: KHR Fanfiction Au
: 8059 186927 XS
: Romantic
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: ยามะดาร์กเนียนใสกิ๊ง....(อะไรของมันวะนั่น?)..... ส่วนหนูฮายาโตะนิสัยจะไม่ตรงกับคาร์แรคเตอร์หลักนะตัวเอง...^ ^...ก็เค้าอยากเห็นหนูฮายาโตะเวอร์ชั่นน่ารักๆเอ๋อๆมั่งอ่ะ
.
.
.
.
.
.
ผ่านมาครึ่งเทอมของเทอมสุดท้ายแห่งชีวิตเด็ก ม.ต้นของเขาแล้ว.....อีกไม่นานเขาก็จะได้กลับไปอยู่ข้างๆร่างบอบบางของพี่ชายตลอดเวลาตามเดิมแล้วสินะ
ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ เด็ก ม.ต้นปีสามทุกคนต่างกำลังคร่ำเครียดกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนม.ปลายที่ตัวเองใฝ่ฝัน เขาเองก็เช่นกัน.....การได้กลับไปเดินเคียงข้างร่างบอบบางนั่นอีกครั้ง คือ ความหวังของเขา...
แต่การที่จะให้มานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ อาจจะไม่ใช่วิถีทางของเขานัก ... ในเมื่อเขายังมีความถนัดในด้านอื่น ที่พอจะใช้มันเพื่อเป็นใบผ่านเข้าไปสู่โรงเรียน นามิโมริม.ปลายได้
วันนี้เขาจะไปทดสอบความสามารถทางด้านเบสบอล เหมือนที่อดีตกัปตันของเขาเองก็เคยผ่านมันมาแล้ว....และเขาเองก็จะต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อเป็นใบรับประกันที่แน่นอนว่าเขาจะได้เข้ามาเดินอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้...
ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีการทดสอบความสามารถของเด็กม.ต้นที่จะมาสอบเข้าที่นี่ แต่โรงเรียนก็ไม่ได้หยุดการเรียนการสอนแต่อย่างใด ทำให้วันนี้เด็กม.ปลายต่างยังคงเดินกันขวักไขว่ ในระหว่างช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนคาบเรียน....สายตานับร้อยคู่ต่างสนใจและจ้องมองมายังกลุ่มเด็กม.ต้นอย่างพวกเขาที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในโรงเรียน ถึงแม้จะเป็นแค่เด็กม.ต้นแต่ก็ด้วยความที่แต่ละคนเป็นนักกีฬา รูปร่างหน้าตาอาจจะไปเข้าตาสาวน้อยสาวใหญ่พวกนั้นก็เป็นได้มั้ง....เขาเองก็เริ่มจะชินชากับสายตาที่จ้องมองมาอยู่ตลอดพวกนั้นแล้วละ
แล้วสายตาที่มีไว้มองคนเพียงคนเดียวของเขาเริ่มสอดส่ายมองหาเงาร่างบอบบางที่คุ้นตา...ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วละนะว่าคงไม่ง่ายที่จะได้เจอ แต่ก็แอบหวังไว้ลึกๆว่าพี่ชายของเขาจะโผล่มาให้กำลังใจเขาบ้าง
ตลอดทางที่เดินจากหน้าโรงเรียนเข้ามายังสนามเบสบอลกว้างใหญ่ ไม่ได้น่าตกใจเท่ากับกลุ่มคนที่อยู่รอบๆสนามแห่งนี้เลย กลุ่มเด็กสาวมากมายต่างเกาะรั้วตะแกรงเหล็กโปร่งจนแทบไม่มีที่จะยืน....เสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาเป็นระลอกๆ ....นี่มันก็แค่การทดสอบของเด็กม.ต้น....มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยหรอ....
การคัดเลือกไม่มีอะไรมาก ก็แค่พวกเราแบ่งทีมแล้วแข่งกันเอง …จะแพ้หรือจะชนะอาจไม่สำคัญเท่ากับการได้โชว์ฝีมือที่มีทั้งหมดออกไป ส่วนคนที่จะตัดสินใจก็คือโค้ชและเหล่ารุ่นพี่ในชมรมเบสบอลที่ยืนดูอยู่ที่ข้างสนามนั่น
“ ฉันรู้ว่าแกทำได้” ถ้อยคำกระซิบเบาๆจากร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเอ่ยบอกออกมาก่อนที่พวกเขาจะแยกจากกันเมื่อเช้านี้ ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวตลอดเวลา.......แน่นอน ฉันจะทำให้ได้........ส่วนเหตุผล นายคงรู้ดีที่สุด ฮายาโตะ
การแข่งขันผ่านไปได้ครึ่งค่อนทางแล้ว ทีมที่เขาอยู่ด้วยมีแต้มนำทีมฝ่ายตรงข้ามอยู่เล็กน้อย เขาหยุดยืนอยู่ที่ข้างสนาม ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมอีกคนกำลังรอตีลูกเบสบอลที่พิชเชอร์ฝั่งตรงข้ามจะขว้างออกมา เสียงกรี๊ดกร๊าดของรุ่นพี่สาวๆทั้งหลายที่ดังมาตลอดตั้งแต่ต้นเกมส์ จู่ๆก็เงียบเสียงลงราวกับว่านัดกันไว้ เขาจึงหันหน้าไปมองแล้วสายตาก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อโฟกัสไปพบกับต้นเหตุที่ทำให้เสียงเงียบลง กลุ่มคนสามคนที่ค่อยๆเดินเข้ามายังข้างสนามพร้อมกับกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ต่างแหวกทางให้ คนที่เดินนำหน้ามาหยุดยืนเกาะรั้วตะแกรงเหล็กพร้อมกับโบกมือให้เขา รอยยิ้มราวกับท้องฟ้ากว้างถูกส่งมาให้ ร่างเล็กๆกับกลุ่มผมสีน้ำตาลฟูฟ่องนั่นไม่ได้โตขึ้นเลยสักนิด......คนที่เดินตามมาติดๆ หันไปโปรยยิ้มละมุนละไมแต่กรุ่นไปด้วยไอน่าขนลุกให้กับเหล่าผู้คนที่อยู่รอบๆ ดวงตาสองสีมองมาที่เขาราวกับจะทักทาย....และคนสุดท้ายที่เดินกอดอกตามมา ใบหน้าหวานบึ้งตึงเป็นปกติ เหลือบตามองคนที่อยู่รอบๆด้วยสายตาหงุดหงิด ร่างบอบบางหยุดยืนอยู่ข้างๆเพื่อนสนิททั้งสอง เสียงอื้ออึงจากเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบดังอยู่รอบสนาม.....ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สามคนนี้ก็ยังคงเป็นจุดเด่นที่สามารถผูกมัดสายตาของใครๆเอาไว้ได้เหมือนเคยสินะ....สิ่งสวยงามที่ได้เพียงแค่มอง.....
เขาส่งยิ้มให้ร่างบอบบางของพี่ชาย คิ้วที่ขมวดอยู่คลายออกแล้วยิ้มน้อยๆมาให้เขา.....เพียงแค่นั้น....เสียงอื้ออึงรอบๆก็ดังขึ้นอีกเป็นเท่าตัว .....คงจะสงสัยกันสินะ ว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงทำให้ร่างบอบบางนั่นยิ้มออกมาได้......เป็นอย่างที่คิด เมื่อหันไปมองรอบตัว สายตาแห่งความสงสัยต่างจ้องมองมายังเขา ......นี่คงไม่ได้สร้างชื่อตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาเรียนที่นี่หรอกนะ
แล้วชื่อของเขาก็กระฉ่อนอีกครั้ง เมื่อมือที่กำลังจะรับไม้เบสบอลเพื่อเข้าไปตีเป็นคนต่อไปจำต้องหยุดชะงักลง เมื่อเสียงที่คุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้น
“ แกน่ะ...ไม่ต้องทดสอบต่อแล้วไอ้สวะ ฉันให้ผ่าน!!!” เสียงโหดๆกับหน้าเหี้ยมๆของอดีตกัปตันของเขา...รุ่นพี่แซนซัส...ดังขึ้นทันทีที่เจ้าตัวเดินเข้ามาในสนามโดยที่ยังไม่ได้ดูการทดสอบเลยแม้แต่น้อย
“ ไสหัวกลับบ้านไปได้แล้วว้อยยยย เสียเวลาชาวบ้านเค้า!!!!” น้ำเสียงดังสนั่นแบบนี้ก็คงไม่ต้องบอกหรอกว่าเป็นใคร .... ฉลามหนุ่มเดินตามมาติดๆตะโกนก้องป่าวประกาศให้คนโดยรอบรู้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องขยายเสียงใดๆแม้แต่น้อย.....เด็ก ม.ปลายปีหนึ่งที่เพียงแค่เข้ามาก็เป็นกัปตันชมรมเลยก็คงมีแต่สองคนนี้เท่านั้นละมั้ง.......ไม่สิ.......ยังมีอีกคน......เพียงแค่เข้ามาก็สามารถควบคุมได้ทั้งโรงเรียน...คนที่คอยดูแลพี่ชายของเขาอยู่ห่างๆคนนั้น......ฮิบาริ เคียวยะ......
การทดสอบจบลงแล้ว......ใบผ่านทางเขาก็คว้ามาได้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เหล่าเด็กม.ต้นที่มาเข้าร่วมทดสอบต่างทยอยเดินกลับ กลุ่มของเขาเองก็กำลังจะเดินออกไปเช่นกัน หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปเป็นชุดนักเรียนม.ต้นเหมือนเดิม เพื่อนๆที่มาด้วยกัน ต่างเข้ามากอดคอแสดงความยินดีกับเขา ที่ผ่านการทดสอบเข้าไปได้ พวกเราเดินออกจากห้องพักตามประสาเด็กผู้ชายที่จะส่งเสียงโวยวายเล่นหัวกันตลอดทาง เขาเองก็ยังคงยิ้มแย้มให้กับเพื่อนๆตามปกติ จนกระทั่งกลุ่มของพวกเขาเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ข้างสนามเบสบอลที่บัดนี้คนเหลืออยู่รอบๆสนามบางตา ในขณะที่มือของเพื่อนๆกำลังขยี้หัวสีดำของเขาอย่างเมามัน สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังบางที่คุ้นตา ยืนอยู่หลังต้นไม้นั่น เส้นผมสีเงินนุ่มพลิ้วไสวไปกับสายลม...
“ อ๊ะ.....พวกนายเดินกันไปก่อนละกัน....ฉันว่าฉันลืมของเอาไว้ที่ห้องพักเมื่อกี้น่ะ” เขาหมุนตัวกลับ ยกมือขอโทษเพื่อนๆ แล้วแยกตัวออกมา วิ่งกลับไปทางเดิมที่เพิ่งจากมา เมื่อสายตาแลเห็นกลุ่มเพื่อนๆเดินลับประตูรั้วโรงเรียนไปแล้ว เขาก็วิ่งกลับมายังต้นไม้ใหญ่นั่นอีกครั้ง....
มือใหญ่คว้าเอวบางของคนที่ยืนพิงต้นไม้อยู่เขามาไว้ในอ้อมแขน กดลำตัวแนบไปกับลำตัวบางจนแผ่นหลังของพี่ชายถอยไปจนชิดติดกับผิวขรุขระของต้นไม้ อาศัยความใหญ่โตของลำต้นเป็นที่กำบังสายตาจากภายนอก ริมฝีปากกดลงไปที่ริมฝีปากแดงระเรื่อแผ่วเบา...
“ ฉันทำได้แล้วนะ” ละใบหน้าออกมาแล้วส่งยิ้มให้กับคนในอ้อมแขนที่ใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนที่จะฝังจมูกลงไปที่แก้มใส สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของพี่ชาย
“ เป็นพี่น้องกันหรอ” เสียงๆหนึ่งทำให้เขาหยุดชะงักการกระทำทั้งหมด สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงเดินมาโดยที่ยังคงพูดคุยกันอย่างออกรส ไม่ได้สังเกตเห็นเขากับพี่ชายเลยแม้แต่น้อย....
“ ไม่จริงน่า....ไม่มีอะไรเหมือนกันซักนิดเลยไม่ใช่หรอ” ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่เสียงที่พูดคุยกันดังขนาดนั้น มันก็ทำให้เขาและร่างบางในอ้อมแขนรับรู้ได้ว่า คนที่กำลังถูกพูดถึงนั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพวกเขาสองคนนั่นเอง....
“ จริงแน่นอนย่ะ ฉันเคยอยู่โรงเรียน ม.ต้นเดียวกับยามาโมโตะคนพี่...รู้ดีเชียวละว่าคนน้องน่ะหวงคนพี่อย่างกับอะไรดี...”
“ น้องชายหวงพี่ชายเนี่ยนะ......ไม่แปลกไปหน่อยหรอ....ถ้าหวงพี่สาวหรือน้องสาวก็ว่าไปอย่าง”
“ ก็มีแต่คนสงสัยทั้งนั้นแหละ ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร...ก็รู้ใช่มะว่าสามคนนั้นแตะได้ซะที่ไหน คุณฮิบาริน่ากลัวจะตาย แล้วอีกอย่าง ยามาโมโตะคนน้องเองก็น่ากลัวไม่แพ้กันหรอก....”
“ เอ๋....ดูท่าทางใจดีออกไม่ใช่หรอ”
“ ใจดีมากมากกกกก...ถ้าไม่ใช่เรื่องของพี่ชายละก็นะ”
“ แหม...แต่จะว่าไป นี่เพิ่งมาแค่วันเดียวเองนะ ยังชื่อดังกระหึ่มขนาดนี้....ถ้ามาเรียนที่นี่จริงๆคงมีสาวๆตั้งแฟนคลับเลยมั้งนั่น”
“ หึ คอยดูไปก็แล้วกันว่ามันเสียเวลาเปล่า....เค้าไม่เคยสนใจใครนอกจากพี่ชายของเค้าหรอก....”
เสียงค่อยๆเงียบหายไป ตามระยะห่างที่กลุ่มเด็กผู้หญิงพวกนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆ มือของเขายังคงกอดกระชับเอวบางและมือบางของพี่ชายยังคงวางทาบอยู่ที่แผ่นอกของเขา แต่เราทั้งคู่ต่างยืนนิ่งอยู่ภายใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ ทั้งๆที่รู้มาตลอดว่าสิ่งที่กำลังจะต้องพบเจอคืออะไร แต่พอมาได้ยินเองกับหูแบบนี้ มันก็ยากที่จะแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ ยากที่จะทำเป็นไม่สนใจ ในเมื่อพวกเขาทั้งสองคน ต่างยังมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ ....โลกที่ถูกกำหนดผิดชอบชั่วดีด้วยสิ่งที่เรียกว่า... สังคม....
เขาก้มหน้าลงไปที่กลุ่มผมสีเงินหอมอ่อนๆ อ้อมแขนกอดร่างบางของพี่ชายให้แน่นขึ้น
“ ฮายาโตะ….ฉัน...ขอโทษ” เขากระซิบเบาๆ ความรู้สึกผิดแล่นลิ่วขึ้นมาจุกถึงคอ เขาทำถูกแล้วหรือเปล่าที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์จนทำให้ต้องดึงร่างบอบบางที่รักแสนรักตรงหน้านี้มาร่วมรับความรู้สึกและคำตราหน้าจากสังคมแบบนี้
“ ขอโทษทำไม...แกไม่ได้ผิด.......เราไม่ได้ผิด.....” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงก็แผ่วเบาไร้ความหนักแน่น ไร้ความมั่นใจในสิ่งที่กระทำลงไป....
………………………………………………………………….
.
……………………………………….
.
…………………….
.
………
.
ขายาวของเขาปั่นจักรยานคู่ใจไปอย่างเชื่องช้า ใบหน้าและร่างกายปะทะเข้ากับสายลมเย็นยะเยือก ใช้ร่างกายที่เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆของตัวเองบังร่างกายบางๆของพี่ชายไม่ให้สายลมแสนเย็นชาทำร้ายร่างบอบบางนั้นได้ มือบางที่ทาบอยู่ที่แผ่นหลังนั้นช่างอบอุ่น....
ล้อจักรยานหมุนวนไปเรื่อยๆ เหมือนกับกาลเวลาที่ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็วนซ้ำกลับมาที่เดิม ซ้ำไปซ้ำมา....ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ทุกเวลาที่อยู่ร่วมกัน ยังคงซ้อนทับกับช่วงเวลาที่ต้องเก็บงำความต้องการเมื่ออยู่ต่อหน้าใครต่อใคร อยากกอดรัด อยากสัมผัส.....แต่ก็ทำได้เพียงแค่ส่งยิ้ม ….เพราะเพียงแค่เดินจับมือ ความสงสัยจากรอบข้างก็พุ่งตรงเข้ามาหากดดันจนหายใจแทบไม่ออก.....
จักรยานเคลื่อนผ่านประตูโรงเรียน นามิโมริ ม.ปลาย เข้ามา บัดนี้เขาได้กลายมาเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายอย่างเต็มตัวแล้ว เขาและพี่ชายได้กลับมาอยู่ใกล้กันอีกครั้ง หลังจากที่เขาต้องทรมานจนแทบจะเป็นบ้า จากเวลาแปดชั่วโมงในแต่ละวันที่มองไม่เห็นร่างบางๆของพี่ชาย
เขาจอดจักรยานที่โรงจอด แล้วเดินออกมาหาคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้าอาคารที่มีจักยานมากมายจอดเรียงเป็นแถว วันนี้อากาศหนาว มือใหญ่ของเขาเอื้อมไปคว้ามือบางมากุมเอาไว้ แล้วก้าวเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินยาวที่ทอดไปยังอาคารเรียน เราสองคนยังคงพูดคุยกันเป็นปกติ ใบหน้าที่ไม่เคยยิ้มแย้มให้ใครหันมายิ้มน้อยๆให้เขา คิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดเวลากับดวงตาสีเขียวมรกตดุกร้าวกลับเปล่งประกายสดใสเมื่ออยู่กับเขา เสียงนุ่มหัวเราะเบาๆเมื่อเขาเล่าเรื่องเปิ่นๆของครูวิชาเคมีให้ฟัง ทั้งๆที่ไม่เคยมีเสียงแบบนั้นหลุดออกมาเลยตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ปีกว่าแล้ว .........
เกิดอะไรขึ้นกับ ร่างบอบบางผมสีเงินนั่นกัน.....เพราะว่าได้อยู่ใกล้กับคนที่เป็นเพียงแค่น้องชายเท่านั้นหรือ..............ความสงสัยที่ปิดไม่มิดลอบมองมาที่พวกเขาเมื่อขาของเราเดินก้าวผ่าน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้น.....เขาพยายามที่จะใช้ชีวิตให้เป็นปกติที่สุด...ถึงแม้ว่ามันต้องแอบซ่อนการกระทำอีกมากมาย ปกปิดรอยสัมผัสและความต้องการ แล้วทำเพียงแค่ เดินจับมือเท่านั้น.......
แต่ว่าเราไม่ใช่เด็กๆแล้ว.....ในสายตาของสังคม เด็กผู้ชายสองคนจะเดินจูงมือกัน มันคือความน่าเอ็นดู...แต่ทว่า เมื่อร่างกายเติบใหญ่ ไม่ว่าใคร เดินจูงมือกัน ทั้งๆที่นั่นคือคนคู่เดียวกันกับเด็กสองคนนั้น แต่ความรู้สึกและสายตาที่มองมากลับไม่เหมือนเดิม.......
ทั้งๆที่คนที่มองคือคนที่เคยรู้จักพวกเรา แต่สายตาของเด็ก ม.ต้น ที่มองเด็กม.ต้นสองคนที่เดินไปด้วยกัน กลับไม่เหมือนกับสายตาของเด็ก ม.ปลาย ที่มองเด็ก ม.ปลายสองคนที่เดินไปด้วยกัน ทั้งๆที่คนที่มองและคนถูกมอง ก็คือคนคนเดียวกันที่เติบโตขึ้นมา.......เขารู้....ว่าตอนนี้เขาและพี่ชายถูกจ้องมองด้วยความสงสัยแค่ไหน
เขาเดินไปส่งพี่ชายที่ห้องเรียน แค่เปิดประตูเข้าไปสายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องต่างจ้องมองมาที่เรา.....บางครั้งเขาก็อยากจะจับร่างบางของพี่ชายมาจูบแล้วประกาศให้ใครต่อใครรู้ ว่าแท้จริงแล้วเราเป็นอะไรกัน แต่เขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่ต้องการให้สังคมตราหน้าพี่ชายของเขาว่าเป็นคนผิดบาป.....
ขายาวของเขาก้าวเดินมายังห้องพักของชมรมเบสบอล เพื่อจะเอาเสื้อที่เพิ่งเอากลับไปซักกลับมาเก็บไว้ที่ล็อคเกอร์ มือเอื้อมไปกุมลูกบิดประตู แต่ก่อนที่จะบิดมันเพื่อเปิดเข้าไป เสียงพูดคุยกันภายในห้องก็ดังขึ้นมา
“ เรื่องฝีมือกับเรื่องนิสัยไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ที่พี่ชายของเจ้านั่นมากกว่า มีหลายครั้งเลยแหละที่ชมรมต้องโดนลากเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องของเจ้านั่นกับพี่ชาย....ก็อย่างที่รู้ๆกัน พี่ชายของเจ้านั่นเป็นที่หมายตาน้อยซะเมื่อไหร่ สวย เก่ง แล้วก็ดูบอบบางน่าทะนุถนอมแบบนั้น ใครๆก็อยากได้ละวะ แต่ก็ติดอยู่ตรงที่ไอ้ตัวน้องชายนี่แหละ หวงซะยิ่งกว่าอะไรดี มันก็เลยมีเรื่องกับใครๆบ่อย...แล้วพอมีเรื่อง ก็ขอให้บอกเหอะ กัปตันของเราน่ะ...ชอบนัก....แล้วเวลาโดน ก็โดนเป็นหมู่คณะอย่างไม่ต้องสงสัย....”
“ เป็นแค่น้องชาย จำเป็นต้องหวงพี่ชายขนาดนั้นเลยหรอวะ”
“ เหอะ....พวกแกรู้ไว้ก็ดีจะได้เลิกฝันหวานเกี่ยวกับพี่ชายของหมอนั่น....ไม่มีพี่ชายกับน้องชายที่ไหนเค้ากอดหรือแม้กระทั่งจูบกันหรอกเว้ย”
“ เฮ้ย....แต่แบบนั้นมัน.....”
“ ก็เออสิวะ.....ใครๆเค้าก็รู้ๆกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดก็เท่านั้นแหละ”
มือของเขาชะงักค้างอยู่แบบนั้น .....ทั้งๆที่พยายามจะไม่แสดงอะไรออกไป แต่บางครั้งก็เป็นเขาเองที่ทนไม่ได้ ที่จะทักทาย จับมือ หรือแม้แต่ลากร่างบอบบางนั่นเข้าไปกอดจนเลยเถิดไปถึงขั้นจูบ เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่รู้จักอดทน เป็นเขาเองที่พ่ายแพ้ให้กับแรงอารมณ์ พ่ายแพ้ต่อความน่ารักของอีกฝ่ายจนเผลอแสดงออกถึงความรู้สึกต่างๆออกไป ถึงแม้ว่าจะลับตาคนแค่ไหน แต่มันก็ไม่สามารถจะปกปิดอะไรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อที่นี่คือโลก ที่ที่ไร้ซึ่งความลับ
เขาหันหลังเดินจากประตูห้องชมรมออกมาเรื่อยๆ ก้าวขามาถึงห้องเรียนโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ในหัวยังคงมีแต่เรื่องที่เพิ่งพบเจอมา และเรื่องราวที่คาราคาซังจากความสงสัยของใครต่อใคร ......เขาคงต้องทำอะไรบางอย่าง......
..........................................................................
หลายวันมาแล้วจากวันนั้น เขายังคงพยายามทำตัวเป็นปกติ ทั้งๆที่ในใจกลับกังวลและต้องใช้ความอดทนมากกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ก็ตาม แต่เขาจะไม่เข้าใกล้ร่างบางของพี่ชายมากเกินกว่าที่มาตรฐานของสังคมจะยอมรับ ถึงแม้ว่าตอนที่กลับถึงบ้านและอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เขาจะลงมือสัมผัสและทำตามใจของตัวเองโดยไม่ได้ฟังคำทัดทานของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย ก็ตาม
บางที เขาก็สับสนในตัวเองอยู่เหมือนกัน...ว่านี่เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่......พยายามที่จะปกป้องร่างบอบบางจากคำว่าร้ายจากคนอื่นๆ ด้วยการเก็บซ่อนอารมณ์และความต้องการของตัวเอง แล้วเอาไประบายออกกับร่างกายของพี่ชายเมื่อยามที่อยู่ด้วยกันสองคน ....สิ่งที่เขาทำอยู่....มันคือการปกป้องร่างบางนั่นจริงๆหรือ.....
ยังมีหนทางไหนที่ดีกว่านี้อีกหรือเปล่า......
เดินคิดไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังจะเปลี่ยนห้องเรียน จากตึกของเด็กปีหนึ่ง จะเดินไปห้องเคมี ต้องเดินผ่านอาคารของเด็กปีสอง....ถึงแม้ว่าจะพยายามออกห่างจากร่างบาง แต่สายตาของเขาก็ยังคงมองหา แค่เห็นว่านายยังปลอดภัยดี แค่ได้มองเห็นอยู่ห่างๆ ฉันคงทำได้แค่นี้.....
แล้วสายตาของเขาก็พบกับเงาร่างของคนสามคน ที่เดินเลี้ยวออกมาจากมุมบันได ทั้งสามคนเดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย เขายืนมองภาพของทั้งสามคนค่อยๆเดินขึ้นบันไดไป โดยที่ไม่คิดจะทักทายหรือเรียกให้หยุดเหมือนกับที่เคยเป็นมา เพื่อนของเขาที่เดินมาด้วยกันต่างมองมาอย่างสงสัย
แต่ก่อนที่ร่างบางๆจะเดินลับไป ดวงตาสีเขียวมรกตเหลือบมาเห็นเขาเข้า ใบหน้าสวยจึงหันมาหา รอยยิ้มน้อยๆถูกส่งมาให้ ถ้าเป็นทุกครั้งเขาคงจะตรงดิ่งเข้าไปหา แต่ครั้งนี้เขากลับโบกมือน้อยๆแล้วเดินเลี่ยงออกมา..........มองเห็นนัยน์ตาสีเขียวหลุบลงอย่างเหงาหงอย........
.......ฉันต้องทำ.........ไม่อยากให้ใครว่าร้ายนายในทางที่ไม่ดี....ทั้งๆที่ทุกๆอย่างมันเริ่มต้นมาจากฉัน.....
วันทั้งวันผ่านไปด้วยความรู้สึกอึดอัดแทบขาดใจ ก่อนหน้านี้เขาก็ทรมานเพราะความห่าง ไม่ได้เห็นไม่ได้รับรู้ว่าร่างบางของพี่ชายทำอะไรอยู่ปลอดภัยดีหรือเปล่า......แต่ตอนนี้....เขากลับทรมานยิ่งกว่า ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ได้เห็นได้เฝ้าดู มันยิ่งทำให้ความต้องการของเขามากขึ้นกว่าเดิม อยากจับต้องอยากสัมผัส
เขาเอาความอึดอัดทั้งหมดไปลงกับการหวดลูกเบสบอล ที่วันนี้เป็นโฮมรันไปเกือบทั้งหมด รังสีน่ากลัวคงแผ่ออกไปรอบๆตัวเขา เพื่อนร่วมชมรมจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ หลังเลิกซ้อมทุกคนต่างเก็บข้าวของแล้วเดินออกจากห้องพักไป แต่เขายังคงนั่งอยู่ ....อยากจะเจอหน้าพี่ชาย แต่เขาก็อยากจะลดระยะความทรมานที่จะต้องไปอยู่ที่ร้านลงสักนิด ....อยากลากร่างบางๆนั่นกลับบ้านให้เร็วที่สุด....แต่เขาก็ทำไม่ได้.....
ได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่บนม้านั่งยาวกลางห้อง ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่ว...เย็นขนาดนี้แล้ว คงไม่มีใครเหลืออยู่ที่โรงเรียนแล้วมั้ง....แต่แล้ว....
เสียงเปิดประตู ทำให้เขาหันไปมอง เงาร่างที่คุ้นตาทำเอาเขาเบิกตากว้าง ยังไม่ได้กลับบ้านไปอีกหรือ เขาหันไปมองรอบๆห้องโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว เสียงปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างบอบบางของพี่ชายเดินตรงมาหาเขา ดวงตาสีมรกตเศร้าสร้อยมองมาช้าๆ
“ อย่าทิ้งฉัน......” ร่างบอบบางของพี่ชายเดินเข้ามาใกล้ แขนเล็กโอบไปที่รอบเอวแล้วกอดเขาแน่น ใบหน้าเนียนซุกลงที่แผงอกกว้างของเขา หยดน้ำใสๆร่วงกราวลงไปปะทะแขนของเขาที่แนบอยู่ข้างลำตัว
“ ฮายาโตะ...” เขาเรียกร่างบางด้วยความตกใจ อ้อมแขนแข็งแกร่งยกขึ้นกอดกระชับร่างบางให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกมากขึ้น ใบหน้าก้มลงไปจูบที่เส้นผมสีเงิน เกิดอะไรขึ้น....นายเป็นอะไร......
“ นายก็รู้ ว่าฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย ไม่มีวันปล่อยมือจากนาย....” กระซิบปลอบโยนคนที่อยู่ในอ้อมแขน ร่างบางยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วมองหน้าเขาตรงๆ มือบางกระชากคอเสื้อเขาเข้าไปหา
“ แล้วถ้างั้นแกเป็นอะไรของแก แกหลบหน้าฉันทำไม แกกำลังทำให้ฉันสับสนรู้ตัวบ้างไหม ตอนอยู่นอกบ้านแกทำตัวไม่เหมือนเดิม พยายามจะห่างจากฉัน แต่พออยู่ในบ้านแกก็มีอะไรกับฉัน.....แกทำให้ฉันรู้สึก.....ว่าฉันมันเป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ของแก......” ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากปากของพี่ชาย ทำเอาเขาตกตะลึง ไม่เพียงแต่จะปกป้องไม่ได้ แต่เขากลับสร้างบาดแผลให้กับร่างบางอีกแล้ว......
มัวแต่ห่วงสายตาของคนอื่น โดยที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของคนที่สำคัญที่สุดเลย ไม่เคยทำความเข้าใจเลย ว่านายอยากให้ฉันปกป้องแบบนั้นหรือเปล่า.....
“ ฮายาโตะ....ฉันขอโทษ......”
“ บอกมาสิ ว่าแกเป็นอะไร .....เบื่อฉัน เพราะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา....ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะได้ไม่เข้าไปยุ่งกับแกอีก” หยาดน้ำใสไหลลงไปตามแก้มเนียน ภาพตรงหน้าทำให้เขาเจ็บแปลบไปทั่วหัวใจ เขามันงี่เง่า....น้ำตาพวกนั้นมันไหลออกมาเพราะเขา
“ ไม่ใช่....ไม่ใช่....” เขาปฏิเสธอย่างสุดกำลัง
“ นายก็รู้ว่าคนอื่นๆมองเราด้วยสายตาแบบไหน ....ที่ฉันพยายามไม่อยู่ใกล้นาย พยายามห้ามตัวเองไม่ให้สัมผัสนาย เพราะฉันก็แค่ไม่อยากให้ใครว่าร้ายนาย ไม่อยากทำให้นายต้องมารับบาปนี้ ที่ฉันเป็นคนก่อมันขึ้นมา....แค่อยากจะปกป้องนาย....”
“ แกมันบ้า....บ้า......ฉันเป็นคนรักของแกไม่ใช่หรอ แล้วแกคิดจะแบกรับเรื่องนี้เอาไว้คนเดียวรึไง ทั้งๆที่เราร่วมกันสร้างมันขึ้นมา แล้วทำไมแกต้องรับผิดชอบมันคนเดียวด้วย ....ฉันไม่ได้อ่อนแอจนต้องให้แกปกป้องแต่ฝ่ายเดียวหรอกนะ ....ฉันเชื่อแก....แล้วแกเชื่อมั่นในตัวฉันบ้างหรือเปล่า”
“ ฮายาโตะ..........”
“ แกมันงี่เง่าที่สุด.....”
มือที่กระชากคอเสื้อของเขาอยู่สั่นสะท้าน ร่างบอบบางของพี่ชายเอนซบลงมาที่ตัวเขา หยาดน้ำตาร่วงลงมาจนรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นบนเสื้อเขา มือเอื้อมไปกอดร่างบางของพี่ชายเอาไว้
“ ขอโทษ......ขอโทษ......” เขาพร่ำกระซิบคำขอโทษ จริงอย่างที่ร่างบางพูด คนในอ้อมแขนคือ คนรัก ของเขา คือคนที่พร้อมจะเดินเคียงข้างเขา
“ ฉันไม่สนใจ...ว่าใครจะมองว่ายังไง ไม่สนว่าใครจะนินทาว่าร้ายอะไร....ที่ฉันสนใจมีแต่แก......แค่แกเท่านั้น....เพราะงั้น.......กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม....” ถึงแม้ว่าใบหน้าจะซุกอยู่ที่อกของเขา แต่เสียงที่พูดออกมาก็ชัดเจนและเต็มไปด้วยความหนักแน่น
“ ฮายาโตะ.....” เขากระชับอ้อมแขนแทนคำตอบทั้งหมด....ถูกแล้ว....คนที่เขาควรจะสนใจคือคนคนนี้ ไม่ใช่คนอื่น.....
“ ตั้งแต่วันนี้...เราจะเดินไปพร้อมๆกันนะ.....ฮายาโตะ.....” ใบหน้าเนียนละออกจะอ้อมอกเขาออกมายิ้มน้อยๆให้ คราบน้ำตายังคงอยู่ แต่ดวงตาสีสวยเปล่งประกายสุกใสอีกครั้ง เขาก้มลงไปจูบซับรอยน้ำตา และความสับสนให้ออกไปจากหัวใจของร่างบาง
“ เราจะเชื่อมั่นในกันและกัน....ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น....นายก็จะเชื่อฉัน และฉันก็จะเชื่อนาย....” นี่สินะสิ่งที่เรียกว่า “คนรัก” แค่หันหน้ามาพูดคุยกันมันก็ทำให้ความอึดอัดใจความทรมานที่เขามีมลายหายไปจนหมด บัดนี้มีเพียงแค่ความอบอุ่นที่ฉาบไล้ไปทั่วดวงใจของเขา เขาส่งยิ้มกว้างไปให้ร่างในอ้อมแขน
“ เออสิ.....ถ้ารู้แล้วก็จำใส่หัวเอาไว้ แล้วก็กลับบ้านได้แล้ว ไอ้น้องงี่เง่า” ใบหน้าใสแดงระเรื่อ ผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วกลับไปทำหน้าตาบูดบึ้งตามเดิม ... มันน่ารักจนเขาแทบอดใจไม่ไหว มือใหญ่คว้าเอวบางเข้ามาแนบชิดตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะซุกหน้าลงไปที่ซอกคอหอมกรุ่น ลากไล้สัมผัสลำคอระหงไปทั่ว
“ อ๊ะ....ยะ...หยุดนะ....แกจะทำบ้าอะไรที่นี่...ไม่เอานะ” เขาฉุดร่างบอบบางให้ลงมานั่งบนตักที่เก้าอี้ยาว มือใหญ่สอดลึกเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวของพี่ชาย ลูบไล้แผ่นหลังเนียนนุ่ม ถึงจะออกปากห้ามแต่แขนเล็กๆนั่นก็โอบอยู่รอบคอเขา .....
เมื่อปรับความเข้าใจจนความตึงเครียดทั้งหมดหายไป เขาจึงปล่อยให้อารมณ์และความต้องการกลับมาตามเดิม.....คิดในแง่ดี......ความรักที่ต้องหลบๆซ่อนๆแบบนี้ มันก็เร้าใจไปอีกแบบ.....เสียงครางเครือและไอร้อนจากร่างกายแผ่ซ่านไปทั่วห้อง........นั่นคือครั้งแรกที่มีอะไรกันในสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา........
..................................................
“ ฮายาโตะ...ตื่นได้แล้ว....ข้าวสุกแล้วนะ” เขาก้าวขาไปคร่อมร่างบอบบางที่นอนสลบไสลอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น หลังจากกลับมาจากโรงเรียนด้วยใบหน้าชื่นบานของเขาและสภาพหมดเรี่ยวหมดแรงของร่างบาง พี่ชายของเขาก็เดินไปนอนแหมะอยู่ที่โซฟา โยนหน้าที่พ่อครัวมาให้เขาทันที
“ อื้อ....” เสียงงึมงำออกมาจากริมฝีปากนุ่มนิ่ม ทั้งๆที่ตายังไม่ยอมลืมขึ้นมาเลยสักนิด เขาโน้มตัวลงไปเอาหน้าซุกไซร้ซอกคอหอมที่มีร่องรอยสีสวยที่เขาเพิ่งฝากไว้ได้ไม่ถึงสองชั่วโมงนี้เอง
แขนเล็กของคนที่นอนอยู่ใต้ร่างโอบมาที่แผ่นหลังกว้างของเขาแล้วดึงตัวเขาให้ลงไปแนบชิดกับลำตัวบางๆของตัวเอง น้ำหนักตัวและความอบอุ่นของเขาถ่ายเทลงไปที่ร่างบางจนตัวบางๆนั่นแทบจมหายไปกับโซฟา ใบหน้าของเขายังคงคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอและลาดไหล่ที่น่าหลงใหล........
.......................โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลย......ว่ามีใครบางคนจ้องมองการกระทำของเราทั้งคู่อยู่..................
“ นี่แกสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
ซึ ซึ คู๊........
เอาแล้วไง....แผลเก่ายังไม่ทันจะหาย...ขวัญเรียม ก็ต้องมาเจอแผลใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมเข้าให้......
ขอบอกว่าเรื่องนี้ ไม่มี “วิชาเนียน” เพราะงั้น....ยามะแถไม่ออกแน่ วะฮะฮะ.....(เดี๋ยวก็โดนตื้บหรอกเอ็ง...)
ตอนนี้มันช่าง ...ยาว...มั่ว....และสับสนไงไม่รู้แหะ .....-_-“....
สงสารคู่นี้ อะไรชีวิตจะรันทดขนาดนั้น T___T
ตอบลบนี่แหล่ะน๊า โลกที่เลวร้าย .. ชอบประโยคที่ว่า
"โลกที่ถูกกำหนดผิดชอบชั่วดีด้วยสิ่งที่เรียกว่า... สังคม...."
มันจึ้กๆแทงใจมากเลยค่ะ TT สงสารยามะ สงสารโกคุ
แต่จะโทษคนที่เอาไปพูดก็ไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติของสังคมอ่ะเนอะ
ก๊กจังเข้าใจผิดอีก ตัวเองไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์น๊าาา อย่าเ้ข้าใจผิดสิ
ฮื่อ เคีลยร์กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันไร
ป่าป๊ามาเห็นแน่เลย พ่อแน่ๆ โฮกกกกกกกกกกก
ขอให้ตอนต่อไปจงโชคดี TT'
ทำไมท่านพ่อต้องมาเห็นด้วยเนี๊ยยยยยย
ตอบลบ