คำเตือน.....ภาษาไม่เน้นสละสลวย ใครที่ติดภาษาในเรื่องก่อนๆของข้าพเจ้าจึงต้องขอออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่
แต่แบบนี้ก็เป็นอีกแนวที่ชอบเพราะเหมือนได้กลับไปเขียน IF อีกครั้ง >.<
อ้อ....มันสปอยด์ด้วยแหละนะ...ถ้าใครไม่ได้ตามสปอยด์อาจจะงงๆ ว่ามิซึโนะ คาโอรุคือใคร (ว๊ากกก ยังมีใครไม่รู้จักไอ้หมอนี่อีกบ้าง >[ ]< กระโดดกินหัวมัน!)
และ....หากต้องการอรรถรสมากยิ่งขึ้น...เปิดเพลงข้างล่างนี้ฟังไปด้วยนะคะ หึหึ....ฮืออออ...สายฝนที่อบอุ่น....T^T….มันเป็นเพลงที่เพราะมากกกกกกเลยค่ะคุณแก้ว(K_Guardian_7) จนตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่ว่า...คนร้องเค้าเป็นผู้ชายจริงเด้ =[ ]= เสียงเพราะกว่าตรูอีก!
ถ้าพร้อมแล้ว....ลุยโล้ด!!! (ออกรบรึไงฟะ!)
[S.Fic][8059] “อยากรู้จักคำว่า...ปาฏิหาริย์”
:
KHR Fanfiction
:
8059
:
Romance Dark Drama
:
NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
“ อะ...อื้อ..อืม.....”
เสียงครางในลำคอของเขากระตุ้นให้ผมเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นให้เร่าร้อนยิ่งขึ้น
“ อืม.....”
มือเล็กที่โอบรอบคอนั่นก็เหมือนมือของผมที่ลูบไล้อยู่ที่สะโพกของเขา ขอบกางเกงยีนส์ถูกร่นลงไปจนมองเห็นเนินสะโพกรำไร
“ อ้า....ฮ้า....”
เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของเขาดังขึ้นเมื่อผมละริมฝีปากออกมาแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ซอกคอหอมกรุ่นนั่นแทน
“ อึก...อะ...”
ลำตัวบางของเขายิ่งขยับแนบชิดกับแผ่นอกของผม ขาเรียวสวยภายใต้กางเกงยีนส์อ้ากว้างคร่อมหน้าตักของผมนั่นยิ่งทำให้สัมผัสได้ถึงความต้องการที่เริ่มจะขยายตัวของเราทั้งคู่
“ อ๊ะ...ยะ....”
แผ่นอกเล็กขาวนวลแอ่นขึ้นรับริมฝีปากของผมซึ่งกดจูบหยอกล้ออยู่กับจุดไวสัมผัสสีระเรื่อ ร่างกายที่อ่อนนุ่มของเขาสัมผัสกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของผมมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเสื้อเชิ้ตสีขาวค่อยๆถูกปลดออกอย่างช้าๆ และตามมาด้วยกางเกงยีนส์สีซีดในที่สุด
“ ยามะ...อ๊ะ....ดะ...เดี๋ยว”
ทั้งๆที่ร้องห้าม แต่นัยน์ตาสีมรกตที่มองมายังผมกลับฉ่ำเยิ้มยิ่งกว่าเชิญชวน ร่างบางนุ่มนิ่มของเขาเปลือยเปล่าอยู่บนหน้าตักของผมและเขาคงรู้สึกได้ถึงความต้องการอันลุ่มร้อนของผม ใบหน้าเนียนสวยนั่นจึงแดงระเรื่อไปจนถึงใบหู
“ อึก...อื้อ...”
มือเล็กของเขากำมาที่คอเสื้อเชิ้ตของผมทันทีที่ริมฝีปากของผมแนบลงปิดกั้นเสียงร้องที่ออกมาพร้อมๆกับมือของผมที่ยกสะโพกเขาขึ้นและกดลงรับความเป็นชายของผมเข้าไปในร่างกายอันอ่อนนุ่มและอบอุ่นของเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันและนัยน์ตาสีมรกตปิดลง
“ อื้อ....อืม....”
เรียวลิ้นของผมทำให้เขารู้สึกดี เช่นเดียวกับข้างในตัวเขาที่มันบีบรัดจนผมแทบคลั่ง ไม่ว่าจะมีอะไรกันมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็ยังคงทำให้ผมต้องการเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
“ ฮ้า...อ๊ะ...อ้า....”
ใบหน้าสวยของเขาสะบัดขึ้นไปหลังจากที่ผมปล่อยริมฝีปากแดงฉ่ำนั่นให้เป็นอิสระ มือข้างหนึ่งของผมควบคุมให้สะโพกของเขาขยับตามความต้องการของผมส่วนอีกข้างกอบกุมความสุขสมของเขาเอาไว้
“ ยะ...ยามะ...อ้า....”
จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยอมเรียกชื่อของผม ร่างกายของเราต่างขยับเข้าหากันด้วยความต้องการซึ่งต่างฝ่ายต่างเติมเต็มให้กันไม่มีวันเต็ม ยิ่งใกล้ยิ่งต้องการ ยิ่งได้มายิ่งอยากได้มากขึ้น ผมมีความสุขที่ได้รับการโอบกอดจากเขา และเขาเองก็มีความสุขที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของผม
“ ฉะ...ฉันจะ....อ้า....”
เสียงครางสูงครั้งสุดท้ายบ่งบอกว่าทั้งผมและเขาต่างถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ ภายในนั้นบีบรัดจนผมปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้ไหลทะลักเข้าไป เขายังคงหอบหายใจหนักหน่วง ผมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหูแดงระเรื่อของเขาก่อนที่จะกระซิบถ้อยคำที่ผมพูดมันทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน
“ ฉันรักนายนะฮายาโตะ...”
เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาและรับรู้ถึงน้ำหนักของเขาที่กดทับผมอยู่ เขามักจะหมดแรงแล้วก็นอนอยู่บนตัวผมเสมอ
มือใหญ่ที่ไม่อ่อนนุ่มของผมลูบใบหน้ายามหลับของเขาเบาๆ ใบหน้าราวกับเด็กซึ่งหลับพริ้มซุกตัวอยู่กับแผงอกของผม นิ้วยาวม้วนเส้นผมสีเงินเล่น มันส่งกลิ่นหอมฟุ้งและนิ่มเหมือนขนแมว ยิ่งมอง...ผมยิ่งตกหลุมรัก...ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...ผมก็ยังตกหลุมรักเขา
ผมจำใจต้องยกตัวเขาออกจากร่างกายผมช้าๆ เพราะวันนี้ผมมีซ้อมเช้า แต่ก็ไม่อยากจะปลุกเขาให้ต้องตื่นไปด้วยกัน
ผมหันไปมองใบหน้าที่ยังคงหลับพริ้มอีกครั้งก่อนที่จะออกจากห้อง แผ่นหลังขาวเนียนนั่นทำให้ผมต้องเดินกลับไปที่เตียงพร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาคลุมให้......หรือว่าผมควรจะจับเขาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่หวัดจะมาเล่นงานดีนะ?
มือเผลอลูบหัวสีเงินของคนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ
ผมรักเขา....
รักเขามาก...
จนไม่ว่าอะไร ผมก็จะไม่ยอมให้มันมาขวางกั้นระหว่างผมกับเขาได้...
แม้แต่คำว่า “รัก” ที่เขาไม่เคยบอกผมเลยสักครั้งก็ตาม....
“ ไอ้บ้าเบสบอล...ยะ...เย็นนี้.....”
ทุกสายตาในห้องชมรมเบสบอลต่างหันมามองผมกับเขาเป็นตาเดียว เพราะปกติแล้วเขาแทบจะไม่เคยเหยียบย่างมาที่ห้องนี้เลยนอกจากจำเป็นจริงๆ ใบหน้าเนียนใสนั้นก้มงุด ผมเห็นรอยแดงระเรื่ออยู่บนนั้นด้วย รอบกายของเรานั้นเงียบกริบ ทั้งๆที่มีสมาชิกชมรมอยู่กันเกือบครบ
“ ฉะ....ฉันจะรออยู่ที่เดิม เย็นนี้แกต้องมาช่วยฉันถือของเข้าใจไหม!”
เขาหลับหูหลับตาตะโกนออกมาก่อนที่จะวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งความอึ้งในความน่ารักของเขาเอาไว้กับผม
“ ฮิ้ววว ได้ไปเดทกับเค้าซักทีนะ ยามาโมโตะ!”
เสียงโห่ร้องแซวกันดังก้องไปทั่วห้องจนผมเผลอยิ้มไม่หุบ ต่อหน้าคนอื่นๆเขาแทบจะไม่แสดงออกเลยว่าเราเป็นอะไรกัน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คนทั้งโรงเรียนต่างรู้กันดีถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ เพราะนอกจากผมกับสึนะ เขาก็ไม่เคยพูดจากับใครดีๆอีก
แสงแดดยามเย็นหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดและกำลังถูกแทนที่ด้วยสายฝนพรำ ทำให้ผมกับมิซึโนะ คาโอรุ เพื่อนใหม่ต่างแฟมมิลี่ผู้ขี้อายต้องจำใจเลิกซ้อมแล้วเดินกลับห้องชมรมด้วยกันเพียงสองคน
ใช่...เป็นเพราะว่าเขาขี้อายมาก จึงไม่เคยได้ลงเล่นกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ แต่ผมรู้...ว่าเขารักเบสบอลไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผมเลย
เพราะฉะนั้น ทุกๆเย็นเราจึงอยู่เก็บลูกเบสบอลด้วยกันและนั่นก็คือช่วงเวลาที่เขาได้สัมผัสไม้เบสบอล
ทั้งๆที่รู้จักกันมาได้ไม่นาน แต่ผมกลับรู้สึกเชื่อใจเขาได้อย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะเรารักเบสบอลเหมือนกันและก็รู้กันดีว่าที่จริงแล้วเราต่างมาจากฐานะที่ไม่ธรรมดาอย่างเช่นผู้พิทักษ์แห่งพิรุณของวองโกเล่
ผมสามารถหัวเราะกับเขาได้เหมือนกับที่ผมมีให้กับคนอื่นๆ ในตอนนี้เองก็เช่นกัน ผมหันไปพูดคุยกับเขาตามปกติในห้องชมรม ในขณะที่มือของผมกำลังติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดสุดท้าย ผมแซวเขาจนเผลอเอาศอกไปกระแทกแผ่นหลังหนาของเขาจนอะไรบางอย่างมันร่วงลงมา
เสียงดังกริ๊งใสกังวานเมื่อมันกระทบพื้นห้อง
ใส...ราวกับเสียงของแหวน...
ผมก้มลงไปหยิบพร้อมกับจ้องมองมันอย่างสงสัย
“ นี่มันแหวนไม่ใช่หรอ?...แต่ของฉันอยู่นี่...ถ้างั้นนี่ก็ของนายใช่ไหมคาโอรุ?”
เขาไม่ตอบอะไรแต่กลับหยิบมันคืนไปอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้กระดาษหน้าตาแปลกๆที่ห่อมันอยู่ร่วงผล็อยลงมา
“ นั่นมันสัญลักษณ์ของวองโกเล่....ไม่ใช่หรอ?...แล้วทำไมเครื่องหมายกากบาท.....”
“ไม่มีอะไรหรอก...”
สิ่งที่อยู่ในกระดาษสร้างความประหลาดใจให้ผมไม่ใช่น้อย แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนคิดมากและผมก็เชื่อใจคาโอรุจึงไม่เคยคิดที่จะระวังตัว
“ ฮะ ฮะ...นายคงไม่ได้หมายถึงจะกำจัดวองโกเล่หรอกเนอะ”
ผมพูดเล่นออกไปพร้อมรอยยิ้ม แต่สิ่งที่เขาส่งย้อนกลับมาให้ผม ทำให้ดวงตาของผมเบิกกว้าง
ไฟ...?
แล้วความเจ็บปวดก็แล่นลิ่วไปทุกส่วนของร่างกาย ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากทุกรูขุมขนจนตัวเองยังรู้สึกได้ ในที่สุดผมก็ไม่อาจจะทรงตัวต่อไปได้อีก ไม่สามารถจะรับรู้อะไรได้อีก...ทำไม?...เพราะอะไร?....ผมไม่รู้...ไม่รู้เลยว่าทำไมเขาต้องทำร้ายผม....
มือที่ยังพอมีแรงและสติอันเหลือน้อยเต็มทีค่อยๆขยับอย่างยากเย็น....อย่างน้อยก็ต้องเตือนสึนะ....
ข้อความจากเลือดของผมถูกจารึกอยู่บนพื้นห้องชมรม
เจ็บ...
จนในหัวมันเริ่มจะขาวโพลน....
หรือว่าผมกำลังจะตาย.......
แต่แล้วใบหน้าหนึ่งก็ลอยมาปรากฏอยู่ในห้วงคำนึง
“ ฉันจะรออยู่ที่เดิม เย็นนี้แกต้องมาช่วยฉันถือของเข้าใจไหม!”
โกคุเดระ....
ผม...ต้องไป....
ผม....ต้องลุกไปให้ได้....
เพราะถ้าผมไม่ไป...เขาก็จะไม่ยอมไปไหน...เขาจะนั่งรอผมอยู่ตรงนั้น...
รอ....จนผมแน่ใจได้ว่า...เขาจะเปียกปอนไปทั้งตัวเพราะสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่ตอนนี้...
ผมจะต้องไปหาเขา....ต้องไป.....
โกคุเดระ.....
ผมออกวิ่งจนสุดกำลัง....
วิ่งไปยังที่ที่ผมนัดกับเขาเอาไว้...
ผู้คนต่างหาที่หลบฝน...แต่ร่างบางๆของเขายังนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่ผมคิดจริงๆ....ใบหน้าสวยมีหยาดฝนเกาะพราว...
เขาก้มดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าบูดสนิททำให้ผมอมยิ้ม แล้วคิดอยู่ว่าจะเข้าไปง้อเขายังไงดี
สายฝนยังคงโปรยปราย....
เมื่อเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าร่างกายของเขากำลังสั่นน้อยๆ สองเท้าของผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่เจ้าคนที่กำลังก้มหน้าบ่นงึมงำกลับไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
น่าแปลก....เพราะปกติแล้วเขาเป็นคนที่หูดีอย่างที่สุด.....
เสียงมือถือของเขาดังขึ้นในขณะที่มือของผมกำลังยื่นเข้าไปหาใบหน้าของเขา
“ มะ...ไม่จริง....”
มือถือร่วงลงมาจากมือเขา นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ใบหน้าซีดลงถนัดตา
เขาเงยหน้ามองมาที่ผม...
แต่เขามองไม่เห็นผม....
เขาขยับตัววิ่งออกไปทั้งๆที่มือของผมกำลังจะสัมผัสใบหน้าของเขา....
เขาวิ่งผ่านตัวของผมไป....
ทิ้งเอาไว้แต่หยาดน้ำตาที่มันไหลลงมาเต็มหน้าเขา...
ผมเห็นมันอย่างชัดเจน...
เขาร้องไห้....
“ มะ...ไม่จริง.....”
เขาเดินโซเซเข้าไปในห้องชมรมของผม รุ่นพี่ซาซากาวะก็ยืนอยู่ในห้องนั้นด้วย
“ ไม่จริง....ไม่จริง....”
เขายังคงพูดคำเดิมซ้ำๆราวกับว่ารับในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นไม่ได้ ผมเห็นแค่แผ่นหลังเล็กๆของเขาทรุดลงไปที่พื้นห้อง
“ ไม่จริง!! ยามาโมโตะแกลุกขึ้นมาสิ! ลุกขึ้นมาพูดกับฉันเดี๋ยวนี้นะ ยามาโมโตะ!!!!”
เขากระชากร่างของใครบางคนขึ้นมากอดเอาไว้ ใบหน้าสวยของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา
เขาร้องไห้....เขาร้องไห้อีกแล้ว.....
“ ยามาโมโตะ!!! ลุกขึ้นมา....ลุกขึ้นมาสิ”
จากเสียงตะโกนกลายเป็นเสียงสั่นสะอื้น มือเล็กๆของเขาพยายามเขย่าร่างในอ้อมแขน เลือดสีแดงไหลย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวไปทั่ว
“ ไอ้บ้าเบสบอล....ลุกขึ้นมา....บอกให้ลุก....ขึ้น.......มา.......”
เขาแนบใบหน้าลงไปที่ใบหน้าซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของคนในอ้อมแขน หยาดน้ำตาไหลลงไปเป็นทาง ร่างเล็กๆนั่นสั่นระริก เขาโอบกอดร่างของใครคนนั้นเอาไว้แน่น ไม่ว่าคนอื่นๆที่ดูเหมือนจะเป็นทีมแพทย์จะพยายามมาแยกออกไปยังไง เขาก็ไม่ยอมออกห่างจากร่างที่แน่นิ่งนั่นเลย....
ร่างที่แน่นิ่ง....
ซึ่งเป็นร่างของผมเอง......
“ มีอะไรหรอโกคุเดระคุง?”
ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เขากำโทรศัพท์มือถือด้วยมืออันสั่นระริก นัยน์ตาสีมรกตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา....เขาอ่อนแอ....เปราะบางดั่งแก้วที่กำลังจะแตกสลายในไม่ช้า....เสียงอันสั่นเครือของเขาพยายามกรอกลงไปที่โทรศัพท์ให้ชัดเจนที่สุด...ผมรู้ว่ามันคงยากลำบากมาก...ในเมื่อตอนนี้....ร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นสะท้าน หยาดน้ำตากำลังจะไหลลงมา มือบางอีกข้างกำแน่นเพื่อระงับความอ่อนแอนั้นไม่ให้ทางปลายสายต้องเป็นกังวล
เขาอ่อนแอ...
ความอ่อนแอแบบนี้ของเขาผมไม่เคยเห็น.....ทั้งๆที่ผมรู้จักเขาดีในทุกๆด้าน....ทั้งรอยยิ้ม ความเศร้า ความเหงา ความโดดเดี่ยวของเขา ผมก็รับเอาไว้และรู้จักมันดีทุกอย่าง
แต่น้ำตาของเขา....
คือสิ่งเดียวที่ผมไม่เคยจินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไร...เพราะผมเพียรปกป้องเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา
แต่ตอนนี้เขากำลังร้องไห้และอ่อนแอจนแทบจะไร้แรงยืน
ร้องไห้เพราะผม.....อ่อนแอเพราะผม.......
ผมไม่เคยเรียกร้องให้เขาพูดคำว่า “รัก”
และต่อจากนี้ไป....คำคำนี้จะไม่มีความหมายใดๆอีกต่อไป.....
หยาดน้ำตาไหลจากนัยน์ตาสีมรกตลงไปที่ลูกเบสบอลในมือของเขา ร่างทั้งร่างทรุดไหลครูดไปกับกำแพงห้องฉุกเฉิน.....กำแพงบางๆที่ขวางกั้นผมกับเขาเอาไว้....กำแพงที่พยายามจะข้ามมายังไงก็ไม่สามารถทำได้....
ทั้งๆที่เขาร้องไห้....ทั้งๆที่เขากลัวแทบขาดใจ...
แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะกอดเขา ปลอบโยนเขา...ผมทำไม่ได้...ผมทำอะไรไม่ได้เลย....ไม่ว่าจะพยายามบังคับร่างกายที่แน่นิ่งนั่นยังไงมันก็ไม่ยอมขยับ....
ผมทรุดนั่งลงที่ตรงหน้าเขา นัยน์ตาสีมรกตเหม่อลอยมาที่ผมแต่ไม่ได้สะท้อนภาพของผม....
มือที่จะยกขึ้นปาดน้ำตาให้กลับเลยผ่านไป.....
ผมเคยคิด....ไม่ว่าอะไรก็จะไม่ยอมให้มาขวางกั้นระหว่างผมกับเขา....
แต่ความตายที่กำลังจะพรากเราออกจากกันนี่ล่ะ....ผมจะทำยังไง.....ผมจะทำยังไงดี
“ ยามาโมโตะ ทาเคชิ สินะ....”
เสียงของใครบางคนที่ไม่คุ้นหูทำให้ผมจำต้องเงยหน้าจากเขา
“ ฉันมารับวิญญาณของนาย...ไปกันได้แล้ว นายหมดเวลาในโลกนี้แล้ว”
ร่างสูงใหญ่ในชุดกิโมโนสีดำสนิทและไม่ว่าจะพยายามอย่างไรผมก็มองไม่เห็นใบหน้า ในมือข้างนั้นมีดาบญี่ปุ่นสีดำคมปราบ ผมมองร่างตรงหน้าด้วยดวงตานิ่งสนิท ก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นช้าๆแต่ทว่าความรู้สึกในตอนนี้กลับมั่นคงและเยือกเย็นอย่างที่สุด
“ ฉัน....ไม่ไป.....”
.....ไม่ว่าจะทำยังไง ฉันก็จะกลับไปหานายให้ได้.....
.....กลับไป....เพื่อใช้มือคู่นี้ซับน้ำตาของนายให้มันหายไป......
มือของผมกระชับดาบญี่ปุ่นที่ไม่ใช่ชิงุเระคินโทคิมั่น ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปจากยอดตึกสูงเสียดฟ้า ร่างกายนั้นเบาหวิว สายลมปะทะกับใบหน้าให้เส้นผมสีดำสั้นลู่ไปด้านหลัง เท้าของผมแตะลงพื้นอย่างแผ่วเบาจนไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะกระโดดลงมาจากยอดตึก
ย่างกายเดินไปอย่างเชื่องช้า สายตาจับจ้องร่างสองร่างที่มีสีหน้ากลัวลนลาน ที่ข้อมือของชายในสูทดำสนิททั้งสองคนมีโซ่เส้นใหญ่เชื่อมต่อไปยังร่างกายซึ่งนอนนิ่งอยู่ที่พื้น
ใช่แล้ว....สองคนนั้นคือวิญญาณและร่างกายนั้นก็กำลังจะสิ้นลมหายใจ....เพียงแค่ผมตวัดปลายดาบลงไปที่โซ่เส้นนั้น...พวกเขาก็จะตายทันที
ใบหน้าที่ตื่นกลัวของทั้งคู่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าผมหรือเอ่ยอ้อนวอนใดๆ ปลายดาบก็ตวัดลงไปที่โซ่อย่างรวดเร็ว
ผมไม่ลังเลที่จะทำ....ต่อให้ต้องพรากลมหายใจของใครต่อใครอีกเท่าไหร่ผมก็จะทำ....
......เพราะผมจะกลับไป.....
“ ฉัน....ไม่ไป.....”
ผมคือมนุษย์คนแรกที่พูดกับยมทูตแบบนั้น...และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นพันธะแห่งความตายระหว่างผมกับยมทูตตนนั้น....
ร่างสีดำสนิทนั่นยื่นดาบเล่มนั้นมาให้ผม
“ ถ้าอย่างนั้นก็เก็บวิญญาณพวกนี้แทนฉัน ครบพันดวงเมื่อไหร่ ฉันจะให้นายกลับไป....”
“ แล้วฉันจะคอยดู....เมื่อถึงตอนนั้น นายที่กลายเป็นปีศาจเลือดเย็นจะยังอยากกลับไปอยู่ข้างๆเขาอีกหรือเปล่า....”
ใช่....มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะตวัดดาบลงไป....เพราะผมรู้ดี...ว่าคนพวกนี้ก็คงไม่อยากที่จะจากคนที่รักไป....เหมือนกับผม....
แต่ถึงอย่างนั้น.....
ผมก็จะทำ....
ทุกๆคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ...แต่ทุกๆวัน....เขาจะยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น....
หนังสือนิตยสารเบสบอลที่ผมชอบอ่านถืออยู่ในมือเขา อ่านไปทั้งๆที่บ่นงึมงำใบหน้าบูดบ้างหงุดหงิดบ้างมองไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆเขา
ร่างของผมเอง....
เขาคงตั้งใจจะซื้อหนังสือนั่นมาให้ผม....
เพราะเขาคงกำลังหวัง...ว่าเปิดประตูเข้ามาจะเจอผมนั่งหัวเราะแล้วบ่นว่าเหงาไม่มีอะไรทำ...แล้วเขาก็จะปาหนังสือนั่นใส่หน้าผม.....
แต่ในเมื่อตอนนี้ผมยังคงนอนนิ่ง....
ประกายแห่งความหวังในดวงตาของเขาจึงเลือนหายไปกลายเป็นความเศร้าหมอง นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นเหม่อมองไปยังร่างของผม....
สิบนาที....
ยี่สิบนาที....
สองชั่วโมง.....สามชั่วโมง......
เวลาไหลผ่านไปดั่งสายน้ำ....น้ำ....ที่ไหลลงมาจากดวงตาของเขา.....
ผมรู้....ผมเห็นทุกอย่าง....เพราะผมก็มาที่นี่ทุกวันเช่นกัน
ผมรู้ว่าเขาแอบร้องไห้อยู่คนเดียวทุกวัน...ข้างๆร่างของผม....
ไม่มีมือของใครที่จะยื่นมาซับน้ำตาให้....ไม่มีหัวไหล่ของใครให้เขาซบ....ไม่มีอ้อมแขนที่จะปลอบประโลม
เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาจะเข้มแข็ง....แต่พออยู่ตรงนี้....ตรงที่ที่มีเพียงผม....
เผลอยกมือขึ้นไปใกล้ใบหน้าของเขาก่อนที่จะชะงักแล้วกลับมากำมือแน่น.......
เจ็บแปลบทุกครั้งที่เห็นเขาร้องไห้....เจ็บใจทุกคราที่ไม่อาจซับน้ำตาให้เขาได้
โกคุเดระ...ฉันขอโทษ.....
ผมหันกลับไปคว้าดาบสีดำสนิท แล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมด้วยใบหน้าเย็นชานิ่งสนิท....
โซ่อีกหลายเส้นขาดสะบั้นออกจากกัน
ส่งวิญญาณพันดวง.....มันจะต่างอะไรกับการฆ่าคนพันคนกันเล่า.....
ตอนที่มีชีวิตอยู่ มือคู่นี้ไม่เคยเปื้อนเลือด...แต่ตอนนี้กลับลงดาบไปอย่างไม่ลังเล
ยอมที่จะกลายเป็นปีศาจเลือดเย็น เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยดวงตาของผมอีกครั้ง
ยอมที่จะกลายเป็นปีศาจอำมหิต เพียงแค่ได้จุมพิตเขาด้วยริมฝีปากของผมอีกครั้ง
ยอมที่จะกลายเป็นปีศาจร้ายเห็นแก่ตัว เพียงแค่ได้กลับไปซับน้ำตาให้เขาด้วยมือเปื้อนเลือดคู่นี้
ยอมทำทุกอย่าง....ขอเพียงแค่ได้กลับไป.....
ทั้งๆที่คิดแบบนั้น.......
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากเด็กชายตัวเล็กๆ สองมือน้อยๆยกขึ้นป้ายน้ำตาพรางร้องเรียกหา........แม่
ปลายดาบสั่นระริกจ่ออยู่ที่โซ่เส้นใหญ่ที่เชื่อมต่อระหว่างวิญญาณหญิงคนนั้นกับร่างที่นอนแน่นิ่ง
เธอไม่ได้มองผมอย่างหวาดกลัวเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับเฝ้าปลอบโยนลูกชายทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่อาจได้ยิน
มือบางที่ไม่อาจจับต้องเด็กชายได้ยังเพียรพยายามลูบหัว มืออีกข้างก็พยายามเช็ดน้ำตาให้เด็กชายทั้งๆที่มันเลยผ่านไปทั้งหมด
ถ้อยคำอบอุ่นพร่ำกระซิบบอกลูกน้อยให้หยุดร้องไห้ ทั้งที่น้ำตาของเธอกำลังไหลออกมา
มือของผมสั่นและใจของผมไม่แข็งพอที่จะลงดาบ.....
เพราะใบหน้านองน้ำตานั้นช่างชวนให้ผมนึกถึงเขา.....
ผมลดดาบลงและมองสองแม่ลูกอย่างสับสนลังเล...เป็นครั้งแรก...ที่ผมไม่อาจทำได้....มือขวายกขึ้นขยุ้มเสื้อบริเวณตำแหน่งเหนือหัวใจ....เจ็บ...
ผมเดินจากทั้งสองไป และไม่หันกลับมาอีก.....
ทำไม่ได้.....
ผมทำลงไปไม่ได้....
ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง.....รู้ทั้งรู้....ว่าความใจอ่อนนั้นจะทำให้คนที่รักผมที่สุดต้องร้องไห้....
แต่ผมก็ทำลงไปไม่ได้....
เสียงหมอและพยาบาลวิ่งกันให้วุ่นที่หน้าห้องซึ่งร่างของผมนอนอยู่....เครื่องปั้มหัวใจถูกใช้งานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เส้นชีพจรก็ยังคงราบเรียบเป็นเส้นตรง
เขายืนอยู่ตรงนั้น.....
นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริก ใบหน้าสวยพยายามระงับความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด สองมือสั่นๆยกขึ้นมาบีบกันไว้ที่ด้านหน้า ความกังวล ความกลัว ความรู้สึกรับไม่ได้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าซีดเผือดของเขา ริมฝีปากนุ่มร้องเรียกชื่อผมอยู่ตลอดเวลา
จากแผ่วเบากลายเป็นตะโกน จากมือที่เกาะกุมกันอยู่กลายเป็นทุบที่ผนังห้อง....เขากำลังจะเสียสติ.....เขาทุบประตูห้องร้องเรียกชื่อผมอย่างบ้าคลั่งทั้งน้ำตานองหน้า....เมื่อมองเข้าไปแล้วเห็นว่า...
ผมไม่หายใจอีกต่อไป.....
สึนะโอบกอดเขาไว้ แต่เขาก็ยังคงร้องเรียกผมด้วยสติที่เลื่อนลอยและไม่รับรู้อะไรอีก เขายังคงตะเกียกตะกายจะเข้าไปทุบประตูห้องเพื่อเรียกผม แขนอีกหลายคู่จึงช่วยกันจับตัวเขาเอาไว้ ตัวบางๆนั่นก็ยังพยายามสะบัดตัวจากการจับกุมอย่างถึงที่สุด มือเขายังไขว่คว้าที่จะเข้าไปหาร่างของผม จนสึนะจำต้องใช้สันมือซัดที่คอเขาจนสลบ
เพราะผม...
เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะผม
ผมจะให้อภัยตัวเองได้อย่างไร
จะขอโทษเขาแค่ไหนถึงจะเพียงพอ
ทั้งๆที่มุ่งมั่น ทั้งๆที่ตั้งใจ ไม่ว่าอะไรก็จะทำ ไม่ว่าเลวร้ายแค่ไหนก็จะไม่ลังเล...แต่แล้วกลับเป็นผมเองที่ไม่ใจแข็งพอ....
เป็นผมเองที่ยังพยายามไม่พอที่จะกลับมาหาเขา....
ทุกอย่าง...มันเป็นเพราะผมเอง....
โกคุเดระ...ฉันขอโทษ....
ถึงจะไม่มีใครมองเห็น....แต่วิญญาณดวงนี้เองก็กำลังหลั่งน้ำตา....
“ ยามาโมโตะ ทาเคชิ....”
เสียงของยมทูตดังอยู่ข้างหลังผม
“ ฉันให้โอกาสนายอีกครั้ง....จะกลับไปทำงานนี้ให้สำเร็จหรือไม่....”
ผมมองร่างบอบบางของโกคุเดระที่สลบสไลไปพร้อมกับคราบน้ำตาด้วยหัวใจที่เจ็บปวด มือกำดาบแน่นกับโอกาสครั้งสุดท้ายที่ไม่อาจตัดสินใจเลือกได้
ถ้าผมตายไป...เขาจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร...ผมไม่รู้....ผมไม่รู้เลย....เพราะจากสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมรู้แค่อย่างเดียว...ว่าเขารักผมมากแค่ไหน...
แล้วถ้าแม่ของเด็กคนนั้นตายไปล่ะ....เด็กคนนั้นจะอยู่ได้ยังไง....
ผมไม่อยากจะรับรู้....ผมไม่อยากจะเป็นคนดี....ผมอยากจะเห็นแก่ตัวเพื่อกลับไปอยู่ข้างๆคนที่ผมรัก...
ถึงจะรู้สึกอย่างนั้น....
แต่ผมกลับยื่นดาบคืนให้แก่ยมทูต...
มันจบสิ้นแล้ว....
ฉันขอโทษ....โกคุเดระ....ฉันขอโทษ....นายได้ยินฉันหรือเปล่า.....
จากนี้ไป...นายต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ...เพราะว่าจะไม่มีฉันยืนอยู่ข้างๆนายอีกต่อไปแล้ว....
ต้องกินข้าวให้ครบสามมื้อ ต้องนอนให้เพียงพอ ต้องห่มผ้าให้ถึงคอ ต้องออกกำลังกายบ้างและต้องไม่สูบบุหรี่มากเกินไป
นายได้ยินฉันไหม....
คำสุดท้ายที่ฉันอยากจะบอกอีกครั้งและอีกครั้ง...
ฉันรักนาย...รักที่สุดนะ...โกคุเดระ
ผมหลับตาลง....เก็บภาพใบหน้าของคนที่รักแสนรักเอาไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจเพื่อที่จะได้ไม่มีวันลืมเลือน.....
ก้มหน้ารอรับการส่งวิญญาณที่มือของผมเคยทำมานักต่อนักจากมือของยมทูต
“ กลับไปได้แล้ว...ยามาโมโตะ ทาเคชิ......นี่คืองานชิ้นสุดท้ายของนาย.......”
เสียงของยมทูตทำให้ผมเงยหน้ามองทั้งน้ำตา มอง...ด้วยความไม่เข้าใจ...ว่าประโยคเมื่อครู่หมายถึงอะไร
“ มันคือบททดสอบ....นายที่ไม่อาจลงดาบกับสองแม่ลูกนั่นได้ หมายความว่านายยังมีคุณสมบัติที่ยังเป็นมนุษย์...นายยังมีหัวใจ”
“ ในทางตรงกันข้าม...ถ้านายตัดโซ่นั่นได้...นายจะกลายเป็นยมทูตเต็มตัว...และไม่อาจกลับไปเป็นมนุษย์ได้อีก....”
“ กลับไปซะ...แล้วหวังว่าเราจะไม่ต้องพบกันอีก”
ท่ามกลางความมึนงง แว่บหนึ่งซึ่งผมมองเห็นใบหน้าของยมทูต รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีดำยาวประบ่า กลีบซากุระพัดโปรยปรายก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีขาวโพลน
“ ขอบคุณ....ครับ.....”
ไม่รู้ว่าเสียงนี้จะส่งไปถึงหรือเปล่า แต่มันออกไปจากใจที่ตื้นตันอย่างสุดแสน
โอกาสในการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืมเลย และสัญญาว่าจะรักษามันเอาไว้อย่างดีที่สุด
ผมไม่เคยดีใจมากมายเท่าครั้งนี้มาก่อน...ความรู้สึกที่เหมือนโดนฉุดลงนรกเมื่อครู่กลับล่องลอยราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์...ให้น้ำตาแห่งความเศร้าหมองกลายเป็นน้ำตาแห่งความสุขที่หาใดเปรียบได้
ดีใจจนไม่รู้ว่าจะดีใจยังไงได้อีก....เพราะพรข้อเดียวที่เพียรขอ คือการได้กลับไปอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง...
และยมทูต...ก็ได้ให้พรข้อนั้นกับผมมาแล้ว....
ผมข้ามผ่านความตาย แล้วกลับมาหาเขาจนได้....
จากนี้...ผมจะรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุด...และจะไม่ทำให้เขาต้องร้องไห้อีก....
ผมสัญญา
เสียงชีพจรที่ขาดหาย....กลับดังขึ้นอีกครั้ง.....ดั่งปาฏิหาริย์.....
ผมกลับมาอยู่ในร่างนี้กี่วันกันแล้วนะ....
ในที่สุดเปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ แสงสว่างเจิดจ้าที่ไม่คุ้นตาทำให้ทุกอย่างดูพร่าเลือน
แต่ความอบอุ่นจากร่างที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงก็ทำให้ผมรู้สึกได้ ว่าเขาอยู่ข้างๆผมตลอดเวลา เส้นผมสีเงินเป็นประกายคือสิ่งแรกที่ผมมองเห็น
ใบหน้าที่หลับพริ้มของเขาเกยอยู่ที่ขอบเตียง ใช้ท่อนแขนเล็กนั่นหนุนนอนต่างหมอน ร่างบางๆนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่มีแม้แต่ผ้าห่มคลุม
ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน....
ค่อยๆยกมือขึ้นช้าๆ สัมผัสความอบอุ่นจากใบหน้าของเขาเพื่อช่วยยืนยันว่าความโหยหาไม่ได้พาให้ผมเพ้อฝันไปเอง
ผมคิดถึงเขา.....
ผมอยากสัมผัสเขา......
อยากกอดเขา ปลอบโยนเขา และ.....
นิ้วยาวเกลี่ยคราบน้ำตาที่หางตาที่ยังคงปิดสนิท...
ในที่สุดมือคู่นี้ก็สามารถซับน้ำตาของนายให้หายไปได้เสียที....
นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆเปิดขึ้นจนเบิกกว้างเมื่อมองเห็นมือและใบหน้าของผม รอยยิ้มอบอุ่นที่ผมส่งให้เขาทำเอาน้ำตาไหลลงมาจากนัยน์ตาสีมรกตไม่หยุด เขาโผเข้ากอดผมแน่นราวกับกลัวว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นจะหายไปในความฝัน
มือของผมลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน....
“ ฉัน...กลับมาแล้ว...โกคุเดระ....”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
FIN
แต่งฟิกจนตาบวม....ดูเหมือนจะเป็นฟิกวันเกิดที่แหวกแนวกว่าที่เคยแต่งให้ชาวบ้านเค้าหน่อยนะคุณแก้ว ^ ^”
HAPPY BIRTHDAY K_Guardian_7!!!
สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณแก้ว >.<
ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ คอมหายป่วยไวๆเราจะได้กลับมาโฮกๆกันบ่อยๆอีก เหะ เหะ สำหรับของขวัญชิ้นนี้ขอส่งมอบให้คุณแก้วพร้อมทิชชู่อีกครึ่งม้วนที่เหลืออยู่ของข้าพเจ้า(?) แบบว่าคนแต่งเองก็ใช้ไปม้วนครึ่ง...^ ^”....อ่า....เรื่องภาษาที่ใช้อาจจะแข็งๆไปบ้าง แต่ตั้งใจให้เป็นแบบนี้นะคะ ^ ^” (เดี๋ยวจะหาว่าเค้าไม่ตั้งใจแต่งให้ =3=) เพราะลองใช้ภาษาโหยหวนอย่างแฝดน้องมาแล้ว....พรากๆเองตั้งแต่ต้นเรื่อง...ก็เลย เอาใหม่ๆ...เพราะยังไงๆนี่มันก็ฟิกวันเกิดนะ ^ ^”
สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งค่ะ! …..แล้วตกลงว่า.......คุณรู้จักคำว่า ปาฏิหาริย์ แล้วหรือยัง? ....^ ^…..
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและมาร่วมแฮปให้คุณแก้วกับข้าพเจ้านะค้า....เหะ เหะ
โ - ค - ต - ร ซึ้ง
ตอบลบเล่นเอาร้องไห้ในร้านเน็ตเลยอ่ะ(เอ็งไม่อายชาวบ้านเรอะ)
สนุกมากมาย
โอ่ย ซึ้ง รักพี่ยมทูตคนนั้น T^T
ตอบลบสงสารก๊กอ่ะ น้ำตาไหลพรากเลยค่ะตอนที่ก๊กเสียสติ
ร้องไห้แล้วตะโกนชื่อยามะตอนที่ชีพจรขาดไปแล้วอ่ะ
ฮืออ T___T นึกภาพออกเลย ว่าก๊กทรมานมากขนาดไหน
แล้วสงสารยามะด้วย เห็นคนที่ตัวเองรักมาร้องไห้ทรมานเพราะตัวเอง
แล้วตัวเองไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลย จะเช็ดน้ำตาให้ก็ยังไม่ได้
โฮกกกกกกกก เศร้า T_T แต่สุดท้ายก็แฮปปี้ หายใจโล่งซะที เฮือกก
ร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลยค่ะ
ตอบลบตอนแรกนี่ก็ซึมๆตอนก๊กวิ่งมากอด
พอเริ่มอ่านไปเรื่อยๆน้ำตาที่ไหลพรากเลยค่ะ
ตอนทุบประตูและทุกคนมาช่วยกันฉุดนี่คือพีคมาก
ฮืออออออ
คือฟิคเศร้ามากอยู่แล้วค่ะ แต่เราดันฟังลิสเพลงของพี่ปานไปด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=CU0XdZYnquE&index=7&list=PL7C08F056FF4B8C11
เพลงนี้เลยค่ะ คือ บิวท์เกินT_______T
-ขออีกคอมเมนท์นะคะ ทำไมเค้าอ่านคุณพี่ยมทูตละรู้สึกเหมือนเขาคือคุณเบียคุยะจากบลีชเลยค่ะ
ตอบลบมีซากุระด้วยนะเออ ><