Scuderia Ferrari S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 3rd : แสนรัก : 01
: Scuderia Ferrari Short Fanfiction
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Warmhearted Romantic
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
“ Pine forest ; Cottage ; You and Me”
ไอสีขาวพวยพุ่งออกมาจากจมูกและปากบ่งบอกให้รู้ว่าขณะนี้อากาศที่ห่อหุ้มร่างกายที่ไม่ได้หนาอะไรนักนั่นมันกำลังหนาวเย็นขนาดไหน มือเรียวที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวหนาจำต้องละออกมาเพื่อปัดหิมะที่ติดอยู่ตามขนรอบๆฮูดและสองไหล่ เกล็ดน้ำแข็งร่วงกราวลงพื้นก่อนที่สองขาในรองเท้าบูทจะยกขึ้นย่ำไปมาเพื่อสลัดหิมะสีขาวให้หลุดออกจากขากางเกง
“ฮูยยย” ไหล่บางสั่นสะท้านน้อยๆกับความหนาวเย็นที่แม้แต่คนยุโรปด้วยกันเองก็ใช่ว่าจะชินกับความหนาวระดับนี้ เพราะที่นี่คือเขต Lap Land ของประเทศฟินแลนด์ เป็นโซนที่อยู่เหนือ Arctic circle ขึ้นไปย่อมหนาวแบบไม่ธรรมดา
ใบหน้ารูปไข่ที่อยู่ในฮูดขนเฟอหันมองกระท่อมไม้หลังน้อยที่สร้างตามแบบพื้นเมืองที่ตนยืนอยู่ก่อนจะหันกลับไปมองแสงไฟหน้ารถที่กำลังห่างออกไปเรื่อยๆอย่างเริ่มไม่แน่ใจนักว่าการปล่อยอีกฝ่ายไปแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียวหน้าบ้านเปลี่ยวๆหลังนี้มันจะดีแน่แล้วหรือเปล่า? รถคันนั้นเขาจ้างมาจากสนามบินเพื่อให้มาส่งเขาที่บ้านหลังนี้...ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าบ้านหลังที่อยู่ใกล้กับบ้านหลังนี้ที่สุดจะอยู่ห่างออกไปถึงสิบกิโล!
เฮย์กินะเฮย์กิ ทำไมคุณไม่บอกผมให้มันละเอียดๆกว่านี่!
แต่ก็นั่นแหละ...จะไปโทษเทรนเนอร์ของเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่เคยบอกอีกฝ่ายนี่นาว่าจะมา
หึ...แล้วถ้างั้นทำไมเซบาสเตียน เวทเทล แชมป์โลกเอฟวันสามสมัยถึงได้มายืนโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่หน้าบ้านที่ปิดตายในหมู่บ้านอันห่างไกลของฟินแลนด์นี่น่ะเหรอ?
นั่นก็เพราะเขาตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์พ่อเทรนเนอร์ชาวฟินน์ของเขาคนนี้น่ะสิ!
ปังๆๆๆ
ฝ่ามือที่หดกลับเข้าไปในแขนเสื้อทุบประตูไม้หน้าบ้านรัวๆ ใบหน้ารูปไข่ยิ้มกริ่มอย่างซุกซนเมื่อกำลังจินตนาการถึงใบหน้าของเฮย์กิยามที่เปิดประตูออกมาแล้วพบว่าเป็นเขา
เซอร์ไพรส์~~
อยากจะพูดคำนี้เสียเต็มประดา นี่เขาอุตส่าห์ถ่อมาจากเยอรมันเพื่อมาฉลองบ้านใหม่ให้อีกฝ่ายเลยนะ
ปังๆๆๆ
แต่ทุบประตูเท่าไหร่ข้างในบ้านก็ยังเงียบกริบ...แถมมันดูจะเงียบผิดปกติเพราะแม้แต่ไฟสักดวงก็ไม่ได้เปิดเอาไว้?
เขาหันมองรอบกายอย่างเริ่มจะมีเหงื่อตก...หน้าหนาวของที่นี่ก็มืดไวอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เพิ่งจะบ่ายสามกว่าๆเองนะ จะรีบสลัวๆไปไหน
“เฮย์กิ!” เมื่อทุบประตูดูจะไม่ได้ผล ริมฝีปากสีชมพูจึงเริ่มตะโกนออกไปอย่างไม่สนใจแล้วว่าแผนเซอร์ไพรส์จะล่ม แค่เสียงอาจจะฟังไม่ค่อยออกหรอกน่า แต่ตอนนี้เขาอยากให้อีกฝ่ายรีบโผล่มาเปิดประตูให้เขาได้แล้ว!
ปังๆๆๆ
ฝ่ามือที่ถนัดแต่การจับพวงมาลัยรถและทำอย่างอื่นไม่เคยจะได้เรื่องยังคงทุบประตูต่อไป แน่นอนว่าข้างในบ้านก็ยังคงเงียบกริบ...
ตายละหว่า...หรือว่าเฮย์กิจะไม่อยู่?
ร่างโปร่งขยับมายืนนิ่งอย่างใช้ความคิด หรือว่าเทรนเนอร์ของเขาจะออกไปซื้อของ? ถ้าเคาะประตูนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครออกมาก็แสดงว่าคงไม่มีใครอยู่ละมั้ง? ถ้างั้นเขาก็ควรจะยืนรอดีๆ
โบ๋ววววววววว
แต่แล้วเสียงหอนที่แววตามลมมาจากที่ไกลๆก็ทำให้ความคิดที่ว่าจะยืนรอดีๆนั้นพังทลายทันที ไหล่ทั้งสองสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาเบอร์อย่างลนลาน
จะไม่ให้ลนได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้สุดก็อยู่ห่างออกไปตั้งเป็นสิบกิโล หมาบ้านที่จะหอนมาให้ได้ยินถึงนี่ไม่มีแน่ๆ ถ้างั้นเสียงหมาที่ได้ยินมันก็ต้องเป็นเสียงของหมาป่าแหงๆ แล้วจะให้เขายืนรอดีๆรับหมาป่าพวกนั้นตรงหน้าบ้านโล่งๆนี่น่ะนะ? เซบาสเตียน เวทเทลยังมีสติดีอยู่นะครับ!
“รับสิ~” เสียงหงุงหงิงดังใส่โทรศัพท์เมื่อสัญญาณมันติดแต่ไม่มีคนรับ และเมื่อผ่านไปราวๆสามนาที
“เซบ?” พ่อเทรนเนอร์ตัวดีของเขาก็กดรับสายจนได้
“เฮย์กิ~~ คุณอยู่ไหนอ่ะ~~ รีบๆกลับมาเถอะ หมาป่าหน้าบ้านคุณมันจะงาบผมเอาไปกินแล้ว~~” เขาครางบอกอีกฝ่ายไปพลางสอดสายตามองหาดวงตาของนักล่าที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้พุ่มไหนซักพุ่มก็ได้ไปด้วย
“หน้าบ้านชั้น?” เสียงจากปลายสายยังคงฟังดูมึนงง อ้อ เขาลืมบอกไปสินะว่าเขาอยู่ที่ไหนและมาทำอะไรที่นี่
“ผมกะว่าจะมาเซอร์ไพรส์คุณไง เอาของขวัญขึ้นบ้านใหม่มาให้ด้วยละ แล้วตอนนี้ก็ยืนอยู่หน้าบ้านของคุณในฟินแลนด์” ใบหน้ารูปไข่ยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจในแผนเซอร์ไพรส์ของตัวเอง แล้วก็ดูท่าว่าเฮย์กิจะอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออกเลย หึๆๆ กว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาได้ก็ผ่านไปหลายวินาที
“เอ่อ....เซบ...คือว่า...ชั้นตกใจกับเซอร์ไพรส์ของนายจริงๆ แล้วก็ดีใจนะที่นายเอาของขวัญมาให้...แต่ว่า...ตอนนี้ชั้นคงต้องบอกกับนายว่าชั้นเสียใจด้วยที่ชั้นไม่ได้อยู่ในฟินแลนด์” ห๊ะ?! หมายความว่าไง? เขาฟังเสียงจากปลายสายไปก็อ้าปากค้างไป
“คือชั้นมาท่องเที่ยวแถบเอเชียกับครอบครัวน่ะ....” มาท่องเที่ยวแถบเอเชียกับครอบครัวน่ะ...มาท่องเที่ยวแถบเอเชียกับครอบครัวน่ะ...มาท่องเที่ยวแถบเอเชียกับครอบครัวน่ะ......ราวกับจะมีประโยคนี้ดังเอคโค่อยู่ในหัว...เฮย์กิไม่อยู่บ้าน!!! แล้วเขาจะทำยังไงล่ะทีนี้!!!!
โบ๋ววววววว
เฮือก!!
ไอ้หมาบ้า! ดันหอนได้จังหวะเชียวนะ!
ใบหน้ารูปไข่หันมองรอบกายอย่างหวาดๆ มือกำโทรศัพท์มือถือแน่น จากที่ตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์เค้า กลับถูกเค้าเซอร์ไพรส์กลับด้วยการไม่อยู่บ้านซะงั้น!!
“เฮย์กิ~ ผมกลับไม่ได้~~ ผมไม่มีรถ แล้วหมาป่าก็กำลังล้อมผมเอาไว้~ ยังไงผมก็ต้องนอนที่นี่~~” ถ้าร้องไห้ได้เขาคงร้องไปแล้วละ กับเฮย์กิที่เขาอ้อนด้วยประจำเขาไม่อายหรอก เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องคอยมองไอ้ตัวที่มันหอนๆอยู่นั่นก่อนว่ามันจะกระโจนออกมาจากตรงไหน
“เฮ้อ~ ชั้นก็คิดว่าอย่างงั้น ตอนนี้ที่ฟินแลนด์น่าจะมืดแล้วและนายก็คงกลับไปสนามบินไม่ได้ แต่ถึงจะกลับไปได้ก็คงไม่มีเที่ยวบินแล้วละ ยังไงก็คงต้องนอนในบ้านชั้นไปก่อน” ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงละเหี่ยใจซึ่งใช้กับเขาตามปกติ
“แล้วผมจะเข้าบ้านคุณได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าฝากกุญแจเพื่อนบ้านเอาไว้? นั่นน่ะไกลออกไปเป็นสิบกิโลเลยนะ ผมได้โดนหมาป่าแทะจนเหลือแต่กระดูกหมดแน่ถ้าต้องเดินไปเอา” ริมฝีปากช่างเจรจาพ่นใส่โทรศัพท์เป็นชุด
“รู้แล้ว...ใจเย็นๆก่อน...กุญแจสำรองมีซ่อนไว้ที่กระถางดอกไม้ตรงประตูทางเข้า ลองควานๆหาดู” เสียงใจเย็นลอยมาตามสายให้เขาโล่งใจได้หน่อยที่ไม่ต้องเดินฝ่าหิมะและดงหมาป่าไปเอากุญแจจากเพื่อนบ้าน
“มีตัวอะไรอยู่ในกระถางหรือเปล่าเนี่ย?” แต่ปากก็ยังไม่วายบ่นไปตามประสา
“จะควานหาหรือว่าจะนอนกับหมาป่า” และพอปลายสายพูดมาแบบนั้น มือบางเลยรีบซุกเข้าไปในกระถางดอกไม้อย่างไม่อิดออดอีก แล้วสัมผัสเย็นๆของลูกกุญแจก็ทำให้เขายิ้มออก
“เจอแล้ว!” เขาชูมันขึ้นราวกับเป็นถ้วยแชมป์โลกก็ไม่ปาน
“อือ ถ้างั้นก็นอนที่บ้านชั้นไปก่อนแล้วกันคืนนี้ อย่าซนแล้วก็อย่าทำอะไรพังล่ะ” เสียงปลายสายพูดขำๆก่อนจะวางสายไป...ไม่ทำอะไรพังหรอกน่า~ เห็นเขาเป็นคนยังไงกัน!
มือไขกุญแจแล้วประตูก็เปิดออกจนได้ เขาลากกระเป๋าเข้าไปในบ้านที่เย็นเฉียบ และเมื่อกดเปิดสวิตซ์ไฟ เขาถึงได้เห็นว่ากระท่อมหลังน้อยหลังนี้ตกแต่งไว้อย่างน่ารักดีทีเดียว เครื่องเรือนไม้ถึงจะดูเก่าๆแต่ก็อบอุ่นมากในความรู้สึกเขา แล้วยังผ้าลายเล็กๆที่ประดับแนวๆวินเทจนี่ก็อีก...อ๊า~~ อยากขโมยบ้านหลังนี้ของเฮย์กิกลับเยอรมันจริงๆเชียว ไหนๆเจ้าของบ้านก็อยากไม่อยู่ดีนัก!
กระเป๋าเดินทางถูกวางไว้ข้างบันได เทรนเนอร์ของเขาซื้อบ้านริมทะเลสาปกลางป่าสนหลังนี้ต่อมาจากคนพื้นที่ตั้งแต่ช่วงก่อนจะปิดฤดูกาลแข่งขันซึ่งตอนนั้นเขาก็วางแผนเอาไว้แล้วละว่าจะต้องแอบย่องมาดูบ้านของเฮย์กิให้ได้เพราะเขาเองก็ชอบบ้านแนวๆนี้เหมือนกัน
โคร่ก~
เสียงกระเพาะที่ร้องดังยิ่งกว่าฮีทเตอร์ในบ้านทำให้เขาจำต้องละจากการเดินสำรวจห้องต่างๆแล้วหันไปโฟกัสใส่ห้องครัวเล็กๆที่อยู่ด้านข้างแทน
ก็อย่างที่บอกแหละว่าเซบาสเตียน เวทเทลนั้นนอกจากการขับรถแล้ว...ไม่ควรจะปล่อยให้ทำอย่างอื่น...
แต่ร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่หน้าเตาแก้สก็ไม่เคยยอมรับหรอกนะว่าตัวเองอาจจะเผาครัวให้วอดวายได้ภายในห้านาที มือบางหยิบไข่มาจากในตู้เย็นด้วยท่าทางที่ดูราวกับเชฟระดับโลก จริงๆเซบาสเตียน เวทเทลเป็นคนที่ทำอะไรค่อนข้างละเอียดละออและพิถีพิถัน...ซึ่งดันตรงข้ามกับผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ
แล้วในขณะที่ใบหน้ารูปไข่กำลังก้มๆเงยๆหาที่เปิดเตาแก้สอยู่นั้น...
ปังๆๆๆๆ
เปล่า...ไม่ใช่เสียงแก้สระเบิดหรืออะไรในครัวพัง เซบาสเตียน เวทเทลยังไม่ทันจะได้ทำอะไร แต่เสียงนั้นดังมาจากประตูหน้าบ้านต่างหาก...ก็นับว่าเป็นโชคดีของครัวห้องนี้ไป
“หื๋อ?” นักขับหนุ่มน้อยของทีมเรดบลูหันไปมองประตูไม้ที่เขาเคยทุบอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมงได้ และตอนนี้มันก็กำลังมีเสียงดังเหมือนกันนั่นเลย มีใครมาหาเฮย์กิหรือไง? เพราะหมาป่าไม่น่าจะเคาะประตูก่อนจะเข้ามาขย้ำเขาหรอกมั้ง?
มือบางวางไข่ดิบลงก่อนจะเดินออกไปดู แต่ประตูไม้บานนี้ก็ไม่มีแม้แต่ตาแมวทำให้เขาไม่รู้เลยว่าคนที่มาเคาะประตูอยู่นั้นเป็นโจรห้าร้อยหรือเปล่า แต่ในฟินแลนด์คงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เขาจึงคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนบ้านหรือใครก็ตามที่เฮย์กิอาจจะโทรไปฝากดูแลเขาเอาไว้ หรืออาจจะเอาอาหารมาให้? แล้วในขณะที่เขากำลังเลิกผ้าม่านพยายามหาบานหน้าต่างข้างประตูเพื่อดูว่าคนข้างนอกไว้ใจได้หรือไม่...
ปังๆๆๆ
หว๋า~ จะเคาะอะไรนักหนาเนี่ย ไม่หงไม่หามันแล้วหน้าต่าง เปิดออกไปดูเลยแล้วกัน ถึงเขาจะผอมแห้งแบบนี้แต่ก็สู้คนเป็นนะครับ
แอ้ด.....
ประตูไม้ค่อยๆเปิดออก...แล้วในขณะที่เขากำลังตั้งการ์ดพร้อมไฝว้อยู่นั้น คนที่ยืนพ่นลมหายใจเป็นไอขาวๆอยู่หลังบานประตูก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจจนเผลอตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป
“คิมี่?!!!” นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองผู้มาเยือนด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาไม่ได้ตาฝาดหรือจำคนผิดแน่ๆเพราะไม่มีใครในกริดที่เขาจะจำได้ดีกว่าคิมี่อีกแล้ว เขาจ้องนักขับชาวฟินน์รุ่นพี่คนนี้แบบไม่มีเกรงใจ จ้องเอาๆเพราะไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะมาเจออีกฝ่ายที่นี่...นี่มันปาฏิหาริย์หนึ่งในล้านชัดๆ!
หรือว่านี่จะเป็นหมาป่าขนเงินในตำนานที่แปลงร่างเป็นคนรู้จักมาหลอกล่อเขาเอาไปกิน? เอ๊ะ มันหมาป่าหรือหมาจิ้งจอกนะ? อ่า ช่างมันเถอะ เพราะอย่างคิมี่ไม่น่าจะมาอยู่แถวนี้ได้?
“......เซบาสเตียน?” แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีแต่เขาที่ประหลาดใจ คิมี่ ไรโคเนนเองก็มองเขากลับมาด้วยแววตาอึ้งๆ...ถึงแม้ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพเจ้านั่นจะยังนิ่งเฉยอยู่ก็เถอะนะ
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ? หรือคุณเป็นเพื่อนบ้านของเฮย์กิ? บ้านของคุณอยู่ห่างออกไปสิบกิโลนั่นใช่ไหม? แล้วนี่คุณก็กำลังมาดูผมตามที่เฮย์กิฝากไว้?” ใบหน้ารูปไข่รัวคำถามใส่อีกฝ่ายเป็นชุดซึ่งนักขับชาวฟินน์ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาขวางเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งถามอะไร
“จะยังไงก็ไม่รู้ละ แต่ขอชั้นเข้าไปก่อนได้ไหม” แล้วลมที่พัดมาวูบหนึ่งก็ทำให้เขารู้ตัวว่าเราไม่ควรจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ นัยน์ตาสีฟ้าเพิ่งจะเห็นว่าสภาพอากาศข้างนอกแปรปรวนอย่างกับจะมีพายุเข้า ละอองหิมะโปรยปรายและถูกพัดวนไปทั่ว ร่างโปร่งจึงรีบดึงตัวนักขับของทีมโลตัสเข้ามาในบ้านทันที
แก้วน้ำอุ่นๆถูกยื่นให้ร่างหนาที่กำลังยืนผึ่งเสื้อโค้ทอยู่หน้าเตาผิง ความร้อนจากฟืนทำให้ใบหน้าที่เคยขาวซีดของคิมี่กลับมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง หลังจากอีกฝ่ายรับแก้วไปแล้ว ร่างโปร่งจึงหย่อนก้นกึ่งนั่งกึ่งยืนลงไปบนที่เท้าแขนของโซฟา นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องไปที่ผู้มาใหม่ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดอยู่ว่าตัวเองอาจจะฝันไป?
เขาสนิทกับคิมี่มาตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มขับรถฟอร์มูล่าวันใหม่ๆ ตอนนั้นเขายังเป็นนักขับหน้าใหม่ เป็นเด็กน้อยที่ไม่มีใครรู้จักหรือสนใจ แต่คิมี่กลับปฏิบัติกับเขาแบบเป็นกันเอง คุยกับเขาด้วยคำพูดตรงไปตรงมาไม่ถือตัว ยอมรับในตัวเขาทั้งๆที่ตอนนั้นคิมี่เป็นถึงนักขับระดับแชมป์โลก เขาชอบความเป็นลูกผู้ชายของคิมี่ ชอบความตรงๆแต่ก็กวนประสาทไม่น้อยของคิมี่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดค่อยจาต่อหน้าสื่อหรือใครๆ แต่กับเขา คิมี่ก็เป็นคนที่คุยด้วยสนุกและทำให้เขารู้สึกสบายใจทุกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับตอนคุยกับคนอื่น เราจึงเป็น “เพื่อน” ที่ดีต่อกันมาตลอด เป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของกันและกันในกริด
“......ก็ใช่บ้านนี้?....” ใบหน้าภายใต้กรอบผมสั้นสีบลอนด์ของคิมี่กำลังพูดงึมงำๆอะไรกับตัวเอง ปกติก็เป็นคนที่พูดด้วยน้ำเสียงโมโนโทนฟังยากอยู่แล้ว ยิ่งคุยกับตัวเองแบบนี้เขาไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร
“คิมี่ ว่าแต่ตกลงคุณมาทำอะไรที่บ้านเฮย์กิ? ผมไม่คิดเลยจริงๆนะว่าจะได้เจอคุณที่นี่ ผมนึกว่าคุณคงไปกระโดดน้ำอยู่แถวน้ำตกที่ไหนซะอีก” ช่วงปิดฤดูกาลเป็นช่วงเวลาหลายเดือนที่พวกเขาแทบจะไม่ได้เจอกัน เพราะงั้นเขาจึงดีใจมากที่ได้เห็นคิมี่ยืนอยู่ตรงนี้ เขายิ้มระริกระรี้ให้ขนาดนี้ คิมี่คงจะรู้แล้วละว่าเขาดีใจที่ได้เจออีกฝ่าย ก็มันดีใจจริงๆนี่นา แล้วเขากับคิมี่ก็มักจะคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังหรอก
ที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้น่ะ...มีแค่เรื่องเดียวก็พอ...
“บ้านเฮย์กิ? เทรนเนอร์ของนายน่ะเหรอ?” คิมี่ทำหน้างงในขณะที่เขาพยักหน้ารับรัวๆ
“ก็บ้านหลังนี้ไง บ้านของเฮย์กิ อ้อ เขาเพิ่งซื้อต่อมาจากเจ้าของบ้านเดิมเมื่อช่วงปิดฤดูกาลนี้เอง ผมเลยเอาของขวัญขึ้นบ้านใหม่มาให้เขา” เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจเสียอย่างกับเป็นบ้านตัวเอง แต่คิมี่กลับนิ่งไปแล้วทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ถ้างั้นก็คงไม่ใช่แล้วสินะ...” น้ำเสียงราบเรียบเป็นเส้นตรงนั่นยังคงพูดงึมงำกับตัวเอง ทำให้เขาต้องส่งเสียงแสดงความสงสัยออกไป
“หื๋อ?” และเมื่อคิมี่เงยขึ้นมาเห็นเครื่องหมายคำถามเต็มหน้าเขา เจ้าคนที่ไม่ค่อยชอบอธิบายอะไรจึงยอมเปิดปากพูดออกมาจนได้
“ชั้นกำลังจะกลับบ้านที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกสองเมือง...แต่รถดันตะกุยหิมะไม่ไหว เลยจอดทิ้งไว้ที่ถนนแล้วเดินทะลุป่ามาเพราะจำได้ว่าบ้านเพื่อนคนหนึ่งของชั้นอยู่ตรงนี้ กะว่าจะมายืมโซ่พันล้อ...” แล้วหลังจากที่ได้ฟัง นัยน์ตาสีฟ้าก็ถึงกับเบิกกว้าง
“หรือว่าเจ้าของบ้านคนก่อนจะเป็นเพื่อนของคุณ! นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ ฮ่าๆๆ” ใบหน้ารูปไข่หัวเราะเสียงดังจนเจ้าของใบหน้านิ่งที่ตอนนี้อมยิ้มนิดๆต้องยกนิ้วขึ้นมาเคาะหน้าผากใส
“พรหมลิขิตอะไรกันล่ะ แล้วไหนเฮย์กิ? มาตั้งนานแล้วยังไม่ได้ทักทายเจ้าของบ้านเลย” บางครั้งคิมี่ก็มีมารยาทอย่างไม่น่าเชื่อ มือบางลูบหน้าผากที่ขึ้นรอยแดงน้อยๆก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
“คือว่าผมกะว่าจะมาเซอร์ไพรส์เฮย์กิไง เลยไม่ได้บอกเค้าว่าจะมา แล้วพอมาถึงก็ปรากฏว่า...เฮย์กิไปเที่ยวประเทศแถบเอเชีย ฮะๆๆ”
“จะมาเซอร์ไพรส์เค้า? แต่เค้าไม่อยู่ให้เซอร์ไพรส์?”
“อื้อ ก็ประมาณนั้นแหละ” แล้วคิมี่ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ เดี๋ยวเถอะ นี่หัวเราะเขางั้นเหรอ~ ยิ่งเห็นไหล่หนาในเสื้อคอเต่าสีดำกำลังสั่นน้อยๆเหมือนคนกำลังพยายามกลั้นขำก็ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะในความอะไรก็ไม่รู้ของเขาอยู่แน่ๆ โอ๊ย~ เพิ่งรู้สึกอายก็ตอนนี้แหละ!
“คิมี่~” เขาลุกจากโซฟาอย่างตั้งใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายหยุดหัวเราะ ถึงแม้ว่าใบหน้าที่ปกติจะเฉยชากับทุกสิ่งแต่กลับกำลังยิ้มให้เขาจะทำให้เขาพลอยยิ้มไปด้วยก็เถอะนะ
และก่อนที่เขาจะไปถึงตัวคิมี่ ปลายเท้าเจ้ากรรมก็ดันไปสะดุดชายพรมเข้าให้ เพราะงั้นแทนที่จะเดินเข้าไปหาอย่างเป็นธรรมชาติเลยได้ถลาเข้าไปหาด้วยท่าผิดธรรมชาติแทน...
“เหว๋อ~~” สองแขนตีปีกพั่บๆเพื่อไม่ให้ล้มพับลงไป แต่ก็ยังดีที่คนที่อยู่ใกล้คือคิมี่ คือนักขับเอฟวันที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบดีกว่ามนุษย์มนาทั่วไป ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักนั่นจึงรับเขาเอาไว้ได้ทันพอดิบพอดี
บอกตามตรงว่าปกติแล้วพวกเขาก็ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกันตลอดอยู่แล้ว แต่นั่นมันก็แค่การถูกเนื้อต้องตัวกันแบบเพื่อน เบียดกันบ้าง แซะกันบ้าง สะกิดกันบ้าง ทุกอย่างที่ผ่านมามันทำด้วยคำว่า “เพื่อน” เป็นพื้นฐาน ไม่เหมือนกับตอนนี้...ที่คิมี่กำลังโอบรอบเอวเขาไว้ ที่ดวงตาทั้งสองคู่ของเราต่างสบประสานกัน แล้วยิ่งสัมผัสใกล้ชิดนี้มันอยู่ในบ้านที่ปิดสนิท ไม่มีกล้อง ไม่มีสื่อ ไม่มีสายตาของใครจ้องมองเราอยู่...ความรู้สึกมันกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง...
แย่แล้ว...แล้วเขาจะทนเก็บความรู้สึกที่อยู่ในใจเอาไว้ไหวไหมเนี่ย~
ตึกตัก....ตึกตัก....
นั่นเสียงใจเต้นงั้นเหรอ? แล้วนั่นก็เสียงลมหายใจของเราอย่างงั้นเหรอ...
โคร่กกกก~
แล้วนี่...ก็เสียงท้องร้องของเขางั้นเหรอ~~
“.............”
“..............”
กริบ...ต่างคนต่างเงียบกริบ.....ความโรแมนติกเมื่อกี้บินหนีไปกับพายุหิมะทันที...
โอ๊ย!!! เซบาสเตียนอยากจะบ้าตาย! แล้วกะเพาะจะมาร้องอะไรตอนบรรยากาศกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้เล่า!!! นี่ดีไม่ดีเขาอาจจะได้เนียนใช้บรรยากาศพาไปนี่บอกความรู้สึกในใจกับคิมี่ก็ได้แท้ๆ!
“หึ...หึๆๆๆ” คิมี่ปล่อยให้เขายืนเองด้วยความอับอายก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปหัวเราะอย่างพยายามจะมีมารยาทกับเตาผิง นี่!! หยุดเลยนะ! ถึงเขาจะแสบเบอร์นี้แต่ก็อายเป็นนะ!
“เป็นความผิดของคุณนั่นแหละคิมี่! ผมกำลังจะทำมื้อเย็นอย่างอลังการแต่คุณก็มาเคาะประตูหน้าบ้านเสียก่อน” โยนความผิดให้คิมี่ไปซะเลย ขำเขาดีนัก ร่างหนาที่หัวเราะจนหน้าแดงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกลับสู่สภาวะ The Iceman ตามเดิม
แต่เวลาอยู่กับเขาจะเป็นน้ำแข็งเวอร์ชั่นเกือบละลายน่ะนะ(กระซิบ)
“นี่คือมื้อเย็นอย่างอลังการ?” คิมี่เดินเข้าไปในครัวก่อนจะหยิบไข่ที่วางอยู่ในถ้วยหนึ่งใบขึ้นมาพลิกๆดู หยุดเลยนะถ้าจะขำเพิ่มอีก คราวนี้เขาจะไม่ทนแล้วนะ ถ้าหัวเราะอีกละก็พ่อจะกระโดดจูบให้! เขามองอีกฝ่ายพลางกัดปาก
“ก็เฮย์กิไม่อยู่บ้าน ในตู้เย็นเลยไม่มีของสดไง มีแต่ไข่ แฮม แล้วก็เนื้อแช่แข็ง” เขาขยับไปยืนใกล้ๆอย่างตั้งใจจะช่วยทำอาหาร แต่คิมี่กลับดันหลังเขาออกมาไม่พอ ยังกดให้เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวอีกต่างหาก
“หื๋อ? ไม่ให้ผมทำเหรอ?”
“นั่งรอไปเถอะ ชั้นจัดการเอง”
“แต่ว่า”
“เถอะน่า...ชั้นอยากทำให้นายกิน” แล้วคำพูดของคิมี่ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังเข้าครัวไปก็ทำให้ใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง คราวนี้มีความร้อนผ่าวบนใบหน้าแถมมาอีก อะไรกันเนี่ยความหวานนี้~ เขาต้องบังคับตัวเองให้นั่งดีๆก่อนที่จะได้ลงไปดิ้นอยู่กับพื้น
....ก็บอกแล้วว่าคิมี่ ไรโคเนนสนิทกับเซบาสเตียน เวทเทล เพราะงั้นมีหรือที่คิมี่จะไม่รู้ถึงฝีมือการทำอาหารที่รับประทานไม่ได้ของเซบาสเตียน และคิมี่ก็รู้ด้วยว่าต้องพูดยังไงอีกฝ่ายถึงจะยอมนั่งรอดีๆไม่ลุกไปก่อกวนซุกซนวุ่นวายสร้างความหายนะให้กับห้องครัวของบ้านที่น่าสงสารหลังนี้
และเพราะแบบนั้น...อาหารมื้อนี้จึงผ่านไปได้ด้วยดี
“อ้า~ อิ่ม~ นี่มันเป็นออมเล็ตที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลยนะคิมี่~” ถึงจะดูแปลกๆที่กินออมเล็ตเป็นมื้อเย็นแต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญแถมเข้าบ้านเค้ากันเองอย่างพวกเขาก็ใช่ว่าจะเลือกอะไรได้มากนัก นัยน์ตาสีเทาทอดมองร่างโปร่งที่กำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางลูบท้อง
“ก็ดีที่นายกินได้” ใบหน้านิ่งยิ้มบางๆอย่างไม่ได้สนใจคำชมมากนัก
“คืนนี้คุณก็นอนที่นี่สิ ข้างนอกเหมือนพายุจะเข้าเลย มืดมากแล้วด้วย กลับตอนนี้อันตรายออก อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าโซ่พันล้อรถอยู่ตรงไหน เนี่ย คุณรู้ไหมว่าผมโทรหาเฮย์กิจนหมอนั่นบอกไม่ต้องโทรมาแล้ว จะนอน ใจร้ายมากเลยนะว่าไหม? ผมก็แค่หาของในบ้านเค้าไม่เจอเลยซักอย่าง” ไหล่บางยักน้อยๆอย่างไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่ไปรบกวนคนอื่นเค้า แล้วก็ไม่ได้รู้ตัวด้วยว่าการแสดงความสนิทกับเทรนเนอร์ชาวฟินน์คนนั้นจะทำให้นัยน์ตาสีเทามีแววเย็นชาอยู่วูบหนึ่ง
คิมี่ ไรโคเนนทอดมองแผ่นหลังโปร่งที่ยืนล้างจานอยู่ที่ซิงค์ ถึงมือจะกำฟองน้ำลูบจานไปมาแต่ริมฝีปากช่างเจรจานั่นก็ยังชวนเขาคุยไม่หยุด แล้วหลายๆครั้งมันก็มักจะเป็นเรื่องของเจ้าของบ้านหลังนี้ จนบางทีเขาก็อยากจะรู้ว่าสองคนนั้นสนิทกันถึงขนาดไหน เซบถึงได้กล้าชวนเขาค้างที่นี่ทั้งๆที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
“แต่คุณคงต้องนอนเตียงเดียวกับผมนะ เฮย์กิบอกให้ผมไปนอนห้องนอนแขกด้านหน้า ผมขึ้นไปดูมาแล้ว เตียงใหญ่พอจะนอนสองคนได้แหละ” ใบหน้ารูปไข่หันมาบอกก่อนจะหันกลับไปล้างจานต่อ เสียงกึงๆของลมที่ปะทะหน้าต่างกระจกทำให้รู้ว่าเขาไม่มีทางอื่นนอกจากการนอนที่นี่ การเดินฝ่าพายุหิมะกลับไปที่รถถือเป็นเรื่องที่งี่เง่ามากถ้าจะทำ
เขาย้ายตัวเองจากโต๊ะกินข้าวมานั่งที่โซฟาหน้าเตาผิง อันที่จริงเขานอนตรงนี้ก็ได้ แต่เขาจะเอาเหตุผลอะไรไปปฏิเสธเซบล่ะ ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อน เป็นผู้ชายเหมือนกัน นอนข้างๆกันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
มันคงจะไม่เสียหายหรอก...ถ้าในใจเขาไม่ได้กำลังคิดไม่ซื่อกับเพื่อนคนนี้
เรานั่งดูถ่ายทอดสดการแข่งฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ที่หน้าเตาผิงด้วยกันจนดึก จนกระทั่งน้ำหนักของอะไรบางอย่างทิ้งลงมาที่ไหล่ของเขา เขาถึงได้หันไปเห็นหัวสีบลอนด์เข้มที่เอนซบมา แพขนตาหนายาวนั่นปิดแนบแก้มใสไปแล้ว
เขาหันกลับไปดูการแข่งขันต่ออย่างไม่ค่อยจะมีสมาธินัก ก่อนหน้านี้เขากับเซบมักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันในระหว่างที่มีแข่งรถเสมอ ถ้าไม่มีสัมภาษณ์หรือปรับแต่งรถเสร็จแล้วเราก็มักไปไหนมาไหนด้วยกัน ใช้เวลากว่าค่อนปีอยู่ด้วยกัน...แต่นั่นมักจะอยู่ในสายตาของสื่อและคนอื่นๆอยู่เสมอ ถึงบางครั้งเซบจะตามติดมาค้างด้วยที่โรงแรมบ้างแต่บรรยากาศมันก็ไม่เหมือนกับการได้นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกันตามลำพังในบ้านหลังน้อยกลางป่าแบบนี้
ลมหายใจของเขาเริ่มจะร้อนผ่าวกว่าปกติ ตอนนี้ทีมไหนตีลูกฮอกกี้เข้าตาข่ายของอีกฝ่ายบ้างเขาก็ดูแทบไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะสิ่งที่สะท้อนอยู่เต็มสองตากลับเป็นใบหน้าที่กำลังหลับปุ๋ยนี่ต่างหาก...มันอยู่ใกล้เสียจนมองเห็นแพขนตาหนาซึ่งมักจะระยิบระยับเวลาถูกแสงแดดจับต้องเสมอ เขาเคยคิดมานานแล้วว่าอยากจูบมัน...และตอนนี้เขาก็กำลังจะทำแบบนั้น...
ใบหน้าของเขาขยับเข้าไปใกล้เปลือกตาที่ยังคงปิดสนิท...นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเพื่อจับจ้องแพขนตายาวงอนอย่างหลงใหล ความจริงบนใบหน้าของเซบยังมีอีกหลายส่วนที่นับว่าสวยงามลงตัวมาก แต่แพขนตาพวกนี้ถือเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจสำหรับเขา...ริมฝีปากบางเฉียบจึงประทับลงไปบนแพขนตานั้นเบาๆก่อนจะไปหยุดอยู่ที่เปลือกตา...
เขาละออกมาเมื่อรู้สึกว่าเซบเริ่มขยับตัว เปลือกตาที่เพิ่งถูกเขาจุมพิตไปค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆราวกับเจ้าหญิงนิทราถูกเจ้าชายปลุกให้ฟื้นคืนมา ใบหน้าของเขาไม่ได้ถอยห่างออกมามากนักแต่เจ้าคนที่กำลังงัวเงียก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในความใกล้ที่ดูจะเกินไป มือบางแค่ยกขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะถามเขาด้วยเสียงงึมงำ
“ฮอกกี้...จบแล้วเหรอ?...โทษทีที่เผลอหลับไป...” หัวสีบลอนด์เข้มพยายามฝืนความง่วงโดยการไถลไปตามพนักโซฟาเพื่อละไปจากการที่เคยเอนซบเขาอยู่
“จบแล้วละ ขึ้นไปนอนกันเถอะ” อันที่จริงจบแล้วหรือเปล่าเขาก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้เขาปิดโทรทัศน์ไปแล้วเรียบร้อย
“อือ...” ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนโงนเงนโดยที่มือก็ยังขยี้ตาไม่เลิก...ถ้าเป็นตอนนี้ละก็...เซบคงจะไม่สงสัยอะไร...ท่านแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักจึงตวัดดึงเอวบางให้มาแนบชิดลำตัวก่อนจะพาเดินขึ้นบันไดไป เขากระซิบบอกคนในอ้อมแขนเพียงว่า
“เดี๋ยวตก”
และแค่เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงได้ เจ้าเด็กแสบสะท้านวงการเอฟวันตอนนี้ก็พลิกตัวหันหน้ามาหาเขาทันที เซบขยับมาซุกเขาราวกับเด็กๆและดูเหมือนตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการสลึมสลืออยู่กึ่งกลางระหว่างความฝันกับความเป็นจริง แล้วใบหน้าครึ่งหลับครึ่งตื่นที่ซุกเข้าหาอกของเขาก็ทำให้ริมฝีปากที่เคยหนักราวกับน้ำแข็งยอมเปิดถามเพราะคิดว่าพรุ่งนี้เซบอาจจะจำไม่ได้แล้วก็ได้ว่าเขาเคยถามมันออกไป
“เซบาสเตียน...นายกับเฮย์กิกำลังคบกันอยู่งั้นเหรอ?” แค่เสียงกระซิบก็เพียงพอแล้วสำหรับร่างกายที่แนบชิดกันอยู่ตอนนี้ ใบหน้ารูปไข่ไม่ได้เงยหน้ามองเขาแต่เซบยังคงซุกมันเอาไว้ที่เดิมมีแค่เสียงงึมงำอย่างคนง่วงงุนตอบกลับมา
“หื๋อ? คบ?” มือบางยกขึ้นมาขยี้ตาอีกรอบอย่างพยายามจะมีสติแต่สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วหลับตานิ่งซุกกลับมาที่หน้าอกเขาเหมือนเดิม
“...ก็...นายกับเฮย์กิ...เป็นแฟนกันอยู่งั้นเหรอ?” เขายังคงกระซิบถามต่อไป เขารู้ว่าคนเราเมื่ออยู่ในสภาวะกึ่งมีสติกับไม่มีสติแบบนี้มักจะไม่พูดโกหก
“งืม......” ใบหน้ารูปไข่ขยับน้อยๆหนีเสียงของเขาราวกับรำคาญที่ถูกรบกวนตอนนอน แต่ท่าทางเหมือนลูกหมาโกลเด้นขี้เซานั่นก็ไม่ได้ทำให้เขายอมจำนน
“...เซบ...ว่ายังไง?...” เขายังคงกระซิบถามใกล้ๆ แล้วเจ้าคนขี้เซาก็ตอบกลับมาเหมือนรำคาญเต็มที
“อืม....ใช่....” และมันก็เป็นคำตอบที่ทำให้หน้าทั้งหน้าของเขาชาวาบ...
ถึงมันจะเป็นคำตอบที่คาดเดาเอาไว้อยู่แล้วแต่พอได้ยินจากปากของเจ้าตัวตรงๆแบบนี้มันก็ทำให้สักที่ในใจของเขาเจ็บแปลบจนแทบจะทนไม่ไหว ใครว่าเขาเป็นมนุษย์น้ำแข็งที่ไม่เคยหวั่นไหวกับสิ่งใด ในเมื่อตอนนี้เขากำลังเจ็บลามไปทั่วแผ่นอกซีกซ้ายและกำลังจะตายเสียให้ได้
นัยน์ตาสีเทาก้มลงไปมองแพขนตายาวที่ปิดแนบแก้มใส ถึงจะรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ของเขาและไม่มีวันเป็นของเขาได้อีกแล้วแต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนกลับไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไป
อยากจะขอฉวยโอกาสแค่คืนนี้คืนเดียวก็ได้...ขอกอดนายเอาไว้แบบนี้...
ก่อนที่พรุ่งนี้นายจะกลับไปเป็นของเขา...
“........งั้นเหรอ...คบกันอยู่จริงๆสินะ....” เขากระซิบด้วยเสียงเลื่อนลอย ตอนนี้หัวใจของเขากำลังจะทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก เพราะทุกความเจ็บปวดมันมันแล่นไปรวมอยู่ที่หัวใจหมดแล้ว
“คุณ...คิดว่าไง...ที่ผู้ชายสองคนคบกันแบบนี้...” คนในอ้อมแขนงึมงำถามออกมาราวกับละเมอ ถึงจะรู้ว่าเซบอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงน้ำเสียงของเขาแต่เขาก็พยายามกัดริมฝีปากก่อนจะบังคับไม่ให้มันสั่นเครือ
“............ก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอก” ใครจะไปชอบ...ที่ผู้ชายที่ตัวเองรักดันไปคบกับผู้ชายคนอื่นกันเล่า
ไม่ชอบ...
ไม่ชอบใจเอาเสียเลย...
“งั้นเหรอ.....” เสียงงึมงำดังออกมาจากใบหน้ารูปไข่ก่อนที่เซบจะหลับไปในที่สุด
ส่วนตัวเขา...คืนนี้จะหลับได้หรือเปล่าก็ไม่รู้...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be Con.
อะไรยังไงกันคะยัยมาดาม ตกลงชอบท่านแต่คบกับคุณเฮย์กิเหรอคะะะะะ // โดนล้อบด หล่อนแต่งเองก็อย่ามาถามผมสิ!
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึงก่อน หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าคุณเฮย์กิเป็นใคร เค้าคือเทรนเนอร์คนก่อนของเซบค่ะ ซึ่งงงงหล่อระดับเทพเจ้ามากกกกกก =q= แล้วเทรนเนอร์ของนางทั้งสามคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็เป็นคนฟินน์ล้วนๆค่ะ สามีนางก็คนฟินน์ค่ะ มีความคัดมาอย่างดีมากนะคะมาดามคะ :v คือนักขับคนอื่นไม่รู้ว่าเป็นแบบนางหรือเปล่านะคะ แต่เทรนเนอร์ของนางนี่จะไปไหนไปด้วยกับนางตลอด24ชม.มากกกก ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมาด้วยกัน ในสนามก็จะอยู่กับนางตลอด แล้วเวลากลับบ้านก็กลับพร้อมกัน ทำตัวประหนึ่งบอร์ดี้การ์ดควบเทรนเนอร์ เป็นทั้งคนคอยดูแล ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ชาย จนบางครั้งก็สงสัยค่ะว่าบ้านคุณเทรนเนอร์ทั้งหลายนี่อยู่ข้างบ้านนางหรือเปล่าคะ 55555 นอกจากเทรนเนอร์ มาดามก็ยังมีเดอะแก๊งอีกคนที่จะไปไหนกับนางตลอดคือคุณแม่บริต (คุณบริตต้า) อารมณ์PRบวกผู้จัดการส่วนตัวอะไรเทือกๆนั้นละนะคะ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยอยู่เรดบลูละ แล้วแก๊งนางฟ้า(?)ของมาดามนี่หน้าตาดีทุกคนนะค้า เหม่~ :v ก็เม้าท์มอยกันไป จริงบ้างมโนบ้างก็ใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลจากคุณกวางนิดนึงนะคะ 55555+
เรื่องโลเคชั่นเอาไว้เวิ่นคราวหน้า เด่วไม่มีอะไรคุย // อินี่... // สำหรับคราวนี้มาพูดถึงชื่อเรื่องกันบ้างดีก่า จริงๆใช้ชื่ออื่นมาสักพักเพราะแอบแต่งมาสักพักแล้วเหมือนกันเรื่องนี้ แต่จากการที่เมื่อวันก่อนรายการหน้ากากนักร้อง(ตามดูอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ5555) เอาเพลงแสนรักของพี่แจ้(หล่อนรุ่นไหนถึงได้เรียกเค้าพี่ห๊ะ 5555+) มาทำใหม่ แล้วมันแบบ...ประทับใจคุณกวางมว๊ากกกกก ชอบเวอร์ชั่นนี้มากๆๆๆๆค่ะ แล้วชื่อเพลงก็แบบนะ...หวานอะไรเบอร์นี้ ถึงแม้เนื้อเพลงจะทำให้นึกถึงพี่แฮมผู้ช้ำรักในกระป๋องกาวมากกว่าก็เถอะ 555555+ ก็เลยขโมยชื่อเพลงมาเป็นชื่อฟิคอีกแล้วค่ะ 55555 แปะเพลง ลองฟังกันดูนะคะ เพราะมว๊ากกกกก
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า เรื่องนี้เป็นฟิคสั้นแก้บนอีกแล้ว 55555+ ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามนะคะ =/////= อ้า~~ ฟิคคะชูยามะตัน ยามะตันคะชูรอหน่อยน้า เห็นคอมเม้นต์ทวงมาก็แว่บไปปั่นให้อยู่ตลอดๆเลยค่ะ >////<
♡
ตอบลบ