KHR Au S.fic [8059] Reino de Espana : 01


: KHR Fanfiction Au
: 8059
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ




.
.
.
.
.
.

เรย์โน เด เอสปาญ่า

.
.
.
.









อุทิศแด่......


ชัยชนะแห่งขุนพลกระทิงน้อยสเปน อาจจะไม่เกี่ยวกันแต่พอได้เห็นความพยายามของพวกเขาแล้ว มันก็อดที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างไม่ได้ เพื่อสักวันจะได้เป็นอย่างพวกเขาบ้าง...แด่ชัยชนะที่ได้มาด้วยความพยายามและสวยงามที่สุด











....จักรวรรดิสเปน.....


.....คือจักรวรรดิแห่งแรกที่ได้รับการขนานนามว่า...จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน....







คริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคม จักรวรรดิสเปนซึ่งเกิดจากการพิชิตดินแดนคืนจากชาวมัวร์และการรวมตัวของอาณาจักรต่างๆในดินแดนคาบสมุทรไอบีเรียได้เข้ายึดครองดินแดนทางตอนกลางและตอนใต้ของผืนแผ่นดินแห่งโลกใหม่ซึ่งเพิ่งค้นพบโดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ทรัพยากรธรรมชาติที่ได้มาทำให้จักรวรรดิสเปนกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มั่งคั่งและกุมอำนาจการค้าทางทะเลเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด เพราะนอกจากแผ่นดินใหม่แล้ว ไม่ว่าจะในยุโรปด้วยกันหรือประเทศในเอเชียต่างก็ถูกจักรวรรดิสเปนเข้าไปทำการค้ารวมไปถึงบุกยึดให้กลายมาเป็นอาณานิคมของตนแทบทั้งสิ้น



จักรวรรดิสเปนในยุคนั้นถูกปกครองโดยพระมหากษัตริย์และบรรดาเชื้อพระวงศ์ ถึงแม้ว่าอำนาจสูงสุดจะอยู่ที่กษัตริย์แห่งสเปน แต่ทว่าทุกดินแดนที่อยู่ภายใต้การครอบครองของจักรวรรดิสเปนก็จะมีเจ้าชายผู้สืบสายโลหิตแห่งพระราชาถูกส่งให้ไปปกครองดินแดนนั้นๆและได้รับอิสระในการตัดสินใจได้ตามที่เห็นสมควร



และดินแดนใหม่...อเมริกาตอนใต้....แห่งนี้เองก็เช่นกัน....











เสียงความโกลาหลของข้ารับใช้ในปราสาทหลังใหม่ในดินแดนผืนใหม่ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลใสสะอาด หาดทรายขาวซึ่งติดกับป่ารกสูง ดังอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เมื่อวันนี้ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ความประณีตบรรจงจะไม่เท่ากับพระราชวังแห่งจักรวรรดิสเปน แต่มันก็งดงามที่สุดในดินแดนใหม่แห่งนี้ และมันกำลังจะถูกใช้เพื่อต้อนรับเจ้านายที่แท้จริงซึ่งถูกส่งตัวให้มาปกครองดินแดนแห่งนี้ภายใต้นามของกษัตริย์แห่งสเปน



เรือใหญ่ทอดสมอลงที่สุดปลายสะพานปลายาวเหยียดของท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการขนถ่ายทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลกลับไปยังสเปน ก่อนที่ขบวนข้ารับใช้และขุนนางชั้นกลางจะทยอยเดินลงมาจากเรือ...ตามมาด้วยชนชั้นสูงคนสุดท้ายซึ่งก้าวขาตามออกมา.....



ร่างบอบบางอยู่ในชุดเต็มยศก้าวย่างออกจากร่มเงาของเรืออย่างสง่าผ่าเผยสมกับเลือดขัตติยะที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ผิวซึ่งโผล่พ้นอาภรณ์งามวิจิตรนั้นขาวเนียนละเอียดสมกับที่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี มือบางยกขึ้นป้องใบหน้าจากแสงแดดร้อนแรงที่เข้ามากระทบ นัยน์ตาสีเขียวมรกตแข็งกร้าวเข้ากับใบหน้าสวยที่ดูเย่อหยิ่ง เส้นผมสีเงินเป็นประกายสวยงามราวกับเส้นไหมชั้นดีนั้นถูกตัดสั้นระต้นคอแทนที่จะไว้ยาวแล้วดัดเป็นลอนเหมือนชนชั้นสูงทั่วไปในสมัยนั้น แต่มันกลับทำให้ร่างบอบบางผู้นี้แลดูเป็นเด็กซึ่งถึงแม้จะดูดื้อรั้นและหยิ่งทะนง แต่มันก็น่าเอ็นดูและน่าปราบพยศไปพร้อมๆกัน เสน่ห์แห่งความถือตัว ทำให้ไม่ว่าใครที่เพิ่งจะได้พบเจอรู้ได้ทันทีว่าร่างบอบบางคนนี้คือ เจ้าชายพระองค์เล็กแห่งจักรวรรดิสเปนนั่นเอง



นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองปราสาทซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาไม่ไกลจากท่าเรือแห่งนี้มากนัก ถึงแม้รูปแบบสถาปัตยกรรมจะมีกลิ่นไอของสเปนแต่ทว่าวัสดุกลับเป็นของพื้นเมือง....นั่นยิ่งราวกับสิ่งที่กำลังย้ำเตือนถึงความเป็นจริง



....เราไม่ได้อยู่ในสเปนอีกต่อไปแล้ว....จากนี้ต่อไป...ที่นี่...จะเป็นที่อยู่ของเรา....ที่ที่ไม่รู้จัก...ผืนแผ่นดินซึ่งไม่มีอะไรเลย....ไม่มีงานเลี้ยงเต้นรำที่หรูหราน่ารำคาญพวกนั้น...ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ...ไม่มีบ้านเมืองแออัดยัดเยียด...ไม่มีห้องสมุดให้หาความรู้....ไม่มีคนที่รู้จักเลยสักคน....มีเพียงทะเลและขุนเขากับชนเผ่าป่าเถื่อน....เป็นที่ที่ไม่มีใครอยากมา....



ทั้งๆที่ยังมีพี่ชายอีกหลายคนซึ่งมีความรู้ความสามารถมากกว่าเด็กอายุสิบห้าซึ่งไม่เคยแม้แต่จะได้รับการศึกษาเกี่ยวกับการปกครองเลยแม้แต่น้อยอย่างเขา พี่ชายซึ่งสมควรจะถูกส่งตัวมาที่นี่มากกว่าเขา....แต่แล้วทำไมท่านพ่อถึงได้เจาะจงเลือกให้เขามา....มาอยู่ในที่ที่เรียกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นเมือง ถ้าไม่ใช่เพราะ....



....ก็แค่อยากจะขับไล่ไสส่งให้ไปพ้นๆหน้า.....



กับลูกชายที่ได้รับแต่คำครหานินทาอย่างเขา....คำพูดลับหลังที่ได้ฟังมาจนชาชิน เพียงเพราะท่านแม่ของเขาเป็นเพียงแค่นางกำนัล...ไม่ใช่พระชายาหรือแม้แต่นางสนมด้วยซ้ำ...













รถม้าเคลื่อนเข้าไปยังด้านในของกำแพงปราสาทซึ่งตั้งอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขาเขียวขจีที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ....ราวกับว่าตกอยู่ในเงื้อมมือของเงาชนเผ่าที่ไม่มีแม้แต่อารยธรรม คนพวกนั้นมีจำนวนแค่ไหนกัน แล้วการที่พวกเราเข้ามาบุกรุกแย่งชิงสิ่งที่ควรจะเป็นของพวกเขาแบบนี้...ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ....



เมื่อรถม้าจอดเทียบยังปราสาท ชายวัยกลางคนผู้อยู่ในชุดขุนนางชั้นสูงก็ตรงออกมาจากประตูทางเข้าหลังจากทำความเคารพแล้วจึงยื่นมือออกมาให้ เจ้าชายร่างบางจึงจับมือไว้ก่อนที่จะค่อยๆหย่อนกายลงจากรถม้า



ยินดีต้อนรับสู่ผืนแผ่นดินใหม่ อาณานิคมล่าสุดแห่งจักรวรรดิสเปนพะยะค่ะเจ้าชาย  กระหม่อม เฮอนันเดส ปิโอซีเกส ผู้เป็นตัวแทนแห่งพระมหากษัตริย์เข้ามาบุกเบิกดินแดนแห่งนี้พะยะค่ะ   ชายรูปร่างอ้วน ใบหน้ากลมใสล้อมกรอบด้วยผมสีเข้มเป็นลอนยาวกับนัยน์ตาไม่น่าไว้วางใจก้มลงไปจุมพิตที่หลังมือบางอย่างพยายามแสดงความเคารพ แต่อะไรบางอย่างก็ร้องบอกเจ้าชายร่างบางว่าความเป็นจริงกับสิ่งที่เห็นอาจจะเป็นคนละเรื่องกันก็เป็นได้



โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย ที่เรามิอาจจัดงานเลี้ยงต้อนรับและยังต้องให้ฝ่าบาททรงเข้าร่วมประชุมในชั่วโมงข้างหน้านี้ด้วยพะยะค่ะ   ท่าทางนอบน้อมที่ถูกฝึกมาอย่างดีและคำพูดคำจาฉะฉานมิได้เกรงกลัวต่อนามของเจ้าชายเช่นเขาบ่งบอกได้ว่าชายคนนี้คงจะเป็นคนที่กุมอำนาจของที่นี่อยู่



ไม่เป็นไร....ถ้าเช่นนั้นเราขอพักก่อนที่จะถึงเวลาประชุมก็แล้วกัน



พะยะค่ะ…”



มันก็เป็นอีกหนึ่งคำอ้างที่จะทำให้เขามีเวลาได้อยู่คนเดียว ถึงแม้จะเพียงชั่วครู่แต่มันก็เพียงพอต่อการออกเดินสำรวจตรวจดูความเป็นไปภายในปราสาท...ถึงแม้จะไม่เคยได้รับการคาดหวังใดๆ...แต่เขาก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ใครมาว่าลับหลังได้อีก













นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองไปยังนาฬิกาพกซึ่งบอกถึงเวลาที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนภายใต้การปกครอง ถึงแม้ว่าไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน จะได้รับการยอมรับหรือไม่ สิ่งเดียวที่รู้คือจะถอยหนีไม่ได้อีกแล้ว



บานประตูใหญ่ที่ถูกสลักเสลาไว้อย่างสวยงามอลังการเปิดออกอย่างช้าๆเมื่อร่างบอบบางก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า ภายในห้องถูกประดับตกแต่งด้วยของมีราคาและถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ที่โต๊ะกลางห้องมีขุนนางทั้งที่เดินทางมาพร้อมกับเขาและคนที่อยู่ที่นี่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่ใครก็ไม่โดดเด่นเท่าชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางซ้ายมือของเก้าอี้ที่น่าจะเป็นของเขา...ชายร่างสูงใหญ่ในชุดทหารซึ่งถูกปลดกระดุมและปล่อยชายเสื้อแลดูไม่เรียบร้อย ใบหน้าคมกร้านเต็มไปด้วยหนวดเคราผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย นั่งบนเก้าอี้หรูหราด้วยท่าทางสบายๆ แม้ว่าจะเห็นเขาเดินเข้ามาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมเปลี่ยนอิริยาบทให้สุภาพมากกว่าเดิมเลยสักนิด



เชิญทางนี้พะยะค่ะ...    เฮอนันเดส ปิโอซีเกส ซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทางขวามือลุกขึ้นเคารพอย่างนอบน้อมดังเดิม



ก่อนที่จะเริ่มเปิดประชุม กระหม่อมขอแนะนำให้รู้จัก นายพลเซอจิโอ้ ราซาเลส เขาคือนายทหารซึ่งประจำการอยู่ที่นี่และเป็นผู้ที่เข้ามาพิชิตดินแดนแห่งนี้พร้อมกับกระหม่อมเองพะยะค่ะเจ้าชาย    เพราะถือว่าตัวเองยิ่งใหญ่แบบนี้เองสินะ ถึงได้ไร้ซึ่งความยำเกรงกันแบบนี้



การประชุมเริ่มไปตามระเบียบแบบแผน มีการกล่าวรายงานถึงหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละฝ่ายรวมไปถึงการจัดการกับผลประโยชน์มหาศาลจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งเหมืองถ่านหิน เหมืองแร่เหมืองเงินต่างๆ ถึงแม้ว่าเรื่องที่ได้รับรู้จะยากเกินกว่าเด็กวัยสิบห้าจะเข้าใจได้ แต่กับเขาซึ่งมักจะขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดมากกว่างานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายแล้ว มันไม่ได้ยากเกินไปเลยสักนิด



การประชุมผ่านพ้นไปด้วยดี มีสายตาทึ้งๆมองมายังเจ้าชายร่างบางอยู่เป็นระยะๆเมื่อเจ้าชายที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่เป็นคนนี้ได้เสนอในสิ่งที่หลายๆคนต่างคาดกันไม่ถึง



และก่อนที่จะปิดประชุม...มีเรื่องหนึ่งซึ่งเราเห็นว่ากฎระเบียบของทหารที่นี่หย่อนยานจนเกินไปแล้ว เราเห็นว่าทหารที่ควรจะเดินแถวอย่างเป็นระเบียบกลับหยอกล้อเล่นหัวซ้ำยังทำตัวไร้ระเบียบ เราเห็นสมควรว่าน่าจะมีบทลงโทษสำหรับความไร้ระเบียบพวกนี้    หลังจากกล่าวจบนัยน์ตาสีมรกตก็จงใจปรายมองไปยังร่างสูงใหญ่ทางซ้ายมือซึ่งยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่ได้ทุกข์ร้อนใดๆ



อย่างเช่นการลดเงินเดือนหรือไม่ก็ลงโทษสถานหนัก



เจ้าชาย...ท่านคิดว่าใครกันที่ทำให้ท่านมายืนผยองอยู่บนแผ่นดินนี้ได้กันล่ะ....    น้ำเสียงทุ้มแหบห้าวเอ่ยออกมาเหมือนจะเหนื่อยหน่ายแต่มันก็แฝงการข่มกันเอาไว้ในตัว นั่นยิ่งทำให้คิ้วเรียวของร่างบางขมวดมากขึ้น



ไม่เอาน่าเซอจิโอ้....เอาเป็นว่ากระหม่อมจะกำชับเหล่าทหารให้เองนะพะยะค่ะ เชิญเจ้าชายปิดประชุมเถอะพะยะค่ะ   แล้วก็เป็นเฮอนันเดสที่เข้ามาตัดบทไปเสียก่อน 












บัดนี้ภายในห้องประชุมเหลือกันอยู่แค่สองราชสีห์แห่งดินแดนผืนใหม่ เมื่อเหล่าขุนนางคนอื่นๆต่างพากันเดินออกไปพร้อมกับเจ้าชายร่างบางกันหมดแล้ว 



เจ้าคิดว่ายังไงเฮอนันเดส    เซอจิโอ้ยกขาขึ้นพาดเอาไว้กับโต๊ะประชุม



หึหึ...ไม่ต้องรีบร้อน....ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้นแหละ เราค่อยๆเสี้ยมสอนอย่างอ่อนโยนไปก่อน แต่ถ้ามันดื้อนักก็กำจัดทิ้งไปซะ ยังไงเจ้าชายคนนี้ก็ไม่ใช่คนโปรดของเหนือหัวอยู่แล้ว เป็นอะไรไปคงไม่เท่าไหร่ แล้วยิ่งที่นี่เป็นของเราไปเกือบหมดแล้วแบบนี้ยิ่งสบาย อะไรจะหายไปยังไงก็คงไม่มีใครตรวจสอบพบหรอก    แก้วไวน์ในมืออวบอูมหมุนวนไปมา ใบหน้าที่เคยนอบน้อมอยู่เมื่อครู่กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน



ใครที่มันคิดจะขวางทางของเฮอนันเดส ปิโอซีเกสผู้นี้มันต้องมีอันเป็นไป...   



เหอะ...ถึงเด็กนั่นจะไม่มีใครรัก แต่ข้ารู้มาว่า เจ้าชายที่สองเอ็นดูเด็กนั่นมากเลยนะ จะทำอะไรก็ระวังๆด้วยล่ะ เจ้าชายองค์นั้นข้าบอกเจ้าไว้เลยว่าไม่ธรรมดา



หึหึ.....    ถึงจะพูดกันอยู่แบบนั้น แต่มันก็เป็นราวกับสิ่งที่กำลังท้าทายสองราชสีห์ผู้พิชิตดินแดนนี้ให้หลงมัวเมาไปกับผลประโยชน์จนความชั่วร้ายเข้าครอบงำจนไม่อาจหนีได้พ้นอีกต่อไป....














เสียงเอะอะโวยวายจากทางด้านหน้าปราสาททำให้มือบางที่กำลังผูกโบว์ที่คอเสื้อเชิ้ตหยุดชะงัก ใบหน้าสวยมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นกลุ่มคนราวสิบกว่าคนกำลังถูกทหารรุมล้อมอยู่ ดูจากท่าทางและการแต่งกายซึ่งมีเพียงหนังสัตว์ปิดเพียงแค่ท่อนล่างกับร่างกายกำยำล่ำสันผิวคล้ำกรำแดดแบบนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของที่นี่



แล้วแบบนี้จะพูดกันรู้เรื่องหรือเปล่านะ....



เจ้าชายร่างบางเดินออกจากห้อง ตรงดิ่งไปยังลานหน้าปราสาท เสียงโวยวายยังคงดังมาไม่ได้หยุด เมื่อออกมายืนเผชิญหน้าจึงได้เห็นว่ากลุ่มคนพวกนั้นถูกทหารจับกุมเอาไว้



เกิดอะไรขึ้น!”    เฮอนันเดสวิ่งลนลานมาจากด้านในปราสาทอีกคน



เราก็ไม่รู้...   เจ้าชายร่างบางหันไปบอกก่อนที่จะหันมาหากลุ่มคนตรงหน้า   มีใครเข้าใจภาษาสเปนบ้างหรือเปล่า พวกเจ้าต้องการอะไรถึงได้บุกเข้ามาแบบนี้    กลุ่มคนตรงหน้ามีสีหน้ามึนงง ดูๆไปแล้วคงจะไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรออกไป



พวกเราก็แค่.....     แต่แล้วชายคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากเบื้องหลังชายชนเผ่าร่างใหญ่ที่ยืนบังอยู่  



ต้องการเรียกร้องอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง....เจ้าชาย....    ชายตรงหน้าดูจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ถึงแม้จะสวมเพียงหนังสัตว์เหมือนกันแต่แผ่นอกกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นกลับไม่คล้ำแต่กลับเป็นสีแทนซึ่งพบเห็นได้ยากในอาณาจักรแถบนี้ นอกจากนั้นใบหน้าคมหล่อเหลายังดูอ่อนเยาว์และไร้ความโหดเหี้ยมน่ากลัวเหมือนคนที่อยู่ข้างเคียง นัยน์ตาสีเปลือกไม้แฝงไปด้วยแววใจดีระคนกับแววโหดร้ายเยี่ยงนักฆ่ากระหายเลือด แต่มันกลับเข้ากับริมฝีปากยกยิ้มและเส้นผมสีดำสั้นนั้นเป็นอย่างดี



เจ้าต้องการอะไร    ถึงจะแปลกใจแต่ใบหน้าสวยเย่อหยิ่งก็ยังคงเชิดขึ้นให้รู้ว่าตนคือคนที่เหนือกว่า



พวกข้าก็แค่ต้องการให้คนของท่านเลิกเข้ามาบุกรุกหมู่บ้านของเราก็เท่านั้นเอง ผืนดินมีกว้างใหญ่ ขอเพียงที่เล็กน้อยให้พวกข้าอาศัยอยู่ต่อไป แล้วพวกข้าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับพวกท่านอีก      เจ้าคนตรงหน้านี้ช่างน่าสงสัย...นอกจากจะไม่เหมือนคนอื่นๆซ้ำยังพูดจาราวกับว่าเคยถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี....ที่สำคัญรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นเจ้าชาย



เจ้าเป็นหัวหน้าชนเผ่าอย่างนั้นรึ



ไม่ใช่หรอก ข้าก็เป็นแค่คนในเผ่าธรรมดาๆ แล้วข้อเรียกร้องจะว่ายังไงล่ะเจ้าชาย     ใบหน้าคมส่งยิ้มแอบแฝงอะไรบางอย่างมาให้ นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าสวยบึ้งตึงลงไปอีก



ที่ใดที่ต้องการ มันจะต้องเป็นของพระมหากษัตริย์และจักรวรรดิสเปนอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง!”     ใบหน้าสวยสะบัดพร้อมกับร่างบางที่หันหลังเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในปราสาทโดยไม่ยอมฟังข้อเรียกร้องจากกลุ่มคนตรงหน้าอีก



ท่านมันก็เป็นแค่ขโมย!”    แต่แล้วเสียงของชายคนนั้นก็ทำให้ร่างบางหยุดลงพร้อมกับมือบางที่กำแน่นสั่นระริก ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหันกลับมา



เพี๊ยะ!!! 



มือบางตบเข้าเต็มแรงที่ใบหน้าหล่อคมจนสะบัดไปอีกทาง นัยน์ตาสีเปลือกไม้หันกลับมาด้วยแววมืดมน ทหารสองคนรีบมาตะครุบจับแขนแกร่งนั่นไขว้หลังไว้



ผืนแผ่นดินมีกว้างใหญ่....เจ้าก็ไปหาที่อยู่ใหม่ของเจ้าเอาเองสิ!”    แต่นัยน์ตาสีมรกตแข็งกร้าวเองก็จ้องกลับไปมิได้ยอมแพ้



ทหาร! จับพวกมันโยนออกไป!”    ครั้งสุดท้ายที่สายตาสบประสานซึ่งกันและกัน ร่างบางแสดงให้เห็นแล้วว่าตนคือผู้ที่เหนือกว่า.....แต่น่าแปลก....ที่ความเคียดแค้นชิงชังมันมิได้ถูกส่งกลับมาจากนัยน์ตาสีเปลือกไม้คู่นั้น....













เป็นอีกเช้าที่เสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น แต่วันนี้ดูจะต่างจากเมื่อวานตรงที่มันเกิดขึ้นรอบทิศทางพร้อมทั้งไม่ได้มีเฉพาะเสียงแต่ยังมีกลุ่มควันลอยคละคลุ้งออกมาจากบริเวณโรงเก็บไม้หลังปราสาท ร่างบางลุกออกจากเตียงพร้อมกับคว้าเสื้อคลุมใกล้ตัวแล้วรีบวิ่งตรงดิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ



ไฟโหมไหม้โรงเก็บไม้ไปเกือบครึ่ง เหล่าทหารและข้ารับใช้พยายามช่วยกันดับไฟและป้องกันไม่ให้ลุกลามไปยังตัวปราสาทมากกว่าเดิม



ฝ่าบาท!”   เฮอนันเดสที่มีเขม่าควันติดอยู่ที่ใบหน้าราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากการไปช่วยดับไฟ วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา



เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟถึงได้ลุกไหม้    



คาดว่าน่าจะมีคนวางเพลิงพะยะค่ะ    เฮอนันเดสหลบสายตาราวกับว่าสิ่งที่กำลังจะเอ่ยต่อไปเป็นสิ่งไม่สมควรเพราะมันอาจจะเป็นการพาดพิงร่างบางตรงหน้า   คือ...กระหม่อมกับเซอจิโอ้มีความเห็นตรงกันว่าอาจจะเป็นพวกชนเผ่าเมื่อวานนี้ที่อาจจะเคียดแค้นแล้วก็ลอบเข้ามาวางเพลิงน่ะพะยะค่ะ



แล้วมีหลักฐานรึเปล่า    ใบหน้าสวยเครียดขึงขึ้นทันที



เราพบห่วงสีทองนี่ตกอยู่แถวๆหลังโรงไม้พะยะค่ะ....คือ....ห่วงสีทองนี่พวกชนเผ่ามักจะใส่มันอยู่ที่ใบหูน่ะพะยะค่ะ     ห่วงสีทองในมืออวบของเฮอนันเดสถูกยื่นออกมาให้ดู คิ้วเรียวขมวดขึ้นทันทีเมื่อได้เห็น



เรียกประชุมขุนนางโดยด่วน      กล้ามาลองดีกับจักรวรรดิสเปน....อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดไปได้นะ!














เราจะใช้กำลังทหารเข้าไปกดดันพวกนั้น เพราะเท่าที่เราอ่านข้อมูลที่เฮอนันเดสมีอยู่ พบว่าพวกชนเผ่าที่เข้ามาต่อต้านเราเมื่อวานนี้ตั้งรกรากอยู่ทางเหนือจากเหมืองแร่ใหม่ที่กำลังวางแผนก่อสร้าง และพวกมันมีจำนวนไม่มากอาวุธที่ใช้ก็มีเพียงดาบและธนูซึ่งไม่มีความน่ากลัวใดๆเมื่อเทียบกับอาวุธที่เรามีอยู่    นัยน์ตาสีมรกตปรายมองไปทั่วห้องประชุม ขุนนางทุกคนอยู่กันครบ....ยกเว้น....



นายพลเซอจิโอ้ไปไหน?



ขออภัยฝ่าบาท เซอจิโอ้นำทหารจำนวนหนึ่งออกไปตรวจความเรียบร้อยของเหมืองถ่านทางใต้ ซึ่งมันคือเรื่องปกติที่เราทำอยู่



อีกนานไหมกว่าจะกลับมา



อาจจะเป็นพรุ่งนี้ เพราะกระหม่อมให้เค้าเลยลงไปสำรวจลงไปอีกว่ายังมีแร่ธรรมชาติใดที่เราจะนำมาใช้ได้อีกหรือไม่    เสียงรายงานจากเฮอนันเดสนั้นทำให้เจ้าชายร่างบางรู้สึกขัดใจ ในยามที่ต้องการกำลังทหารกลับไม่อยู่



เราจะไม่รอ....เพราะไม่อยากให้พวกชนเผ่าป่าเถื่อนพวกนั้นได้ใจไปมากกว่านี้



ถ้าเช่นนั้น...ฝ่าบาท......



ใช่! ใช้กำลังทหารของกองทัพจักรวรรดิสเปนที่เดินทางมาพร้อมกับเรา...เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ...และเราจะเป็นคนนำทัพไปเอง!”   



ด้วยความรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติจึงทำให้เจ้าชายร่างบางไม่คิดที่จะรอต่อไป หลังจากสั่งให้เตรียมกำลังทหารไม่นานร่างบางระหงก็ขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว...นี่คือการทำสงครามครั้งแรก....ถึงมันจะเรียกว่าสงครามไม่ได้หากเทียบกับสงครามจริงๆที่เคยได้ยินจากปากของพี่ชายคนสนิทก็ตาม....



กองกำลังพร้อมอาวุธที่มาจากแผ่นดินแม่ของจักรวรรดิสเปนทั้งหมดราวห้าสิบนายเคลื่อนขบวนออกไปจากเขตของปราสาท










หึ....เด็กน้อย....ถึงแม้จะเสียดายความงดงามของเจ้าอยู่บ้าง...แต่เสี้ยนหนามอย่างเจ้าอยู่ไปก็รังแต่จะทำให้ข้าลำบาก...    รอยยิ้มร้ายปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้ที่เฝ้ามองมาจากด้านบนปราสาทราวกับกำลังส่งมันเพื่อเป็นรอยยิ้มอำลาให้แก่ผู้ที่กำลังจะจากไป....










ถ้าเดินทางตามแผนที่ที่เฮอนันเดสให้มา อีกไม่นานก็จะเข้าใกล้เขตของชนเผ่าพวกนั้น ไม่แน่ว่ารอบกายตอนนี้อาจจะถูกซุ่มดูอยู่ก็เป็นได้ เจ้าชายร่างบางจึงสั่งให้ทหารเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เขาวางแผนคร่าวๆเอาไว้ในใจว่าจะเดินหน้าไปทางตะวันตกซึ่งมีเนินเขาตั้งอยู่และจะยึดพื้นที่ตรงนั้นก่อนที่จะระดมยิงลงมาจากด้านบน จริงอยู่ว่าพวกนั้นอาจจะหลบได้ แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการชีวิตเพียงแต่ต้องการข่มขู่ให้รู้ว่าอย่าบังอาจมาต่อต้านจักรวรรดิสเปน!



กองกำลังยังคงเคลื่อนพลไปเรื่อยๆ เส้นทางที่กำลังจะเดินผ่านไปนั้นล้อมรอบด้วยเนินเขา นับว่าเป็นจุดที่อันตรายทีเดียวหากโดยโอบล้อมเล่นงาน เพราะพวกเขาจะตกอยู่ ณ ศูนย์กลางแห่งการโจมตีทันที ราวกับว่าทหารแต่ละคนรู้ดีถึงยุทธภูมิที่กำลังเสียเปรียบจึงเร่งขบวนผ่านจุดนั้นไปอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้



แต่แล้วสิ่งที่อยู่ในการคาดเดาก็กำลังจะเกิดขึ้น!



อ๊าก!!!”    เสียงทหารร้องโหยหวนมาจากทางด้านหลังขบวน เมื่อลูกธนูหลายดอกพุ่งออกมาจากเงามืดของร่มไม้ทำให้มองไม่เห็นแม่แต่ตัวคนยิง



ปั้ง ปั้ง ปั้ง!



เสียงปืนดังสนั่นลั่นป่า เมื่อทหารตัดสินใจกราดยิงเข้าไปในสุมทุมพุ่มไม้ แต่ห่าฝนธนูที่สวนกลับออกมานั้นก็มิได้ลดลงเลยราวกับว่าพวกที่โอบล้อมอยู่มีจำนวนมากมายมหาศาล นัยน์ตาสีมรกตมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ด้วยความตกตะลึง ทหารหลายนายเข้ามาคุ้มกันให้ทำให้ร่างบางรอดพ้นจากลูกธนูไปได้



พวกเขากำลังถูกโอบล้อมและโจมตี....จากคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนมากกว่าในรายงานที่ได้อ่านจากเฮอนันเดส!



คุ้มกันเจ้าชาย!!!”    เสียงนายทหารตะโกนกันโหวกเหวกผ่านเสียงปืนที่ดังสนั่น บ้างล้มตายหายไปมากมายหลายคน ส่วนคนที่เหลือก็ทำได้แค่เพียงวิ่งหาที่กำบัง



แต่ที่โล่งแบบนี้จะต่อกรกับพวกที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาได้อย่างไร...



เสียงการต่อสู้ยังคงดังอยู่ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ในเวลาเพียงไม่นานทหารห้าสิบนายก็ถูกสังหารจนเหลือแค่ไม่กี่คนที่พยายามวิ่งมาคุ้มกันให้เจ้าชายร่างบาง เสียงธนูดังแหวกผ่านอากาศพร้อมกับความเจ็บแปลบที่ต้นแขน ไม่นานประสาทการรับรู้ก็ด้านชาจนไม่รู้สึกเลยว่าเลือดสีแดงนั้นไหลลงย้อมแผ่นดิน ภาพที่เห็นทำให้หวาดกลัวอย่างที่สุด สิ่งที่ไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว



ภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือร่างสูงใหญ่ของทหารคนหนึ่งซึ่งเอาตัวมาบังลูกธนูให้ก่อนที่จะล้มลงมาทับ หัวธนูที่ตัดขั้วหัวใจก่อนที่จะทะลุมาอีกด้านนั้นฝังแน่นอยู่ภายในสมองของเจ้าชายผู้ที่กำลังจะพ่ายแพ้.....



......ทำไม.....ที่หัวธนูถึงได้มีตราสัญลักษณ์ของกองทัพแห่งจักรวรรดิสเปนอยู่....ทำไม......



แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันขาวโพลน....



ความรู้สึกจากอ้อมแขนของใครบางคนคือสิ่งสุดท้ายที่รู้สึกได้.....



ใครกัน ?



จะมาช่วยเรา....หรือว่า.....จะเอาดาบมาฝังให้แน่ใจว่าเราตายไปจริงๆ ?





ใครกัน ?




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามตอนต่อไป....ไป....ไป.........




นี่มันโรมานซ์ตรงไหน ?   ^ ^”  เอาน่ะ...ตอนต่อไปนี่แหละ....

ก็อย่างที่เกริ่นในช่วงต้นเรื่อง ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเล้ยก็ตามเหอะ แต่เรื่องนี้ก็แต่งขึ้นมาเพื่อฉลองให้แก่ชัยชนะของทีมกระทิงน้อยสเปน

อร๊ายยยย >[]< ดีใจ ในที่สุดกระทิงน้อยก็ได้แชมป์โลก >[]< (ถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นกระทิงน้อย โปรดหารูปนักเตะมาดู...ตัวน้อยกันจริงๆ ^__^)

ก็นะ....หลายๆคนอาจจะรู้...ว่าเดือนกว่าๆที่หายไป...ข้าพเจ้าทำอะไรอยู่ ฮ่าๆๆ (ฟิกไม่ได้แตะก็เพราะแบบนี้แหละ)

นอกจากคอยเชียร์กระทิงน้อยอย่างออกนอกหน้าแล้วยังทำพิธี(?)ช่วยจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน(?))

ยิ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นอะไรที่นั่งไม่ติดจริงๆ โอยยยย ลุ้นแทบตายละงิ

แต่ดีใจมากๆเลยนะคะที่สเปนได้แชมป์ เพราะข้าพเจ้าหลงรักฟุตบอลในแบบของสเปน มันสวยงามและสุดยอดมากๆ....นี่แหละฟุตบอลในฝัน

อ้า...ดีใจจนแทบจะร้องไห้ตามกาซิยาสไปอีกคน T^T


มาพูดถึงฟิกเรื่องนี้....หนักบรรยายอีกแล้ว ฮะ ฮะ....แถมยังใช้ศัพท์แปลกๆอีก ฮะ ฮะ ^ ^”
ไม่มีข้อแก้ตัว เพราะว่ามันแต่งขึ้นมาชั่วข้ามคืน หลังจากที่พยายามลากพล็อตให้มีเอี่ยวกับสเปนซักหน่อย

ก็นะ....จะแต่งไว้ก่อนก็กลัวเป็นลาง...^ ^”....เมื่อคืนพอรับถ้วยเลยเปิดเรื่องนี้กันสดๆเลย ฮ่าๆๆ
ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ล่วงหน้านะค้า....

ส่วนชื่อเรื่อง....แปลตรงตัวเด๊ะๆว่า......ราชอาณาจักรสเปน......ค่ะ! ^ ^....
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิ ด้วยนะคะ ใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม เปิดกูเกิลแล้วพิมพ์ สเปน wiki” โล้ด

แล้วอย่าลืมมารับของหวานในตอนหน้านะคะ ฮี่....
ขอบคุณที่เข้ามาร่วมฉลองแบบงงๆกับข้าพเจ้านะ เหะ เหะ ขอบคุณค่า....^ ^....


3 ความคิดเห็น:

  1. ออกแนวพีเรียด โว้ววว ยามะนี่แกเป็นชาวพื้นเมืองเหรอเนี่ย!
    หนูก๊กชีวิตรันทดอีกแล้วอ่า T___T โฮกกกก เป็นเจ้าชายที่พ่อไม่เหลียวแล
    แถมยังโดนปองร้ายจากทหาร โดนพ่อขับไสไล่ส่งมาอยู่ที่อื่น
    อะไรกันนี่ชีวิต ? แต่หนูก๊กใจร้อนสมเป็นก๊กจริงๆ

    ทำไมไปสั่งให้ทหารไล่ชาวพื้นเมืองออกไปเล๊าาาาา
    คงเป็นเพราะความอยากเอาชนะยามะรึเปล่า ?

    คนที่มาช่วยก๊กจะเป็นยามะรึเปล่าน่อ ...

    ตอบลบ
  2. พีเรียดดด

    เป็นเจ้าชายที่สวยเกินไปอีกเเล้วค่ะ!!><// อย่างหนูน่ะเป้นองค์หญิงน้อยๆตางหากละก๊ก

    ยามะเป็นชนพื้นเมืองงงงงง ยามะเป้นชนพื้นเมืองเหรอ!!=[]= โว้ววว

    เเล้วไอ้ตอนจบนั่นมันอะไรกันค้าา เกิดอะไรขึ้น ริยามึนเเป๊บ;[];/

    ^ตามมาจากโกดังเก่า

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ1 สิงหาคม 2566 เวลา 08:52

    อย่าเป็นอะไรเลยนะะ

    ตอบลบ