ยังเตี้ยเหมือนเดิมแหละ :v //หลบใบมีดที่ปลิวว่อน // ก็นะ...ถ้าสูงก็ไม่ใช่คุณรีไวสิ :v //ยัง...ยังวอนไหทุ่มใส่หัวไม่หยุดถถถ

ขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆกำลังใจและทุกๆคอมเม้นต์นะคะ >////< แล้วเจอกันตอนหน้าน้า






4 ความคิดเห็น:

  1. ไรท์แต่งคู่1859 คุณ ภรรยา กำมะลอ ที่ รัก ให้จบไไหมอ่าาาา เค้าอยากอ่านนนน

    ตอบลบ
  2. กะลังสนุกเลยค่ะเรื่อยๆนะคะ หนูรออยู่<3

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ11 พฤษภาคม 2559 เวลา 21:38

    เอ่อ 27-28 นี่ลดแล้วเหรอคะ 555 แต่กะแล้วเชียวว่าผู้หญิงคนนั่นต้องเป็นมิคาสะ แม้จะแอบเขวนิดๆตรงเรื่องที่สาวใช้เล่าว่าเป็นหญิงที่ท่านแม่ทัพรัก หนูเลนอายุ15แบบนี้แหละดีแล้ว วัยกำลังน่าฟัด อิอิ

    ตอบลบ
  4. ฮือออออออ ดีงามมากจริงๆค่ะ เพิ่งสอบปลายภาคเสร็จจบปีสามอย่างสมบูรณ์แล้วได้มีเวลาแวะมาอ่านดาวตกภาคการปฏิวัติของเจ้าลูกหมา(?)นี่สักที ตอนแรกก่อนอ่านทำใจไว้เต็มที่ว่าอาจจะดราม่าหนักหน่วงป่วงหัวใจมากมายกว่าบงจังชินซัง แต่พอได้มาอ่านแล้วแบบ ;////////; ฮือออออ น่ารักมากกก ไม่เคยผิดหวังกับฟิคของกวางซังจริงๆค่ะ

    ปราสาทสีดำที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศสีชมพู -////- ในใจแอบเชียร์คู่ที่หนีการแต่งงานไปค่ะ แล้วก็คิดถึงเสียงโวยวายของหนูก๊กมากเช่นกัน คิดถึงฟิคของกวางซังมากกกกล้านเท่าเลยค่ะ สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้และรออ่านตอนต่อไปอยู่ตลอดเวลาค่ะ \(//∇//)\

    ตอบลบ