Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [8059] GLIDE : OVERSTEER #01


Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [8059]  GLIDE : OVERSTEER #01

For HBD. Yamamoto Takeshi

: Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
: Levi x Eren , 8059
: Romantic Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           
ไทม์ไลน์จะอยู่ในภาคหลักนะคะ ช่วงที่หนูก๊กเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุและจำเป็นต้องไปรักษาตัวอยู่ในคฤหาสน์วองโกเล่ สำหรับตอนพิเศษตอนนี้จะเป็นภาคของพวกวองโกเล่บ้าง โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดจะอยู่ในโรมและเป็นมุมมองของพวกมาเฟียล้วนๆค่ะ...นะ...แข่งรถเคล้ากลิ่นน้ำมันกันมาทั้งเรื่อง...มาดมกลิ่นเลือดกันบ้างดีก่า // ดีกว่ายังไงฟร๊ะ!!







.
.
.
.
.
.
.
.
.


ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าการปล่อยให้โอเวอร์สเตียร์นั้นอันตรายถึงชีวิต เขาตั้งใจใช้มันในสนามแข่งทั้งๆที่รู้ดีถึงพิษสงของมัน แต่ถ้าไม่เสี่ยงก็ไม่มีทางเหนือกว่าคนอื่น...มันก็เหมือนกับการที่เขายอมให้หมอนั่นอยู่ใกล้ๆทั้งๆที่รู้ว่าเป็นตัวอันตราย...แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ถือว่าคุ้มไม่ใช่หรือไง?


หัวใจของมาเฟียนี่น่ะ....


ถ้าควบคุมมันได้...ไม่ว่าจะโอเวอร์สเตียร์หรือยามาโมโตะ ทาเคชิ...ก็ไม่ต่างไปจากหมีเชื่องๆหรอก






แต่ถ้าควบคุมไม่ได้...ก็มีเพียงความตายที่รอเขาอยู่...ทั้งโอเวอร์สเตียร์และยามาโมโตะ ทาเคชิ…’



.
.
.
.
.
.
.


โครม!!


แผ่นหลังที่กระแทกลังไม้ทำให้ร่างในสูทสีดำถึงกับจุกจนตัวงอ แต่ก็ไม่มีเวลาให้โอดครวญมากนักเมื่อห่ากระสุนยังคงไล่มาอย่างไม่ลดละ


ปังๆๆๆ!


“ อย่าให้มันรอดไปได้! ไม่งั้นพวกวองโกเล่เอาพวกเราตายแน่!”  เสียงตะโกนแหวกกระสุนทำให้ชายในสูทสีดำจำต้องหันหลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เขารู้แค่ว่าจะมาถูกจับตัวอยู่ที่นี่ไม่ได้เพราะข้อมูลที่เขารู้มานั้นมันสำคัญต่อวองโกเล่เดซิโม่มาก...มันไม่ใช่ทั้งเรื่องการหากินล้ำถิ่น ไม่ใช่ทั้งแผนทำลายบ่อนของวองโกเล่ ไม่ใช่แม้แต่เส้นทางนำของเถื่อนเข้าประเทศ...แต่มันคือแผนการลอบสังหารบอสมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิตาลีคนนั้นต่างหาก


ปังๆๆ!


“ ตามไป! มันอยู่นั่น!”  ใบหน้าที่เริ่มจะมีเหงื่อเกาะพราวหันไปมองข้างหลังซึ่งยังคงมีแต่แสงจากปากกระบอกปืนให้เห็น ลมหายใจเริ่มจะติดขัดจนไม่แน่ใจว่าตัวเองจะวิ่งไปได้อีกแค่ไหน เพราะเป็นมาเฟียมาทั้งชีวิตจึงรู้ดีว่าเวลามาเฟียตีกันก็จงอย่าหวังว่าตำรวจหรือใครจะมาช่วย ยิ่งเสียงปืนดังกระหน่ำแบบนี้คงไม่มีคนดีๆที่ไหนกล้ายื่นขาเข้ามา

จะมีก็แต่พวกเดียวกันเท่านั้นแหละ


ปัง!


“ อั่ก!”   ไหล่ซ้ายสะบัดไปตามแรงอัดกระแทกก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นลิ่วขึ้นมา โลหิตสีแดงสาดกระจายเต็มพื้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นของใคร มือข้างที่ไม่ได้ถูกยิงยกขึ้นมากุมบาดแผลก่อนจะวิ่งต่อไป ต่อให้แขนจะขาดขาจะหลุดเขาก็ต้องกลับไปให้ถึงวองโกเล่ให้ได้

นัยน์ตาเริ่มพร่ามัวไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลราวกับสายน้ำ ทั้งวิ่ง ทั้งเสียเลือดมาก ตาจะเริ่มลายจนมองเห็นกองไม้เป็นสามกองแบบนี้มันก็ไม่แปลก...

ไม่ได้...จะล้มลงตรงนี้ไม่ได้...

ทั้งๆที่จิตใจยังคงตั้งมั่น แต่ร่างกายมัน...


โครม!


สองขาที่สั่นสะท้านพาร่างกายมาล้มลงข้างๆถังขยะ...ที่ผ่านมาชีวิตเขาก็แทบไม่มีค่าอะไร แต่อย่างน้อยก่อนตายก็อยากจะทำประโยชน์ให้วองโกเล่บ้าง

ให้สมกับที่ท้องนภาผืนนั้นชุบเลี้ยงคนเดนตายอย่างเขามา...

“ แฮ่ก...แฮ่ก...”   เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆทำให้รู้สึกจนซึ่งหนทาง หัวใจที่เต้นระรัวกลับสงบลงอย่างน่าประหลาด ใบหน้าเงยขึ้นมองท้องฟ้าราวกับว่าการกระทำแบบนี้จะช่วยส่งข้อความไปถึงวองโกเล่ได้

สายลมจงช่วยพัดเป่าแทนปากกา...หยาดฝนจากฟากฟ้าจงแทนน้ำหมึก...หมู่เมฆาจารึกมันแทนกระดาษ...ขอจงช่วยส่งข้อความนี้ไปถึงเดซิโม่ที


ปังๆๆๆๆ!


รอยยิ้มเลือนหายไปจากฟากฟ้า ร่างที่คิดว่าไร้ลมหายใจทำได้แค่นั่งนิ่งอยู่ที่พื้น....





“ อยู่นั่น!


ทำไม....ทำไมเขายังได้ยินเสียงอยู่อีกล่ะ? ในเมื่อเขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง?

ทว่า...เมื่อก้มลงไปดูตามร่างกาย...รอยเจาะทะลุกลับไม่มีอยู่...

ทั้งๆที่คิดว่านั่นคงจะเป็นเสียงกระสุนที่ทะลุร่างของเขา ทว่า ห่ากระสุนที่สาดใส่ไล่หลังมาฝ่ายเดียวกลับมีกระสุนคนละเบอร์ยิงสวนกลับไป...

และเมื่อใบหน้าที่อ่อนล้าหันกลับไปมอง...เงาร่างนับสิบในสูทสีดำก็ทำให้ขาที่ก้าวไปเหยียบนรกแล้วข้างหนึ่งถึงกับหยุดชะงัก...นั่นมัน...พวกพ้องของเขา...

“ พากลับไปหาเดซิโม่!”  ร่างถูกยื้อยุดด้วยมือหลายคู่ที่กินข้าวหม้อเดียวกันมา ตอนนั้นเขาไม่รู้แล้วว่าหนีรอดจากมัจจุราชมาได้ยังไง รู้แต่ว่าที่ใต้แผ่นอกซ้ายมันกำลังล้นเอ่อไปด้วยความดีใจ

ในที่สุดก็รอดตาย...ในที่สุดก็จะได้นำข่าวนี้ไปบอกกับท้องนภาของเขา


ปังๆๆๆ


แน่นอนว่าเสียงปืนยังคงรัวใส่กันไม่หยุดจนกระทั่งพยานปากสำคัญถูกหิ้วขึ้นรถไป...



.
.
.
.
.
.
.
.



“ ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ....คิเอเวเร่ทรยศเรา...ไม่สิ...จะเรียกทรยศก็คงไม่ถูกในเมื่อพวกนั้นไม่เคยเป็นพวกเดียวกับเราอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็แค่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ”   ใบหน้าของผู้พิทักษ์แห่งอรุณมีแววเคร่งขรึมต่างจากเวลาปกติที่มักจะแหกปากโวยวายไม่สนใจใคร

“ คึหึหึ...แล้วจะเอายังไงล่ะครับเย็นวันพรุ่งนี้? รู้ทั้งรู้ว่าเป็นกับดักคุณยังจะไปอยู่อีกหรือเปล่าสึนะโยชิคุง?”   เสียงผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกถามขึ้นมาแต่ใบหน้าของท้องนภาแห่งวองโกเล่ก็ยังคงนิ่งสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทอดมองไปยังร่างของลูกน้องที่แฝงกายเข้าไปสืบข่าวซึ่งนอนหลับด้วยพิษบาดแผลฉกรรจ์ ภาพที่เห็นนั้นทำให้คำว่าปรานีไม่มีอีกต่อไป

เพราะซาวาดะ สึนะโยชิในวันนี้ไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่จะปล่อยคนที่คิดร้ายกับวองโกเล่ไปง่ายๆอีก ประสบการณ์ที่ถูกสั่งสอนมาด้วยเลือดทำให้นัยน์ตาที่เคยอ่อนโยนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

คิเอเวเร่เป็นแก๊งมาเฟียระดับกลางที่มีเขตปกครองอยู่ในภาคกลางเช่นเดียวกับวองโกเล่ พวกนั้นลอบทำสัญญาอย่างลับๆกับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและผับชาวต่างชาติเพื่อกระจายเส้นทางการค้ายาเสพติดผ่านผับและโรงแรมในเครือเหล่านั้นที่กำลังจะเปิดอีกหลายสาขาในอิตาลี และวองโกเล่ที่ควบคุมระบบกลไลในโลกมืดของดินแดนมักกะโรนีแห่งนี้อยู่ก็คือสิ่งกีดขวางเดียวของพวกมันไปโดยปริยาย...เพราะวองโกเล่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการค้ายา ถึงแม้จะรู้ว่ามีการขายอยู่ทั่วอิตาลีจากแก๊งเล็กแก๊งน้อย พวกเขาก็แค่คอยควบคุมไม่ให้มันมากจนเกินไป....เพราะฉะนั้นพวกมันถึงจำเป็นต้องกำจัดวองโกเล่เดซิโม่เสียก่อนหากต้องการจะเอายาล็อตใหญ่เข้ามา...แน่นอนว่าพวกเขาเพิ่งจะรู้ว่าคิเอเวเร่กับกลุ่มธุรกิจการโรงแรมพวกนั้นร่วมมือกัน...

ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รับปากว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวโรงแรมห้าดาวที่พวกนั้นเชิญมาหรอก

ใช่...พวกนั้นตั้งใจจะลอบฆ่าวองโกเล่เดซิโม่ในงานเลี้ยงเปิดตัวที่ว่านั่น...

ร่างเล็กในสูทเข้ารูปลุกขึ้นยืนจากโซฟาที่ตั้งหันหน้าเข้าหาเตียงคนไข้ก่อนจะเดินไปยืนอยู่กลางหน้าต่าง  แสงแดดที่สาดส่องลงมาให้ความรู้สึกว่าแผ่นหลังเล็กๆนั้นช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าใคร

“ ยามาโมโตะ...นายไปจัดการพวกคิเอเวเร่ซะ อย่าให้มันรอดไปถึงที่งานเลี้ยงได้”   คำสั่งถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความหวั่นไหวและเพชฌฆาตมือหนึ่งที่ยืนกอดอกรอฟังอยู่แล้วจึงยิ้มรับ

“ ส่วนเรื่องงานเลี้ยง...ชั้นจะไปตามกำหนดการเดิม...เพื่อทำให้พวกมันรู้ว่าอิตาลีมีเจ้าถิ่นที่ไม่ควรจะล้ำเส้นอยู่”















แสงแดดยามเช้าแทบจะไม่สามารถส่องลอดผ่านผ้าม่านสีแดงอมดำของคฤหาสน์วองโกเล่เข้ามาได้เลย ทำให้ในห้องของผู้พิทักษ์แห่งพิรุณนั้นยังคงมืดสลัว

เตียงสี่เสาว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่งเพราะคนที่เคยนอนอยู่บนนั้นกำลังยืนติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาสีเปลือกไม้ทอดมองไปยังร่างบอบบางที่ยังหลับสนิทด้วยแววตามืดมน...ยามที่พ้นจากนัยน์ตาสีมรกต...ยามาโมโตะ ทาเคชิก็เป็นเพียงแค่เพชฌฆาตที่ไร้หัวใจเท่านั้น

ร่างสูงใหญ่นั่งลงไปข้างๆร่างที่ยังไม่ตื่น เตียงที่ยุบยวบราวกับเป็นการปลุกคนที่ไวต่อการรับรู้จากประสบการณ์ที่เคยสั่งสมมา ทว่าร่างบอบบางก็ไม่ได้คิดจะลุกหรือลืมตาขึ้นมา มีเพียงเสียงงำงึมก่อนจะขดตัวหนีลงไปใต้ผ้าห่มมากกว่าเดิม

ใบหน้าคมจ้องมองคนที่เป็นดั่งดวงใจ...เพราะโกคุเดระรู้ว่าอยู่กับเขาจึงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมา แต่ถ้าเป็นคนอื่นมาเข้าใกล้เจ้าแมวขี้เซาเวลานี้คงมีโดนข่วนแน่ๆ...นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่มืดมนมีแววอ่อนโยนขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนที่มันจะกลับไปไร้หัวใจอีกครั้งเมื่อไล่มองไปจนถึงท่อนขาเรียวที่อยู่ใต้ผ้าห่ม

โกคุเดระมาอยู่ในคฤหาสน์วองโกเล่กับเขาได้สามเดือนแล้ว ถึงแม้ว่าช่วงที่รีไวกลับมาจะมีไปพักที่บ้านในเขตอุทยานของมาราเนลโลบ้าง แต่คงต้องบอกว่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่นี่เสียมากกว่า...ที่ที่เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นบ้าน แต่หากมีโกคุเดระอยู่ก็อีกเรื่อง

เขายินดีจะทำให้ที่นี่ปลอดภัย ต่อให้จะต้องฆ่าอีกมากแค่ไหนก็ตาม...

ใบหน้าคมโน้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากใส ร่างสูงใหญ่ลุกออกจากเตียงและเมื่อเสียงประตูปิดลงห้องทั้งห้องจึงเหลืออยู่แค่คนบนเตียงเพียงลำพัง

นัยน์ตาสีมรกตเปิดขึ้นมาก่อนที่ปลายนิ้วจะแหวกผ้าห่มออกเพื่อให้มองเห็นภายนอก...ดาบญี่ปุ่นที่เคยวางอยู่บนโต๊ะหายไปแล้ว ถึงแม้มันจะติดตัวยามาโมโตะอยู่ตลอดเวลา...ทว่า...ในวันนี้เขาก็พอจะรู้ว่ามันคงจะไม่ได้หายไปแค่เดินเล่น

ไอ้หมีบ้านั่นคิดว่าเขาไม่เคยสังเกตเลยหรือไงว่าวันไหนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำคือวันที่หมอนั่นจะออกไป “ทำงาน”

คงไม่อยากจะให้เขาเห็นรอยเลือดแต่ลืมไปแล้วหรือไงว่ากลิ่นคาวของโลหิตมันไม่สามารถกลบกันได้ง่ายๆ  เขารู้เขาเห็นเพียงแต่เลือกที่จะทำเป็นเมินเฉย...

ยามาโมโตะไม่ได้ “ทำงาน” นี้เพราะความสนุกเขารู้ดี...หมอนั่นมีเหตุผลอะไรบางอย่างซึ่งเขาก็ไม่ได้ถามและไม่คิดจะเข้าไปห้าม ทั้งๆที่ใช่ว่าเขาจะไม่ทรมานเมื่อเห็นหมอนั่นบาดเจ็บกลับมา...แต่หน้าที่ของเขาคือต้องอยู่กับมันและยอมรับมันให้ได้หากเลือกที่จะรักหมอนั่น

เขารู้ว่ายามาโมโตะก็เข้าใจความรู้สึกของเขาดี เพราะหมอนั่นเองก็เคยเห็นรถเขาเฉี่ยวชนระหว่างแข่งหลายครั้ง แม้กระทั่งครั้งล่าสุดที่เขาต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป หมอนั่นก็ไม่เคยบอกให้เขาเลิกแข่งเลยสักครั้ง

เรื่องเดียวที่ต่างฝ่ายต่างทำให้กันได้คือรอคอยการกลับมาของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


อื้อ...ถึงริมฝีปากจะไม่ขยับแต่เขาก็ยิ้มแล้วนะ...


ร่างบอบบางใช้สองแขนค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งท่ามกลางเตียงสี่เสาที่ทุกอย่างเป็นสีแดงอมดำไม่ว่าจะปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง...ตัวเขาที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวจึงราวกับจะลอยเด่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด

บางทีก็สงสัยนะว่าตึกนี้มันเรียกว่าตึกพิรุณได้ยังไง ในเมื่อไม่เห็นจะมีน้ำใสไหลเย็นหรือสีฟ้าตรงไหนให้เห็นเลยสักนิด...ถ้าเป็นพิรุณโลหิตละก็ว่าไปอย่าง

ถึงสองขาจะใช้การไม่ได้และไม่มีความรู้สึกแต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มันเรียวเล็ก เขาถึงได้ไม่ลำบากมากนักหากจะย้ายตัวเองจากบนเตียงลงไปที่รถเข็น ล้อสแตนเลสหมุนวนอย่างคล่องตัวเพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเลยพยายามจะทำทุกอย่างเองให้ได้...แรกๆก็ลำบากหน่อยแต่ไอ้หมีบ้านั่นก็ย้ายทุกอย่างลงมาให้เขาเอื้อมถึง เพราะงั้นตอนนี้เขาจึงล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้เรียบร้อย

ประตูห้องของผู้พิทักษ์แห่งพิรุณเปิดออกก่อนที่รถเข็นจะเคลื่อนที่ด้วยการบังคับของคนที่นั่งอยู่ในนั้นเอง...อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มาเปลี่ยนลานหินกลางคฤหาสน์วองโกเล่ให้เป็นสนามรถบังคับวิทยุโดยไม่ทำอะไรแลกเปลี่ยนให้หรอกนะ...วงล้อสีเงินจึงเคลื่อนที่ไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดไปยังตึกของท้องนภาแห่งวองโกเล่


ก๊อกๆๆ


“ โกคุเดระ? มาก็ดีเลย วันนี้...”   วองโกเล่รุ่นที่สิบหันมายิ้มแฉ่งทันทีที่เห็นเขา แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคนักขับมือสองของทีมม้าลำพองก็ตัดบทอย่างไม่แยแส

“ เปล่า...วันนี้ชั้นไม่ได้มาช่วยนาย แต่จะมาบอกว่าจะออกไปข้างนอก”

“ เอ๋? อ่า งั้นเหรอ...”   ใบหน้าของท้องนภาห่อเหี่ยวลงทันทีที่รู้ว่าตัวช่วยที่ดีอย่างเขากำลังจะหายไปในวันนี้ทั้งๆที่กองเอกสารยังเท่าเดิม...ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากลายเป็นมือขวาของบอสมาเฟียร่างเล็กคนนี้ไปได้ยังไง...ก็แค่วันหนึ่งเขาไม่มีอะไรทำเลยเข็นรถสำรวจคฤหาสน์ไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าห้องนี้แล้วบังเอิญได้ยินเสียงอะไรถล่มอยู่ข้างในเลยเปิดประตูเข้ามาดู ก่อนจะพบว่าคนที่มาเฟียทั่วทั้งอิตาลีกลัวเกรงกำลังนอนอ้าปากพะงาบๆราวกับปลาทูน่าขาดน้ำอยู่ใต้กองเอกสารที่ล้มกระจายเต็มพื้น  หลังจากยื้อยุดฉุดดึงกันอยู่นานซาวาดะ สึนะโยชิก็ออกมานั่งวิญญาณหลุดอยู่ข้างกองเอกสารจนได้ แถมยังโหยหวนชวนขนลุกว่าถ้าเอกสารกองนี้ไม่เสร็จกรุงโรมถึงคราวล่มสลายแน่...และเขาก็แค่หยิบเอกสารมาเปิดดูว่ามันจะยากเย็นยังไงถึงทำไม่เสร็จสักที?....ก็นั่นแหละ...จุดเริ่มต้นของวันเวลาที่หาความสงบสุขไม่มีของเขา

อันที่จริงก็ใช่ว่าวองโกเล่เดซิโม่จะไร้น้ำยาจนแม้แต่งานเอกสารก็ทำไม่ได้...แต่ไอ้ที่งานมันช้าจนไม่ค่อยจะคืบหน้าไปไหนคงต้องโทษรายงานห่วยแตกของไอ้พวกผู้พิทักษ์นั่นมากกว่า...เป็นต้นว่า...



ไปตรวจบ่อนมาสุดหูรูด!! แล้วก็ลืมไปสุดหูรูดแล้วว่าที่บ่อนเป็นยังไง แต่ไม่ต้องห่วงนะซาวาดะ ผู้จัดการบ่อนฝากรายรับรายจ่ายมา นายดูเอาเองก็แล้วกันเพราะชั้นลืมไปสุดหูรูดแล้วว่านี่มันของเดือนไหน!’

รู้สึกเป็นการไปตรวจบ่อนที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี...แถมกระดาษในแฟ้มนี่ก็อย่างยับยู่ยี่จนไม่ต้องไปคาดหวังเลยว่าไอ้คนทำมันจะเขียนภาษาอย่างเป็นทางการของงานเอกสารได้ สภาพมันถึงไม่ต่างไปจากกระดาษโน้ตที่เขี่ยๆเอาแบบนี้น่ะ...แล้วหัวสมองของไอ้ผู้พิทักษ์นี่มันเป็นสนามหญ้าหรือยังไงถึงได้จำอะไรไม่ได้สักอย่าง?!...ไล่ออก...แบบนี้มันต้องไล่ออก!



วันที่1 เดือน1 การขนส่งที่ท่าเรือปกติดี ของลง105ลัง...วันที่2 เดือน1 การขนส่งที่ท่าเรือปกติดี ของลง105ลัง...วันที่3 เดือน1 การขนส่งที่ท่าเรือปกติดี ของลง105ลัง...วันที่4 เดือน1 การขนส่งที่ท่าเรือปกติดี ของลง105ลัง...วันที่5 เดือน1 การขนส่งที่ท่าเรือปกติดี ของลง105ลัง...วันที่6 เดือน1 การขนส่งที่ท่าเรือปกติดี ของลง105ลัง...อ้า...จนถึงวันที่31 เดือน1 ของก็ลง105ลังนั่นแหละครับวองโกเล่วัยหนุ่ม ผมขี้เกียจเขียนแล้วผมก็ขี้เกียจนับ ตามนี้แล้วกัน

ไอ้รายงานสั่วๆนี่มันอะไร? เริ่มต้นมาก็เหมือนจะดีแต่ที่จริงแล้วมันก็แค่ก๊อปปี้กันมาเฉยๆนี่? ได้นับจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไหงเท่ากันเป๊ะ 105 ลังตลอดทั้งเดือนแบบนั้นฟ๊ะ?! ไอ้ผู้พิทักษ์นี่มันจะขี้เกียจเกินไปแล้ว!....ไล่ออก...แบบนี้มันต้องไล่ออก!




ขย้ำให้ตาย

………..…..มันต้องการจะสื่ออะไรของมัน? เพราะทั้งแฟ้มมีแค่คำนี้อยู่คำเดียว? พอเขาหันไปทำหน้างงใส่วองโกเล่รุ่นที่สิบก็ได้แต่รอยยิ้มแห้งๆส่งกลับมาพร้อมกับคำแปลว่าไอ้เจ้าของรายงานฉบับนี้มันกำลังสอบปากคำคู่อริที่จับกลับมาได้อยู่และยังไม่มีความคืบหน้าใดๆเพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมปริปาก...ก็คิดดูแล้วกัน...แทนที่วองโกเล่รุ่นที่สิบจะเซ็นต์ๆให้มันเสร็จๆไปกลับต้องมานั่งแปลความหมายของประโยคไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้แล้วมันจะเสร็จไหมล่ะงาน?




คึหึหึ...ถ้าคิดว่าผมจะทำงานให้คุณละก็ ฝันไปเถอะ อยากได้ข้อมูลอะไรก็เชิญหาเอาเอง

..................มันน่าขับรถทับให้เป็นเละสับปะรดปิ้งไปเลยจริงๆไอ้ตัวไร้ประโยชน์นี่! ดีแต่ทำตึกพังไปวันๆหรือไงกันนะไอ้หัวสับปะรดนั่น ดูเอาก็แล้วกันว่างานมันจะเสร็จได้ไหมแบบนี้!




พาโกคุเดระออกไปทำกายภาพบำบัด...จากนั้นก็แวะซื้อโทรทัศน์ใหม่เพราะโกคุเดระบ่นว่าดูฟอร์มูล่าวันไม่เห็นเพราะอันเก่าจอเล็กไป...จากนั้นก็พาโกคุเดระกลับคฤหาสน์วองโกเล่...จากนั้นก็กินข้าวเย็นกับโกคุเดระ........กับโกคุเดระ........และโกคุเดระ......โกคุเดระๆๆๆ

...............ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่านี่มันเอกสารรายงานของไอ้หมีบ้าตัวไหน...แล้วไอ้สิ่งที่มันทำนี่มันหน้าที่ของผู้พิทักษ์แห่งวองโกเล่ยังไง? สมควรไล่ไอ้หมีบ้านี่ออกเป็นคนแรกเลยเพราะดูมันจะว่างงานและไร้ประโยชน์มากที่สุด!



นะ...ขนาดคนที่ไม่เคยสนใจใครและมีแต่คนบอกว่าเย็นชาเป็นน้ำแข็งอย่างเขาเห็นไอ้รายงานพวกนี้แค่วินาทีเดียวยังเดือดปุดๆได้...แล้ววองโกเล่รุ่นที่สิบต้องอยู่กับพวกมันมาเป็นสิบๆปีกลับทนได้ขนาดนี้...เห็นทีเขาคงต้องมองผู้ชายร่างเล็กคนนี้เสียใหม่...ถึงหลักฐานต่างๆอาจจะยังไม่ชัดเจนแต่เขาก็ชักอยากจะเชื่อแล้วว่าคนคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังเหตุวางเพลิงบ้านเด็กกำพร้าของเขา

“ แล้วนี่จะไปไหนเหรอโกคุเดระคุง?”   บอสมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิตาลีเอ่ยถามทำให้ร่างบอบบางหลุดออกมาจากภวังค์

“ เวียร์ คอนด็อตติ”   ชื่อถนนสายแฟชั่นหรูหราที่เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมชื่อดังของกรุงโรมถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะแปลกใจอะไรนัก...วองโกเล่รุ่นที่สิบพยักหน้าให้ เขาจึงหมุนล้อรถเข็นก่อนจะออกจากห้องไป...ถึงแม้ว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ในความคุ้มครองของพวกวองโกเล่ในฐานะพยานปากสำคัญแต่พวกวองโกเล่ก็ไม่ได้กักบริเวณเขา เขายังมีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ทุกที่


เพียงแต่ต้องมีผู้พิทักษ์คนใดคนหนึ่งไปด้วย….

นั่นคือสิ่งที่โกคุเดระ ฮายาโตะ ไม่เคยรู้เลย


“ โคลม...”   เสียงเรียบเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวเบาๆแล้วจากอากาศธาตุที่ว่างเปล่ากลับค่อยๆมีเงาของคนปรากฏจนชัดเจน...เธอคือผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกอีกคนหนึ่งของวองโกเล่

“ ตามโกคุเดระไปที”   คำสั่งเอ่ยออกมาจากปากของวองโกเล่เดซิโม่ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทอดมองไปยังรถ BMW สีดำที่กำลังแล่นออกจากตึกพิรุณ

“ ค่ะบอส”   หญิงสาวรับคำก่อนจะหายตัวไปอีกครั้ง

“ โอย่ะ...ปกติต้องให้ผมตามไปไม่ใช่เหรอครับสึนะโยชิคุง?”   ร่างสูงโปร่งมายืนรดน้ำต้นคุณนายตื่นสายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...นั่นแปลว่ามุคุโร่อยู่ในห้องนี้นานแล้ว...ร่างเล็กในเสื้อกั๊กสีขาวละจากขอบหน้าต่างกลับมายังโต๊ะทำงาน ฝ่ามือหยิบสูทที่พาดอยู่บนเก้าอี้ก่อนจะตวัดสวมลงบนไหล่แล้วก้าวขาออกจากห้อง

“ เพราะนายต้องไปงานเลี้ยงนั่นกับชั้นยังไงล่ะมุคุโร่”












นัยน์ตาสีมรกตทอดมองไปยังทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคยเสียทีถึงแม้จะอยู่ที่นี่มาหลายเดือน เพราะหากเทียบกับทั้งชีวิตที่เขาอยู่แต่ทางเหนือของอิตาลี ช่วงเวลาที่ต้องมาอยู่ภาคกลางแบบนี้มันก็เหมือนกับเป็นแค่เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง

จากเนินเขาที่ล้อมรอบไปด้วยป่าค่อยๆกลายเป็นบ้านเรือนประปราย แล้วยิ่งBMWสีดำแล่นเข้าสู่ศูนย์กลางของกรุงโรมมากขึ้นเท่าไหร่ หมู่อาคารก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น เพียงแต่มันแทบจะไม่มีตึกสมัยใหม่เหมือนในมิลาน แต่อาคารบ้านเรือนของโรมล้วนถูกอนุรักษ์ไว้ให้มีสภาพเหมือนเดิมมาตลอด เพราะงั้นไม่ว่าจะเดินอยู่ตรงส่วนไหนของเมืองก็จะรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเรเนซองส์เหมือนกันแทบทั้งนั้น

รถสีดำจอดหน้าถนนสายเล็กๆซึ่งคลาคล่ำไปด้วยร้านหรูหรา เสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างมาเปิดอยู่ในย่านนี้กันแทบทั้งสิ้น Via Condotti จึงกลายเป็นถนนสายแฟชั่นของกรุงโรมไปโดยปริยาย

“ เสร็จธุระแล้วจะโทรบอก”    ใบหน้าสวยที่นิ่งเงียบมาตลอดทางเอ่ยบอกคนที่ขับรถมาส่งเมื่อรถเข็นถูกย้ายลงมาวางอยู่ริมถนน ชายในสูทสีดำพยักหน้ารับก่อนจะมองไปรอบๆอย่างตรวจตราความปลอดภัยอีกครั้งแล้วจึงขึ้นรถขับออกไป

มือบางหมุนล้อรถเข็นที่ดูไม่ค่อยจะเข้ากับสถานที่ให้เคลื่อนไปข้างหน้า แบรนด์ทุกแบรนด์ต่างแข่งขันกันตกแต่งร้าน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอาคารยุคโบราณแต่กลับเข้ากับความหรูหรานั้นได้เป็นอย่างดี ที่ด้านในร้านแทบทุกร้านล้วนมีพนักงานใส่สูทดูภูมิฐานมาคอยให้การต้อนรับ เรียกว่าคนที่จะกล้าเดินเข้าไปกระเป๋าคงหนักไม่ใช่น้อย

แล้วคนที่ไม่ได้สนใจแฟชั่นอย่างเจ้านักขับมือสองของทีมม้าลำพองมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ?

นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองหาสิ่งที่ต้องการ ดูเหมือนเจ้าของใบหน้าเฉยชาจะไม่ได้มาหาเสื้อผ้าให้ตัวเอง ล้อสเตนเลสจึงหมุนผ่านร้านแบรนด์เนมพวกนั้นไป

บนถนนเส้นนี้ไม่มีรถเข้ามาวิ่ง แต่ด้วยความที่มันปูหิน สองแขนผอมบางจึงต้องออกแรงมากกว่าเดิมเพื่อเข็นรถผ่านพื้นผิวขรุขระ ถึงแม้ใบหน้าสวยจะไม่ได้เปลี่ยนไปแต่ริมฝีปากสีสดก็แอบเม้มแน่น ในเวลาแบบนี้ถ้าไอ้หมีบ้านั่นมาด้วยก็คงจะดีเพราะเรื่องใช้แรงงานมันถนัด

หัวสีเงินสะบัดไปมาก่อนจะไล่ความคิดนั้นออกไป...จะบอกไอ้บ้านั่นได้ที่ไหนล่ะว่าเขามาที่นี่ทำไม...เพราะงั้นก็มีแต่จะต้องพึ่งตัวเองต่อไป

รถเข็นเคลื่อนที่จากปลายถนนด้านหนึ่งไปถึงปลายถนนอีกด้านหนึ่งแต่ร่างบอบบางก็ยังไม่เจอสิ่งที่ตามหา...หรือว่าจะไม่ใช่ซอยนี้?

ล้อสแตนเลสยังคงหมุนต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่ละความพยายาม ซอยที่อยู่ติดกับเวียร์คอนด็อตติเล็กกว่าประมาณครึ่งนึงแต่มันก็ยังเต็มไปด้วยร้านค้า  ใบหน้าสวยตั้งใจมองหาใหม่จากนั้นก็ค่อยๆเข็นรถของตัวเองไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจเม็ดเหงื่อที่เริ่มจะผุดพรายอยู่ใต้ไรผมสีเงิน


อ่ะ...อยู่นั่นเอง...


ใบหน้าสวยชะงักเล็กๆเมื่อในที่สุดก็หาร้านที่ต้องการเจอ...เนคไทหลากสีสันวางเรียงกันจนแน่นร้าน แม้แต่ที่ผนังก็ยังเป็นชั้นวางเนคไทจนดูไกลๆแล้วนึกว่ามันเป็นวอลเปเปอร์เสียอีก

ล้อสแตนเลสหมุนวนเข้าไปใกล้ก่อนที่ประตูไม้จะถูกเปิดออก ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆจึงไม่มีพนักงานใส่สูทมาคอยบริการ แต่คนที่ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกลับสบายใจที่จะได้เข็นรถดูของที่ต้องการด้วยตัวเอง

ใช่...เขาตั้งใจจะมาซื้อเนคไท...

แน่นอนว่าไม่ได้เอาไปใส่กับชุดนักขับของเฟอร์รารี่ แต่เขาจะเอาไป....

ริมฝีปากสีสดเม้มแน่นก่อนจะพยายามไล่รอยแดงบนแก้มแล้วหันกลับมาสนใจของตรงหน้าต่อ นัยน์ตาสีมรกตมองข้ามเนคไทมันเลื่อมไป แบบลายพร้อยเป็นตุ๊กแกก็ไม่เอาเหมือนกัน...แล้วรถเข็นก็ไปหยุดอยู่หน้าชั้นที่เป็นแบบสีเรียบๆ แต่ด้วยความเป็นผ้าไหมเนื้อดีของมันทำให้ดูมีภูมิฐานกว่าแบบลายๆนั่นตั้งเยอะ 

ปลายนิ้วแตะลงไปบนเนคไทอันที่อยู่ใกล้มือ...เป็นสัมผัสที่ทำให้รู้สึกดีทีเดียว...เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเอาแบบนี้แหละ เหลือก็แค่เลือกสี...

ใบหน้าสวยเงยมองเนคไทที่ไล่สีเรียงกันขึ้นไปบนผนัง จากสีสว่างค่อยๆไล่ไปเป็นสีโทนมืด  นัยน์ตาสีมรตกจับจ้องอยู่ที่สีน้ำเงินเข้มอันหนึ่ง ในหัวกำลังจินตนาการว่า...ถ้าเจ้านี่ไปอยู่บนคอหมอนั่น...มันคงจะดูดีไม่ใช่น้อย

ดูเหมือนนักขับมือสองของเฟอร์รารี่จะตัดสินใจได้แล้ว ปัญหามันก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวคือ....เขาหยิบมันไม่ถึง!

มือบางพยายามเอื้อมออกไปจนสุดแขน ปลายนิ้วเกือบๆจะแตะได้อยู่แล้วแต่มันก็ยังไม่ถึง อันที่จริงเจ้าเนคไทสีน้ำเงินเข้มนั่นไม่ได้อยู่สูงเลยถ้าเขาไม่ใช่คนที่นั่งรถเข็นน่ะนะ

ใบหน้าสวยพองลมก่อนจะจ้องเขม็งไปที่เนคไทนั่น เขาหันไปมองหาพนักงานขายแล้วแต่ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้สักคน แขนบางจึงตั้งใจจะลองหยิบมันด้วยตัวเองอีกครั้ง...คราวนี้ใช้มืออีกข้างยันตัวเองขึ้นจากรถเข็นเพื่อเพิ่มความสูงด้วย


ฮึ่บ...


ลำตัวบางยืดจนสุดแต่ปลายนิ้วก็ทำได้แค่แตะๆ ยังไงก็ยังดึงเจ้าเนคไทนั่นลงมาไม่ได้...ฮึ่ม...อยากจะหยิบมือถือขึ้นแล้วโทรจิกให้ไอ้หมีบ้านั่นตามมาซะเดี๋ยวนี้เลย...ตั้งแต่ที่ต้องนั่งบนรถเข็น เขาก็แทบจะไม่เคยไปไหนโดยไม่มีไอ้บ้านั่นไปด้วย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่ามันลำบากจริงๆที่จะต้องอยู่คนเดียวในสภาพแบบนี้

ร่างบอบบางลองยืดตัวอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ แต่แล้วการทรงตัวที่ไม่มั่นคงก็ทำให้รู้สึกวูบไหวราวกับรถเข็นกำลังจะพลิกคว่ำ?!

“ อ่ะ”    เขาไม่ใช่คนที่จะร้องโวยวาย เพราะงั้นชั่ววินาทีที่อะไรก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น สายตาก็พยายามสอดส่ายหาที่ที่จะยึดเกาะได้ แต่ทั้งๆที่ปฏิกิริยาโต้ตอบของเขาก็ไวกว่าคนธรรมดาทั่วไป มันก็ยังไม่ทัน!

นัยน์ตาสีมรกตปิดแน่นอย่างพร้อมรับกับความเจ็บปวดจากแรงกระแทก แต่แล้วแรงดึงให้รถเข็นกลับไปตั้งตรงก็ทำให้เขาเปิดเปลือกตาขึ้นมามองแทบจะทันที

“.........?”   ทั้งๆที่คิดว่าคนที่มาช่วยเขาจะเป็นไอ้บ้ายามาโมโตะ แต่มันกลับไม่ใช่ใบหน้าที่คุ้นตา

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?

แค่คนที่เดินผ่านไปผ่านมา? หรือว่ามีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า?

“ เป็นอะไรไหมครับ? ผมดูเนคไทอยู่ตรงนั้น เห็นคุณกำลังจะล้มก็เลย...”   ใบหน้าที่ส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตรทำให้หัวสีเงินพยายามไล่ความคิดในแง่ลบออกไป...สงสัยเขาจะอยู่กับพวกมาเฟียมากไปเลยทำให้หวาดระแวงไปเสียหมด

“ ....ไม่....ขอบคุณ...”   เสียงนิ่งตอบไปตามมารยาท

“ เอ๋?! ใช่โกคุเดระ ฮายาโตะของเฟอร์รารี่จริงๆด้วย!”   ทั้งๆที่เขาตั้งใจขอบคุณให้จบๆไปจะได้กลับมาหยิบเนคไทต่อ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมจบแค่นั้น

“ ผมเป็นแฟนของเฟอร์รารี่ ตามดูคุณกับรีไวทุกๆสนามเลยครับ! เอ่อ...ผ่านทางโทรทัศน์น่ะนะ ฮะฮะ”   คนตรงหน้าพูดเป็นชุด ท่าทางตื่นเต้นดีใจทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่แฟนเอฟวันธรรมดาๆ ไม่ใช่คนไม่น่าไว้ใจ

“ ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ เลยไม่ได้เข้ามาทัก...อีกอย่างคุณก็ไม่น่าจะมาอยู่แถวๆโรมด้วย แหะแหะ”   ร่างสูงยาวนั่งลงข้างๆก่อนจะจับล้อรถเข็นของเขาให้ตรง นัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมทำให้เขาเหมือนได้กลับไปอยู่ท่ามกลางเสียงเชียร์อีกครั้ง ถึงใบหน้าจะนิ่งเฉยแต่ลึกๆแล้วเขาก็ดีใจที่ได้รับมัน

“ แล้วขาคุณเป็นยังไงบ้าง?....อ่ะ...ขอโทษนะครับถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”   ใบหน้าคมเข้มแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆเกาหัวพลางยิ้มแห้งเมื่อคิดว่าการถามถึงขาจะทำให้เขาไม่สบายใจ เขาจึงเพียงแค่ส่ายหน้าตอบกลับไป แล้วก็ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะเป็นแฟนของเฟอร์รารี่จริงๆถึงได้ไม่สนใจปฏิกิริยาเมินเฉยของเขา

“ กำลังจะหยิบอะไรหรือเปล่าครับ? ไม่งั้นก็ไม่น่าจะล้ม?”   ร่างสูงยาวยืนขึ้นเขาจึงเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายน่าจะสูงพอๆกับยามาโมโตะ แถมผมยังเป็นสีดำเหมือนกันอีกเพียงแต่หมอนี่ไม่ได้ตัดสั้นเหมือนไอ้หมีบ้าของเขา

“ เนคไท...สีน้ำเงินเข้ม...”   เขาตอบออกไปเบาๆเพราะไม่อยากจะพึ่งพาคนแปลกหน้าไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนคนสบายๆตรงหน้าจะไม่คิดแบบนั้น

“ ผมช่วยแล้วกัน แทนคำขอบคุณที่ทำให้ผมรักเฟอร์รารี่....อืม...สีน้ำเงิน...อันนี้หรือเปล่าครับ?”   มือใหญ่จับไปที่เนคไทสีน้ำเงินอันหนึ่งซึ่งไม่ใช่อันที่เขาอยากได้

“ ทางขวา...”   มือใหญ่ๆนั่นจึงขยับไปดึงอันที่เขาอยากได้ลงมาให้ นัยน์ตาสีมรกตทอดมองเนคไททีวางอยู่บนหน้าตักก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ

“ ....ซื้อให้คนสำคัญเหรอครับ? หน้าคุณบอกว่าอย่างงั้น ฮะฮะ”   เสียงทักของอีกฝ่ายทำให้เขาสะดุ้งก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยตามเดิม

“ ซื้อให้หมีที่บ้าน”   สองมือบางหมุนล้อสแตนเลสให้เคลื่อนไปยังแคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน ทิ้งให้อีกคนยืนงงกับคำพูดของเขาอยู่ตรงนั้น

“ หมี?”







ล้อสแตนเลสหมุนวนออกมานอกร้านขายเนคไทที่หมดธุระด้วยแล้ว แต่แทนที่จะโทรหาลูกน้องของยามาโมโตะ ทาเคชิให้มารับ แต่ร่างบางกลับหมุนล้อต่อไป

เพราะเวียร์คอนด็อตติแถวๆบันไดสเปนก็ถือว่าไม่ไกลจากที่ที่เขาจะไปนัก เลยอยากจะเห็นมันอีกสักครั้ง...

ลานหน้าเซ็นต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกันนั่น...

อันที่จริงแค่บอกยามาโมโตะคำเดียว ไม่ว่าที่ไหนหมอนั่นก็คงจะรีบพาเขาไปทันที...เพียงแต่เขาไม่อยากให้หมอนั่นรู้ว่าสถานที่นี้มันมีความสำคัญกับเขา ไม่อยากให้ไอ้บ้านั่นได้ใจ ถึงได้ต้องแอบมาคนเดียว

รถเข็นเคลื่อนที่ฝ่าฝูงชนไปโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ผู้คนมากมายจนนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าคืนนั้นเขาอยู่กับเจ้าบ้ายามาโมโตะแค่สองคน


ครึ่ก...


ถึงระยะทางจะไม่ได้ไกลแต่พื้นถนนที่ปูหินนี่ก็เป็นปัญหาสำหรับล้อสแตนเลสบางๆไม่ใช่น้อย การเคลื่อนที่ของเขามันถึงได้ช้าจนน่าหงุดหงิด ทั้งๆที่ใส่กำลังแขนเต็มที่แต่มันก็แทบจะไม่ขยับไปไหน ป่านนี้คนที่ตามเขามาคงจะแซงหน้าไปกันหมดแล้ว!

และก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ เมื่อจู่ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างคุ้นๆเข้า...หมอนั่นมัน...คนที่ช่วยเขาในร้านเนคไท?!

“ อ้าวคุณโกคุเดระ?”   ใบหน้าคมเข้มสไตล์อิตาเลี่ยนหันมาโบกมือให้ ร่างสูงยาวกำลังซื้อขนมปังไส้กรอกจากร้านข้างถนน

“ นึกว่าคุณกลับไปแล้ว กำลังจะไปไหนเหรอครับ? ผมกำลังจะไปลานหน้าเซ็นต์ปีเตอร์”   นัยน์ตาสีมกรตเผลอเบิกขึ้นเล็กน้อยทำให้คนตรงหน้าเดาถูกว่าเขากำลังจะไปไหน

“ ไปที่เดียวกันสินะครับ? งั้นเดี๋ยวผมเข็นรถให้ ถนนแบบนี้คุณคงลำบาก”  ยังไม่ทันจะได้ปฏิเสธ คนอารมณ์ดีก็ตรงเข้าช่วยด้วยความเต็มใจ

“ ขะ ขอบคุณ...”    เพราะไม่เคยพึ่งพาใครทำให้ใบหน้าสวยก้มลงพูดงึมงำอย่างไม่เคยชิน ต่างกับอีกคนที่ดูจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก

“ ที่จริงผมไม่ใช่คนที่นี่หรอกนะครับ ผมมาเที่ยว บ้านผมอยู่ซิซิลีนู่น”   คนที่เข็นรถอยู่ข้างหลังชวนคุยไปเรื่อย  บรรยากาศที่คล้ายๆกับยามาโมโตะ ทาเคชิทำให้รู้สึกวางใจทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครเข้าใกล้ได้ง่ายขนาดนี้

“ ซิซิลี?”   เกาะทางใต้ของอิตาลี?

“ ครับ คนละเรื่องกับมาราเนลโลเลย แต่ผมก็ไปดูเอฟวันที่มอนซ่าทุกปีเลยนะ คุณกับรีไวสุดยอดมาก ไม่เคยปล่อยถ้วยที่อิตาลีให้ใคร เวลาที่ผมไปยืนอยู่ใต้โพเดี้ยมแล้วได้แหงนมองพวกคุณอยู่ตรงนั้นนี่มันสุดๆไปเลย”   ใบหน้าสวยอึ้งๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นว่าคนที่เข็นรถให้กำลังทำหน้าแบบไหนแต่จากน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมมันก็ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจไปด้วย...บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยใกล้ชิดกับแฟนๆมากขนาดนี้ ไม่เคยรู้เลยว่าคนพวกนั้นชอบเขา เชียร์เขาเพราะอะไร...แต่เหมือนตอนนี้จะเริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย

“ ถึงแล้วครับ เดี๋ยวผมเข็นรถไปไว้ที่ระเบียงปีกขวา คุณอยู่ตรงนั้นจะได้ไม่ร้อน หรือว่าคุณจะเข้าไปข้างในโบสถ์กับผมไหมครับ?”   เขาส่ายหน้าปฏิเสธ เขาไม่ได้อยากเข้าไป แค่จะมาดูลานข้างหน้าเท่านั้นแหละ

“ ถ้างั้น ไว้เจอกันใหม่นะครับ คุณต้องกลับมาขับรถได้อีก ผมเชื่อ!”   ใบหน้ายิ้มแย้มพยักหน้าให้ก่อนจะเดินไปจากไป ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วแต่กำลังใจที่ได้รับกลับทำให้เขานิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก มันทั้งปลาบปลื้มทั้งดีใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

และกว่าสติที่หลุดลอยไปจะกลับคืนมาก็คงจะผ่านไปหลายนาที...นัยน์ตาสีมรกตพยายามมองหาเจ้าคนอารมณ์ดีนั่น ทั้งๆที่คิดว่าหมอนั่นคงจะโบกไม้โบกมือให้เขาจากในแถวยาวๆที่ผู้คนต่อเพื่อเข้าโบสถ์ ทว่า เขากลับไม่เห็นหมอนั่นแม้แต่เงา

......หื๋ม?

ไม่น่าจะเข้าไปได้ไวขนาดนั้น? หรือว่าเขาจะใจลอยอยู่นาน?

นัยน์ตาสีมรกตพยายามกวาดมองหาอีกครั้ง...ทว่า...เงาร่างคุ้นเคยที่โผล่เข้ามาในสายตากลับไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น


แต่มันเป็นของยามาโมโตะ ทาเคชิ...


มือบางยกขึ้นมาขยี้ตา...นี่เขาสับสนระหว่างสองคนนี้หรือไง ถึงได้เห็นสลับกันมั่วไปหมดแบบนี้?

ไม่สิ...ไม่ใช่...เขาไม่ได้สับสนจนเห็นภาพซ้อนทับ แต่ร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ไกลๆนั่นคือเจ้าบ้ายามาโมโตะจริงๆ!

มาตามเขาเหรอ? แต่ดูจากใบหน้ามืดมนที่เหมือนกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างกับดาบคาตานะที่สะพายอยู่บนไหล่หนา....หมอนั่นไม่ได้มาหาเขา...แต่มา “ทำงาน” ต่างหาก

ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีดำหันไปส่งสัญญาณกับลูกน้องซึ่งเขาก็คุ้นเคยกับพวกนั้นดี...แบบนี้มาทำงานจริงๆด้วยสินะ...แน่นอนว่างานของพวกหน่วยพิรุณไม่ใช่แค่มาเก็บเงินค่าคุ้มครองหรือคุมบ่อน...แต่กลุ่มคนที่เขาอยู่ด้วยทุกวันนั้นเป็นเพชฌฆาต


ทำไม...รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้


ดูเหมือนยามาโมโตะจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่  ล้อสแตนเลสจึงแอบหมุนตามไปโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

“ มันหนีเข้าไปในตรอก ตามไป!”    ไม่ใช่เสียงของยามาโมโตะแต่เป็นเสียงมือขวาของหมอนั่น เพราะยามาโมโตะจะสนุกสนานกับการล่าโดยไม่พูดอะไรออกมา หมอนั่นจะตามเหยื่อไปทั้งๆรอยยิ้มเย็นเฉียบราวกับไอจากนรก

ร่างบอบบางหมุนล้อรถเข็นตามหลังหน่วยพิรุณไปห่างๆ เงาของกลุ่มอาคารเก่าแก่ทำให้ในตรอกข้างหน้านั้นมืดสนิท ใบหน้าสวยลังเลอยู่ชั่วครู่ว่าจะตามเข้าไปดีไหม แต่สังหรณ์ใจก็ทำให้สองมือตัดใจหมุนล้อต่อไป


ปัง!


เสียงปืนที่ดังขึ้นมาทำให้ร่างบอบบางสะดุ้งโหยง ยามาโมโตะเจอเป้าหมายแล้วแน่ๆและที่เสียงปืนดังไม่ติดต่อกันแบบนี้นั่นแสดงว่าคนที่ลงมือคือเพชฌฆาตมือหนึ่งของวองโกเล่เอง

เพราะยามาโมโตะ ทาเคชิ ใช้ดาบในการฆ่าคน...

“ คุณโกคุเดระ? เข้าไปไม่ได้นะครับ!”   ล้อสแตนเลสชะงักไปเมื่อเขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในวงล้อมของลูกน้องเจ้าบ้ายามาโมโตะ ดูจากที่มีคนยืนคุมอยู่หน้าตรอกแบบนี้แสดงว่ายามาโมโตะคงอยู่ข้างใน...กับเป้าหมายที่จะฆ่า

นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองพื้นถนน...แถวนี้เป็นยางมะตอย...ดีละ

ร่างบอบบางทำเหมือนจะทำตามที่พวกลูกน้องบอก แต่พอเจ้าพวกนั้นหันไปสนใจเงาดำมืดในตรอก มือบางก็เข็นรถพรวดพราดเข้าไปทันที!

“ คุณโกคุเดระ!


เขารู้...ว่างานอันตรายที่ยามาโมโตะทำอยู่ก็คือการฆ่าคน...หมอนั่นมีกลิ่นเลือดติดตัวกลับมาแทบทุกวันแล้วเขาก็เคยเห็นหมอนั่นฆ่าคนมากับตาแล้วด้วย

เขายอมรับได้...

เขาไม่เคยห้าม ไม่เคยบอกให้หยุด

และเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปขวาง...ถ้าคนที่ยามาโมโตะกำลังเล่นงานอยู่จะไม่ใช่ผู้ชายที่ช่วยเขาในร้านเนคไทนั่น!


ล้อสแตนเลสชะงักค้างอยู่กับที่เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีมรกตที่เบิกกว้างกับภาพที่เห็น

การต่อสู้มันสิ้นสุดลงแล้วและตอนนี้ปลายดาบของยามาโมโตะก็กำลังจ่ออยู่ที่คอของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า.....ซึ่งคนคนนั้นก็คือชายที่ช่วยเขามาทั้งวันไม่ผิดแน่

“ โกคุเดระ?”    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาจากใบหน้ามืดมน...นัยน์ตาสีเปลือกไม้เย็นเฉียบมองสลับไปมาระหว่างหน้าเขากับชายคนนั้นแทนคำถามว่ารู้จักกันเหรอ

แต่ถึงเขาจะตอบกลับไปด้วยสายตาว่ารู้จักกัน...ปลายดาบก็ยังไม่ลดลงไปจากคอของผู้ชายคนนั้น


เขารู้...ว่านี่คือตัวตนของยามาโมโตะ


เขารู้ว่าคนที่เขารักไม่ได้อ่อนโยนกับใครๆ เขารู้ว่าคนที่เขาอยู่ด้วยนั้นโหดเหี้ยมขนาดไหน เขารู้ว่าสองมือที่เช็ดน้ำตาให้เขานั้นมันไร้ความปรานี  เขารู้ เขารู้ดีว่ายามาโมโตะ ทาเคชิเป็นคนยังไงและมันก็ไม่มีประโยชน์เลยที่เขาจะขอร้องว่าอย่าฆ่าผู้ชายคนนั้น

แต่กำลังใจที่เขาเคยได้รับก็ทำให้เขาเมินเฉยอย่างที่เคยทำกับคนอื่นไม่ได้...

ในเมื่อผู้ชายคนนั้นกำลังมองเขาเพื่อร้องขอต่อชีวิต

เขาจึงมองไปที่ยามาโมโตะอย่างอ้อนวอนเช่นกัน...








ฉั๊วะ!!!


ทว่า....ดาบเล่มนั้นก็ไม่สนใจคำขอร้องของเขาเลย....


ยามาโมโตะฆ่าผู้ชายคนนั้นไปต่อหน้าต่อตา...

ใบหน้าที่เคยยิ้มให้เขาหลุดกระเด็นพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นมาโดนหน้า

ร่างทั้งร่างชาวาบกับภาพที่เห็น





และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าเขาคิดผิดมาตลอด....

เขาอาจจะควบคุมการโอเวอร์สเตียร์ได้...



แต่เขาไม่เคยควบคุมผู้ชายที่ชื่อ ยามาโมโตะ ทาเคชิได้เลย.....








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.





อะโหไม่ทันแล้ว เดี๋ยวค่อยมาเวิ่นคราวหน้าค่ะ ต้องรีบนอนแล้วถถถถ บ่ายสองจะไปดูคุณโคที่โรงหนัง กรี๊ดๆๆๆ >/////<


แปะเพลงแรงบันดาลใจ เวลาแต่งยามะดาร์กทีไรชอบฟังเพลงนี้ โฮวววววว ชอบบบบ






3 ความคิดเห็น:

  1. ♥O♥หนุกมากเลยดูหนังให้สนุกนะคะ

    ตอบลบ
  2. ♥O♥หนุกมากเลยดูหนังให้สนุกนะคะ

    ตอบลบ
  3. กรี้ดดดดด!!!!!
    ในที่สุดก็มาแล้นนนน~~~
    ก่อนอื่นต้องบอกว่าจองไกด์รวมเล่มด้วยอีกหนึ่งคนนะคะพี่กวาง!
    รอคอยอย่างใจจดใจจ่อข้ามปีมาแล้วนะเนี้ย!
    รอๆๆๆรอตอนตอนไปค่ะ...เห็นในเฟสว่ากำลังปั่นฟิคคุณโคกิโนะสินะๆนั่นก็รอเหมือนกัล!!

    จะบอกว่าจะสั่งหนังสือด้วยล่ะเดี๋ยวไปเมล์หาแป๊ป!!

    ตอบลบ