KHR Au.fic HBD.Hayato [8059] Lipstick : 01
: KHR Fanfiction AU
: 8059
: E+Ro+man+tic [เรทเชี่ยไรของมันเนี่ย?]
: NC-17
: AU โคตรๆเลยนะคะ *w*
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาจากใบหน้าหล่อคมที่ติดจะนิ่งเฉย นิ้วเรียวยาวที่คีบมวนบุหรี่เอาไว้มีร่องรอยจากการถูกเส้นโลหะอะไรบางอย่างเสียดสีเป็นประจำ ขี้บุหรี่ถูกเคาะลงที่จานก่อนที่ใบหน้านั้นจะถอนหายใจออกมา มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นเสยเส้นผมสั้นสีดำสนิท
คิดไม่ออก....
นัยน์ตาสีเปลือกไม้ชายมองที่กระดาษโน้ตซึ่งวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะตัดสินใจขยี้บุหรี่ในมือกับจานแล้วยกเบสที่เคยวางอยู่บนหน้าตักย้ายไปไว้บนโซฟาสีดำที่นั่งอยู่
ออกไปเดินเล่นซักหน่อยดีกว่า.....
ร่างที่ลุกขึ้นยืนนั้นมีรูปร่างสูงยาวเข่าดี มีกล้ามเนื้อที่กำลังสมส่วนหากจะบอกว่าเป็นนายแบบก็คงจะเชื่อได้ไม่ยาก ร่างที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำกำลังเดินผ่านหน้าประตูห้องของตัวเองออกไป รูปที่ติดอยู่หลังบานประตูขยับไหวเมื่อได้รับแรงจากการปิด สะท้อนให้เห็นภาพของคน 4 คนยืนอยู่ในรูป
มันคือโปสเตอร์ของวงร็อคที่กำลังมีชื่อติดอยู่ในอันดับต้นๆของญี่ปุ่นในขณะนี้
และคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปก็เป็นมือเบสเพียงหนึ่งเดียวของวง
ยามาโมโตะ ทาเคชิ....
กลิ่นสายลมฤดูหนาวโชยมาปะทะใบหน้าเมื่อผมก้าวขาเดินออกมาจากคอนโด เงยหน้ามองรอบๆกายก็มีเพียงใบไม้แห้งๆที่ถูกพัดปลิวท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน แสงไฟทางเดินส่องสลัวๆด้วยความเงียบงัน เพราะแถวๆนี้นั้นเป็นย่านพักอาศัยที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี....ผมถึงได้เลือกที่จะมาอยู่ที่นี่
อย่างน้อยๆตอนนี้มันก็สงบพอสำหรับมือเบสที่เนื้อหอมเกินความจำเป็นแบบผม
ขายาวก้าวไปตามทางเดินข้างๆตึกสูงเสียดฟ้าซึ่งในจำนวนนั้นมี “บ้าน” ของผมอยู่ สายลมเย็นๆทั้งๆที่อยู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงชวนให้แหงนหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด....แต่ทว่าเมื่อผมลืมตาขึ้นมา....จุดขาวๆบางอย่างก็กำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้าช้าๆ....
หิมะ?......
แต่ยิ่งใกล้เข้ามามันกลับยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ.....เรื่อยๆ.....
“ หว๋า~~~~” และเสียงร้องของเจ้าจุดขาวๆนั่นมันก็ทำให้ผมเบิกตากว้าง
โครม!!!!
เสียงล้มดังสนั่นเมื่อเจ้าจุดที่ว่านั่นหล่นลงทับที่ตัวผมพอดีทำให้ผมหงายหลังอย่างไม่มีทางเลือก ถึงจะรู้สึกว่าหนักแต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้สติของผมดับวูบ ผมยังรู้สึกตัวดีทุกอย่างแต่ทว่าไอ้ความขาวโพลนที่อยู่รอบๆตัวผมนี่มันคืออะไรกัน?
“ ชู่วววว...อย่าส่งเสียงนะ!” ไอ้จุดที่มันหล่นลงมาทับผมกำลังเอานิ้วแตะลงไปที่ปากแถมบอกไม่ให้ผมส่งเสียงใดๆอีกต่างหาก ผมจึงทำได้แค่อยู่เงียบๆแล้วจ้องมองสิ่งที่นั่งอยู่บนตัวผมอย่างพิจารณา....เป็นเด็กผู้หญิงหรือเปล่า...รู้แต่ว่าขาวมาก...ขาวทั้งผิวพรรณ ใบหน้า และสีผม....มีเพียงดวงตาสีมรกตสุกใสที่มีสีต่างออกไป
กระต่าย?......
ผมเผลอหัวเราะเบาๆทำให้คนตรงหน้าหันมาค้อนขวับพรางส่งสายตาดุๆมาให้
“ ก็บอกว่าอย่าส่งเสียงดังไง ไม่ได้ยินหรอ!!” ตัวเองไม่ใช่หรือไงนั่นที่ส่งเสียงดัง....ผมยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้....ว่าแต่เด็กคนนี้จะนั่งอยู่บนตัวผมอีกนานเท่าไหร่?
“ นี่มัน....ผ้าปูเตียง?” ผมพูดเบาๆเมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัว ไอ้สิ่งที่ผมคิดว่ากำลังขาวโพลนนั้น แท้ที่จริงแล้วมันคือผ้าที่กำลังคลุมร่างของเราสองคนอยู่
“ ปลอดภัยแล้วมั้ง...” ร่างสีขาวบนตัวผมขยับหน้าโผล่ออกไปจากผ้าปูเตียง หลังจากหันไปหันมาอยู่พักใหญ่ร่างที่บางกว่าผมครึ่งนึงก็ลุกออกไปดื้อๆ...อ้าว...แล้วผมล่ะ?
ผมเลิกผ้าปูที่นอนออกจากร่างกายด้วยหงุดหงิดเล็กๆ เด็กนั่นหล่นลงมาทับผมแท้ๆแต่ก็ไม่ขอโทษซักคำ แถมนี่ยังหนีไปคนเดียวอีกต่างหาก.....แต่หลังจากที่หลุดออกมาจากผ้าได้ผมจึงพึ่งเห็นว่าเจ้ากระต่ายหล่นสีขาวนั่นยังไม่ได้กระโดดหนีไปไหน เพียงแต่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆเท่านั้น ใบหน้าสวยๆนั่นรู้สึกคุ้นตาผมอย่างน่าประหลาด...เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?
“ มองอะไร?” ดุอีกแน่ะ....เจ้ากระต่ายสีขาวส่งสายตาขวางโลกมาให้ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ นี่เธอ....ไต่ผ้าปูที่นอนลงมาจากตรงนั้นหรอ?” ผมแหงนมองผ้าปูที่นอนหลายผืนที่ผูกติดกันห้อยต่องแต่งอยู่กับระเบียงห้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ต่ำเลยสักนิด....ผมมองเจ้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างอึ้งนิดๆ....แต่ที่ไม่คิดยิ่งกว่าคือ..... “ยังมีคนใช้วิธีหนีแบบโบราณๆอย่างงี้อยู่อีกหรอเนี่ย ฮะฮะ”
“ แก๊!!!” ใบหน้าสวยที่เชิดขึ้นหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมทันที ร่างบางๆเดินปึงปังหนีไปอีกทาง....แล้วมันก็ดันบังเอิญเป็นทางที่ผมกำลังจะเดินไปพอดีซะด้วย....
“ จะตามมาทำไม?” คนที่เดินอยู่ข้างหน้าหันมาด้วยใบหน้างอง้ำ
“ ฉันจะไปที่สวนสาธารณะข้างหน้านี่ แล้วมันก็ต้องเดินผ่านทางนี้”
“ งั้นก็รอให้ฉันเดินผ่านไปก่อนสิ!” ให้ตายเถอะ...เจ้ากระต่ายที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าตัวนี้เป็นใครกันถึงได้เอาแต่ใจอย่างร้ายกาจขนาดนี้...และนั่นมันก็ยิ่งกระตุกต่อมอยากแกล้งของผมขึ้นมาทันที
“ เฮ้ย! ปล่อยนะ!!” ผมจับหมับลงไปที่มือเย็นเฉียบก่อนจะลากให้เดินไปด้วยกัน
“ หรือว่าแกจะเป็นพวกสโตรกเกอร์?” เสียงถามปนกังวลนั่นทำให้ผมหันหน้ากลับไปมองด้วยแววตาสงสัยสุดขีดและดูเด็กนั่นจะอึ้งไปก่อนจะกลับมาปรับสีหน้าให้เชิดขึ้นดังเดิม
“ ปะ...เปล่า...ไม่มีอะไร” มีแหงแซะ...เพราะผมได้ยินเต็มสองรูหูว่าเด็กนั่นเรียกผมว่าสโตรกเกอร์....กล้าเรียกมือเบสที่ดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างผมว่าสโตรกเกอร์?!
“ นี่....เธอไม่รู้จักฉันจริงๆหรอ?” เด็กรุ่นราวคราวนี้ก็น่าจะได้เดินผ่านชิบูย่าบ้างแหละน่า...หรือจะแกล้งทำเนียนเป็นไม่รู้จักเพื่อจะเข้ามาใกล้ชิดผมกัน? ผมเจอแฟนเพลงมาหลายรูปแบบจนนึกแผนการของเด็กพวกนั้นออกหมดไส้หมดพุง อย่าหวังมาหลอกกันซะให้ยาก...
“ รู้จักสิ หน้าอย่างงี้....หมาใช่ไหมล่ะ?!....แล้วก็เลิกเรียกฉันว่า เธอๆๆๆซักที เห็นหน้าแบบนี้แต่ฉันเป็นผู้ชาย! แล้วก็ปล่อยด้วย!!” งานนี้มีอึ้งไปถึงสามดอกครับ....เรียกผมว่าหมา...เป็นเด็กผู้ชาย....แล้วก็จะให้ปล่อยด้วย!
“ ฮะ ฮะ ฮะ...” ทำไมหน้าสวยๆแบบนั้นถึงได้ปากคอเลาะร้ายนักนะ ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ซึ่งนานๆทีผมถึงจะเป็นแบบนี้...
ปกติแล้วนอกจากเวลาอยู่กับเพื่อนในวง ผมมักจะทำหน้าตานิ่งเฉยอยู่เสมอ ผมไม่ยิ้ม ผมไม่หัวเราะ เพราะมันคืออีกหน้ากากหนึ่งซึ่งผมจำเป็นต้องใช้เพื่ออิมเมจของวง แฟนเพลงเลยมักจะมองเห็นว่าผมเท่ห์ ผมเงียบขรึม หรือแม้แต่มืดมน.....แต่ความจริงแล้วผมก็เป็นแค่ผู้ชายที่อยากจะหัวเราะเมื่ออยู่ต่อหน้าใครสักคนที่เชื่อใจก็เท่านั้น....
“ บ้ารึเปล่า ชั้นด่าแกอยู่นะ! หรือว่าหมามันไม่เจ็บพอ...ถ้างั้น....ไอ้หัวฟักทอง ไอ้สมองวาซาบิ ไอ้...อื้อ!!”
“ เงียบๆน่า...เวลาแบบนี้เราไม่ควรส่งเสียงดังนะรู้ไหม” ผมเอามือตะปบปิดปากช่างเจรจานั่นซะ....แน่นอนว่าผมไม่ได้ใส่ใจหรอกว่ามันจะไปรบกวนใคร ผมก็แค่เป็นห่วงตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาพบเจอหรือมองเห็นเพียงเพราะเสียงด่าเจื้อยแจ้วของเจ้ากระต่ายตัวนี้
ผมลากร่างสีขาวติดมือไปด้วย และเมื่อเห็นว่าปากสีระเรื่อนั่นหยุดโวยวายผมจึงยอมปล่อยมันให้เป็นอิสระ
“ บอกให้ปล่อยมือด้วยยังไงล่ะ ฉันกำลังวุ่นวายอยู่กับการหนีออกจากบ้าน เพราะงั้นไม่มีเวลามาแวะเล่นกับหมาอย่างแกหรอกนะ” คำก็หมา...สองคำก็หมา...ผมชักอยากจะรู้แล้วสิว่าผมเหมือนหมาตรงไหน? ทั้งๆที่ใครต่อใครต่างก็รู้จักผมในฐานะมือเบสของวงร็อคชื่อดัง
“ ฮะ ฮะ ตัวแค่นี้คิดจะหนีออกจากบ้านแล้วงั้นหรอ” ผมมองคนตรงหน้าตั้งหัวจรดเท้า จริงๆแล้วผมก็ดูไม่ออกหรอกนะว่าเด็กนี่อายุเท่าไหร่กันแน่แต่คิดว่าน่าจะเด็กกว่าผมซักสี่ห้าปี ร่างบางๆอยู่ในเดรสกระโปรงสั้นเหนือหัวเข่าแขนยาวสีขาวซึ่งเป็นผ้าที่มีขนดูนุ่มนิ่ม ฮูดด้านหลังทบสูงจนปิดคอมิด....ก็เพราะแต่งตัวแบบนี้น่ะสิผมถึงได้เข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง
“ แถมยังปลอมตัวเป็นผู้หญิง?”
“ ไม่ได้ปลอมตัวแต่มันเป็นงาน อ๊ะ!” ดูเหมือนจะมีคำพูดบางอย่างหลุดปากออกมาทำให้มืออีกข้างที่ว่างรีบตะปบลงไปที่ริมฝีปากสีระเรื่อของตน
“ งาน?”
“ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน”
“ โอเค...” ผมก็ไม่ได้มีเวลามายุ่งเรื่องของเด็กหลงซักเท่าไหร่หรอกนะ….แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมไม่ยอมปล่อยมือข้างนั้นไปเสียที
ผมกับเขาเดินไปตามทางเล็กๆที่มีแต่เศษใบไม้ที่ร่วงลงมา เจ้ากระต่ายสีขาวที่หล่นจากฟากฟ้าซึ่งเดินอยู่ข้างๆนั้นราวกับเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดที่รายล้อมรอบตัว...สีขาว....สีที่ตรงกันข้ามกับผมอย่างสิ้นเชิง
“ กินอะไรไหม?” ผมหยอดเหรียญลงไปในตู้ขายน้ำอัตโนมัติ ก่อนจะกดกาแฟร้อนกระป๋องหนึ่งสำหรับตัวเอง นัยน์ตาสีมรกตกำลังจับจ้องอยู่ที่กระป๋องตัวอย่างมากมายที่วางอยู่ในตู้....สงสัยว่าเด็กนี่จะไม่รู้จักผมจริงๆ....แต่มันก็เป็นไปได้เพราะผมเองก็ยังไม่รู้จักเพื่อนร่วมวงการคนอื่นๆเลย...ผมไม่ได้สนใจ....แล้วก็ไม่คิดที่จะใส่ใจอะไรนอกไปจากการได้ทำดนตรี...
“ ............” ริมฝีปากสีระเรื่อนั่นไม่ได้ขยับพูดอะไร แต่นัยน์ตาสีมรกตกลับแลมองมาที่กระป๋องในมือผม
“ เอ้า!” ผมแนบกระป๋องอุ่นๆไปที่ใบหน้าเนียนใส นัยน์ตาสีมรกตปิดลงข้างหนึ่งก่อนที่สองมือบางจะยื่นมารับไว้
สวนสาธารณะอยู่ตรงหน้า ผมเดินไปหยุดพิงราวเหล็กของเครื่องเล่นเด็กแล้วยกกระป๋องกาแฟขึ้นเปิด ได้แต่ปล่อยให้หัวสมองว่างเปล่าเผื่อว่าผมจะนึกท่วงทำนองดีๆที่เบสของผมต้องการออกมาได้บ้าง แล้วในขณะที่เหม่อมองไปในแสงสลัวๆยามค่ำคืน สีขาวบริสุทธิ์ของเจ้ากระต่ายหล่นก็เดินผ่านหน้าไปนั่งลงยังชิงช้าที่อยู่ไม่ไกล
ทั้งๆที่ผมปล่อยมือไปแล้วแท้ๆ
เสียงชิงช้าขยับไหวไปมากับภาพใบหน้าสวยที่อมยิ้มน้อยๆกำลังลอยละล่องอยู่ในอากาศมันทำให้ผมเผลอจ้องมอง ขนสีขาวจากเสื้อที่คนตรงหน้าสวมอยู่นั้นยิ่งขับให้เกิดประกายจนผมไม่อาจละสายตาไปได้....ราวกับมีปุยของหิมะระยิบระยับอยู่รอบกายของเจ้ากระต่ายที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด....
สวย.....
ท่วงทำนองที่ดังขึ้นในใจของผมทำให้ขยับกายหมายจะกลับไปที่บ้านเพื่อจดมันเอาไว้
“ ตกลงนายไม่หนีออกจากบ้านแล้วหรอ?” ผมเดินเข้าไปถามเจ้ากระต่ายสีขาวที่ยังนั่งอยู่บนชิงช้า
“ ลืมไปว่าไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา...มีเงินให้ยืมไหม? ส่งมา” นี่ยืมของหรือขู่กรรโชกกันแน่เนี่ย...ผมถอนหายใจก่อนที่จะคว้ามือบางนั้นไว้อีกครั้ง
“ ฉันจะพากลับบ้านก็แล้วกัน” แล้วผมก็ฉุดกระชากลากถูร่างบางๆนั่นให้เดินกลับไปยังคอนโดด้วยกัน...หล่นลงมาจากระเบียงแบบนั้นก็คงมี “บ้าน” ที่เหมือนกับผมนั่นแหละ
“ ห๊ะ! ใครจะกลับไปกัน ฉันเพิ่งหนีออกมานะ!” โวยวายไปก็เท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่ที่หน้าคอนโดเรียบร้อยแล้ว
“ ฮึ...ยังไงก็ไม่มีทางเข้าไปได้หรอก ตราบใดที่ไม่มีคีย์การ์ด” ใบหน้าสวยดูจะยิ้มเยาะผมอยู่กลายๆ นี่คงจะไม่รู้สินะว่า...
ครืด....
ผมหยิบคีย์การ์ดออกมาพร้อมกับรูดไปที่เครื่องรับบัตร...ประตูเปิดออกมาอย่างง่ายดาย
“ อ๊ะ...ทะ....แก....” ถึงกับอึ้งจนพูดไม่รู้เรื่องเลยสินะเจ้าคนที่ผมลากติดมือมาด้วย
“ อยู่ชั้นไหน?” ผมและเจ้ากระต่ายสีขาวเข้าไปยืนอยู่ในลิฟท์ ใบหน้าสวยกำลังฟึดฟัดอย่างไม่พอใจก่อนที่นิ้วเรียวเล็กจะจิ้มลงไปที่หมายเลขชั้น
“ เห๋....?” ผมอุทานออกไปอย่างแปลกใจ ในเมื่อคอนโดนี้ค่อนข้างมีระดับ เพราะงั้นแต่ละชั้นจึงมีอยู่เพียงแค่สองห้อง แล้วก็ดันบังเอิญว่า
“ เมื่อไหร่แกจะลงซักที” เขาหันมาทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมซึ่งกำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับโชคชะตาที่แปลกประหลาด....เสียงลิฟท์ดังเตือนเมื่อมันมาถึงชั้นที่ร่างบางตรงหน้ากดเอาไว้
ผมก้าวขาเดินตามเขาออกไป....ก่อนจะหันไปยิ้มให้ใบหน้าที่อ้าปากค้างของเขาเมื่อผมไขกุญแจห้องที่อยู่ข้างๆ
“ บังเอิญจังนะ...ที่ฉันดันเป็นเพื่อนบ้านของนาย...”
ผมตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่อยู่ห้องข้างๆ ทั้งๆที่ผมไม่รู้แม้แต่ชื่อของเด็กนั่นด้วยซ้ำ เท่าที่จำได้ก็มีแต่ใบหน้างอง้ำกับคำพูดเอาแต่ใจก็เท่านั้นเอง...
มือยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะไล่สายตาลงไปที่กระดาษเขียนโน้ต...ผมว่าถ้าเจ้าพวกนั้นได้ฟังก็คงจะนิ่งค้างไปแน่ๆและคงไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างผมจะแต่งทำนองของเบสที่สดใสได้ขนาดนี้ นานๆทีจะมีเพลงที่เหมาะกับนักร้องนำของเราเสียทีนะ
แต่ความปลอดโปร่งของผมก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“ ว่าไงสึนะ?”
“ ยามาโมโตะ....” เสียงที่กรอกมาตามสายรู้สึกได้ถึงลางที่ไม่ค่อยดีนัก...
“ คือว่า...ฉันรู้ว่านายไม่ชอบ...แต่คงต้องขอร้องจริงๆ ช่วยหน่อยเถอะนะ นะ...ขอร้องละ”
“ เรื่องอะไรงั้นหรอ?”
“ ก็ไอ้เจ้าหัวสับปะรดนี่สิ...ทั้งๆที่ไปรับงานเอาไว้แต่ดันออกไปร่อนจนเป็นหวัดกลับมา สงสัยจะไม่ไหว แล้วงานเค้าก็หาคนไม่ทันแล้วด้วยเลยฝากฉันมาขอร้องนาย...ยังไงก็เห็นแก่ชื่อเสียงของวง...ไปทำแทนไอ้บ้านี่ซักครั้งเหอะนะ” นั่นไง....ผมว่าแล้ว....เมื่อไหร่ที่นักร้องนำตัวเล็กของเราพูดด้วยเสียงแบบนี้...ไม่เคยมีลางดีซักครั้ง
“ งาน...อะไรล่ะ?”
“ ถ่ายแบบน่ะ...” ถ่ายแบบน่ะ...ถ่ายแบบน่ะ...ถ่ายแบบน่ะ......... อย่างกะมีเสียงแอคโค่ดังก้องอยู่ในหัวผม...ถึงจะเคยมีติดต่อกันเข้ามาเยอะขนาดไหน แต่ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับอัลบั้มของผมแล้ว ผมไม่เคยรับทำเลยสักครั้ง....
“ไม่ไหวหรอกสึนะ......”
“ ยามาโมโต้~~โฮๆๆๆ~~~” และยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธครบประโยค เสียงวิปโยคก็ดังขึ้นที่ปลายสาย....เฮ้อ....ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดออกไปว่า
“ ที่ไหนล่ะ....”
ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูเย็นชาตามปกติแล้วเปิดประตูสตูดิโอเข้าไป โปรดิวซ์เซอร์ที่หันมาเห็นผมเข้ารีบตรงดิ่งเข้ามาทักทายด้วยใบหน้าดีใจ
“ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยทำงานนี้ เพราะถ้าคุณไม่ช่วยเราคงต้องตายแน่ๆเลยค่ะ” แต่ผมกลับรู้สึกว่าสายตาของเธอจะเป็นประกายมากกว่าจะเสียใจนะที่ผมต้องมาทำงานแทนตัวจริงอย่างมุคุโร่
“ เชิญทางนี้เลยค่ะ....” ผมถูกนำไปที่ห้องแต่งตัว เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น...ค่อยโล่งใจหน่อย...อย่างน้อยชุดมันก็ไม่ได้หลุดไปจากอิมเมจของผมเท่าไหร่
“ วันนี้เป็นการถ่ายแบบคู่นะคะ ไม่ทราบว่าทางคุณมุคุโร่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังหรือยังคะ” แม้แต่พูดมันยังพูดไม่ได้เล้ย....ผมจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
“ Concept ของงานคราวนี้เตรียมไว้สำหรับเล่มที่จะวางขายช่วงฮาโลวีน เพราะงั้นมันจึงออกมาเป็น...เหยื่อของแวมไพร์....น่ะค่ะ” โปรดิวซ์เซอร์สาวอธิบายให้ผมฟังในขณะที่ปล่อยให้ช่างทำผมและช่างแต่งหน้าจัดการกับร่างกายของผมไป
“ แน่นอนว่าคุณยามาโมโตะอยู่ในลุคของแวมไพร์....” แน่ๆ...ผมว่าสายตาของเธอเป็นประกายมากกว่าจะเสียใจที่ผมเป็นแค่ตัวแทนแน่ๆ...นี่ผมคงไม่ได้หลงกลอะไรเข้าหรอกนะ?
“ แล้วเหยื่อของคุณน่ะ...เป็นถึงไอดอลชื่อดังที่ได้ชื่อว่า เจ้าหญิงแห่งเสียงเปียโนเลยนะคะ เพราะงั้นงานนี้คงออกมาเพอร์เฟคแน่ๆ” มันไม่น่าจะเพอร์เฟคตั้งแต่เจ้ามุคุโร่เป็นหวัดลุกไม่ขึ้นนั่นแล้วละ หรือผมเข้าใจอะไรผิด....ว่าแต่คนที่จะมาถ่ายแบบคู่กับผมเป็นถึงไอดอลชื่อดัง...ถึงว่างานนี้ถึงเลื่อนไม่ได้อย่างนั้นสินะ
ผมยืนนิ่งๆให้ทีมงานจับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะได้ยินเสียงโปรดิวซ์เซอร์สาวตะโกนบอกว่า “เหยื่อ” ของผมแต่งหน้าทำผมเรียบร้อยแล้ว
ขาจึงก้าวเข้าไปในสตูดิโอช้าๆ แผ่นหลังบอบบางของใครบางคนยืนอยู่ที่ข้างๆฉากที่ใช้ในการถ่ายแบบ....ร่างทั้งร่างอยู่ในชุดสีขาว....แต่ที่สะดุดตามผมมากกว่าคือเส้นผมสีเงิน....อย่าบอกนะว่า....
และเมื่อร่างนั้นหันกลับมา ผมก็ถึงกับต้องนัยน์ตาเบิกกว้าง
เป็นเด็กคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย....เจ้ากระต่ายเอาแต่ใจที่อยู่ข้างๆห้องผม
ถึงว่าสิ...ผมถึงได้รู้สึกคุ้นหน้า....จะว่าไปแล้วเด็กคนนั้นจะไม่รู้จักผมก็ไม่แปลก ขนาดคนที่มีรูปติดอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของชิบูย่าที่หันมาเผชิญหน้ากับรูปของผมเอง....ผมยังไม่รู้จักเขาเลย
ใบหน้าที่หันกลับมามองผมนั้นถูกแต่งแต้มจนงดงาม ทำให้ดูแตกต่างออกไปจากเจ้าเด็กจอมเอาแต่ใจคนนั้นเล็กน้อย คนตรงหน้าต้องใช้คำว่า “งดงาม” ดั่งเจ้าหญิงจริงๆ ทั้งเสื้อผ้าการแต่งหน้าไปจนถึงทรงผม ส่งให้เจ้ากระต่ายดูบอบบางน่าทะนุถนอมอีกทั้งนัยน์ตาสีมรกตที่ไร้แววดื้อดึงอย่างที่ผมเห็นเมื่อวาน มันก็ทำให้หน้าหวานๆนั่นสมกับที่เป็นไอดอลอย่างที่ว่าจริงๆ
และแทนที่จะยิ้มหรือทำอะไรก็ได้ให้บ่งบอกว่าเรารู้จักกัน คนตรงหน้ากลับเดินเลยผ่านหน้าผมไปราวกับว่า...เรื่องเมื่อคืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้น.....
ไม่มีทาง....ผมไม่ได้จำคนผิดแน่ๆ....
และไวเท่าความคิด มือของผมเอื้อมไปจับข้อมือของคนที่กำลังจะเดินผ่านหน้าไปก่อนจะออกแรงกระชากให้ร่างบอบบางนั่นหันกลับมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้านิ่งเฉยของผมที่ส่งสายตาแห่งความสงสัยอย่างจริงจังไปยังใบหน้าสวยๆนั่นคงทำให้คนรอบข้างตกใจไม่น้อย ผู้จัดการสาวของเจ้ากระต่ายตัวดีเลยรีบวิ่งเข้ามาห้าม
ก่อนที่จะถูกแยกตัวออกไป ผมมองเห็นนัยน์ตาสีมรกตวูบไหวราวกับกำลังจะร้องไห้เพราะหวาดกลัว ใบหน้าสวยนั้นก็ก้มต่ำลงมองแล้วราวกับเป็นเจ้าหญิงผู้อ่อนแอที่กำลังจะโดนรังแกโดยผู้ชายใจร้ายแบบผม
นี่นอกจะทำเป็นไม่รู้จักกันแล้ว ยังทำให้ผมถูกมองอย่างเข้าใจผิดจากคนรอบข้างอีกนะเนี่ย พรุ่งนี้คงมีข่าวลือหึ่งว่าผมไปหาเรื่องไอดอลชื่อดังเข้าอย่างแน่นอน.....แค่คิดก็เริ่มจะปวดหัวตะหงิดๆ
“ คุณยามาโมโตะคะ...” เป็นเสียงจากผู้จัดการสาวของเจ้ากระต่ายตัวดีที่ตอนนี้มาเดินประกบอยู่ข้างๆผม
“ ทางเราคงต้องขอความกรุณา ว่าอย่าทำอะไรที่รุนแรงต่อหน้าโกคุเดระคุง เพราะเค้าเป็นคนที่ค่อนข้างจะอ่อนไหวน่ะค่ะ” อ่อนไหว?....จะบอกว่าไอ้คนที่กระโดดลงมาจากระเบียงบ้านด้วยผ้าปูที่นอนแบบนั้นน่ะหรออ่อนไหว...
ถึงผมจะไม่เชื่อแบบเต็มประตู แต่เพื่อให้งานที่น่าเบื่อแบบนี้ผ่านไปด้วยดีผมจึงไม่พยายามจะทำอะไรให้เจ้ากระต่ายตัวดีรู้สึกไม่ดีอีก
“ คุณยามาโมโตะคะ....คือ...ไม่ใช่ขยับเข้าไปใกล้อย่างเดียวค่ะ แต่คงต้องขอให้คุณแนบริมฝีปากลงไปที่ต้นคอของคุณโกคุเดระเลยค่ะ ให้เหมือนกำลังดูดเลือดน่ะค่ะ” เอาจริงน่ะ? แล้วคุณไอดอลนี่จะไม่มาว่าร้ายผมทีหลังนะ?
ผมมองใบหน้าด้านข้างที่ดูอ่อนหวานแตกต่างไปจากใบหน้างอง้ำเมื่อคืน...ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้ากระต่ายถึงทำเป็นไม่รู้จักผม มันก็คงจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับผมที่ต้องการปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ภายใต้หน้ากากอีกอัน...แน่ละ...เจ้าหญิงแห่งเสียงเปียโนจะมาด่าแว้ดๆเอาแต่ใจก็คงกระไรอยู่
แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ไม่พอใจอยู่ดีที่อีกฝ่ายเมินกันดื้อๆแบบนี้
ถึงผมต้องการจะปกปิดตัวตนแต่ผมก็พร้อมจะเปิดเผยให้คนอื่นๆรู้นะ ว่าผมรู้จักกับเขา...
หรือว่าผมมันไม่มีค่าพอ ไม่คู่ควรให้เขารู้จัก เพราะผมไม่ใช่คนดังระดับโลกที่หากรู้จักแล้วจะช่วยทำให้ชื่อเสียงของเขายิ่งดังขึ้น...
ท่ามกลางความรู้สึกที่กดลึกอยู่ในใจ ท่อนแขนแข็งแรงของผมโอบไปรอบเอวบางก่อนที่จะดึงร่างของเขาเข้ามาแนบชิด มืออีกข้างรวบกลุ่มผมสีเงินไปอีกทางแล้วขยับใบหน้าเย็นชาเข้าไปใกล้ลำคอระหงของเขา....ผมแนบริมฝีปากลงไปอย่างเชื่องช้า....ร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมแขนสั่นสะท้านเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจอะไรอีก
ในเมื่อเราไม่ใช่คนรู้จักกัน...
แล้วผมก็ไม่เคยใยดีกับคนที่ไม่รู้จักเสียด้วย
เสียงกล้องรัวภาพอยู่นาน และเมื่อเสียงสิ้นสุดลง...และเมื่อทุกคนหันไปสนใจกับภาพในมอนิเตอร์....ริมฝีปากของผมที่แนบอยู่ที่ลำคอระหงไม่ได้คิดที่จะปล่อยเขาไปแต่โดยดี ร่างบอบบางของเขากำลังขัดขืนอยู่เงียบๆในอ้อมแขนของผมที่ยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก ผมดูดเม้มที่รอยเดิมจนขึ้นสีแดงระเรื่อ ฝากร่องรอยเอาไว้ที่ลำคอของเขาที่มีท่าทีตกใจหลังจากที่ผมยอมละออกไปด้วยรอยยิ้มมืดมน
แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็น....
“ เรียบร้อยแล้วค่า...ขอบคุณทุกความเหน็ดเหนื่อยนะคะ” เสียงโปรดิวซ์เซอร์สาวดังขึ้นไล่หลังมา ผมไม่คิดที่จะหันกลับไปในสตูดิโออีก....กลับไปห้องแต่งตัว...เปลี่ยนเสื้อผ้า....แล้วก็ขับรถออกมาเลย
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาของชิบูย่า รถของผมจอดติดไฟแดง และถึงแม้จะไม่อยากมองแต่ความใหญ่ยักษ์ของรูปที่ติดอยู่ที่ผนังตึกก็ใช่ว่าสายตาจะละไปได้ง่ายๆ รูปที่ยิ่งมองผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
รูปของ โกคุเดระ ฮายาโตะ....
ผมกลับมาถึงห้องอย่างรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงมันจะหายไปเสียหมด มือถอดเสื้อโค้ทสีดำสนิทโยนไว้บนโซฟา ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำออกจากกันหลายเม็ด ผมว่าผมไปเล่นคอนเสิร์ตทั้งคืนยังไม่เหนื่อยเท่านี้เลย ยิ่งมาเจอเรื่องชวนให้หงุดหงิดแบบนั้นด้วยแล้ว...
ตู้เย็นถูกเปิดออกพร้อมเบียร์เย็นเฉียบสองสามกระป๋องที่ถูกหยิบออกมา ผมพาดขาเอาไว้กับโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา ก่อนจะกระดกรวดเดียวเอาให้ลืมความหงุดหงิดไปเลย
ปังๆๆ
แต่ยังไม่ทันที่ความครุกรุ่นในใจของผมจะมอดไหม้ไป เสียงทุบประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น.........ใคร?
ผมเปิดประตูออกไปโดยไม่ส่องดูที่รูประตูก่อน เพราะว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี ใครมีอะไรจะได้รีบๆจัดการให้จบๆไป แต่แล้วไอ้คนที่มาเคาะประตูห้องผมโครมๆนี่ดันเป็นคนที่ทำให้ผมหงุดหงิดอยู่นั่นเอง
“ ขอยืมน้ำตาลหน่อยสิ!” ดวงตาสีมรกตใสแจ๋วแวววาวราวกับตาของกระต่ายจ้องเขม็งมองมาที่หน้าผม ผมมองกลับไปด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่าย
ปังๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงทุบประตูยังคงดังต่อเนื่องจนผมทนไม่ไหว จากที่หงุดหงิดธรรมดาเริ่มจะมีโมโห...เขาจะเอายังไงกับผมกันแน่? จะไม่รู้จักกัน? หรือเพียงแค่ต้องการจะปั่นหัวผมเล่น?
ผมเปิดประตูออกไปด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่เจ้าคนตรงหน้าก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะสำนึกผิดหรือจะมาปรับความเข้าใจอะไร ใบหน้าสวยยังมีเครื่องสำอางที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคนคนเดียวกันกับคนที่อยู่กับผมมาทั้งวันนั่นอีกต่างหาก เพียงแต่ว่าท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนั่นมันหายไปเหลือไว้แต่ความเอาแต่ใจและพยศยิ่งกว่าม้า
“ นี่ยังงอนเรื่องเมื่อเช้าอยู่อีกหรอ? เป็นผู้ชายรึเปล่านายน่ะ?” ไม่แม้แต่จะพูดให้ผมเข้าใจ...ไม่แม้แต่จะขอโทษ...แล้วยังจะมาพูดกระตุกต่อมโมโหของผมอีก
ผมยิ้มเย็นที่มุมปาก ก่อนจะตวัดเอวบางพลิกร่างของเจ้ากระต่ายตัวดีให้แผ่นหลังชิดผนัง ใช้ร่างกายที่ใหญ่กว่ามากของผมบดเบียดเข้าไปให้เจ้าตัวดีหนีไปไหนไม่ได้อีก
“ หื๋ม...ลองพิสูจน์ดูไหมล่ะว่าฉันเป็นผู้ชายรึเปล่าน่ะ...เจ้าหญิง” ผมกระซิบที่ใบหูของคนในอ้อมแขนที่มีท่าทีตื่นตระหนก...อย่าคิดว่าเขาจะเอาแต่ใจกับผมได้ฝ่ายเดียวสิ
มือบิดลูกบิดประตูให้เปิดออกก่อนจะดันร่างบอบบางของเขาเข้าไปในห้องผม เสียงประตูปิดลงพร้อมร่างกายที่สะดุ้งเฮือกของเขา จะด้วยฤทธิ์ของเบียร์หรือด้วยอารมณ์ที่ผมถูกเขายั่วยุมาทั้งวันก็ไม่อาจรู้ได้ ผมกดร่างของเขาเข้ากับผนังห้องหลังประตู สองมือล็อคข้อมือบางของเขาไม่ให้ต่อต้าน
ริมฝีปากของเขาที่เคลือบเอาไว้ด้วย “ลิปติก” ถูกริมฝีปากของผมบดเบียดลงไป เขาพยายามสะบัดใบหน้าหนีผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ซอกคอของเขาแทน ผมกดเม้มฝังร่องรอยเอาไว้อีก
“ ฮึก...ปล่อยนะ....อย่า....” แต่แล้วเสียงสะอื้นกับร่างกายที่สั่นสะท้านของเขาก็ทำให้ผมผ่อนแรงลง เขาสะบัดข้อมือออกจากมือของผม ชั่วครู่ที่ผมเงยหน้ามองใบหน้าสวยของเขาหัวใจของผมก็เต้นแปลกไป
เขาร้องไห้....
นัยน์ตาสีมรกตที่แสนจะดื้อรั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผมกำลังหลั่งน้ำตา
เขาสะบัดตัวหนีก่อนที่จะวิ่งออกจากห้องไป
“ เดี๋ยว! โกคุเดระ!” ทำไมผมจะต้องเรียกเขาเอาไว้ด้วย ผมควรจะลงโทษเขา....ไม่ใช่จะเป็นฝ่ายเข้าไปขอโทษเขาเองแบบนี้
แต่ผมก็วิ่งตามเขาออกไป
ประตูห้องเขาปิดลงก่อนที่มือของผมจะเอื้อมถึง
ผม....ควรจะปล่อยไป แล้วทำเป็นไม่รู้จักกันอย่างที่เขาต้องการ
หรือว่า.......
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be Continue
ตื่นเต้น.....กรั่กๆๆ
ลงฟิควันเกิดก๊กทีไรก็ยังตื่นเต้นทุกทีเลยให้ตาย >w< ปีนี้มี๊ขออนุญาตให้ร่วมกันกับคนที่เกิดก่อนหน้าหนูวันนึงด้วยนะ
HAPPY BIRTHDAY REAL !!
สุขสันต์วันเกิดค่ะคุณน้องเรียว >w< ขอให้อะไรที่ทำให้หนักใจจงหายไปในบัดดลเลยนะคะ เครียดอะไรไม่สบายยังไงก็ขอให้มีสายลมมาเป่ามันไปให้หมด ปีนี้ก็ขอให้เป็นปีที่ดีและมีความสุขมากๆๆๆนะคะ ^ ^ ขอเป็นกำลังใจและเสียงเชียร์ให้ค่ะ โบกธงๆๆ
HAPPY BIRTHDAY HAYATO !!
โตขึ้นอีกปีแล้วนะเรา(?)...หม่ามี๊ซับน้ำตาแห่งความปลื้มใจ....สุขสันต์วันเกิดจ้ะหนูก๊ก ปีนี้ก็ขอให้ อ.อามาโนะรัก อ.อามาโนะหลงมากกว่าเดิมนะจ๊ะ จะได้มีโมเอ้ช็อตมาให้มี๊ได้สครีมกันต่อไป....แวะไปจุดธูปชาบูพระเจ้าอามาโนะ....ไม่มีอะไรจะพูดมาก (เพราะของขวัญหนูทำเอามี๊เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ยค่ะ) นอกจากบอกว่าร้ากกกกกกกกกกกก ก๊ก ที่สุดในสามโลกกกกกเลยจ้ะ อร๊ายยยย
ส่วน “ลิปสติก” ฟิคเซ็กซี่ๆเรื่องนี้ก็ขอฝากไว้ในอ้อมแขนอีกเรื่องนึงนะคะ *w* มีทั้งหมด 6 ตอนจบค่ะ ถ้าพร้อมแล้วลุยตอนต่อไปกันเล้ย!
อ๊ะ....ส่วนอันนี้เป็นเพลงแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ *w*
อุฮุๆ พักแล้วมาปาดเม้นท์ ฮว้ากกกกกกกกกก สี่ตอนเร้อออออ พี่กวางจัดหนักอ้ะ
ตอบลบเดี๋ยวเอาไว้มานั่งอ่านดีๆดีกว่า คึหึหึหึ HBD หนูก๊ก!!!
แวะมา happy birthday หนูก๊กก่อน เดี๋ยวมาอ่านฟิคอีกทีค่า
ตอบลบหูย...ก๊กน่ารักอ่ะ ไม่ว่าจะในลุคไหนน่ารักไปหมดเลย
ไอ้วิธีการหนีออกจากบ้านแบบนั้นมันอะไรกัน
แล้วลงมาจากชั้นไหนกันนั่นยังคงสงสัยอยู่
แอบหมั่นไส้ยามะอยู่ลึก ๆ
ช่างเป็นผู้ชายที่หลงตัวเองอะไรอย่างนี้
"มือเบสที่เนื้อหอมเกินความจำเป็นแบบผม" ประโยคนี้มันจี๊ดใจน่าหมั่นไส้
สนุกคะชอบ ๆ
มาแฮปไม่ทันวันเกิดก๊ก!! แฮปตอนนี้นี่หล่ะ โฮกกกกกกกกกก หม่ามี้ของก๊กสุดยอดดด สี่ตอนยาวๆยังไม่จบ เหลืออีกสองแหนะ ฮะฮะ
ตอบลบHBD นะค๊าาา มือขวาสุดสวยยย สุดเก่ง สุดน่ารัก อร๊ายยย ขอให้มีบทออกเยอะๆออกคู่กับยามะบ่อยๆได้ยิ่งดี ฮ่าฮ่า
อ๊ะ HBD เรียวซังด้วยนะค๊า ถ้าแวะผ่านมาอ่านเม้นท์นี้ ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงๆ เรื่องเรียนหรือเรื่องต่างๆก็สู้ๆนะค๊าา ^^
แล้วก็กลับมาที่ฟิค !! โฮกกกก กระต่ายหล่น!! กระต่ายหล่น!! ฮะฮะ พี่กวางจับมายัดควบคู่ไปในฟิคด้วยย น่าร๊ากกกกก
วงนี้ดังมาได้ยังไง แบบว่า ทำไมไม่ล่มฟร่ะ มี 18 กะ 69 อยู่ในวงเดียวกัน กร๊ากกก ตีกันตายแย่เลย กว่าจะซ้อมกว่าจะมาเป็นวงดังขนาดนี้ได้ สงสัยนักร้องนำตัวเล็กจะเหนื่อยน่าดูเน้ออออ ฮา
อ่ากลับมาที่ยามะดาร์กหน่อยๆ ดาร์กแต่ในใจ การกระทำยังแค่แสดงออกมาก หึหึ ก๊กโมเอ้น่ากดดดอะไรขนาดเน้ ยามะหรือแม่ยกคงจะทนไม่ไหวแน่ๆ ก๊กมาง้ออก่อนนนน มาขอยืมน้ำตาลก่อน ? มาเอ่ยปากก่อนว่างั้นเหอะ ตามไปง้อเซ่เจ้าเนียนนน
เ่อ่อ เม้นท์โวยวาย อะไรฟร่ะเนี่ย ไม่รุ้หล่ะ รีบไปอ่านตอนต่อไปดีกว่า เผ่น~~
แอร๊ยยยยย นักดนตรีกับนายแบบหนุ่ม
ตอบลบวงการมายาช่างซับซ้อนเนอะคะคุณกวาง
พรหมลิขิตแน่ๆค่ะ เจอกันโดยบังเอิญแถมอยู่ห้องข้างๆด้วยอีก>w<
ตามไปเลยยามะจับกระต่ายน้อยไว้อย่าให้หลุดมือเชียววววว
วิ่งตามไปอ่านต่อ~
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!
ตอบลบก๊กน่ารักมากๆๆๆๆ จะเอากลับบ้านนนนน!!!
555 แอบฮาก๊กคุงใช้ผ้าปูเตียงแอบปีนหนีออกมา
สุดยอดเลยค่ะ พอจับก๊กคุงมาบรรยายในลุคของกระต่ายน้อยแล้วมันทำให้ก๊กดูน่ารักมากกว่าเดิมเยอะเลย (แต่ที่จริงก็น่ารักอยู่แล้วล่ะ)
เจ้าหญิงเสียงเปียโน คำนี้ช่างฟังดูเหมาะเจาะกับก๊กมากๆเลยค่ะ!!!
ไม่นึกเลยว่าท่านฮิกับคุณมุจะอยู่วงเดียวกัน 555
โอ๊ยยยย! ก๊กเรื่องนี้น่ารักจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วววว
แต่ส่วนตัวแล้วชอบยามะแบบนี้มากๆเลยค่ะ เหมือนจะแอบดาร์กเล็กน้อย แต่นี่แหละสุดยอดดดดด!!!
หนูก๊กที่สุดแสนจะใสซื่อโมเอะช่างเหมาะกับนักดนตรีมืดมนอย่างยามะมากๆเลย
ทำไมไม่รีบกดก๊กก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องห๊า! (กดทั้งน้ำตาเนี้ยแหละ สุดยอด!)
ไม่ได้นะๆๆๆๆ กระต่ายน้อยน่ารักแบบนี้จะยอมปล่อยไปง่ายๆเลยเหรอ!!!
อ๊ากกกกกก!!! เริ่มจะพูดไม่เป็นภาษา มันได้อารมณ์คล้ายๆกับฟิคบันทึกของพี่ชายคนเล็กเลยค่ะ!!!
8059 ชาบูๆ!!!
ว่าแล้วก็วิ่งไปอ่านตอนสอง สนองความอยาก................
เพิ่งโผล่มาอีกแล้วววววววววววววววววววววววววว
ตอบลบฮุ น่ารักอ่ะ ฟิคของพี่กวางจะมีมุมน่ารักๆแบบนี้แหล่ะ อร๊ายยยยยย ทั้งสองคนเหมือนคนสองบุคคลิกเลยนะคะ
ตอนมีกระต่ายหล่นลงมา เราก็คิดทันที อร๊ากกกกกกกกกก กระต่ายหล่น! ยังไม่ได้ไปชมเลยให้ตายสิ แต่ตอนนี้ หนูก๊กหล่น! ก็เป็นอะไรที่น่ารักกินใจแล้วล่ะค่ะ
ในที่สุดยามะมันก็งานเข้า ฮา ใครไม่สบายกันน้อ ทำให้สองคนต้องมาสปาร์คๆกันอย่างจัง แวมไพร์เจ้าเล่ห์กับเจ้าหญิงแห่งเปียโน อร๊ากกกกกกกกกกกกกกก ใจเต้นตอนเอาริมฝีปากแนบต้นคอนั่นล่ะ แถมยังไม่ปล่อยด้วยอ้ะ ฝากรอยไว้อีก โฮกกกกกก จะแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแค่แรกเลยหรอ เชียร์!
กลับมายิ่งกรี๊ดกว่าเก่า ตอนแนบติดฝาผนัง (แต่ละฉากที่สครีม ฮ่าๆๆ) อ๊ากกกกกกกกกกก เริ่มเห็นน้ำตาแห่งความบริสุทธิ์ที่ไหลออกมา หนูก๊กทำหน้าหน้าสงสารแล้วหม่ามี้อยากเข้าไปกอดแน่นๆปลอบประโลม
หนูก๊กเรื่องนี้น่ารักมากอ้ะ กลิ้งไปอ่านตอนต่อไปค่าาา
จะบอกว่าตามมาจาก Bios อีกทีน่ะค่ะ ^^
ตอบลบยามะพูดถูก
ก๊กใช้วิธีหนีออกจากห้องได้โบราณมากกกกกกก
เอาผ้าปูเตียงมาผูกแล้วหนีออกมาจากห้องยังกะในบละครย้อนยุค
แล้วใครกันช่างเล่นตลก
เป็นเพื่อนบ้านกันยังไม่พอ
ยังต้องมาถ่ายแบบคู่กันในธีมฮาโลวีนอีก
ฉากปากแนบคอฟินกระจายค่ะ
แถมยังจงใจฝากรอยไว้อีกนะยามะ
เนียนมากกกกกกกก
คุยกันดีๆๆหน่อยยยยยยยย
ตอบลบ