KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059] -- BiOS : 02 --
: KHR AU Fanfiction
: 8059
: Action Horrors
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
โชคดีที่ทางเดินมีหลังคาซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสองอาคารเรียนนั้นกว้างพอและมีราวเหล็กกั้นทั้งสองฝั่ง ถึงมันจะสูงแค่เมตรเดียวแต่สำหรับซอมบี้ที่ไม่มีสมอง....แค่นั้นก็สามารถกันพวกมันได้ในระดับหนึ่ง
ที่เหลือก็แค่....
ต้องวิ่งฝ่า....มือและท่อนแขนหลายสิบคู่ที่พยายามจะเอื้อมมือเข้ามาให้พ้น!
หากไม่เห็นกับตาหรือไม่เจอกับตัวเองคงจินตนาการไม่ออกเลยว่าบรรยากาศมันจะกดดันแค่ไหน กับการที่ต้องแข็งใจวิ่งผ่านไอ้พวกที่มันคิดว่าเราเป็นอาหารของมัน
ผมวิ่งชนมือซีดเซียวที่พยายามจะจับตัวผมเอาไว้โดยไม่สนใจที่จะหลบ ใช้ความเร็วเข้าปะทะจนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าผมน่าจะเปิดประสาทสัมผัสถึง 110% เลยก็ว่าได้ ไม่เคยที่เซลล์และกล้ามเนื้อทั่วร่างจะตื่นตัวขนาดนี้มาก่อน
โกคุเดระยังคงวิ่งตามหลังผมอย่างเงียบๆ ต่างจากเด็กสาวสองคนที่ร้องวี๊ดว๊ายมาตลอดทาง
เขาคงจะสงสัย ว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะจับมือเขาและเอาร่างเข้าปกป้องเขา แทนที่จะเป็นเด็กผู้หญิงสองคนนั้น
ทางเดินค่อยๆสั้นลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเมื่อทะลุใต้ตึกตรงหน้าไป โกดังก็จะอยู่อีกไม่ไกล ผมสาวเท้าให้เร็วขึ้น ก่อนจะใช้ไม้เบสบอลเคลียร์ทางให้กับคนที่วิ่งตามมา ฝ่าเท้ายกขึ้นยันประตูด้านหลังบันไดจนเปิดออก
“ ระวัง!” โกคุเดระตะโกนบอกผม ในขณะที่ฝูงซอมบี้ต่างกระโจนเข้ามาจากประตูที่ถูกเปิด
แต่ว่า....มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่จะไปถึงโกดังเร็วที่สุด
ผมปล่อยมือเขาก่อนจะใช้สองมือจับไม้เบสบอลมั่น นัยน์ตาจ้องเขม็งไปที่ซากศพเดินได้ตรงหน้าอย่างที่ไม่คิดว่าจะเอาชีวิตของตัวเองมาทิ้งไว้ตรงนี้เด็ดขาด!
ผลั๊วะ! ผลั๊วะ! ผลั๊วะ!
ที่หางตาผมเห็นโกคุเดระยืนตะลึงยกมือขึ้นมาปิดปาก....แต่ผม....ก็ยังใช้มือที่เพิ่งจัดการซอมบี้พวกนี้ไปจับมือเขาแล้วออกแรงลากให้วิ่งตามมาอีกครั้ง
ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นน้อยๆจากมือบางที่ผมจับอยู่
แค่เลี้ยวที่มุมทางเดินหลังตึกนี่ ก็จะถึงหอประชุมซึ่งเป็นอาคารเดียวกับโกดัง ผมเห็นซอมบี้ไม่ใช่น้อยกำลังพยายามตะกุยตะกายประตูหน้าต่างเพื่อจะเข้าไปในนั้นให้ได้
แปลว่าคงมีคนที่รอดชีวิตอยู่ในนั้น
“ อีกนิดเดียว โกคุเดระ” ผมหันไปบอกเขา และในขณะที่หันไปนั้น...
“ กรี๊ดดดดดดดดด” มือซีดเซียวเขียวช้ำคู่หนึ่งจับหางเปียของเด็กสาวเพื่อนของคิโยโกะเอาไว้ก่อนจะดึงตัวเธอออกไปนอกทางเดินต่อหน้าต่อตาพวกผม
“ คิโยโกะ!!” เธอร้องเรียกผู้จัดการทีมของผมที่พยายามสะบัดมือที่เกาะกุมกันมาตลอดทางอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ ช่วยด้วย คิโยโกะ!” เสียงกรีดร้องและภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมก้าวขาไม่ออก กลับเป็นโกคุเดระที่ดึงตัวคิโยโกะเข้ามาเพื่อไม่ให้โดนลากไปอีกคน
“ ช่วยด้วย!!! กรี๊ดดดด!!!” และมันรวดเร็วเกินกว่าจะทำอะไรได้ ฝูงซอมบี้ตรงเข้าไปรุมกัดเธอจนร่างเล็กๆนั่นจมหายไปในทันที พวกผมสามคนได้แต่ยืนตะลึงจนแทบจะลืมหายใจ
“ ยามาโมโตะ!!!” แต่แล้วเสียงของใครบางคนที่ตะโกนมาก็ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“ ทางนี้!!” สึกิชิม่าโบกมือมาจากช่องแสงเหนือบานประตูทางเข้าหอประชุม
ถึงแม้ตัวบานประตูเองจะถูกปิดตายไปแล้ว แต่ดูเหมือนพวกที่อยู่ข้างในจะใช้ช่องแสงที่อยู่เหนือหัวนั่นเป็นทางเข้าออก สำหรับพวกผมซึ่งอยู่ในชมรมเบสบอลแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะปีนขึ้นไป
แต่ว่า....อีกสองคนที่อยู่ด้วยกันกับผมนี่ไม่ใช่....
ในขณะที่ทั้งคู่ยังคงตกตะลึงกับภาพของฝูงซอมบี้ที่เบื้องหลัง ผมทิ้งไม้เบสบอลแล้วตัดสินใจอุ้มโกคุเดระขึ้นทันที
“ เอ๊ะ!!” เขาได้แต่อุทานอย่างมึนงง ผมยกร่างของเขาขึ้นเหนือหัวก่อนจะสอดปลายขาเรียวเข้าไปในช่องแสง จนในที่สุดร่างบอบบางของเขาก็เข้าไปได้จนหมด และดูเหมือนสึกิชิม่าจะคอยรับอยู่ที่ด้านใน
โครม!
ได้ยินเสียงรั้วเหล็กของทางเดินพังลงมาจากทางด้านหลัง เหงื่อเริ่มเกาะพราวมาทั่วใบหน้าพร้อมกับสันหลังที่เย็นวาบ
“ คิโยโกะ!” ผมตะโกนเรียกให้เธอหลุดจากภวังค์ แล้วอุ้มร่างเล็กๆนั่นใส่เข้าไปในช่องแสง
ร่างเล็กยังไม่ทันจะพ้นไปจากช่องแสงดี แต่เวลาก็ไม่มีแม้แต่จะก้มลงหยิบไม้เบสบอล ผมก็รีบเทคตัวขึ้นไปพาดอยู่ระหว่างช่องแสงแบบทันหวุดหวิด เพราะตอนนี้ที่ใต้ขาของผมมีแต่ฝูงซอมบี้อยู่เต็มไปหมด มือซีดเซียวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดพยายามคว้าจับขาของผมไว้ ผมได้แต่รวบรวมแรงทั้งหมดยันพวกมันออกไป สึกิชิม่ากับคาริยะช่วยกันดึงตัวผมเข้าใปด้านในจนสำเร็จจนได้
“ แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก.....ขอบใจ...เฉียดเลยนะเนี่ย” ผมลงไปนั่งหอบอยู่ที่พื้นอย่างไม่อายใคร
“ โอย...หัวใจจะวายว่ะ” สึกิชิม่านั่งลงข้างๆผมอย่างหมดแรง
“ ฮือๆๆๆ” คิโยโกะนั่งลงปิดหน้าร้องไห้ ไหล่เล็กๆสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่หน้าที่ปลอบใจเธอไม่ใช่ของผม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองโกคุเดระที่ยืนมองพวกเราอยู่ห่างๆ จะว่าไปเขาก็ไม่คุ้นเคยกับใครในกลุ่มพวกเราเลยสักคน....รวมถึงผมด้วยละนะ
“ เฮ้ๆ ยามาโมโตะ....นั่นมัน.....” คาริยะกับสึกิชิม่าหันมากอดคอผมพรางกระซิบกระซาบเมื่อทั้งสองคนเห็นแล้วว่าคนที่มากับผมด้วยเป็นใคร
“ ทำไม....โกคุเดระ ฮายาโตะ ห้อง A ถึงมากับนายได้วะ รู้ไหมว่านั่นมันสุดยอดเลยนะเว้ย” ใช่...สุดยอดในหลายๆความหมายเลยละ...ก็อย่างที่บอกว่าโกคุเดระเป็นคนที่เข้าถึงตัวได้ยาก แต่ถึงจะไม่ชอบสุงสิงกับใครและมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่นอกนั้นถือว่าเป็นคนที่เพอร์เฟ็คมากคนหนึ่งของโรงเรียน....ทั้งผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมถึงแม้จะขาดบ่อยแค่ไหนเขาก็ยังสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปีทุกครั้ง ทั้งหน้าตาที่สะอาดหมดจดและบางทียังดูสวยกว่าผู้หญิงจริงๆเสียอีก ทั้งรูปร่างที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอม....จะว่าไปก็มีคนแอบชอบเขาอยู่ไม่น้อยเลยละ
“ พวกนาย....” ไม่ใช่เสียงของผมหรอก แต่เป็นกัปตันที่เดินออกมาจากห้องที่อยู่ติดกัน ใบหน้าภายใต้แว่นตานั่นดูโล่งใจที่ได้เห็นพวกผม
“ กัปตันคะ!...ฮือๆๆ” คิโยโกะโผเข้ากอดรุ่นพี่วาตานาเบะพรางร้องไห้ คงจะเป็นเพราะพวกผมมัวแต่สนใจโกคุเดระแล้วปล่อยให้เธอนั่งตัวสั่นอยู่คนเดียว
หลังจากพักจนลมหายใจกลับมาเป็นปกติ กัปตันพาพวกผมเข้าไปในห้องของชมรมต่อรถซึ่งเป็นโกดังกว้างโล่งและอยู่ในอาคารเดียวกันกับหอประชุม ในนั้นยังมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกสิบกว่าคน และกว่าครึ่งเป็นสมาชิกของชมรมต่อรถ
ดูเหมือนพวกนั้นกำลังวางแผนที่จะใช้รถแวนที่กำลังประกอบคาเอาไว้นี่หนีออกไป
“ เราต้องใช้เวลาอย่างน้อยคืนนึง ในการประกอบเจ้านี่ให้พอวิ่งได้”
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมสมาชิกชมรมเบสบอลที่ไม่มีประโยชน์อย่างพวกผมถึงต้องมานั่งเฝ้ายามอยู่ตามประตูหน้าต่างแบบนี้
ยังไงซะคืนนี้ก็ต้องนอนอยู่ที่นี่....ท่ามกลางดงซอมบี้ที่กำลังตะกายประตูแกร่กๆอยู่ข้างนอก....
โชคดีที่ในอาคารหอประชุมนอกจากโกดังของพวกชมรมต่อรถ อีกฝั่งของอาคารยังมีชมรมการแสดงและชมรมเคนโด้อยู่ด้วย....พวกเรายังมีห้องน้ำให้เข้าและผ้าที่ใช้ห่มให้อุ่นจากชมรมการแสดง...และยังมีอาวุธให้ใช้จากชมรมเคนโด้
ผมก้มลงมองดาบญี่ปุ่นในมือ....ปกติพวกชมรมเคนโด้จะใช้ดาบไม้ไผ่เป็นหลัก แต่ดูเหมือนเจ้านี่จะเป็นดาบที่เอาไว้เคารพ...ถึงจะไม่ดี แต่เวลานี้ก็มีแต่ต้องขอยืมมาใช้ก่อน
ผมนั่งลงเอนหลังพิงโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนมาช่วยดันประตูที่ถูกตีปิดด้วยไม้อย่างแน่นหนาเอาไว้ ข้างๆมีร่างของโกคุเดระนั่งอยู่ด้วยกัน...ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอาคารที่ถือว่าปลอดภัยพอสมควร แต่ผมก็ไม่ไว้ใจพอที่จะให้เขาอยู่ไกลกว่าที่ผมจะมองเห็น เพราะงั้น...ไม่ว่าผมจะไปไหน เขาจะต้องถูกลากไปกับผมด้วย
ถึงจะไม่มีใครกล้าถาม แต่ผมก็รู้ว่าหลายคนมองผมอย่างสงสัย
รวมไปถึงตัวของเขาเองด้วย
“ นี่....” เสียงเบาหวิวของเขาดังขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกันตามลำพังเสียที
“ ยามาโมโตะ ทาเคชิ” ผมหันไปบอกชื่อแซ่ตัวเองพรางยิ้มกว้างให้เขา ใบหน้าสวยชะงักไป ก่อนจะก้มหน้าแล้วพูดต่อ
“ ....ทำไม...ถึงไปช่วยฉัน....” ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกัน....เขาคงอยากจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ก็เงียบไป
“ ฮะ ฮะ...มันอาจจะเป็นเรื่องน่าตลกสำหรับนายนะ แต่ว่าความจริงแล้วฉันแอบมองนายมานานแล้วละโกคุเดระ....อย่าหัวเราะล่ะ ถ้าฉันจะบอกว่าชอบนายน่ะ” มันคงเป็นการสารภาพรักที่ไร้ความโรแมนติกสิ้นดี.....ทำไมผมถึงกล้าบอกออกไปก็ไม่รู้นะ เพราะถ้าอยู่ในสภาวะปกติผมคงไม่มีทางบอกเขาแบบนี้แน่...ผมอาจจะเลือกที่จะเฝ้ามองและแอบรักเขาข้างเดียวต่อไป...เพราะผมยังกลัว...ว่าหากบอกเขาออกไปแล้ว เขาอาจจะรังเกียจเพราะยังไงเราก็เป็นผู้ชายด้วยกัน
“ ฉัน...ไม่เข้าใจ...ทั้งๆที่นายไม่รู้จักฉัน ทำไมถึงได้บอกว่าชอบ?” ถึงคำพูดจะห้วนสั้นและขวานผ่าซากจนน่ากลัว แต่ผมก็แอบเห็นรอยแดงบนแก้มใสของเขา
“ แค่เฝ้ามอง...ทำให้เกิดความรักได้ด้วยหรอ?” เขายังคงถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย และนั่นมันทำให้ผมอมยิ้มก่อนจะหันไปเผชิญหน้าและมองเข้าไปในดวงตาสีมรกตของเขาตรงๆ
“ ถ้าอย่างงั้น....นายก็ลองมองฉันบ้างสิ....แล้วจะได้รู้...ว่ามันทำให้เกิดความรักได้จริงๆหรือเปล่า”
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างก่อนจะเสลงไปมองที่พื้น ใบหน้าใสแดงระเรื่อชวนมองจนผมอยากจะจูบเขาให้รู้แล้วรู้รอด....
เสียงเดินลงส้นหนักๆอย่างตั้งใจจะขัดจังหวะดังเข้ามา โกคุเดระจึงผละกลับไปนั่งกอดเข่าก้มหน้าลงพื้นเหมือนเดิม
“ อาหารเย็นค่ะ....เท่าที่ค้นได้จากที่นี่ก็มีแค่ขนมปังกรอบของพวกชมรมการแสดงเท่านั้นแหละ” คิโยโกะเดินข้ามมาจากอีกฝั่งของหอประชุมพร้อมกับเด็กสาวที่ผมไม่รู้จักอีกคน...ในมือของทั้งคู่ถือถุงพลาสติกที่ใส่บรรดาของกินที่พอหาได้มาแจกจ่าย
“ ให้เราสองคนมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยได้ไหมคะรุ่นพี่ยามาโมโตะ?...ข้างในโกดังนั่นมีแต่กลิ่นน้ำมัน”
“ ไม่ได้หรอก มันอันตราย...ถ้ายังไงก็ไปนอนในห้องของพวกชมรมการแสดงดีกว่ามั้ง” ผมตอบออกไปทันทีพร้อมกับยกมือชี้นิ้วโป้งไปที่ประตูที่อยู่ด้านหลังซึ่งจะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ ช่วยใช้เวลาคิดก่อนตอบนิดนึงก็ได้นะคะ....ไม่อยากให้ใครมาอยู่เป็น กขค.ก็บอกมาเหอะ!” คิโยโกะวางขวดน้ำให้แรงๆก่อนจะเหลือบมองไปที่โกคุเดระด้วยใบหน้าบูดๆ...ผมก็อยากจะตอบออกไปเหลือเกินว่า....เข้าใจแบบนั้นก็ถูกแล้ว
“ ขอตัวละค่ะ!” แล้วเธอก็เดินกระแทกเท้าจากไป
โกคุเดระยังคงนั่งกอดเข่าไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม....ผมรู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่คิโยโกะพูดและก็รู้ด้วยว่าผมรู้สึกยังไงกับเขา....ต้องการ.....อะไรจากเขา...
ถึงแม้เขาจะยังไม่ตอบรับใดๆ แต่แค่เขาไม่ปฏิเสธ ผมก็พอใจแล้ว
มาคิดอีกที...เป็นเพราะเหตุการณ์มันหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ด้วยหรือเปล่านะที่เขายังไม่ปฏิเสธออกมาตรงๆ คงจะไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ....
ผมแอบยิ้มสมเพชตัวเองเล็กๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉวยโอกาสจากเรื่องวุ่นวายนี่...ป่านนี้อาจจะยังไม่ได้พูดคุยกับเขาด้วยซ้ำ
“ คงต้องกินนี่แทนข้าวไปก่อนละนะ” ผมเลื่อนแผ่นกระดาษที่มีขนมปังกรอบวางอยู่ด้านบนไปให้เขา นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมามองหน้าผมก่อนที่มือบางจะเอื้อมมาหยิบขนมปังเข้าปาก....ขณะนี้จึงมีเพียงเสียงขบกัดขนมปังแทนคำพูดระหว่างเราสองคน
โกคุเดระกินไปได้นิดเดียวเขาก็เลื่อนกระดาษวางขนมปังคืนมาตรงหน้าผม มือบางหยิบขวดน้ำไปเปิดก่อนที่ริมฝีปากอิ่มของเขาจะแนบลงไปที่ปากขวด เสียง อึก อึก ระหว่างที่น้ำไหลลงไปตามลำคอระหงของเขาได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบ ผมจ้องมองเขาราวกับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
การดื่มน้ำธรรมดาๆนี่มัน...เซ็กซี่....ได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย?
กว่าจะรู้ตัวว่าผมถูกนัยน์ตาสีมรกตมองกลับมาด้วยสายตาระแวงๆก็ผ่านไปนานทีเดียว เขายื่นขวดน้ำกลับมาให้ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง....แย่ละ....นี่ผมดันเผลอแสดงอาการออกไปมากขนาดไหนกันน่ะ?
ผมจัดการขนมปังกรอบที่เหลือ ก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมามอง....ถึงจะไม่มีร่องรอยอะไรแต่ผมก็เห็นมากับตานี่นาว่าริมฝีปากของเขาเคยแนบลงไปตรงนี้
เหมือนจูบทางอ้อมเลยเนอะ
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้จูบทางตรงมากกว่า
ผมได้แต่นั่งยิ้มกับขวดน้ำ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา สายตาของโกคุเดระที่มองมาก็หวาดระแวงหนักกว่าเก่า ก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะเหล่มองมาที่ขวดน้ำอีกรอบ
“ เอาอีกหรอ?” ผมถามเขาพรางยื่นไปให้....ถ้าเขาดื่มมัน...คราวนี้เขาก็จะได้จูบทางอ้อมจากผมบ้าง
เขาพยักหน้า ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตน กล่องยาขนาดพกพาถูกดึงออกมาและยาเม็ดเล็กก็ถูกเทลงไปบนฝ่ามือ
ผมไม่ได้ถามว่านั่นมันยาอะไร เพราะรู้มาพอสมควรว่าร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรงนัก และเขาคงไม่อยากบอกใครให้มารู้สึกสงสารตัวเอง
“ ยานาย...ยังเหลืออีกเยอะไหม?” เขาทำหน้าสงสัย ผมรีบโบกไม้โบกมือว่าไม่ได้อยากจะขอมากินบ้าง
“ ฉันหมายความว่า ถ้าเราต้องหนีไปแบบนี้อีกหลายวัน ยานายจะพอหรือเปล่า” เขาก้มลงไปนับยาในกล่อง
“ คงกินได้อีกไม่เกินสองวัน”
“ ต้องกินทุกวัน?” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วเรื่องนี้ก็ทำให้ผมหนักใจพอๆกับการวิ่งหนีซอมบี้เลยทีเดียว
“ เฮ้ย! ยามาโมโตะ!” สึกิชิม่าตะโกนขัดจังหวะมาแต่ไกล หมอนั่นวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทำให้ผมคว้าดาบที่วางอยู่ข้างกายโดยอัตโนมัติ
“ มีประตูหน้าต่างตรงไหนพังแล้วหรือไง?” ผมถามด้วยร่างกายที่เริ่มตื่นตัว
“ เปล่าๆ แต่ว่ามีอะไรที่ต้องบอกให้ทุกคนรู้เอาไว้” ใบหน้าที่มีเหงื่อแตกพลั่กนั่นดูจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“ ฉันกับคาริยะนั่งเฝ้าอยู่ที่บานหน้าต่างซึ่งมองเห็นตึกเรียน ที่นั่นยังมีบางห้องที่เปิดไฟ! อาจจะยังมีคนที่เหลือรอดอยู่ก็ได้”
“ แต่ฉันว่า...กัปตันไม่น่าจะยอมให้เราออกไปช่วยใครอีก” ไม่ใช่ว่าใจร้ายหรอกนะ แต่ดูจากศพเดินได้ที่ยั้วเยี้ยอยู่ระหว่างทางแล้วก็อันตรายเกินไป อีกทั้งก็ยังไม่แน่ว่าใครอาจจะเปิดไฟทิ้งเอาไว้โดยที่จริงแล้วไม่มีคนอยู่ก็ได้
“ ฉันก็ไม่ไปด้วยหรอกว่ะ แต่ว่าระหว่างห้องที่เปิดไฟกับปิดไฟเอาไว้ มันต่างกันอยู่น่ะสิ” สึกิชิม่ายังคงพูดต่อไป
“ ก็ไอ้พวกซอมบี้มันจะไปยืนออกันอยู่ที่หน้าห้องที่เปิดไฟเอาไว้ ส่วนห้องที่ปิดไฟทั้งๆที่อยู่ติดกัน พวกมันยังไม่แลเลยว่ะ นั่นแสดงว่า แสงไฟมีผลกับพวกมัน....นอกจากนั้นก็เรื่องเสียง....ฉันลองโยนข้าวของออกไป ปรากฏว่าตรงไหนที่มีเสียงของหล่น พวกมันจะไปรุมกันอยู่ตรงนั้น นั่นแสดงว่าเสียงก็มีผลกับพวกมันเช่นกัน” ผมกับโกคุเดระได้แต่อึ้งกับการทดลองของเพื่อนทั้งสอง...แล้วก็อีกอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อคือ ไอ้พวกซอมบี้ที่อยู่ในโลกของผมมันจะเหมือนหลุดออกมาจากในหนังได้ขนาดนี้
และก็เพราะการทดลองนั้นทำให้ตอนนี้ไฟทุกดวงภายในอาคารหอประชุมถูกปิดทั้งหมด...จะเหลือก็แต่ไฟในโกดังของพวกชมรมต่อรถที่ยังคงต้องเปิดเอาไว้เพราะพวกนั้นยังทำงานกันทั้งคืน อาศัยเพียงผ้าม่านสีดำที่ไปยืมมาจากชมรมการแสดงช่วยบังแสงไม่ให้มันหลุดรอดออกไปนอกอาคาร
ผมถึงได้บอกว่าโชคดีไง...ที่อาคารนี้ยังมีอีกสองชมรมนั่นอยู่ด้วย
“ ดูเหมือนเสียงตะกายผนังข้างนอกจะเงียบไปแล้วนะ แปลว่าการปิดไฟนี่ได้ผล” ผมกระซิบบอกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ถึงแม้ว่าพวกซอมบี้อาจจะไม่อยู่แถวๆนี้แล้วแต่เราก็ยังแบ่งกันเฝ้ายามต่อไป
“ หนาวหรอ โกคุเดระ?” ผมเห็นเขาลูบแขนตัวเองอยู่หลายครั้ง เป็นเพราะว่ากลายเป็นอาคารปิดตาย เพราะงั้นเราจะยังอยู่กันได้จึงต้องเปิดแอร์เอาไว้
ถึงเขาจะส่ายหน้าปฏิเสธแต่ผมก็รู้ว่าเขาหนาว
“ นั่งอยู่นี่แป๊บนึงนะ” ผมวางดาบเอาไว้ข้างมือเขา ก่อนจะลุกแล้ววิ่งไปที่ประตูห้องชมรมการแสดง ผ้าคลุมผืนหนึ่งถูกดึงออกมา และไม่นานผ้าผืนนั้นก็กลายมาเป็นผ้าห่มให้กับเขา
ดูท่าทางเขาจะไม่เข้าใจการกระทำของผม นัยน์ตาสีมรกตแวววาวที่มองเห็นในความมืดจ้องมือผมที่กำลังคลุมผ้าลงบนไหล่เขาอย่างสงสัย....
" ถ้าฉันบอกกับนายว่า....ฉันชอบนาย....เรื่องที่ฉันทำให้นายแบบนี้มันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา" ผมบอกออกไปในขณะที่นั่งลงข้างเขาตามเดิม....นอกจากจะไม่ชอบสุงสิงกับใครแล้วดูท่าทางเขาจะไม่เข้าใจมนุษย์เอาซะมากๆด้วย
ในขณะที่ผมกำลังนั่งอมยิ้มไปกับความอ่อนต่อโลกของเขา ความอบอุ่นที่จู่ๆก็ขยับเข้ามาใกล้ทำให้ผมถึงกับนั่งตัวแข็ง โกคุเดระขยับมานั่งชิดแทบจะติดกับตัวผม ปลายของผ้าข้างหนึ่งถูกยื่นมาให้
" ก็แค่ไม่อยากขอบใจนาย..." เสียงงึมงำดังมาจากใบหน้าที่ก้มซุกอยู่กับผืนผ้า ผมจับปลายผ้าข้างนั้นมาคลุมร่างกายอย่างเกร็งๆ นี่มันมากกว่าที่เคยคิดเอาไว้ตั้งเยอะ มากจนจินตนาการไม่ออกเลยว่ายามที่ผมอยู่ใกล้เขาจนได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้น...มันจะทำให้ผมใจสั่นได้ขนาดนี้
ผมพยายามสงบสติอารมณ์ โดยพยายามไม่จินตนาการถึงใบหน้าและรูปร่างของคนที่อยู่ข้างๆ แต่แล้วก็เป็นเพราะความไม่ระวังตัวของเขาที่ทำเอาผมแทบจะตบะแตก ผมสะดุ้งโหยงตอนที่หัวสีเงินเอนมาซบอยู่ที่ไหล่ ผมเหลือบไปมองใบหน้าใสที่หลับไม่รู้เรื่องไปแล้วพร้อมกับลอบกลืนน้ำลาย.....ทำไมนายใจร้ายแบบนี้โกคุเดระ....ในเมื่อรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับนายก็ช่วยระวังอันตรายจากฉันหน่อยเถอะ
ผมได้แต่ครางหงิงๆอยู่คนเดียวในใจ สรุปว่าทั้งคืนที่ผ่านมาผมไม่สามารถจะข่มตาหลับได้เลยซักงีบ...
“ ตื่นได้แล้วพรรคพวก! ไม่รู้ว่าพวกนั้นต่อรถกันเสร็จหรือยังนะ?...เฮ้ย คาริยะ นายอย่าหลับตาเวลาเดินสิ!” เสียงสดใสไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เริงร่าได้สมเป็นสึกิชิม่า ดังขึ้นทักทายพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาผมกับโกคุเดระ แขนแข็งแรงของหมอนั่นเกี่ยวคออีกคนที่เดินครึ่งหลับครึ่งตื่นมาด้วยกันเพื่อไม่ให้ล้มลงไป....ถ้าสึกิชิม่าเป็นพวกเบิกบานได้ทุกสถานการณ์...คาริยะก็คงเป็นพวกที่พร้อมจะนอนได้ตลอดเวลาละมั้ง ผมเห็นหมอนั่นตื่นเฉพาะเวลาที่เล่นเบสบอลเท่านั้นแหละ
“ แล้วนายไม่ต้องเฝ้าหน้าต่างทางนั้นแล้วหรอ?” ผมเอ่ยถามในขณะที่สึกิชิม่านั่งลงยืดแข้งยืดขาด้วยท่าทางสบายๆ
“ เจ้าโซสุเกะมาเปลี่ยนเวรแล้วน่ะ ความจริงจะว่าเปลี่ยนเวรก็ไม่เชิงเพราะหมอนั่นเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน เห็นว่านั่งเฝ้าสัญญาณวิทยุอยู่น่ะ”
“ สัญญาณวิทยุ?”
“ อื้อ! วิทยุที่ปกติติดอยู่ในรถน่ะ พวกชมรมต่อรถแกะออกมาให้....รู้สึกว่าจะมีคลื่นที่ส่งมาจากวิทยุชุมชนบ้างอะไรบ้างที่บอกว่าที่ไหนยังปลอดภัยอยู่ ให้ไปรวมตัวกันอะไรประมาณนี้...เห็นหมอนั่นบอกว่าตรงหน้าต่างที่พวกฉันนั่งเฝ้าคลื่นค่อนข้างดีกว่าในโกดังน่ะ” สึกิชิม่าพูดไปก็จับหัวที่เริ่มสัปหงกไปของอีกคนไม่ให้กระแทกลงไปกับพื้น จนในที่สุดก็ทนรำคาญไม่ไหว มือใหญ่ๆนั่นเลยจับหัวคาริยะแล้วกดให้ลงไปนอนดีๆที่ท่อนขาของตน
“ นายว่า....คนอื่นๆในชมรมของเรา...จะยังปลอดภัยดีไหมวะ....” เป็นคำถามที่ผมได้แต่นิ่งงัน และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ นัยน์ตาของพวกเราได้แต่เหม่อลอยอย่างที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะต้องเจอกับอะไร ถึงแม้จะหนีออกไปจากโรงเรียนได้แล้วจะมีชีวิตรอดแน่หรือเปล่า...
“ อือ....คิดว่าเตรียมตัวกันได้แล้วละ...เหลือแค่เช็คสภาพรอบสุดท้ายใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง เราก็น่าจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว....” รุ่นพี่คาซาโนริ...ประธานชมรมต่อรถในสภาพยับๆขยับริมฝีปากบ่นพึมพำออกมา ขอบตาดำคล้ำที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนบวกกับผมยาวยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงที่ถูกรวบเอาไว้ลวกๆ ทำให้คนคนนี้ดูไม่ต่างจากซอมบี้ข้างนอกมากนัก
“ พวกเราคิดว่าจะลองไปที่ ที่ว่าการเมืองดู เพราะล่าสุดมีสัญญาณวิทยุส่งมาจากที่นั่นว่ายังปลอดภัยดีและเป็นสถานที่รวมตัวแห่งใหญ่ทีเดียว” กัปตันชมรมเบสบอลที่ยังคงเนี้ยบเสมอต้นเสมอปลายขยับแว่นอธิบายต่อจากประธานชมรมต่อรถ...จะว่าไปสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทที่ไม่มีใครคิดว่าจะเข้ากันได้ด้วยบุคลิกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่น
“ สึกิชิม่ากับยามาโมโตะ ช่วยปีนขึ้นไปดูทางช่องแสงให้หน่อย ว่าที่ประตูข้างทางสะดวกแค่ไหน....เราอาจจะต้องเปิดประตูม้วนนี่แล้วขับรถออกไปทางประตูข้างซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด”
“ ครับ”
“ พวกผู้หญิงก็ รวบรวมอาหารแล้วขึ้นไปนั่งรอบนรถได้เลย”
“ ค่ะ”
“ โซสุเกะ ฟังวิทยุต่อไป อย่าให้พลาดแม้แต่วินาทีเดียวนะ เพราะที่ที่จะไปคือความหวังของพวกเรา”
“ ครับ”
“ ส่วนคาริยะ...เฮ้ยคาริยะตื่น!...นายกับโกคุเดระคุง...ช่วยเดินดูรอบสุดท้ายให้ทีว่ายังพอมีอาวุธที่ใช้ได้ไหม ถ้ามีก็ให้เอาขึ้นรถไปด้วย”
“ อื้อ...”
“ เอาละ แยกย้ายได้!”
“ นายไหวใช่ไหม?” สิ้นคำสั่งของกัปตัน ผมขยับเข้าไปหาโกคุเดระ เขาพยักหน้ารับแล้วเดินไปกับคาริยะ ถึงผมจะเป็นห่วงอยู่บ้างแต่เวลานี้มีแต่ต้องทำตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพราะหากพลาดอะไรไป อาจจะหมายถึงชีวิตของทุกคนที่อยู่ที่นี่
“ ผิดคาดเลยแหะ....ไม่คิดว่าคนที่กุมหัวใจของยอดชายหมายเลขหนึ่งของชมรมเบสบอลเอาไว้ได้จะเป็นโกคุเดระ ฮายาโตะ” เจ้าเพื่อนตัวดี สึกิชิม่ายังอุตส่าห์มาแซวในขณะที่กำลังปีนขึ้นไปยังช่องแสงเหนือบานประตู
หลังจากที่ไม่ได้เห็นโลกภายนอกมาหนึ่งคืนเต็มๆ แสงแดดอ่อนๆที่พวกผมโหยหามันก็มาพร้อมกับภาพที่ทำเอาขนลุก ผมกับสึกิชิม่าได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย
ทั่วทั้งโรงเรียนแทบจะเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ จากโรงเรียนเอกชนที่เคยได้ชื่อว่าสวยที่สุดของเมืองนามิโมริ บัดนี้กลับไม่ต่างไปจากซากอาคารที่ถูกทิ้งร้าง กระจกทุกบานแตกยับ ผนังก็เต็มไปด้วยคราบเลือด รั้วเหล็กดัดหงิกงอถูกทิ้งอยู่ตามพื้น ต้นไม้ใบหญ้าถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ที่น่าอนาถจนไม่กล้ามองมากกว่าคือซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นซึ่งกองอยู่ตามพื้น
แค่คิดว่าตนอาจจะต้องเป็นแบบนั้น ก็แทบอยากจะอ้วกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ผมสะบัดหัวไล่ความพะอืดพะอมทิ้งไป....จะต้องไม่ให้ตัวเองและทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นแบบนั้น....ผมกับสึกิชิม่าพยายามมองออกไปให้ไกลที่สุด ยังดีที่ทางที่เราคิดว่าจะไปยังดูโล่งกว่าที่อื่นๆ
โครม!!
เสียงดังโครมครามมาจากอีกฟากของหอประชุมทำให้ผมกับสึกิชิม่าหันไปมองเป็นตาเดียว
“ โกคุเดระ!!”
“ คาริยะ!!”
ผมกับสึกิชิม่าตะโกนพร้อมกันก่อนจะรีบปีนลงมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า สองคนนั้นน่าจะอยู่แถวนั้น
“ คาริยะ!! เกิดอะไรขึ้น?!” ผมวิ่งเข้าไปในห้องชมรมเคนโด้ก่อนที่จะมองเห็นแผ่นหลังของหมอนั่นกำลังดูเหมือนจะยันอะไรบางอย่างอยู่
“ สึกิชิม่า ยามาโมโตะ! ช่วยด้วย หน้าต่างในห้องเคนโด้ต้านไว้ไม่อยู่แล้ว!” ผมใจหายวาบขึ้นมาทันที สองขารีบวิ่งเข้าไปโดยไม่ต้องยั้งคิด สายตามองเห็นโกคุเดระกำลังใช้สองมือดันแผ่นไม้ที่ตีปิดหน้าต่างที่กำลังจะพังลงมากับคาริยะที่เอาไม้เบสบอลยันใบหน้าและมือที่ยื่นเข้ามาตามช่องให้ออกไป
“ สึกิชิม่า วิ่งไปบอกกัปตันที ว่าเราต้องออกไปเดี๋ยวนี้!” ผมตะโกนบอกสึกิชิม่าที่วิ่งตามมา ส่วนสายตาก็มองหาว่ามีอะไรพอจะช่วยสองคนตรงหน้าได้บ้างไหม
“ แต่ว่า” สึกิชิม่ายังลังเล
“ ไปสิ!” ผมตะโกนออกไปพร้อมสองมือที่คว้าเก้าอีกตัวหนึ่งขึ้นมา
“ โกคุเดระ หลบ!!!” สิ้นเสียงของผม เขาก้มหลบลงทันที พอดีกับเก้าอี้ในมือที่ฟาดไปยังบานหน้าต่าง ทำให้บานทั้งบานหลุดกระเด็นออกไปพร้อมๆกับฝูงซอมบี้ที่ล้มระเนระนาด
“ มานี่เร็ว!!” ผมคว้าข้อมือของเขาพร้อมวิ่งกลับเข้ามายังโถงใหญ่ของหอประชุม
ปึง!!!
คาริยะปิดประตูไม้ที่เชื่อมต่อระหว่างห้องชมรมเคนโด้กับหอประชุมได้พอดิบพอดี และก็ได้ยินเสียงตะกายประตูอยู่ที่อีกฝั่งแทบจะทันที
เอี๊ยด!!!
เสียงเบรกดังขึ้นพร้อมกับที่ท้ายรถแวนถอยมารับพวกเรา สึกิชิม่ายื่นมือมาดึงผมกับอีกสองคนขึ้นรถ ได้ยินเสียงเหยียบคันเร่งดังกระหึ่มก้องหอประชุม ผมนั่งลงกับพื้นรถแวนอย่างที่หัวใจยังเต้นระรัว มือจับมือของโกคุเดระเอาไว้แน่น เขาเองก็ดูจะตื่นกลัวอยู่ไม่ใช่น้อย
ผมหันไปมองหน้าเขาก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงว่า ไม่เป็นไร....ไม่ต้องกลัว...
มีแรงบีบน้อยๆที่มือส่งกลับมา….
“ พร้อมจะออกไปสู่โลกกว้างกันแล้วใช่หมายยยย....” เสียงยานคางดังมาจากรุ่นพี่คาซาโนริที่รับหน้าที่คนขับ ถึงสภาพจะดูไม่ค่อยน่าไว้ใจแต่ก็ยังดีกว่าคนในชมรมต่อรถคนอื่นที่บัดนี้หลับกองอยู่ที่พื้นรถแวน
“ ไปซักทีเหอะน่า” กัปตันของผมพูดออกมาอย่างรำคาญ
รถแวนออกตัวอย่างรวดเร็วในจังหวะเดียวกับที่ประตูไม้ซึ่งยันฝูงซอมบี้เอาไว้แตกกระจาย ประตูเหล็กม้วนของชมรมต่อรถถูกกดรีโมตให้เปิดขึ้นช้าๆ
เอี๊ยด!!!
พวงมาลัยรถหมุนไปในขณะที่ขาก็เหยียบคันเร่ง และไม่ว่าซากศพตัวไหนจะมาเดินขวางหน้า รุ่นพี่คาซาโนริก็พุ่งชนไม่มีเว้น พวกผมได้แต่นั่งอึ้งกับวิธีการขับรถที่บ้าระห่ำไม่สมหน้าตาของพี่แกแม้แต่น้อย
แสงแดดอบอุ่นที่ได้สัมผัสด้วยร่างกายอีกครั้งนั้นช่างน่าคิดถึง เช้าวันใหม่คงจะเป็นอะไรที่เราอยากจะพบเจอเป็นที่สุด....
รถพุ่งทยานออกไปจากรั้วของโรงเรียนนามิโมริจนได้ ในขณะที่สัญญาณภาพติดๆดับๆเริ่มกลับมาปรากฏบนจอโทรทัศน์ขนาดจิ๋วที่ติดอยู่ในรถ
ดาวเทียมที่ไหนสักแห่งอาจจะยังทำงานตามระบบที่ตั้งเอาไว้ ภาพจากมุมสูงทำให้เห็นสภาพทั่วไปของเมืองนามิโมริ
และภาพที่ฉายอยู่นั้นทำให้ไม่รู้ว่าจะดีใจที่ได้ออกมาหรือว่ายังไงดี?
น้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก มือของทุกคนเริ่มชื้นเหงื่อ เช่นเดียวกับสายตาที่ต่างจ้องมองเข้าไปในจอภาพด้วยความเงียบงัน
นี่มัน.....อะไรกัน.....?
.
.
.
.
.
.
.
To be Con.
เหะ เหะ ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า ฟิคเรื่องนี้แต่งให้เนียน เนื่องในโอกาสวันเกิดมัน เพราะงั้น....เอาซะหน่อย
ฮี่ๆๆๆ กินไหม....จะกินละเปล่ายาเมะ >w<
ไปต่อตอนที่ 3 กันดีก่า.....ครึ ครึ
หึหึหึ แอบยิ้มตรงนี้มากเลยค่ะ
ตอบลบเขาคงจะสงสัย ว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะจับมือเขาและเอาร่างเข้าปกป้องเขา แทนที่จะเป็นเด็กผู้หญิงสองคนนั้น
ไม่ต้องสงสัยหรอกลูกเอ้ยยย ที่ทำไปก็เพราะทั้งรักทั้งหลงและอยากปกป้องนั่นแหล่ะ ให้ตายเถอะ คำว่าปกป้อง ช่วยเหลือ ตายแทนอะไรเทือกนี้มันยิ่งทำให้รู้สึกดีมาก แล้วชอบตรงที่ฉากอิเนียนเอาไม้เบสบอลฟาดหัวซอมบี้นี่แหล่ะค่ะ จะว่าไปไม่ว่าหมอนี่จะจับอะไรเป็นอาวุธ มันก็ดูดีไปหมดเลยแฮะ หล่อมากอ้ะ >///<
ยิ่งชอบเรื่องนี้เข้าไปเรื่อยๆเลยค่ะ แบบทุกคนช่วยกันเพื่อเอาชีวิตรอดอ่ะ ส่วนอิเนียนมันก็จับก็จ้องไปที่หนูก๊กทุกวินาทีแบบนี้ ไม่กลัวเขาจะเขินบ้างรึไง!! ชะ คนอ่านหน้าร้อน อมยิ้มจนปวดกรามไปหมดแล้วเฟ้ยย แล้วมันอะไรกันนั่น!!!
คนอะไรกินน้ำได้เซ็กซี่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โอยๆๆ ไม่สงสารหัวใจอิเนียนมันเลยนะหนูก๊ก นี่ถ้ามันไม่คิดหน้าอินทร์หน้าพรหมหนูเสร็จไปแล้วเชื่อมี้มั้ยหืออ? แต่ก็นะ แบบนี้ใครมันจะไปทนไหว ยืนยันนอนยันว่าเรื่องนี้ หนูก๊ก เซ็กซี่มากค่าาาาาาา >.<
ใช่เลยยัยผู้จัดการ ที่หล่อนคิดน่ะถูกต้องแล้ว ขำพรืดด้วยอารมณ์สะใจว่า ยามะมันร้ายจริงๆสิ นี่ถ้ามันพูดออกมา มีหวังคิโยโกะได้ช็อคแล้วล้มตึงลงตรงนั้นแน่ๆ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก แล้วก็เริ่มออกรถแล้ว เราก็ติดตามตอนต่อไป
โกคุกินเซ็กซี่มากกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอบลบไม่แปลกเลยที่ยามะมันจะมองค้างอย่างนั้น
มีการคิด จูบทางตรง จูบทางอ้อมด้วยเว้ยเฮ้ย
หมั่นไส้ยัยคิโยโกะเพิ่มขึ้นมาอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หล่อนจะอยู่เฉยๆ ไม่แสดงความคิดไม่ได้เหรอ ทำตัวให้มันดีๆ หน่อยสิ อย่าเยอะสิวะ
ทุกคนร่วมมือกันสุดๆ เลย เพื่อเอาชีวิตนี่นะ แต่ละคนคุมสติกันได้ เก่งอ่ะ นับถือๆๆ
..นิดนึงนะ แอบจิ้นสึกิชิม่ากับคาริยะ ...น่ารักดีไปอีกแบบน้อ ><
"แค่เฝ้ามอง....ก็เกิดความรักได้เหรอ" โกคุเอ้ย ถ้ามองด้วยตาเฉยๆ ก็อาจจะแค่ชม แต่ยามะมันใช่หัวใจมอง เหมือนที่แม่ยกหนูใช้หัวใจมองหนูไง แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่านตอนนี้แล้วรู้เลยว่า ยามะมันหลงโกคุแบบโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงยามะ หลังจากผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้ โกคุไม่รักเอ็งก็ให้มันรู้ไป
....แต่ถึงไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ ยังไงเราก็เชื่อว่ายามะต้องทำให้โกคุรักได้อย่างแน่นอน
รอลุ้นตอนต่อไปค่า
โหย ยามะสุดๆ ไปเลยอ่ะ คิดไปไกลเลยนะเนี่ย ทั้งเรื่องจูบทางอ้อมเอย ก๊กกินน้ำแล้วเซ็กซี่เอย ในหัวมีแต่เรื่องแบบนี้เหรอคร๊าาา ยามะ ><
ตอบลบโอ้ย เดาไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ ตื่นเต้นๆๆๆๆ >w<
ตอบลบเนียนเอ๊ยยยยยยยย
ตอบลบแค่ก๊กดื่มน้ำก็ยังมโนนะ
นี่ถ้าไม่ใช่ว่าหนีซอมบี้กันอยุ่นายคงจับก๊กกดแล้วใช่ม๊ายยยยยยยย
บทพูดตรงนี้ของเนียนชวนเขินมาก
“ ถ้าอย่างงั้น....นายก็ลองมองฉันบ้างสิ....แล้วจะได้รู้...ว่ามันทำให้เกิดความรักได้จริงๆหรือเปล่า”
แล้วสรุปว่าจริงๆแล้วที่ก๊กบอกว่าป่วยนั้น
ก๊กเป็นอะไรกันแน่
ทำไมมันชวนลุ้นแบบนี้
ตื่นเต้นอ่ะ