Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren] Ai Kotoba : 06.1


Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren]  Ai Kotoba : 06.1

For HBD.Gokudera Hayato

: Attack on Titan feat. KHR Gintama Psycho pass Fanfiction  Au
: 8059 , Levi x Eren , Kogami x Ginoza , Takasugi x Katsura
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
         

 
         




“ โกคุเดระ ฮายาโตะ...ข้ายกบทนกกระสาให้เจ้า”


คำประกาศนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางหัวใจดวงน้อย ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลเหม่อลอยราวกับคนที่สติขาดหาย...ไม่อยากจะรับ ไม่อยากจะรู้อะไรอีกต่อไปแล้วในวินาทีนี้

เสียเส้นผมที่แสนสำคัญไปยังไม่เท่าเสียใจที่เสียบทที่อยากได้มาทั้งชีวิตให้เพื่อนสนิท ทั้งๆที่พยายามอย่างหนักมาตลอดแต่บทนกกระสาก็หลุดลอยไป...มันไม่ใช่ของเขาแล้ว

ไม่ใช่ของเขา...แต่เป็นของฮายาโตะ...

สองมือที่เคยกอบกุมกันเอาไว้ค่อยๆผละออกจากกัน...รู้...ว่าควรจะยินดีกับเพื่อน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงพอจะสร้างรอยยิ้มเสแสร้งพวกนั้นออกมา...

ร่างโปร่งบางจึงลุกขึ้นช้าๆด้วยสภาพจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงจะไม่มีน้ำตาแต่ในใจมันก็กำลังอัดแน่นไปด้วยความผิดหวัง ความเจ็บใจ และตอนนี้เขาก็ไม่พร้อมจะมองหน้าใครทั้งนั้น สองขาจึงก้าวเดินออกมาจากโรงละครทั้งอย่างงั้น

มือบางของโกคุเดระ ฮายาโตะทำท่าจะคว้ามือของเพื่อนสนิทเอาไว้แต่มันก็ทำได้แค่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ใบหน้าที่เจ็บปวดของเรนทำให้เขาไม่กล้าที่จะจับมือคู่นั้นเพราะรู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร ไม่มีสิทธิ์ที่จะปลอบโยนเรนในเมื่อเขาเป็นคนที่ได้ทุกอย่างไป...

สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการปล่อยให้เรนเดินจากไปแล้วรอ...ให้เพื่อนของเขาใจเย็นลงก่อน...นัยน์ตาสีมรกตจึงทำได้แค่มองตามแผ่นหลังโปร่งบางนั่นไปด้วยสายตาห่วงใย

“ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอกฮายาโตะ...เพราะพวกเจ้าสู้กันด้วยฝีมือที่สมศักดิ์ศรีแล้ว...และอีกอย่างที่ข้าเลือกเจ้าเพราะข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจบทนี้ได้ดีกว่าใคร...”   คัตสึระ โคทาโร่ทอดมองเขาด้วยดวงตาอ่อนโยนและใบหน้าที่ราวกับล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเขาทุกอย่างก็ทำให้ร่างกายถึงกับนิ่งงัน

อย่าบอกนะว่าซึระรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับยามาโมโตะ?

ซึระมองเห็นว่าเขาเป็นนกกระสาที่กำลังแหงนหน้ามองพญาเหยี่ยวอย่างหมอนั่นอยู่หรือยังไงกัน

และถ้าต้องเข้าใจมันขนาดนั้น ซึระที่เคยถ่ายทอดบทนี้มา...จะเคยเป็นดั่งนกกระสาอย่างเขาหรือเปล่า?







ร่างโปร่งบางไม่ได้ตรงกลับบ้านเพราะไม่อยากให้แม่เห็นสารรูปที่ดูไม่ได้ของตัวเอง สองขาเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายแต่ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่เขตก่อสร้างโดยไม่รู้ตัว...ทำไมถึงมาที่นี่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

เสียงคนกำลังพูดคุยกันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเมื่อสองขาเดินเข้าไปใกล้อาคารที่เป็นศูนย์บัญชาการและเป็นห้องทำงานของนายช่าง ร่างในชุดกิโมโนสีหญ้าแห้งยังคงเดินต่อไปด้วยใบหน้าเหม่อลอย

“ แค่ระเบิดใต้ทะเลก็ไม่เคยมีใครเค้าทำกัน...แล้วนี่ยังจะต้องไม่ทำให้ปลาตายอีก...มันจะเป็นไปได้ยังไงกันละครับ...”   หนึ่งในทีมช่างทหารเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้า นัยน์ตาขี้รำคาญไม่ได้สนใจหมอนั่นแต่กลับทอดมองกรงเปียกแฉะที่อยู่บนโต๊ะประชุม...ในนั้นมีปลาหลากหลายชนิดและทุกตัวล้วนแต่ตายแล้ว

“ จากการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระเบิด...ลูกที่เราทดลองไปเมื่อเช้านี้คือลูกที่เล็กที่สุดที่จะสามารถทำลายชั้นหินใต้น้ำได้แล้วนะครับ...แต่ปลาก็ยังตายไม่เหลือแบบนี้...เราไม่สามารถจะลดปริมาณดินปืนได้อีกแล้วละครับ”   หลังจากวันนั้นกรมช่างทหารก็ทำการทดลองระเบิดไดนาไมต์ที่จะใช้ระเบิดชั้นหินใต้น้ำเรื่อยมา และเพื่อเป็นการทดสอบว่ามันจะไม่มีผลกับปลา พวกเขาจึงจับปลาจำนวนหนึ่งใส่กรงไว้แล้วหย่อนลงไปในรัศมีระเบิด แต่ไม่ว่าจะลดดินปืนลงไปแค่ไหนปลาก็ยังตายกันเป็นเบือเหมือนเดิม

ถ้าใช้ปริมาณดินปืนมากเกินไป แรงดันน้ำก็จะทำให้ปลาตาย...แต่ถ้าลดปริมาณดินปืนลงก็จะไม่สามารถทำลายชั้นหินที่มีความแข็งได้...ไม่มีจุดที่จะพอดีกันเลยหรือไง?...ใบหน้าของนายช่างหนุ่มได้แต่ครุ่นคิด

แต่แล้วหัวคิ้วสีดำที่กำลังขมวดเข้าหากันก็ต้องคลายออกเมื่อดวงตาเหลือบขึ้นไปมองเงาวูบไหวที่หน้าประตู

เรน?

และสิ่งที่ทำให้นายช่างหนุ่มถึงกับชะงักไปก็คือสภาพของเจ้าลูกหมานั่น...หัวนั่นไปทำอะไรมา? แล้วใบหน้าอย่างกับจะร้องไห้นั่นอีก? ถูกใครรังแกมาหรือยังไง?

“ มันเป็นหน้าที่ของพวกเจ้ากับข้าที่ต้องหาวิธี ไม่ต้องพูดมากแล้วไปคิดมาซะ เลิกประชุมแค่นี้”   นายช่างหนุ่มตัดบทกับคนที่นั่งอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เช้าก่อนจะก้าวขาพรวดๆออกไปจากห้องให้ลูกน้องงงกันเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆนายใหญ่ของที่นี่ก็ลุกหนีไปเสียดื้อๆ

“ โฮ่ย!”   มือแข็งแรงจับลงไปที่ข้อมือบางของคนที่เดินเหม่ออยู่แถวๆหน้าห้องก่อนจะออกแรงลากให้เดินตามไป เป็นเพราะสภาพจิตใจไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วร่างโปร่งจึงไม่ได้ร้องโวยวายอย่างที่มักจะทำเป็นประจำ สองขาในรองเท้าบูททหารก้าวเร็วๆยาวๆจนคนที่อยู่ในกิโมโนแคบต้องซอยเท้าราวกับวิ่ง ทั้งๆที่ถ้าเป็นปกติเจ้าเด็กเหลือขอนี่จะต้องแหกปากน่ารำคาญไปแล้ว แต่นี่กลับไม่พูดอะไรแล้วยอมให้เขาลากมาเงียบๆ

ถูกใครดักฉุดไปจะรู้ตัวบ้างไหมแบบนี้?

ท่อนขาแข็งแรงหยุดกะทันหันเมื่อรอบกายมีแต่ผืนทรายของชายหาด ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครตวัดหันกลับไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก่อนจะรวบลำตัวบางมากอดเอาไว้โดยไม่บอกไม่กล่าว

“ เป็นอะไรไปเจ้าเด็กเหลือขอ?”   เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ที่ใบหูทำให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง ภวังค์สีเทาแตกกระจายจนมองเห็นความเป็นจริง

“ นายช่าง...”   ริมฝีปากสีระเรื่อสั่นระริกเอ่ยชื่อคนตรงหน้าราวกับว่าเพิ่งรู้สึกตัว นัยน์ตากลมโตกรอกมองใบหน้าคมด้วยความสับสน

“ ใครทำอะไรเจ้า? บอกข้ามา”   นัยน์ตาที่ดุดันและมั่นคงดุจพญาเหยี่ยวทำให้น้ำตาหยดแรกไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกราวกับเจอที่พึ่งพิงทำให้ร่างโปร่งบางโถมเข้าใส่นายช่างหนุ่มจนล้มลงไปบนผืนทรายขาวละเอียดด้วยกันก่อนที่เสียงร้องไห้โฮจะดังขึ้นมาผสมผสานไปกับเสียงคลื่น

ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังไม่มีน้ำตาสักหยดแต่พอถูกอ้อมแขนที่แข็งแกร่งดั่งกำแพงนั่นกอดเอาไว้ ทำนบน้ำตาก็พังครืนลงมาอย่างง่ายดาย รวมถึงความอัดอั้นตันใจที่ไม่รู้จะระบายมันออกไปยังไงนี่ก็ด้วย...น้ำตา...ช่วยพัดมันออกมาจนหมด...

“ ฮือออออออออ...ข้าน่ะ...ฮือๆๆ...ตัดผม...ฮืออออออ...นกกระสา... ฮึกๆ ฮือๆๆๆ”   หัวสีดำนอนราบไปกับพื้นทรายอย่างไม่กลัวเลอะ ปล่อยให้ร่างอ้อนแอ้นโถมทับอยู่บนแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทั้งๆที่เจ้าเด็กที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งนี่มันพูดไม่รู้เรื่องเลยสักนิดแต่เขากลับไม่รู้สึกรำคาญหรือโมโห ฝ่ามือแข็งแรงลูบหัวสีน้ำตาลเบาๆ นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองท้องฟ้าใสปล่อยให้สองหูฟังเรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อเพราะเสียงสะอึกสะอื้นนั่นต่อไป

ร้องไปเถอะ...ร้องจนกว่าจะพอใจ...ถึงเขาจะทำอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ใช้แผงอกของเขาซับน้ำตาที่ไหลลงมานั่นเถอะ


กว่านายช่างหนุ่มจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ตอนนี้เจ้าตัวดีจากคณะละครคาบุกิหยุดร้องไห้แล้วพลิกกายลงมานอนอยู่ข้างๆเขาแทน

“ โกรธเหรอ? ที่โกคุเดระ ฮายาโตะได้บทที่เจ้าอยากได้ไป?”   ร่างแข็งแกร่งนอนตะแคงมองขอบตาแดงช้ำของคนในอ้อมแขน เม็ดทรายติดตามแขนเสื้อที่ยกขึ้นมาเท้าปลายคางเอาไว้ในท่วงท่าสบายๆ ใบหน้ามนส่ายไปมาบอกให้เขารู้ว่าเรนไม่ได้โกรธเพื่อนสนิทของตน

“ ข้าไม่ได้โกรธ ข้าไม่ได้ไม่พอใจในการตัดสินใจของคุณคัตสึระ...แต่ว่าข้าเจ็บใจ...ที่ตัวเองยังเก่งไม่พอที่จะแย่งบทนั้นมาจากฮายาโตะ...”    ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆอย่างที่คนในอ้อมแขนจะไม่ทันสังเกตเห็น เพราะเจ้าเด็กนี่กำลังยุ่งยากใจจนมันแสดงออกมาทางใบหน้า แต่เขาก็คิดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้...ความผูกพันของเด็กสองคนนั่นมันแน่นแฟ้นจนเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปก้าวก่าย

อีกอย่าง...เจ้าเด็กเหลือขอนี่ก็ดีพอที่จะไม่ถูกความอิจฉาริษยาครอบงำ

“ แต่ข้าก็ยอมรับ...ว่าฮายาโตะสมควรจะได้บทนี้ไป...เพียงแต่ข้าหวังเอาไว้มาก...พอไม่เป็นไปตามที่หวังก็เลยเสียใจ...เรื่องผมนี่ก็อีก...”   ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มเข้าหากัน แต่ก่อนที่ใบหน้ามนจะทำหน้ายุ่งไปมากกว่านั้น ฝ่ามือแข็งแรงก็ตรงเข้าไปขยี้หัวสีน้ำตาล

“ ผมเจ้าเดี๋ยวมันก็ยาวไม่ใช่หรือไง? ลูกหมาอย่างเจ้าขนงอกไวจะตาย”   ถ้ามีใครมาเห็นเขากำลังหยอกเย้าเจ้าเด็กนี่มีหวังคงอ้าปากค้างไปหลายวัน

“ ข้าไม่ใช่หมานะ!”   เจ้าลูกหมาแยกเขี้ยวใส่พลางลุกขึ้นนั่งอย่างงอนๆ เขาจึงลุกตาม เม็ดทรายร่วงกราวจากเสื้อคอปกตั้งของทหารทันที

“ มานี่ ข้าจะเล็มให้ จะได้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นหน่อย”   ปลายนิ้วแตะปลายผมสีน้ำตาลที่แหว่งๆวิ้นๆ ก่อนหน้านี้มันเคยยาวสลวยอย่างที่ดูก็รู้ว่าเรนดูแลมันมาดีขนาดไหน...ความรู้สึกตอนที่ถูกตัดผมไปคงเป็นอะไรที่เจ็บปวดจนไม่รู้จะพูดยังไงเลยสินะ...คำปลอบโยนของเขาก็คงทำได้แค่ลูบมันเบาๆเท่านั้น

“ เอ๋? นายช่างตัดผมเป็นด้วยเหรอครับ?”   ใบหน้ามนหันมาถามอย่างไม่แน่ใจ

“ มันจะไปยากอะไร นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนล่ะ”   ร่างแข็งแกร่งเดินกลับไปที่ห้องทำงานก่อนจะควานหาผ้าสีขาวและกรรไกรเหล็กคมกริบที่อยู่ในลิ้นชัก

“ เฮ้นายช่าง กรมช่างทหารติดต่อให้ไปรับแบบก่อสร้างชุดใหม่........นั่นเจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ?”   โคงามิเดินอ่านจดหมายเข้ามาก่อนจะละสายตาจากกระดาษขึ้นไปมองเพื่อนรักที่กำลังไล่เปิดลิ้นชักที่ชั้นหนังสือด้านหลัง

“ จำได้ว่ามีกระจกเล็กๆอยู่ในนี้...อ่ะ เจอแล้ว”    นายช่างหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามร่างสูงใหญ่แต่กลับรวบของที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก้าวขาเดินออกจากห้องไป แต่ทั้งหวี ทั้งกระจก ทั้งผ้าสีขาว แล้วยังจะกรรไกรก็ทำให้โคงามิรู้ได้ไม่ยากว่าเจ้านายช่างเพื่อนรักกำลังจะทำอะไร ใบหน้าคมมองตามแผ่นหลังแข็งแรงนั่นไปอย่างไม่รู้ว่าควรจะห้ามหรือปล่อยไปดี...เพราะถึงอีกฝ่ายจะเก่งทุกอย่างแต่คนเรามันก็ต้องมีจุดอ่อนอยู่บ้าง...แล้วจุดอ่อนของหมอนั่นก็คือ....

นัยน์ตาสีดำเหลือบมองหา “เหยื่อ” ของเจ้านายช่างเพื่อนรัก...แต่แถวนี้ก็ไม่เห็นมีลูกน้องสักคน จะมีก็แต่แผ่นหลังโปร่งบางของเจ้าเด็กจากคณะละครคาบุกินั่งรออยู่ที่ชายหาด...อย่าบอกนะว่าเพื่อนของเขาจะตัดผมให้เด็กนั่น?

“ โฮ่ยๆ...เอาจริงดิ? เจ้าอาจจะทำลายอนาคตของเด็กนั่นเลยก็ได้นะ ยิ่งต้องใช้หน้าตาหากินอยู่ด้วย...”   แต่เขาก็ทำได้แค่ยืนพึมพำตามลำพังในเมื่อเจ้านายช่างเดินไปถึงตัวเด็กนั่นแล้วแถมใบหน้าราวกับลูกหมานั่นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรู้ตัวเลยสักนิดว่าหายนะกำลังจะมาเยือนหัวของตน...ห้ามดีไหมนะ?...เขาควรจะเข้าไปขัดขวางดีไหมนะ?...

อ้า...แต่ไอ้บรรยากาศหวานๆแปลกๆนั่นมันก็ทำให้ไม่อยากจะเข้าไปขัดเลยจริงๆ...ปล่อยไปละกัน...หวังว่าเด็กนั่นจะรู้ตัวทันนะ...

ใบหน้าซังกะตายยังคงทอดมองสองคนบนชายหาด แต่ตอนนี้ในหัวกลับกำลังนึกถึงใครอีกคน...ถ้าเป็นเวลานี้เจ้านายช่างคงจะวุ่นวายอยู่กับเด็กนั่นไปอีกสักพัก...เพราะงั้นถ้าเขาจะแว่บออกไปจากเขตก่อสร้างคงไม่เป็นไร...สองขาจึงก้าวไปหาม้าสีดำตามที่ใจเรียกร้องทันที...




“ ท่าน...ตัดผมเป็นแน่นะ?”   นัยน์ตาสีมรกตยังคงหันมามองนายช่างหนุ่มอย่างหวาดระแวงถึงแม้ว่าผ้าสีขาวจะถูกคลุมไว้บนไหล่และกรรไกรเหล็กที่ดูคมกริบจะขยับไปมาอยู่ในมือแข็งแรง

“ เป็นสิ ข้าตัดให้คนงานก่อสร้างมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”   แต่ออกมาเป็นยังไง...นั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เรนไม่ได้ถามออกไป

ฝ่ามือแข็งแกร่งสางปลายผมสีน้ำตาลเบาๆ เพราะรู้ว่าถูกสายตาคมกล้าคู่นั้นจับจ้องอยู่ทำให้หัวใจดวงน้อยพลอยตื่นเต้นไปด้วย ร่างโปร่งเริ่มอยู่ไม่สุขและขยุกขยิกไปมา

แกร่บ...

ปลายผมที่ถูกตัดออกไม่ใช่น้อยร่วงผล็อยลงสู่พื้น นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองมันอย่างรู้สึกใจหายยังไงชอบกล...ไหนนายช่างบอกว่าเล็ม? แล้วทำไมตัดออกไปเยอะจัง?

“ อยู่นิ่งๆสิเจ้าเด็กเหลือขอ”   แต่ยิ่งบอกแบบนั้นร่างโปร่งก็ยิ่งขยุกขยิกหนักกว่าเดิมด้วยความประหม่า ทว่า คนตัดก็ยังคงมั่นใจในฝีมือของตัวเองต่อไป

แกร่บๆๆๆ...

เสียงลงกรรไกรไม่เว้นวรรคทำให้เจ้าของผมเริ่มใจไม่ดี ยิ่งปลายผมสีน้ำตาลร่วงราวกับน้ำตกลงไปยังพื้นทรายมากเท่าไหร่ เหงื่อก็เริ่มเกาะพราวบนหน้าผากใส

“ นะ นายช่าง...ข้าขอดูกระจกหน่อย”   ใบหน้านิ่งเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยว่าจะดูกระจกไปทำไมในเมื่อเขาตัดดีออกขนาดนี้ แต่กระนั้นก็ยอมส่งกระจกบานเล็กให้

“ อะ...........”    แล้วเรนก็ถึงกับนิ่งค้างไป...นี่ถ้าแข็งเป็นหินได้เขาคงแข็งตายไปแล้ว...นายช่างทำอะไรกับหัวของเขาเนี่ย?!!

“ เป็นไง? ตัดต่อเลยไหม?”   มือบางถึงกับคว้ากรรไกรในมือแข็งแรงเอาไว้แทบไม่ทัน ไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะเขานั่งขยุกขยิกหรือเป็นเพราะฝีมือการตัดผมของนายช่างไม่ได้เรื่องกันแน่แต่ตอนนี้ผมของเขามันเว้าๆแหว่งๆยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก! แถมตัดซะสั้นจนแทบจะเห็นใบหูอยู่แล้ว! โธ่~~

“ หยุดเลยนะครับ!”   นายช่างหนุ่มยังมีหน้ามาสงสัยว่ามันไม่ดียังไง เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ

“ ที่เหลือเดี๋ยวผมไปให้คนที่คณะละครตัดให้ดีกว่าครับ”    ร่างโปร่งลุกจากเก้าอี้มานั่งที่พื้นทรายอย่างหมดแรง นัยน์ตาสีมรกตทอดมองท้องฟ้าที่ตัดกับสีครามของผืนน้ำเผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง ที่หางตามองเห็นว่านายช่างกำลังนั่งลงมาข้างๆ

นานแล้ว...ไม่สิ...ต้องบอกว่าไม่เคยเลยต่างหาก...เขาไม่เคยนั่งมองท้องทะเลกับใครนอกจากฮายาโตะ เพราะงั้นการที่นายช่างมานั่งอยู่ข้างๆจึงเป็นความแปลกใหม่...ใช่ๆ...มันคงจะเป็นเพราะความแปลกใหม่นั่นแหละที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตักทั้งๆที่บรรยากาศกำลังสบายเลยแท้ๆ

ใบหน้ามนก้มงุดหลบไออุ่นที่แผ่ออกมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีมรกตลอบมองใบหน้านิ่งที่เงยมองท้องฟ้า...นายช่างจะใจเต้นเหมือนเขาบ้างหรือเปล่านะ?...แต่อย่างนายช่างคงจะนั่งดูทะเลกับลูกน้องไม่ก็คนอื่นๆมาเยอะแล้ว? คงจะไม่รู้สึกแปลกใหม่เหมือนเขาหรอก?

“ ตรงนี้คือสะพาน”   เสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้นทำให้ใบหน้ามนเงยขึ้นไปมองตามปลายนิ้วของนายช่างที่กำลังขีดเส้นลงไปบนอากาศตรงที่ท้องฟ้าจรดกับทะเล

“ ยาวทั้งหมด 9.4 กิโลเมตรเลยต้องทำเป็น 6 ช่วง 6 สะพานเชื่อมเกาะ 5 เกาะก่อนที่จะมาถึงชิโกกุ”   ปลายนิ้ววาดเป็นเส้นโค้งจากเกาะที่เห็นอยู่ไกลลิบมายังเกาะที่อยู่ถัดไป นัยน์ตาสีมรกตมองตามราวกับเห็นภาพของสะพานที่ค่อยๆสานต่อกันมาเรื่อยๆ หัวสีน้ำตาลเอนเข้าหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

“ เป็นสะพานสองชั้น ชั้นล่างคือรางรถไฟ ส่วนชั้นบนเตรียมไว้สำหรับถนน”   นัยน์ตาสีมรกตยังคงมองตามปลายนิ้วราวกับตกอยู่ในภวังค์

“ รถไฟ? มันเป็นยังไงกันนะ?”   ริมฝีปากสีระเรื่อเอ่ยถามลอยๆอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ในหัวยังคงจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะนายช่างไม่เคยเล่าให้ฟัง ไม่เคยบอกพวกเขาเลยว่าสิ่งที่กำลังจะสร้างนั้นมันเป็นยังไง เขาและคนบนเกาะจึงนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าอัศจรรย์แบบนั้น

“ หึ...สักวันเจ้าก็จะรู้จัก”    นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองภาพที่ว่างเปล่าตรงหน้าราวกับว่ามันคือวามฝันอันยิ่งใหญ่ที่อยากจะทำให้มันเป็นจริงให้ได้


“ ชื่อของมันคือ สะพานเซโตะโอฮาชิ...”


“ อยากเห็นจัง...”   ถึงแม้เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อจะแผ่วเบาแต่มันก็ทำให้ใบหน้านิ่งเผยรอยยิ้มบางๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองภาพในอากาศนั่นอีกครั้ง

ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภาพแห่งความฝัน รอบกายจึงมีเพียงเสียงคลื่นซัดสาดเท่านั้น

“ หากสร้างสะพานเสร็จแล้ว...ท่านจะจากไปแล้วทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือเปล่า”    ริมฝีปากสีระเรื่อพึมพำโดยไม่รู้ตัว

“ อะไรรึ?”   เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะประโยคเมื่อกี้แทบจะกลืนหายไปกับเสียงคลื่นและนั่นมันก็ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งน้อยๆก่อนจะทำหน้างง...นี่เขาพูดอะไรออกไป?

“ เอ่อ...อ่า...ข้า...ใช่! ข้าอยากเล่นน้ำ! เราไปดำดูปะการังกันเถอะ!”   ร่างโปร่งแก้เขินด้วยการชวนอีกฝ่ายลงไปดำน้ำ สองขาลุกขึ้นก่อนจะวิ่งลงทะเลอย่างไม่สนใจว่านายช่างหนุ่มจะอยากไปด้วยไหม

ใบหน้านิ่งส่ายไปมาอย่างระอาแต่มือก็ปลดเครื่องแบบทหารกองไว้เหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างในกับกางเกงขายาวที่พับขึ้นมาถึงเข่า...เอาเถอะ...ลงไปดำน้ำกับเด็กนั่นก็ไม่เลวนักหรอก ออกจะน่าดูด้วยซ้ำ...แล้วสองขาก็ก้าวตามคนที่ร้องเรียกอยู่ในน้ำนั่นไป










ม้าสีดำถูกผูกเอาไว้ที่ปากทางเข้าป่าไผ่ มือใหญ่ลูบหัวมันเบาๆก่อนจะเดินต่อไปด้วยสองขาของตัวเอง เจ้าเด็กแสบแห่งคณะละครคาบุกิอยู่ด้วยแบบนั้นท่านนายช่างเพื่อนยากคงทำอะไรไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ โคงามิ ชินยะจึงมีเวลามาเงยหน้ามองต้นไผ่ที่สูงเสียดฟ้าอย่างตั้งใจแล้วว่าวันนี้แหละจะต้องเจอกิโนะให้ได้! ต่อให้ถูกเจ้านักเขียนบทละครนั่นด่าใส่ที่เขาบังอาจบุกไปหาถึงบ้านก็ยอม

“ หึ...”   ใบหน้าซังกะตายเผลอหัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าของคนที่กำลังจะไปหา ทั้งๆที่ควรจะสำนึกผิดที่อาจจะทำให้กิโนะโกรธ แต่ใบหน้างอหงิกของกิโนะก็น่ารักน้อยเสียที่ไหน น่ารักจนอยากจะแหย่อยากจะแกล้งอยู่ร่ำไป แล้วก็เป็นเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวันทั้งๆที่เขาก็ไปดักรอตามที่ต่างๆที่เคยเจอกิโนะแต่ร่างโปร่งนั่นก็ไม่มาเลย...มันทำให้นึกห่วงว่าจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า...เขาถึงได้ตัดสินใจจะไปหาที่บ้านแบบนี้

สองขายังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ จากป่าไผ่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นต้นไม้ใหญ่ใบหนาทึบ สองเท้าย่ำผ่านบึงที่เขาเคยลงไปพายเรือแต่วันนี้ก็ไม่มีแม้แต่เงาของกิโนะ

ใบหน้าคมเงยมองทางข้างหน้าอย่างชั่งใจ เขาไม่เคยเดินไปไกลกว่านี้ แต่เพราะความอยากเจอและความเป็นห่วงก็ทำให้ตัดสินใจก้าวต่อไป ถึงแม้ว่าทางข้างหน้าจะเรียกว่าทางไม่ได้ด้วยซ้ำ

เขาจำเป็นต้องลดจังหวะการก้าวขาลงเพราะนอกจากหญ้าจะขึ้นจนแทบมองไม่เห็นทางแล้ว ยังมีก้อนดินใหญ่บ้างเล็กบ้างวางระเกะระกะอยู่เต็มไปหมดเหมือนมันกลิ้งลงมาจากภูเขาหรือไม่ก็ดินถล่ม ดูจากการที่ดินพวกนี้มันเริ่มจะเกาะเป็นเนื้อเดียวกับทางเดินก็ทำให้รู้ว่ามันน่าจะอยู่ตรงนี้มานานแล้ว  อาจจะเป็นเพราะกิโนะใช้อยู่คนเดียวก็ได้มั้ง ทำให้สภาพของทางเดินนี้เหมือนไม่ได้ถูกใครเหยียบย่ำมานาน

รองเท้าบูททหารยังคงเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ราวกับทางเดินนี้ไม่มีที่สิ้นสุด...เขาเดินมามากกว่ากิโลเมตรหนึ่งแล้วแน่ๆและมันก็มีทั้งทางขึ้นเนินลงเนินซ้ำสภาพทางเดินยังเป็นแบบนี้อีก ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่ากิโนะที่ดูร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงจะเดินไปเดินมาทุกวัน...


พั่บ!!!


ไหล่หนาสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปมองอีกาสีดำที่กำลังบินออกไปจากยอดไม้...เจ้านกบ้าดันมาทำให้ตกใจเสียได้...เขาหันไปมองรอบกายอีกครั้ง ต่อให้ชีวิตการเป็นทหารของเขาจะผ่านเรื่องราวอะไรมามากแต่ความรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปจนถึงสันหลังแบบนี้เพิ่งเคยพบเคยเจอเป็นครั้งแรก

บรรยากาศวังเวงจนชวนให้รู้สึกราวกับหลงเข้าไปในอีกมิติหนึ่งทำให้เขาเริ่มคิดว่ามันจะมีบ้านคนอยู่ในนี้จริงๆหรือเปล่า? หรือว่ากิโนะก็แค่หลอกเขาว่าอยู่ในนี้แต่ที่จริงแล้วอาศัยอยู่ที่อื่นเพราะไม่อยากให้เขาตามเจอ?

นัยน์ตาสีดำกวาดมองผืนป่า...เหมือนกับมีสายตาจ้องมองมาจากทุกทิศทุกทางยังไงก็ไม่รู้...ที่นี่มันน่าขนลุกเกินไปแล้ว...กิโนะอยู่ในที่แบบนี้จริงๆน่ะเหรอ?...เอาไงดี...ถึงเขาจะไม่ได้กลัวแล้วก็ไม่ได้เชื่อเรื่องภูตผีแต่บางทีการที่เขาเดินมาถึงนี่ก็อาจจะเสียเวลาเปล่า...เขาควรจะกลับไปที่โรงละครคาบุกิแล้วก็ถามคัตสึระ โคทาโร่ไปตรงๆเลยดีกว่า ว่าอาจารย์กิโนสะอาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่ ดีไม่ดีอาจจะอยู่ติดโรงละครนั่นแหละ?

แล้วในขณะที่กำลังละล้าละลังว่าจะเดินต่อไปหรือว่าถอยกลับดี สิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้งอกขึ้นมาจากพื้นดินเองก็ทำให้ใจชื้น...มีบ้านคนอยู่จริงๆด้วย เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือรั้วไม้ไผ่สีน้ำตาลแห้งอันหนึ่ง

สองขารีบก้าวยาวๆเข้าไปหาด้วยความหวัง แต่แล้วสิ่งที่ดวงตาเห็นก็ทำให้ชะงักไปเล็กน้อย...เพราะรั้วไม้ไผ่นั้นทั้งเก่าทั้งโทรม บางซี่ก็ผุพังจนหลุดลงไปกองที่พื้น

แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังทำใจเย็น...ก็ไม่เห็นแปลกที่สภาพรั้วจะเป็นแบบนี้เพราะกิโนะคงจะไม่มีแรงซ่อมมันด้วยตัวเอง ก็นอกจากจะดูป่วยๆแล้วอย่างกิโนะก็ดูไม่น่าจะทำงานบ้านหรืองานช่างพวกนี้เป็น...เขาเลยมองรั้วผุๆนั่นอย่างตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาซ่อมให้ก็แล้วกัน คงต้องขอยืมอุปกรณ์ของเจ้านายช่างมาสักครึ่งวัน

หลังจากคาดคะเนเสร็จว่าจะต้องใช้อะไรเท่าไหร่บ้างใบหน้าคมก็ละจากรั้วพังๆนั่นด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ในใจรู้สึกตื่นเต้นยามเมื่อก้าวขารอดรั้วนั่นเข้ามา...เหมือนกับว่าเขากำลังจะบุกเข้าไปในฐานทัพของกิโนะเลยนะ จะโดนปาอะไรใส่หรือเปล่าก็ไม่รู้?  เขาได้แต่คิดถึงใบหน้าบูดๆอย่างอารมณ์ดี


ทว่า...


เมื่อก้าวพ้นประตูรั้วเข้ามา...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ถึงกับตัวชา....

นะ นี่มัน....

ไม่ใช่แค่รั้วเท่านั้นแต่บ้านแบบญี่ปุ่นโบราณซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าดูยังไงมันก็เป็นบ้านร้างชัดๆ...

ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำยุ่งเหยิงชะงักค้างไปหลายวินาที แต่กระนั้นร่างสูงใหญ่ก็ยังไม่ตัดใจ สองขากระโดดก้าวขึ้นไปดูบนบ้าน ชานไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดต้อนรับทันที...แล้วนัยน์ตาสีดำก็ถึงกับนิ่งค้าง...สภาพแบบนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ได้แน่ๆ...เพราะนอกจากฝุ่นจะหนา หยากไย่ยังโยงใยไปทั่ว เสื่อทาทามิก็หลุดร่อนราขึ้น ผนังก็มีแต่คราบดำๆของฝุ่นผง ประตูเลื่อนก็ไม่มีกระดาษเหลืออยู่อีก หลังคาบางจุดก็แตกจนน้ำไหลลงมาเป็นทางทิ้งรอยเอาไว้ ดูยังไงมันก็เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่มานานแล้วแน่ๆ...

นี่คง...จะไม่ใช่บ้านของกิโนะ?

เขาเลือกที่จะเชื่อแบบนั้นทั้งๆที่มีอะไรบางอย่างมันสะกิดใจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกับร่างโปร่งบางนั่นแล้ว...อะไรบาง...อย่างที่เขาเอาแต่เฝ้าแต่หลอกตัวเองเรื่อยมาว่ากิโนะก็คงจะเป็นแค่คนป่วย...ถึงได้มีร่างกายที่เย็นเฉียบแบบนั้น

สองขาเดินต่อไปยังห้องข้างๆด้วยความรู้สึกที่เบาโหวง..อะไรก็ได้...เขาต้องหาอะไรก็ได้ที่จะพิสูจน์ว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ที่ที่กิโนะอยู่...

แต่แล้วชั้นหนังสือเก่าแก่ที่อยู่ในห้องถัดไปก็ราวกับจะยิ่งตอกย้ำว่าที่นี่...คือบ้านของกิโนะ...คือที่ที่กิโนะ “เคย” มีชีวิตอยู่...

นัยน์ตาสีดำไล่มองตัวหนังสือที่สวยงามเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษเหลืองกรอบ...หนังสือพวกนี้มันเหมือนกับ...บทละครคาบุกิ?...และเขาก็เคยเห็นลายมือแบบนี้มาแล้ว...มันเป็นลายมือของกิโนะแน่ๆและมันก็อยู่ในหนังสือที่เขียนด้วยมือทุกเล่มที่อยู่บนชั้นหนังสือนี้...จากสภาพกระดาษที่มีทั้งอับชื้น ทั้งแห้งกรอบจนเกือบจะขาด ทั้งหมึกที่เริ่มจะเจือจางไม่ก็ถูกน้ำเยิ้มจนแทบจะอ่านไม่ออก...ทุกอย่างมันบ่งบอกว่าหนังสือพวกนี้น่าจะมีอายุเป็นร้อยๆปี...

สองมือที่ถือมันอยู่สั่นน้อยๆ...เปล่า..เขาไม่ได้กลัวว่าจะทำมันขาด...แต่เป็นเพราะชื่อที่เขียนอยู่หลังปกหนังสือนั่นต่างหากที่ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง


“ กิโนสะ โนบุจิกะ....”


เขาครางชื่อเจ้าของหนังสือนั่นอย่างไม่คิดว่าสิ่งที่อยู่ในหัวมันจะเปล่งออกมาเป็นเสียง...คนที่เขียนหนังสืออายุร้อยปีพวกนี้คือกิโนะจริงๆ....


กิโนะ...ไม่ใช่คนที่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว...


ร่างสูงใหญ่ถึงกับเซถลาไปปะทะกับโต๊ะเตี้ยด้านหลังอย่างหมดแรง...นี่มันอะไรกัน...ความจริงที่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกำลังทำให้หัวใจของเขาบิดเบี้ยวจนเจ็บไปหมด...คนที่เขาอยากพบ คนที่เขารู้สึกชอบ...กลับไม่ใช่คนที่มีตัวตนอยู่จริงๆอย่างงั้นเหรอ?

ถ้างั้น...กิโนะเป็นอะไรกัน?

จิตวิญญาณที่ยังผูกพันกับบทละครพวกนั้นจนไม่สามารถไปไหนได้?

แต่เขาก็เคยจับมือที่เย็นเฉียบคู่นั้นมาตั้งหลายครั้งแล้วเพราะงั้นกิโนะไม่น่าจะเป็นแค่วิญญาณ?

กิโนะ..

กิโนะ...เจ้าเป็นอะไรกันแน่บอกข้าที....

ทุกครั้งที่เจอกันก็ไม่เคยมีใครอยู่ด้วยเลยเขาจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่ากิโนะมีตัวตนที่คนอื่นเห็นหรือเปล่า...


หรืออาจจะมีแค่เขาเท่านั้นที่มองเห็น...?


สองขาเดินออกมาจากบ้านด้วยสภาพลอยๆ เสียงอีกาตอกย้ำบรรยากาศให้ยิ่งวังเวง ใบหน้าคมเงยมองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีดำ...เขายืนนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ในห้องห้องนั้นมานานแค่ไหนกันนะ รอบกายถึงได้ใกล้จะมืดแล้วแบบนี้

ใบหน้าคมทอดสายตามองไปข้างหน้าแต่ก็เหมือนว่าไม่ได้มองอะไร...เขาทำบางอย่างหายไป...มันคือความรู้สึกเดียวในตอนนี้

รองเท้าบูททหารข้ามผ่านรั้วไม้ออกไป...คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าควรจะต้องทำยังไง แต่ตอนนี้เขาคงต้องกลับไปก่อนเพราะถ้าปล่อยให้มืดค่ำเขาคงได้หลงป่าแน่ๆ...ร่างสูงใหญ่จึงเดินจากไปโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง...

ทั้งๆที่เพียงแค่หันมาก็จะเห็นได้ว่ามีร่างโปร่งบางของใครบางคนยืนอยู่บนชานไม้ผุพังนั่น...

ฝ่าเท้าก้าวเหยียบลงไปบนใบไม้ให้เสียงดังกรอบแกร่บ นัยน์ตาเศร้าสร้อยทอดมองแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปจนลับสายตา


ถึงอย่างนี้แล้วเจ้าจะยังตามหาข้าอีกไหม? จะยังอยากคุยกับข้าอยู่อีกหรือเปล่า?


ร่างโปร่งบางทอดสายตามองรอยรองเท้าที่เด่นชัดท่ามกลางฝุ่นหนา... ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากรัก ไม่อยากผูกพันก็เพราะรู้ดีว่ามันจะต้องจบลงแบบนี้...

แล้วร่างกายในกิโมโนสีน้ำเงินเข้มก็แตกกระจายกลายเป็นผีเสื้อกระดาษบินหายไปท่ามกลางความมืดที่เริ่มโปรยปรายลงมา


ลาก่อน...โคงามิ...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อต่อไป...ไป...ไป...




ยะ ยังเหลืออีกครึ่งนึง...แฮ่กๆๆๆ

แฮปก่อนเพราะอีกครึ่งนึงกลัวจะไม่ทันวันนี้ถถถถ ทั้งๆที่เป็นฟิควันเกิดก๊กแต่พาร์ทของคู่ 8059 เจือกอยู่ครึ่งหลัง 
=[ ]=!!


สุขสันต์วันเกิดนะก๊าหนูก๊ก =w=


ปีนี้ก็อายุ 14 เท่าเดิม5555+ เหมือนที่มี๊รักหนูก๊กเหมือนเดิมเรย >////< ขอให้มีความสุขมากๆ หมีรักหมีหลง(?) ได้เป็นมือขวาและมีฮาเร็มสมใจ อยู่เป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้มี๊ต่อๆไปด้วยนะลูกขรานะ >////<

มาพูดถึงฟิคกันบ้าง มีบางคู่กำลังพีคเรยเนอะ =w= คือตั้งแต่ตอนวางโครงเรื่องแล้ว คู่คุณโคกิโนะนี่ดูจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับใครแต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ชอบพล็อตของคู่นี้มากๆ มันเย็นๆหลอนๆดี >v< ก็ดูกันต่อไปว่าคุณโคจะทำยังไง จะเป็นรักข้ามภพไหม หรือว่าจะปล่อยให้จบเพียงแค่นี้แล้วเก็บเรื่องที่ผ่านมาให้เป็นแค่ความทรงจำ อ้า~~ ชอบฟฟฟฟ

แล้วก็ถ้าอ่านแล้วรู้สึกถึงความเผาก็ขอกราบประทานอภัย...มันเผาจริงๆนั่นแหละ TvT คือตอนนี้คุณกวางกำลังปั่นตอนพิเศษของรวมเล่ม GLIDE อยู่ กำลังติดพัน(เมามันอยู่คนเดียวถถถ) กว่าจะลงมือแต่งฟิควันเกิดก๊กได้ก็เมื่อสองสามวันที่แล้วนี่เองค่ะถถถถถ // หลบหม้อ// แต่ตอนพิเศษที่แต่งอยู่ก็ 8059 เหมือนกันแต่คนละฟิวส์กับเรื่องนี้เลย5555 และที่เลือกพญาเหยี่ยวเพราะเมื่อเดือนที่แล้วมีวันเกิดคุณโคด้วยค่ะ เลยขอรวบสองซะเลย ฮี่ๆๆๆ


สุขสันต์วันเกิดคุณโคย้อนหลังด้วยนะค้า >////<


เอาละ เลิกเวิ่นแล้วไปปั่นต่อ เผื่อจะทันถถถถถ








1 ความคิดเห็น:

  1. HBD......ย้อนหลังนะคะ.....คุณ.....โคววววว~~~~
    นี่มันวันเกิดก๊กใช่มั้ยคะ????
    ของขวัญย้อนหลังคุณโคแล้วไหงถึงหากิโนะไม่เจออ่ะ????
    กิโนะกลายเป็นอะไรไปแล้นนน~~...ม่ายยยน้าาาา~~~
    น้องเลนน่าสงสารจังโดนนายช่างรังแก5555++

    แต่สงสารน้องจริงๆนะคะทั้งโดนแกล้งทั้งชวดบทนกกระสาแต่ก็อิจฉ๊าอิฉาที่มีคนปลอบหล่อล่ำไม่สนโลกสนแต่น้องคนเดียวแบบนี้!
    อยากกระโดดกอดบ้างจัง~~

    ส่วนนกกระสาก๊กกสุขสันวันเกิดนะคะคนสวยที่สุดในสามโลกกก~~~
    ของนู๋รีบๆไปเข้าฝันมี๊กวางให้รีบๆมาลงตอนของนู๋ไวๆไม่งั้นไดนาไมจำนวนมหาศาลจะลอยไปทางนั้น!!!!

    ตอบลบ