Aldnoah.Zero Au.Fic [Cruhteo x Slaine] - Last Word - : 02


Aldnoah.Zero Au.Fic [Cruhteo x Slaine] - Last Word: 02

: Aldnoah.Zero Fanfiction Au
: Cruhteo x Slaine
: Romance Period
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           
       
  



ที่ห้องนั่งเล่นของปราสาทวอร์วิคกำลังวุ่นวายไปด้วยฝีเท้าคนหลายต่อหลายคนที่ผลัดกันเดินเข้าออก ผ้าพับใหญ่ถูกหอบเอาไว้ในอ้อมแขน ส่วนเจ้าของปราสาทเองก็ได้แต่ยืนมองภาพเหล่านั้นด้วยความสงสัย


ใครมาเล่นอะไรแต่เช้า?


ฝ่าเท้าในรองเท้าบูทสำหรับขุนนางก้าวเข้าไป แล้วทุกความสงสัยก็ถูกไขกระจ่างโดยร่างระหงขององค์หญิงที่นั่งดูแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างอย่างขะมักเขม้น  ช่างตัดผ้าที่นั่งอยู่ด้วยกันลุกขึ้นโค้งคำนับให้เขาก่อนจะนั่งลงไปจดคำสั่งขององค์หญิงต่อ

“เคาท์ครูเทโอมาพอดีเลย ดูนี่สิ! ท่านคิดว่ายังไงบ้าง?”   มือบางชูแบบชุดขึ้นมาให้ดู...หากมันเป็นชุดของสุภาพสตรีเขาคงจะตอบอะไรไม่ได้ แต่ชุดที่อยู่ในกระดาษนั้นมันเป็นชุดของเด็กผู้ชายชัดๆเขาจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

“ องค์หญิงจะเอาชุดพวกนี้ไปทำอะไรหรือขอรับ?”   คงไม่ใช่ว่าจะใส่เองหรอกนะ? ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงจะโดนพระมหากษัตริย์ตัดหัวแน่ๆ

“ ตัดให้สเลนไง ตอนนี้มีแต่เสื้อเชิ้ตแค่สองสามตัวเอง กว่าจะตัดเสร็จสเลนก็หายพอดี...ท่านมาช่วยเราดูหน่อยสิ เพราะชุดของเด็กผู้ชายเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”   คำตอบขององค์หญิงทำให้เบาใจไปได้เรื่องหนึ่ง แต่กลับมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำเอาขุ่นมัวหัวใจขึ้นมาแทน

“ พวกเจ้าออกไปก่อน เรามีเรื่องต้องทูลถามองค์หญิงตามลำพัง”   เจ้าของปราสาทเอ่ยไล่บรรดาช่างตัดผ้าออกไป ก่อนจะเหลือแค่องค์หญิงที่มองกลับมาด้วยใบหน้างงๆ

“ ท่านมีอะไรรึเคาท์ครูเทโอ?”  

“ องค์หญิง...คิดจะเลี้ยงเด็กนั่นเอาไว้ที่นี่หรือยังไง? กระหม่อมกลับเห็นสมควรว่าหากเขาหายดีแล้วก็ควรให้เขากลับบ้านของเขาไปนะขอรับ”  

“ ปล่อยให้สเลนกลับบ้านไปไม่ได้หรอก...ท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาโดนทำร้ายมาขนาดไหน ถ้าปล่อยให้กลับไปเขาอาจจะโดนทำร้ายอีกก็ได้”   ใบหน้าสวยเถียงกลับมาด้วยเหตุผลที่เขาก็พอจะเข้าใจ เขาก็ไม่ใช้คนใจร้ายถึงขนาดจะปล่อยลูกหมาให้มันกลับไปโดนฆ่าได้ เพียงแต่...หน้าที่ปกป้องคุ้มครององค์หญิงต้องมาก่อน แล้วเขาจะปล่อยให้สามัญชนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆองค์หญิงได้ยังไง

“ องค์หญิง...”   เขาตั้งใจจะใช้เหตุผลเข้าสู้แต่ทว่าเด็กสาวตรงหน้ากลับไม่ยอมท่าเดียว

“ ให้สเลนอยู่ที่นี่เถอะท่านเคาท์...ถือว่าเราขอร้อง...อีกอย่างนะ...เราก็ต้องการเรียนรู้เรื่องของประชาชนคนทั่วไปจากสเลน อยากจะรู้ว่าราษฎรของเรามีชีวิตความเป็นอยู่ยังไง เค้ากินอะไรกันบ้าง ทำอะไรกันบ้างในแต่ละวัน...เราอยากรู้และเราก็ต้องการให้สเลนอยู่เล่าให้เราฟัง”  เขาได้แต่ทำหน้ายุ่งยากออกไป เพราะหากรับปากองค์หญิงแล้วก็เท่ากับว่าเขาจะต้องรับผิดชอบดูแลชีวิตของเด็กนั่นตลอดไป....หากเป็นขุนนางคนอื่นคงรับคำโดยไม่คิดอะไรเพราะยังไงเสียองค์หญิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอด...เดี๋ยวพอหมดฤดูร้อนแล้วก็จะเสด็จกลับเมืองหลวง...ช่วงนั้นค่อยไล่เด็กนั่นไปก็ยังได้...แต่ไอ้เรื่องกลับคำสัตย์ปฏิญาณพวกนี้มันไม่เคยมีอยู่ในหัวเขา หากรับปากว่าจะดูแลแล้วละก็เขาก็จะไม่ทิ้งไปเด็ดขาด

เพราะแบบนั้นจึงต้องคิดทบทวนให้ดี...

“ นะ...ท่านเคาท์ครูเทโอ.....”   ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองมาที่เขาด้วยแววออดอ้อน...แล้วเขาก็พ่ายแพ้ต่อมันมาตั้งแต่ที่ดวงตาคู่นั้นเพิ่งจะลืมตาดูโลก...ครั้งนี้เองก็เช่นกัน

“ เฮ้อ.....”   เขาถอนหายใจอย่างยอมแพ้และนั่นก็ทำให้ร่างระหงยิ้มแก้มแทบปริ

“ แต่กระหม่อมคงต้องขอร้องท่านนะองค์หญิง...ว่าอย่าได้ไปเก็บตัวอะไรมาอีก...ให้กระหม่อมดูแลแค่เจ้าเด็กนั่นคนเดียวก็พอแล้ว”  ใบหน้าสวยพยักรับอย่างหนักแน่นก่อนที่ร่างระหงจะออกไปเรียกช่างตัดผ้าเข้ามาใหม่

ร่างสูงใหญ่ละออกไปยืนมองห่างๆจากหลังบานหน้าต่างและเมื่อเวลาผ่านไป...เขาก็เริ่มคิดได้ว่าดีแล้วละที่เขายังยืนอยู่ที่นี่...

“ เจ้าว่าสีชมพูแบบนี้ดีไหม? เอาระบายใส่ไปตรงนี้ด้วย?”   เหงื่อหลายเม็ดเริ่มจะผุดขึ้นมาที่ข้างขมับ นัยน์ตาสีฟ้าแลมองแบบเสื้อผ้าของเจ้าเด็กนั่นอย่างนึกหวั่นใจ....เพราะองค์หญิงเป็นผู้หญิง...แต่ละอย่างที่เลือกให้สเลนจึงหวานแหววดูแล้วไปคนละทางกับชุดเด็กผู้ชายทั่วไปแบบไม่เห็นฝุ่น

ถึงมันอาจจะเข้ากับเด็กนั่นก็เถอะนะ แต่ว่าถ้าเขาต้องเดินไปไหนมาไหนด้วยกันกับเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดระบายลูกไม้สีชมพูเนี่ย...มันก็น่าอายไม่ใช่หรือไง?

“ องค์หญิง...กระหม่อมว่ากระหม่อมเลือกให้ดีกว่านะขอรับ”   ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปนั่งในวงสนทนา ใบหน้าสวยยิ้มร่าราวกับกำลังบอกว่าช่วยได้มากเลยทีเดียว

“ ถ้าเช่นนั้นท่านเลือกไปก่อนนะ เดี๋ยวเราขอไปดูสเลนก่อน”   องค์หญิงลุกขึ้นแล้วก้าวขาเดินออกไป...ตั้งแต่เจ้าเด็กนั่นเข้ามาอยู่ในปราสาทองค์หญิงก็ดูจะสนุกสนานกับการจัดการเรื่องต่างๆให้ ไม่ได้ดูหงอยเหงาเหมือนแต่ก่อน...บางที....ถ้าปล่อยให้เลี้ยงเจ้าหมาที่พูดได้นั่นไปก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่หรอกมั้ง

เพราะเช่นนั้นอีกหน้าที่ของเขาก็คือการฝึกหมาจรจัดนั่นให้เชื่องและจงรักภักดีต่อเจ้านายให้ได้










จนแล้วจนรอด....เสื้อผ้าที่กองอยู่ตรงหน้าทั้งหมดนี้ก็เป็นฝีมือการเลือกของเขาเอง....

ช่างตัดผ้าหลายคนช่วยกันตัดมันจนเสร็จได้ภายในเวลาแค่สองอาทิตย์แล้วนำชุดนับสิบนี้กลับมาส่งให้ที่ปราสาทวอร์วิค...ซึ่งช่วงเวลาระหว่างนี้...ร่างกายของเด็กนั่นก็เกือบจะหายสนิทพอดี

“ ดูสิสเลน...เสื้อผ้าพวกนี้ท่านเคาท์เป็นคนเลือกให้เจ้าเลยนะ”   มือบางขององค์หญิงหยิบชุดที่ส่วนใหญ่จะเป็นขาสั้นเพื่อให้ดูสมวัยมาทาบทับกับไหล่เล็กๆ  แว่บหนึ่งซึ่งดวงตาสีมรกตเหลือบขึ้นมาสบตาเขาก่อนที่มันจะผลุบลงไปพร้อมกับแก้มใสที่แดงระเรื่อ

“ ขอบคุณครับ....”   เขาคงเข้มงวดมากไปเด็กนั่นถึงไม่เคยกล้าสบตาเขาตรงๆ...แต่ก็ดีแล้วละ...การจะฝึกสัตว์หรือแม้แต่คนมันต้องเริ่มด้วยความเกรงกลัว

“ สเลน ลองชุดให้เราดูเลยสิ”   องค์หญิงยื่นชุดไปให้ด้วยใบหน้าตื่นเต้น ใบหน้ามนพยักรับน้อยๆก่อนจะถือชุดเดินเข้าไปหลังฉากสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า


ทว่า...

ร่างโปร่งบางนั่นก็หายเข้าไปพักใหญ่ จนคนที่รออดคิดไม่ได้ว่าเป็นลมไปแล้วหรือไง? กับแค่เปลี่ยนชุดทำไมถึงได้นานขนาดนั้น?


องค์หญิงเริ่มนั่งแกว่งขาด้วยสีหน้าเบื่อๆ 

ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงเริ่มขมวดคิ้ว...นี่คิดจะให้องค์หญิงรออีกนานแค่ไหนกัน!

ร่างสูงใหญ่เดินดุ่มๆเข้าไปหลังฉากอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง

“ นี่!”   ริมฝีปากตั้งใจจะเอ่ยเร่งแต่มันกลับชะงักค้างไปกับแผ่นหลังบอบบางที่ขาวเนียนเสียยิ่งกว่าผิวของผู้หญิงหลายคนที่เขาเคยเห็น ยามเมื่อไม่มีบาดแผลใดๆมาบดบังแบบนี้ ผิวพรรณของเด็กนั่นกลับสวยเสียจนละสายตาไม่ได้

“ อ่ะ....”   ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงเมื่อหันมาเห็นเขาเข้า ร่างกายที่มีเพียงกางเกงขาสั้นหันมาหาด้วยท่าทางอายๆ

“ คือว่า...เสื้อนี่มัน.....”   ใบหน้ามนเอ่ยออกมาเบาๆทำให้เขาหลุดออกไปจากภวังค์ ก่อนจะก้มลงไปมองเสื้อเชิ้ตตัวในที่คอเสื้อของมันทำหลอกเอาไว้ว่าเป็นระบายที่คอ

อ้อ...คงจะไม่คุ้นเคยกับเสื้อแบบนี้

มือใหญ่ดึงเสื้อนั่นมาแกะกระดุมที่ซ่อนเอาไว้ก่อนจะจับไหล่บางหมุนไปหมุนมาเพื่อสวมเสื้อตัวนั้นให้...ก็แค่จะปล่อยให้องค์หญิงรอต่อไปไม่ได้...

สองมือจับร่างโปร่งให้หันหน้าเข้ามาหาก่อนจะโอบรอบลำคอระหงเพื่อคล้องโบว์ที่คอให้...พอได้อยู่ใกล้ๆแบบนี้...นอกจากผิวเนียนมือที่เผลอไปแตะต้องเข้าเมื่อกี้ ร่างกายของเด็กนี่ยังมีกลิ่นหอมโชยออกมาอีก

มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอม...แต่เป็นกลิ่นของสบู่และกลิ่นกายตามธรรมชาติ...หอม...เหมือนกับกลิ่นของดอกไม้...


ทั้งกลิ่น...ทั้งร่างกาย...ถึงจะเป็นเด็กผู้ชายแต่กลับกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของผู้ชายด้วยกัน...

เด็กนี่มัน...


เสื้อกักตัวนอกสวมทับลงไปเป็นอันว่าการแต่งกายก็เสร็จสิ้นเสียที ใบหน้าหยิ่งทระนงกดสายตาลงไปมองร่างที่เล็กกว่ามากด้วยสายตานิ่งๆ ทำให้ใบหน้ามนทำอะไรไม่ถูก

“ ออกไปให้องค์หญิงดูสิ”   เขาสั่งด้วยเสียงกดดันทำให้เด็กนั่นเดินออกไปด้วยท่าทางลนๆ...ที่จริงก็อยากจะชมอยู่หรอกนะว่าเหมาะกับชุดที่เขาเลือกมากอย่างไม่น่าเชื่อ

“ ว้าว...เหมาะมากเลยสเลน!”   แต่คงจะมีคนชมให้เรียบร้อยแล้ว 

ร่างสูงใหญ่เดินตามออกไปก่อนจะทันเห็นใบหน้ามนที่อมยิ้มอย่างเขินๆ....ไม่รู้ทำไม...เขาถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจรอยยิ้มนั่นเลย


ไม่ชอบ...ที่จะให้เด็กนั่นยิ้มกับใคร


คงจะเป็นเพราะเขาไม่อยากให้เด็กนั่นได้ใจคิดว่าตนเป็นชนชั้นเดียวกับองค์หญิงกระมัง?

“ เจ้าแต่งชุดนี้ลงไปดื่มชากับเราที่สวนนะสเลน เดี๋ยวเราลงไปบอกให้คนเตรียมให้ก่อน เจ้าตามไปนะ”   ใบหน้าสดใสเงยขึ้นมาบอกก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากห้องไป

และในขณะที่เด็กนั่นกำลังจะก้าวขาเดินตาม


ตุ้บ!!


ไม้เท้าก็ซัดเข้าไปที่ท้องจนร่างโปร่งทรุดลงไปกองกับพื้น ความจุกที่แล่นลิ่วไปทั่วร่างทำเอาใบหน้ามนชะงักค้างก่อนจะไอออกมา

“ แค่กๆๆ”  ใบหน้าหยิ่งทระนงเหยียดตามองคนที่ก้มหัวอยู่แทบเท้า

“ อย่าได้ใจไปนะเจ้าคนชั้นต่ำ...ที่องค์หญิงฝากให้เจ้าอยู่ที่นี่กับเราไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะอยู่ในชนชั้นเดียวกับพวกเรา...หากวันใดเจ้าคิดไม่ดีต่อองค์หญิงละก็...เราจะฆ่าเจ้าด้วยมือของเราเอง”   สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงจะไม่ดุเดือดเท่าเมื่อก่อนแต่มันก็ไม่ได้ลดความเย็นชาลงเลย

ร่างโปร่งค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอย่างเจียมตัว ไหล่บางลู่ลงจนดูน่าสงสาร ใบหน้ามนสลดจนไม่เหลือรอยยิ้มใดๆอีก


ไม่ต้องเตือนเขาก็รู้ดี...ว่าตัวเองอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร...

และไม่ต้องกลัวหรอกว่าเขาจะหลงรักองค์หญิง...เพราะสิ่งที่มีให้คือความจงรักภักดีที่สั่งให้ไปตายก็ยังทำได้เพียงเท่านั้น...


มือบางกุมท้องที่ยังเจ็บอยู่นิดๆก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ  แผ่นหลังของคนตรงหน้านั้นช่างกว้างใหญ่เสียจนคิดว่าชีวิตนี้คงไม่อาจจะข้ามมันไปได้

ทำยังไงคนอย่างเขาก็คงไม่อาจจะชนะใจชายผู้นี้ได้เลย...

ก็แค่เกิดมาเป็นสามัญชน...แล้วเขาไม่ใช่คนเหมือนกันหรือยังไง...

ถึงจะเถียงไปก็คงจะเปล่าประโยชน์...อย่างท่านเคาท์ครูเทโอคงไม่คิดจะฟังอะไรจากเขาอยู่แล้ว ริมฝีปากสีระเรื่อจึงเลือกที่จะปิดลง


“ แต่ว่า...ถ้าเจ้าคอยช่วยดูแลองค์หญิงและสัญญาว่าจะปกป้องพระองค์จากภยันอันตรายทั้งปวง...เราก็จะให้สัญญากับเจ้า...ว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”   คำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่ยืนหันหลังให้ทำให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง ริมฝีปากที่เลือกจะไม่เถียงค่อยๆยิ้มออกมาอย่างดีใจ

ที่จริงจะให้เขาอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเป็นปราสาทหรูหราแบบนี้ก็ได้...ขอแค่มันปลอดภัยและปกป้องเขาจากคนพวกนั้นได้ก็พอ...

“ ขอบคุณครับ...ผมสัญญา...”   เสียงอ่อนโยนเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะในลำคอเพราะอคติเลยคิดไปว่า...

เจ้าก็แค่อยากอยู่ในปราสาทอันโอ่อ่าหลังนี้แบบชนชั้นสูงก็เท่านั้นเองสินะ...สเลน...










ผลิตผลกว่าครึ่งหนึ่งที่ได้มาจากที่ดินของปราสาทวอร์วิคคือองุ่นและแน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้ขายแบบสดๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่กิจการของตระกูลครูเทโอยังมีโรงหมักไวน์อยู่ด้วย

และสิ่งที่กำลังทำให้ร่างสูงใหญ่นั่งเครียดอยู่หลังโต๊ะทำงานก็เกี่ยวกับโรงหมักไวน์ที่ว่านั่นเอง

แผนงานและราคาที่จะใช้ประกวดสำหรับขอสัมปทานการเป็นผู้ค้าและส่งออกไวน์ในเขตภาคกลางของอังกฤษแต่เพียงผู้เดียวถูกร่างลงไปคร่าวๆในกระดาษ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคิดอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้เอาไปสู้กับผู้ค้ารายอื่นที่จะเข้าประมูลด้วย เพราะแบบนั้นมันจึงทำให้หลายคืนที่ผ่านมาร่างสูงใหญ่ได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ ขอบตาก็เริ่มจะดำคล้ำ


ก๊อกๆๆ


เสียงเคาะประตูทำให้ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองเงยหน้าขึ้นไปมอง หัวหน้าพ่อบ้านเดินเข้ามาพร้อมกับซองเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าคงเป็นเอกสารเกี่ยวกับราคาไวน์ แต่พอเปิดออกดูแล้วมันกลับไม่ใช่

เพราะมันเป็นประวัติของ สเลน โทรยาร์ด ที่เขาให้ไปสืบมา....

มือดึงปึกกระดาษออกมาช้าๆ ก่อนจะไล่สายตาไปตามตัวหนังสือที่เรียงรายอยู่บนนั้นซึ่งมันต่างจากที่เขาคาดไว้ค่อนข้างมาก

เด็กนั่นไม่ได้เป็นหัวขโมยหรือทำเรื่องอะไรไม่ดีเอาไว้ถึงได้ถูกตามล่า...แต่ว่า...

สเลนเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านโทรยาร์ดซึ่งอยู่กันตามลำพังสองพ่อลูก คนพ่อนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับการสนับสนุนมากนักในสมัยนี้ต่างจากพวกศิลปินหรือกวี เพราะงั้นจึงต้องใช้ชีวิตกัดก้อนเกลือกิน แต่สองพ่อลูกก็ยังอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งวันหนึ่งคนพ่อไปกู้ยืมเงินมาเพื่อทำการทดลอง แต่สิ่งที่ทดลองออกมานั้นก็ขายไม่ได้ เจ้าหนี้นั่นก็เลยตามมาทวงเงิน ทั้งยึดของในบ้าน ขู่กรรโชกทำลายข้าวของ จนในที่สุดคนพ่อก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือสเลนอยู่ตามลำพัง

ด้วยรูปร่างหน้าตาแบบนั้นจึงถูกเจ้าหนี้ตามล่าเพื่อจะเอาตัวไปขายใช้หนี้...เด็กคนนั้นถึงได้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาแบบนี้...

เอกสารถูกวางลงไปบนโต๊ะก่อนที่สองมือใหญ่จะย้ายมาสอดประสานกันไว้ที่หน้าท้อง ใบหน้าที่ดูจะผ่อนคลายเงยขึ้นพิงกับพนักเอาไว้ทั้งๆที่ไม่ใช่วิสัยของเขา...คงจะเป็นเพราะความเบาใจที่อย่างน้อยหน้าตาซื่อๆนั่นมันก็ไม่ได้ลวงโลกอย่างที่เขาอคติไป

อย่างน้อยก็ไว้ใจให้เดินไปไหนมาไหนในปราสาทของเขาได้...แต่ยังไงเรื่องศักดิ์ที่เป็นแค่สามัญชนนั้นก็ยังอยู่


ต้องเจอกับความหวาดกลัวแบบไหนมาบ้างนะเด็กคนนั้น....


ร่างสูงใหญ่ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งทำงานมาตั้งแต่เช้า...ออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยดีกว่า




แล้วเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ในห้องโถงจัดเลี้ยงชั้นล่างก็ทำให้เขาคิดว่า...คิดถูกแล้วล่ะที่เดินออกมา




“ แจกันอันนั้นต้องใช้ผ้าผืนนี้เช็ดค่ะ เพราะผ้าที่ทอด้วยขนสัตว์คนละชนิดกันก็ใช้ได้กับแจกันเฉพาะใบเท่านั้นค่ะ”   เสียงเจื้อยแจ้วของบรรดาสาวใช้ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าไหร่เพราะมันก็เป็นปกติที่พวกหล่อนจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเวลาทำงานบ้านซึ่งเขาก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดห้ามพูดคุยกัน

“ อันนี้กับอันนี้หรอครับ?”   แต่สิ่งที่ทำให้รอยตึงเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขานั่นก็คือร่างโปร่งบางที่กำลังหยิบผ้ามาเช็ดแจกันอยู่นั่น

“ ใช่ค่ะๆ แหม...คุณสเลนจำเก่งจัง...พวกเรานะกว่าจะจำได้ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ โดนนายหญิงส่ายหน้าใส่ตั้งไม่รู้กี่รอบ ฮะฮะ”

“ นายหญิง?”  ใบหน้ามนถามออกไปงงๆคงเพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยเห็นคนที่ว่านั่น...แล้วไม่รู้ทำไม...เขาถึงไม่อยากให้สเลนรู้เรื่องนี้ทั้งๆที่ยังไงก็ต้องรู้เข้าจนได้...ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแต่เด็กนั่นยังเป็นแค่คนนอก...ยังไม่สมควรที่จะรู้เรื่องภายในของปราสาทหลังนี้

“ ภรรยาของท่านเคาท์ไงคะ...ท่านหญิงแห่งครูเทโอ...ตอนที่ท่านเคาท์พาคุณสเลนเข้าปราสาทมายังตกอกตกใจกันอยู่เลยค่ะ” 

“ ตกใจ?”   ใบหน้ามนดูเหมือนจะผงะไปเมื่อได้ยินว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว เรื่องนั้นจะรู้ก็ไม่เป็นไร แต่ที่ไม่อยากให้รู้น่ะมันคือเรื่องที่สาวใช้อาจจะบอกต่อไปหลังจากนี้....เขาไม่อยากให้เด็กนั่นได้ใจว่าทำไมเขาถึงเก็บมันมาเลี้ยง

“ สเลน!  เสียงทุ้มเอ่ยเรียก แล้วน้ำเสียงหน้าดุดันของเขาก็คงทำให้เจ้าตัวตกใจอยู่ไม่ใช่น้อยดูจากไหล่ที่สะดุ้งเฮือกอย่างเห็นได้ชัด

“ อ่ะ...ครับ?”  ร่างสูงใหญ่ก้าวขาไวๆเข้าไปในห้องก่อนจะคว้าข้อมือบางขึ้นมาจนร่างทั้งร่างแทบจะเซถลามาหาเขา ใบหน้ามนเงยขึ้นมองด้วยแววหวาดๆอย่างไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด

“ ตอบเรามา...ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร?!   ใบหน้าหยิ่งทระนงก้มลงไปคาดคั้นกดดันคนที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก

“....................”   ใบหน้ามนได้แต่เงยขึ้นไปสบประสานสายตาด้วยนัยน์ตาสีมรกตที่สั่นระริกแต่ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นหาได้ลดแววกดดันลงไม่...ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นอย่างไม่อาจจะเอ่ยออกไป....ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าตัวเองอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร จะต้องคาดคั้นให้เขาเอ่ยมันออกไปจากปากของตัวเองด้วยหรือไงว่าฐานะของเขานั้นมันต่ำต้อยกว่าสาวใช้ที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆนั่นเสียอีก

“ ตอบ!   ไหล่บางสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกตะคอกใส่ ใบหน้ามนราวกับจะร้องไห้ก้มลงไปอย่างจำนน...แล้วถ้อยคำที่กล้ำกลืนฝืนทนก็ค่อยๆหลุดจากปากช้าๆ

“...................เป็น......สัตว์เลี้ยงครับ...”

“ ก็รู้นี่”  ใบหน้าหยิ่งทระนงยิ้มเย็นๆให้ก่อนจะมองลงมาด้วยสายตาเหยียดๆอย่างผู้ที่เหนือกว่า มือใหญ่ยังคงบีบข้อมือเล็กแน่นจนรอยแดงขึ้นเป็นแถบ

“ จำเอาไว้ว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า ห้ามไปทำงานบ้านอีก...เจ้าคิดว่าคนที่อยู่ข้างๆองค์หญิงจะให้มือเปื้อนกลิ่นผ้าเช็ดพื้นได้หรือยังไง?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองยื่นลงมาแทบชิดใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาที่ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้นไป

“ แต่ว่า...ผมก็แค่อยากช่วย...จะให้ผมอยู่ในปราสาท กินข้าวของท่านเคาท์โดยไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง...”   ใบหน้ามนตอบออกมาด้วยนัยน์ตาจริงใจแต่คนที่ได้ฟังกลับยิ้มที่มุมปาก

“ อยากช่วย?”

“.......ครับ...”   ริมฝีปากถึงจะสั่นน้อยๆแต่ก็เม้มแน่นอย่างไม่ยอมแพ้ นัยน์ตาสีมรกตก็ยังคงมองตรงมาด้วยแววแน่วแน่ถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับการดูแคลนแค่ไหนก็ตาม

“ หึ...เป็นสัตว์เลี้ยงแค่ทำตัวน่ารักๆนั่งอยู่เฉยๆเชื่อฟังเจ้านายก็พอ...สเลน”   ร่างสูงใหญ่กระตุกข้อมือที่จับเอาไว้ก่อนจะลากให้เดินตามไปอย่างนึกอะไรดีๆออก

“ เอ๊ะ?”   ใบหน้ามนมีแววมึนงง สองขาได้แต่รีบก้าวเดินตามคนที่สูงใหญ่กว่าตัวเองมากไปเพราะคนตรงหน้าไม่ได้สนใจเลยว่าเขาจะก้าวทันไหม


ตุ้บ!!


แล้วสองขาที่ก้าวตามแทบไม่ทันก็ได้หยุดเสียทีเมื่อร่างโปร่งถูกพามาโยนเอาไว้บนโซฟาบุกำมะหยี่อย่างดีในห้องทำงานของท่านเคาท์แห่งวอร์วิคเชียร์

ร่างสูงใหญ่ที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาพร้อมฝ่ามือที่ดึงผ้าผูกคอออกมีแต่จะทำให้ร่างโปร่งบางหวาดผวาจนต้องยันตัวเองขึ้นแล้วถอยหนี แต่พื้นที่บนโซฟาก็ไม่ได้มีมากเท่าไหร่ ยิ่งข้อเท้าถูกดึงกลับไปได้เขาก็ตกอยู่ใต้ร่างของท่านเคาท์อย่างง่ายดาย

น้ำหนักที่กดทับลงมาทำให้ขยับตัวหนีไม่ได้อีก ใบหน้ามนก้มลงไปมองคนที่ทาบทับอยู่บนร่างกายของตัวเองด้วยใบหน้ามึนงง....เมื่อจู่ๆร่างสูงใหญ่ก็นิ่งไป....

“ อีกหนึ่งชั่วโมงปลุกเราด้วย...เรื่องแค่นี้ทำได้ใช่ไหม?”   เสียงงึมงำดังมาจากใบหน้าที่ซบอยู่บนแผ่นอกบาง เส้นผมสีทองที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในระยะใกล้ขนาดนี้ทำให้ใบหน้ามนร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“ คะ ครับ!”   ริมฝีปากจึงได้แต่ตอบรับกลับไปด้วยความแข็งขัน....เพราะอย่างน้อยนี่ก็ถือว่าเป็นการช่วยงานเหมือนกัน?

ท่อนแขนแข็งแรงกอดกระชับลำตัวที่เล็กกว่าตนเกือบครึ่งก่อนจะซบหน้าลงไปที่แผ่นอกแบนเรียบของเด็กนั่น...เป็นอย่างที่คิดจริงๆ...ความอบอุ่นของร่างกายและกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้นี่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ....แล้วร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหนักติดต่อกันมาหลายคืนก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง

ทั้งๆที่มันไม่ใช่วิสัยของท่านเคาท์ของตระกูลครูเทโอเลยสักนิดที่จะทำเรื่องแบบนี้....ก็ได้แต่แก้ตัวกับตัวเองไป...ว่าเจ้าเด็กที่กอดอยู่เป็นแค่หมอนข้างที่ทำจากสมุนไพรจำพวกดอกไม้ที่จะทำให้เขาหลับสบายได้ก็เท่านั้นเอง...

ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น...






ตกลงว่า....

เป็นคนใจร้ายหรือว่าใจดีกันแน่นะ?

นัยน์ตาสีมรกตทอดลงไปมองเสี้ยวใบหน้าที่กำลังหลับสนิทอยู่บนตัวเขา มือไม้ที่ไม่รู้จะวางไว้ไหนจึงค่อยๆแอบวางลงไปบนไหล่หนาซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

ทั้งๆที่ดูถูกเหยียดหยามชนชั้นของเขานักแต่กลับเอามากอดเหมือนหมอนข้างแบบนี้...ตกลงว่าความหยิ่งยโสและความเจ้ายศเจ้าอย่างนั่นมันเป็นตัวตนของท่านเคาท์จริงๆหรือเปล่า?

บางที...เขาอาจจะสามารถพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ด้วยดีได้กระมัง

ริมฝีปากสีระเรื่อยิ้มน้อยๆด้วยความหวัง ปลายนิ้วแตะลงไปที่เส้นผมสีทองก่อนจะเกลี่ยมันให้พ้นใบหน้าที่ยังหลับสนิท...พอมาดูใกล้ๆแบบนี้แล้วก็แทบจะลืมไปเลยว่าผู้ชายคนนี้เคยสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจกับเขาเอาไว้ยังไงบ้าง

สายลมเบาๆที่พัดเข้ามาคละเคล้ากับความสบายใจทำให้นัยน์ตาสีมรกตเริ่มหรี่ปรือ.....อ๊ะ! ไม่ได้นะ! จะหลับไม่ได้ต้องคอยปลุกท่านเคาท์....ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นก่อนจะสะบัดน้อยๆเพื่อไล่ความง่วงงุน....แต่เหมือนห้วงแห่งนิทราจะรุนแรงกว่าที่คิด....เปลือกตาบางถึงได้หรี่ปรือลงไปอีกก่อนที่มันจะพยายามกระพริบปริบๆเพื่อไม่ให้มันปิดลง



แต่จนแล้วจนรอด...



เคาท์ครูเทโอก็ได้ตื่นอีกที...ในอีกสองชั่วโมงให้หลัง...



นัยน์ตาสีฟ้ากระพริบเปิดขึ้นมาด้วยร่างกายที่รู้สึกเบาสบายทั้งๆที่ได้นอนไปแค่ไม่นาน แสงแดดที่ทอดลงมาบนพื้นในระยะที่เขาคาดได้ว่าเวลามันคงจะผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วโมงทำให้ใบหน้าเงยขึ้นไปมองคนที่เป็นดั่งหมอนข้างอย่างสงสัย

แล้วเขาก็ได้รู้ว่าทำไมสเลนถึงไม่ปลุกเขา...

ใบหน้ามนหลับพริ้ม ริมฝีปากเผยอออกจากกันน้อยๆ แผ่นอกบางก็ขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ......คงจะหลับไปพร้อมกันเลยสินะเจ้าเด็กนี่...

“ หึ...”   เผลอหัวเราะในลำคอแทนที่จะโกรธ...สงสัยคงเป็นเพราะได้นอนเต็มอิ่ม?

ร่างสูงใหญ่ลุกออกไปจากร่างที่แทบจะจมหายลงไปในโซฟาก่อนจะเอ่ยปากเรียกด้วยเสียงที่ปรับให้ดุดัน

“ สเลน!”   แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ เจ้าคนที่หลับไม่รู้เรื่องนั่นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงียก่อนจะสะดุ้งโหยงลุกขึ้นหันรีหันขวางอย่างตกใจ เส้นผมสีชาชี้โด่ขึ้นมาอย่างไร้ระเบียบดังเช่นคนเพิ่งตื่นนอนทำเอาเขาแทบจะหลุดขำ

“ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆเจ้าเนี่ย....”   แต่ก็เก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ภายใต้หน้ากากที่เคร่งขรึม  ฝ่ามือยกขึ้นจับคอเสื้อที่เปิดกว้างกับผ้าพันคอที่หลุดลุ่ย

“ ขะ ขอโทษจริงๆครับ”   ใบหน้ามนเอ่ยขอโทษอย่างลนลาน แต่ก่อนจะได้พูดอะไรกันไปมากกว่านั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาขัดเสียก่อน

“ เข้ามา”   เขาเอ่ยบอกก่อนที่พ่อบ้านจะเปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของชายชราผงะไปเล็กน้อยกับสภาพไม่เรียบร้อยของเขากับเด็กนั่น

“ เจ้ามาก็ดี จัดผ้าพันคอให้ที...สเลนดูเอาไว้...เพราะต่อไปมันคือหน้าที่ของเจ้า”  นัยน์ตาสีฟ้าปรายไปหาร่างโปร่งที่ยังนั่งหัวยุ่งอยู่บนโซฟา

“ ครับ!”  ใบหน้ามนรับคำอย่างแข็งขันก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะมองมาที่มือเหี่ยวย่นไม่วางตา ในหัวสีชากำลังพยายามจดจำวิธีการผูกผ้าพันคอที่ตนไม่คุ้นเคยนั่น

“ ว่าแต่เจ้ามีอะไรหรือเปล่า?”   ใบหน้าที่เชิดขึ้นเพื่อให้พ่อบ้านจับผ้าพันคอให้เอ่ยถามคนที่เข้ามาใหม่

“ องค์หญิงกำลังตามหาตัวคุณสเลนอยู่ขอรับ”

“ องค์หญิงเรียนเสร็จแล้วงั้นรึ?....ได้ยินแล้วก็ไปสิ”   ประโยคสุดท้ายหันไปบอกคนที่ยังนั่งอยู่บนโซฟา

“ อะ ครับ!”  ร่างโปร่งลุกขึ้นก่อนจะโค้งให้

“ กลับไปล้างหน้าล้างตาจัดเสื้อผ้าและหวีผมให้เรียบร้อยด้วย แล้วก็ห้ามบอกเรื่องนี้กับองค์หญิงเข้าใจไหม?”  เสียงทุ้มเอ่ยย้ำกับใบหน้ามนที่พยักรับก่อนที่ร่างโปร่งจะก้าวขาออกจากห้องไป

ใบหน้าเหี่ยวย่นของหัวหน้าพ่อบ้านหันมองตามจนบานประตูห้องทำงานปิดลง นัยน์ตาสีเทาที่ผ่านโลกมามากจึงทอดมองมายังเขา นอกเหนือจากความเป็นนายบ่าวแล้วชายชราคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งเขารับฟัง

“ หน้าเจ้าเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับเรา”   ร่างสูงใหญ่ละไปยืนอยู่หลังบานหน้าต่างก่อนจะเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าไกล

“ กับเด็กคนนั้น...ปล่อยให้เป็นแบบนี้จะดีหรือขอรับ?...คนทั้งปราสาทต่างพูดกันถึงเหตุผลที่ท่านเคาท์รับเด็กคนนั้นเข้ามา....ว่าใบหน้า.....”

“ ช่างเถอะ...นี่มันเป็นเรื่องของเรา”   เขาพูดตัดบทออกไป...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง


เพราะถึงสเลนจะเป็นผู้ชาย...แต่ใบหน้านั้นช่างคล้ายกับภรรยาของเขาเสียเหลือเกิน...








.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.ไหม๊ถถถถถ



กร๊ากกกก จากคอมเม้นต์ของตอนที่แล้วมีคนบอกมาค่ะว่าท่านเคาท์อายุ 37 ปีแล้ว =w= นับวันความห่างของอายุคู่ที่คุณกวางชื่นชอบนี่มันจะมากขึ้นเรื่อยๆหรือเปล่าเว้~~ ล้มโต๊ะ!! เฮย์โจวกับเอเลนนี่ก็ครึ่งต่อครึ่งแล้วนะ  ท่านเคาท์กับสเลนนี่ยิ่งกว่า =[ ]= สเลนนี่น่าจะ 15-16 ไหมนะ?

คืออันที่จริงข้อมูลของเรื่อง A/Z (ชื่อย่อของ Aldnoah.Zero) นี่คุณกวางไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่ค่ะ555 ตอนดูก็มัวแต่อ้าปากค้าง ลืมเก็บรายละเอียดถถถถ จะกลับไปดูอีกรอบก็ไม่ทันแระ มีแต่ตอน 8 นี่แหละที่เปิดวน อะฮิ๊งๆๆๆ(โดนเหยียบ)

ส่วนฟิคคำสุดท้ายเรื่องนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์เช่นเคยนะคะ ดีใจที่มีคนอ่านจริงๆค่ะ TvTbb

ขอพูดถึงปราสาทวอร์วิคกันนิดนึง....คืออันที่จริงยังตบตีกับตัวเองอยู่ค่ะว่าจะอ่านชื่อมันว่ายังไงดี ภาษาอังกฤษมันคือ  Warwick Castle คือในหนังสือที่คุณกวางมี(ท่องโลกสถาปัตย์มหัศจรรย์ยุคกลาง)เค้าเรียกมันว่า วอร์วิค แต่ตอนเสริจหาข้อมูลในเนตมีแต่คนเรียกมันว่า วอร์ริค ทั้งนั้นเบยก็เลยยังสับสนอยู่ว่าจะเอาไงดี...ตอนนี้ก็เลยขออ้างอิงตามหนังสือไปก่อนนะคะ TvT

ปราสาทวอร์วิคเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคกลางเลยค่ะ อยู่ในเมืองวอร์วิคเชียร์ เขตปกครองในภาคกลางของอังกฤษ เจ้าของก็คือตระกูลท่านเอิร์ลแห่งวอร์วิค(มันเป็นตำแหน่งที่ตกทอดกันป่ะคะ? คุณกวางไม่รู้) อยู่ห่างจากลอนดอนไม่มากเท่าไหร่ค่ะ สมัยนี้รู้สึกจะเดินทางแค่ชั่วโมงเดียว  ตัวปราสาทก็เหมือนปราสาททั่วไปที่จะมีกำแพงสูงล้อมรอบ มีป้อมปราการสำหรับคอยสอดส่องศัตรู ภายในตัวอาคารอันกว้างใหญ่ก็จะมีห้องหับมากมาย มีสวนและสนามหญ้าใหญ่ๆอยู่ในกำแพงด้วยค่ะ...และแน่นอนว่ามันจะเป็นปราสาทที่สมบูรณ์ไม่ได้ถ้ามันไม่มีคุกใต้ดิน...ที่นี่เองก็มีเช่นกัน

เป็นปราสาทที่อายุเยอะน่าดู ภายนอกมันเลยจะดูทึมๆหลอนๆหน่อย >////< ไม่ได้ทาสีประดับประดาเหมือนปราสาทยุคหลังๆอ่ะนะ ใครสนใจก็เอาชื่อไปลองเสริจดูหน้าตาในเนตได้เรยค่ะ >/////<

แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ




3 ความคิดเห็น:

  1. .........................................................
    เอาแล้วเคาร์ทครูเดเระโอ้
    หนุกอ้าาาาาาาาาา
    แต่ว่า

    ผมอยากอ่านฟิคปอบอ้าาาา

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ14 ตุลาคม 2557 เวลา 14:47

    ท่านเคานต์เหมือนจะแอบซึนนะคะ.. แหม ^q^
    อยากได้หมอนข้างแบบสเลนมากอดบ้างเลยค่ะ-- /โดนไม้เท้า
    ว่าแต่จริงๆแล้วก็แอบมองน้องสเลนเป็นภรรยาอยู่ใช่ไหมคะท่านเคานต์
    UwU น้องสเลนสู้ๆนะ

    ตอบลบ
  3. เปิดมาตอนนี้แอบขำกับองค์หญิงค่ะ องค์หญิงเหมือนได้ตุ๊กตาตัวใหม่

    ว่าแต่ท่านเคานต์ ;-; ฟาดสเลนทำมายยยยย สเลนยังไม่หายดีเลยนะค้า แล้วหน้าที่นั่นมันอะไรกัน ไม่ให้ช่วยงานบ้าน แต่จับมาเป็นหมอนซะงั้น แอบมึนตามสเลนไปค่ะ

    ตอบลบ