: KHR Fanfiction Au
: 185980 1006927 XSD
: Drama
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: ตอนคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็แค่อยากอ่านฟิคที่มีสองด้าน ก็แค่นั้นเองค่ะ เพราะงั้น....นี่คือ ฟิคคู่แฝดค่ะ.....เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหมือนๆกัน แต่ความรู้สึกนั้นช่างต่าง......พบกับอีกด้านของเรื่องนี้ได้ที่......
.
.
.
.
.
สมการสามเศร้า ของพวกเขาสามคู่
กับความรักของคน 9 คน กับความรู้สึกและเหตุผลของแต่ละคนใน 9 ด้าน
กับความต้องการและความปรารถนาที่จะครอบครองบุคคลอันเป็นที่รัก
สุดท้าย.......
ดอกไม้แห่งความหวังจะเบ่งบานแย้มยิ้มให้แก่....ผู้ใดกัน
กับความรักของคน 9 คน กับความรู้สึกและเหตุผลของแต่ละคนใน 9 ด้าน
กับความต้องการและความปรารถนาที่จะครอบครองบุคคลอันเป็นที่รัก
สุดท้าย.......
ดอกไม้แห่งความหวังจะเบ่งบานแย้มยิ้มให้แก่....ผู้ใดกัน
By : K_Guardian_7
.
.
.
.
.
.
.
.
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
ทั้งจิตใจและร่างกายมันบอบช้ำจนอยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด....มันคงจะดีกว่าถ้าไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ต้องมารับรู้ว่า ชายผู้นั้นจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไปแล้ว เหนือไปกว่านั้นคือการที่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ว่าร่างกายที่ถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีนี่....เป็นของเขา
นัยน์ตาสีเขียวมรกตกวาดมองไปรอบๆกาย ไม่ว่าจะเป็นฝ้าเพดาน พื้นเสื่อทาทามิ ห้องที่กว้างใหญ่ ฟูกสีขาวหนานุ่ม...ไม่ว่าอะไรก็ดูไม่คุ้นตาไปเสียหมด....บรรยากาศที่นิ่งสงบและเสียงที่เงียบเชียบบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าภายในห้องโล่งๆแห่งนี้ไม่มีใครอยู่ นายน้อยแห่งโกคุเดระเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก....
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ตนเองไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าของแผ่นดินสีดำที่แสนโหดเหี้ยมและเย็นชาคนนั้น คนที่ไม่สะทกสะท้านต่อคำร้องขอชีวิตหรือหยาดน้ำตาของเขาเลยแม้แต่น้อย....ชายที่เขาควรจะชิงชัง ควรจะเกลียดจนไม่อยากมองหน้า แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือชายผู้นั้นทำให้เขากลัว....กลัวความหวั่นไหวที่อยู่ลึกในจิตใจที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปฏิเสธได้....
ร่างบอบบางค่อยๆชันตัวลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บแปลบจากร่างกายเบื้องล่างแล่นลิ่วขึ้นมาจนทำให้น้ำตาคลอ ผ้าห่มหนานุ่มที่คลุมกายอยู่ไหลลงมาจากไหล่บาง เผยให้เห็นร่องรอยมากมายที่ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้ เป็นทั้งเครื่องยืนยันและตราบาปว่าเขาไม่ใช่สิ่งของที่บริสุทธิ์อีกต่อไป....ทั้งๆที่พยายามห้ามแต่น้ำตาก็ไหลลงไปตามสองแก้ม มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ รอยเชือกที่ข้อมือยังคงอยู่ เพราะผิวที่ขาวราวกับหิมะจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันแดงจนน่ากลัว
ไม่ได้....อยู่ที่นี่ข้าจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้ ข้าจะไม่มีวันอ้อนวอนหรือร้องขอ ข้าจะไม่ยอมแสดงให้ชายผู้นั้นเห็นว่าเหนือกว่าจนสามารถรังแกข้าได้ และข้าจะไม่มีวันยอมใจอ่อนให้อภัยให้กับคนที่ทำร้ายยามาโมโตะ....ทำร้ายหัวใจของข้า....
ทั้งๆที่จิตใจตั้งมั่นแน่วแน่ แต่ร่างกายกลับยังคงสั่นสะท้าน ราวกับว่ามันยังคงจำได้ดี ว่าชายผู้นั้นทำอะไรกับมันเอาไว้บ้าง....สองแขนบอบบางกอดรอบตัวเองเอาไว้แน่น นัยน์ตาสีมรกตปิดลง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ใบหน้าสวยที่สะท้อนแสงแดดยามเช้านั้นช่างทรมานและเจ็บปวด....
............................................................................................................................................................
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
การต่อสู้เพื่อช่วงชิงสิ่งที่รัก...มันจบลงไปแล้วแน่หรือ....ถึงแม้ว่าคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่คือข้า...แต่ทว่าข้าจะสามารถเอาชนะคนที่ตายไปแล้วได้จริงหรือเปล่า....คนที่จะตอบได้มีเพียงเจ้า....ฮายาโตะ
ร่างแข็งแกร่งนั่งอยู่บนฟูกหน้าโต๊ะเตี้ยที่มีเอกสารวางอยู่มากมาย แสงเทียนสลัวๆส่องให้เห็นซีกหน้าคมที่เฉยชากำลังจ้องมองความว่างเปล่าของอากาศ ที่มันช่างคล้ายกับจิตใจของเขาตอนนี้ยิ่งนัก...นัยน์ตาสีดำสนิทไม่สามารถบ่งบอกได้ว่ากำลังเพ่งมองไปยังที่ใด มันเพียงแค่เหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย เหมือนกับว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหาสิ่งที่ทำหายไปพบ
เพลิงแห่งความโกรธาได้จางหายไปกับสิ่งที่เขาลงมือระบายมันกับร่างบอบบางที่รักแสนรัก รอยคราบน้ำตายังคงตราตรึงอยู่ติดตา
ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจย้อนเวลากลับไปลบร่องรอยที่เขาฝากไว้กับจิตใจและร่างกายที่บอบช้ำนั่นได้อีกแล้ว...
แสงสว่างจ้าที่ลอดผ่านประตูทำให้รู้ว่ายามนี้คงใกล้เวลาที่ร่างบอบบางนั่นจะตื่นเต็มที เจ้าของแผ่นดินสีดำลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป สองเท้าที่เคยยืนอยู่เหนือซากศพนับพันกำลังเดินตรงดิ่งไปยังที่ที่ไม่มีใครคิดว่าคนอย่างเขาจะมา กลิ่นของอาหารโชยออกมาจากผนังไม้สาน ทั้งเขม่าควันและเสียงดังโกลาหลทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนนี้ในโรงครัวของตำหนักเจ้าเมืองนั้นกำลังวุ่นวายขนาดไหน แต่เมื่อมือแกร่งที่จับทอนฟาฆ่าคนมานักต่อนักเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป ทุกเสียงทุกการเคลื่อนไหวต่างก็หยุดนิ่งราวกับกาลเวลาถูกสะกด นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปทั่วห้อง ทำเอาเหล่าพ่อครัวต่างกลัวจนหัวหด
แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงโต๊ะสะอาดสะอ้านตัวหนึ่ง ซึ่งมีอาหารหน้าตาน่ากินวางอยู่สองชุด ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะจ้องมองของที่อยู่ในจานอย่างพินิจพิจารณา
“ เด็กคนนั้นไม่ชอบไข่ปลานี่ เอาออกไปซะ” ใบหน้าเย็นชานิ่งสนิทสั่งพ่อครัวใหญ่ที่กลัวจนลนลาน เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้เจอท่านเจ้าเมืองผู้โหดเหี้ยมคนนี้ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่น่ากลัวขนาดไหนแต่ก็ไม่เคยเรื่องมากเรื่องอาหารการกิน เพราะฉะนั้นที่โรงครัวนี่จึงน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วในตำหนัก น่าจะเป็นที่เดียวแท้ๆที่ท่านเจ้าเมืองจะไม่เหยียบย่างเข้ามา...แต่นี่กลับ....เดินมาสั่งด้วยตัวเอง.....
“ เสร็จแล้วก็ยกตามข้ามา” น้ำเสียงยังคงเย็นชาและกดดัน ทำให้หญิงรับใช้ที่ต่างไม่เข้าใจกับพฤติกรรมของคนที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายที่สุดทำอะไรกันแทบไม่ถูก จึงได้แต่รีบกุลีกุจอเดินถือถาดอาหารตามร่างในชุดสีดำนั่นไป
จนกระทั่งร่างกายแข็งแกร่งนั้นหยุดยืนอยู่ที่หน้าเรือนส่วนตัวของตัวเอง มือหนาเลื่อนบานประตูออกเพียงเล็กน้อย ภาพที่สะท้อนมาสู่สายตานั้นทำให้หัวใจเจ็บแปลบ
ร่างบอบบางที่ยังคงนั่งกอดตัวเองด้วยสองแขนเล็กๆ ใบหน้าสวยที่ก้มลงแทบชิดอกนั้นดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวด ร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มสีขาวนั่นยังคงสั่นสะท้าน
ขาที่อยากจะก้าวเข้าไปกลับหยุดชะงัก....
“ เอาเข้าไป แล้วดูแลเขาให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าจะสั่งตัดหัวพวกเจ้า....” น้ำเสียงนิ่งสนิทสั่งกับหญิงรับใช้ทั้งสองคนก่อนที่ร่างในชุดสีดำจะหันหลังแล้วเดินจากไปอีกทางหนึ่ง...
...........................................................................................................................................
เสียงเลื่อนประตูเปิดออกทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกเลวร้ายค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมอง นัยน์ตาสีเขียวมรกตสะท้อนภาพของหญิงรับใช้สองคนที่ดูจะตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นหน้าเขาชัดๆ....นี่ข้าดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ
“ ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ...ทะ...ท่านหญิง....” ต้องเกรงกลัวอะไรขนาดนั้นกัน น้ำเสียงถึงได้ตะกุกตะกักแบบนั้น
“ ข้าคือนายน้อยแห่งโกคุเดระ ไม่ใช่ท่านหญิง แล้วพวกเจ้ามีอะไรอย่างนั้นหรือ” ถึงจะกำลังอยู่ในสภาวะใดก็ตาม แต่สายเลือดชนชั้นปกครองที่ถูกสั่งสอนมานานก็ทำให้ต่อหน้าคนภายใต้ปกครองจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอไม่ได้ น้ำเสียงนุ่มนวลจึงถูกส่งไปให้หญิงรับใช้ทั้งสองที่ดูท่าทางจะตื่นตะลึงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
“ พะ...พวกเรา...เอาอาหารมาให้ค่ะ...ละ...แล้วก็...ท่านเจ้าเมืองให้เราดูแลท่าน...”
“ เข้าใจแล้ว...วางเอาไว้ตรงนั้น ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง ออกไปได้แล้วละ” สิ่งที่แสดงออกไปนั้นต่างกับสิ่งที่เป็นจริงยิ่งนัก เพราะแค่จะขยับร่างกายก็ยังแทบจะไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงอาหารตรงหน้าที่ไม่อยากจะแตะเลยสักนิด หญิงรับใช้มองมาด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนที่จะก้มลงคำนับแล้วออกจากห้องไป....ที่หลังบานประตูบานนั้นพวกเจ้าคงนั่งเฝ้าข้าอยู่สินะ....
ร่างบอบบางของนายน้อยแห่งโกคุเดระฝืนความเจ็บปวดทั้งหมดจนใส่กิโมโนเสร็จเรียบร้อย ถาดอาหารยังคงวางอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่มีอะไรหายไปเลยแม้แต่น้อย ขาเรียวก้าวไปยังฝั่งตรงข้ามกับบานประตูที่หญิงรับใช้สองคนนั่งเฝ้าอยู่ มือบางเลื่อนบานประตูที่ฝั่งนี้ออกอย่างช้าๆ ภาพตรงหน้าคือสวนสีเขียวขจีอย่างที่คิดเอาไว้ ค่อยๆหย่อนขาลงไปจนเหยียบพื้นหญ้าหนานุ่ม จำต้องยืนนิ่งอยู่สักพักเมื่อความเจ็บจากเมื่อคืนยังคงตามมาเล่นงาน ....ถ้าจะหนี...ยามที่อีกฝ่ายคิดว่าเขาอ่อนแอจนไม่สามารถลุกไปไหนได้แบบนี้นี่แหละถึงจะเหมาะที่สุด....
นายน้อยแห่งโกคุเดระเดินอ้อมเรือนใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นเรือนส่วนตัวของฮิบาริ เคียวยะ แล้วเดินๆหยุดๆไปทางประตูรั้วด้านหลัง ทหารยามสองสามคนเดินผ่านไปทำให้จำต้องหลบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผ่านตำหนักหลายหลังทั้งที่มีคนอยู่และว่างเปล่า ทุกๆสิบห้านาทีจะมีทหารยามเดินตรวจตราไปเรื่อย
แต่ทว่าตำหนักที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแตกต่างออกไป ทั้งสภาพสวนที่ถูกดูแลอย่างดี มีการเก็บกวาดและตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นระเบียบ ทั้งตัวเรือนที่ดูสะอาดราวกับว่ามีคนมาปัดกวาดมันเป็นประจำ แต่กระนั้นกลับไม่มีทหารยามเดินผ่านมาราวกับว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่....ถ้างั้นแล้วทำไมถึงยังต้องคอยดูแลอยู่แบบนี้....มันเหมือนกับว่า....คนที่คอยดูแลยังคงรอคอยการกลับมาของเจ้าของตำหนักแห่งนี้อยู่อย่างนั้น....
ตราสัญลักษณ์ เลขหก ที่ติดอยู่ที่ประตูรั้วนี่ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย....เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน....
ขาเรียวเดินอย่างเชื่องช้าไปเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม สภาพร่างกายที่อ่อนล้าทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ตำหนักเจ้าเมืองนั้นช่างใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้กว้างไปกว่าหมู่บ้านกองโจรของป่าสายหมอกที่เขาเดินหลงทางวนเวียนอยู่แทบทุกวัน ทำให้ไม่นานก็สามารถเดินหลุดออกมาจากเขตกลุ่มอาคาร รอบกายตอนนี้เต็มไปด้วยเนินหญ้ามองเห็นชายป่าอยู่ไกลลิบ สงสัยว่าเขาคงจะเดินออกมาทางด้านหลังตำหนัก เพราะถ้าเป็นด้านหน้าคงจะได้พบกับถนนซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรหลัก
หันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ให้หวนคิดถึงเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในป่าสายหมอก ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดที่จะหนีออกมา....ทั้งๆที่ตอนนี้ร่างกายของเขาก็ออกมาได้แล้ว แต่หัวใจกลับยังติดอยู่ที่นั่น.....ติดอยู่ในป่าสายหมอก
….ยามาโมโตะ....ป่านนี้เจ้าจะเป็นเช่นไร.....
....จะยังคงเฝ้ามองข้าอยู่หรือไม่.....
....ถึงแม้ว่าสิ่งที่ข้าจะไปอยู่เคียงข้างคือหลุมศพของเจ้า....ข้าก็จะไป....
....ได้โปรด....รอข้าอีกนิด.....รออีกนิด.....
นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น เนินหญ้ากว้างใหญ่ไม่มีต้นไม้ให้พักพิง เขาจะต้องก้าวเดินผ่านมันไปให้ได้ ขาเรียวก้าวเดินออกไป....เดินไปเรื่อยๆ....ทั้งๆที่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำแต่กลับรู้สึกเหนื่อยจนอยากจะทรุดลงไปกับพื้น ....ไม่ได้....ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้
อีกไม่กี่ก้าวก็จะพ้นเขตเนินหญ้า แค่หลบเข้าไปในชายป่าได้ การตามหาตัวเขาก็จะยากขึ้น และคงพอถ่วงเวลาให้พอจะหนีได้บ้าง ด้วยความรีบร้อน เท้าจึงสะดุดเข้ากับก้อนหินซึ่งมองไม่เห็น ร่างทั้งร่างเซล้มลงไปข้างหน้า นัยน์ตาสีมรกตหลับแน่นเตรียมรับความแรงกระแทกและบาดแผลฟกช้ำที่กำลังจะเกิดตามมา
แต่ทว่า....กลับไม่รู้สึกเจ็บใดๆ....เมื่อร่างกายยังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศ....
“ เจ้ากำลังจะไปไหน” น้ำเสียงเย็นชานิ่งสนิททำเอานัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง แขนแข็งแกร่งที่โอบรอบเอวเขาอยู่คือแขนคู่เดียวกับแขนที่ทำร้ายเขาเมื่อคืนนี้...แขนของ ฮิบาริ เคียวยะ....
“ ........” ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงแววตาแห่งความชิงชังเท่านั้นที่ส่งให้มา
“ มานี่!” ข้อมือบางที่ยังคงแดงช้ำไปด้วยรอยเชือกถูกมือใหญ่จับเอาไว้ ก่อนที่แรงกระชากจะบังคับให้ร่างบอบบางจำต้องเดินตามไป ร่างในชุดสีดำเดินนำลิ่วกลับมายังทางเดิมที่เขาพยายามจะหนีออกมา แต่ต่างกันที่เวลา เพราะคนที่ปล่อยรังสีอำมหิตคนนั้นลากเขากลับมาโดยไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าคนที่ถูกพากลับมานั้นอยู่ในสภาพเช่นไร
แรงสั่นน้อยๆที่ข้อมือนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจน เมื่อหันกลับไปมองจึงเพิ่งเห็นว่าใบหน้าสวยนั้นแดงระเรื่อเม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้า เสียงหอบหายใจหนักหน่วงจนน่ากลัว แค่เขาหยุดเดินร่างบอบบางนั่นก็ทรุดลงกับพื้นทันที จนสองแขนเข้าไปรับไว้แทบไม่ทัน
นี่ข้าเผลอทำร้ายเจ้าอีกแล้วอย่างนั้นหรือ....
ต่อให้โทษตัวเอง ต่อให้สำนึกผิดอีกกี่ครั้ง แต่แค่รู้ว่าเจ้าจะหนีไปจากข้า....ข้าก็ไม่เคยควบคุมตัวเองได้เลย....
ตัดสินใจอุ้มร่างที่เบาราวกับขนนกขึ้น แล้วเดินกลับมายังเรือนของตัวเองอย่างรวดเร็ว ร่างในอ้อมแขนดิ้นรนทั้งๆที่แทบจะไม่มีแรง ยังคงคิดที่จะต่อต้านจนถึงที่สุด
มือเลื่อนประตูเปิดออกอย่างแรง ก่อนที่จะโยนร่างในอ้อมแขนลงไปยังฟูกที่ใช้นอนมาทั้งคืน ถึงจะไม่มีเสียงด่าว่า แต่สายตาที่มองมานั้นมันก็เชือดเฉือนไม่ยอมแพ้ เขาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาแข็งกร้าวถือดีนั่น ความชิงชังที่ส่งมาราวกับกำลังท้าทายคนอย่างเขาอยู่อย่างงั้น เขาก้าวขาอย่างรวดเร็วไปยังบานประตูเลื่อนอีกฝั่ง เลื่อนเปิดมันอย่างรวดเร็วจนคนที่นั่งอยู่ด้านหลังบานประตูถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนที่จะก้มหัวร้องไห้โฮออกมา....หญิงรับใช้สองคนเมื่อเช้านี้นี่เอง....
“ ข้าบอกพวกเจ้าว่ายังไง” มัจจุราชที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณียืนค้ำหัวหญิงสาวสองคนที่กลัวจนตัวสั่น
“ หะ...ให้ดูแล....ท่านหญิง...ให้ดี......”
“ ใช่....ให้ดูแลให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดหัวพวกเจ้า”
“ หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าท่านโกรธข้าก็เอามาลงที่ข้า อย่าไปหาเรื่องทำร้ายคนที่เขาไม่รู้เรื่องด้วย ท่านฮิบาริ!” รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏบนใบหน้าเย็นชาอย่างที่นายน้อยแห่งโกคุเดระไม่มีวันจะได้เห็น เมื่อแผ่นหลังนั้นยังคงนิ่งสนิท ....ทำแบบนี้เจ้าถึงจะยอมพูดกับข้าใช่ไหม...
“ ไปได้แล้ว” คำสั่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำเอาสองสาวใช้งงเป็นไก่ตาแตก ก่อนที่จะลนลานรีบคุกเข่าหายออกไป ร่างในชุดสีดำหันกลับมาหาคนที่เพิ่งตะโกนต่อว่าตนด้วยใบหน้านิ่งดังเดิม ร่างแข็งแกร่งเดินไปยกถาดอาหารมาวางลงตรงหน้านายน้อยแห่งโกคุเดระก่อนที่จะนั่งลง
มือใหญ่จับตะเกียบคีบชิ้นปลาไปจ่อที่ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตาสีดำเฉยชาจ้องมองแกมบังคับให้เจ้าของใบหน้าบึ้งตึงยอมอ้าปากกินของที่ยื่นให้แต่โดยดี....
ยาสมุนไพรถูกป้ายลงไปที่ข้อมือบางอย่างแผ่วเบา ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดถูกพันไปรอบๆอย่างทะนุถนอม สร้อยหินสีดำถูกผูกให้ใหม่อีกครั้งหลังจากที่มันหล่นหายไประหว่างการเดินทางอันยาวนาน ....ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าก็จะผูกมัดเจ้าเอาไว้ ให้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว....แล้ววางข้อมือลงบนแผ่นอกบางที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอ ใบหน้าสวยหลับพริ้มถึงแม้ว่าที่หางตาจะยังคงมีคราบน้ำตาติดอยู่....แต่สักวัน เขาจะค่อยๆทำให้มันหายไป
เหมือนกับที่ข้า....ทำให้เจ้าหายไป....ยามาโมโตะ
...........................................................................................................................................................................
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
กลิ่นยาลอยอบอวลอยู่รอบๆตัว แต่กระนั้นก็ยังมีกลิ่นของอะไรบางอย่างที่ชัดเจนยิ่งกว่า.....น้ำหมึก ?
อีกครั้งแล้วที่ดวงตาต้องเปิดขึ้นมารับรู้สภาพที่ไม่คุ้นเคย แต่อย่างน้อยก็น่าดีใจอยู่อย่างที่เขาไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วพบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลกับนัยน์ตาสีโลหิตคู่นั้น นัยน์ตาที่จ้องมองเขาแต่ก็เหมือนกับไม่ได้มองเขา....
ร่างโปร่งยันตัวลุกขึ้นนั่ง ที่หน้าอกเต็มไปด้วยผ้าพันแผลที่ไม่ว่าจะดูยังไงก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ทำแผลให้นั้นฝีมือแย่แค่ไหน ความเจ็บจากบาดแผลดูท่าทางว่าคงจะทุเลาลงไปมากแล้ว ความเหนื่อยล้าค่อยๆจางหายไป ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ากำลังเข้ามาแทนที่ บางทีเขาอาจจะหลับไปหลายวัน หันมองไปรอบๆกายที่ยังคงนิ่งสนิท แต่จะบอกว่าเงียบก็คงไม่ใช่ ในเมื่อหากเงี่ยหูฟังดีๆจะได้ยินเสียงขีดเขียนของพู่กัน....เหมือนใครสักคนกำลังเขียนหนังสือ
ร่างโปร่งหยิบยูคาตะที่พับอยู่แถวๆนั้นขึ้นมาสวมลวกๆก่อนที่จะค่อยๆพยุงร่างออกไปจากห้องที่นอนอยู่ แล้วทุกความสงสัยก็หายไปเมื่อเขาก้าวเดินมายังห้องที่อยู่ข้างๆ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดขุนนางสมัยเฮอันนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เจ้าของผมสีทองสว่างปกคลุมใบหน้าหล่อเหลากับดวงตาสีทองเป็นประกายกำลังนั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างด้วยพู่กันลงไปในกระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจ จนไม่ได้รับรู้เลยสักนิดว่ามีใครอีกคนเดินเข้ามาอยู่ในห้องด้วย....นี่ถ้าเขาเป็นศัตรู หมอนี่ก็คงจะตายไปแล้ว
“ นี่” เมื่อเอ่ยเสียงออกไป ชายผมทองจึงเพิ่งรู้สึกตัวและหันมามองร่างโปร่งผมสีเงินยาวด้วยใบหน้าตกใจ
“ อ้า....เจ้าฟื้นแล้วหรอ....นั่งก่อนสิแผลเจ้ายังไม่หายดีนะ....ตรงนี้ๆนั่งเลย” แล้วร่างสูงใหญ่ก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นจับเบาะรองนั่งมาให้เขา นัยน์ตาสีทองสดใสคู่นั้นมันสวยงามและอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์....อบอุ่นจนเขาเผลอจ้องมองมันโดยไม่รู้ตัว
“ เจ้าความจำเสื่อมหรอ เจ้าจำข้าไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกเพราะเราไม่เคยรู้จักกัน” มือใหญ่ๆที่จับพู่กันอยู่จนถึงเมื่อครู่โบกไปมาตรงหน้าเขา เมื่อเห็นว่าเขานิ่งไป
“ ไม่ได้เสื่อมโว้ยยยย” เขาหลุดออกมาจากภวังค์แล้วนั่งลงไปตามคำเชิญของอีกฝ่าย รอยยิ้มจริงใจแบบนั้นคือสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็น มันทำให้รู้สึก....แปลกๆ
“ ข้าชื่อ ดีโน่ เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงแล้วก็เห็นเจ้าล้มลงที่ริมแม่น้ำ แผลตามตัวเจ้าเนี่ยอาการสาหัสน่าดู นี่เจ้าหลับไปตั้งสี่วันเลยนะ ข้ายังกังวลอยู่ว่าถ้าเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาข้าจะทำยังไงดี เจ้าเป็นใครข้าก็ไม่รู้ จะพาไปส่งบ้านก็ไปไม่ถูก” ไม่รู้ว่าเป็นคนใจดี หรือมนุษย์สัมพันธ์ดี หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าพูดออกมาก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองมือใหญ่ที่กำลังรินน้ำชาให้เขา ใบหน้าหล่อเหลานั่นยังคงยิ้มแย้มและพูดคุยกับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขาด้วยความเป็นกันเอง....เจ้านี่มัน โง่หรือบ้าหรืออ่อนแอจนไม่รู้ถึงจิตสังหารที่เขาปล่อยออกไปกันแน่
“ แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไร” มือใหญ่ยื่นถ้วยน้ำชาส่งมาให้ น่าแปลกที่เขายื่นมือไปรับแต่โดยดี ทั้งๆที่วิถีนินจาที่เขาร่ำเรียนมานั้นมีข้อห้ามอย่างชัดเจนว่าห้ามรับของจากคนที่ไม่รู้จัก
“ ไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องบอกเจ้า เพราะข้ากำลังจะไปแล้ว ขอบใจที่ช่วยเหลือ สักวันข้าจะกลับมาตอบแทน” ดื่มชาจนหมดถ้วยแล้วตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อที่จะจากลา เขายังมีเรื่องที่ต้องไปทำ ยังมีความแค้นที่ยังต้องกลับไปสะสาง....
บางที....เขากับพี่ชายฝาแฝดอาจจะเหมือนกันก็ได้....
ที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องกลับไปหาชายผู้มีนัยน์ตาสีโลหิตคนนั้น....
เพียงแต่....เขาจะกลับไปแก้แค้น...มิใช่กลับไปเพื่อความรัก.....
จะมีไหม...ใครสักคนที่จะทำให้เขายอมลามือจากชายผู้นั้นและคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต
จะมีไหม...ใครสักคนที่จะรักเขาที่เป็นตัวเขา......
“ อุ....” ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้น ความมืดก็ปกคลุมภายในหัวจนจำต้องทรุดลงนั่งอีกครั้ง
“ หว๋า... เจ้ายังไปไม่ได้หรอก....รอให้หายดีก่อนแล้วค่อยไปเถอะนะ.....ไม่ต้องเกรงใจ ข้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอกถ้าเจ้าจะอยู่ที่นี่ แล้วอีกอย่างข้าว่าบ้านของข้าก็น่าจะเป็นที่ซ่อนตัวได้อย่างดีเลยเชียวละ....จริงๆน้า...ไม่เคยมีทหารคนไหนมาสนใจบ้านของข้าเลยซักคน เวลามาค้นหาคนหายเค้าก็จะเดินผ่านบ้านข้าไปกันหมด ทำไมกันน้า” เจ้าคนข้างๆยังพูดได้ไม่มีหยุด แต่กระนั้นคำบางคำกลับทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด....อยู่ที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ....
ถ้อยคำที่เป็นการชักชวนให้อยู่ ไม่ใช่บังคับข่มขู่หรือใช้กำลัง ไม่ใช่การจำใจอยู่เพื่อแลกกับสิ่งที่หวัง
ทุกครั้งที่ลืมตาตื่น ก็จะมองเห็นแผ่นหลังกว้างนั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ แขนภายใต้กิโมโนแขนยาวนั่นขยับไปมา กลิ่นน้ำหมึกลอยอยู่รอบๆตัวจนมันกลายเป็นกลิ่นประจำของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว
ดูเหมือนประสาทการรับรู้ของเจ้านั่นจะดีขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเมื่อไหร่ที่เขาลืมตาตื่นแล้วขยับกายลุกขึ้นมา ก็จะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมาส่งยิ้มให้ พู่กันที่อยู่ในมือถูกวางลงก่อนที่ร่างกายสูงใหญ่จะเดินเข้ามาหา ความอบอุ่นที่อยู่รอบๆกายมันทำให้คนที่ต้องเผชิญแต่กลิ่นคาวเลือดอย่างเขายอมที่จะอยู่เฉยๆ ยอมให้มือใหญ่นั่นแตะลงที่หน้าผาก ยอมให้อีกฝ่ายเช็ดตัว ทำแผล....ยอมให้ดูแล.....
“ เห็นแบบนี้แต่ข้าก็เป็นเจ้าหน้าที่ในกรมอารักษ์หรอกนะ แต่ข้าไม่ชอบอยู่ในเมืองหลวง มันวุ่นวายออกนะ ก็เลยอพยพออกมาอยู่แถวนี้ นานๆทีข้าก็จะเอาเอกสารที่ข้าคัดลอกกลับเข้าไปรายงานในกรมซักครั้งนึง เอาไว้คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไปด้วย ถึงจะวุ่นวายแค่ไหนแต่ดังโงะของเมืองหลวงก็อร่อยมากๆเลยละ” เจ้านั่นยังคงพูดอะไรเรื่อยเปื่อย ในขณะที่นั่งขัดสมาธิเฝ้ามองเขากินข้าวต้มที่เจ้าตัวทำมาให้ เพราะแบบนี้นี่เอง....มือที่จับแต่พู่กันไม่เคยจับดาบ ไม่เคยมีกลิ่นคาวของเลือด....จึงไม่เคยมีจิตสังหารและไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร ความอ่อนแอแต่ก็อ่อนโยนแบบนี้นี่เองที่กำลังดึงดูดเขา....เพราะมันคือสิ่งที่นักฆ่าอย่างเขาไม่เข้าใจและไม่รู้จัก....
“ เก่งจัง วันนี้เจ้ากินหมดเลย สงสัยว่ามันคงจะอร่อยใช่ไหม ปกติข้าก็สงสัยอยู่หรอกนะว่ารสชาติที่ข้าทำคนอื่นจะคิดว่าอร่อยหรือเปล่านะ ข้าน่ะไม่ได้อยู่ร่วมกับคนอื่นมานานเลยไม่รู้ว่า แบบนี้มันเรียกว่าอร่อยจริงๆรึเปล่า” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเขาส่งถ้วยข้าวต้มว่างเปล่ากลับคืนไปให้ ในเมื่อเจ้าปลีกวิเวกขนาดนี้แล้วทำไมถึงคิดที่จะช่วยเหลือข้า....
“ เอาละ เจ้านอนพักเถอะ ถึงแม้ว่าแผลเจ้าจะสมานกันดี แต่ข้างในน่าจะบอบช้ำน่าดู” รอยยิ้มสว่างถูกส่งมาให้คนเจ็บที่กำลังล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ถือถ้วยข้าวต้มลุกขึ้นเดินไปยังประตูด้านหลังที่ติดกับห้องครัว
ก่อนที่ประตูเลื่อนจะถูกปิดลง นัยน์ตาสีทองเรียบเฉยมองมายังร่างที่นอนอยู่นั้นเต็มไปด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
รอยสักที่พาดผ่านตั้งแต่ลำคอจนถึงปลายแขนภายใต้กิโมโนแขนยาวที่ปกปิดเอาไว้นั้นร้อนผ่าว...
ข้าก็แค่อยากรู้....ว่าเจ้ามีดีอะไรถึงได้ทำให้คนคนหนึ่งยอมทิ้งแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไปอยู่เพียงแค่ในป่าเล็กๆแห่งนั้น ทั้งๆที่ประเทศแห่งนี้กำลังจะถูกรวมไปอยู่ในมือคู่นั้นอยู่แล้วแท้ๆ
ทำไมคนคนนั้นถึงได้รักเจ้า....ข้าอยากรู้.....
………………………………………………………………………………………………………………..
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
ทำไมเขาถึงยังมาควบม้าอยู่ได้แบบนี้ ทั้งๆที่ในจิตใจนั้นมันถูกเพลิงเผาไหม้จนแทบจะเป็นจุล เพลิงแห่งความโกรธ.....โกรธจนอยากจะตามไปกระชากลากถูให้มันกลับมา...กลับมาล้มกองอยู่ตรงหน้าเขา....
เมื่อสองวันก่อนหลังจากที่กลับมาจากการปล้นสะดมยังต่างเมือง ซึ่งกินเวลานานกว่าที่คิด ในขณะที่ขาเร่งรีบที่จะกลับไป อุตส่าห์คิดว่าของที่ถือมาด้วยน่าจะทำให้มันชอบ แต่สิ่งที่เห็นมันเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างโปร่งและผมสีเงินยาวสลวยนอนอยู่ในห้อง ไม่มีเสียงลมหายใจ ไม่มี....ไม่มีอะไรเลย.....
เพลิงแห่งความโกรธพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจจนของที่อยู่ในมือถูกขว้างจนแตกกระจายอยู่เต็มพื้น
ดี...ในเมื่อแกคิดที่จะหนีจากฉันไปเป็นครั้งที่สอง
คราวนี้ฉันจะไปเอาตัวแกกลับมา และรับรองว่าแกจะไม่มีทางได้หนีจากฉันไปอีกเป็นครั้งที่สามแน่นอน....ไอ้ฉลามสวะ!
.........................................................................................................................................................
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
ภายในใจเจ็บแปลบจนไม่อยากแม้แต่จะลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำหน้ายังไงเมื่อต้องลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าของคนที่กำลังจับท่อนแขนของเขาอย่างแผ่วเบา ทุกสิ่งทุกอย่างมันสับสนปนเปกันจนแยกไม่ออก ว่าสิ่งไหนคือความจริง สิ่งไหนคือความลวง แต่เรื่องเดียวที่ไม่อยากจะคิดคือคนที่เขารักจนยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาอยู่เคียงข้างคนนี้จะกล้าทรยศต่อเขา
ทรยศในเรื่องที่เขาจะไม่มีวันให้อภัยมากที่สุด....
“ มุคุโร่ ?”
“ มุคุโร่ เจ้าเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นแสดงออกซึ่งความห่วงใยมากมาย
“ ขะ...ข้า....” เปลือกตาทั้งสองข้างค่อยๆเปิดขึ้น นัยน์ตาสองสีสบประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้อย่างต้องการจะค้นหาคำตอบ แต่บุปผามรณะก็ซ่อนมันเอาไว้ได้อย่างไม่มีที่ติ
“ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเคียวยะกับ....เบียคุรัน...” เขาตีหน้าราวกับว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ทั้งๆที่จริงแล้วสิ่งที่ได้ยินยังคงแจ่มชัดอยู่ในสมอง
“ ฮิบาริ...ไปแล้ว...ส่วนเบียคุรันข้าจัดการฝังมันเอาไว้ที่ใต้ต้นซากุระนั่นแล้วละ...หวังว่าเจ้าคงจะไม่อาลัยมันใช่ไหม” ชั่วพริบตาที่เอ่ยถึงคนที่เป็นยิ่งกว่าศัตรู มันทำให้กลิ่นดอกไม้ที่หอมหวานนั้นแปรเปลี่ยนไป....ทำไมเขาจะไม่รู้ ว่าร่างเล็กๆตรงหน้านี่เกลียดชายคนนั้นมากแค่ไหน....
“ งั้นหรือ....” ใบหน้าที่เคยยิ้มละไมอยู่เสมอกลับเรียบเฉยไป ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งพิงโคนต้นไม้ใหญ่พร้อมกับนัยน์ตาสองสีที่เหม่อมองออกไปไกลแสนไกล
“ เจ้ายังรักมันอยู่....” น้ำเสียงตัดพ้อดังมาจากด้านหลัง.....ไม่ใช่...มันไม่ใช่เลย....ข้าไม่ได้เสียใจเรื่องการจากไปของกล้วยไม้ขาวดอกนั้นมากไปกว่าที่ข้ากำลังเจ็บปวดอยู่นี้คือเรื่องที่เจ้า...ยังคงมองหน้าข้าได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว.....เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ข้าเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าเคียวยะสั่งให้เจ้าไปตาย รู้ว่าคนที่รักนั้นทรยศต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้า
“ สึนะโยชิคุง....เจ้ายังจำดอกไม้ดอกแรกที่เจ้ามอบมันให้แก่ข้าได้หรือเปล่าครับ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยออกไปอย่างล่องลอย ทำให้ร่างเล็กๆที่ยังคงยืนกำมือแน่นค่อยๆทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง
“ เจ้า....ทำไมถึงพูดถึงมัน....Snowdrop...” นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้มองไปยังใบหน้าเรียวที่ยังคงเหม่อมองออกไปข้างหน้า
“ สำหรับข้า...เจ้าคือ...Snowdrop...ดอกไม้แห่งความหวัง ที่อ่อนแอแต่อันตราย.....” นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้เบิกกว้าง ใบหน้าน่ารักสะบัดไปมา สองมือเกาะแขนยาวแน่น
“ มุคุโร่...เจ้าหมายความว่ายังไง เจ้าได้ยินอะไรมาอย่างนั้นหรือ....”
“ จะช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมละครับ กับสิ่งที่เจ้าทำลงไป ก่อนที่ท่านหญิงแห่งโกคุเดระจะตาย....” สีหน้าเรียบเฉยค่อยๆหันมาหาคนข้างๆอย่างช้าๆ นัยน์ตาสองสีที่ไร้แววใดๆมองมายังร่างเล็กๆราวกับมองอากาศอันว่างเปล่า
ร่างทั้งร่างชาวาบกับสิ่งที่ได้ยิน ทั้งตัวและหัวใจเย็นเชียบจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง ดวงตาที่มองไปยังร่างโปร่งนั้นสั่นสะท้าน
“ มุคุโร่....เจ้าได้ยิน......” เจ้ารู้แล้ว....กับเรื่องเลวร้ายที่ข้าทำ....ครั้งนี้ยอมรับว่าเขากลัวที่สุดในชีวิต...ไม่ได้กลัวว่าร่างโปร่งตรงหน้าจะลงมือฆ่าเขาแต่สิ่งที่กลัวคือแผ่นหลังกว้างนั่นกำลังจะเดินจากไป...จากไปอย่างที่เขาไม่มีหน้าจะฉุดรั้งเอาไว้ได้อีก.....
น้ำตาไหลพรากลงไปที่สองแก้ม....อย่าไป...อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น....สายตาที่เจ็บปวดของเจ้า....
“ มุคุโร่!!!!” ตะโกนสุดเสียงเมื่อร่างโปร่งที่นั่งอยู่เคียงข้างลุกขึ้นยืน สองแขนเล็กกอดขาเรียวยาวมั่น
“ ปล่อยข้าไปเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อมที่จะเห็นหน้าเจ้า สึนะโยชิคุง”
“ ไม่....ทุกอย่างที่ข้าทำไปเพราะว่าข้ารักเจ้า....” เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดโถมลงไปที่ร่างโปร่งจนล้มลงกับพื้นหญ้า ก่อนที่ร่างเล็กจะตามขึ้นไปคร่อมเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้จ้องสบกับดวงตาสองสีด้วยน้ำตา
“ ข้าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว....เจ้าจากข้าไปโดยไม่มีแม้แต่ข่าวคราว นานจนข้าแทบหมดสิ้นความหวัง เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีอำนาจไม่มีพลังไม่มีอะไรที่จะไปสู้กับเจ้าของแผ่นดินสีขาวคนนั้นได้เลย ไม่มีอะไรที่ข้าเทียบเค้าได้เลย ข้าต้องทนอยู่กับการรอคอยที่ไร้ซึ่งความหวัง ข้าทรมานแค่ไหนไม่มีใครรู้หรอก....เพราะว่าตั้งแต่เกิดมา....ข้ามีแต่เจ้า....ข้ารักเจ้า รักเจ้าเพียงคนเดียว.....ข้าไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้....ไม่รู้เลยจริงๆ.....” น้ำตาไหลพรากก่อนที่จะหยดลงไปที่แผ่นอกของร่างโปร่ง ที่มองมาด้วยแววตาสับสน
“ ข้าไม่เคยรู้หรอกว่าสิ่งที่ข้าทำมันจะสำเร็จหรือไม่ ไม่รู้เลยว่าข่าวนี้จะไปถึงหูของเจ้าหรือเปล่า แต่มันคือหนทางสุดท้ายที่ข้าจะดึงเจ้ากลับมาได้....แต่ถ้าเจ้าไม่กลับมาช่วยข้า...ชีวิตที่ข้าเดิมพันเอาไว้ก็คงจะสิ้นไป.....และตอนนั้นข้าจะไม่นึกเสียใจเลย....อย่างน้อยข้าก็ได้ทำทุกอย่างแล้ว”
“ ได้โปรด....อภัยให้ข้าได้ไหม มุคุโร่.....” ใบหน้าน่ารักก้มลงจูบใบหน้าเรียวทั้งน้ำตา กลัว...กลัวเหลือเกินว่าคนตรงหน้าจะหายไป.....
“ ข้าเจ็บมากๆเลยสึนะโยชิคุง....เจ็บมาก...”
“ ข้าขอโทษ....เพราะฮิบาริเข้าใจเจ้าผิดใช่ไหม ข้ายินดีเข้าไปอธิบายกับเขา ยินดีให้เขาลงโทษข้าจนพอใจ เพื่อให้เจ้ากลับไปคืนดีกับน้องชายคนเดียวของเจ้าอีกครั้ง...” สองแขนเล็กโอบไปรอบตัวเมื่อร่างเล็กทิ้งตัวลงไปกดทับร่างโปร่งที่นอนอยู่เบื้องล่าง
“ ไม่ใช่....ที่ข้าเจ็บมาก...เพราะว่าคนที่หักหลังหลอกลวงข้า....คือคนที่ข้ารักมากที่สุดอย่างเจ้า...สึนะโยชิ” นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาไหลลงมาไม่ได้ขาดสาย ร่างกายสะอึกสะอื้ออย่างห้ามไม่อยู่
ริมฝีปากนุ่มนิ่มพรมจูบไปทั่วลำคอระหง มือเล็กค่อยๆดึงสายโอบิที่คาดเอวทั้งของตัวเองและของร่างโปร่งออกช้าๆ ร่างข้างใต้ยังคงนิ่งเฉย มือเล็กลูบไล้ไปตามร่างกายเรียบเนียน ริมฝีปากประกบลงไปที่ริมฝีปากของมุคุโร่อย่างนุ่มนวล ก่อนที่ลิ้นเล็กจะค่อยๆแทรกเข้าไปไล่ต้อนและมอบความหวานล้ำให้แก่ชายผู้เป็นที่รัก
“ มุคุโร่...ข้าขอโทษ....” ถ้อยคำพร่ำกระซิบที่ใบหูที่เริ่มจะแดงระเรื่อนั้นกลับไม่ใช่คำบอกรัก แต่กลับเป็นถ้อยคำสำนึกผิดและยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำลงไป
“ ข้าขอโทษ....” มือเล็กลากจากลำคอระหงลงไปเรื่อยๆ ผ่านเนินอกและหน้าท้องแบนเรียบก่อนจะไล้วนอยู่บริเวณที่กระตุ้นต่อความรู้สึก นิ้วเรียวเล็กลากไล้อย่างแผ่วเบาราวกับกำลังหลอกล่อไปตามแกนกายของอีกฝ่าย
“ อึก...เจ้า....” เสียงครางเซ็กซี่หลุดออกมาจากริมฝีปากของมุคุโร่เล็กน้อย เมื่อมือเล็กๆนั่นกอบกุมส่วนไวต่อความรู้สึกแล้วขยับขึ้นลงอย่างแผ่วเบา ลาดไหล่ขาวนวลที่ดูเล็กบางน่าทะนุถนอมต้องแสงแดดอ่อนๆเมื่อกิโมโนที่เคยคลุมกายอยู่หลุดลุ่ยลงมากองอยู่ที่เอวบาง
นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้หวานเชื่อม ใบหน้าแดงระเรื่อก้มลงจูบที่ริมฝีปากของร่างโปร่งอีกครั้ง เรียวลิ้นต่างกะหวัดพันเกี่ยวซึ่งกันและกัน ความหวานซึ้งระคนขมขื่นผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เมื่อใบหน้าเล็กละออกมาเสียงหอบหายใจของทั้งคู่ก็เข้ามาแทนที่ ริมฝีปากแดงช้ำยังคงไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อมันซุกลงไปที่ลำคอระหงก่อนที่จะฝากรอยเอาไว้ แล้วลากไล้ต่อไปยังลาดไหล่กว้าง ละเรื่อยลงไปยังแผ่นอกและหน้าท้องจนกระทั่งเข้าครอบครองแกนกายที่เริ่มขยายตัวเนื่องจากอารมณ์กำลังถูกกระตุ้นทั้งๆที่ไม่ต้องการ
ความอ่อนนุ่มชื้นแฉะขยับขึ้นลงช้าๆ แต่ก็เน้นทุกสัมผัส เรียกความรู้สึกที่พยายามห้ามตัวเองให้ค่อยๆหดหายไป มือที่ใหญ่กว่าจับลงไปที่กลุ่มผมสีน้ำตาลขยับมันอย่างที่ใจต้องการ สติที่มีกำลังถูกไฟแห่งอารมณ์เข้าครอบงำ ความหวานล้ำและรู้สึกดีทำให้เผลอไผล
“ อ้า....สึนะ...โยชิ....” เสียงครางที่ออกมาทำให้ริมฝีปากเล็กหยุดชะงัก ก่อนที่จะค่อยๆถอนออกมาอย่างเชื่องช้า หยาดน้ำลายยังคงไหลเชื่อมระหว่างริมฝีปากและส่วนอ่อนไหวที่แข็งชูชัน นัยน์ตาสองสีมองมาอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของคนที่เป็นคนเริ่มต้น
“ ข้ายอมทำให้เจ้าทุกอย่าง ขอเพียงเจ้ายกโทษให้ข้านะ...มุคุโร่....” รอยยิ้มที่สวยงามถูกส่งมาให้ ร่างเล็กจะค่อยๆยกตัวเองขึ้นช้าๆ มือเล็กจับส่วนอ่อนไหวนั้นจ่อเข้ากับช่องทางคับแคบของตน ก่อนที่จะกดตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ให้ความแข็งขืนทั้งหมดสามารถเข้าไปได้ในคราเดียว
“ สึนะโยชิ....” มือที่ใหญ่กว่ายกขึ้นเกลี่ยเม็ดน้ำตาที่หางตาสีน้ำตาลไหม้ พวกเขาไม่ได้ทำแบบนี้มานาน มีหรือที่ร่างเล็กๆนี่จะไม่เจ็บ แต่ร่างที่อยู่ด้านบนก็ไม่ได้หยุดพัก แต่เริ่มขยับอย่างเชื่องช้า
“ อ้า...มุคุโร่....” เสียงครางหลุดลอดออกมาทันทีเมื่อมือใหญ่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของตน
“ อื้อ...” มือพยายามจะขยับให้เป็นจังหวะเดียวกันกับร่างเล็กที่ขยับอยู่ แต่ทว่าความอ่อนนุ่มของช่องทางคับแคบที่โอบรัดแกนกายของเขาอยู่มันก็ทำให้ความต้องการนั้นแทบล้นทะลัก มืออีกข้างจึงจับสะโพกมนแล้วเริ่มบังคับให้ขึ้นลงตามใจของตัวเอง
เสียงครางเครือและหอบหายใจดังแว่วไปรอบๆป่าสายหมอก ร่างทั้งสองขยับเข้าหากันอย่างหนักหน่วง เร็วขึ้นๆตามห้วงอารมณ์ที่กำลังจะพุ่งถึงจุดสูงสุด จนกระทั่งสะโพกมนถูกยกขึ้นไปจนสุดก่อนที่จะถูกกดกระแทกลงมาอย่างรวดเร็ว ความอุ่นวาบไหวเข้ามาในร่างกายมากมายจนล้นทะลักออกมาข้างนอก เช่นเดียวกับน้ำสีขาวขุ่นของเขาที่กระจายเต็มหน้าท้องเรียบของร่างโปร่งที่อยู่ด้านใต้
“ ข้า...ขอโทษ.....” ถ้อยคำสุดท้ายเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่สติทั้งมวลจะค่อยๆหลุดลอยไป ใบหน้าหวานเอนซบอยู่กับแผ่นอกของมุคุโร่
“ ข้ารักเจ้ามากนะ สึนะโยชิ.....” มือเรียวเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลออกไปจากใบหน้าที่หลับพริ้ม ก่อนที่จะบรรจงจูบลงไปที่หน้าผากเนียน
“ เพราะแบบนี้...มันจึงยาก...ที่จะให้อภัยเจ้า....”
…………………………………………………………………………………………………………….
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
ก็เพราะว่าข้ายังตายไม่ได้น่ะสิ...
ม้าสีน้ำตาลที่ช่วงชิงมาจากพวกกองโจรที่เพิ่งกลับมาจากการปล้นสะดมเมื่อวันก่อนถูกควบออกไปจากดินแดนแห่งป่าสายหมอก มือใหญ่กุมแผลที่ถูกแทงซึ่งมีเลือดแห้งเกรอะกรัง ใบหน้าขาวซีดเซียว เส้นผมสีขาวเป็นประกายจนแทบจะกลืนหายไปกับแสงตะวัน นัยน์ตาสีอเมทริสมองไปข้างหน้าอย่างพร่าเลือน...เขาประมาทดอกไม้ที่น่าขยี้นั่นเกินไปหน่อย
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก....บางที...การถูกข้าฆ่าตายไปซะตั้งแต่ตอนนั้นมันอาจจะทำให้เจ้าเจ็บปวดน้อยกว่าการที่ต้องไปเผชิญหน้ากับมุคุโร่คุงหลังจากนั้นก็ได้นะ...สึนะโยชิ
อีกไม่นาน...มุคุโร่จะต้องแยกทางจากดอกไม้มรณะที่น่ารังเกียจนั่นแน่นอน ไม่เคยมีปฏิกิริยาใดๆของดอกไม้สีไพลินนี้ที่จะรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ ไม่เว้นแม้แต่ยามที่แกล้งทำเป็นนอนไม่รู้เรื่องอยู่ใต้ต้นไม้ระหว่างที่เขาและดอกไม้มรณะนั่นปะทะกัน...
ใช่...เขาจงใจ....จงใจทุกอย่าง....
มุคุโร่จะได้รู้ จะได้ได้ยินจากปากของคนที่เจ้ารักแสนรัก จากปากของคนที่เจ้าเข้าใจว่าเขาคือคนที่แสนดี ว่ายังมีเรื่องเลวร้ายอะไรบ้างที่เขาปกปิดเจ้าเอาไว้ ว่าเขาทรยศหักหลังเจ้ายังไง....ถึงแม้ว่าเจ้าจะรักเขามาก แต่ข้าก็รู้ดี...ว่าสิ่งที่เจ้าโหยหาคืออะไร.....
เจ้าจะไม่มีวันให้อภัย..... เพราะข้ารู้ว่าถึงแม้เจ้าจะทำเรื่องที่ดูเหมือนจะทรยศต่อเจ้าของแผ่นดินสีดำคนนั้น แต่ในใจของเจ้าไม่มีวันทรยศเขาได้ ไม่มีวัน....
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
ข้ายังมีชีวิตอยู่.......ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่.....
มือใหญ่กำแน่น....ถึงจะอยากลุกออกไปแค่ไหนแต่ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้
ที่ที่เขาควรจะอยู่ไม่ใช่ที่ป่าสายหมอกแห่งนี้....
แต่มันควรจะเป็นที่ที่หัวใจของเขาถูกพรากไป!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...ไป.....ไป.......
โอกกกกกก ฉากเดียวตายสนิท กำลังใจพุ่งปรี๊ดมากกกก แต่คราวนี้ไม่ใช่ก๊ก....แต่ว่ามันคือ....
ใครดูอนิเมะตอนที่ 175 แล้วบ้างคะ....อยากจะบอกว่าทูน่าตอนโตโฮกมากกกก ถึงแม้จะมาแค่ครึ่งหน้าเหมือนที่เคยเห็นในมังงะ
แต่ทว่าเสียงคุณเธอนั้นหล่อกระชากใจฉันจริงๆทูน่าเอ้ย...
ตอนแรกก็นึกว่าจะให้ Kokubun san เป็นคนพากย์เหมือนที่พากย์ ทูน่าไฮเปอร์ แต่ที่ไหนได้ โฮกกกก เป็นเสียงผู้ชายจริงๆค่ะ เสียงหล่อระดับคุณฮิหรือคุณมุเลยแหละอ๊ากกก
มาพูดถึงฟิกแฝดน้องบ้างดีก่า....อ้า...ในที่สุดพ่อม้าก็โผล่มาเต็มตัวแล้ว อร๊ายยยย....แต่คนดีไม่มีในเรื่องนี้หรอกค่ะ! (เฮ้ยๆ)
ยัง...มันยังยุ่งไม่พอ ครึ ครึ....
ว่าแต่ นี่เป็นครั้งแรกสินะคะ ที่ออกมากันครบทุกคน โอ้...น้ำตาจะไหลพราก...
(คนอ่านก็น้ำตาจะไหลพรากด้วยสินะคะ ทั้งยาวนรก ทั้งเอ็นซีที่ไม่มีเตือนก่อนละ ทั้งฉากน่าเหนื่อยอีกสารพัด แถมยังปริศนาพ่อม้าอีกตะหาก คึหึหึ)
สู้ต่อไปค่ะทุกคน!!! (ชั้นว่าแกเอาคำนั้นไปใช้กับตัวเองเหอะ....นี่ก็ยิ่งใกล้จะถึงทางแยกแล้วด้วย...)
[YAMA NEVER DIE] มันเป็นอมตะค่า =[]= (เดี๊ยวก็โดนโบกหรอกเอ็ง...) ฮ่าๆๆๆ
ชอบคำบรรยายของแต่ละคนว่าทำไมยังไม่ตายมากค่ะ
ตอบลบคือตอนนี้เค้าสงสารสองคู่ หกคนแรกมากมันดราม่าจนบอกไม่ถูก
แต่คู่หลามน้อยยังไม่มาก ดราม่ายังเบาๆ
ฮืออออ ร้องอีกรอบ ยามะถ้ามันเจ็บนักก้ตายๆไปเถอะจริงๆ TT
รักนะเนี่ย