Attack
on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi x Eren] GLIDE : RED Season : 03
:
Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
:
Levi x Eren
:
Romance
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
เสียงซ่าๆของลมทะเลทรายปลุกให้นัยน์ตาสีขี้เถ้าค่อยๆเปิดขึ้นมา...ความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทะเลสีน้ำผึ้งทำให้เขาได้ตระหนักอีกครั้งว่าตอนนี้พวกเขากำลังหลบหนีจากการไล่ล่า
ไม่ได้นอนสุขสบายอยู่ในปราสาทเหมือนที่ผ่านๆมา
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองหัวสีน้ำตาลเข้มภายใต้มงกุฏผ้าซึ่งซบอยู่ที่ไหล่
ขนตาเป็นแพนั่นยังปิดสนิท เขากอบกุมมือเรียวก่อนจะทอดสายตามองไปข้างหน้า...จะต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้
จะไม่ยอมกลายเป็นกระดูกอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้แน่ๆ
ขนาดโคลนตมของมิลานยังทำอะไรเขาไม่ได้ ที่นี่เองก็เช่นกัน
“อือ....” เสียงอืออาพร้อมกับแรงขยับเล็กน้อยเกิดขึ้นที่ไหล่ของเขา
เปลือกตาที่ปกคลุมนัยน์ตาสีมรกตค่อยๆเปิดขึ้นมา
“เช้าแล้วเหรอ...” เจ้าชายแห่งอียิปต์ยกมือขยี้ตาด้วยท่าทางงัวเงีย
พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการล้างหน้าล้างตา ดูจากท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเอเลนแล้วทำให้เขาคิดว่าเด็กนี่คงมีวิธีรับมือกับสถานการณ์แบบนี้เอาไว้อยู่แล้วหรือเปล่า?
เขาถึงได้ถามต่อไปว่าจะเอายังไงต่อ
“ยังมีขุนนางผู้ใหญ่หรือกำลังทหารให้พึ่งพาอยู่ใช่ไหม
ยังไงก็เดินทางไปหาพวกนั้นกันก่อนเถอะ” ถึงจะไม่มากเท่าบรรดาพี่ชายแต่อย่างน้อยเจ้าชายลำดับที่สี่อย่างเด็กนี่ก็น่าจะมีขุมกำลังที่คอยสนับสนุนอยู่บ้างแหละ? แต่แล้วเขาก็แทบจะลมจับเมื่อเจ้าลูกหมานั่นตอบกลับมาตรงๆว่า
“ไม่มีหรอกของแบบนั้น
เราไม่เคยสะสมกำลังทหาร ไม่รู้จักขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ไม่มีใครหนุนหลัง
เพราะเพิ่งคิดจะชิงบัลลังก์อย่างจริงๆจังๆก็หลังจากที่ท่านมานี่แหละ ฮ่าๆๆ” ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกเร๊อะ!!
เขาถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับ...อย่าว่าแต่ชิงบัลลังก์เล้ย
แค่หนีเอาชีวิตให้รอดไปถึงพรุ่งนี้ยังยากเลยไหมเนี่ยแบบนี้...
“ถ้างั้นมีเพื่อนหรือคนสนิทที่ไว้ใจได้ไหม?” เอาเถอะ
ถึงจะไม่มีกำลังทหารแต่อย่างน้อยก็หาที่หลบซ่อนตัวเสียก่อน
จากนั้นค่อยคิดว่าจะทำยังไงก็แล้วกัน แต่แล้วรายนามที่เจ้าชายแห่งอียิปต์ร่ายให้เขาฟังก็ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมากุมขมับอีกครั้ง...
“คนสนิทเหรอ?
มีสิๆ ก็อย่างเช่น...โหรในราชสำนัก พวกนักบวช แล้วก็พ่อครัวในปราสาทของเรา” ....เขาถึงกับเงียบกริบไปพักใหญ่
คิดไม่ออกเลยว่าจะใช้คนพวกนี้ในการชิงบัลลังก์ได้ยังไง ขับรถของเขาหนีไปให้ไกลยังจะดูมีประโยชน์ซะกว่าไหม...
“ท่านแม่ของเรามาจากตระกูลนักบวช
เพราะฉะนั้นพวกนักบวชส่วนใหญ่เลยเป็นญาติๆของเรานี่แหละ ไว้ใจได้แน่นอน” เจ้าลูกหมายังสาธยายต่อด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ...ถึงจะไว้ใจได้แต่นักบวชพวกนั้นนอกจากประกอบพิธีกรรมกับทำน้ำหอมยังทำอย่างอื่นเป็นด้วยหรือไง
ให้ยกดาบยังยกไม่ขึ้นเลยมั้งน่ะ?
เขาทำหน้าละเหี่ยใจอย่างไม่คิดจะซักไซ้ต่อ
แล้วก็เพิ่งจะมารู้เอาทีหลัง...ว่านั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่
ตอนนั้น...ถ้าเขาถามไปก็คงดี...ว่าคนที่มาจากตระกูลนักบวชนั้นมีความพิเศษอย่างไร
เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ก็ได้...ถ้ารู้มันไวกว่านี้...
เขากับเจ้าชายแห่งอียิปต์ออกเดินทางอย่างไร้จุดหมายกันต่อไป
ป่านนี้เจ้าชายลำดับที่สามคงกำลังควานหาตัวพวกเขาให้ควั่ก
เพราะงั้นการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆคงดีกว่าปักหลักเป็นเป้านิ่งอยู่กับที่แน่ๆ
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาไม่มีอาวุธสักชิ้นแบบนี้
มือบางเอื้อมมาจับมือเขาไว้ตลอดต่อให้ร้อนจนเหงื่อออกชุ่มฝ่ามือแค่ไหนก็ตาม
รู้สึกว่าเหตุผลที่เด็กนี่ไม่ยอมปล่อยมือจากเขานอกจากเรื่องของหัวใจแล้วมันยังมีสาเหตุอื่นอยู่อีก
“ท่านไม่คุ้นกับทะเลทรายเพราะงั้นอย่าอยู่ห่างจากเรานะ
ลมทะเลทรายพวกนี้เปลี่ยนทิศทางตลอดเวลา แล้วก็พัดผืนทรายจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พื้นทรายที่เห็นว่าราบเรียบนี่อาจจะซ่อนหลุมทรายดูดไว้ข้างใต้ก็ได้” ใบหน้ามนอธิบายเรื่องลมทะเลทรายให้เขาฟัง...แล้วคำว่าหลุมทรายดูดก็ทำให้นัยน์ตาสีขี้เถ้าถึงกับวาวโรจน์...ในหัวสีดำเริ่มประมวลผลอย่างต่อเนื่อง
ถึงเขาจะไม่ได้ฉลาดเท่าเจ้าฮายาโตะเด็กในปกครองของเขาในโลกยุคปัจจุบัน
แต่เขาที่เอาตัวรอดจากโลกใต้ดินที่แสนอันตรายพวกนั้นมาได้ก็ไม่ธรรมดาละน่า
หลุมทรายดูด....หลุมทรายดูดสินะ...
ใช่แล้ว...
ใช่ว่าเขาจะไม่มีอาวุธเลยสักชิ้นอย่างที่คิด
ในเมื่อตอนนี้เขามีอาวุธที่อันตรายที่สุดของท้องทะเลทรายแห่งนี้อยู่ในมือ
เขาหันไปมองเจ้าชายแห่งอียิปต์ด้วยประกายตาของเพชฌฆาตจากนั้นจึงเสสายตาเหม่อมองท้องทะเลสีน้ำผึ้งที่เวิ้งว้างว่างเปล่า...ก่อนที่เขาจะเอ่ยบอกกับเด็กนั่นด้วยเสียงลอยๆ
“นี่...เราอาจจะกำจัดเจ้าชายลำดับที่สามได้ก็ได้นะ...เพียงแต่นายจะต้องช่วยชั้นด้วย
เอเลน...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างโปร่งบางของเจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์กำลังวิ่งหนีอยู่ตามลำพังท่ามกลางการไล่ล่าของฝูงอูฐกว่าครึ่งร้อย
ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการหลบหนีมาทั้งวันทำให้ในที่สุดเจ้าชายเอเลน่าก็จนซึ่งหนทางให้หนี
ร่างโปร่งทรุดลงอย่างหมดแรงบนพื้นทรายก่อนจะถูกล้อมเอาไว้โดยทหารของเจ้าชายลำดับที่สามจนได้
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...” เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังออกมาจากใบหน้ามนที่ค่อยๆเงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายที่ออกมาตามล่าเขาด้วยตัวเอง
เหงื่อหยดแล้วหยดเล่าไหลลงไปก่อนจะละเหยกลายเป็นไอแทบจะทันทีที่แตะเม็ดทรายร้อนระอุ
“หึ...ไม่รู้จะหนีไปทำไม
ยังไงเจ้าก็ไม่รอดจากมือเราไปได้หรอกเอเลน่า”
น้ำเสียงเย้ยหยันถูกส่งมาจากหลังอูฐที่ประดับประดาอย่างหรูหราตัวหนึ่ง
นัยน์ตาสีมรกตจึงจ้องใบหน้าของเจ้าชายลำดับที่สามด้วยแววตาแข็งกร้าว
ในบรรดาพี่ชายทั้งสามคนของเขา
เจ้าชายลำดับที่สามคือคนที่เขาไม่อยากจะเข้าใกล้ที่สุดแล้ว
เพราะอีกฝ่ายน่ารังเกียจเสียจนไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับพี่ชายคนรองของเขาได้ยังไง...อ่า...เขาลืมบอกไปว่าเขากับพี่ชายทั้งสามของเขานั้นคนละแม่กัน
ราชินีคนก่อนเสียชีวิตไปหลังจากที่มีลูกชายให้ฟาโรห์ถึงสามคน
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่เจ้าชายลำดับที่สามจะไม่เคยเห็นเขาเป็นน้องชายเหมือนพี่ชายคนอื่นๆ...และเขาเองก็ไม่ลังเลใจเลยที่จะทำตาม...เมื่อคุณรีไวเสนอแผนการที่จะกำจัดพี่ชายคนนี้
“เราจะลงโทษเจ้าแทนท่านพ่อ”
เจ้าชายลำดับที่สามขยับอูฐมายืนอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะทำเป็นพูดด้วยใบหน้าราวกับสำนึกและกตัญญูเสียเต็มประดา
“คนที่ทำให้ท่านพ่อสิ้นใจก็คือเจ้า...เอเลน่า...”
เขาตวัดสายตาขึ้นไปมองผู้เป็นพี่ชายอย่างท้าทาย...เอาสิ
รู้อะไรก็คายออกมาเลย
“เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อป่วยหนักและท่านก็รักเจ้ามาก
แล้วเจ้ายังจะสร้างเรื่องเสื่อมเสียกับผู้ชายไม่รู้หัวนอนปลายเท้ารบกวนจิตใจจนท่านพ่ออาการทรุดแล้วก็เสียไปแบบนี้อีก
เพราะฉะนั้นเราจะลงโทษเจ้าแทนอดีตฟาโรห์ก็แล้วกัน”
หึ...เขาเพียงแค่หัวเราะในลำคออย่างไม่ใส่ใจ...นี่ถ้าคุณรีไวรู้เข้าว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนจะยังรักเขาอยู่ไหมนะ?
แต่ทั้งหมดมันเป็นความผิดของท่านพ่อ!
เป็นความผิดของอาณาจักรนี้ที่พรากความเป็นมนุษย์ในตัวเขาไป!
มีแค่คุณรีไวเท่านั้น...มีแค่คุณรีไวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่
“ท่านก็แค่อยากกำจัดเรา
เก้าอี้คนชิงบัลลังก์จะได้ว่างลงอีกที่ เช่นนั้นใช่หรือไม่เล่าพี่ชายของเรา” รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าเขาในขณะที่พูดจาถากถางอีกฝ่ายออกไป
เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงใบมีดติดปลายทวนที่ชี้มายังลำคอของเขาในมือเจ้าชายลำดับที่สามนั่นเลย
“หึ...ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด” เจ้าชายลำดับที่สามตั้งใจจะฆ่าเขา
เพราะฉะนั้นเมื่อพูดจบ ทวนในมือจึงถูกเงื้อขึ้นอย่างหมายจะปลิดชีวิต
แต่แล้ว
ครืนนนนนนนน....
เสียงทุ้มต่ำราวกับฟ้าคำรามที่ดั่งสนั่นหวั่นไหวก็ทำให้ปลายทวนถึงกับชะงักค้าง
ทั้งเจ้าชายลำดับที่สามและเหล่าทหารต่างหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน
มันทุ้มนุ่มลึกแต่ก็กระหึ่มจนสั่นสะเทือนไปทั่วท้องทะเลทราย
บรืนนนนนนนน....
เสียงคำรามยังดังอย่างต่อเนื่อง
ทหารหลายคนเริ่มขวัญเสีย บางคนก็มีท่าทางตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสีมรกตเห็นแบบนั้นก็เริ่มใส่ไฟต่อทันที
“เสียงนั่น...เป็นเพราะเทพเจ้าทรงพิโรธที่พวกท่านตั้งใจจะฆ่าเราแน่ๆ” พวกทหารต่างตัวสั่นงักงกกลัวกันเสียยกใหญ่
แต่ผู้เป็นพี่ชายก็ยังทำเป็นใจกล้าทั้งๆที่มือที่ถือทวนอยู่นั้นสั่นระริก
“มันโกหก!
เทพเจ้าที่ไหนจะเข้าข้างคนอย่างมัน! ฆ่ามันซะ!” เจ้าชายลำดับที่สามประกาศกร้าวด้วยเสียงสั่นๆ
แต่ยังไม่ทันจะสิ้นสุดคำสั่งฆ่า
เสียงที่เคยทุ้มต่ำก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงแหวกอากาศราวกับฟ้าพิโรธทันที!
“เหวอ...ข้าไม่อยู่แล้ว!”
ใครสักคนในหมู่ทหารตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนกก่อนที่จะพากันวิ่งแตกกระเจิงด้วยความหวาดกลัวไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายลำดับที่สาม
นอกจากเสียงแล้ว
รอบทิศทางยังมีฝุ่นทรายตลบอบอวลราวกับถูกเพลิงอารมณ์ของเทพเจ้าปั่นป่วน
ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับเต็มไปด้วยพายุทรายจนมองแทบไม่เห็นอะไรยิ่งทำให้จิตใจที่หวาดกลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวจนถึงขั้นเสียสติเข้าไปใหญ่
เพราะคนอียิปต์นับถือเทพเจ้ายิ่งกว่าอะไรซ้ำยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเสียงพวกนี้คือเสียงของอะไร
กองกำลังที่แตกพ่ายจึงวิ่งหนีหายไปคนละทิศละทาง
“อ๊ากกกกกกก!!!” เสียงร้องของใครสักคนดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล
จู่ๆผืนทรายที่เคยราบเรียบก็เริ่มโยกไหวราวกับสายน้ำ ทะเลทรายในยามนี้ดูเหมือนทะเลสมชื่อเพราะมันกำลังอ่อนยวบและทำให้คนที่หลงเข้าไปเริ่มจมหายไปทีละนิดๆ
“อย่า!!
ปล่อยข้า!!!”
และพลังอันน่ากลัวนั่นก็ไม่มีทางหลบหนีได้เลย...ทะเลสีฟ้ายังแหวกว่ายหนีตายได้
แต่ทะเลสีน้ำผึ้งหากตกลงไปก็มีแต่ตายกับตายสถานเดียว...
ไม่นาน...เสียงร้องโหยหวนก็ดังอยู่ทั่วสารทิศจนเจ้าชายลำดับที่สี่ต้องยกมือขึ้นมาปิดหู
ริมฝีปากสีชมพูเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาสีมรกตปิดลงอย่างพยายามไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
เพราะเสียงร้องขอชีวิตมันกัดกินหัวใจให้รู้สึกทรมาน มันกำลังจะทำให้เขาใจอ่อน เขารู้ดีว่าเขายังโหดเหี้ยมไม่พอที่จะทำเรื่องแบบนี้
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
ร่างโปร่งซึ่งทรุดตัวอยู่กับพื้นทรายหอบหายใจหนักหน่วง
ฝ่ามืออันสั่นระริกค่อยๆละจากใบหูเมื่อรู้สึกได้ว่าเสียงแห่งนรกนั้นค่อยๆเงียบหายไปเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับเสียงฟ้าคำรามที่เคยดังกระหึ่มและฝุ่นควันที่เคยตลบอบอวลก็นิ่งสงบลงแล้วเช่นกัน...นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆกวาดมองรอบกายที่ไร้เงาของผู้ใดราวกับพวกทหารและพี่ชายของเขานั้นหายตัวได้...มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ
ในโลกนี้นอกจากคุณรีไวแล้วก็ไม่มีใครสร้างปาฏิหาริย์อย่างการหายแว่บไปอยู่อีกโลกหนึ่งได้หรอก!
เพราะหนทางที่มืดมัวไปด้วยฝุ่นทรายทำให้ทหารและเจ้าชายลำดับที่สามไม่ทันมองเห็นและคาดไม่ถึงด้วยว่าจะมีหลุมทรายดูดอยู่ตรงนี้!!
...กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกดูดลงพสุธาไปแล้ว...
จงอย่าดูถูกพลังของทะเลทรายพวกนี้เชียว
ไม่เช่นนั้นท่านก็จะเป็นดั่งเจ้าชายลำดับที่สามและทหารพวกนี้...
เขาลุกขึ้นยืนนิ่งๆรอให้พายุฝุ่นทรายที่คุณรีไวสร้างขึ้นมาสงบลงเสียก่อน
เขาหันไปมองรอบกายที่ไม่มีใครเหลือสักคน...ใช่...เขาจงใจล่อให้พี่ชายตามมาถึงตรงนี้
บริเวณที่เต็มไปด้วยหลุมทรายดูด...
ปกติแล้วเจ้าชายลำดับที่สามก็ไม่ใช่คนสะเพร่าที่จะตกหลุมทรายดูดได้ง่ายๆหรอก
แต่มันก็ไม่ใช่ยามที่ตื่นตระหนกตกใจ
เพราะยามที่คนตื่นกลัวย่อมคิดแต่จะหนีโดยที่ไม่คิดแล้วว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าจะเป็นหลุมทรายดูด
เพราะงั้นคุณรีไวจึงได้ช่วยเขา...เจ้าม้าสีแดงตัวนั้นมันมีพลังเสียงมากพอที่จะข่มขู่คนที่ไม่รู้จักมันมาก่อนได้...
เจ้าชายแห่งอียิปต์ค่อยๆเดินขึ้นไปตามสันทรายเมื่อทุกอย่างดูปลอดภัยดีแล้ว
ก่อนจะไถลตัวลงไปหาคนที่ยังนั่งอยู่ในรถสีแดงสดซึ่งจอดอย่างสงบนิ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเนินทราย
ถึงหน้าของรีไวจะยังนิ่งๆแต่บอกจริงๆเลยว่าเขาก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้นักหรอก...ถ้าพลาดไปนิด
เกิดรถสตาร์ทไม่ติด เด็กนั่นอาจจะโดนตัดหัวไปก่อน หรือถ้าพวกนั้นเกิดจิตแข็ง
ไม่ยอมตื่นตระหนกตกใจจนวิ่งลงบ่อทรายด้วยตัวเอง
ก็คงเป็นพวกเขานี่แหละที่จะถูกฆ่าตายเสียเอง
ขนาดตัวเขาว่าตัวเองก็ชอบทำเรื่องผาดโผนหรือเรื่องอันตรายๆมาก็มากแต่ก็ยังใจกล้าบ้าบิ่นไม่สู้เด็กนี่เลยจริงๆที่ยอมทำตามแผนเสี่ยงๆของเขา
“คุณรีไว
ขอบคุณนะ!” เจ้าลูกหมาส่ายหางวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางดีใจ
ร่างโปร่งบางก้มลงมากอดเขาซึ่งยังนั่งอยู่ในรถ...ก่อนจะทำเรื่องที่ทำให้นัยน์ตาของเขาถึงกับเบิกค้าง
เมื่อเด็กนั่นคุกเข่าลงไปนั่งทับสนอยู่ข้างๆตัวรถ...แล้วยื่นหน้าเข้ามาจูบเจ้าม้าลำพองของเขาเบาๆ...
วินาทีที่ริมฝีปากของเจ้าชายแห่งอียิปต์สัมผัสกับผิวสีเพลิงมันทำให้เขาแทบจะหยุดหายใจ...แพขนตายาวปิดแนบแก้มใสท่ามกลางประกายระยิบระยับของพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบกับเจ้าม้าสีแดงและทะเลสีน้ำผึ้ง...
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจดั่งหินผาถึงกับสั่นไหว...
มันเป็นภาพ...ที่เซ็กซี่จนน้ำแข็งในหัวใจหลอมละลาย...
มันเป็นภาพ...ที่ทำให้คนอย่างเขาถึงกับควบคุมตัวเองไม่ได้...
เพราะฉะนั้นรู้ตัวอีกที...เขาก็ลุกออกจากรถมาแล้ว...
มือแข็งแรงกระชากต้นแขนผอมๆให้ลุกขึ้นมาจากพื้นทราย
ท่อนแขนซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามมากมายกอดรัดร่างโปร่งที่เซมาปะทะแผงอกจนผิวเนื้อสัมผัสแนบแน่น
ใบหน้ามนมีแววตกใจน้อยๆแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไป
ริมฝีปากประกบลงบนกลีบปากสีระเรื่อที่เพิ่งจะจุมพิตเจ้าม้าสีเพลิงมา
เขาบดเบียดริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มจนลมหายใจแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ลิ้นร้อนสอดใส่เข้าไปในโพรงปากหอมหวานอย่างถือสิทธิ์
ก่อนจะทำให้มันกลายเป็นจูบที่ร้อนแรงดั่งพระอาทิตย์
แผดเผาจนร่างกายร้อนเร่าไปหมด
“อื้ม...” เสียงครางเครือในลำคอร้องประท้วงเมื่อใกล้จะหมดอากาศหายใจ
เขาถอนริมฝีปากให้ก็จริงแต่ก็ยังตามไปจูบซ้ำๆไม่ว่าใบหน้ามนนั่นจะหันหนีไปทางไหน
จูบจนร่างกายของเจ้าชายแห่งอียิปต์อ่อนระทวยยืนด้วยตัวเองไม่อยู่
จนต้องใช้แผ่นอกของเขาเป็นเสาสำหรับแอบอิง
เขาหย่อนตัวนั่งลงไปบนรถ
มือดึงร่างโปร่งให้นั่งคร่อมลงมาบนหน้าตัก
ทะเลทรายรอบกายกำลังร้อนระอุแต่ก็ยังเทียบกับความร้อนของพวกเขาไม่ได้
และเขาต้องหาทางระบายมันออกไป
ไม่สนใจสักนิดว่ากำลังอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่
เจ้าของท่อนแขนผอมบางที่เอื้อมมาโอบรอบคอของเขาไว้ก็คงไม่สนใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเช่นกัน
ใบหน้ามนจึงโน้มมาจูบเขาเบาๆ
แต่เขาสวนกลับไปด้วยจูบที่ร้อนดั่งไฟ
ปลายลิ้นแลกรักต่อกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ท่อนแขนผอมบางโอบกอดรอบคอของเขา
เขาก็กอดรัดแผ่นหลังขาวเนียนด้วยสองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
รอยรักที่ฝากไว้ที่ปากของกันและกันนั้นราวกับยาเสพติด
ทำยังไงก็ถอนตัวออกมาไม่ได้
ยิ่งจูบยิ่งหอมหวาน
ยิ่งจูบยิ่งต้องการ ยิ่งจูบก็ยิ่งหลงมัวเมาอยู่ในกันและกัน
ฝ่ามือขยับไปบีบจับสะโพกมนก่อนจะเค้นคลึงบั้นท้ายของเจ้าชายแห่งอียิปต์เบาๆ
ก่อนหน้านี้มันเคยเข้าไปได้แค่นิ้ว
แต่เขาว่าเขาเตรียมการจนมันพร้อมที่จะเข้าไปได้มากกว่านั้นแล้ว
มือแข็งแรงจึงสอดเข้าไปใต้กระโปรงผ้าลินิน
ลากไล้ตั้งแต่หัวเข่าไปจนถึงโคนขา
“อ่ะ...”
ริมฝีปากแดงช้ำหลุดจากการครอบครองของเขาจนปล่อยเสียงครางออกมาจนได้
เขาละจากมันอย่างไม่ใส่ใจ
ริมฝีปากเปลี่ยนเป้าหมายจากกลีบปากแดงช้ำมาเป็นยอดอกสีชมพูที่ชูชันอยู่ตรงหน้า
ครอบครองมันไว้ด้วยริมฝีปากและเรียวลิ้น
กลืนกินมันเข้าไปจนเจ้าของมันต้องสะบัดเงยหน้ากลั้นน้ำตาที่ปริ่มออกมา
“อื้อ...” ร่างกายที่สั่นสะท้านถอยหนีตามสัญชาติญาณ
แต่ท่อนแขนที่โอบกอดร่างโปร่งไว้ก็กดแผ่นหลังบางกลับมา
ริมฝีปากยังคงครอบครองยอดอกที่เริ่มเปลี่ยนสีจนคล้ายผลเชอร์รี่
เช่นเดียวกับฝ่ามือที่อยู่ใต้กระโปรงผ้าลินินเนื้อดีที่กำลังปลุกปั่นส่วนอ่อนไหวให้ขยายใหญ่เต็มที่
“อะ...อ้า...”
เขาจ้องมองริมฝีปากแดงช้ำที่เผลอปล่อยเสียงครางออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาจ้องมองใบหน้าภายใต้มงกุฏผ้าที่กำลังทรมานไปด้วยความต้องการและความสุขสมที่แผ่ซ่านอยู่ข้างใน จ้องมองคิ้วสีน้ำตาลที่ขมวดเข้าหากัน
จ้องมองน้ำใสๆที่ประดับแพขนตาหนาก่อนจะไหลไปปริ่มอยู่ที่หางตา
จ้องมองแผ่นอกบางที่แอ่นรับ จ้องมองสะโพกที่ขยับตามจังหวะจากฝ่ามือของเขา
เขาจ้องมองมัน
แค่จ้องมองทุกๆอย่างนั้น
ความปรารถนาอันแรงกล้าก็ทำให้แกนกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ต้องไปแตะต้องมันสักนิด
แค่มองเอเลน
ที่กำลังต้องการเขาแทบขาดใจ
แค่นั้น...
“อึก!
คุณรีไว? เดี๋ยว? อ่ะ อื้อ~~!!” ก็ไม่แปลกที่ดวงตาสีมรกตจะเบิกกว้างขึ้นมาก่อนจะปิดลงในชั่วพริบตา
ไม่แปลกที่น้ำใสๆจะไหลออกมาแล้วหยดลง หยดแล้วหยดเล่า ไม่แปลกที่เด็กนั่นจะโผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น
ไม่แปลกที่ริมฝีปากแดงช้ำจะส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดออกมา
เพราะว่าเขาสอดใส่ความเป็นชายเข้าไป...โดยไม่ได้บอกเด็กนั่นเลยสักคำ
เขาเองก็มีขีดจำกัด
มีช่วงเวลาที่ทนไม่ไหวเหมือนกัน
แค่มันเป็นวันนี้ก็เท่านั้น
“เอเลน...” เขาจูบขมับของใบหน้าที่ซบอยู่ที่ไหล่ของเขาเบาๆ
ท่อนแขนผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านกอดคอเขาไว้แน่น เด็กนั่นกำลังร้องไห้จากความเจ็บปวดที่เขามอบให้
แต่เอเลนก็ไม่คิดจะหนีออกไป เด็กนั่นกำลังผ่อนลมหายใจแล้วพยายามจะตอบรับเขาให้ได้
ฝ่ามือของเขาลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน
ท่านี้อาจจะโหดร้ายไปหน่อยสำหรับครั้งแรก แต่เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัว เพราะเขาทนไม่ไหว
หลังจากกัดฟันรออยู่สักพักจนช่องทางที่บีบรัดเริ่มผ่อนคลาย
เขาจึงค่อยๆดึงสะโพกมนลงมา ให้ร่างกายของเขาเข้าไปได้หมด
“คุณรีไว...มันเข้ามา...ลึกมาก...เรากลัว...” เสียงสั่นๆเอ่ยบอกเขาอยู่ที่ใบหู
เด็กนั่นยังกอดคอเขาไว้ไม่ปล่อย น้ำตาหลายต่อหลายหยดจึงหยดแหมะลงไปบนหลังของเขา
“ไม่ต้องกลัว...คนที่เข้าไปในตัวนายคือชั้น...เพราะงั้นไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” เขาหันไปจูบกกหูที่มีกลิ่นน้ำหอมจางๆ
เขารู้ว่าเอเลนจะเจ็บมากหากไม่มีการหล่อลื่นที่เพียงพอ
แต่ตอนนี้ ผนังอ่อนนุ่มที่โอบรัดความเป็นชายของเขาอยู่มันกำลังจะทำให้เขาคลั่ง
ก็บอกแล้วว่าผู้ชายที่ชื่อรีไวก็มีขีดจำกัด
มีช่วงเวลาที่ทนไม่ไหวเหมือนกัน
และมันก็คือวันนี้
ตอนนี้!
เขาหันไปจูบขมับของเจ้าชายแห่งอียิปต์เบาๆอีกรอบ
อยากจะบอกให้รู้ว่าเขาทำด้วยความรัก
ที่อ่อนโยนไม่ได้มากนักก็เพราะว่าเขาต้องการอีกฝ่าย
ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบรัดเอวบางให้ผิวกายแทบจะจมหายไปในกันและกัน
ก่อนที่ฝ่ามือจะจับบั้นท้ายกลมกลึงนั่นขยับขึ้นลงช้าๆ
“อะ?!” ร่างโปร่งบางที่นั่งคร่อมหน้าตักอยู่ข้างบนผวากอดคอเขาแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อบทเพลงแห่งรักเริ่มบรรเลง
ถึงมันจะเป็น
On
Top แต่คนคุมเกมทั้งหมดกลับเป็นเขา
เจ้าเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาทำได้แค่กอดคอเขาแล้วส่งเสียงครางออกมาเท่านั้น
ฝ่ามือดึงบั้นท้ายของเจ้าชายแห่งอียิปต์ขึ้นก่อนจะกดมันลงอย่างรวดเร็ว
แรงบีบรัดและสัมผัสที่ได้รับทำให้เขาถึงกับต้องกัดฟัน
ต้องใช้ความอดทนทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้เด็กนี่เจ็บมากเกินไป
“อึก...อื้อ...” เสียงครางอย่างทรมานดังอยู่ที่ข้างหู
บนแผ่นหลังยังรู้สึกถึงน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่หยดลงมา
ถึงจะน่าสงสาร
แต่เขาก็รู้ว่ามันหยุดไม่ได้แล้ว เขาไม่มีความอดทนขนาดนั้น
ฝ่ามืออีกข้างจึงย้ายมาปลุกปั่นแกนกายที่อยู่ใต้กระโปรงผ้าลินินแทน
“อ้า~...”
เสียงครางอย่างทรมานค่อยๆเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างสุขสม
ช่องทางที่เคยรัดเขาเสียแน่นก็เช่นกัน
มันค่อยๆผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ...
ผ่อนคลายพอที่เขาจะเพิ่มจังหวะในการขยับสะโพกมนให้เร็วขึ้น
แรงขึ้น ตามความต้องการของเขา
“อึ๊ก
คุณรีไว?!”
ร่างกายที่ใช้เขาเป็นหลักยึดสะดุ้งน้อยๆเมื่อเขาโยกสะโพกมนไปโดนจุดๆหนึ่งเข้า
ปลายแกนกายที่เขาจับอยู่ถึงกับมีน้ำอุ่นๆปริ่มออกมา
เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกดีสินะ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะขยับสะโพกมนให้ความเป็นชายของเขาสัมผัสโดนจุดนั้นกระชั้นถี่แค่ไหน
ในเมื่อเขาอยากให้เอเลนรู้สึกดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อ๊า~
อะ คุณรีไว~~”
เสียงครางอย่างเสียสติดังขึ้นทันที ใบหน้ามนที่เคยซบอยู่ที่ไหล่สะบัดเงยอย่างไม่รู้ตัวอีกต่อไป
เขากระแทกกายเข้าไปรับกับจังหวะที่กดบั้นท้ายมนลงมา
ขยับออกห่างก่อนจะกดเข้าหาอย่างหิวกระหาย
ความร้อนในกายพุ่งถึงขีดสุดจนแม้แต่ไอระอุของทะเลทรายก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
ร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนโยกคลอนตามจังหวะสอดใส่
แค่ฟังเสียงครางอย่างรัญจวนใจนั่นก็รู้ว่าเอเลนรู้สึกดีแค่ไหน
เขาเองก็ไม่ต่างกัน
ร่างกายของเด็กนี่สุดยอดมาก
ทั้งแน่น
ทั้งยืดหยุ่น ผู้ชายคนไหนได้ใส่เข้าไปต้องไม่มีวันลืมลงแน่ๆ
และเขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครได้ทำแบบนั้น
“อ๊า
คุณรีไว!”
เจ้าชายแห่งอียิปต์เริ่มครางเสียงสูง สงสัยจะไม่ไหวแล้ว
เขากัดฟันก่อนจะกดสะโพกมนซ้ำๆ
ถี่กระชั้นและหนักหน่วง
ครั้งสุดท้ายเขาดึงสะโพกมนขึ้นไปจนสุดปลายก่อนจะกดมันลงมาจนมิดในวินาทีเดียว
“อื้อ~~~!!!” สองแขนผอมบางกอดคอเขาไว้แน่น
แกนกายถูกปล่อยไปจากมือเขา น้ำรักสีขาวขุ่นจึงพุ่งทะลักไหลเลอะลงมาบนต้นขาของเขา
ข้างในช่องทางคับแน่นเองก็เช่นกัน
ป่านนี้มันคงชุ่มโชกไปด้วยของๆเขาไปหมดแล้ว
“ฮ้า...ฮ้า...ฮ้า...” ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเซซบมาบนร่างกายเขา
นัยน์ตาสีมรกตเหม่อลอยราวกับยังอยู่ในห้วงแห่งฝันอันมีความสุข
“ยังกลัวอยู่ไหม?” เขากระซิบถามที่ใบหูแดงระเรื่ออย่างหยอกเย้า
ร่างกายเขายังฝังอยู่ข้างในอย่างไม่อยากจะดึงมันออกมาเลย
“ไม่...เรา...รู้สึกดี....” นานๆทีจะทำให้เด็กนี่อายได้
ใบหน้าใสซบหลบอยู่ที่ไหล่เขา ความร้อนผ่าวของใบหน้ามนไหลผ่านมาจนรับรู้ได้
เขายกยิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะนั่งอยู่แบบนั้นจนลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ
แต่ดูเหมือนคนบนไหล่จะเพลียจนหลับไปแล้ว
เขาจึงยกร่างโปร่งออกไปจากความเป็นชายของเขาอย่างแผ่วเบา
น้ำสีขาวขุ่นไหลลงไปตามแรงดึงดูดก่อนจะค่อยๆซึมหายไปกับผืนทราย
ดูท่าว่าวันนี้คงจะกลับเข้าเมืองธีบส์ไม่ทันแล้ว
เพราะแสงแดดที่เริ่มอ่อนลงเต็มที
“มันจะอันตรายมากหากยังเดินต่อไปในทะเลทรายที่ไร้แสงนำทาง” นั่นคือสิ่งที่เอเลนเฝ้าย้ำเตือนกับเขาเสมอมา
ถึงความน่ากลัวของทะเลสีน้ำผึ้งตรงหน้า
ฝ่ามือไล้แก้มใสของคนที่หลับปุ๋ยเบาๆ
เป็นอีกครั้งที่เจ้าคนที่เขาคิดมาตลอดว่าเป็นแค่เด็กสิบขวบกลับแสดงความเก่งกาจและรอบรู้ออกมา
อันที่จริงการที่พวกเขาเพียงแค่สองคนก็สามารถกำจัดเจ้าชายลำดับที่สามที่ขนกันมาทั้งกองทัพได้
จะบอกว่าเป็นเพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องทะเลทรายของเอเลนก็ไม่ผิดนัก และเขาเองก็แค่เอามันมาใช้ประโยชน์
เขาสตาร์ทรถแล้วก็ทำเสียงดังให้พวกนั้นตกใจ
ซ้ำยังดริฟท์รถวนไปวนมาเพื่อให้เกิดฝุ่นควันคล้ายพายุทรายจนมองไม่เห็นอะไร...แล้วจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้...
ไม่รู้ว่าการตามล่าพวกเขานั้นเจ้าชายลำดับที่สามทำอย่างเอิกเกริกแค่ไหน
แต่อย่างน้อยการที่พวกเขายังกลับไปได้อย่างปลอดภัยก็จะทำให้ใครหลายๆคนตระหนักได้ว่าเจ้าชายเอเลน่าไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกได้ง่ายๆ
เขาดึงผ้าเก่าๆผืนหนึ่งที่เก็บได้จากโอเอซิสที่นอนพักเมื่อคืนออกมาก่อนจะปูมันลงบนพื้นทรายให้เอเลนนอน
เขาเองก็หย่อนตัวนั่งลงไปข้างๆกัน
แผ่นหลังเอนพิงเจ้าม้าสีแดงของเขาไว้
ปล่อยสายตาทอดมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไปช้าๆ
จนในที่สุด...นัยน์ตาของเขาก็ปิดลง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น