: KHR Fanfiction Au
: 185980 1006927 XSD
: Drama
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: ตอนคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็แค่อยากอ่านฟิคที่มีสองด้าน ก็แค่นั้นเองค่ะ เพราะงั้น....นี่คือ ฟิคคู่แฝดค่ะ.....เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหมือนๆกัน แต่ความรู้สึกนั้นช่างต่าง......พบกับอีกด้านของเรื่องนี้ได้ที่......
[AuFic][805918] The Last SNOWDROP....
.
.
.
.
สมการสามเส้า ของพวกเขาสามคู่
กับความรักของคน 9 คน กับความรู้สึกและเหตุผลของแต่ละคนใน 9 ด้าน
กับความต้องการและความปรารถนาที่จะครอบครองบุคคลอันเป็นที่รัก
สุดท้าย.......
ดอกไม้แห่งความหวังจะเบ่งบานแย้มยิ้มให้แก่....ผู้ใดกัน
กับความรักของคน 9 คน กับความรู้สึกและเหตุผลของแต่ละคนใน 9 ด้าน
กับความต้องการและความปรารถนาที่จะครอบครองบุคคลอันเป็นที่รัก
สุดท้าย.......
ดอกไม้แห่งความหวังจะเบ่งบานแย้มยิ้มให้แก่....ผู้ใดกัน
By : K_Guardian_7
.
.
.
.
.
.
.
.
เหนื่อย......
ไม่ใช่ที่ร่างกายแต่กลับเป็นที่จิตใจ....
อยากจะหยุดพัก...อยากจะหลับใหล....อยากจะหายไปให้พ้นจากเรื่องหลอกลวงทั้งหมด....
น่าตลก....ที่ความคิดพวกนี้มันออกมาจากคนที่เป็นดั่งหมอกมายาหาความจริงใจได้ไม่แบบเขา....
ก้มลงมองไปที่มือเรียวยาวของตัวเอง สัมผัสนุ่มของใบหน้าน่ารักนั้นยังคงอยู่....เพราะรักมากจึงยากจะให้อภัย.....แต่เจ้าจะรู้หรือไม่ว่ากว่าที่ข้าจะเดินจากเจ้ามาได้นั้นมันยากเย็นแค่ไหน สึนะโยชิ
เขาคิด.....เขาคิดมาตลอดทางที่ระยะห่างของพวกเรามันเพิ่มมากขึ้น....เขารู้ เขาเข้าใจเหตุผล ว่าทำไมร่างเล็กๆนั่นถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นลงไป....ทุกอย่างมันเป็นเพราะเขา....
หลายต่อหลายครั้งที่หมุนตัวเดินกลับไป แต่พอนึกถึงใครอีกคนหนึ่ง......มันก็ทำให้การให้อภัยนั้นมลายหายไป…
แล้วเรียวขาก็เดินกลับมา เดินมาเรื่อยๆตามที่หัวใจเรียกร้อง ถึงแม้จะเหม่อลอยถึงแม้จะไร้สติ....แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็บ่งบอกได้ดี...ว่าใครคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
เขาคงจะไม่มีวันหนีไปจากคนคนนี้ได้พ้น......
มือเรียวยกขึ้นลูบแผ่นป้ายไม้สีดำที่ติดอยู่ที่รั้ว ตัวอักษรสีขาวถูกสลักอยู่อย่างงดงาม...... สัญลักษณ์เลขหก....สัญลักษณ์ประจำตัวของเขา......
นัยน์ตาสองสีเหลือบมองไปที่สวนเล็กๆหน้าตำหนักที่จากไปนานแสนนาน มันยังคงสวยงามจากการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี....ข้าจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหม....ว่าเจ้าเองก็ยังคงรอคอยการกลับมาของข้าอยู่.....
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะขาดสะบั้นลง และข้าเองก็ไม่คิดที่จะกลับไปเรียกร้องอะไรจากเจ้าอีก...เพราะสำหรับข้าแล้ว....ขอแค่ได้เฝ้ามองเจ้า แค่ได้คอยดูแลเจ้าอยู่ห่างๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว....เพียงพอแล้วสำหรับพี่ชายที่ทำร้ายเจ้ามามากมาย พี่ชายที่ไม่น่าให้อภัยอย่างข้า.....เคียวยะ
.................................................................................................................................................................
อีกครั้ง...ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น....ใบหน้าสวยละออกมาจากแผ่นอกแข็งแกร่งแล้วเงยหน้ามองใบหน้าคมที่ยังคงหลับสนิท เส้นผมสีดำระใบหน้าดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ให้มือเล็กบางขยับออกจากมือใหญ่แล้วเกลี่ยเส้นผมสีดำนั้นออกไป....นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบอยู่เนิ่นนาน....
ข้าทำให้ท่านต้องเจ็บปวดมามากแค่ไหนกัน....ทั้งๆที่ท่านทำดีกับข้ามาตลอด แล้วทำไม...ทำไมก่อนหน้านี้ท่านจึงไม่บอกให้ข้ารู้....มือบางกระชับกิโมโนตัวในสีขาวให้ปกปิดร่องรอยสีกุหลาบที่แผ่นอกของตน....ถ้าข้าจะขอไถ่โทษด้วยร่างกายของข้าแต่เพียงอย่างเดียว มันจะเพียงพอหรือไม่...เพราะว่าหัวใจของข้า....
ร่างบอบบางของนายน้อยแห่งโกคุเดระค่อยๆลุกออกจากอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ไม่อยากรบกวนให้คนที่ยังคงหลับสบายต้องตื่นขึ้นมา เส้นไหมสีเงินพลิ้วไสวเล็กน้อยเมื่อมือค่อยๆเปิดบานเลื่อนออกจนสายลมเย็นพัดผ่านร่างกาย เท้าเปลือยเปล่าก้าวลงไปยังระเบียงไม้ติดกับสวนก่อนที่ร่างบางจะนั่งลง แว่วเสียงเจ้านกป้อมสีเหลืองร้องเรียกชื่อขณะที่บินอยู่รอบๆกาย นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองผ่านท้องฟ้าออกไปไกลแสนไกล โดยที่ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังถูกดวงตาสีดำสนิทจับจ้องมองอยู่
ทำไมข้าจะไม่รู้...ว่าเจ้ากำลังนึกถึงสิ่งใด....ถ้าไม่ใช่หัวใจที่เจ้าทำหายไปที่ป่าสายหมอกนั่น....
แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้....
กิโมโนตัวนอกสีดำสนิทถูกคลุมลงบนไหล่บางอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ร่างกายแข็งแกร่งของเจ้าของแผ่นดินสีดำจะกระชับอ้อมแขนโอบกอดร่างบอบบางจากทางด้านหลัง ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนใบหน้าสวยซับสีเลือดแดงระเรื่อ แต่คนที่เพิ่งยอมญาติดีกันได้ไม่นานก็มิวายขัดขืนตามความเคยชิน
“ ปล่อยข้านะ! กลางวันแสกๆอย่ามาทำรุ่มร่ามให้ข้ารับใช้เอาไปนินทาแบบนี้ ปล่อยสิ!” แรงดิ้นเหมือนไม่เอาจริงทำให้ใบหน้าคมเผลออมยิ้ม
“ งั้นแปลว่ากลางคืนทำได้?”
“ ท่าน!!!” ใบหน้าสวยหันมาส่งสายตาดุให้อีกคนที่ดวงตาสีดำนั้นเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากยิ้มน้อยๆก่อนที่จะประทับลงมาที่ริมฝีปากสีสดอย่างรวดเร็ว ร่างในอ้อมแขนยังคงดิ้นขลุกขลัก
ใบหน้าคมฝังจมูกลงบนแก้มเนียนใสอีกครั้งก่อนที่จะละอ้อมกอดออกไป ทิ้งดอกไม้ดอกน้อยสีขาวบริสุทธิ์เอาไว้ในมือบาง “ ข้าจะออกไปตรวจความเรียบร้อยแล้วจะกลับมากินข้าวกับเจ้า” น้ำเสียงนิ่งเอ่ยออกมาก่อนที่ร่างสูงจะหายไปจากห้องพร้อมเสียงประตูเลื่อนที่ปิดลง
นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองดอกไม้ดอกน้อยในมือ....ท่านกำลังบอกข้าทุกวันผ่านดอกไม้นี่สินะ ท่านเคียวยะ....
บอกว่าท่านรักข้า....เพราะมันคือดอกไม้แห่งความรัก
บอกว่าข้าคือความหวังของท่าน....เพราะมันคือดอกไม้แห่งความหวัง
แล้วมัน....
บอกว่าข้าคือตัวอันตราย...เพราะมันคือดอกไม้แห่งความตาย ด้วยหรือเปล่า?
มันทำให้ข้านึกถึงใครอีกคน ที่ต้องตายเพราะรักข้า....
ยามาโมโตะ.....
เจ้าตายไปแล้วจริงๆหรือเปล่า....
ร่างแข็งแกร่งของเจ้าของแผ่นดินสีดำยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้อง....ในสมองยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา
บางที....ถ้าเจ้ารู้ว่าชายผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่....เจ้าคงตัดใจและหันมารักข้าถ้ารู้ว่ามันตายไปแล้ว...หรือเจ้าอาจจะปักใจรักถ้ารู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่
ถ้ารู้...เจ้าอาจจะเลือกทางใดทางหนึ่ง....
แต่ข้านั้นกลับไม่มั่นใจเลย...ว่าอยากให้เจ้ารู้.....
เพราะข้านั้นไม่มั่นใจเลยว่าหากความจริงปรากฏว่าเจ้านั่นมันยังมีชีวิตอยู่...แล้วข้า...จะยอมรับความจริงถึงสิ่งที่เจ้าจะเลือกได้
............................................................................................................................................
ร่างสูงโปร่งที่แทบจะกลืนกินไปกับแสงแดดสว่างจ้าเดินทอดน่องสบายๆราวกับว่าบาดแผลที่ท้องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น บาดแผลมันไร้ซึ่งความเจ็บปวดแล้ว แต่ทุกครั้งที่ยังเห็นมันอยู่ความเจ็บแปลบกลับพุ่งตรงไปที่หัวใจมากกว่า เจ็บใจ เคียดแค้น ชิงชัง คนที่ฝังรอยแผลเป็นนี้ไว้ที่ร่างกายเขา....สักวัน...เขาจะต้องแย่งชิงคนที่มันรักที่สุดมาเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวให้จงได้...
นัยน์ตาสีอเมทริสจับจ้องไปที่ผีเสื้อสีขาวตัวน้อย ที่ค่อยๆบินละล่องไปเรื่อยๆ มันคือผีเสื้อพันธุ์พิเศษที่เลี้ยงขึ้นมาเพื่อใช้ติดตามหากลิ่นของดอกกล้วยไม้สีขาว....ดอกไม้ที่เขาขยี้ให้โปรยปรายเพื่อสร้างสัญลักษณ์ติดตัวมุคุโร่ในวันนั้น...วันที่เขาพลาดพลั้งต่อบุปผามรณะที่น่าขยะแขยงนั่น.... แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าผีเสื้อตัวนี้จะบินไปทางไหน....
แค่มันเริ่มบินก็รู้ได้ทันที ว่าที่ที่มุคุโร่อยู่ในตอนนี้คือ....นามิโมริ...
..........................................................................................................................................
เสียงขวานผ่าท่อนไม้สลับกับเสียงร้องของใครบางคนลอยออกมาจากบ้านหลังน้อยที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางต้นไม้ใหญ่รายรอบ ที่ลานหน้าบ้านชายร่างสูงใหญ่ผมสีทองกำลังยกขวานอันใหญ่ด้วยท่าทางทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่มันจะเหวี่ยงลงมาอย่างรวดเร็วแต่แทนที่จะผ่าท่อนไม้ฟืนออกเป็นสองซีกกลับเฉี่ยวไปเสี้ยวหนึ่งและไอ้ไม้เสี้ยวนั้นแหละที่มันกระเด็นมากระแทกใบหน้าหล่อเหลาให้ได้ร้องโอดโอยอีกครั้ง
ร่างโปร่งบางของใครอีกคนนั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ข้างๆ ใบหน้าสวยออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“ น่ารำคาญจริงโว้ยยยย กะอีแค่ผ่าฟืนแค่นี้ ทำไม่เป็นแล้วเสร่อออกมาอยู่คนเดียวได้ไงวะ!” หมดสิ้นซึ่งความอดทน...หลังจากที่ร่างโปร่งผมสีเงินนั่งมองเจ้าของบ้านพยายามที่จะผ่าฟืนด้วยท่าทางประหลาดๆกับความอเนจอนาถจากการโดนท่อนไม้เล่นงานเอา มันทำให้อยากจะลุกลงไปทำเองซะให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดที่ว่าแม้แต่แรงจะเดินยังไม่ค่อยจะมี จากการที่ร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัวแบบนี้
“ ก็....ปกติ...ข้าไม่ได้ผ่าก่อนนี่นา แต่ข้าใส่ไปทั้งดุ้นแบบนี้แหละ อยู่ได้นานกว่าด้วยนะ” ใบหน้าหล่อเหลาหันมาฉีกยิ้มราวกับไม่รู้สึกรู้สา มือใหญ่ที่มีบาดแผลถลอกยกขึ้นเกาท้ายทอยพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ
“ ปกติของเจ้า แต่มันไม่ปกติสำหรับคนอื่นว้อยยย แล้วยิ่งซุ่มซ่ามแบบเจ้าทิ้งฟืนทั้งท่อนเอาไว้ในเตาแบบนั้น ไฟไม่ไหม้บ้านนี่ก็บุญหนักหนาแล้ว!” ร่างโปร่งบางพักฟื้นอยู่ที่บ้านหลังน้อยนี้ร่วมกับชายหนุ่มผมทองมาหลายสัปดาห์ ทำให้พอจะรู้ว่า...นอกจากการเขียนหนังสือแล้ว....เรื่องอื่น....เจ้าคนตรงหน้านี้ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด....ทั้งซุ่มซ่าม ทั้งทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง แต่กระนั้นก็ยังอบอุ่นและอ่อนโยน.....ดีโน่เจิดจ้าราวกับดวงตะวัน เป็นท้องฟ้าที่สดใส....แตกต่างกับใครอีกคนในห้วงคำนึง....เพราะหมอนั่นคือฟากฟ้าที่น่ากลัว ฟากฟ้าที่มืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใด มองไม่เห็นแม้แต่หัวใจ.....
หรือจะเป็นเขาเองที่มิอาจมองเห็นมันกันแน่....
“ ข้าหมดแรงแล้ว....เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ดีกว่า” ร่างสูงใหญ่นั่งแปะลงบนระเบียงบ้านข้างๆร่างโปร่ง สีหน้าท่าทางดูหมดเรี่ยวหมดแรงสุดๆ ทั้งๆที่นั่งเขียนหนังสืออยู่ได้ทั้งวันโดยไม่บ่นสักคำ แต่พอต้องออกมาใช้แรงแค่ครึ่งชั่วยามกลับบ่นกระปอดกระแปดแบบนี้....อย่างเจ้านี่....คงจะไม่เคยจับดาบฆ่าคนจริงๆเสียกระมัง
“ โอ๊ย!” เสียงร้องจากคนผมทองดังขึ้น เมื่อจู่ๆผ้าชุบยาก็สัมผัสมาที่แผลถลอกบนหน้าผาก
“ ฮึ เป็นไงล่ะ ยาที่เจ้าผสมขึ้นมาเอง แสบดีไหมล่ะ” ใบหน้าสวยยิ้มเยาะ ขณะที่ป้ายยาลงบนแผลตามจุดต่างๆทั่วใบหน้า
“ อูยยย...แสบอ่ะสควอลโล่....”
“ เจ้าบอกเองไม่ใช่รึ ว่ามันไม่แสบ เมื่อวันก่อนเจ้าก็จับข้าทายาพวกนี้ เป็นไง...รู้สึกบ้างรึยัง” ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความแสบตามบาดแผล...ใบหน้าและท่าทางที่แสดงออกมาตรงๆนั้นไม่ต่างจากเด็กๆ....เพราะแบบนี้หรือเปล่า....ที่ทำให้เขากล้าพอที่จะมอบความไว้วางใจให้ กล้าที่จะอยู่ใกล้ๆ
กับคนที่ไม่รู้จัก....ที่พบเจอกันแค่เพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างเจ้า....
“ ข้าจะไปเก็บผักแล้วละ ไม่ต้องทาต่อแล้วละ ฮะ ฮะ” ดีโน่กระโดดลงจากระเบียงไม้ ลงไปยืนหัวเราะแห้งๆ หาข้ออ้างเพื่อหลีกหนีการทายาอย่างเห็นได้ชัด
ร่างสูงใหญ่เดินลัดเลาะหมู่ต้นไม้ไปยังแปลงผักที่ปลูกเอาไว้กินเองที่หลังบ้าน โดยมีร่างโปร่งบางเดินตามไปติดๆ เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย และบรรยากาศที่รายล้อมอยู่รอบกาย ราวกับว่านี่ไม่ใช่โลกเดียวกันกับที่ที่ร่างโปร่งหนีออกมา....ที่นี่มันช่างสงบสุข มีแต่กลิ่นหมึก กลิ่นผืนดิน กลิ่นท้องฟ้า.....ไม่มีกลิ่นคาวเลือด ไม่มีกลิ่นของชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ไม่มีกลิ่นของความเคียดแค้นชิงชัง......มันจะเป็นภาพลวงตาหรือว่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงก็มิอาจรู้ได้.....แต่ชีวิตแบบนี้....บางทีอาจจะเป็นชีวิตที่เขาโหยหาและรอคอยมานานแล้วก็เป็นได้....นัยน์ตาสีน้ำแข็งทอดมองไปที่แผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้า.....หากเจ้าจะเป็นคนคนนั้น....คนที่จะมาปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระจากความแค้นทั้งหมดที่มี....เป็นคนที่ทำให้ข้าลืมพี่ชายฝาแฝด ลืมชายที่แย่งครึ่งชีวิตของข้าไป....ลืมความโหดร้ายของการเข่นฆ่า ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนของเจ้า....ดีโน่
“ ว้าว...มะเขือเทศแดงแล้ว...ดูสิๆ สควอลโล่” มือใหญ่ของคนที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรชี้ชวนให้ดูมะเขือเทศสีแดงน่ากิน
“ แปลงผักที่เลื้อยเป็นงูแบบนี้ ก็ยังอุตส่าห์จะมีผักออกดอกออกผลให้กินได้อยู่อีกนะ” ร่างโปร่งหยุดยืนอยู่ข้างๆร่างสูงใหญ่ที่ก้มลงไปเก็บผลมะเขือเทศท่ามกลางแปลงผักหลายแปลงที่เรียงรายกันอยู่ตรงหน้า พืชผักนานาพรรณต่างออกดอกออกผลดูสมบูรณ์ต่างจากสภาพแปลงที่คดไปโค้งมา แค่เห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือแปลงผักของดีโน่
“ สควอลโล่...เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว การปลูกผักน่ะต้องปลูกด้วยใจ ต้องใช้ใจสัมผัสและมอบความรักความอบอุ่นให้มัน แล้วมันก็จะยอมออกผลงามๆมาให้กินยังไงล่ะ” …..ใช้ใจสัมผัสอย่างนั้นหรือ......ใช้หัวใจ.....
“ เออ...แต่คราวหน้าข้าว่าเจ้าใช้ตาดูมากกว่าใช้ใจดูน่าจะดีกว่า แปลงผักมันจะได้ตรงๆเดินเก็บง่ายกว่านี้น่ะเว้ย”
“ ฮะ ฮะ ฮะ”
......ใช้หัวใจเช่นนั้นหรือ......
....................................................................................................................................................................
ร่างบอบบางของนายน้อยแห่งโกคุเดระเดินไปตามระเบียงทางเดินพื้นไม้ที่ขัดจนขึ้นเงา ผมยาวสีเงินนุ่มดุจแพรไหมถูกรวบขึ้นไปมัดอยู่เหนือหัวปอยผมด้านหน้าคลอเคลียไปกับแก้มใสยามที่ร่างบางขยับก้าวเดิน ร่างกายอยู่ในเสื้อกิโมโนสีขาวกับกางเกงฮากามะจับจีบสีดำสนิทดูทะมัดทะแมงแต่กระนั้นก็ยังดูบอบบางน่าทะนุถนอม ขาเรียวก้าวเดินไปอย่างคุ้นเคยเส้นทางดี เพราะนี่คือทางที่เชื่อมต่อจากเรือนส่วนตัวของท่านเจ้าเมืองกับโรงฝึกส่วนตัวของฮิบาริ เคียวยะ สาวใช้สองคนยังคงเดินตามท่านหญิงของตนไปเช่นเดิม
ประตูเลื่อนหน้าโรงฝึกถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ขาเรียวก้าวเข้าไปก่อนที่จะหยุดยืนอยู่ที่หน้าคันธนูสีดำคันหนึ่ง....
มือบางยกขึ้นลูบมันแผ่วเบา ลวดลายสีเงินถูกสลักเสลาเอาไว้อย่างสวยงามบนพื้นสีดำ แขนเล็กบางยกมันขึ้น น้ำหนักที่กำลังพอดี ความยาวของคันธนู ความกว้างของเส้นเอ็น....ทุกอย่างล้วนถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตและพอดีกับร่างกายของเขา....มันคือธนูที่ถูกสร้างมาเพื่อเขา....
อาวุธ...ที่ฮิบาริ เคียวยะ เลือกให้เขา....
“ อย่างเจ้าใช้กำลังสู้ในระยะประชิดไม่ได้หรอก...เพราะฉะนั้นดาบจึงไม่เหมาะกับเจ้า” ....แล้วธนูคันนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมา....
“ เจ้าจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัวเองได้...เพราะในอนาคต...เจ้าคือคนที่ต้องยืนอยู่เคียงข้างข้า....” ถ้อยคำเอาแต่ใจแต่มันกลับสร้างความร้อนผ่าวบนใบหน้าสวย
“ ข้าไม่ได้อยากจะยืนอยู่ข้างๆท่านซักหน่อย...” เสียงบ่นงึมงำออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อ ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้น แต่แขนบางก็ง้างคันธนูพร้อมกับปล่อยลูกธนูออกไป นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองเป้าหมายที่ยังอยู่ห่างไกลกับลูกธนูยิ่งนัก
ร่างบอบบางงามสง่ายังคงตั้งสมาธิในการฝึกฝน คันธนูถูกง้างออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าสวยเชิดขึ้นมองเป้าหมายอย่างมุ่งมั่น นัยน์ตาสีมรกตไม่มีแววลังเลหรือหวาดกลัว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่มีวันที่จะจับธนูคันนี้แน่....ธนูที่ทำออกมาคู่กับธนูสีดำคันใหญ่อีกคันหนึ่งซึ่งถูกวางอยู่ใกล้ๆกันในโรงฝึกแห่งนี้ ธนูของฮิบาริ เคียวยะ....ธนูที่ปลิดชีวิตของคนที่เขารัก....ธนูที่ฆ่ายามาโมโตะ.....
นัยน์ตาสีมรกตหลุบมองไปที่พื้นก่อนที่จะเหลือบไปมองคันธนูสีดำคันใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ร่างบางส่งคันธนูในมือให้สองสาวใช้รับเอาไว้แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าธนูของฮิบาริ เคียวยะ มือบางยกขึ้นสัมผัสที่ริ้วรอยบนคันธนูที่คงจะถูกใช้งานมายาวนานและคงจะปลิดชีวิตของใครต่อใครมามากมาย...
....เจ้าน่ะ....ฆ่าหัวใจของข้าไปแล้วจริงๆหรือ.....
....ตอบข้าที....ว่าเจ้าทำให้เขาตายไปแล้วจริงๆหรือเปล่า....
..........................................................................................................................................................................
ร่างกายนั้นใกล้จะหายดี...แต่จิตใจที่กำลังได้รับการเยียวยานั้นก็มิอาจจะตัดใจให้จากไปได้ลง....ร่างโปร่งบางผมสีเงินค่อยๆถอดผ้าพันแผลออกจากร่างกาย เกือบจะถึงเดือนแล้วที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะจากไปทันทีที่แผลใกล้จะหาย....แต่ตอนนี้....กลับไม่อยากไป.....
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นมาแต่ไกล ลมลูกใหญ่พัดผ่านเข้ามาที่ประตูเลื่อนซึ่งเปิดค้างเอาไว้ เสียงใครอีกคนที่อยู่ในบ้านร้องโวยวายกับอะไรบางอย่าง
“ สงสัยจะมีพายุเข้า....หว๋า....รายงานข้าๆๆ.....”
“ แทนที่จะมัวแต่วิ่งเก็บกระดาษ ทำไมเจ้าไม่ปิดประตูก่อนละห๊ะ”
“ โทษที! แต่ช่วยข้าไล่เก็บไอ้ที่มันปลิวอยู่หน่อยสิสควอลโล่” เคยฟังกันบ้างไหมเนี่ย....ร่างสูงใหญ่หันมาตะโกนบอกทั้งๆที่ตัวเองนั้นกระโดดไล่ตามแผ่นกระดาษที่ปลิวไปกับสายลมอยู่ข้างนอกบ้านเป็นที่เรียบร้อย สายฝนเริ่มจะโปรยปราย กระดาษที่กระจัดกระจายบางส่วนก็เริ่มเปียกเล็กน้อย ร่างโปร่งจึงจำใจเดินออกไปตามไล่เก็บกระดาษที่มีลายมืองดงามพวกนั้นอย่างช่วยไม่ได้
“ ฮะ ฮะ...เปียกหมดเลยนะเจ้าน่ะ” ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มระรื่นทั้งๆที่ตัวเองก็เปียกมะลอกมะแล่กไม่แพ้กัน ร่างของทั้งคู่นั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านซึ่งหลังคาคลุมกันฝน สายน้ำจากฟากฟ้าไหลรินลงมาอย่างชุ่มฉ่ำ แลเห็นแผ่นกระดาษสองสามใบที่ตามไปเก็บไม่ทัน น้ำหมึกเริ่มละลายหายไปกับสายฝน ดวงตาสีทองสุกใสมองไปด้วยอาลัยอาวรณ์ ต่างจากนัยน์ตาสีน้ำแข็งที่เหม่อมองเม็ดฝนอย่างเลื่อนลอย....
“ คิดอะไรอยู่หรอ...หรือว่าคิดถึงบ้าน ?” ผ้านิ่มในมือหนาวางแปะมาบนใบหน้าสวยที่เหม่อลอย เรียกเอาสติหลุดออกมาจากภวังค์ ร่างโปร่งหันมาแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับพยายามแย่งผ้าที่มือใหญ่ซับน้ำบนเรือนผมเงินและใบหน้าเนียนให้
“ ข้าทำเองได้ เอามานี่”
“ อยู่นิ่งๆเหอะน่า...ถือว่าเป็นการขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าเก็บกระดาษจนเปียกปอนแบบนี้” น้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนทำให้ร่างโปร่งหยุดนิ่งลง สควอลโล่ยอมนั่งเฉยๆให้ร่างสูงเช็ดน้ำที่เกาะพราวอยู่ตามใบหน้าและแขนขาให้แต่โดยดี....ทำไม...เพราะอะไรกัน.....ทำไมคนอย่างเขาถึงยอมให้หมอนี่เข้าใกล้ได้ขนาดนี้....เพราะความอบอุ่น...เพราะความอ่อนโยน....เพราะจิตใจที่บริสุทธิ์....หรือเพราะอะไรกัน....อะไรกันที่มันสะกดให้ฉลามคลั่งแห่งท้องทะเลยอมสงบนิ่งลงได้.....อะไรกัน....
“ ผมเจ้าก็เปียกนะ แก้มัดมันได้หรือเปล่า” มือใหญ่จับไปที่ผ้าสีขาวเส้นเล็กที่มัดรวบเอาเส้นผมสีเงินยาวไว้ด้วยกันที่กลางหัว หมายจะดึงให้หลุดออกจากกัน
“ หยุดนะ! อย่าปล่อยมันลงมา!!” เสียงตะคอกที่ดูแตกต่างไปจากเดิมพร้อมสองมือบางที่ยกขึ้นไปจับที่ผมแน่น ทำเอาดีโน่หยุดชะงัก....ทำไมต้องไม่ชอบใจขนาดนั้นด้วย....
ทั้งๆที่เมื่อก่อน....เจ้าก็ปล่อยผมยาวๆนี่อยู่ตลอดไม่ใช่หรือ....
ภาพของเจ้าที่เดินตามร่างสูงใหญ่ของแซนซัสไปข้ายังจำได้ดี...
เส้นไหมสีเงินพวกนี้มันปลิวสยายไปกับสายลม...สวยงามจนไม่อาจละสายตาได้เลยไม่ใช่หรือ....
แล้วทำไมตั้งแต่ที่พบเจ้าคราวนี้...เส้นไหมพวกนี้กลับไม่ได้รับอิสระ...
คนตรงหน้าไม่เคยปล่อยผมลงมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว....ทำไมกัน
นัยน์ตาสีทองลอบมองร่างโปร่งที่นั่งหันหลังให้อย่างไม่เข้าใจ...อะไรหลายๆอย่างของคนตรงหน้านั้นช่างต่างจากที่เขาคิด....เขาก็แค่อยากจะรู้...ว่าทำไมชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิตผู้นั้นถึงได้เลือกคนคนนี้ เลือกคนที่เพิ่งพบกันได้ไม่นาน แทนที่จะเป็นแผ่นดินและคำสัญญาของเพื่อนที่อยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่เกิดอย่างเขา....
อยากจะรู้...ว่าเจ้ามีอะไรดีกัน....
วันที่เขาพบร่างโปร่งคนนี้นอนสลบอยู่ที่ริมแม่น้ำด้วยบาดแผลเต็มตัว ในใจที่คิดจะทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ใจที่ทอดอาลัยไม่อยากยุ่งเกี่ยวหรือทำสิ่งใดกลับยินดีและมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าในอดีตเขาจะไม่เคยพบกันซึ่งๆหน้า ไม่เคยเข้าไปพูดจาด้วย แต่เขาก็จำได้ดีว่าคนคนนี้คือคนที่แซนซัสเลือก เลือกที่จะปกป้อง เลือกที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อร่างโปร่งผมสีเงินคนนี้.....ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจและยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้กับทางที่เจ้าของนัยน์ตาสีโลหิตคนนั้นเลือก...เขาจึงไม่พยายามที่จะทำความรู้จักกับร่างโปร่งผมสีเงินยาวสลวยคนนั้น....ตราบจนเมื่อทั้งคู่เดินจากไป....เขาที่เริ่มสงบลงกลับค่อยๆอยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ....ว่าเพราะอะไร....เพราะอะไรเพื่อนและนายเหนือหัวเพียงคนเดียวของเขาถึงได้เลือกคนคนนี้
และวันนี้เขาก็ได้รู้แล้ว.....ว่าเพราะเหตุใดกัน....เจ้าถึงรักเจ้าของเส้นไหมสีเงินผู้นี้.....แซนซัส
ข้ารู้แล้ว....ว่าทำไมเจ้าถึงรัก....
เพราะข้าเองก็.......
สายฝนที่โปรยปรายอยู่เมื่อครู่หยุดลงแล้ว เสียงฟ้าที่ร้องลั่นค่อยๆแผ่วเบาลง ความมืดครึ้มที่รายล้อมร่างกายเมื่อครู่ดูเหมือนจะจางหายไป ความชุ่มฉ่ำจากการชำระล้างทำให้ทุกๆอย่างรอบกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ทั้งต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง....สายฝนอย่างเจ้าทำให้ตัวข้ากลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง....
แต่เพราะเหตุอันใดกัน...ฝนสีเลือดอย่างเจ้าจึงไม่อยู่ข้างกายนภาทมิฬผืนนั้น....
และนั่นมันก็ทำให้ข้ารู้ว่ายังพอมีหวัง....
ข้านั้นเติบโตมาเคียงข้างกับชายที่มีนัยน์ตาสีโลหิต ในฐานะเพื่อน ในฐานะขุนนางคนสนิทที่จะอยู่รับใช้ไปจนวันตาย เราถูกเลี้ยงอยู่ด้วยกัน ตั้งปณิธานแล้วเดินตามความฝันอันยิ่งใหญ่นั้นมาด้วยกัน ....ถ้าเจ้าจะเป็นนักรบผู้ปกครองแผ่นดิน ข้าก็จะเป็นขุนนางผู้คอยดูแลความเรียบร้อยให้เจ้าเอง.....ความเห็นเราจึงคล้ายกัน...นั่นอาจจะรวมไปถึงความชอบ...แต่แล้ววันหนึ่ง....ใครอีกคนก็เดินเข้ามาในชีวิต...
สิ่งที่ข้ารู้คือเช้าที่หม่นหมอง ผืนดินนองไปด้วยน้ำเฉอะแฉะ สายฝนยังคงโปรยปรายทำให้ทุกอย่างดูน่าหดหู่ ข้าได้ยินเสียงโวยวายอยู่ทั่วทุกแห่งของปราสาท เมื่อเดินออกไปดูก็พบกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตข้า....แซนซัสถูกจับตัวมาพร้อมกับนักฆ่าผมสีเงินยาวสลวย....แซนซัสถูกจับตัวมาพร้อมกับเจ้า.....เจ้าซึ่งลอบเข้ามาในปราสาทเพื่อลอบสังหารผู้ปกครองแผ่นดินในขณะนั้นหรือก็คือพ่อของแซนซัสเอง! และเพราะเขาไปช่วยเจ้าซึ่งบาดเจ็บจากการถูกไล่ล่า....ทำให้ต้องถูกเนรเทศออกไปและไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินนั้นอีก....ตอนนั้นข้าโกรธและไม่เข้าใจ ว่าทำไมแซนซัสถึงได้เลือกที่จะช่วยเจ้า....ชายที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณีเช่นเขาทำไมถึงยอมช่วยเจ้าจนยอมละทิ้งซึ่งความฝันที่ร่วมกันสร้างขึ้นมากับข้า ทั้งๆที่อีกไม่นาน ตำแหน่งรัชทายาทอันดับหนึ่งก็กำลังจะตกถึงมืออยู่แล้ว....
และยิ่งเขายอมเดินจากไปแต่โดยดี ไม่มีแม้แต่การขัดขืนหรือคำแก้ตัวใดๆ เดินจากไปพร้อมกับเจ้า...นั่นยิ่งทำให้ข้าเหมือนกับถูกหักหลัง....ทั้งๆที่สัญญากันเอาไว้และข้าก็ตั้งใจทำตามสัญญานั้นมาตลอด...แต่เขากลับเลือกเจ้าและจากไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลา.....มันยิ่งทำให้ข้าอยากรู้....ว่าเจ้ามีอะไรดี
ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ข้าตัดขาดจากโลกภายนอก หนีออกมาจากเมืองหลวงที่รังแต่จะทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวของพวกเจ้า เพราะถึงแม้ข้าจะโกรธแค่ไหน แต่อย่างไรแซนซัสก็คือเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า คือนายเหนือหัวเพียงคนเดียวที่ข้าจะยอมรับ...ข้าจะไม่ทำงานให้ใครอีก.....
และจนในที่สุดข้าก็ได้กลับมาพบกับเจ้าอีกครั้ง....ตอนนั้นข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อของเจ้าคืออะไร...
แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว....รู้ทั้งชื่อของเจ้าและรู้แล้วว่าทำไมแซนซัสถึงเลือกเจ้า...สควอลโล่
ข้าไม่คิดที่จะแย่งเจ้ามาจากเขา แต่ถ้าเจ้ากับเขาตัดขาดซึ่งกันและกันแล้ว....
โอกาสที่จะโดนปฏิเสธนั้นมีมากกว่าครึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ข้ายังอยากลองพูดต่อไป....
“ นี่สควอลโล่....”
“ เจ้า....อยู่ที่นี่ตลอดไปเลยได้หรือเปล่า”
ถ้อยคำที่ได้ยินทำเอานัยน์ตาสีน้ำแข็งเบิกกว้าง มันคือคำที่อยากได้ยิน มันคือคำที่รอคอยมาตลอด ถ้อยคำที่เป็นดั่งตัวแทนของความรักความอบอุ่น สำหรับนักฆ่าสำหรับนินจาอย่างเขา....สิ่งผูกมัด...บ้านที่มีคนรอคอยให้กลับ สถานที่ที่อบอุ่นที่ไม่ใช่การบังคับหรือจำยอมที่จะต้องอยู่ ที่ที่อยากจะอยู่ด้วยความต้องการของตัวเอง....เป็นไปได้หรือ....ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่....
“ จะ....จะให้ข้า...อยู่กับเจ้าที่นี่....” ใบหน้าสวยมองนิ่งไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับว่าต้องการคำยืนยัน ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นขึ้นมาจนเต็มหัวใจ
เพราะว่าต้องจมอยู่กับความโดดเดี่ยว เพราะว่าถูกคนเพียงคนเดียวที่เป็นทุกอย่างในชีวิตทิ้งไป นั่นทำให้รู้สึกราวกับว่าไม่มีใครต้องการเขาอีกแล้ว....
ตราบจนวันนี้....กับถ้อยคำที่ได้ยินจากปากของคนตรงหน้า...อย่างน้อยๆชีวิตนี้ก็ยังมีค่า ยังมีคนต้องการให้อยู่เคียงข้าง
“ ข้า...อยู่กับเจ้าที่นี่ตลอดไปได้หรือ...” ถามย้ำให้แน่ชัดอีกครั้ง เพราะไม่ต้องการที่จะถูกทิ้งไปเหมือนเมื่อครั้งนั้นอีกแล้ว...วันที่พี่ชายฝาแฝดเดินจากไปนั้นเขายังจำได้ดี ว่ามันทรมานเพียงใด
“ ใช่! อยู่กับข้าที่นี่” นัยน์ตาสีทองสุกสกาวและใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ดูจะดีใจไม่แพ้กัน รอยยิ้มที่ออกมาจากใจนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มรับและพยักหน้าตอบไปช้าๆ สองแขนของดีโน่รวบร่างของเขาเข้าไปกอดเอาไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านมาตามร่างกายที่สัมผัสซึ่งกันและกัน
“ ดีใจจัง...ที่เจ้าไม่ปฏิเสธข้า....ข้านึกว่าเจ้าจะอยากกลับไปหาแซนซัสเสียอีก...” แต่แล้วชื่อชื่อหนึ่งกลับทำให้นัยน์ตาสีน้ำแข็งเบิกกว้าง....ร่างที่รู้สึกผ่อนคลายจากความไว้เนื้อเชื่อใจกลับแข็งเกร็งขึ้นมาทันที...ทำไมดีโน่ถึงได้รู้จักชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิตคนนั้น
“ ถึงจะยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเจ้า แต่ข้าคงต้องเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังก่อน”
“ สควอลโล่...ข้ามีเรื่องจะสารภาพ...ว่าความจริงแล้วข้าไม่ใช่เพิ่งจะรู้จักเจ้าหรอก...” แล้วคำคำนี้ก็ทำให้รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าต้องมลายหายไปทันที
“ ข้าเคยพบเจ้ามาก่อนหน้านี้แล้วละ” ราวกับสายฟ้าผ่าลงมากลางหัวใจ....
.......เคยพบ?...มันจะเป็นไปได้อย่างไร....ในเมื่อ....
ข้าไม่เคยได้ออกจากเขตแดนของตระกูล...ตราบจนวันที่พี่ชายฝาแฝดตายจากไป...เพราะความแค้นแสนสาหัสทำให้ข้าตัดสินใจละเมิดกฎทุกข้อของตระกูลแล้วหนีออกมาพึ่งพาเจ้าของแผ่นดินสีดำ เพื่อให้เป้าหมายในชีวิตเพียงหนึ่งเดียวคือสังหารชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิตคนนั้นสำเร็จลุล่วง....
ข้าไม่เคยได้ออกจากเขตแดนของตระกูล....
แต่คนที่ได้ออกมานั้นไม่ใช่ข้า....
เสียงอ่อนโยนเล่าเรื่องราวสบายๆ แต่ทุกคำพูดกลับกรีดแทงเข้าไปในจิตใจของคนที่ได้ฟัง....หัวใจที่เหมือนได้เกิดใหม่เมื่อครู่ราวกับถูกฉุดกระฉากลงสู่นรกอีกครั้ง ความดีใจความตื้นตันใจที่มีใครสักคนอยากให้อยู่เคียงข้างกลับแปรเปลี่ยนเป็นตรงข้าม
เมื่อสิ่งที่รู้ เรื่องราวที่เข้ามาในหู.....มันไม่ใช่.....มันไม่ใช่เรื่องของข้าเลยสักนิด....
คนที่เจ้าเห็น คนที่เจ้ารู้จัก คนที่เจ้าต้องการ....นั้นไม่ใช่ข้า...
แต่คนที่เจ้าต้องการให้อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆเจ้าคือพี่ชายฝาแฝดของข้าต่างหาก....
ไม่ใช่ข้า....
ไม่ใช่....ข้า.....
เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนในตระกูลผู้นำของหมู่บ้านนินจาที่สืบทอดเชื้อสายแห่งนักฆ่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ได้มีเด็กทารกฝาแฝดกำเนิดขึ้น ทั้งคู่เหมือนกันมาก เหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นมาเคียงข้างกัน ใช้ชีวิตร่วมกันราวกับว่าต่างก็เป็นอีกครึ่งหนึ่งของกันและกัน ไม่มีวันไหนที่จะเห็นคนหนึ่งแล้วจะไม่เห็นอีกคนหนึ่ง....สิ่งเดียวที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือแฝดพี่มีเส้นผมสีเงินยาวเป็นประกายปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง...ส่วนแฝดน้องนั้นกลับรวบเส้นผมสีเงินที่สวยงามไม่แพ้กันเอาไว้ตลอดเวลา...
จนกระทั่งทั้งคู่ต่างเติบโตขึ้นมาด้วยความงามสง่าและเป็นนินจาที่สมบูรณ์แบบจากการถูกฝึกฝนมาอย่างหนัก แต่ด้วยความรักและความเชื่อใจซึ่งกันและกันทุกอย่างมันจึงผ่านพ้นมาได้ด้วยดี....ต่างคนต่างคิด...ว่าอีกฝ่ายคือคนเพียงคนเดียวที่เป็นทุกอย่างในชีวิต....เป็นฝาแฝด...เป็นพี่น้องที่รักกันมาก…และต่างไม่คิดว่าจะมีใครมาพรากทั้งคู่ออกจากกันได้
เมื่ออายุย่างเข้าสิบห้า คนหนึ่งถูกเลือกให้เป็นนักฆ่าและผู้นำตระกูล ส่วนอีกคนต้องเป็นเงาที่จะอยู่เฝ้าตระกูลไปจนชั่วชีวิต ไม่มีสิทธิ์ออกไปเห็นโลกภายนอก...แต่ในเมื่อทั้งคู่เหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเลือกคนไหนก็มิได้ต่างกัน....ฉะนั้นแฝดผู้พี่จึงยอมรับหน้าที่นักฆ่าและผู้นำรุ่นต่อไปแทนแฝดผู้น้อง เพราะถึงแม้จะดูว่าเป็นอิสระแต่ความจริงมันคือสิ่งที่ต้องเสี่ยงอันตรายด้วยชีวิต
คนที่ได้ออกมาโลกภายนอกคือแฝดพี่ และคนที่ต้องอยู่แต่ภายในเขตของตระกูลคือแฝดน้อง...
วันหนึ่งมีงานใหญ่จนไม่ว่าตระกูลนินจาที่ไหนก็ไม่มีใครรับได้ตกมาถึง....งานลอบสังหารจักรพรรดิ....แฝดผู้พี่จึงจำต้องรับหน้าที่เพราะว่าฝีมือดีที่สุดในตอนนั้น....นั่นคือครั้งแรกที่ความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน...สัญชาติญาณบอกแฝดน้องให้ร้องห้ามอีกคนเอาไว้ ถ้าไม่อยากจะสูญเสียคนเพียงคนเดียวในชีวิตไปตลอดกาล....ทั้งความรู้สึกและหน้าที่ต่างตีกันให้วุ่นวาย จนสุดท้ายก็จำต้องปล่อยให้แผ่นหลังโปร่งที่คุ้นตาเดินออกไป....
แฝดพี่ลอบสังหารไม่สำเร็จ....
นั่นคือข่าวที่ทำให้หัวใจของเงาที่รออยู่แทบจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆ....อยากจะออกไปช่วยแต่ก็ทำไม่ได้....จนในที่สุดข่าวที่ทำให้เบาใจไปได้บ้างก็ถูกส่งมา ว่าอย่างน้อยๆแฝดผู้พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่....
ว่าที่รัชทายาทอันดับหนึ่งผู้มีนามว่าแซนซัสได้ช่วยเหลือแฝดพี่ที่บาดเจ็บจากการถูกไล่ล่า จนกระทั่งตัวเองก็ถูกปลดลงจากตำแหน่งและถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในดินแดนที่อันตรายที่สุดในเกาะญี่ปุ่น....ป่าสายหมอก....
แฝดน้องไม่รู้หรอกว่าในข่าวดีนั้นกลับกลายเป็นฝันร้ายของตัวเอง เพราะไม่ว่าจะรอคอยอย่างไรก็ไร้เงาของแฝดพี่ที่จะหวนกลับมา สายข่าวที่ส่งออกไปสืบมาได้ว่าแฝดพี่นั้นยังคงมีชีวิตอยู่...ที่ข้างกายของชายที่ชื่อแซนซัส....ทั้งคู่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่ป่าสายหมอก...จากคนที่ถูกเนรเทศเข้าไปกลับสยบโจรร้ายที่อาศัยอยู่ในนั้นแล้วตั้งตนเป็นผู้นำกองโจรแห่งป่าสายหมอกเสียเอง...ทุกๆอย่างเพราะมีแฝดพี่คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้าง
ตอนนั้นแฝดน้องรู้แล้ว....ว่าตัวเองกำลังจะต้องสูญเสียอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต กำลังจะต้องสูญเสียคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง กำลังจะต้องสูญเสียแฝดพี่ให้แก่ชายที่ไม่รู้จัก...เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันกี่เดือนกี่ปี....แฝดพี่ก็ไม่กลับมา....
ถูกคนที่เป็นทุกอย่างในชีวิตทิ้งไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา ความเศร้าจากความสูญเสียคนที่รักมากที่สุดไป ความน้อยใจ ความเหงาทำให้เกิดความชิงชังขึ้นในใจ เกลียดจนอยากจะไปสังหารชายผู้นั้นที่มันบังอาจแย่งพี่ชายของตนไป….แต่เงานั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปไหนได้....การรอคอยด้วยความเชื่อมั่นอันน้อยนิดและความหวังอันริบหรี่จึงยังคงดำเนินต่อไป...เพราะยังเชื่อมั่น....ในสายเลือดและความผูกพัน...ว่าสักวันแฝดพี่จะหวนกลับมา
หกปีผ่านไป ยังคงไร้เงาของแฝดพี่เช่นเดิม ผู้อาวุโสในตระกูลเริ่มจะเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแฝดพี่คือคนที่จะเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป...ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะปล่อยข่าวออกไปว่า แฝดน้องกำลังป่วยเจียนตาย....และนั่น....คือครั้งสุดท้ายที่ชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิตซึ่งยึดครองแฝดพี่เอาไว้ถึงหกปีได้เห็นใบหน้าสวยและเส้นผมสีเงินยาวสลวยเป็นครั้งสุดท้าย....
แฝดพี่กลับมาที่ตระกูล....และพบว่าทุกข่าวที่ได้ยินมานั้นคือเรื่องหลอกลวง....จึงตัดสินใจบอกกับแฝดน้องและทุกๆคนในตระกูลว่า จะขอสละตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไปและจะไม่กลับมาที่นี่อีก......แฝดพี่เลือกที่จะกลับไปอยู่ข้างกายชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิต
นั่นคือการตัดสินใจที่ทำให้ชีวิตของใครอีกคนต้องเปลี่ยนแปลงไป...แฝดน้องไม่ยอม....และพยายามฉุดรั้งแฝดพี่เอาไว้ด้วยทุกอย่างที่ตนมีไม่เว้นแม้แต่ชีวิต....ยอมทำทุกวิถีทางตั้งแต่ขอร้อง อ้อนวอน กักขัง ใช้กำลัง หรือแม้แต่ความตายของตัวเองที่ยอมเอามาใช้เป็นเครื่องต่อรอง....แต่สิ่งที่ได้เห็นก็คือแผ่นหลังของแฝดพี่ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเลือกที่จะกลับไปหาแซนซัส
แฝดน้องหัวใจสลายและตรอมใจจนแทบจะสิ้นชีวิต ทุกคนในตระกูลจึงช่วยกันจับตัวแฝดพี่เอาไว้
คนหนึ่งนอนซมแทบลุกไปไหนไม่ได้ คนหนึ่งถูกขังเอาไว้ที่ใต้หอคอย
จนในที่สุดแฝดน้องตัดสินใจที่จะยอมปล่อยแฝดพี่ไป นั่นเพราะว่ารักมากถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไปแต่อย่างน้อยก็อยากให้แฝดพี่มีความสุข ร่างกายที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้เดินลงบันไดไปหาแฝดพี่ที่ใต้หอคอย....
แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณของแฝดพี่ที่เลือกที่จะตายแล้วกลายเป็นอากาศไปอยู่รอบกายแซนซัสมากกว่าที่จะถูกขังอยู่ที่นี่....แฝดพี่ฆ่าตัวตาย....แล้วจากไปอย่างไม่มีวันที่จะหวนกลับ ไม่มีวันที่จะได้เห็นหน้ากันอีกชั่วชีวิต....แฝดน้องแทบเสียสติ....หลายต่อหลายครั้งที่พยายามจะตายตามไปแต่ก็โดนคนรอบกายขวางเอาไว้
ศพถูกฝังเอาไว้ที่ใต้ต้นซากุระ....ด้วยสองมือของแฝดน้องเอง....
แล้วตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครเห็นแฝดน้องอยู่ในตระกูลอีกเลย....
.....จงเปลี่ยนความเกลียดชังให้เป็นพลังของชีวิต.....
“ ตกลงว่าเจ้า....อยู่กับข้าที่นี่นะ....สควอลโล่”
มือบางกำนิ่ง ผมด้านหน้าที่สั้นกว่าปรกลงปิดใบหน้าที่กำลังพยายามกักเก็บความรู้สึกทั้งหมดที่มี....
ข้าไม่น่าหลงใหลไปกับความรู้สึกอ่อนแอเช่นความรัก
ขนาดคนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต คนที่ข้ารักมากที่สุดยังทิ้งข้าไป....แล้วจะมีใครรักข้าจริงๆกันเล่า
ชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิตผู้นั้นต้องการกักขังข้าเอาไว้ให้อยู่เคียงข้าง....
เพราะข้าเหมือนพี่ชายฝาแฝด....
ชายผู้มีเส้นผมสีทองผู้นี้ต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่....
เพราะเข้าใจว่าข้าคือพี่ชายฝาแฝด....
แต่ไม่มีใครต้องการข้า ที่เป็นตัวข้าเลย....
ข้าไม่ใช่....ตัวแทนของใคร...และไม่มีวันเป็นได้.....
ในเมื่อโชคชะตาถูกกำหนดเอาไว้แบบนี้...
ข้าก็จะ.......
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...ไป.....ไป.......
เอ่อ...^ ^”....
กะ...กลับมาแล้วค่า....แหะ แหะ....หายไปนานมากกกกกกับฟิกเรื่องนี้...แบบว่าไปซุ่มอยู่ ฮะ ฮะ (จะยังมีคนอ่านอยู่ไหมเนี่ย ฮืออ ซุ่มนานไปหน่อย)
ใจจริงอยากแต่งไปให้จบก่อนแล้วค่อยเอามาลง เพราะกลัวเนื้อเรื่องจะหลุด ก็นะ...ช่วงท้ายนี่เป็นอะไรที่ยากมากทีเดียว
แล้วยิ่งทางแยกมหาศาลขนาดนั้น....= =”....เลวร้ายประการใดขออภัยไว้ล่วงหน้าค่ะ...T^T...
แต่ว่าตอนหน้าจะเริ่มทางแยกแล้วละเน้...^ ^....แต่ไม่บอกหรอกว่าเป็นทางแยกของใคร ครึ ครึ (กวนประสาทสิ้นดี...ว่ามั๊ย)
ถึงแม้จะบอกว่ามันจะจบแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ภายในตอนสองตอนนี่หรอกค่ะ (แต่คิดว่าไม่น่าจะจบเกิน20ตอนนะ ^ ^”)
แอบกระซิบ....อย่าไปบอกใครนะ....ว่ามีตอนจบ(น่าจะ)มีทั้งหมด 3 แบบค่ะ
>> 1859 1006927 XS <<
>> 8059 6927 XSD <<
>> 185980 10069 DS <<
แหะ แหะ...ที่ใช้คำว่าน่าจะ เพราะติดไอ้คู่กลางของตอนจบแบบสุดท้ายอยู่น่ะ = =” ยากบัดซบ!
อ่านะ...จะพัวพันกันได้แบบไหนก็....โปรดติดตามตอนต่อไป...ไป...ไป.....
จากนี้น่าจะลงเรื่อยๆละค่า...ยังไงๆก็...ขอฝากเนื้อฝากตัวอีกรอบนึงนะคะ ^ ^
คือสควอที่รัก ถึงโน่จะเจอหนูมาก่อนแต่เขาไม่ได้มีความผูกพันธ์กับหนูเลยนะลูก
ตอบลบเขาอาจเข้าใจผิด แต่เขาเก็บหนูมาเพราะหนูเป็นหนูนะลูกที่อยู่ด้วยกันมาเนี่ยมีความหมายนะ
คือดีเอสสสสสส TT
หนักกว่าคือยามะที่หายไปกลับกลีบเมฆ เค้าคถยามะ
ป๋าเบียมาแล้วว