Attack on Titan Au.Fic [Levi xEren] Ryuusei : 02


Attack on Titan Au.Fic [Levi xEren]  Ryuusei : 02

: Attack on Titan Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
    : และเพื่อให้ชื่อตัวละครเข้ากับท้องเรื่องซึ่งเป็นฟิคแนวย้อนยุคของญี่ปุ่นจึงขอดัดแปลงชื่อจากคุณรีไวเป็น อาคามะ ริวาอิ , เอเลนเป็น โกคุเดระ เรน
         





ขบวนรถม้าที่วิ่งตัดขวางกลางเกาะญี่ปุ่นจากฝั่งตะวันออกมายังฝั่งตะวันตกใกล้จะถึงที่หมายของมันเต็มที การเดินทางที่กินเวลามาหลายวันทำให้ทั้งม้าทั้งผู้ติดตามเริ่มจะเหนื่อยล้า ยกเว้นก็แต่ร่างโปร่งบางของนายน้อยแห่งอิสุที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์ใหม่ๆที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

นัยน์ตาสีมรกตกลมโตจ้องมองผืนป่าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเผลอไผล ถึงอิสุจะเต็มไปด้วยธรรมชาติและอยู่ใกล้ทะเลแต่ก็ไม่มีป่าหนาทึบบนขุนเขาสูงใหญ่สลับกับลำธารคดเคี้ยวไปมาแบบนี้ มันทั้งดูลึกลับและแข็งแกร่งไปในคราวเดียวกัน แค่คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตในสถานที่แบบนี้ความซุกซนที่เป็นนิสัยติดตัวก็ทำให้แทบจะอยู่ไม่สุข

แล้วในขณะที่นายน้อยแห่งอิสุกำลังทำตาเป็นประกายและความซนฉายอยู่บนใบหน้า เหล่าข้ารับใช้ต่างก็อมยิ้มพลางส่ายหัว เพราะคงไม่มีใครที่ไหนหรอกที่จากบ้านเกิดเมืองนอนมาแล้วยังเริงร่าได้ขนาดนี้

“นายน้อย...กำลังเข้าเขตตัวเมืองมัตสึโมโตะแล้วนะเจ้าคะ”   ข้ารับใช้ขยับเข้ามาบอกเจ้านายร่างบางที่ยังเกาะขอบหน้าต่างรถเทียมม้าไม่ห่าง สายตาที่ทอดมองไปยังเส้นผมยาวสีน้ำตาลที่ถูกรวบไว้นั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู...พวกเธออยู่ในบ้านใหญ่ตระกูลโกคุเดระมาตั้งแต่เด็กหนุ่มยังไม่เกิด...ได้เห็นหลานชายคนเล็กของบ้านคนนี้มาตั้งแต่แบเบาะ...จึงยากจะทำใจที่จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มและความดื้อรั้นแบบนั้นอีก

ความจริงพวกเธอแค่มาส่งและดูแลรับใช้แค่ในช่วงการเดินทางเท่านั้น พอส่งถึงบ้านตระกูลอาคามะแล้วพวกเธอก็ต้องกลับอิสุนั่นเป็นสิ่งที่นายท่านสั่งมา

สายตาเอ็นดูทอดมองร่างโปร่งบางอีกครั้งอย่างห่วงใย...เพราะไม่รู้เลยว่าพวกคนของตระกูลอาคามะที่ยิ่งใหญ่ไปทั่วดินแดนตะวันตกนั้นจะเอ็นดูนายน้อยของพวกเธอเหมือนกันหรือเปล่า

รถเทียมม้าวิ่งมาหยุดลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เกือบๆจะใจกลางเมืองมัตสึโมโตะ  นายน้อยแห่งอิสุก้าวขาลงมาจากรถเทียมม้าเป็นคนสุดท้าย ใบหน้ามนหันไปหันมาเพื่อสำรวจสิ่งรอบกายตามประสาคนช่างอยากรู้อยากเห็น และแล้วนัยน์ตาสีมรกตก็ต้องเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงเมื่อหันไปเห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่สุดปลายถนน


ปราสาทมัตสึโมโตะ...


ถึงจะเป็นปราสาทที่อยู่บนพื้นราบแต่อาคารที่ดูเหมือนจะมีห้าชั้นนั้นก็สูงเด่นจนมองเห็นได้จากทั่วทั้งเมือง  สีที่ดำสนิททำให้มันถูกขนานนามว่าปราสาทอีกา ทว่าชื่อนั้นก็ไม่ได้ครึ่งของบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่รอบๆตัวปราสาทนั่นเลยสักนิด กลิ่นไอแห่งความตายที่โชยคลุ้งออกมาต่างหากที่ทำให้มันดูน่าเกรงขามและ...น่ากลัว...

ยังไงซะมันก็เป็นสถานที่ที่สร้างเอาไว้สำหรับการศึกสงครามอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีบรรยากาศน่าขนลุกระคนหดหู่แบบนั้น...

ร่างโปร่งบางยืนมองมันอยู่นานสองนาน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกราวกับถูกดวงตาวาววับสีแดงฉานของปราสาทสีดำหลังนั้นจับจ้องมองอยู่ ฝูงอีกาที่บินวนเหนือยอดปราสาททำให้ร่างทั้งร่างแทบจะขยับไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันเรียกว่ามนต์สะกดหรือเป็นเพราะสายตาของปีศาจร้ายกันแน่ที่ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

“นายน้อยเจ้าคะ? เข้าไปพบท่านเจ้าเมืองมัตสึโมโตะกันเถอะเจ้าค่ะ ให้ผู้ใหญ่รอนานๆไม่ดีนะเจ้าคะ”   เสียงเรียกของข้ารับใช้ทำให้ร่างโปร่งหลุดออกมาจากภวังค์ ใบหน้ามนหันไปพยักรับคำบอกก่อนจะหันไปมองปราสาทสีดำนั่นอีกครั้ง...เขาคงจะคิดมากไปเอง...ไม่มีอะไรหรอก...เพราะไม่มีปราสาทแบบนี้ที่อิสุ เขาก็คงแค่ตื่นเต้นจากการได้เห็นมันก็เท่านั้นแหละ

สองขาจึงก้าวตามข้ารับใช้ของตนเข้าไปก่อนที่จะมีข้ารับใช้ของตระกูลอาคามะออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย 

นัยน์ตาสีมรกตลอบมองใบหน้าและบรรยากาศที่ข้ารับใช้คนนั้นปล่อยออกมา...สีหน้าไร้อารมณ์นั่นหาใช่ว่าจะตั้งแง่หรือไม่ต้อนรับเขา เพียงแต่น่าจะเป็นท่าทางปกติของคนที่นี่ที่จะไม่ยิ้มแย้มหรือสบตากับผู้ที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายของตน...กลัว? หรือว่าไงกันนะ?

“นายน้อยแห่งอิสุมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”   ข้ารับใช้นั่งลงที่หน้าประตูบานเลื่อนและเมื่อมีเสียงตอบรับดังมาจากข้างใน ประตูที่กรุด้วยกระดาษสาก็ค่อยๆถูกเปิดออก

หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกจากบ้านมา...เพราะไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในห้องจะเป็นยังไง จะใจดีหรือใจร้าย มันก็เลยอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เพราะยังไงเขาก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกชั่วชีวิต

“เชิญนั่งสิ”   ร่างโปร่งบางเดินเก้ๆกังๆเข้าไป...ในห้องรับรองที่กว้างใหญ่นั้นมีชายชราท่าทางสง่างามนั่งอยู่ตามลำพัง...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนคนนี้คือผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในมัตสึโมโตะ เป็นคนที่ปกครองดินแดนทั่วทั้งฝั่งตะวันตกของเกาะญี่ปุ่น...ท่านผู้นำตระกูลอาคามะ...ว่าที่พ่อตาของเขา

“สะ สวัสดีครับ”   ใบหน้ามนกล่าวทักทายออกไปก่อนด้วยความประหม่า เพราะปกติแล้วจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับผู้หลักผู้ใหญ่ บรรดาแม่ทัพหรือเจ้าเมืองที่คุ้นเคยกันอยู่ก็มีแต่อายุอานามแค่ลุงกับอาเท่านั้นเอง พอมาเจอคนน่าเกรงขามแบบนี้ร่างโปร่งบางก็เลยเกร็งอย่างช่วยไม่ได้

“ตามสบายเถอะเรนคุง...คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านหลังใหม่ของเจ้าก็แล้วกัน”   แต่ผู้ใหญ่ตรงหน้าก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าอบอุ่นกว่าที่คิด ทั้งๆที่กะว่าจะต้องมาเจอตาแก่ขาโหดที่ดุดันกระโชกโฮกฮากอยากทำสงครามไปทั่ว แต่ชายสูงวัยกลับตรงข้ามกับความคิดของเขาทุกอย่าง  ทั้งท่าทางภูมิฐานดูเป็นคนมีเหตุมีผล ทั้งใบหน้าสงบที่ทำให้ดูเป็นคนใจเย็นและใจดี...ทุกสิ่งที่อยู่ในตัวของท่านมันช่างตรงข้ามกับดินแดนที่แผ่ขยายไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดสิ้นสุดของพวกมัตสึโมโตะอย่างสิ้นเชิงเลยจริงๆ...คนแบบนี้น่ะรึ จะออกปากสั่งให้ทหารออกไปรบ จะออกปากบอกให้ทำลายบ้านเมืองของศัตรูจนกองทัพมัตสึโมโตะได้ชื่อว่ากองทัพปีศาจแห่งแดนตะวันตกแบบนั้น

ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ...

“ยังเด็กอยู่เลยนะ...ต้องจากบ้านจากเมืองมาแบบนี้คงจะเหงา...คิดเสียว่าข้าคือพ่อของเจ้าอีกคนก็แล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็อย่าเกรงใจ บอกข้าได้เลย”   ไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่เฝ้าสังเกตอีกฝ่าย เจ้าของผมสีดอกเลานั่นก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน

“ครับ...”   ใบหน้ามนตอบรับออกไปก่อนจะหันมองรอบกายซึ่งรู้สึกว่ามันช่างเงียบจนผิดปกติ...เพราะความเงียบแบบนี้ไม่เคยมีในบ้านใหญ่ตระกูลโกคุเดระเลย ทุกวันที่นั่นจะเต็มไปด้วยเสียงผู้คน ทั้งบรรดาลุงๆที่เดินกันอย่างเร่งรีบอยู่บนระเบียงทางเดินเพื่อจัดการเรื่องต่างๆในอิสุ ทั้งเสียงฝึกดาบฝึกธนูของพวกพี่ชาย ทั้งเสียงเถียงกันระหว่างท่านอาฮายาโตะกับฮายาโนะ ทั้งเสียงการต่อสู้ฝึกซ้อมของท่านอาทาเคชิกับเจ้าเด็กจากคามาคุระ...เสียงแบบนั้น...มันไม่มีอยู่ในบ้านหลังนี้เลย...

ความเงียบแบบนี้...ราวกับที่นี่มันไม่มีคนอยู่...

และด้วยความสงสัยที่คงจะขึ้นไปเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่บนใบหน้าของเขา ท่านเจ้าเมืองมัตสึโมโตะจึงยิ้มบางๆก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล

“ที่นี่...เงียบสินะ?...”   ใบหน้ามนพยักน้อยๆอย่างพยายามรักษามารยาท

“นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้วันนี้...ฟุบุกิลูกสาวข้าไม่สามารถออกมาต้อนรับเจ้าได้...”   ใบหน้าสุขุมหันออกไปมองสวนแบบญี่ปุ่นที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย จะว่าไปเขาก็รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของคนในบ้านตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาแล้วละ...เพราะสายตาของทุกคนมันกลับมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่จนความไม่พอใจที่น่าจะมีให้กับเขามันถูกกลบทับไป...ทั้งๆที่ตระกูลโกคุเดระของเขาทำให้ต้องเสียหน้าด้วยการที่พี่ชายหนีการแต่งงานไป แต่คนในบ้านนี้กลับไม่เคืองแค้นหรือแสดงอาการไม่พอใจต่อเขาเลย

ทั้งๆที่คิดมาตลอดทางว่าจะต้องรับมือยังไงดีหากคนที่นี่ไม่ต้อนรับเขา...แต่มันกลับกลายเป็นว่า ทุกคนกลับไม่รู้สึกอะไรที่เห็นเขาเดินอยู่ในบ้าน?

“ฟุบุกิไม่ค่อยสบายน่ะ...ที่นี่เลยต้องเงียบแบบนี้...เด็กคนนั้นไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิดแล้วละ ช่วงนี้อากาศเย็นลง อาการก็เลยกำเริบจนลุกออกมาพูดคุยกับเจ้าไม่ไหว”   สิ่งที่ท่านเจ้าเมืองมัตสึโมโตะพูดมาทำให้เขาถึงกับนิ่งค้าง แล้วหลังจากนั้นก็เข้าใจสถานการณ์ได้ทันที...เพราะแบบนี้นี่เอง...คนทั้งบ้านถึงไม่ได้กังวลเรื่องของเขาไปมากกว่าเรื่องของท่านหญิงตัวน้อยของตน

“เอ่อ....ให้ข้า...”   ริมฝีปากสีระเรื่อตั้งใจจะเอ่ยขอเยี่ยมออกไป แต่อีกฝ่ายกลับตัดบทอย่างรวดเร็ว

“เอาไว้วันหลังเจ้าค่อยมาเยี่ยมจะดีกว่า...เจ้าเดินทางมากำลังเหนื่อยล้า ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่สบายตามไปอีกคน....อีกอย่าง...ปกติแล้วแม้แต่คนที่นี่ก็ยังถูกจำกัดไม่ให้เข้าใกล้บริเวณเรือนของฟุบุกิ เพราะกลัวสิ่งสกปรกจะติดเข้าไปทำให้อาการเด็กคนนั้นแย่ลง...หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ”   ใบหน้ามนพยักรับ...ถูกปฏิเสธขนาดนี้ไม่เข้าใจก็เกินไปละ...แต่จะว่าไปเขาก็แอบโล่งใจ เพราะเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าหญิงสาวเช่นกัน...เขาไม่ได้เขินอาย เพียงแต่...ยังรู้สึกผิดต่อเธอที่พี่ชายของเขาหนีการแต่งงานที่น่าจะสำคัญกับเธอไป...ก็ร่างกายอ่อนแอแบบนี้ บางทีการที่จะมีความรักได้คงจะเป็นปาฏิหาริย์สำหรับหญิงสาวเลยก็ว่าได้...แล้วแบบนั้นเขาจะมีหน้าไปเจอได้ไง

“ส่วนที่พักของเจ้า...ข้าจัดเอาไว้ให้แล้วที่ปราสาท”   แล้วเรื่องของท่านหญิงที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวก็หยุดชะงักแทบจะทันทีที่ท่านเจ้าเมืองพูดประโยคนี้ออกมา

“เอ๋? ปราสาท?”   ร่างโปร่งบางเงยขึ้นมองชายสูงวัยด้วยใบหน้าตื่นๆ...นี่เขาหูฝาดไปหรือเปล่า? จะให้เขาไปอยู่บนยอดปราสาทชวนขนพองสยองเกล้านั่นน่ะนะ?

“ใช่...จากนี้ไปเจ้าต้องไปอยู่ที่นั่น...ปราสาทมัตสึโมโตะ”   แล้วว่าที่พ่อตาก็เน้นย้ำจนต้องจำฝังใจว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป

“เอ๋?!!!!   นายน้อยแห่งอิสุลากเสียงอุทานยาวเหยียด

“ที่นั่นมีคนอยู่ด้วยเหรอครับ? มันไม่ใช่ปราสาทที่เอาไว้ใช้เฉพาะตอนข้าศึกบุกอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?”   ริมฝีปากสีระเรื่อถามออกไปเป็นชุด...เขารู้นะว่าปราสาทแบบนั้นมันต้องมีผีสิงแน่ๆ ในอดีตคงมีจะทหารที่ตายอยู่ในนั้นนับร้อยนับพันแน่ๆ ก็ท่านอาฮายาโตะเล่าเรื่องสยองขวัญของปราสาทแบบนี้ให้พวกเขาฟังตั้งหลายที่ แล้วจะให้เขาไปอยู่ในที่แบบนั้นเนี่ยนะ? ไม่เอาด้วยหรอก!

“ฮ่าๆๆ...ไม่มีข้าศึกที่ไหนบุกเข้ามาถึงใจกลางมัตสึโมโตะได้หรอก...ที่นั่น...สมัยนี้ก็เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์แห่งชัยชนะก็เท่านั้น...เจ้าก็เห็นแล้วว่าที่บ้านหลังนี้จำเป็นต้องเงียบ...เพราะฉะนั้นจะให้ซามูไรหรือทหารมาฝึกซ้อมส่งเสียงดังก็คงไม่ได้...ลูกชายของข้า อาคามะ ริวาอิ ก็เลยใช้ปราสาทหลังนั้นแทนฐานบัญชาการทางทหารแล้วก็เป็นที่ว่าราชการรวมทั้งเป็นที่อยู่ของเขาด้วย...จากนี้ไป...เจ้าต้องไปอยู่กับเขา...พี่ชายของฟุบุกิ”   จะบอกว่าใช้ปราสาทสีดำนั่นแทนคฤหาสน์เจ้าเมือง?  ถึงจะรู้ว่าที่นั่นมีคนอยู่มากมายก็เถอะ แต่ว่า!

“ทำไมข้าต้องไปอยู่ที่ปราสาทนั่นด้วยล่ะ? ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ? ข้าไม่ส่งเสียงดังหรอก”   จากที่เกร็งๆอยู่ดูเหมือนความหวาดหวั่นต่อปราสาทสีดำหลังนั้นจะทำให้นายน้อยแห่งอิสุลืมมาดของท่านชายไปเสียหมด ร่างโปร่งบางถลาไปเกาะแขนชายสูงวัยด้วยใบหน้าราวกับกำลังอ้อนบิดา

“หึๆ...เจ้ากลัวปราสาทรึ?...”   คนเป็นผู้ใหญ่หัวเราะให้กับท่าทางของนายน้อยแห่งอิสุด้วยความเอ็นดู

“กะ ก็ไม่ได้กลัวหรอกครับ...แต่ข้าน่ะ...อยู่บ้านที่มีชั้นเดียวมาตลอดนี่ จะให้ไปอยู่บนยอดไม้แบบนั้นมันก็ต้องไม่ชินเป็นธรรมดานั่นแหละ”   ใบหน้ามนเสมองพื้น ถึงปากจะปฏิเสธว่าไม่กลัวแต่ใบหูที่แดงระเรื่อก็ทำให้รู้ว่ากำลังโกหก ชายสูงวัยจึงยิ้มบางๆ

“ข้าให้คนจัดห้องให้เจ้าอยู่ที่ปีกหนึ่งในชั้นสอง ไม่น่ากลัวหรอก...อีกอย่าง...ที่ข้าต้องให้เจ้าไปอยู่ที่นั่นก็เพราะว่าข้ากลัวเจ้าจะติดโรคจากฟุบุกิ เอาไว้ให้เด็กคนนั้นอาการดีขึ้นก่อน ตอนนั้นค่อยหารือกันอีกทีหากเจ้าอยากจะกลับมาอยู่ที่คฤหาสน์อาคามะแห่งนี้”   เสียงทุ้มนุ่มนวลทำให้นายน้อยแห่งอิสุต้องจำใจยอมรับ ยังไงอีกฝ่ายก็มีเหตุผล เขาจะดื้อดึงไปก็คงไม่มีประโยชน์

“เอางั้นก็ได้ครับ...”   ใบหน้ามนสลดลง หูหางที่ตกลู่ทำให้นายใหญ่ของบ้านอาคามะอมยิ้มอย่างเอ็นดู....ถ้าเป็นเด็กคนนี้...บางทีอาจจะไม่เป็นไรก็ได้...

“เดี๋ยวข้าจะให้คนพาไปส่ง...เชิญพักผ่อนตามสบาย เรื่องหน้าที่ของเจ้าเดี๋ยวลูกชายข้าจะเป็นคนบอกเอง...อ้อ...แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ น่าจะกำลังเดินทัพกลับมาจากทางใต้...ที่มัตสึโมโตะยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลเงยขึ้นฟังอย่างตั้งใจ...จะว่าไปเขาก็แทบไม่รู้เรื่องของลูกชายคนดังกล่าวนั่นเลย เพราะเป็นการแต่งงานที่ฉุกละหุก ใครเป็นใครในบ้านหลังนี้เขาจึงไม่มีเวลาศึกษาหาข้อมูลเลย...รู้แค่ว่าพี่ชายของท่านหญิงฟุบุกิคือทายาทเพียงหนึ่งเดียวของมัตสึโมโตะ...


แม่ทัพแห่งตะวันตก....


นั่นคือชื่อที่เขาได้ยินมา...แต่เขาไม่คิดเลยว่าดินแดนทั้งหมดนี้จะอยู่ในกำมือผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียว...เขาเข้าใจมาตลอดว่าคนลูกนั้นเป็นแค่แม่ทัพที่ทำตามคำสั่งของพ่อ...แต่ดูจากคนเป็นพ่อที่เหมือนจะเป็นเจ้าเมืองเพียงตำแหน่งแล้ว...ก็คงเชื่อได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแผ่นดินสีเลือดผืนนี้คงจะเป็นผู้ชายคนนั้นไม่ผิดแน่

อาคามะ ริวาอิ....พี่ชายของท่านหญิงฟุบุกิ

แล้วนี่เขา...จะต้องไปอยู่กับผู้ชายโหดร้ายกระหายสงครามแบบนั้นน่ะเหรอ?

จะรอดไหมเนี่ยเจ้าน่ะ เรน?












ร่างโปร่งบางในชุดฮากามะแบบพิธีการก้าวขาลงจากรถเทียมม้าอีกครั้งหลังจากที่มันพามาหยุดอยู่หน้าปราสาท...จากมุมมองไกลๆว่ามันน่าเกรงขามแล้วยิ่งเข้ามายืนมองใกล้ๆก็มีแต่จะยิ่งทำให้ขนลุก ชาวญี่ปุ่นที่คุ้นชินกับการอยู่ในบ้านที่ขนานไปกับพื้นดินมาตลอดอย่างเขาย่อมไม่เคยชินที่จะต้องมายืนอยู่ใต้อาคารสูงใหญ่ที่ทอดเงาดำทะมึนมาทาบทับทั่วร่างหลังนี้

ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นอย่างพยายามข่มความกลัว...มาถึงนี่แล้วถ้าเขาจะหนีก็มีแต่จะทำให้อิสุเสียชื่อเปล่าๆ ร่างโปร่งบางจึงหลับหูหลับตาก้าวขาพรวดๆผ่านประตูดำเข้าไป

ก๊า~ ก๊าก๊า~~

เสียงอีกาดังราวกับจะทักทายขึ้นมาทันที...อย่าบอกนะว่าที่นี่ไม่มีแม้แต่ข้ารับใช้เลยต้องส่งอีกามาต้อนรับเขาแบบนี้?  ร่างบางเริ่มจะสั่นพั่บๆทั้งๆที่ยังหลับตาปี๋ ก็ถ้าเกิดลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นผีทหารหัวขาดยืนโบกมือทักจากยอดปราสาทเขาจะทำยังไงล่ะ? แล้วในขณะที่กำลังยืนจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน อะไรเย็นๆก็แตะลงมาที่หลังมือ...

“ว๊ากกกกกกกกก!!!”   เสียงแหกปากดังลั่นยิ่งกว่าเสียงอีกาหลายเท่าเล่นเอาคนทั้งปราสาทโผล่หน้าออกมาดูด้วยความสงสัย

“นายน้อย?  นายน้อยแห่งอิสุเจ้าคะ?”   แต่แล้วเสียงเรียกของหญิงสาวก็ทำให้นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆแอบแง้มเปิดมามองข้างหนึ่ง คงไม่ใช่ผีสาวใส่ชุดสีขาวยืนนับจานอยู่หรอกนะ...

“เอ๋?”   คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ใส่ชุดสีขาวแต่แต่งกายแบบสาวใช้ทั่วไป แล้วบนปราสาทก็ไม่ได้มีผีหัวขาดแต่เป็นเหล่าซามูไร ทหารและข้ารับใช้ที่โผล่หน้ามาดูกันให้สลอน....

“อะ.....”  จากที่เคยสั่นเพราะความกลัวแต่ตอนนี้ร่างบางกลับกำลังสั่นเพราะรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี...หมดกัน...ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่บรรพบุรุษของเขาอุตส่าห์ทำเอาไว้...เพราะพวกแกเลยอีกาบ้า! นัยน์ตาสีมรกตตวัดขึ้นไปมองฝูงอีกาที่บินไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่เหนือปราสาทอย่างพาลๆ...ฝากไว้ก่อนเถอะ!

“เชิญข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ...อีกเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว จะแนะนำให้รู้จักห้องหับต่างๆในปราสาทลำบาก”   ใบหน้ามนพยักรับ มาดคุณชายโกคุเดระอะไรนั่นคงไม่จำเป็นแล้วมั้งในเมื่อทุกคนบนปราสาทต่างก็เห็นเขาปล่อยไก่ไปกันหมดแล้ว ร่างโปร่งจึงเดินตามสาวใช้เข้าไปด้วยท่าทางตามปกติของตน

พอปราศจากความกลัวแล้วอาคารห้าชั้นที่สร้างอยู่บนฐานหินก็ทำให้รู้สึกทึ่งไม่น้อย  นัยน์ตาสีมรกตทอดมองโครงสร้างไม้ชิ้นใหญ่อย่างตื่นตาตื่นใจ ห้องหับในนี้จะว่าไปก็ไม่ได้ต่างจากห้องในบ้านทั่วๆไปเลยสักนิด ติดแค่ว่าหน้าต่างมันจะเล็กมากจนมองเห็นแต่ผนังและผนัง 

เพราะหน้าต่างน้อยแบบนั้นทำให้คนออกแบบลดความอึดอัดด้วยการประดับประดาฝาผนังด้วยภาพเขียนสวยๆหรือไม่ก็เป็นสีทองทั้งผนังก็ยังมี  ใบหน้ามนมองสำรวจไปทั่วด้วยสายตาซุกซน...อะไรกัน...ที่นี่มันก็แค่คฤหาสน์ที่มีห้าชั้นดีๆนี่เอง ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน อีกทั้งยังมีคนเดินกันให้ขวักไขว่ ทั้งข้ารับใช้ ทั้งทหาร...กลับเป็นที่นี่ที่ดูเหมือน “บ้าน” ยิ่งกว่าที่คฤหาสน์อาคามะเสียอีก

ไม่รู้ทำไม...เขาถึงได้รู้สึกว่าที่บ้านใหญ่ตระกูลอาคามะนั้นมีบรรยากาศเหมือนสุสาน....มากกว่าจะเป็นบ้าน...

“ห้องของนายน้อยอยู่ที่ปีกนี้นะเจ้าคะ ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปจะไม่มีทหารหรือข้าราชการเข้ามายุ่งเพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ จะมีข้ารับใช้ประจำอยู่บางจุดเท่านั้น ถ้านายน้อยต้องการอะไรก็เรียกใช้ได้เจ้าค่ะ”    หญิงสาวแนะนำเขาเป็นอย่างดี ถึงจะจำอะไรไม่ค่อยได้เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจแต่ใบหน้ามนก็พยักรับส่งๆไป  เอาไว้ค่อยสำรวจเองอีกทีก็ได้ ยังไงเขาก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน

และเพราะแบบนั้นแหละ...ร่างโปร่งบางถึงได้เลี้ยวเข้าห้องอาบน้ำทางซ้ายแทนที่จะเป็นทางขวาตามที่สาวใช้แนะนำมา...













ม้านับสิบตัววิ่งทะยานฝ่าความหนาวเข้ามายังตัวเมืองมัตสึโมโตะก่อนที่หลายต่อหลายตัวจะแยกย้ายไปตามถนนหนทางที่มุ่งสู่บ้านของตน จนในที่สุดก็เหลือม้าสีดำเพียงห้าหกตัวเท่านั้นที่ยังคงวิ่งต่อไปยังใจกลางเมือง...สู่สถานที่ตั้งของปราสาทมัตสึโมโตะ

ไอสีขาวถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากก่อนที่มันจะลอยไปกระทบกับใบหน้าคมคายที่อยู่ภายใต้หมวกคาบุโตะประดับเขาสัตว์  นัยน์ตาคมกล้ายังคงมองตรงไปยังยอดปราสาทสีดำเช่นเดียวกับฝ่าเท้าที่ตบเข้าสันข้างของม้าเพื่อไม่ให้ความเร็วตกลงถึงแม้จะวิ่งอยู่ในเมืองก็ตาม  รอบกายนั้นมืดสนิทไปนานแล้วเพราะงั้นเสียงฝีเท้าม้าจึงดังกึกก้องไปทั่วถนน แต่คนทำให้เกิดเสียงก็ไม่ได้คิดจะเกรงใจใครแล้วก็คงไม่มีใครในแถบนี้ลุกออกมาดูเพราะมันก็เป็นเสียงที่ดังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...เสียงม้าของท่านแม่ทัพ...

ประตูดำซึ่งเป็นประตูหน้าของปราสาทถูกปิดไปตั้งแต่หัวค่ำและคนที่ไม่ชอบรออะไรแม้แต่การเปิดประตูใหญ่ที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีจึงบังคับม้าให้วิ่งอ้อมสระน้ำที่ล้อมรอบปราสาทเพื่อไปยังประตูเล็กที่อยู่ด้านหลัง  แสงจากจันทราสาดส่องให้มองเห็นเงาสะท้อนของปราสาทอยู่ในผืนน้ำที่นิ่งสนิท ทั้งดูสวยงามทั้งดูลึกลับน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน ยิ่งผนวกกับฝูงม้าสีดำที่กำลังวิ่งข้ามผ่านสะพานสีแดงก็ยิ่งราวกับภาพวาดที่เต็มไปด้วยความดุดันและทรงพลัง

ประตูเล็กด้านหลังเปิดรับแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงม้า เพราะคงไม่มีใครกล้าควบด้วยความเร็วขนาดนี้แน่ถ้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพของตน

บังเหียนถูกดึงทำให้เจ้าม้าตัวใหญ่ที่วิ่งตะบึงมาทั้งวันได้หยุดพักเสียที ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครกระโดดลงจากหลังของมันก่อนจะก้าวขาพรวดๆเข้าไปในปราสาทโดยไม่คิดจะฟังรายงานจากทหารยามที่กุรีกุจอออกมาต้อนรับ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งจนคนของปราสาทมัตสึโมโตะเริ่มชินชากับความใจร้อนและไม่สนใจพิธีการใดๆของนายเหนือหัวของตน

“ท่านแม่ทัพ? กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ จะให้จัดสำรับอาหารไหมเจ้าคะ?”   ข้ารับใช้ที่บังเอิญเดินผ่านมาถึงกับตกอกตกใจที่จู่ๆนายเหนือหัวก็มาโผล่พรวดอยู่ที่ฐานปราสาท เป็นเพราะไม่ได้เข้าทางประตูหน้าแบบคนปกติเค้านั่นแหละทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ปกครองของที่นี่กลับมาแล้ว

“อาหารไม่ต้อง เตรียมเฉพาะสาเกก็พอ ข้าจะไปอาบน้ำก่อน”   เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทั้งๆที่ยังไม่หยุดเดินด้วยซ้ำ กว่าข้ารับใช้สาวจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องแขกคนสำคัญที่เพิ่งจะมาถึงเมื่อเย็นเช่นกัน...ท่านแม่ทัพก็เดินไปไกลแล้ว...



มือแข็งแรงวางดาบทั้งสองเล่มลงบนแท่นสำหรับวางดาบ ก่อนจะตามมาด้วยหมวกคาบุโตะและชุดเกราะโยโรย  ทหารคนสนิทที่ตามมาช่วยถอดชุดเกราะถูกไล่ออกไปและบัดนี้แม่ทัพแห่งมัตสึโมโตะก็เหลือเพียงกิโมโนสีดำที่ชุ่มแฉะไปด้วยเหงื่อ เพราะแบบนี้แหละเขาถึงได้อยากอาบน้ำเต็มที

ร่างแข็งแกร่งก้าวขาออกจากห้องนอนของตนก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีแสงเทียนเล็ดรอดออกมาจากห้องนอนที่อยู่อีกปีกหนึ่งของปราสาท...

ตั้งแต่เขาย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่ปราสาทมัตสึโมโตะก็ร่วมสิบห้าปี  ห้องพวกนั้นไม่เคยมีคนใช้เพราะเขาอยู่ที่นี่คนเดียว...ที่มีแสงเทียนรอดออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าเจ้าเด็กจากอิสุที่จะมาเป็นน้องเขยของเขามาถึงแล้วอย่างงั้นสินะ

หึ...เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปทักทายให้สาสมหน่อยก็แล้วกัน

ร่างแข็งแกร่งเดินเข้าห้องอาบน้ำไปตามความเคยชิน  กิโมโนสีดำถูกถอดกองเอาไว้ในส่วนเปลี่ยนชุดก่อนที่ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกจะเดินตัวเปล่าเข้าไปตามประสาผู้ชายที่ไม่สนใจรายละเอียดหยุมหยิมอย่างการใช้ผ้าผืนเล็กพันรอบเอวก่อน ความเหนอะหนะจากเหงื่อและฝุ่นผงทำให้มือใหญ่ยกถังน้ำขึ้นราดตั้งแต่บนหัวลงมาทีเดียว  สายน้ำไหลจากเส้นผมสีดำลงไปตามท้ายทอยที่ไถเกรียนก่อนจะตกลงสู่ลาดไหล่กำยำและท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม  หยดน้ำยังคงไหลลงไปตามแผงอกและหน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สวยงามแต่ก็แข็งแรงสมเป็นชายชาตินักรบ...แล้วก็เพราะเป็นนักรบนั่นแหละที่ทำให้ร่างแข็งแกร่งดูดิบเถื่อนไร้ความนุ่มนวลแบบที่พวกลูกผู้ดีมีตระกูลเค้าเป็นกัน

แหงละ...อยู่ในสนามรบใครมันจะมัวมาประดิษฐ์ปะดอยเรื่องการอาบน้ำ  ทหารที่ไหนมันก็ราดน้ำกันโครมๆแบบนี้แหละ

สองขาจึงเดินต่อไปยังบ่อแช่น้ำร้อนทั้งๆที่น้ำยังไหลโชกลงมาจากร่างกาย  ปกติเขาก็ใช้ห้องอาบน้ำนี่คนเดียวอยู่แล้วจะต้องมัวไปเกรงใจใครทำไม


แต่แล้ว...


เสียงจ๋อมๆที่ไม่น่าจะมาดังในห้องอาบน้ำส่วนตัวของเขาได้ก็ทำให้ฝ่าเท้าถึงกับชะงัก

ใคร? ใครหน้าไหนมันกล้ามาใช้ห้องอาบน้ำของเขา ทั้งๆที่สั่งนักสั่งหนาว่าห้ามใครมาใช้!

นัยน์ตาคมกล้าพยายามมองฝ่ากลุ่มไอน้ำซึ่งทำให้ทุกอย่างดูพร่าเลือน  บ่อน้ำร้อนตรงนี้เป็นบ่อกลางแจ้งเพราะงั้นในคืนเดือนหงายเช่นนี้จึงพอจะมองเห็นคนที่นั่งหันหลังนั่นอยู่บ้าง

ไหล่ขาวนวลเนียนนั้นเล็กบาง ไรผมที่ลำคอระหงนั้นเปียกลู่อยู่ในน้ำ เส้นผมยาวสีน้ำตาลถูกรวบมัดเอาไว้ลวกๆ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็น...ผู้หญิง?

แล้วก็น่าจะเป็นผู้หญิงที่รูปร่างและผิวพรรณดีเสียด้วย?

แต่จะมีผู้หญิงคนไหนในปราสาทที่ไม่รู้บ้างว่าที่นี่ห้ามใครเข้า

ทางเดียวที่เป็นไปได้ก็คือผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนของปราสาทมัตสึโมโตะแต่มาจากที่อื่น...

หรือจะเป็นข้ารับใช้ที่มากับเจ้าเด็กจากอิสุ?

หึ...ถ้างั้นก็ดี...เขากำลังหาที่ระบายอยู่เลย

ถึงใครๆจะว่าเขาโหดร้ายและป่าเถื่อนแต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายหรือข่มเหงผู้หญิง...แต่มันคงไม่ใช่กับผู้หญิงที่มาจากอิสุ...ใช่...พวกอิสุ...ที่หยามเกียรติของครอบครัวเขาแล้วเขาจะไปให้เกียรติพวกมันทำไม?!

ไม่ว่าใคร...ที่มาจากอิสุอันเนื่องมาจากการแต่งงานในครั้งนี้มันจะต้องเป็นผู้รับเคราะห์ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้ผิดอะไรก็ตาม!

ร่างแข็งแกร่งเดินเข้าไปใกล้แต่คนที่หันหลังนั่งอยู่ในบ่อน้ำร้อนนั่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว ถึงจะคิดว่ามันแปลกๆที่สาวใช้จะมาอาบน้ำตามลำพัง แต่บางทีธรรมเนียมปฏิบัติของอิสุอาจจะไม่เหมือนของที่นี่ก็ได้?

“โฮ่ย...”   เสียงทุ้มเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงดุดันและนั่นก็ทำให้ไหล่บางถึงกับสะดุ้งโหยง หัวสีน้ำตาลหันมาหาเขาด้วยท่าทางตกใจ

และใบหน้ามนที่เขามองเห็นนั้น....มันไม่เลวเลย...

“....?!  ท่อนแขนเล็กบางรีบตวัดผ้าผืนเล็กที่คงจะพาดต้นขาอยู่ในน้ำขึ้นมาปิดบังลำตัวทำให้เขามองไม่เห็นส่วนที่เป็นหน้าอก ถึงท่าทางจะดูตื่นๆที่ถูกเขาเข้าประชิดตัวได้ขนาดนี้แต่นัยน์ตาสีมรกตกลมโตนั่นก็ไม่ได้กลัวเขาจนหงออย่างที่คิด

“จะ เจ้าเป็นใคร? แล้วเข้ามาได้ยังไง? ออกไปนะ!”   เด็กสาวตรงหน้าชี้นิ้วไล่เจ้าของปราสาทอย่างเขาจนทำเอาคิ้วกระตุก ท่าทางอวดดีและเอาแต่ใจแบบนี้ดูท่าจะไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาๆ เผลอๆอาจจะเป็นญาติพี่น้องในตระกูลโกคุเดระที่ติดตามมาส่งพี่ชายอะไรแบบนี้ก็ได้

ดี...

แบบนั้นก็ยิ่งดี!

“ที่นี่เป็นห้องอาบน้ำของข้า ใครหน้าไหนให้เจ้าเข้ามาใช้ได้?”   เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดัน บรรยากาศดำมืดที่เขาปล่อยออกไปทำให้มือขาวๆที่กำลังชี้หน้าเขาค่อยๆลดระดับลง...เด็กนี่น่าจะเป็นคนในตระกูลนักรบจริงๆด้วย ถึงได้สัมผัสจิตสังหารของเขาได้

“เอ๋? แต่ข้ารับใช้ในปราสาทบอกว่าให้ข้ามาใช้ที่นี่...?”   เขายังคงย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กสาวที่ถอยไปจนมุมอยู่ที่ผนังไม้ไผ่

“...............”   ทั้งสายตากดดัน ทั้งบรรยากาศเย็นเหยียบคงจะทำให้เด็กนี่รับรู้บ้างแล้วสินะ ว่าเขาไม่ใช่ทหารหรือข้ารับใช้ชั้นปลายแถว  ใบหน้ามนนั่นถึงได้เสหลบอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่นัยน์ตาสีมรกตดื้อรั้นก็ยังเหลือบมาสู้เขาเป็นระยะๆ...นี่ถ้ากลัวเขาจนตัวสั่นบางทีเขาอาจจะสงสารแล้วปล่อยไปก็ได้...แต่เพราะรูปร่างท่าทางดันน่าปราบพยศแบบนี้ไงมันเลยทำให้เลือดในกายร้อนขึ้นมาจนห้ามไม่อยู่...ยิ่งสู้...เขาก็ยิ่งอยากจะบดขยี้ให้เละคามือ...

“เจ้ามาจากอิสุ?”   เสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ร่างแข็งแกร่งก้าวเข้าไปยืนประชิดจนเรียกว่าปิดทางหนีเอาไว้หมด

“ชะ ใช่...”   แล้วพอเด็กสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก มือใหญ่ก็จับหมับลงไปบนข้อมือบางก่อนจะกระชากมันขึ้นมาเหนือน้ำแล้วกดเอาไว้กับผนังไม้ไผ่ ใบหน้าคมโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้ามนที่กำลังตื่นตระหนกก่อนที่เสียงทุ้มมืดมนจะพูดออกไปให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ถ้าเจ้าอยากจะใช้ห้องอาบน้ำนี่...ก็ต้องใช้ร่วมกับข้า”   ลมหายใจร้อนๆถูกเป่าใส่ต้นคอระหง ร่างโปร่งบางสะดุ้งโหยงก่อนจะพยายามดันตัวหนี

“ขะ ข้าว่าข้าขึ้นแล้วดีกว่า...โอ๊ย?!   คิดหรือว่าจะหนีจากคนอย่างอาคามะ ริวาอิได้? ไม่ว่าเขาต้องการอะไรเขาก็ต้องได้ ไม่ว่าจะแผ่นดินผืนไหนหรือว่าหัวของใคร เขาก็ทำให้มันมาอยู่ในกำมือได้แทบทั้งสิ้น แล้วกับอีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวมีหรือที่จะหนีจากเขาไปได้!

“จะทำอะไร? ปล่อยข้านะ! อื้อ?!”   ท่อนแขนแข็งแรงยกลำตัวบางขึ้นไปพาดไว้บนขอบบ่อ สายน้ำที่กระเซ็นตามไปทำให้เขายังไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่อยู่บนตัวเด็กสาว  ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามตามไปกดร่างโปร่งบางให้อยู่ใต้ร่างตัวเอง ริมฝีปากที่เคยสั่งสังหารศัตรูมาไม่รู้เท่าไหร่กำลังซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราว ผิวพรรณชั้นดีที่นุ่มลื่นทำให้จมดิ่งลงไปในห้วงแห่งอารมณ์ปรารถนาได้ไม่ยาก ถึงเขาตั้งใจจะฝังตราบาปลงไปบนตัวเด็กสาวและฝากมันเอากลับไปให้ทุกคนในตระกูลโกคุเดระได้เจ็บช้ำน้ำใจ...แต่เขาก็ใช่จะไร้ความปรานีจนไม่มีการเล้าโลมให้ เพราะงั้นฝ่ามือใหญ่จึงลากไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งเพื่อทำให้เด็กนี่ไม่เจ็บมากจนเกินไป

ปลายนิ้วดึงเชือกที่มัดเส้นผมสีน้ำตาลเอาไว้ออก บัดนี้มันถึงได้แผ่สยายเต็มพื้น  ท่อนแขนบางๆนั่นพยายามสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คิดหรือว่ามันจะทำอะไรร่างกายแข็งแรงบึกบึนของแม่ทัพที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนอย่างเขาได้

“ปล่อยข้านะ! ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย? บอกให้ปล่อย!”  เด็กสาวยังคงดิ้นเต็มแรงแต่นัยน์ตาสีขี้เถ้าก็เพียงแค่ปรายมองอย่างเหยียดๆ ยังไงก็ไม่มีทางสู้เขาได้อยู่แล้ว ดิ้นหนีไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะงั้นริมฝีปากถึงได้กดจูบฝากฝังร่องรอยเอาไว้บนผิวขาวใสตามแต่ใจ

แผงอกแข็งแรงกดทับลงไปบนลำตัวบาง น่าแปลกที่เนินอกของเด็กสาวกลับไม่มีมารับร่างกายของเขาเลย? ยังเด็กจนหน้าอกยังไม่ขึ้นหรือไง? หรือเป็นพวกขนาดเล็ก? ช่างเถอะขอแค่ข้างล่างมีทางให้เข้าได้ก็พอ

ฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ลงไปถึงต้นขาเตรียมที่จะย้ายไปหยอกเย้าจุดรัญจวนใจให้เด็กสาว...แต่แล้ว...สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าเด็กสาวจะมีมันกลับขวางมืออยู่?

“อื้อ?! จับอะไรของเจ้าเนี่ย อย่า~”   ร่างโปร่งถึงกับบิดเร่าเมื่อมือของเขาจับมันให้แน่ใจ...เดี๋ยวนะริวาอิ...ไอ้สิ่งนี้มันต้องไม่มีในตัวเด็กผู้หญิงสิ?

“.....?!   ใบหน้าคมก้มลงไปมองให้แน่ใจแล้วสิ่งที่นัยน์ตาเห็นมันก็ทำให้เขาถึงกับชะงักค้าง...พันเปอร์เซ็นต์เลยแบบนี้...เจ้าเด็กนี่เป็น...

“.....ผู้ชาย?”   เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับใบหน้ามนที่น้ำตาปริ่มเม้มริมฝีปากแน่น  อาการเหมือนถูกตีแสกหน้าทำให้เขาถึงกับตะลึงอึ้งค้างไปหลายนาที แล้วมันก็เป็นจังหวะให้เจ้าเด็กที่อยู่ข้างใต้ขยับตัวหนีไปได้สำเร็จ

“กะ ก็ใช่น่ะสิ! ข้า-เป็น-ผู้-ชาย!! ปล่อยข้านะเจ้าคนไร้ยางอาย!”   มือบางผลักเขาออกมาก่อนจะอาศัยจังหวะที่เขายังมึนงงหันมาด่าเขาก่อนจะวิ่งหนีไป

ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งมัตสึโมโตะยังยืนเคว้งคว้างอยู่กลางบ่อน้ำอีกหลายนาที...เดี๋ยวนะ...จะบอกว่าหน้าแบบนั้น รูปร่างแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น เป็นเด็กผู้ชายเนี่ยนะ?

ไม่อยากจะเชื่อ....

ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!










ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกก้าวขาพรวดๆออกจากห้องอาบน้ำเมื่อสติกลับมาครบถ้วน ร่างในยูกาตะสีน้ำเงินเข้มเดินดุ่มๆไปตามระเบียงที่เชื่อมไปยังหอกลางโดยไม่สนใจว่าข้ารับใช้จะเอ่ยทักยังไงในเมื่อตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่ค้างคาอยู่ในใจ

เขาลืมเรื่องเอกลักษณ์อันหาได้ยากของคนในตระกูลโกคุเดระไปได้ยังไง...ถึงเจ้าเด็กนั่นจะไม่ได้มีเส้นผมสีเงินอันเป็นสิ่งที่หาได้ยากแม้แต่คนในตระกูลโกคุเดระด้วยกันเองจนทำให้เขาคิดว่าเด็กนั่นยังไงก็ไม่ใช่ท่านหญิงน้อยเพียงหนึ่งเดียวอย่างโกคุเดระ ฮายาโนะแน่ๆ...แต่เขาลืมไปว่าพวกโกคุเดระยังมีเอกลักษณ์ทางร่างกายอยู่อีกอย่างนั่นก็คือจะมีแต่พวกสายตรงเท่านั้นที่จะมีดวงตาสีมรกต!

แล้วเจ้าเด็กนั่นก็มีดวงตาสีมรกตเพราะงั้นต้องเป็นคนของตระกูลโกคุเดระสายตรงอย่างไม่ต้องสงสัย  ไม่ใช่แค่ลูกพี่ลูกน้องหรือเครือญาติอย่างที่เขาคิดในตอนแรก แต่ต้องเป็นลูกของหนึ่งในหกพี่น้องตระกูลโกคุเดระเท่านั้น....ซึ่งนั่นก็หมายความว่า....


ครืด!!!


ประตูบานเลื่อนของห้องนอนใหญ่ในปีกทิศใต้ถูกเปิดออกโดยไม่มีการขออนุญาต ห้องๆนี้คือห้องที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ว่าที่น้องเขย และคนที่นั่งหน้ามุ่ยหวีผมอยู่ในห้องก็คือคนที่เขาเกือบจะจับกดในห้องอาบน้ำอย่างที่คิดจริงๆ!

“เจ้า...โกคุเดระ เรน?”   ใบหน้ามนขู่ฟ่อทันทีที่หันมาเห็นเขา มือบางคว้ามีดสั้นเตรียมสู้ขาดใจแน่ถ้าเขาก้าวขาเข้าไปมากกว่านี้

“ก็ใช่น่ะสิ! แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร? ยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงได้กล้าทำเรื่องบัดสีแบบนั้น เจ้าคนไร้ยางอาย!”   นัยน์ตาสีมรกตแข็งกร้าวกับท่าทางห้าวๆไม่สมตัวกลับยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ ต่อให้รู้ว่าเป็นผู้ชายแต่ไอ้ความรู้สึกว่ามันช่างน่าปราบพยศนี่มันก็ยังไม่ยอมหายไปเสียที

“ข้าเป็นเจ้าของปราสาทหลังนี้ ข้าชื่ออาคามะ ริวาอิ ยิ่งใหญ่พอไหม?!”   เขาตอบกลับไปในขณะที่คนฟังได้แต่อ้าปากค้าง  ร่างทั้งร่างตวัดตัวหันหลังก่อนจะเดินจากมาด้วยความหงุดหงิดเสียเต็มประดา


เจ้าเด็กนั่นมันอะไรกัน...

เจ้าเด็กนั่นมันอะไรกัน......

เจ้าเด็กนั่นมันอะไรกัน!!


หน้าแบบนั้นจะเกิดมาเป็นผู้ชายให้เสียของทำไม!






เจ้าของปราสาทมัตสึโมโตะเดินปล่อยรังสีทะมึนอย่างที่ข้ารับใช้ต่างหลบกันให้ควั่กเพราะรู้ดีว่าตอนนี้นายเหนือหัวกำลังอารมณ์ไม่ดี  ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครกระแทกตัวนั่งลงไปที่ระเบียงของหอชมจันทร์ซึ่งมองเห็นสระที่ล้อมรอบปราสาทอยู่ได้อย่างชัดเจน สาวใช้รีบเลื่อนถาดใส่สาเกมาให้ก่อนจะรีบออกไป  มือใหญ่จึงยกถ้วยสาเกขึ้นมาก่อนจะกระดกเข้าปากรวดเดียว

บรรยากาศรอบตัวจะงดงามแค่ไหนเขากลับไม่คิดจะสนใจมันในเมื่อเรื่องที่ลอยวนเวียนอยู่เต็มหัวก็คือเรื่องของเจ้าเด็กที่น่าหงุดหงิดนั่น

ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่านั่นคือเด็กผู้ชาย คือคนที่กำลังจะมาเป็นน้องเขยของเขา คือคนที่กำลังจะแต่งงานกับฟุบุกิ

มีที่ไหนกันที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะสวยพอๆกันแบบนี้น่ะ ห๋า?!

แล้วพวกอิสุมันไม่ได้สำนึกในความผิดของตัวเองเลยหรือยังไงถึงได้ส่งเด็กนั่นมา ดูท่าทางพึ่งพาอะไรไม่ได้เลยสักนิดแถมไม่มีตรงไหนที่ดูสมชายชาตรี ไม่มีความเป็นนักรบหรืออะไรทั้งนั้น พวกอิสุมันตั้งใจจะหยามเกียรติของเขาอีกอย่างงั้นใช่ไหมถึงได้ส่งคนอ่อนแอปวกเปียกแบบนี้ให้มาเป็นเขยของมัตสึโมโตะน่ะ?!

เขยของมัตสึโมโตะจะต้องออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่เขาในอนาคต แล้วดูคนที่อิสุส่งมา...แบบนี้มันตั้งใจจะตัดกำลังเขาชัดๆ...หรือพวกนั้นกำลังวางแผนทำให้มัตสึโมโตะค่อยๆอ่อนกำลังลงแล้วก็คงถูกคามาคุระตีได้ในภายภาคหน้า?

ไม่มีทาง...

ไม่มีทางเสียหรอก!


ยิ่งคิดยิ่งโมโหแล้วก็ยิ่งกระดกสาเกเข้าปากไปอีกถ้วยแล้วถ้วยเล่า

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองเข้าไปในความมืด...ดี...ในเมื่อพวกอิสุส่งเจ้ามา เจ้าก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ โกคุเดระ เรน!


เขานั่งรอเวลาราวกับพยัคฆ์ร้ายหมอบรอเหยื่อ หมู่ดาวบนท้องฟ้าหมุนวนแปลเปลี่ยนทิศจนบ่งบอกว่าอีกไม่กี่ชั่วยามพระอาทิตย์ก็คงจะตื่นขึ้นมา

ด้วยความรู้สึกที่ครุกรุ่นผนวกกับฤทธิ์ของน้ำเมาที่ทำให้เขาอยู่ในอารมณ์กรึ่มๆจะว่ามีสติเต็มที่ก็ไม่ใช่จะว่าไร้สติก็ไม่เชิง เพราะงั้นความยับยั้งชั่งใจจึงแทบไม่มี  มือใหญ่วางถ้วยสาเกลงไปที่พื้นก่อนจะลุกขึ้นยืน ขวดสาเกที่ล้มระเกะระกะเต็มไปหมดไม่ใช่อุปสรรคอะไรสำหรับเขาในเมื่อเขาไม่ได้เมา



ร่างแข็งแกร่งเดินขึ้นบันไดไม้แคบๆไปยังชั้นสองของปีกทิศใต้ มีเพียงแสงคบไฟที่ติดอยู่ตามทางเดินเท่านั้นที่ส่องให้รู้ว่าประตูห้องของเจ้าเด็กนั่นยังคงปิดสนิทและเขาก็กำลังเปิดมันออกอย่างแผ่วเบา  เงาร่างดำทะมึนไปหยุดยืนอยู่เหนือหัวคนที่ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา...ขนาดมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองยังหลับสนิทได้อีกนะเจ้าเด็กเหลือขอนี่...

“โฮ่ย...”   เสียงทุ้มเอ่ยปลุกแต่คนที่ซุกหน้าหนีเข้าไปในผ้าห่มยิ่งกว่าเดิมก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เสียงอืออาที่นิ่งเงียบไปอีกรอบทำให้ท่านแม่ทัพแห่งตะวันตกเริ่มจะคิ้วกระตุก....ไม่เคยมีใครที่เขาต้องปลุกซ้ำสอง พวกทหารมีแต่จะเด้งตัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา ขนาดเด็กร้องไห้มันยังหยุดร้องเลย!

“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”   ด้วยเส้นความอดทนที่บางกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ร่างแข็งแกร่งจึงไม่รออีกต่อไป มือใหญ่ตรงเข้าไปกระชากผ้าห่มแล้วดึงข้อมือบางนั่นขึ้นมา เจ้าเด็กจากอิสุลุกขึ้นมานั่งโงนเงนทั้งๆที่ดวงตากลมโตนั่นยังปิดสนิท...นี่เป็นคนขี้เซาขนาดไหนกันเนี่ย?

“โฮ่ย!”   เขาถึงกับผงะเมื่อเจ้าเด็กตรงหน้าไหลตัวลงไปบนที่นอนใหม่แถมมุดเข้าไปในผ้าห่มเรียบร้อยทั้งๆที่ตายังปิดอยู่ด้วยซ้ำ!

“ยังมืดอยู่เลยนี่ท่านแม่...ข้าจะนอน....”   เสียงงึมงำดังลอดออกมาจากโปงผ้าห่ม...ท่านแม่บ้าอะไรล่ะ?! ทั้งๆที่รู้ว่ารอบกายยังมืดอยู่แต่ดันไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่คือเขาเนี่ยนะ? ประสาทสัมผัสนี่มันของลูกหมาหรือยังไงกัน?!

“จะลุกหรือไม่ลุก?”   เสียงทุ้มกดต่ำเอ่ยพลางคิ้วกระตุกรัวๆ

“ไม่~....”   บอกตามตรงว่าไม่เคยมีใครกวนประสาทเขาขนาดนี้มาก่อน...มือดึงแขนเสื้อยูกาตะขึ้นไปถึงข้อศอกทั้งๆที่สายตายังจ้องเขม็งอยู่ที่โปงผ้าห่มน่าหมั่นไส้นั่น

“ไม่ลุกดีนักใช่ไหม?...”   แล้วมือของเขาก็ตวัดผ้าห่มออกอย่างรวดเร็ว ท่อนแขนสอดเข้าไปใต้ร่างโปร่งบางพร้อมกับหิ้วมันขึ้นมา สองขาก้าวเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจเจ้าลูกหมาที่ร้องเรียกท่านแม่ๆนั่นอีกเลย






“เอ๋? ท่านไม่ใช่ท่านแม่นี่?...”    ก็ไม่ใช่น่ะสิ! เขาหันไปส่งสายตาเขียวปั๊ดให้เจ้าเด็กจากอิสุที่มาตื่นเต็มตาเอาตอนขึ้นไปอยู่บนหลังม้าแล้วนั่นแหละ...ให้ตายเถอะ...ปกติแม่ของเด็กนี่ปลุกกันอีท่าไหนถึงได้ถูกลากมาจนไกลขนาดนี้ก็ยังไม่ตื่นได้เนี่ย?

“ขี่ม้าตามข้ามาซะ เราจะไปลาดตระเวนกัน”   ไปมันทั้งชุดนอนแบบนั้นแหละ อยากไม่ตื่นดีนัก...เขากระโดดขึ้นหลังม้าอีกตัวในขณะที่เจ้าเด็กจากอิสุยังมองบังเหียนในมืองงๆ

“อย่าบอกนะว่าขี่ม้าไม่เป็น?”   ถึงรูปร่างท่าทางจะอยู่ไกลกับคำว่าชายชาติทหารแต่อย่างน้อยเจ้าเด็กนี่มันก็เกิดมาในตระกูลนักรบนะ กับอีแค่ม้า...

“ขี่เป็นน่ะ...แต่ว่าจะออกไปลาดตระเวนทั้งๆอย่างนี้น่ะเหรอ? ปกติที่อิสุเค้าจะต้องใส่เกราะแล้วก็มีอาวุธนะ?”   ใบหน้ามนนั่นเงยขึ้นมาถามด้วยสีหน้าที่ยังงงๆ

“หึ...ก็นี่มันเป็นการลาดตระเวนในแบบของข้ายังไงล่ะ”  เสียงทุ้มเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มร้ายที่อยู่ในใจ แล้วฝ่าเท้าก็เตะเข้าที่สีข้างม้าให้มันออกวิ่งโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถามอะไรได้อีก

ถึงจะยังมึนงงแต่เด็กนั่นก็ขี่ม้าตามเขาออกมา ม้าสีดำสองตัวมุ่งหน้าเข้าไปในป่าที่อยู่นอกเมืองมัตสึโมโตะ ฟ้าที่ยังไม่ทันสางดีทำให้ในป่ายามนี้ดูวังเวงและน่ากลัว กับคนที่เพิ่งมาอยู่ใหม่อย่างเด็กนั่นไม่มีวันจับทิศทางของป่าแถบนี้ได้หรอก เพราะมันเป็นป่าทึบไม่ใช่ป่าโปร่งแบบที่มีในแถบอิสุและคามาคุระ เขาค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆอย่างตั้งใจจะทิ้งให้เด็กนั่นตามไม่ทัน....ใช่...เขาจงใจให้มันมาหลงป่าอยู่คนเดียวที่นี่ มันจะได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของมัตสึโมโตะ

แต่เจ้าเด็กนั่นก็บังคับม้าได้ดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก ทั้งๆที่เพิ่มความเร็วมาขนาดนี้อีกทั้งยังวิ่งผ่านป่าต้องคอยหลบต้นไม้น้อยใหญ่แต่เจ้าเด็กนั่นก็ยังตามเขาทัน...จริงสิ...พวกโกคุเดระขึ้นชื่อเรื่องการใช้ธนูเพราะงั้นจึงต้องฝึกการขี่ม้าคู่กับการใช้ธนูไปด้วยสินะ เจ้าเด็กที่ดูภายนอกไม่ได้เรื่องนี่เองก็คงถูกฝึกอาวุธประจำตระกูลนั่นมาตั้งแต่เด็ก เพราะงั้นให้มาขี่ม้าโดยไม่ต้องถือธนูมันคงเหมือนเป็นการติดปีกให้เสียมากกว่า

นัยน์ตาสีขี้เถ้าลอบมองร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนหลังม้าที่ห่างออกไปไม่ไกล แผ่นหลังบางซึ่งตั้งตรงส่งให้เด็กนั่นดูงามสง่า เชื่อได้เลยว่าเด็กนั่นสามารถปล่อยมือจากบังเหียนได้โดยไม่กลัวตกลงไป ดูจากอะไรหลายๆอย่างแล้วเขาคิดว่าเด็กนั่นน่าจะเคยชินกับการถือธนูอยู่บนหลังม้ามากกว่าการไม่มีธนูแบบนี้ด้วยซ้ำ

เอาเถอะ...อย่างน้อยก็ถือว่าอิสุไม่ได้ส่งคนที่แย่เกินเยียวยามาให้เขา...


รอบกายที่เคยมืดมัวเริ่มกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า...ม้าสองตัวหยุดยืนอยู่ที่ริมลำธารเพื่อพักหลังจากที่วิ่งมาหลายสิบกิโล...นัยน์ตาคมกล้าทอดมองเจ้าเด็กจากอิสุที่ลงไปล้างหน้าล้างตาผสมเล่นน้ำอยู่ที่ริมลำธาร ท่าทางที่ไม่ได้รู้สึกถึงภัยอันตรายยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันหมายถึงเจ้าเด็กนั่นไม่ได้กลัวเกรงเขาเลย ไม่ได้รับรู้ถึงความแค้นเคือง ไม่ได้รับรู้ถึงความโหดเหี้ยมที่ใครๆต่างก็กลัวจากตัวเขาเลย

เหมือนเคยชิน...กับการอยู่ใกล้คนที่มีกลิ่นไอแบบเขา?

“โฮ่ย...ข้าจะไปดูที่ต้นน้ำหน่อย รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”   เขาตะโกนบอกเจ้าคนที่กำลังไล่จับปลาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ในน้ำ ใบหน้าใสที่มีหยดน้ำเกาะพราวหันมาพยักรับราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเกือบจะถูกเขาทำอะไรวันนี้ถึงได้ตามเขาออกมาอย่างไร้การป้องกันตัวแบบนี้

หึ...เดี๋ยวเขาจะสอนให้รู้เองว่าแบบนั้นมันใช้ชีวิตอยู่ในมัตสึโมโตะไม่ได้

ม้าสีดำวิ่งเหยาะๆจากไป...ในเมื่อสลัดให้หลุดจากการวิ่งตามปกติไม่ได้ เขาก็ใช้อุบายทิ้งมันดื้อๆแบบนี้แหละ

ม้าสีดำมาหยุดยืนอยู่บนหน้าผาซึ่งห่างออกมาพอสมควร  นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองเจ้าเด็กจากอิสุที่กำลังยืนหันซ้ายแลขวาอย่างเริ่มจะกังวลขึ้นมาได้บ้างเพราะว่าเขาหายไปเป็นชั่วยามแล้ว  ร่างโปร่งบางนั่นละจากชายน้ำมายืนอยู่ข้างๆม้า หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบในที่สุดเด็กนั่นก็ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าก่อนจะออกเดินไปเรื่อยๆ ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวสีน้ำตาลหันไปหันมาเพื่อมองหาเขา สภาพเหมือนเด็กหลงทำให้รอยยิ้มร้ายปรากฏอยู่บนริมฝีปาก...ดี...ยิ่งรู้ตัวได้ไวว่าถูกเขาทิ้งก็ยิ่งดี...แล้วจากนี้ไปก็จงอยู่ข้างกายเขาด้วยความกลัวและความหวาดระแวงนั่นไปซะ

ม้าสีดำหันหลังกลับโดยไม่สนใจคนที่ถูกทิ้งเอาไว้กลางป่า...ยังกลางวันแสกๆแบบนี้หาทางกลับให้ได้เองก็แล้วกัน...แล้วเจ้าม้าสีดำก็พุ่งทะยานกลับปราสาทมัตสึโมโตะตามลำพัง











นายน้อยแห่งอิสุยังคงขี่ม้าเดินวนเวียนอยู่ในป่า ใบหน้ามนหันมองไปรอบกายที่มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ไม่คุ้นตา คิ้วสีน้ำตาลขมวดเข้าหากันอย่างหวั่นๆ นี่มันก็ตั้งหลายชั่วยามแล้วแต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่กลับมารับเขา...จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ? หรือว่าไปเจอเสือเข้า? หรือว่าหลงทาง? หรือว่าจำสถานที่ที่ปล่อยเขาเอาไว้ผิด?....หรือว่า...จงใจจะทิ้งเขาเอาไว้....

พรึ่บ!!!

เสียงฝูงนกที่จู่ๆก็โผบินขึ้นไปบนฟากฟ้าเล่นเอาไหล่บางถึงกับสะดุ้งโหยง...นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ดูราวกับสัตว์ร้ายที่หมายจะเอาชีวิต...ในป่าที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ช่างดูน่ากลัวสำหรับเด็กที่เติบโตมาในเมืองอย่างเขา ถึงจะเคยตามท่านพ่อไปลาดตระเวนอยู่บ้างแต่ป่าของอิสุก็ไม่ได้หนาทึบเท่าป่าที่นี่

นัยน์ตาสีมรกตปิดแน่น ในใจได้แต่เรียกหาคนที่บอกว่าจะมารับ...รีบๆกลับมาสิเจ้าแม่ทัพไร้ยางอายนั่น...


คงไม่ได้จะทิ้งเขาไว้จริงๆใช่ไหม....?


จากยามสายค่อยๆเคลื่อนคล้อยไปเป็นยามบ่าย จากแสงแดดที่เคยแรงกล้ากลับค่อยๆอ่อนล้าลงทุกที...อ่อนล้าเหมือนกับความหวังอันริบหรี่ของเขา...

รอยเท้าม้าเหยียบย่ำอยู่ที่เดิมซ้ำๆเต็มไปหมด เพราะเชื่อมั่นจากใจว่าผู้ชายคนนั้นจะกลับมาเขาเลยได้แต่เดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆลำธารไม่ไปไหน...แต่แล้วในที่สุดเขาก็เข้าใจ...ว่าผู้ชายใจร้ายคนนั้นคงตั้งใจทิ้งเขาเอาไว้จริงๆ

ใบหน้าเศร้าหมองก้มลงมองบังเหียนในมือ...เขามันโง่เองที่เชื่อใจผู้ชายคนนั้นมากเกินไป...ทั้งๆที่เมื่อคืนก็ถูกทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นแต่เมื่อเช้าเขากลับไม่เอะใจเลยว่าอีกฝ่ายจะพาเขามาทิ้งไว้กลางป่าแบบนี้...เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามีพี่ชายที่ดี ถึงจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างแต่ทุกคนก็รักก็ห่วงใยเขาจากใจจริง...เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้เขาเคยชินและคิดว่าผู้ชายคนนั้นก็คงจะเป็นเหมือนพวกพี่ชายของเขา...ถึงเมื่อคืนจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันไปบ้างแต่เขาก็ยังคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ทำร้ายกันถึงเพียงนี้

นี่สินะสิ่งที่ท่านแม่เป็นห่วงเขานักหนา  เพราะว่าเขาถูกเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลที่ดีเลยไม่เคยรู้จักความโหดร้ายของโลกภายนอก

ไม่ทันคิด...ว่าผู้ชายคนนั้นจะจงเกลียดจงชังเขา ว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ต้อนรับเขา

ไม่ทันคิด...ว่าสิ่งที่พี่ชายของเขาก่อเอาไว้ มันจะทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจจนเอามาลงที่เขาทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด

ม้าสีดำหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่...ร่างโปร่งบางที่อยู่บนหลังของมันกำลังเม้มริมฝีปากแน่นอย่างพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา...อย่าร้องไห้นะ! เพราะถ้าเจ้าร้องไห้ผู้ชายคนนั้นคงจะยิ่งได้ใจที่รังแกเจ้าได้!

นัยน์ตาสีมรกตที่ยังสั่นระริกเงยหน้าขึ้นมองผืนป่าด้วยแววตาแข็งกร้าว...เขาจะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกทำร้ายแต่เพียงข้างเดียวหรอก...ในเมื่ออยู่ร่วมกันแบบพี่ชายกับน้องชายไม่ได้ งั้นจากนี้ไปก็ทางใครทางมัน! เขาจะไม่เชื่อใจผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว!

ใบหน้ามนเงยมองทิศทางของท้องฟ้าก่อนจะมองไปที่สายน้ำอีกครั้ง คงต้องใช้เวลาหลายชั่วยามแน่กว่าเขาจะแกะรอยหาทางกลับปราสาทมัตสึโมโตะเจอ ดีไม่ดีอาจจะพลบค่ำก่อนก็เป็นได้


โครก....


เสียงกระเพราะร้องประท้วงในเมื่อเขายังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า

“อ๊า~ พอกันที!”   ใบหน้ามนสะบัดไล่ความรู้สึกห่อเหี่ยวใจทิ้งไป จะมามัวโศกเศร้ากับโชคชะตาแบบนั้นมันไม่ใช่เขา! ในเมื่อรับปากทุกคนที่อิสุเอาไว้ดิบดี เขาจะมัวมาท้อใจแล้วหนีกลับไปแบบนั้นไม่ได้! เขาจะเป็นฝ่ายทำให้เจ้าแม่ทัพไร้ยางอายนั่นเสียหน้าที่ทำร้ายเขาไม่สำเร็จเอง!


โครก~~~


อ่า...แต่ตอนนี้คงต้องหาอะไรกินก่อนละนะ...

ร่างโปร่งบางจึงลงจากหลังม้าแล้วโดดไปไล่จับปลาอยู่ในลำธารอีกรอบ  เพราะไม่ใช่พวกที่จะจมอยู่กับความทุกข์ตรมแบบนี้แหละ นอกจากคนเป็นแม่แล้วใครๆในอิสุถึงได้ไม่ห่วงว่านายน้อยคนนี้จะอยู่ที่มัตสึโมโตะไม่ได้




สรุปแล้วก็หาทางกลับปราสาทไม่ทันมืดจริงๆด้วย...

นายน้อยแห่งอิสุทอดสายตามองรอบกายที่มีเพียงเสียงหริ่งเรไรอย่างไม่ไว้ใจ มันเริ่มมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น อีกอย่าง ป่าที่นี่ก็มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ การที่แสงจันทร์จะส่องลงมาถึงพื้นดินมันก็เป็นไปได้ยากทีเดียว...เห็นทีคงต้องหยุดเดินทางก่อนที่จะหลงไปมากกว่านี้

ร่างโปร่งบางตัดสินใจลงจากหลังม้าเมื่อมองหาต้นไม้เหมาะๆได้ต้นหนึ่ง คืนนี้เขาจะนอนบนนั้นแหละ!

ว่าแล้วก็ถอดรองเท้าเอาไว้ที่ใต้ต้นไม้ก่อนจะเริ่มปีนป่ายขึ้นไป ใบที่คุ้นตาบ่งบอกว่าต้นไม้ที่เขากำลังจะใช้เป็นที่นอนนี้มันคือต้นโมมิจิ

ทิวทัศน์ที่เคยเห็นแค่เบื้องล่างค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเมื่อปีนสูงขึ้นเรื่อยๆ  ผืนป่าตระการตาที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ร่างโปร่งหยุดลงนั่งที่กิ่งหนึ่งราวกับถูกสะกด บนท้องฟ้าที่กว้างไกลราวกับไม่มีที่สิ้นสุดเต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมายยิ่งกว่าที่เคยเห็นที่อิสุหลายเท่า เพราะมีดวงดาวเป็นเพื่อนหรือไงนะเขาถึงได้ไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียวในที่ที่มืดมิดและอันตรายเช่นนี้  แต่ก็เพราะมีดวงดาวมาอยู่เป็นเพื่อนนั่นแหละที่มันยิ่งทำให้เขาคิดถึงบ้าน ยิ่งคิดถึงทุกคนที่อิสุ ยิ่งเหงา...

แล้วดาวดวงหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า...

สองมือจึงยกขึ้นมาพร้อมคำอธิษฐานในใจ...

วันนี้เขาไม่ได้จะขอพรใดๆ เพียงแต่มีคำถามฝากไว้ให้หมู่ดารา...

ทำยังไงข้าถึงจะอยู่ที่นี่ได้ ดวงดาวโปรดบอกข้าที...

ทำยังไงข้าถึงจะอยู่ที่มัตสึโมโตะแห่งนี้...ได้อย่างมีความสุข....










ทั้งเพิ่งกลับมาจากกองทัพ ทั้งฤทธิ์ของสาเก ทั้งไปขี่ม้ามาเป็นสิบกว่ากิโล ทำให้เมื่อคืนนี้เจ้าของปราสาทมัตสึโมโตะนอนหลับสนิทชนิดที่เรียกได้ว่าไม่เคยหลับลึกขนาดนี้มาก่อน...คงต้องขอบคุณเจ้าเด็กจากอิสุนั่นและนะที่ทำให้เขาเหนื่อยทั้งกายและใจได้ขนาดนี้

นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองลงไปรอบๆปราสาทตามปกติ เพราะยังเช้าอยู่ประตูดำด้านหน้าจึงยังไม่เปิด แต่แล้วนายทหารคนหนึ่งซึ่งยืนรออย่างพะว้าพะวงก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ จะมารายงานเรื่องอะไรหรือเปล่า? ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะเป็นเรื่องด่วน?

“บอกคนลงไปเปิดประตูซิ  แล้วให้ทหารคนนั้นไปรอข้าที่โถงว่าราชการ เดี๋ยวข้าลงไป”   แม่ทัพแห่งตะวันตกหันไปสั่งข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วไม่นานร่างแข็งแกร่งก็ลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าทหารคนนั้น

“ท่านแม่ทัพ...เมื่อเช้ามืดชาวบ้านที่อยู่แถบชายป่ามาบอกกับข้าว่า พบรอยเท้าของเสือป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นขอรับ”   เรื่องที่ได้ฟังทำให้ไม่แปลกใจเลยที่นายทหารจะมีสีหน้าร้อนลน

“เจ้านำทหารอีกยี่สิบนายไปจับมันซะ ถ้าจับไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งไป”   คำสั่งถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กับอีแค่เสือ ทหารเพียงสิบยี่สิบคนของเขาก็จัดการมันได้ไม่ยากหรอก

นายทหารคนนั้นขอตัวออกไปแต่นายเหนือหัวของที่นี่ยังคงนั่งนิ่งเพราะเพิ่งจะมาเอะใจกับคำว่าชายป่าที่ทหารคนนั้นบอก

ชายป่า...ชายป่า...นั่นมันที่ที่เขาพาเจ้าเด็กจากอิสุไปทิ้งเอาไว้นี่?!

ร่างแข็งแกร่งลุกพรวดพราดออกไปจากโถงว่าราชการก่อนจะตรงดิ่งไปยังปีกทิศใต้  ประตูห้องนอนที่เย็นเฉียบถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วโดยไม่มีแม้แต่การให้ซุ่มให้เสียงตามมารยาท

แต่แล้วมันก็มีเพียงความว่างเปล่าที่ออกมาต้อนรับเขา...

“เจ้าเด็กนั่นล่ะ?”   ใบหน้าคมหันไปถามข้ารับใช้ที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา

“คะ คือว่า...นายน้อยแห่งอิสุยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ...คือ...ข้าตั้งใจจะไปรายงานท่านแม่ทัพ แต่ท่านหลับสนิทมาก...ก็เลย...”   ข้ารับใช้รายงานไปตัวก็สั่นงันงกไป เพราะรู้ดีว่าการที่คนของอิสุหายตัวไปทั้งคืนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อความสัมพันธ์ของมัตสึโมโตะกับคามาคุระแน่

“ยังไม่กลับ?”   ร่างแข็งแกร่งนิ่งค้างไปเล็กน้อย ตอนนี้ไม่รู้ว่าในใจของเขากำลังห่วงอะไรกันแน่ จะว่าความสัมพันธ์ของมัตสึโมโตะกับคามาคุระก็ใช่ แต่พอนึกถึงเรื่องเสือที่ทหารรายงานมา ใบหน้าหวาดผวาของเจ้าเด็กนั่นก็วนเวียนอยู่ในหัวโดยไม่มีสาเหตุ

เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปเผชิญกับอันตรายถึงชีวิตแบบนั้น เพราะปกติป่าแถบนั้นมีแค่สัตว์เล็กๆอย่างพวกละมั่งกวางป่าอะไรแบบนี้ ไม่เคยมีเสือหรือสัตว์ร้าย เขาถึงได้วางใจว่าต่อให้เจ้าเด็กนั่นจะหลงอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็คงไม่เป็นไร

ร่างแข็งแกร่งตวัดตัวเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ดาบคู่กายถูกหยิบออกมาจากแท่นวางก่อนที่ม้าสีดำจะรีบทะยานออกไปจากปราสาทโดยไม่คิดจะรอทหารที่กำลังระดมพล...เจ้าเด็กนั่นไม่มีอาวุธ...ถ้าถูกเสือเล่นงานเข้าคงมีแต่ตายกับตาย...ยิ่งคิดม้าก็ยิ่งวิ่งไวขึ้นตามหัวใจที่เต้นอย่างร้อนลน






ม้าสีดำหยุดลงที่ริมลำธารที่เขาเอาเจ้าเด็กนั่นมาทิ้งไว้  รอยเท้าม้ามากมายที่เดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆทำให้เขารู้สาเหตุแล้วว่าทำไมเด็กนั่นถึงไม่หาทางกลับปราสาทด้วยตัวเอง

เป็นเพราะว่ารอเขา...เป็นเพราะเชื่อมั่นว่าเขาจะกลับมา...เป็นเพราะว่าไว้ใจผู้ชายโหดร้ายอย่างเขา...

“บ้าเอ้ย!”   บังเหียนถูกกระตุกแรงๆจนม้าออกวิ่งราวกับกำลังบ้าคลั่ง...เขาจะต้องหาเด็กนั่นให้เจอ...เขาจะต้องหาให้เจอ!

สายตาคมกล้าถูกลับจนคมกริบก่อนที่มันจะมองหาอีกฝ่ายท่ามกลางผืนป่าที่กว้างใหญ่ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยต้องมาวุ่นวายกับคนคนเดียวถึงเพียงนี้ ไม่เคยมีใครทำให้เขาหงุดหงิด โมโห ร้อนใจและเป็นห่วงได้ขนาดนี้...คอยดูเถอะ...ถ้าหาเจอตัวเมื่อไหร่จะลงโทษให้สาสมกับทุกความรู้สึกที่เขามีนี่เลย!

ม้าสีดำยังคงวิ่งทะยานผ่านผืนป่าหนาทึบต่อไป แต่แล้วนัยน์ตาก็เหลือบไปเห็นม้าสีดำอีกตัวของเขาเข้าจนได้ เขาหยุดม้าก่อนจะลงไปหามันใกล้ๆ...ไม่ผิดแน่...มันเป็นม้าที่เจ้าเด็กนั่นขี่มา

ทว่า...แล้วคนล่ะ? หายไปไหน?

ใบหน้าคมหันมองไปรอบกายที่มีแต่ความว่างเปล่าไร้เงาของสิ่งมีชีวิตใดนอกจากต้นไม้....ไม่มี...เด็กนั่นไม่ได้อยู่ตรงนี้....

ร่างแข็งแกร่งปล่อยม้าไว้แบบนั้นก่อนจะตัดสินใจเดินหา...เพราะว่าม้าศึกของเขานั้นถูกฝึกมาเป็นอย่างดี...มันจะอยู่เคียงข้างนายของมันถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเพียงแค่ศพ...ม้าของมัตสึโมโตะจะไม่ทิ้งนายไปไหนต่อให้ไร้ลมหายใจไปแล้วก็ตาม...เพราะฉะนั้นเขามั่นใจว่าเจ้าเด็กนั่นจะต้องอยู่แถวนี้ เพียงแต่เขาไม่มั่นใจเลยว่าสิ่งที่เขาพบจะเป็นคน...หรือศพ...








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อไป...






ปรากฏว่านายเอกโดนเสือขย้ำตาย ดาวตกภาครีเอก็เป็นอันจบด้วยประการฉะนี้...m(_ _)m... // โดนรุมกระทืบ

ฮู้ววว ความจริงตั้งใจจะให้ตอนหนึ่งไปจบเอาเหตุการณ์ทั้งหมดคลี่คลายแล้ว แต่แต่งไปแต่งมา ตรูว่ามันยาวเกินที่จะลงได้แระ ตัดตรงนี้ละกัน TvT คือบทบรรยายมันอาจจะเยิ่นเย้ออ่านไม่รู้เรื่องใช้ภาษาเปลืองบ้างอะไรบ้างก็ข้ามๆมันไปนะคะ TvT พอเป็นฟิคพีเรียดแล้วแม่งเพ้องี้แหละถถถถถ // เอาหัวโขกกำแพง

จะเห็นได้ว่าความดราม่าและความดาร์กของภาคนี้จะลดลงไปกว่าครึ่ง ก๊ากๆๆๆ อยากให้เป็นภาคที่ดูกุ๊กกิ๊ก น่ารักอะไรแบบนี้อ่ะ เพราะภาคหลักก็ซีเรียสกันมาเยอะแล้วเนอะ อีกอย่างพอมาเป็นเอเลนแล้วมันดาร์กไม่ออก ชอบเห็นน้องเป็นแบบสดใสๆ เกรียนเวลาอยู่กับใครๆแต่กลายเป็นลูกหมาเวลาอยู่กับหัวหน้าอะไรงี้ เพราะงั้นบทดราม่าจัดคงไม่ค่อยเหมาะกับชีเท่าไหร่ ดาวตกภาคนี้เลยจะเป็นหยิกปนหยอกแบบนี้อ่ะนะ โปรดทำใจก่อนอ่าน555  อีกอย่างคือมันมีอยู่คู่เดียวไง อย่างภาคหลักมันมีสองคู่ที่ต้องต่อสู่กัน มันเลยมีเรื่องการรบและความอยู่รอดของบ้านเมืองมาให้ดราม่าได้ จริงๆก็แอบคิดอยู่เหมือนกันนะคะ ว่าคู่พี่ชายที่หนีการแต่งงานไปนั่นน่าเอามาเล่นมาก แต่ก็...พอเถอะ เดี๋ยวจะยาวไปถถถถ

มาพูดถึงโลเคชั่นของภาคนี้กันบ้าง

คือจะว่าไปคุณกวางแม่งโคตรชอบปราสาทของญี่ปุ่นเลยค่ะ แต่ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ค่อยเอามาใช้เป็นโลเคชั่น  กับภาครีเอนี้ตอนแรกก็มองเอาไว้หลายๆที่เหมือนกันค่ะ แล้วมีวันนึงก็ไปนั่งเปิดภาพถ่ายที่เคยไปเที่ยวมาดูเพราะจะหาโลเคชั่นให้ภาคนี้นี่แหละ เปิดไปเปิดมาก็ไปเจอแฟ้มของปราสาทมัตสึโมโตะเข้า อ๊ะ! แล้วทำไมตรูไม่ใช้ที่นี่ฟ๊ะ ในเมื่อดูจากทิศทางแล้วก็ห่างจากอิสุกับคามาคุระในแบบที่กำลังดี เหมาะที่จะเป็นเมืองคู่แข่งที่ฐานะเท่าเทียมกันตามท้องเรื่องดีออก *[ ]* อีกทั้งปราสาทมัตสึโมโตะเองก็ให้บรรยากาศแบบคุณรีไวมากอ่ะ >////< ดำทะมึนเชียะ5555





อันนี้เป็นภาพถ่ายตอนที่คุณกวางไปมาเมื่อปี2008...เกือบสิบปีแล้วเร๊อะถถถถ =[ ]= ดูความทะมึนของท่านสิ...=v=...คือวันที่ไปอ่ะฝนตกปรอยๆค่ะ แล้วอีกามันก็บินกันให้ว่อน บรรยากาศสมชื่อปราสาทอีกามาก =w= มันเป็นปราสาทลำดับที่สองในดวงใจคุณกวางเลยนะ(ที่หนึ่งคือฮิเมจิค่ะ) คือเสียดายมากที่วันนั้นไปถึงเย็น เค้าปิดแล้วเลยไม่ได้เข้าไปดูข้างใน เสียดายมากๆๆเพราะเป็นปราสาทที่ยังเป็นโครงสร้างเดิมที่ยังเหลืออยู่ไม่มากในญี่ปุ่นอ่ะนะ เอาไว้มีโอกาสต้องไปใหม่ให้ได้เลย ฮึ่มปราสาทมัตสึโมโตะอยู่ในเมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนากาโน่ จะอยู่แถบๆเดียวกับทาคายาม่าและชิราคาวะโกะอ่ะค่ะ จากนาโกย่านี่ไปเช้าเย็นกลับได้สบายเลย >///<




สะพานแดงที่คุณรีไวขี่ม้าข้ามไป >////<

มาดูที่ตัวปราสาทกันบ้าง ปราสาทมัตสึโมโตะเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนพื้นราบ (ปราสาทในญี่ปุ่นเค้าจะแบ่งเป็นแบบที่อยู่บนพื้นราบกับแบบที่อยู่บนเนินเขา ที่ฮิเมจิจะเป็นแบบอยู่บนเนินเขา เวลาเดินขึ้นนี่อลังการมากฟฟฟ)  ดูภายนอกเหมือนมี 5 ชั้นแต่ที่จริงมี 6 ชั้นอ่ะนะเค้าว่างั้น ก็ตรูยังไม่เคยเข้าไปจะไปรู้ได้ไง555 




อันนี้เป็นภาพจาก http://www.matsumoto-castle.jp/lang/eng/about/tower

Tsukimi yagura ก็คือหอชมจันทร์ที่คุณรีไวนั่งกระดกสาเกอยู่นั่นแหละค่ะ โดยห้องนอนของหนูเลนจะอยู่ที่ปีกนี้เช่นกัน นั่นก็คือตรงส่วนที่เขียนไว้ว่า Tatsumi Tsukeyagura  ส่วนห้องนอนคุณรีไวจะอยู่อีกปีกนึงที่เขียนว่า Inui Kotenshu นั่นแล  จึงเรียนไว้เพื่อประกอบการจิ้น5555

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตาม ทุกคอมเม้นต์และทุกเสียงต้อนรับที่อบอุ่นด้วยนะคะ m(_ _)m ดีใจมากๆค่ะ งื้ออออ >////<





3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 เมษายน 2559 เวลา 04:39

    มองขึ้นไปด้านบนสิคุณแม่ทัพ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ22 เมษายน 2559 เวลา 02:17

    โอ๊ย ตายแล้ว ท่านแม่ทัพแกล้งน้องแรงมาก แต่น้องก็ไม่ใช่คนอ่อนแอหรอกนะ ทำเป็นเข้มไปเถอะ หึๆ เดี๋ยวก็หลงรักจนได้นั่นแหละ

    ตอบลบ
  3. ชื่อฟุบุกิ นึกถึงฟุบุกิในเรื่องอุลตร้าแมนคอสมอสที่อาฮิเดะคะซุ แสดงจังงงง แอร้หนุกมากติดตามๆ

    ตอบลบ