KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059] -- BiOS : 03 --


KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059]  -- BiOS : 03 --

: KHR AU Fanfiction
: 8059
: Action  Horrors
: NC-17

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ





สภาพอาคารบ้านเรือนที่เห็นได้จากสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านนั้นดูแทบไม่แตกต่างไปจากสภาพของโรงเรียนนามิโมริเลยแม้แต่น้อย จากเมืองเล็กๆที่เคยสงบ เป็นระเบียบและสวยงาม บัดนี้ราวกลับกลายเป็นขุมนรก


ไม่น่าเชื่อว่าเมืองทั้งเมืองจะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าไปได้ขนาดนี้เพียงชั่วข้ามคืน


“ เอาไงดีวาตะ?”       รุ่นพี่คาซาโนริหันไปถามกัปตันของผมที่นั่งอยู่ข้างกัน ใบหน้าที่เคยมีความมั่นใจอยู่เสมอกลับนิ่งงัน


“ คะ คงต้องเลี่ยงไปใช้ทางอื่น บนถนนหลักอันตรายเกินไป”       รุ่นพี่วาตานาเบะขยับแว่นตาราวกับกำลังเรียกขวัญและกำลังใจให้กลับคืนมา


แล้วรถก็ออกวิ่งอีกครั้ง...สู่ทางที่ยังพอจะไปได้อยู่....


สายตาของทุกคนบนรถที่ทอดมองออกไปภายนอก ไม่ต้องถามก็รู้ว่าต่างคนต่างกำลังกังวลในเรื่องที่ไม่ได้ต่างกันนัก...เมื่อคืนเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าภายนอกโรงเรียนเป็นยังไงจึงยังไม่ห่วงอะไรนอกจากเอาตัวเองให้รอด....แต่ตอนนี้เมื่อเห็นแล้วว่ามีซอมบี้เดินเพ่นพ่านอยู่ทั่วทั้งเมือง...ความเป็นห่วงคนในครอบครัวจึงพุ่งขึ้นมาจุกคอจนไม่มีใครพูดอะไรออก


พ่อของผม....จะเป็นยังไงบ้างนะ....


ผมสะบัดหน้าไปมาพยายามไม่คิดในแง่ร้าย โกคุเดระหันมามองผมด้วยแววตาสงสัย จะว่าไปเขาดูไม่ค่อยห่วงคนทางบ้านเท่าไหร่เลยแหะ


“ อื้อ.....”       เด็กสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากผมและโกคุเดระเท่าไหร่ จู่ๆก็กุมท้องพร้อมกับร้องครางออกมา ดูสีหน้าเธอทรมานนิดๆ


“ เฮ้...เป็นอะไรไปน่ะ?”      ผมถามพรางจับไหล่ให้เธอเอนหลังไปพิงผนังรถที่ยังคงแล่นต่อไปเรื่อยๆ


“ โรคกระเพาะ?”        โกคุเดระเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเห็นอาการของเด็กสาว...เขาที่คลุกคลีอยู่ที่ห้องพยาบาลอาจจะพอดูอาการออกก็ได้


“ ก็เมื่อคืนเล่นไม่ยอมกินอะไรเลยนี่นะ”      คิโยโกะบอกออกมาด้วยเสียงติดจะรำคาญ เธอยื่นขนมปังกรอบที่เหลืออยู่นิดหน่อยมาให้เด็กสาว แต่เธอก็ได้แต่กุมท้องน้ำตาคลอ


“ สงสัยว่าเราต้องหาเสบียงแล้วละกัปตัน”       สึกิชิม่าตะโกนบอกสองคนที่กำลังเถียงกันเรื่องเส้นทางอยู่หน้ารถ  รุ่นพี่วาตานาเบะหันมามองพรางครุ่นคิด


“ เราไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอก!! รีบๆไปที่ที่ว่าการเมืองเถอะ!”      ไม่ใช่เสียงของกัปตันแต่เป็นโซสุเกะที่นั่งเงียบมาตลอดทาง หมอนั่นมีท่าทางหวาดวิตกและเครียดจัดจนเห็นได้ชัด


“ แต่อีกไกลเลยนะกว่าจะไปถึง แถมต้องคอยหลบถนนเส้นที่มีพวกซอมบี้อยู่เยอะขนาดนี้ด้วย บ่ายนี้จะไปถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“ แต่ถ้าเรามัวแวะข้างทาง มันก็จะยิ่งช้าไปกันใหญ่ไม่ใช่หรอครับ?!


“ เอาละ...ไม่ต้องเถียงกัน...เอาเป็นว่าเราจะมุ่งหน้าไปที่ที่ว่าการเมือง แต่ระหว่างนั้นดูเหมือนจะมีร้านสะดวกซื้ออยู่...ถ้าไม่อันตรายเกินไปค่อยลงไปหาเสบียง”       กัปตันห้ามทัพได้สำเร็จ สึกิชิม่ากับโซสุเกะถูกจับแยกไปนั่งคนละฝั่ง


“ ไอ้เจ้าเด็กขี้กลัวเอ้ย”     สึกิชิม่ายังมีมาบ่นพึมพำให้พวกผมได้ยิน


“ นายก็น่าจะหัดกลัวซะบ้างนะ”       คาริยะพูดพรางหาวหวอด ทำให้อีกคนได้แต่ขานรับไปตามน้ำ


“ นี่พวกนาย....ฉันเห็นร้านสะดวกซื้ออยู่ข้างหน้าละ  จะแวะไหม?”       รุ่นพี่คาซาโนริผู้กุมพวงมาลัยและชีวิตของพวกเราอยู่เอ่ยถามด้วยเสียงเนิ่บนาบตามปกติ


“ เฮ้ย! ทำไมมันถึงไวนักฟ๊ะ?! ฉันว่าถ้านายมาถูกทางมันจะต้องอยู่ห่างไปอีกเป็นสิบบลอคเลยนะ!”        กัปตันของพวกเราขยับแว่นพรางจ้องมองร้านสะดวกซื้อที่เห็นอยู่ตรงหน้าและดูเหมือนว่าจะเป็นคนละร้านกับที่ตั้งใจจะไป.....


“ ฉันเป็นคนขับรถนี่...เรื่องถนนหนทางมันไม่เกี่ยวกับฉัน...”      เกี่ยวเต็มๆเลยครับพี่!  รุ่นพี่คาซาโนริยังคงขับรถต่อไปด้วยใบหน้าราวกับปลาตายต่างจากคนข้างๆที่ยืนกำมือแน่นราวกับกำลังข่มใจไม่ให้เผลอฆ่าเพื่อนสนิทลงไป


“ ถ้างั้นคงไม่มีทางเลือก....ไอ้หมอนี่มันหลงทางซะขนาดนี้ เราคงต้องหาเสบียงตุนไว้ก่อน”      กัปตันเอ่ยออกมาพร้อมกัดฟันกรอด


“ ฟังนะ...ฉัน...ยามาโมโตะ...สึกิชิม่า...คาริยะ...จะลงไปแค่ 4 คน ส่วนที่เหลือนั่งรออยู่บนรถ...โซสุเกะ นายคอยดูความปลอดภัยให้พวกเราด้วย ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้บอกคาซาโนริให้ถอยรถไปรับเราได้เลย”        ถึงแม้โซสุเกะจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ตอบรับอย่างเสียมิได้


พวกผมเช็คอาวุธก่อนจะไปยืนรวมตัวที่หน้าประตูภายในรถแวน กระเป๋าเท่าที่เราจะหาได้ถูกสะพายไว้กับตัว รถค่อยๆขับอย่างเงียบกริบไปจอดในลานโล่งซึ่งมันคงจะเคยเป็นลานจอดรถ....


“ ยามาโมโตะ นายจัดการตัวทางขวานั่น ส่วนฉันจะจัดการเจ้านั่นเอง”      เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูเอาจริงเอาจังผิดกับทุกทีของสึกิชิม่าเอ่ยบอกผม ในขณะที่ชี้นิ้วไปยังซอมบี้สองตัวที่ยืนอยู่แถวนั้น ผมพยักหน้ารับ....สายตาคมกริบของพวกเราเข้าสู่โหมดพร้อมจะลงแข่ง สองมือต่างกระชับไม้เบสบอลและดาบในมือ


ผมหันไปมองโกคุเดระที่มองมาที่ผมด้วยสายตาเต็มไปด้วยความกังวล...อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นห่วงผมอยู่บ้าง...คิดว่างั้นนะ


ผมยิ้มให้เขาก่อนจะหันหน้ากลับไปพุ่งสมาธิอยู่ที่ประตูร้านสะดวกซื้อ


“ พร้อมนะ......เอาละ....ลุย!!


สิ้นเสียงกัปตัน ประตูรถแวนก็เปิดออกทันที ขาทั้งสี่คู่ก้าวกระโดดลงไปจากรถ ผมพุ่งตรงไปยังซอมบี้ตัวที่อยู่ทางขวาแล้วตวัดดาบฟันคอของมันจนขาดกระเด็น เลือดสาดกระจายเต็มพื้นถนนพร้อมๆกับที่ร่างของมันค่อยๆล้มลงต่อหน้าต่อตา....นี่ถ้าเป็นสภาวะปกติ ผมคงจะเป็นอาชญากรระดับโลกแน่ๆที่กล้าทำอะไรแบบนี้กลางถนน


เราพยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุด เพราะงั้นตลอดการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้จึงไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย


ประตูร้านสะดวกซื้อแตกละเอียดไปก่อนที่พวกเราจะมาถึง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะเข้าไป ชั้นวางของล้มระเนระนาดและข้าวของที่เคยจัดอย่างเป็นระเบียบก็กระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ที่เคาน์เตอร์มีรอยเลือดแห้งกรัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า...ที่นี่ไม่น่าจะมีคนอยู่แล้ว....


ผมหยิบอาหารแห้งเท่าที่จะหยิบได้ใส่กระเป๋า ไม่มีเวลาเลือก ไม่มีเวลาคัด แค่เห็นว่ามันเป็นของกินก็มีค่าพอที่จะถูกยัดลงมา อีกสามคนที่เหลือก็กำลังโกยอาหารเท่าที่จะทำได้อยู่ไม่ไกล บรรยากาศแถวๆนี้มันเงียบเกินไป....เงียบจนเผลอคิดไปว่า ถ้าทำอะไรหล่นเพียงนิด พวกซอมบี้ที่อยู่รอบๆคงหันมาสนใจที่นี่เป็นตาเดียว


กระเป๋าของผมเต็มแน่นจนยัดอะไรไม่ลงอีก มือจึงจับดาบเตรียมจะกลับขึ้นรถ แต่สายตาที่ระแวดระวังก็หันไปเห็นสภาพภายนอกของกระจกด้านหลังร้าน


แล้วขนก็ลุกเกรียวอย่างช่วยไม่ได้.....ในเมื่อทางด้านนั้นมันเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ที่ยังเดินสะเปะสะปะอย่างที่ยังไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ในนี้.....พวกมันน่าจะมีเป็นร้อยตัว....


ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะบอกกับตัวเองว่าห้ามทำให้พวกมันรู้ตัวเด็ดขาด...ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้


เพราะผมนิ่งมองอยู่นาน ทำให้คาริยะที่เก็บอาหารอยู่ไม่ไกลกันสงสัยจนชะโงกหน้ามาดูด้วย


และนั่นมันก็ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน......


เมื่อไม้เบสบอลที่อยู่ในมือคาริยะ หลุดร่วงลงไปกระทบพื้นอย่างที่ผมก็จนปัญญาที่จะคว้าทัน


เคล้ง.......


ราวกับในหัวของผมจะได้ยินแต่เสียงก้องกังวานนั่น.....มือชื้นเหงื่อขึ้นมาทันทีที่ค่อยๆหันไปมองฝูงซอมบี้ที่ต่างหันคอมามองตรงนี้เป็นตาเดียว


ผมหันไปมองคาริยะอย่างที่อยากจะกระชากคอมาถามว่าทำอะไรลงไป....แต่ทว่าเมื่อหันไปเห็นร่างกายที่สั่นระริกของหมอนั่นเข้า


“.........แม่.......”         นัยน์ตาสีน้ำตาลของหมอนั่นเบิกกว้าง ใบหน้ามนนิ่งค้างมองอะไรบางอย่างตรงหน้าราวกับว่ามองไม่เห็นอย่างอื่นอีก เสียงเรียกที่แผ่วเบาราวกับจะหมดแรงนั่นทำให้ผมหันไปมองซอมบี้ที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างกระจก


“ นั่นมัน...แม่ของคาริยะ...”      สึกิชิม่ากระซิบบอกผมจากทางด้านหลัง ถึงแม้ใบหน้าจะเขียวช้ำไปครึ่งซีกและร่างกายก็บิดเบี้ยว แต่คนเป็นลูกชายย่อมจำได้อยู่แล้ว


“ แม่!!!”     คาริยะตะโกนร้องเรียกอีกทั้งยังขยับตัวจะเข้าไปหา สองมือเอื้อมคว้าไปที่กระจกเป็นจังหวะเดียวกับที่สึกิชิม่าคว้าตัวของหมอนั่นเอาไว้ได้ทัน


“ แม่!!!”     คาริยะยังคงร้องเรียกคนที่เคยเป็นแม่ทั้งน้ำตา และเพราะเสียงเหล่านั้นมันก็ทำให้ฝูงซอมบี้กระโจนเข้ามาหาพวกเราทันที


“ คาริยะ! นายจะไปไม่ได้นะ มานี่!!”     สึกิชิม่าพยายามลากลำตัวที่เล็กกว่าของคาริยะเข้ามา แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่มีสติพอ มือทั้งสองข้างยังพยายามจะไขว่คว้าหาคนในครอบครัว


“ หนีเร็ว!!”      ผมตะโกนบอก ก่อนพยายามจะล้มชั้นและตู้ลงมาขวางทางไอ้พวกศพเดินได้ให้มากที่สุด


“ ทางนี้!! เร็ว!!”     กัปตันตะโกนมาจากประตู ได้ยินเสียงเบรกรถก่อนที่ท้ายรถแวนจะถอยมาจอดอยู่ไม่ไกล ผมเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นไปก่อนจะช่วยกันคว้าตัวของคาริยะที่ยังคงตะเกียกตะกายจะไปหาคนที่รักอย่างสุดกำลัง


“ แม่!!!”      พวกผมช่วยกันดันหมอนั่นขึ้นไปอย่างทุลักทุเล ประกอบกับฝูงซอมบี้ก็ไล่ตามมาติดๆ แต่ในที่สุดทุกคนก็ขึ้นมาบนรถได้จนครบ


“ แม่...แม่!!!”      คาริยะ ยังคงเอื้อมมือออกไปนอกประตูรถแวน


“ คาริยะ!!!”       สึกิชิม่าคว้าลำตัวของหมอนั่นกอดเอาไว้แน่น ระหว่างที่ปลายนิ้วมือจะสัมผัสกัน ประตูรถก็ถูกปิดขวางกั้นเอาไว้เสียก่อน


“ ออกรถเลย!!      กัปตันตะโกนสั่งดังก้อง เสียงล้อบดถนนดังลั่นก่อนที่รถจะพุ่งทะยานหนีฝูงซอมบี้ออกไป


“ แม่...แม่!....แม่!!!”     คาริยะทุบกระจกรถด้วยสองมือ ใบหน้าที่เคยใสสะอาดของหมอนั่นเต็มไปด้วยน้ำตา


“ คาริยะ....”       สึกิชิม่ายังคงกอดคาริยะเอาไว้แน่น ทั้งสองคนค่อยๆทรุดลงไปที่พื้นก่อนที่คาริยะจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร


ไม่มีใครต่อว่าหมอนั่น...เพราะหากคนที่ต้องเจอเรื่องแบบนั้นคือตนเอง...ก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน....




ถ้าซอมบี้ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง....คุณยังจะสังหารพวกเขาได้ลงหรอ?




รถแวนแล่นไปท่ามกลางความเงียบ ทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง อาหารที่ไปขนมาได้ถูกกองเอาไว้กลางรถ….


ก็แล้วยังไงล่ะ?....ถ้ามีชีวิตรอดไปได้โดยที่ไม่มีใครเหลือแล้วจะยังมีประโยชน์อะไร….


ความห่วง ความกังวล ความหวาดกลัว เริ่มก่อให้เกิดความเครียดที่มองไม่เห็น แม้แต่รุ่นพี่คาซาโนริที่ชอบหาเรื่องทะเลาะกับกัปตันก็ยังเงียบไป เขายังคงขับรถไปเรื่อยๆ เพื่อพาพวกเราไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่เป็นเพียงความหวังเดียวในขณะนี้


เวลาล่วงเลยผ่านไปจนบ่ายคล้อย ในที่สุดรถแวนก็วกกลับมาเข้าสู่ถนนสายหลักจนได้


เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่ที่ว่าการเมืองได้ในขณะนี้ ถึงแม้จะยังมีเหล่าศพเดินได้เดินกันอยู่ประปรายแต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง


“ นี่...ที่ว่าการเมืองอยู่ตรงหน้าแล้วนะ เข้าไปเลยไหม”          ประธานชมรมต่อรถเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ


เด็กสาวที่มากับเราสองสามคนรวมทั้งคิโยโกะต่างกอดคอกันร้องไห้ เพราะในที่สุดก็มาถึงที่นั่นจนได้ จากความเครียดจนแทบจะหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่ทำให้เหมือนกับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง...


“ ว่าแต่จะเข้ายังไงล่ะเนี่ย?”       จริงอย่างที่รุ่นพี่คาซาโนริพูด เพราะประตูทุกบานตอนนี้ถูกปิดตายไปหมดแล้ว


“ ขับรถชนประตูเหล็กนั่นเลย”       เป็นกัปตันที่ยืนสั่งการอยู่ข้างๆ


“ นี่ฉันประกอบรถแวนนะ ไม่ใช่รถถัง”      ถึงปากจะบ่นแต่เท้าก็เหยียบคันเร่งพุ่งชนเข้าไปที่ประตูเหล็กจนมันเปิดอ้า แล้วก็ต้องพบว่ามันน่าแปลก...ที่ไม่มีใครตะโกนด่าพวกเขาสักคน...ทั้งๆที่ถ้ามีคนรอดชีวิตอยู่ในนี้เป็นจำนวนมากละก็...จะต้องมีการป้องกันที่น่าจะแน่นหนากว่านี้



หรือข้างในมันจะเกิดอะไรขึ้นกัน ?



พวกเราทุกคนในรถต่างนิ่งเงียบเมื่อเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ....แต่เพราะเป็นความหวังเพียงอย่างเดียวเลยมีแต่ต้องมุ่งหน้าเข้าไปให้เห็นกับตาเท่านั้น


รอยเลือดเป็นทางจากประตูรั้วไปจนถึงประตูอาคารมันมากเกินไปที่จะคิดได้ว่ามีแค่ซอมบี้ไม่กี่ตัวหลุดเข้ามาแล้วโดนจัดการไปแล้ว แถมประตูหน้าต่างก็พังจนไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้สภาพภายนอกของอาคารที่ว่าการเมืองนั้นแทบจะไม่ต่างไปจากอาคารของโรงเรียนนามิโมริ


ที่นี่....ยังมีคนรอดชีวิตอยู่จริงๆน่ะหรอ ?


ยิ่งขับรถเข้าไปใกล้อาคารมากเท่าไหร่ ความหวังของพวกเราก็เหมือนจะเริ่มพังทลายลงเรื่อยๆ...


ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้กระจองงอแงของเด็ก....ไม่มีเสียงอะไรเลย...ที่จะบ่งบอกได้ถึงสัญญาณของการมีชีวิต


รุ่นพี่คาซาโนริขับรถอ้อมไปที่ด้านหลัง ซึ่งมีทางเข้าใกล้ๆอยู่ตรงนั้น พวกเราตัดสินใจที่จะเข้าไปดู....ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่....ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว


“ ระวังตัวกันด้วยล่ะ”      กัปตันบอกออกมาในขณะที่ทุกคนต่างก้าวขาลงจากรถ...ยังไงก็คงต้องไปด้วยกัน เพราะขืนแยกกันอยู่น่าจะอันตรายมากกว่า


ขาก้าวข้ามกรอบประตูที่เมื่อก่อนคงจะเคยมีกระจกกั้น สภาพภายในของอาคารนั้นแทบไม่ได้ต่างไปจากภายนอก รอยเลือดสดๆดูเหมือนเพิ่งจะสาดกระจายไปเมื่อไม่นานมานี้ ทุกคนต่างขนลุกเกรียวเมื่อคิดว่า...หากรุ่นพี่คาซาโนริไม่ขับรถหลงทาง หากพวกเราไม่มัวแวะที่ร้านสะดวกซื้อ.....ป่านนี้เราอาจจะต้องกลายเป็นเหยื่ออยู่ที่นี่ไปแล้วก็ได้...


ห้องติดต่อราชการที่เคยมีคนเดินพลุกพล่านบัดนี้กลับร้างว่างเปล่า แผ่นป้ายที่บอกชี้ว่าตรงไหนคืออะไรหลุดห้อยต่องแต่ง พวกรายังคงเดินเข้าไปเรื่อยๆ


จนถึงห้องโถงที่คงจะจัดเตรียมไว้ให้ผู้คนที่รอดชีวิต เพราะมีโต๊ะเก้าอี้ถูกเลื่อนไปชิดอยู่ที่ผนัง และมีร่องรอยว่ามีคนนับร้อยอยู่ที่นี่


แต่สภาพตอนนี้.....ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยรอยเลือด.....


ก็คงคิดได้อย่างเดียวว่า...ที่ว่าการเมืองแห่งนี้ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป


“ ฮึก ฮึก...ไม่นะ....แบบนี้ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฮืออออ”       เด็กสาวหนึ่งในพวกเราร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ผมเองก็เผลอกระชับมือของโกคุเดระเพราะมีเพียงเขาที่เป็นเครื่องยืนยันว่าผมยังต้องมีชีวิตอยู่


โซสุเกะนั่งลงไปที่พื้นอย่างหมดแรง สองมือยกขึ้นขยี้หัวด้วยเครียดจนถึงขีดสุด ตอนนี้สีหน้าของทุกคนราวกับคนที่ตายไปแล้ว มันนิ่งงัน ไร้ชีวิตไร้ชีวา ราวกับไม่มีค่าอะไรที่มีความหวังต่อไป


แกร่ก....แกร่ก......


แต่แล้วเสียงของอะไรบางอย่างก็ทำให้พวกเราถึงกับสะดุ้งโหยง ผมขยับเข้าไปยืนใกล้โกคุเดระมากขึ้น สัญชาตญาณการต่อสู้ทำให้มือกระชับดาบโดยอัตโนมัติ ทุกคนมายืนรวมกันอยู่ที่กลางห้องทันที 


สายตาเครียดขมึงมองไปที่บานประตูหน้าต่างทุกบานที่อยู่รอบห้อง


จะมาทางไหน.....


พวกมันจะโผล่มาทางไหน.....


“ ฮะ เฮ้....”         เสียงที่ไม่คุ้นเคยทำเอาพวกเราสะดุ้งกันอีกรอบ


“ ทางนี้ๆ”        มีแต่เสียงแต่ไม่ว่าจะมองหายังไงก็ไม่เห็นตัว


“ บนหัวพวกนายนี่...”       และเมื่อเงยหน้ามองตามไปก็เห็นใบหน้าของใครบางคนยื่นออกมาจากบนฝ้าเพดานที่ถูกเปิดออกเป็นรู


ยังมีคนรอดชีวิตอยู่!






“ ดีจริงๆที่ยังมีคนรอดอยู่อีก...ฉันนึกว่าจะเหลือตัวคนเดียวแล้วนะเนี่ย”      ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นกระโดดลงมาจากฝ้าเพดาน ใบหน้าของเขาดูอิดโรยทีเดียว


“ เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันครับ?”   กัปตันเป็นฝ่ายถามชายคนนั้นที่นั่งอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น


“ ที่นี่เคยเป็นที่รวมตัวของคนที่รอดชีวิต....แต่พวกนายก็น่าจะรู้ใช่ไหมล่ะ ว่าคนยิ่งเยอะปัญหามันก็ยิ่งมาก....”


“ มีคนถามกับพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนามิโมริ?....แล้วเราก็ได้รู้ว่า มีอาวุธชีวภาพชนิดร้ายแรงตัวหนึ่งหลุดรอดออกมาจากห้องทดลอง...มันทำให้เซลล์ในร่างกายมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป...มันก็กลายเป็นไอ้ตัวที่พวกนายเห็นอยู่นั่นแหละ”       อะไรมันจะเหมือนในหนังได้ขนาดนี้....คงมีคนคิดแบบเดียวกับผมอยู่แน่ๆ


“ แต่ว่า...มันจะไม่จบลงที่พวกเราจะตายกันหมดหรอกนะ...เพราะเจ้าหน้าที่พวกนั้นตรวจสอบมาแล้วว่า ที่ห้องทดลอง...เอ่อ...ที่สถาบันวิจัยน่าจะมีแอนตี้ไวรัสอยู่”


“ แล้วทีนี้ ก็เลยถกเถียงกันว่าใครจะไปเอามา...และมันจะมีมากพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”


“ ในระหว่างนั้น...ฉันซึ่งเป็นช่างแอร์ก็ถูกสั่งให้ขึ้นไปซ่อมท่อน้ำยาแอร์ที่มันรั่วลงมา ฉันก็เลยปีนขึ้นไปอยู่บนนั้นอย่างที่พวกนายเห็นนั่นแหละ....เลยได้ยินแค่ว่า มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งลักลอบเอารถที่มีเพียงไม่กี่คันออกไป...เพื่อไปเอาแอนตี้ไวรัสให้ตัวเอง....แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่าสิ่งที่พวกนั้นทิ้งเอาไว้....พวกมันขับรถชนประตูและตัวเองออกไปได้...เพียงแต่...”


“ พวกซอมบี้ที่ออกันเต็มอยู่ข้างนอกกลับทะลักเข้ามาในนี้....แล้วก็.....”


“ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย....ได้แต่ปิดหูปิดตาแล้วซ่อนตัวอยู่บนนั้น....”      ใบหน้าของชายผู้นั้นดูสลดหดหู่...ซึ่งพวกผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาดี


“ ถ้างั้นก็หมายความว่า เรายังมีโอกาสรอดใช่ไหม? ถ้าได้แอนตี้ไวรัสนั่นมา?”      กัปตันเป็นฝ่ายถามและมันก็ทำให้พวกเรามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง


“ ฉันก็ไม่รู้หรอก ก็อย่างที่บอกว่าเป็นแค่ช่างแอร์...แต่คิดว่าในเมื่อพวกนั้นเป็นผู้ผลิต ก็น่าจะรู้วิธีแก้ไขบ้างนั่นแหละ”      ในขณะที่ทุกคนต่างทำหน้าโล่งใจ มีเพียงโกคุเดระที่มีสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่เขาจะถามชายผู้นั้นว่า


“ พอจะรู้ไหม...ว่าอาวุธชีวภาพนี้ ผลิตขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เคยได้ยินใครพูดเรื่องนี้บ้างไหม?”      คนอื่นๆอาจจะคิดว่าโกคุเดระจะมามัวสงสัยอะไร จะผลิตเมื่อไหร่ก็ช่างมันขอแค่มีทางแก้ก็พอ....แต่ผมกลับรู้สึกว่า เขามีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่


“ โอ้ยยยย....เรื่องแบบนี้ถูกเจ้าพวกที่เคยอยู่ที่นี่ขุดคุ้ยซะแหลกเลยแหละ ได้ยินมาว่าสร้างขึ้นมาเมื่อสองปีก่อนน่ะ....แต่จะทำขึ้นมาทำไมก็มีแต่เรื่องนี้แหละที่ไม่มีใครรู้”      นัยน์ตาสีมรกตของโกคุเดระนิ่งค้างไป เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ทำให้คนอื่นๆต่างเลิกสนใจในเรื่องนี้


“ ถ้างั้น...กลับไปที่รถกันเถอะ เราคงต้องไปที่สถาบันวิจัย”      แล้วพวกเราก็เดินกลับไปตามทางเดิมอย่างเงียบเชียบ


ไม่อยากจะเชื่อว่าตั้งแต่มาที่นี่ เราจะไม่เจอซอมบี้เลยสักตัว....


รถแวนจอดอยู่ตรงหน้า ตอนที่เดินจากมันไปเรายังคงไร้ความหวัง แต่เมื่อเดินกลับมาหามันอีกครั้ง ดูเหมือนความหวังจะกลับมาหาเราทุกคนแล้ว


ผมยกมือขึ้นไปเปิดประตูเลื่อนของรถออก


“ ยามาโมโตะ!!”      เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินโกคุเดระเรียกผม แต่น้ำเสียงกึ่งตะโกนกึ่งตื่นตระหนกแบบนั้นมันอะไรกัน ?


โครม!!!


แล้วยังไม่ทันที่ความสงสัยของผมจะหมดไป เขาก็พุ่งเข้ามากระแทกตัวผมจนเซถลาไปข้างๆท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ซอมบี้สองตัวที่อยู่บนรถกระโจนเข้ากัดที่ต้นแขนของเขา……


“ อึก......”        ใบหน้าสวยที่อยู่ใกล้แค่คืบดูเจ็บปวด แต่มันก็ไม่เท่ากับนัยน์ตาของผมที่เบิกกว้างและหัวใจที่แทบจะแหลกไปทั้งยืน


มือที่ถือดาบอยู่พุ่งเสียบคอหอยของซอมบี้ตัวนั้นก่อนจะฟันจนขาดกระเด็น อีกตัวดูเหมือนใครสักคนในกลุ่มเราจะเป็นคนจัดการมันไป


“ โกคุเดระ!!!”      ผมรีบเอื้อมมือไปประคองร่างบอบบางที่มีเลือดไหลเต็มต้นแขน ดูเหมือนรอยกัดจะยังไม่ลึกมาก แต่บาดแผลก็ไม่ใช่น้อยๆ


“ รีบขึ้นรถ แล้วออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ!”      กัปตันที่หลุดจากอาการตกตะลึงได้เร็วกว่าใครรีบกระตุ้นคนที่เหลือให้ขึ้นรถ


รถแวนพุ่งออกสู่ถนนอีกครั้ง....






ผมทำแผลให้โกคุเดระด้วยความเงียบงัน....ทุกคนต่างมองมาที่เราสองคนเป็นตาเดียว......

เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า....คนที่ถูกซอมบี้กัดแล้วจะเป็นยังไง.....





“ รุ่นพี่ยามาโมโตะคะ....โปรดเข้าใจด้วยเถอะค่ะ ว่าเราจะให้เขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”       เป็นคิโยโกะที่พูดออกมาอย่างเหลืออด


ใบหน้าสวยของโกคุเดระยังคงเรียบเฉย.....ต่างจากผมที่ก้มลงไปที่พื้น สองมือกำแน่นอย่างพยายามระงับความเจ็บปวดที่หัวใจ


ผมรู้....ผมรู้ดี ว่าตั้งแต่วินาทีที่เขาโดนกัด....ก็เหมือนกับว่าเขาตายไปแล้ว


แต่ถึงเขาจะตายไปแล้ว  ถึงเขาจะกลายเป็นซอมบี้ที่น่าขนลุก....แต่ผมก็ไม่มีวันฆ่าเขาได้ และก็ไม่มีวันจะทอดทิ้งเขาได้เช่นกัน


ผมไม่มีวันทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว....ท่ามกลางโลกที่เปล่าเปลี่ยวแบบนี้


ไม่มีวัน.....


“ ถ้าอย่างงั้น...ฉันจะไปกับเขาด้วย”       เป็นคำพูดที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้แต่ตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่โกคุเดระ....เขาหันมามองหน้าผมตรงๆเป็นครั้งแรก


“ ไม่ได้นะคะ!! รุ่นพี่ก็รู้ว่าถ้าเขากลายเป็นซอมบี้ขึ้นมา เขาจะทำร้ายรุ่นพี่เองนะ!”       คิโยโกะตะโกนเสียงหลง


“ ฉันตัดสินใจแล้ว....ฉันทิ้งเขาไม่ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของพวกนาย...ที่เป็นเพื่อนของฉัน ก็มีแต่ที่ฉันต้องเดินจากไปกับเขา”      ผมมองหน้าทุกคนด้วยสายตาแน่วแน่ สึกิชิม่ากับคาริยะส่ายหน้าไม่ยอมรับในการตัดสินใจของผม


“ อย่ามาตัดสินใจเอาเองสิ...”       โกคุเดระก้มหน้าด้วยดวงตาสั่นพร่า


นั่นสินะ....มันเป็นเพราะการตัดสินใจของผมเองทุกอย่าง ตั้งแต่ที่ลากโกคุเดระมาด้วยกัน ตัดสินใจที่จะเดินหน้าโดยที่อีกฝ่ายรู้สึกยังไงก็ไม่เคยถาม....แต่เขาจะไม่ยอมทิ้งโกคุเดระไป เพราะเขาตัดสินใจแล้ว....


“ โกคุเดระ...มันอาจจะเป็นการเอาแต่ใจของฉันคนเดียว....แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจว่าฉันจะรักนาย....มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่จะอยู่กับนายจนวาระสุดท้ายน่ะ”      ผมขยับใบหน้าเข้าไปพูดกับเขาใกล้ๆ  เขากัดฟันพร้อมกับสะบัดหน้าไปอีกทาง


“ ยามาโมโตะ!!


“ พอเถอะ....”      ผมเอ่ยบอกสึกิชิม่าที่พยายามจะห้ามอีกคน ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหมอนั่นด้วยความแน่วแน่ จนในที่สุดสึกิชิม่าก็ยอมแพ้


“ ดูแลคาริยะด้วยนะ”       ผมตบไหล่เพื่อนรักก่อนจะยิ้มให้ ทั้งสองคนเม้มปากแน่นอย่างไม่รู้จะทำยังไง


“ กัปตัน...ขอบคุณมากครับ!”     ผมก้มหัวให้คนที่ดูแลกันมาโดยตลอด ดวงตาภายใต้แว่นใสพยายามกักเก็บความเจ็บปวดใจเอาไว้ก่อนจะพยักหน้ารับ


“ ถ้านายยังมีชีวิตรอด ก็ตามเรามาที่สถาบันวิจัยนะ”      เขาเป็นคนดีจริงๆ ที่ยังหวังว่าผมจะยังมีชีวิต ทั้งที่ผมคิดจะทิ้งมันไปแล้ว




รถแวนจอดลงที่หน้าบ้านเดี่ยวสีขาวหลังหนึ่ง ซึ่งพอดีว่ามันอยู่ระหว่างทางไปสถาบันวิจัย ผมเลยให้พวกเขาแวะมาส่ง


บ้านของโกคุเดระ....


เสียงรถค่อยๆหายไปตามระยะทางที่มันห่างออกไป


ผมประคองโกคุเดระที่ใบหน้าเริ่มจะซีดเซียวและมีเหงื่อเกาะพราวเข้าไปในบ้าน....ดูท่าทางว่าที่นี่จะปลอดภัยดีจากพวกซอมบี้ เพราะประตูรั้วสูงอีกทั้งยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่ามีคนอยู่ในบ้านทำให้พวกมันไม่บุกเข้าไปเล่นงาน


ผมวางโกคุเดระไว้ที่โซฟา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยอ่อน ก่อนที่ผมจะเดินไปดึงม่านทุกบานให้ปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด แล้วเดินกลับมาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา


มือลูบใบหน้าซีดเซียวอย่างแผ่วเบา เขามองผมด้วยดวงตาสั่นพร่า มือบางยกขึ้นมาจับมือของผมที่ยังอยู่บนแก้มของเขา


“ นาย....ต้องเสียใจแน่ๆที่ทำแบบนี้.....”       เสียงของเขาราวกับจะร้องไห้


ผมจึงมองกลับไปด้วยสายตามั่นคง



“ ฉันจะไม่มีวันเสียใจแน่ โกคุเดระ”






.
.
.
.
.
.
.

To be Con.



ฮะ ฮะ ฮะ....*หัวเราะกลบเกลื่อน* ....ผิดคาดไหม? ที่ฟิควันเกิดเนียนปีนี้มาแหวกแนวแบบน่าพิศวงสุดหูรูด ฮ่าๆๆๆ อ๊ากกกกกกก มี๊เองก็อยากจะบ้าตายกับตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ ฮือออออ ก็แต่ง “เสี้ยวจันทร์” ฟิค feat.Natsume อยู่ดีๆนี่แหละค่ะ แต่ว่าช่วงสงกรานต์ที่เอาแต่นอนกลิ้งอยู่บ้านมันก็หมดไปกับการปาหิมะ(?)และดูอนิเมะเรื่องนึงนั่นก็คือ Guilty Crown ยิ่งเพลงประกอบนี่เล่นเอาสครีมอยู่คนเดียวมากมายเลยค่ะ แล้วหลังจากนั้น....พอกลับกรุงเทพมาก็ปรากฏว่า....ทำยังไงก็แต่ง “เสี้ยวจันทร์”  ต่อไม่ได้....แต่ดันได้ฟิคซอมบี้นี่มาแทนซะงั้น อ๊ากกกกกกกกกก….ว่าแต่แน่ใจนะว่ามันดู Guilty Crown ไม่ใช่ HOTD  = =”


ส่วนตัวการร้าย(?) ก็เพลงที่ชื่อเดียวกับชื่อฟิคเรื่องนี้นี่แหละค่ะ...Bios (feat.Mika Kobayashi) OST. Guilty Crown by Sawano Hiroyuki….จริงๆยังมีอีกหลายเพลงเลย ตามไปฟังกันได้ที่นี่...


Music Inspiration : BiOS


ชอบอ่ะ ชอบเพลงประกอบที่ Sawano Hiroyuki ทำหลายเรื่องเลยค่ะ Zombie Loanนั่นก็ชอบบบบบบบบ

หยุดการเวิ่นแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันมายกเค้กขึ้นแล้วตะโกนกรอกหูเนียนว่า...


Happy Birthday YAMAMOTO!!!


มีความสุขมากๆนะยะพ่อลูกเขย ปีนี้ก็ขอให้อ.อามาโนะรัก อ.อามาโนะหลง จะได้ส่งบทคู่ขวัญไปไหนไปกันกับหนูก๊กเยอะเย้อออออเลย ฮี่...ทางที่ดีขอให้ทีมอนิเมะทำรีบอร์นต่อซักที มี๊จะได้เห็นฉากปั่นจักรยานที่หวานไม่เข้ากะเนื้อเรื่องนั่นเป็นบุญตาซักครั้งในชีวิต *ซับน้ำตา* เอาเป็นว่า...ดูแลของขวัญที่มี๊จับยัดลงกล่องนี่ให้ดีๆนะ ถึงมันจะดื้อ(?)จะซึน(?)จะปากร้าย(?)จะขี้โวยวาย(?)ไปบ้าง แต่รับรองว่านี่เป็นสุดยอดของขวัญในสามโลกแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ >w<

ไม่รักจริงชั้นไม่ยกลูกสาวให้หรอกนะยะ พ่อมหาจำเนียน!



ส่วนฟิคเรื่องนี้มันก็ยังไม่จบอย่างที่เห็น (ยังมีหน้ามาพูด) ปั่นหูดับอยู่เนี่ยอ่ะค่ะ ถึงแม้ว่าปีนี้จะเริ่มทำของขวัญให้เนียนตั้งแต่ต้นเดือน แต่สรุปว่าไอ้ที่เริ่มๆมาก็ไม่ได้เอามาใช้ซักอย่าง ส่วนของขวัญจริงๆเพิ่งปั่นหลังสงกรานต์นี่เอง = = แง๊...มี๊ขอโทษ....T^T….หนีดีกว่า (เฮ้ยแก!)

ตะ ตอนที่ 4 อาจจะมาลงช่วงเย็นนะก๊ะ กำลัง QC ตัวเองอยู่ แหะแหะ แถมต้องไปอัพใน IE อีก เนื่องจากมีฉากต้องถมดำ ลำบากตรูอีกนะยาเมะ หึหึ



5 ความคิดเห็น:

  1. อะฮ่า อะฮ่า อะฮ่าาาาาาาา อะฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาา (นี่หล่อนเป็นอะร้ายยยยย)

    จะไม่ให้ร้องแบบนี้ได้ไง ก็ตอนนี้มันสองต่อสองแล้วอ่ะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อ่านตอนนี้แล้วนอกจากจะร้องอะฮ่าๆกับฉากที่อิเนียนมันตัดสินใจร่วมวงศ์ไพบูรย์ไปดูแลหนูก๊กสองต่อสอง แล้วยังคิดว่าตอนนี้มันเป็นตอนที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ของตัวละครค่ะ

    ไม่ว่าจะเป็นตัวกัปตันทั้งสอง คาริยะ สึกิชิม่า คิโยโกะ ทุกคนที่รอดชีวิตในรถแวนนั่น มันเต็มไปด้วยความเครียดและอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวจนรู้สึกได้เลยอ่ะ พี่กวางเขียนสื่อออกมาได้ดีมากๆเลยค่ะ ตอนที่คาริยะร้องเรียกแม่นั่น โต้ใจจะขาดแทนอ่ะ นั่นสินะ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวแหละ ว่าคนที่เรารักจะเปลี่ยนผันกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามที่จ้องจะทำร้ายเรา มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วก็เจ็บปวดมากแน่ๆ (เพราะฉะนั้น นอกเรื่องหน่อยนึงว่า อิเกะ เอ็งกลับไปขอโทษโตะซร้าาาา!!!! )

    แล้วหนูก๊กก็โดนกัดจนได้ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เข้าทางยัยผู้จัดการไล่ลงเลยล่ะสิ ฮึ่มๆๆๆๆๆ เห็นภาพตอนที่หนูก๊กโดนกัดเลยค่ะ คิดภาพฟีลช้าๆ อึ้งๆ อิเนียนเบิกตาโต แล้วภาพมันชวนให้ขาดใจตายตรงนั้นเลยอ่ะ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    ประโยคสุดท้ายนี่มันสุดโฮกกกกก ไม่มีวันเสียใจ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ตายอย่างสงบ งานนี้จะเป็นซอมบี้ก็ไม่เกี่ยวแล้วเฟ้ยยยย (เหอ)

    อ่านตอนต่อไป

    ตอบลบ
  2. กะแล้วเชียวว่ายามะมันไม่มีทางปล่อยโกคุไปคนเดียวหรอก
    ก็นั่นน่ะเป็นยิ่งดวงใจของมันซะอีก

    ซึ้งมากมายเลยค่ะ

    ส่วนยัยคิโยโกะ....อยากให้เป็นหล่อนที่โดนกัดแทนโกคุนะ

    สงสารคาริยะ เพราะถ้าเป็นใครก็คงทำแบบนั้นจริงๆ

    ไม่มีใครฆ่าคนที่รักลงหรอก

    บรรยากาศตอนนี้กดดันมากเลยค่ะ เป็นอะไรที่รู้สึกสิ้นหวังแต่ไม่ถึงที่สุด เพราะหากไปถึงสถาบันวิจัยนั่นก็มีทางรอดอยู่บ้าง

    ตอนที่เจอช่างแอร์แล้วเล่าเหตุการณ์นั่นสะท้อนได้ดีถึงความเห็นแก่ตัวของคน เป็นสันดานดิบของคนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองรอดโดยไม่สนคนอื่น นึกภาพที่ว่าการเมืองแล้วมันทั้งเศร้า ทั้งขนลุกจริงๆ ช่างแอร์ดวงดีมาก พวกยามะเองก็ดวงดีมากเหมือนกัน

    เดาไม่ถูกว่ายามะกับโกคุจะเป็นยังไงต่อไป

    แต่ประทับใจมากที่ไม่ว่ายังไง ยามะก็ไม่มีวันทิ้งโกคุโดยเด็ดขาด เป็นฟีลแบบ "ถ้าไม่รอดก็ตายด้วยกัน"

    ยิ่งประโยคสุดท้ายนี่ทำเอาโฮกมาก อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย

    ลุ้นตอนต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  3. โหย ยามะเข้าบ้านโกคุแล้วเหรอเนี่ยยยยย >O< (จิ้นๆ =.,=)

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ10 ตุลาคม 2556 เวลา 00:44

    ยามะเนียนมาอยู่กับก๊ก 2ต่อ2 เปล่ายะ =.,=

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ11 กรกฎาคม 2557 เวลา 09:07

    ลุ้นอ่ะ
    อยากรู้ว่าก๊กถูกกัดแล้วจะเปนไงต่อ

    ตอบลบ