Aldnoah.Zero S.Fic [Cruhteo x Slaine] -- BiOS : another story C -- : 02


Aldnoah.Zero S.Fic [Cruhteo x Slaine]   -- BiOS : another story C -- : 02

For HBD. Slaine & Count Cruhteo

: Aldnoah.Zero Fanfiction Au.
: Cruhteo x Slaine
: Action  Horrors
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ








“กรี๊ดดดดดดด!!!

เสียงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากโถงทางเดิน ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงสะบัดหันไปมองด้วยนัยน์ตาเบิกค้าง ถึงมันจะทำให้มือใหญ่ได้แต่กำหมัดแน่นเพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของเสียงและเขาก็ไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้...แต่อย่างน้อยเสียงนั่น...มันก็จะทำให้พวกเขารอด

“.....”   ไม่ได้มีเสียงสบถอย่างหัวเสียออกไปจากใบหน้าของนายแพทย์หนุ่มทว่าที่สันกรามกลับกำลังกัดกันแน่น นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเขม็งมองตามไอ้พวกซากศพไร้วิญญาณที่เคยล้อมแท็งก์น้ำอยู่ค่อยๆละจากพวกเขาที่ปิดปากสนิทไปหาเสียงโหยหวนนั่นแทน ต่อให้รู้สึกเจ็บใจจนแทบคลั่งขนาดไหนใบหน้าหล่อเหลาก็ทำได้แค่กดทุกความรู้สึกลงไปเพราะสิ่งที่เขาต้องใส่ใจในตอนนี้ก็คือชีวิตของตัวเอง!

“สเลน”   มือเอื้อมไปจับมือบางของคนที่นั่งทำหน้าหวาดหวั่นอยู่ข้างๆ เขาไม่มีเวลามาห่วงใคร ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดไตร่ตรองให้ดี มือข้างนั้นรีบกระตุกมือบางเบาๆก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงจากแท็งก์น้ำอย่างเงียบเชียบ

“อื้อ?!”   มืออีกข้างปิดลงไปบนริมฝีปากนุ่มเมื่อเด็กนั่นทำท่าจะพูดอะไรขึ้นมาหลังจากที่ถูกเขาดึงให้ลงมาจากแท็งก์น้ำตามๆกัน

ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายอะไรทั้งนั้น สองขาของเขาจึงออกวิ่งนำหน้า ส่วนมือก็ยังคงจับมือบางแน่นอย่างไม่คิดจะปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว

“วิ่งสเลน!”   เขาหันไปบอกเด็กนั่นสั้นๆก่อนที่ขาทั้งสองคู่จะออกแรงวิ่งโดยไม่หันไปมองข้างหลังอีก นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย สองขาเลี้ยวหลบไปอีกทางเมื่อเห็นซอมบี้ยืนขวางอยู่ข้างหน้า ต่างจากร่างบางที่ทำได้แค่หลับหูหลับตาวิ่งอยู่ข้างหลังเขา พวกเราทำได้แค่วิ่ง


วิ่ง...



แล้วก็วิ่ง...



“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”

เสียงหอบหายใจหนักหน่วงภายในเวลาไม่นานทำให้เขารู้ว่าคงให้สเลนวิ่งอย่างนี้ต่อไปไม่ไหว ริมฝีปากบนใบหน้าหยิ่งทระนงกัดกันแน่น ถึงแม้จะเสียดายแต่เขาก็ตัดสินใจละทิ้งห้องจ่ายยาซึ่งเป็นเป้าหมายแล้ววิ่งไปทางโรงจอดรถแทน

ไม่เป็นไร...

ขอแค่ไปให้ถึงรถของเขา...

ในนั้นมีทุกอย่างเพียงพอที่จะทำให้สเลนมีชีวิตรอดไปได้อีกหลายวัน...ขอแค่ไปให้ถึงมัน...

“โอ๊ย?!”   เสียงร้องที่ดังมาจากคนข้างหลังทำให้หัวใจของเขาหล่นวูบ ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองรีบหันควับกลับไป มือข้างที่ไม่ได้จับมือสเลนไว้เตรียมกำหมัดเพื่อสอยอะไรก็ตามที่จะมาพรากเด็กนั่นไปจากเขา

แต่แล้วสิ่งที่สองตามองเห็นก็เป็นเพียงแค่ข้อเท้าขาวๆนั่นถูกเหล็กขาเก้าอี้ขูดจนเลือดซิบเท่านั้นเอง


เฮ้อ....


จริงๆแล้วเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะถอนหายใจ สองแขนอุ้มร่างโปร่งขึ้นทันทีก่อนที่จะวิ่งต่อไป

“คุณหมอ”   น้ำเสียงกังวลดังอยู่ที่แผงอกซึ่งกำลังสั่นไหว หัวใจของคนเราถูกกำหนดมาให้เต้นได้ในจำนวนจำกัด แล้วแค่วันนี้วันเดียวมันก็เต้นไปค่อนชีวิตของเขาแล้วไหมเนี่ย?

Lexus Rx350 สีขาวจอดนิ่งอยู่ไม่ไกล อารามรีบร้อนเขาจึงยัดคนที่อยู่ในอ้อมแขนเข้าไปข้างในผ่านประตูคนขับก่อนที่เขาจะขยับไปนั่งประจำที่ ไม่จำเป็นต้องตรวจตราว่าจะมีอะไรอยู่ในรถหรือเปล่า เพราะไอ้พวกซากศพเดินได้นั่นมันไม่มีสมอง จากหลายชั่วโมงที่ต้องวิ่งหนีพวกมันทำให้เขาสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่าง...และอย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่ามันเปิดประตูรถของเขาเข้ามาเองไม่ได้แน่ๆ...ถ้าไม่มีรอยถูกทุบจนกระจกแตกก็มั่นใจได้ว่าในนี้ไม่มีซอมบี้อยู่

รถ SUV 5ประตูพุ่งทะยานออกไปอย่างไม่มีรีรอ ถึงเขาจะไม่ถนัดเรื่องการใช้กำลังแต่มันสมองและการตัดสินใจของคนเป็นหมอมีหรือจะไม่เฉียบขาด

เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ว่าจะออกตามหาผู้รอดชีวิตรายอื่นจึงไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลย

ความหวังของมวลมนุษยชาติ....

มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว....

ไม่มี...ตั้งแต่วินาทีที่เขามองเห็นควันไฟพวยพุ่งเต็มน่านฟ้าเหนือเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั่นแล้ว



จะว่าไปแล้ว...



ตัวเขา...

จมอยู่กับความรักที่แสนเปราะบางนี่มานานแค่ไหนกันแล้วนะ...ทุกๆวันที่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อมองผลการรักษาที่มีแต่ทรุดกับทรง มองคนที่รักสุดหัวใจค่อยๆตายจากเขาไปอย่างช้าๆ...

เพราะฉะนั้นในวันที่ไร้ความหวังอย่างในตอนนี้...

ทั้งหัวใจของเขาจึงต้องการเพียงแค่ได้อยู่กับสเลนเพิ่มขึ้นอีกสักวันก็ยังดี...

ขอแค่วันเดียว...

ได้อยู่ด้วยกันเพิ่มขึ้นอีกแค่วันเดียวก็ยังดี...



เขาเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ...



เพราะแบบนั้นเสียงซ่าๆของวิทยุสื่อสารจึงไม่ดังขึ้นในรถของเขา เขาไม่อยากรู้ว่าใครจะมีชีวิตรอดอยู่ตรงไหน เขาไม่สนใจว่าใครจะขอความช่วยเหลือหรือกำลังให้ความช่วยเหลือ

เขาแค่อยากหาที่สงบๆอยู่กับสเลนตามลำพัง



อยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย...



นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองกระเป๋ายาใบใหญ่ที่วางอยู่หลังรถด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบเพราะเขาเป็นคนที่รู้ดียิ่งกว่าใคร...ว่าหากพวกเรารอดไปจากดงผีดิบนี่ได้....

อย่างน้อยก็คงอยู่ด้วยกันได้อีกสี่ห้าวันเท่านั้นเอง....



ในที่สุดปาฏิหาริย์ที่เขารอคอยก็ไม่เคยมาถึง...

ไม่เคยมาถึง...



“คุณหมอ...”   เสียงนุ่มของคนที่นั่งอยู่ข้างๆทำให้ก้อนที่จุกอยู่ที่ลำคอค่อยๆถูกกล้ำกลืนลงไป เขาจะแสดงความท้อแท้ให้เด็กนี่เห็นไม่ได้...ในเมื่อเขาเป็นคนให้สัญญาเอาไว้...


“ไม่ว่าจะนรก สวรรค์ เทวดาหรือยมทูต ไม่ว่าใครหน้าไหนที่คิดจะมาเอาตัวเธอไป ชั้นจะเป็นคนไล่ตะเพิดมันไปเอง”


“มีอะไรรึ?”   เสียงทุ้มถามออกไปราวกับไม่ได้กำลังหวั่นไหวหรือสะทกสะท้านต่อเหตุการณ์รอบตัว

“เรา...จะไปไหนกันต่อเหรอครับ...”   นัยน์ตาสีมรกตเสมองออกไปนอกกระจกก่อนจะรีบตวัดกลับมา ซอมบี้กลุ่มใหญ่กำลังรุมกัดใครสักคนท่ามกลางบ้านเมืองที่เละเทะจนไม่เหลือเค้าเดิม มือที่กุมพวงมาลัยได้แต่กำแน่นเช่นเดียวกับฟันที่กัดกรอด...เขาเป็นหมอ...ทั้งๆที่เห็นคนบาดเจ็บ เห็นคนถูกทำร้ายแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย

สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่หนีออกมาเท่านั้น 

ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเดิม นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าสวยนั่นซีดเผือดเช่นเดียวกับไหล่บางที่สั่นน้อยๆ...คำถามที่ถามออกมาเมื่อกี้เด็กนี่ก็คงแค่อยากจะรู้ว่ายังมีความหวังเหลืออยู่ที่ไหน

มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว...

แต่เขาคงตอบแบบนั้นไม่ได้...มือใหญ่จึงเอื้อมออกไปกุมมือบางเอาไว้อย่างให้กำลังใจ

ถึงแม้จะรู้ดี...ว่าเส้นทางที่ทอดยาวไปข้างหน้า...มันจะไม่มีอนาคตรออยู่เลยก็ตาม






“รออยู่นี่ก่อนนะ ชั้นจะลงไปซื้อของใช้จำเป็นกับอาหาร”   เขาหันไปบอกสเลนหลังจากที่เอารถเข้าไปจอดอยู่กลางลานหน้าคอนวีเนียนสโตร์ เครื่องยนต์ยังคงติดอยู่เช่นเดียวกับกุญแจรถที่ยังเสียบคาไว้เพื่อให้ใบหน้าซีดเซียวคลายกังวลได้บ้างว่าอย่างน้อยเขาก็จะกลับมา

ปัง...

ประตูรถปิดลงเบาๆ นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองหาทางเข้าคอนวีเนียนสโตร์ จะเรียกว่า “มาซื้อ” ก็คงไม่ได้เพราะร้านนั่นถูกซอมบี้บุกจนพังเละ ชั้นเหล็กต่างล้มระเนระนาดข้าวของกระจายเกลื่อนกลาด ป้ายไฟหน้าร้านห้อยต่องแต่งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปตามสายลมที่พัดมาโดน...อาจจะเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่เขาติดอยู่ในโรงพยาบาลนานพอสมควร ทำให้ตอนนี้พวกซอมบี้มันไปจากที่นี่กันหมดแล้ว

มือใหญ่หยิบถุงที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ก่อนจะคลี่มันออกอย่างเงียบเชียบแล้วรีบกวาดของใช้ที่จำเป็น อาหารและน้ำดื่มใส่ถุงเท่าที่จะขนไปได้ สองขารีบเดินกลับไปที่รถก่อนที่ไอ้พวกผีดิบนั่นมันจะตามมาเจอ



ก๊อก....


เสียงเคาะประตูรถทำให้ใบหน้ามนเงยขึ้นมาจากหัวเข่าเพราะคิดว่าคุณหมอครูเทโอกลับมาแล้ว แต่ร่างทั้งร่างก็ถึงกับสะดุ้งโหยงพลางกระเถิบถอยหลังเมื่อใบหน้าที่ควรจะหล่อเหลาอยู่ภายใต้เส้นผมสีทองนั่นกลับเละไปครึ่งซีก เลือดที่หยดย้อยลงมาสยดสยองจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างพะอืดพะอม

แกร่ก.....

เสียงกระดูกที่โผล่ออกมาจากปลายนิ้วกรีดลงไปบนกระจกยิ่งทำให้ไหล่บางสั่นสะท้านด้วยความกลัว การได้เผชิญหน้ากับซอมบี้ในระยะที่มีเพียงกระจกกั้นแบบนี้ทำเอาหัวใจดวงน้อยแทบจะทะลุออกมาจากอกด้วยการเต้นอย่างรุนแรง

แกร่ก...

เศษซากของมนุษย์นั่นยังคงตะเกียกตะกายโถมเข้าใส่กระจกรถจนมันสั่นกึงๆและอีกไม่นานมันก็คงจะแตกลงมาแน่ ใบหน้าที่ราวกับจะร้องไห้หันซ้ายแลขวาอย่างไม่รู้จะทำยังไง ร่างโปร่งได้แต่ถอยหนีข้ามไปนั่งบนเบาะฝั่งคนขับโดยไม่ทันมองว่าข้างหลังมันก็มี...

กึ้ง!!!

แผ่นหลังที่พิงประตูอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงดังลั่นผ่านเพียงกระจกกั้นนั่นมา ใบหน้ามนตวัดกลับไปมองก่อนจะเห็นใบหน้าเละแสยะแยกริมฝีปากอยู่ในระยะประชิด ลมหายใจติดขัดอย่างตื่นกลัวทันที ทั้งข้างหน้าและข้างหลังมีแต่ซอมบี้...ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือทางขวาก็มีแต่ซอมบี้...ซอมบี้....ซอมบี้มันกำลังล้อมรถอยู่เต็มไปหมด!!

“ตะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน....”   ร่างโปร่งค่อยๆขยับร่างกายที่สั่นสะท้านไปอยู่กลางรถ...ทำยังไงดี...ทำไมคุณหมอยังไม่กลับมาอีก หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ขนาดเขาอยู่ในรถซอมบี้ยังล้อมไว้ขนาดนี้ แล้วคุณหมอที่อยู่ในที่โล่งแบบนั้นล่ะ?

ไม่เอานะ....

ใบหน้าซีดเซียวก้มจรดหน้าผากลงไปบนสองมือที่กอบกุมกันอย่างสั่นระริก เสียงกึงๆที่ดังอยู่รอบตัวมีแต่จะทำให้ไหล่ทั้งสองข้างสะดุ้งไม่หยุด ถึงสมองจะพยายามสั่งร่างกายไม่ให้สั่นกลัวแต่หัวใจมันเชื่อฟังเสียที่ไหน พอนึกถึงภาพอันโหดร้ายของคนที่ถูกรุมกัดตายที่เห็นมาหลายรายก็มีแต่จะทำให้กลัวจนไม่รู้จะว่ายังไง

เขาเคยเกือบจะผ่านความตายมาไม่รู้กี่ครั้ง เคยเห็นมัจจุราชมายืนรอรับไม่รู้กี่หน...แต่นั่นมันก็เป็นการจากไปด้วยโรคของเขาเอง ไม่ได้น่ากลัวและทรมานเหมือนการถูกกัดตายแบบนี้เสียหน่อย

“คุณหมอ....”   เสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกชื่อคนที่อยู่ในห้วงคำนึง ทั้งเป็นห่วง ทั้งอยากจะพึ่งพา

“ผมกลัว....”   ในใจได้แต่ภาวนาขอให้ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาที ความกลัวมันเกาะกุมหัวใจจนแทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว


กริ๊ง~~~!


เสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้นทำเอาร่างทั้งร่างสะดุ้งโหยง ใบหน้ามนหันมองรอบกายอย่างเลิ่กลั่ก...ไม่นะ...ประตูยังไม่ได้พังลงมา กระจกรถก็ยังอยู่ครบทุกบาน แล้วเสียงอะไรมันดัง?


กริ๊ง~~~


แถมยังดังอย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก...

นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองไปทั่วภายในรถ แสงสว่างวาบๆของอะไรบางอย่างทำให้มือบางควานไปหยิบสิ่งนั้นออกมาจากใต้กองเสื้อกราวน์ที่วางอยู่หลังรถ

โทรศัพท์มือถือ?

ของคุณหมอครูเทโอ?

จากใครกัน?

เบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอเป็นตัวเลขเรียงกันยาวเหยียด...ถ้าเป็นสายจากคนรู้จักก็น่าจะเซฟเบอร์เอาไว้แล้วขึ้นเป็นชื่อนี่? ถ้างั้นสายนี้มาจากใครกันล่ะ? แล้ว...เขารับได้ไหม?

ถึงจะใช้ชีวิตอยู่แต่ในโรงพยาบาลจนไม่รู้ว่าโลกภายนอกเค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แต่กับแค่เรื่องมารยาทเขาก็ถูกอบรมสั่งสอนมาว่าไม่ควรจะรับโทรศัพท์ของคนอื่น


กริ๊ง~~~


แต่มันยังคงดังไม่หยุด แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกว่าเขาจะกดรับด้วย

อะ เอาน่ะ...รับไปก่อนแล้วกัน เผื่อเป็นสัญญาณฉุกเฉิน?

“คะ ครับ...”   เสียงนุ่มกรอกลงไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

“สเลน!”  แต่แล้วเสียงที่ตะโกนจากปลายสายมาก็ทำให้เขาประหลาดใจ...เพราะนั่นมันคือเสียงของคุณหมอครูเทโอ?!

“คุณหมอ~”   เสียงราวกับจะร้องไห้จึงถูกกรอกลงไป ใครไม่มาถูกซอมบี้ล้อมอยู่แบบเขาไม่รู้หรอกว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ริมฝีปากหิวกระหายนับสิบกำลังแสยะออกก่อนที่พวกมันจะพยายามตะกุยตะกายกระจกเพื่อจะเข้ามากัดกินเขา...การที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะต้องเป็นอาหารของพวกมันนั้นมันน่ากลัวจนไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง

“เธอปลอดภัยดีใช่ไหม? ใจเย็นๆ ค่อยๆฟังที่ชั้นพูด”   เสียงทุ้มที่ดังมาตามสายทำให้รู้สึกอุ่นใจจนน้ำตาแทบจะไหลลงมา ดีจริงๆที่เขาไม่ต้องเผชิญกับโลกที่บิดเบี้ยวนี่คนเดียว

“ตอนนี้ชั้นอยู่ในตู้โทรศัพท์ที่ห่างออกมาสองบลอค พวกมันยังไม่รู้ว่าชั้นอยู่ตรงนี้ เมื่อกี้ชั้นจะกลับไปหาเธอแต่รถถูกพวกมันล้อมเอาไว้ ชั้นเข้าไปไม่ได้...มีทางเดียวที่เราจะหนีรอดไปได้...คือเธอต้องขับรถนั่นออกมา”   เสียงทุ้มที่ดังอยู่ในหูมีแต่จะทำให้เขานิ่งค้าง

“ขับรถ....”   เสียงเบาหวิวเอ่ยออกไป...ขับรถ? ให้คนอย่างเขาขับรถเนี่ยนะ? อย่าว่าแต่จะเคยขับเลย แม้แต่แค่นั่งรถเขาก็ไม่ค่อยจะได้นั่ง เพราะไอ้ที่นั่งประจำนั่นคือรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่างหาก!

“ไม่ไหวหรอกครับ....”   เขาสารภาพออกไปตามตรง ความรู้สึกแย่ทำให้น้ำตาพาลจะไหลลงมาเสียให้ได้ กลัวก็กลัว แต่ที่ทำให้รู้สึกแย่มากกว่าก็คือ ทำไมเขามันไร้ประโยชน์แบบนี้นะ ถ้าคุณหมอครูเทโอมากับคนอื่นอาจจะหาทางทำอะไรได้มากกว่ามากับตัวภาระอย่างเขาก็ได้...คุณหมอน่าจะมีโอกาสรอดชีวิตได้มากกว่านี้...

“สเลน...ใจเย็นๆ...แล้วค่อยๆฟังชั้น...เธอทำได้ เชื่อชั้น...รถนั่นเป็นเกียร์ออโต้ แค่เธอเหยียบคันเร่ง รถมันก็จะพุ่งตรงออกมา เธอจะชนพวกซอมบี้นั่นก็ช่างมันเถอะ แค่เธอออกมาให้พ้นจากตรงนั้นได้ก็พอ ชั้นรออยู่ข้างหน้าเธอนี่แหละ”   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณหมอไม่ทอดถอนใจหรือสิ้นหวังในความไร้ประโยชน์ของเขาซ้ำยังเชื่อมั่นว่าเขาจะทำได้ มันเลยทำให้เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเขาเองก็เชื่อว่าเขาน่าจะทำได้เช่นกัน กำลังใจอันน้อยนิดกลับเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ให้คนที่ท้อแท้ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเขากลับมาฮึดสู้อีกครั้ง

คุณหมอเป็นแบบนี้มาตลอด...

คอยต้อนรับเขากลับมาจากหน้าประตูแห่งความตายด้วยใบหน้าหยิ่งทระนงนั่นตลอด...คุณหมอทำอะไรให้เขามากมาย...จนคนที่น่าจะตายไปแล้วอย่างเขากลับยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่

ครั้งนี้เองก็เช่นกัน

“ผม...จะลองดูครับ...”   เสียงนุ่มที่แข็งกร้าวขึ้นมานิดๆจึงเอ่ยตอบกลับไป

“ดีมาก...ขยับไปนั่งที่เบาะคนขับแล้วทำตามที่ชั้นบอก”

“ครับ...”

“ที่เท้า แป้นริมขวาสุดจะเป็นคันเร่ง ส่วนถัดมาคือเบรก อย่างแรกที่เธอต้องทำคือเหยียบเบรกไว้”

“ครับ...”

“จากนั้นเลื่อนเกียร์ไปที่ D แล้วค่อยๆผ่อนเบรก”

“ครับ...”

“เอาละ เหยียบคันเร่งให้มิดเลย!


โครม!!!


นัยน์ตาทั้งสองข้างปิดแน่นเมื่อจู่ๆรถก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แรงปะทะและเสียงกระแทกทำให้รู้ว่ารถคงจะชนพวกซอมบี้ไปหลายตัวแน่ๆ

“เปลี่ยนเท้ามาที่เบรกสเลน!   เสียงตะโกนดังลอดออกมาจากโทรศัพท์อีกครั้ง ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาอย่างลนลาน

“หว๋า~ ครับ!   ถึงจะรับปากไปแต่ด้วยความตกใจทำให้ลืมไปชั่ววินาทีว่าอันไหนคือเบรกอันไหนคือคันเร่ง ฝ่าเท้าจึงกระแทกลงไปมั่วๆจน Lexus Rx350 ส่งเสียงดังลั่น


เอี๊ยดดดดดดดดดดด


แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดนิ่ง เสียงตะกุยตะกายผนังรถก็ไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว ใบหน้ามนจึงค่อยๆเงยมองรอบกายอย่างกล้าๆกลัวๆ


กึ้ง!!


ไหล่บางถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะผงะหนีจากประตูรถฝั่งคนขับ

“สเลน!”   เสียงเรียกชื่อเขาดังแว่วมา และใบหน้าหยิ่งทระนงที่เคาะกระจกรถอยู่ข้างนอกทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก...คุณหมอนี่เอง...

มือขาวซีดเปิดประตูรถให้ร่างสูงใหญ่ก่อนที่ตัวเองจะขยับกลับไปนั่งที่ฝั่งเดิม มือบางยังสั่นน้อยๆไม่หาย กับการกระทำที่ถือว่าบ้าระห่ำที่สุดในชีวิตแล้วนั่น

และทันทีที่คุณหมอเข้ามาได้ ท่อนแขนแข็งแรงก็คว้าตัวเขาไปกอดทันที ทั้งแรงหอบ ทั้งเสียงหัวใจที่เต้นระรัว ทั้งเหงื่อที่ไหลลงมาตามซอกคอ ทั้งลมหายใจที่เข้าออกอย่างหนักหน่วง ทุกๆอย่างมันก็ทำให้เขารู้ว่าคุณหมอเองก็กำลังตื่นเต้นและหวาดกลัวไม่ได้แพ้เขาเลยมือบางวางลงไปที่แผ่นหลังกว้างอย่างผ่อนคลาย

น่าแปลก...ที่สิ่งเหล่านั้นมันกลับทำให้จิตใจของเขาสงบลง

“เก่งมากสเลน เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ ออกไปจากตรงนี้ก่อน”   คุณหมอดันตัวเขาออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน มือใหญ่เอื้อมมาวางลงบนหัวสีชา ในขณะที่ฝ่ามืออีกข้างก็หมุนพวงมาลัยให้รถเลี้ยวไปตามทางที่ต้องการ

ความอบอุ่นจากฝ่ามือของคุณหมอทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขากลัว เขาสับสน เขารู้สึกแย่ในความไม่ได้เรื่องของตัวเอง ถึงทุกครั้งมือข้างนี้มันจะคอยปลอบโยนเขา แต่เมื่อเหลือบไปเห็นถุงใบใหญ่สองสามใบที่ถูกโยนไว้บนเบาะหลังของรถ เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะอยู่เป็นภาระของคุณหมอต่อไปแบบนี้หรือเปล่า ความรู้สึกที่ตีกันยุ่งเหยิงมันทำให้เขาถามออกไป

“เป็นผม...จะดีจริงๆเหรอครับ...คุณหมอทิ้งผมไว้แล้วไปคนเดียวจะดีกว่าหรือเปล่าครับ...”   นัยน์ตาสีมรกตทอดมองพื้นรถอย่างเศร้าหมอง ไหล่บางห่อลู่เข้าหากันจนคนที่ขับรถทอดสายตามองมาแว่บหนึ่งก่อนจะย้ายมือใหญ่มาวางบนมือบาง

“เมื่อกี้...เธอกลัวหรือเปล่าสเลน?”   จู่ๆก็ได้ฟังคำถามที่เปลี่ยนประเด็นไป ทำให้ใบหน้ามนเงยขึ้นมามองอย่างงงๆ

“ตอนที่ถูกซอมบี้ล้อมเอาไว้เธอกลัวหรือเปล่า?”   เสียงทุ้มยังคงถามทั้งๆที่ดวงตาสีฟ้ามองตรงไปที่ถนน

“.......กลัว...ครับ....”   ใบหน้าสลดตอบออกไปตามตรง เขากลัวจนแทบจะเสียสติเลยละเพราะงั้นต่อให้โกหกไปคุณหมอก็คงจับได้อยู่แล้ว

จู่ๆรถที่วิ่งห่างออกมาจากจุดเมื่อกี้ได้พอสมควรก็จอดลง ใบหน้าหยิ่งทระนงหันมามองเขาเต็มสองตาก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“แล้วตอนที่เธอกลัวนั่น...เธอนึกถึงชั้นบ้างหรือเปล่า?”   แสงอะไรบางอย่างมันสว่างวาบอยู่ในหัว ริมฝีปากสีระเรื่อจึงเอ่ยเบาๆเพราะพอจะเข้าใจความหมายของคำถามเหล่านี้แล้ว

“นึกถึงครับ...”   เขาไม่ได้อยากจะตาย ไม่ได้อยากจะถูกทิ้งเอาไว้ ไม่ได้อยากจะอยู่คนเดียว...เขาถึงได้ร้องเรียกให้อีกฝ่ายกลับมาหาตลอดเวลาที่กำลังหวาดกลัว...แล้วแบบนี้จะบอกให้คุณหมอทิ้งเขาไว้ได้ยังไง...

“ชั้นก็เหมือนเธอนั่นแหละ ตอนที่ชั้นเห็นรถถูกพวกมันล้อมเอาไว้...ชั้นกลัวมาก...ชั้นนึกถึงเธอ...เป็นห่วงเธอ...ในหัวคิดแต่ว่าทำยังไงถึงจะช่วยเธอได้...เชื่อไหมว่ามันไม่มีคำว่าทิ้งเธออยู่ในนั้นเลย”   เสียงทุ้มๆนั่นมีแต่จะยิ่งทำให้นัยน์ตาสีมรกตของเขาเบิกกว้าง เพราะทุกถ้อยคำ ทุกความหมายที่ถูกส่งผ่านมามันช่างอบอุ่นจนอยากจะร้องไห้

“เพราะงั้นอย่าบอกให้ชั้นทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่อีกนะ ชั้นทำไม่ได้ เพราะถ้าทำได้คงทิ้งคนไข้ขี้โรคอย่างเธอไปนานแล้ว”   นั่นสินะ...ถ้าจะทิ้ง...คุณหมอก็คงทิ้งเขาไปนานแล้ว ทั้งๆที่จะผลักภาระคนไข้ที่ไม่มีทางรักษาหายอย่างเขาให้หมอคนอื่นดูแลก็ได้ แต่คุณหมอครูเทโอก็ไม่ทำแต่ยังคงดูแลเขาเรื่อยมา

“ขอโทษนะครับ...”   เสียงนุ่มอ่อนลงอย่างรู้สึกผิด

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าต้องพูดยังไง? สอนทำไมไม่รู้จักจำ”   มือที่กุมมืออยู่เลื่อนมาโยกจมูกเป็นสันเบาๆ จนคนป่วยต้องหันหน้าหนี

“ขะ ขอบคุณครับ....”









Lexus Rx350 วิ่งห่างออกมาจากกลุ่มควันไฟที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้า รถสีขาวกำลังมุ่งสู่ถนนสายเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยป่าและเนินเขาโดยทิ้งเมืองที่กำลังจะร้างไร้ชีวิตเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่สนใจจะค้นหาผู้รอดชีวิตรายอื่น

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองใบหน้าของคนที่หลับไปอย่างเหนื่อยล้าแล้วก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า เวลานี้เขาไม่พร้อมที่จะดูแลใครอีก...เพราะรู้ดีว่าเวลาของสเลนเองก็มีเหลือไม่มากหากอยู่ไกลเครื่องมือแพทย์แบบนี้...ถึงจะนึกเจ็บใจว่าเรื่องซอมบี้บ้าๆนี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง...แต่บางครั้งส่วนที่ดำมืดในใจของเขามันกลับคิดว่าอาจจะดีแล้วก็ได้...

มันจะได้จบๆไปเสียที...ถึงร่างกายจะไม่เหนื่อยที่ต้องคอยยื้อแย่งชีวิตของสเลนกับมัจจุราช แต่หัวใจที่ต้องคอยรับรู้ถึงความทรมานของเด็กนั่นอยู่ตลอดมันกลับเจ็บปวดจนเริ่มจะกลายเป็นความด้านชา

ในเมื่อพยายามมาขนาดนี้แต่มันกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย...อย่างน้อยก็ขอใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่ด้วยกันอย่างสงบก็ยังดีเขาไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวาย ไม่อยากหนีไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย...

รถ SUV สีขาวไต่ขึ้นไปตามถนนโรยกรวดแคบๆซึ่งแยกมาจากถนนหลักพอสมควรก่อนที่มันจะไปจอดอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กดัดสนิมเขรอะของบ้านทรงยุโรปเก่าแก่หลังหนึ่งซึ่งมีทิวเขาโอบล้อมอยู่ทางด้านหลัง  ร่างสูงใหญ่ลงจากรถก่อนจะไขกุญแจประตูรั้วอย่างไม่รีบร้อน...ไม่ต้องกังวลใดๆเพราะในเขตที่ดินของเขาปกติก็ไม่มีคนอยู่อยู่แล้ว...เพราะงั้นพวกซอมบี้คงไม่มาที่นี่

รถสีขาวแล่นจากประตูรั้วเข้าไปอีกเป็นกิโลกว่าจะถึงตัวบ้าน...เขาซื้อที่นี่ต่อจากเจ้าของเดิมมาหลายปีแล้ว...ด้วยความตั้งใจว่าจะใช้มันเป็นสถานที่พักฟื้นให้สเลน...แต่เด็กนั่นก็อาการไม่ดีขึ้นเลย ทำให้ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด...จนเขาถอดใจที่จะปรับปรุงบ้านหลังนี้ไปแล้ว...ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันจริงๆ

“สเลน...”   เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมาในสภาพสลึมสลือ ใบหน้างัวเงียหันมองภาพที่ไม่คุ้นตารอบกาย ร่างสูงใหญ่จึงเดินไปเปิดประตูรถให้

“ลงมาก่อนสิ เราคงต้องอยู่ที่นี่ไปสักพัก”   ร่างโปร่งบางยังคงมึนงงจากอาการง่วงงุนแต่สเลนก็เตรียมจะก้าวขาออกมาจากรถตามที่เขาบอก

“เดี๋ยวก่อน!”   เสียงที่ดังขึ้นของเขาทำให้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าที่กำลังจะก้าวลงไปเหยียบพื้นถึงกับชะงัก ใบหน้าสวยตื่นเต็มตาอย่างตระหนกก่อนจะหันไปหันมามองรอบๆอย่างหวาดระแวงเพราะคิดว่าที่เขาบอกให้หยุดเป็นเพราะเขาเห็นซอมบี้เข้า

แต่เปล่าหรอก...

ร่างสูงใหญ่คุกเข่าลงไปตรงหน้าคนที่ยังนั่งอยู่บนเบาะรถ ฝ่ามือเอื้อมไปจับฝ่าเท้าขาวๆที่ไม่สวมอะไรก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปมองใบหน้ามนที่ก้มลงมา

“ใส่รองเท้าด้วยสิเจ้าเด็กโง่...เดี๋ยวก็เป็นแผลกันพอดี”   ฝ่ามือลูบฝ่าเท้าหมดจดนั่นเบาๆเรียกเอารอยแดงระเรื่อให้ปรากฏบนแก้มใส ใบหน้าอายๆก้มมองเขาก่อนจะช้อนสายตาเสไปมองที่อื่น...ท่าทางแบบนั้น ใบหน้าแบบนั้น เขาชอบมันที่สุด

มืออีกข้างหยิบรองเท้าแตะที่ใช้ในโรงพยาบาลมาสวมให้ เพราะส่วนใหญ่สเลนมักจะนอนอยู่บนเตียงไม่ก็นั่งอยู่บนรถเข็น เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการใส่รองเท้าเวลาเดินไปไหนมาไหนเด็กนี่เลยมักจะลืมมันไป  นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองคนที่สวมรองเท้าเรียบร้อยซึ่งกำลังยืนแหงนหน้ามองบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่นั่นอย่างทึ่งๆ ถ้าเขาบอกออกไปว่าตั้งใจจะซื้อบ้านหลังนี้ให้ เด็กนั่นจะทำหน้ายังไงนะ

“อ๊ะ! ผมช่วยไหมครับ?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาหันมาถามเขาที่กำลังหยิบของออกจากหลังรถอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาเหลือบตามองร่างกายผอมบางอย่างกับไม้กระดานนั่นแล้วมันก็อยากจะบอกออกไปจริงๆว่า เธอไม่ต้องช่วยชั้นหรอก ขนแค่ตัวเองไปให้ได้ก็พอแล้ว

“........”   แต่มือก็ยื่นถุงกระดาษที่มีแต่ของเบาๆไปให้เด็กนั่นช่วย จะทำเหมือนเป็นคนป่วยเดี๋ยวก็จะคิดมากอีก มือบางรับมันไปด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่...บางที...สเลนอาจจะดีใจอยู่ก็ได้ที่ได้ออกมาจากโรงพยาบาล...ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะไม่ได้สดใส แต่คนที่ถูกขังอยู่กับเตียงสีขาวมาทั้งชีวิต...แค่นี้ก็คงจะดีที่สุดแล้ว

เขาเอื้อมไปหยิบกระเป๋ายาใบใหญ่ที่วางอยู่บนเบาะหลังก่อนจะหอบถุงที่ได้มาจากคอนวีเนียนสโตร์เดินนำเข้าไปในบ้าน ฝุ่นผงฟุ้งกระจายราวกับจะเอ่ยทักทายเขาทันทีที่เปิดประตูไม้บานใหญ่นั่นเข้าไป

“แค่กๆๆ”   ได้ยินเสียงไอดังมาจากคนที่เดินอยู่ข้างหลัง เสื้อกราวด์สีขาวที่พาดอยู่บนท่อนแขนจึงตวัดคลุมหัวสีชานั่นทันที อุตส่าห์หนีรอดจากซอมบี้มาได้ ถ้าจะมาตายเพราะฝุ่นพวกนี้คงจะขำไม่ออก

ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้าไปด้านในของบ้าน เขาเลือกที่จะวางข้าวของลงบนโต๊ะกินข้าวหินอ่อนตัวยาวมากกว่าจะเลือกเดินเข้าไปหาโซฟาที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวเอาไว้ อย่างน้อยหินแข็งๆนี่มันก็น่าจะอมฝุ่นน้อยกว่า

“ยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”   ใบหน้ามนพยักหงึกๆอยู่ใต้เสื้อกราวด์ของเขา  สองขาจึงก้าวต่อไปยังห้องครัวที่อยู่ถัดออกไป ไม่รู้ว่าน้ำจะยังใช้ได้อยู่ไหม  มือเลยลองหมุนก๊อกดู

น้ำสีสนิมไหลลงมาก่อนที่มันจะเริ่มใสขึ้นเมื่อผ่านไปสักพัก เขาพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะหยิบเศษผ้ามาชุบน้ำจนชุ่ม

นัยน์ตาสีมรกตมองตามฝ่ามือของเขาที่กำลังเช็ดโต๊ะตัวยาวนั่นอยู่ ดูเหมือนความกังวลที่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายอย่างพวกซากศพเดินได้นั่นคงคลายลงได้บ้าง คิ้วสีชาถึงเลิกขมวดเข้าหากัน แต่ถึงแบบนั้นใบหน้ามนก็ยังซีดเซียวอยู่

ได้เวลาแล้วสินะ...

ผ้าแห้งถูกเช็ดซ้ำจนโต๊ะที่เคยมอมแมมกลับส่งประกายวิบวับ เขาจับเก้าอี้สองตัวให้หันหน้าเข้าหากันก่อนจะกดร่างโปร่งให้นั่งลงไป...ได้เวลา...ที่จะต้องฉีดยาให้สเลนแล้ว...

กระเป๋ายาใบใหญ่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นว่ามันไม่ใช่กระเป๋ายาธรรมดา เพราะกว่าครึ่งมันมีกล่องสีดำใบหนึ่งกินพื้นที่อยู่ ถึงแม้ว่าอีกครึ่งที่เหลือจะเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์และยาสามัญทั่วไป แต่ครึ่งที่เป็นกล่องสีดำนั้นกลับไม่มีอะไรเลยนอกจาก...

ไอเย็นๆแผ่ออกมาเมื่อมือใหญ่เปิดฝาสีดำ สิ่งที่อยู่ในนั้นมีเพียงหลอดฉีดยาที่วางเรียงกันอยู่ห้าหลอดและทุกหลอดล้วนเต็มไปด้วยตัวยาสีเขียว

จะว่ายาก็ไม่ถูกนัก...แต่เขาก็ไม่เคยบอกกับใครว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่...

มือใหญ่ดึงท่อนแขนเล็กของคนที่ทำหน้ากระอักกระอ่วนทุกครั้งที่ต้องฉีดยาเข้ามาหาตัวเอง สเลนพยายามจะขืนมันเอาไว้เหมือนที่ทำอยู่ทุกวัน ซึ่งปฏิกิริยาเหล่านั้นมีแต่จะทำให้เขาลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ จะว่าเขาซาดิสก็อาจจะใช่ แต่ใบหน้าของเด็กนี่ตอนถูกฉีดยามันน่าดูน้อยเสียที่ไหน

แอลกอฮอล์เช็ดลงไปบนข้อพับของแขนขาวโดยไม่สนใจนัยน์ตาสั่นพร่าที่มองเขาด้วยแววเว้าวอน คิ้วสีชาขมวดเข้าหากันและริมฝีปากที่สั่นน้อยๆนั่นมันไม่ได้ทำให้รู้สึกสงสารแต่มันกลับกระตุ้นสัญชาตญาณดิบอย่างที่เด็กนั่นคงไม่เคยรู้ตัว

ปลายเข็มจิ้มลงไปบนเส้นเลือดที่เขารู้ดีว่าอยู่ตรงไหน นัยน์ตาสีมรกตถึงกับปิดแน่นทันที

“อื้อ~~”   เสียงครางครือดังอยู่ในลำคอระหง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันและยิ่งยาในหลอดถูกยัดเยียดเข้าไปในร่างกายมากแค่ไหน ยิ่งเจ็บปวดทุลนทุลาย ไหล่เล็กทั้งสองข้างก็จะยิ่งสั่นระริก น้ำตาที่ปริ่มออกมาทางหางตายิ่งดูน่ารังแก  มือที่เกาะต้นขาของเขาแน่นทั้งๆที่ร่างกายพยายามห้ามอาการบิดเร่าด้วยความทรมานนั่นก็อีก

เวลาแบบนี้....สเลนกลับดูเซ็กซี่เย้ายวนจนเขาแทบทนไม่ไหว

นัยน์ตาสีฟ้ายังคงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตานิ่งสนิท  ไม่มีวอกแว่ก ไม่มีหวั่นไหวกับท่าทางทรมานของอีกฝ่าย...ริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆกับนัยน์ตาเชื่อมปรอยที่เปิดปรือขึ้นมามองเขาอย่างอ้อนวอนให้หยุดฉีดยาเสียทีมีแต่จะทำให้เขายกยิ้มที่มุมปาก

เขาไม่ได้ใจร้ายหรือใจแข็งอะไรนักหรอก แต่ที่ยังฉีดยาต่อไปจนหมดหลอดได้ก็เพราะว่าเขาชอบ...

ชอบ...

ชอบจริงๆ...

ที่จะได้เห็นเด็กนั่นในสภาพแบบนี้...

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”   ท่อนแขนอีกข้างรับร่างโปร่งบางที่โงนเงนมาซบก่อนจะปล่อยให้สเลนพิงอยู่ที่หัวไหล่ เข็มฉีดยาถูกดึงออกไปจากคนที่มีใบหน้าเหม่อลอย ในหัวของเด็กนี่คงจะกำลังขาวโพลน ทุกครั้งที่ฉีดยาตัวนี้เสร็จสเลนก็จะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด...

เขาลากเก้าอี้สองตัวให้มาชิดติดกันก่อนจะโน้มร่างบางให้นอนลงไป สเลนหลับใหลไปอย่างง่ายดาย...แล้วอีกไม่นาน เด็กนี่ก็จะตื่นขึ้นมาพูดคุยกับเขาตามปกติ

มือใหญ่เกลี่ยไล้เส้นผมสีชาให้พ้นออกไปจากใบหน้าหลับปุ๋ย...จะเหนื่อยขนาดนี้กับอีแค่ฉีดยามันก็ไม่แปลกหรอก...ในเมื่อสิ่งที่เขาฉีดให้มันไม่ใช่ยา....

นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองเข็มฉีดยาว่างเปล่านั่นด้วยสายตาอ่านไม่ออก...

สิ่งที่อยู่ในนั้นมันไม่ใช่ยา...แต่ว่ามันเป็น...ไวรัส

ก็เพราะอาการของสเลนไม่ดีขึ้นเลย ไม่ว่าเขาจะหาทางรักษายังไง ร่างโปร่งบางนั่นก็มีแต่อาการจะทรุดลงเรื่อยๆ ทั้งผ่าตัด ทั้งทำวิจัย แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาก็มีแต่คำว่าเปล่าประโยชน์

เขาทนไม่ไหวกับสภาพสิ้นหวังแบบนั้นอีกต่อไปเขาจึงตัดสินใจก้าวขาเข้าไปในเส้นทางที่ผิดต่อจรรยาบรรณของแพทย์อย่างมหันต์

ถ้าเพื่อเด็กนั่นแล้ว...ต่อให้มันเป็นเส้นทางที่ดำมืด ต่อให้มันเป็นเส้นทางที่ไม่สามารถจะหวนกลับคืนสู่แสงสว่างได้อีก...เขาก็จะทำ







.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.






สะ สุขสันต์วันเกิดนะก๊าท่านเคานต์ครูเทโอ =w=

ขอให้อายุมั่นขวัญยืน ฟื้นขึ้นมาจากในอนิเมะราวกับปาฏิหาริย์นาคะ 555 ขอให้เด็กรักเด็กหลงนาคะ *w*


จริงๆมีอัลไลอยากเวิ่นอีกมากมาย แต่คุณกวางแม่งไม่ทันแบ้วค่ะ ใครให้มาเกิดเดือนเดียวกันแถมวันเกือบจะติดกันอีกเนี่ยถถถถถ

ไปก่องละ ไม่ได้QCดีเท่าไหร่นะคะ อาจจะมีผิดบ้างไรบ้าง555 ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆการติดตามค่า =v= แล้วเจอกัน~





1 ความคิดเห็น:

  1. กริ้ด ท่านครูเทโอ แงๆๆ คิดถึงมากค่ะอ๊าก พี่กวางยังสุดยอดเหมือนเดิมเลยค่ะ อ๊ากรักเลยฮือๆ อ่านมายังไม่เห็นตรงไหนผิดนะค่ะ สุดยอดค่ะ กริ้ดๆ คิดถึงท่านครูเทโอกับสเลนสุดๆเลยค่ะ รออ่านต่อไปนะค่ะ สู้ๆค่ะพี่กวาง!!!!

    ตอบลบ