Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren] Ai Kotoba : 09.2


Attack on Titan.feat KHR Au Fic [8059 , Levi x Eren]  Ai Kotoba : 09.2

For HBD. HAYATO

: Attack on Titan feat. KHR Gintama Psycho pass Fanfiction  Au
: 8059 , Levi x Eren , Kogami x Ginoza , Takasugi x Katsura
: Period Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ




ร่างในชุดทหารเต็มยศต่างเดินขวักไขว่อยู่ในกรมทหารแห่งเมืองโอคายาม่า ทว่าคนที่โดดเด่นกว่าใครกลับเป็นนายช่างทหารที่ไม่ได้สูงใหญ่แต่กลับดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามคนนั้นเสียมากกว่า

มือในถุงมือสีขาวปิดประตูห้องผู้บังคับบัญชาซึ่งติดยศสูงกว่าเขาไม่เท่าไหร่ก่อนจะก้าวขาจากมาเมื่อเข้าไปรายงานทุกความคืบหน้าของเขตก่อสร้างสะพานเซโตะโอฮาชิเรียบร้อยแล้ว และไม่ว่าวิศวกรหัวกะทิแห่งกรมช่างทหารจะเดินไปทางไหนก็มีแต่สายตาที่คอยแอบมองอย่างอยากรู้อยากเห็น  มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ หลายๆคนคงอยากจะเข้ามาคุยกับเขาเพราะเขามีอำนาจบารมีของพ่อและตระกูลให้คนพวกนั้นตักตวงผลประโยชน์มากมายมหาศาล มันน่ารำคาญเขาเลยมักจะตีหน้าโหดเพื่อกันใครเข้าใกล้จนติดเป็นนิสัยไป 

วันนี้ก็เช่นกันที่ใบหน้าคมยังคงชักสีหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะงั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทาย ไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยด้วย สองขาในรองเท้าบูทสูงจึงก้าวฉับๆอย่างสบายใจออกมาจากอาคารกรมทหารที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบสถาปัตยกรรมไปตามสมัย อาคารไม้สองชั้นแบบเก่าไม่มีแล้วเพราะตอนนี้อาคารลูกผสมสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นกับยุโรปหลังนี้ถูกก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังก็ก่ออิฐฉาบปูนแทนที่จะเป็นฝาไม้ และไม่ใช่เพียงแค่อาคารของกรมทหารที่เปลี่ยนไปแต่ต้องกล่าวว่าเมืองโอคายาม่าทั้งเมืองกำลังค่อยๆเปลี่ยนไปตามรูปแบบสมัยใหม่มากขึ้นเรื่อยๆต่างหาก

นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองความเจริญของเมืองผ่านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เห็นได้ทันทีหลังจากที่ก้าวขาออกมาจากรั้วของกรมทหาร บ้านช่องร้านค้ากำลังค่อยๆเปลี่ยนเป็นตึกตามแบบตะวันตก ถนนกลางเมืองเส้นใหญ่บัดนี้ก็มีรถรางวิ่งอยู่ตรงกลาง ถึงจะเป็นสายสั้นๆไม่ได้ยาวและเยอะเหมือนในเมืองหลวงแต่สำหรับส่วนภูมิภาคแล้วก็ถือว่าหรูหราทีเดียว ผู้คนก็มีที่เริ่มใส่ชุดสากลอยู่ประปราย เขาไม่ได้ข้ามมาโอคายาม่าแค่สามเดือนก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

ที่จริงแล้วเขาต้องไปรายงานตัวและรายงานความคืบหน้าในการก่อสร้างที่เมืองโอซาก้า ทว่า กว่าจะล่องเรือข้ามทะเลเซโตะไนไกไปจนถึงโอซาก้าก็ต้องใช้เวลาเป็นวันๆซึ่งเขาไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น ประกอบกับเส้นสายขนาดใหญ่ที่ติดตัวเขามา การขอโอนอำนาจรับผิดชอบให้การก่อสร้างสะพานของเขาไปอยู่ที่กรมทหารในภูมิภาคชูโกกุจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะงั้นเขาจึงใช้เวลาแค่ครึ่งวันล่องเรือมารายงานตัวที่เมืองโอคายาม่าที่อยู่ใกล้กว่าแทน แต่ถึงจะบอกว่าใกล้กว่า ยังไงเสียเขาก็ต้องมานอนค้างให้เสียเวลาตั้งคืนนึง วันนี้เขาเลยตั้งใจมารายงานผลการก่อสร้างแต่เช้าจะได้รีบกลับชิโกกุให้ทันช่วงบ่าย

และทั้งๆที่ตั้งใจจะไปเดินซื้อของแล้วรีบขึ้นเรือกลับเขตก่อสร้าง สองขากลับต้องชะงักเมื่อจู่ๆทางที่คิดว่าสะดวกเพราะคงไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยกับเขามันกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด...เมื่อรถลากคันหนึ่งแล่นมาจอดลงตรงหน้า นัยน์ตาสีขี้เถ้าเบิกค้างเมื่อมองเห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ในชุดกิโมโนเต็มยศแลดูสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ในรถลากคนนั้นเป็นใคร ริมฝีปากขานเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงที่เหมือนจะหายไปจากลำคอ

“นายหญิง....?”   ใบหน้าคมยังตะลึงอึ้งค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาเจออีกฝ่ายที่นี่ ร่างระหงที่ดูแทบไม่รู้ว่าอายุอานามพอจะเป็นย่าให้หลานๆได้แล้วก้าวขาลงมาจากรถลาก ใบหน้าที่แต่งแต้มจนสวยสง่าจิกสายตามองลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ นี่ถ้าเธอไม่มีเส้นสายคนรู้จักอยู่ที่นี่จนแอบรู้กำหนดการว่าจะเข้ามารายงานตัวเมื่อไหร่ เธอก็คงจะไม่ได้เจอหน้าพ่อลูกชายตัวดีไปอีกกี่ปีก็ไม่รู้

“สวัสดีผู้พัน พอจะมีเวลาคุยกับแม่หน่อยไหม?”   น้ำเสียงเฉียบขาดกับสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ส่งมาให้เสียขนาดนั้นต่อให้เป็นนายช่างทหารที่รบรากับความโหดร้ายของเขตก่อสร้างมานักต่อนักก็คงไม่อาจจะปฏิเสธได้ ใบหน้าเอือมระอาจึงพยักรับอย่างหน่ายๆ เขากับแม่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากไปกว่าคนในครอบครัวธรรมดาๆ ในสายตาของเขาแม่ก็คือคนที่จู้จี้เจ้ากี้เจ้าการเจ้ายศเจ้าอย่างและน่ารำคาญไม่แพ้คนอื่นๆที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากเขา เพราะแม่เองก็เห็นเขาเป็นแค่หน้าตาของวงศ์ตระกูลเท่านั้นแหละ แน่นอนว่าแม่เป็นคนแรกๆเลยที่ไม่ยอมรับเรื่องที่เขาหันไปเรียนทางด้านวิศวกรรมแทนที่จะเรียนการปกครองแล้วมาเป็นทหารเต็มตัวแบบพ่อของเขา ดูจากการที่แม่ไม่เคยเรียกเขาว่านายช่างเหมือนที่คนอื่นๆเรียก แต่กลับเรียกเขาว่าผู้พันตามยศพันเอกที่เขามี และเขาเองก็ไม่เรียกอีกฝ่ายว่าแม่แต่เรียกนายหญิงเช่นกัน...มันคงจะเป็นคำเรียกที่แสดงความสนิทสนมในแบบของพวกเขากระมัง

“แล้วก็นี่...คุณหนูฟูจิวาระ โทคิโกะ ที่แม่เคยแนะนำให้รู้จักไง”   มือเรียวสวยผายไปตรงหน้าเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามากับแม่ของเขาด้วย...อ้อ...จุดประสงค์ที่ตามเขามาถึงนี่ทั้งๆที่ห่างไกลจากโตเกียวขนาดนั้นก็เพราะเรื่องนี้เองสินะ บอกตามตรงว่าเขาจำไม่ได้หรอกว่าแม่เคยแนะนำตอนไหน เป็นคนในรูปถ่ายในจดหมายฉบับไหนก็ไม่รู้

ร่างแข็งแกร่งโค้งนิดๆให้เด็กสาวตามมารยาท ถึงเขาจะป่าเถื่อนยังไงแต่เขาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเด็กสาวที่แม่ของเขาหมายตาจะให้มาเป็นสะใภ้นั้นไม่ธรรมดาสักคน ถ้าไม่ใช่พวกลูกหลานตระกูลผู้มีอิทธิพลรวยล้นฟ้าก็คงจะมาจากชนชั้นสูงตระกูลผู้ดีเก่าแก่อะไรแบบนั้นเพราะแม่เองก็มีพื้นฐานมาจากพวกชนชั้นสูงเช่นกัน

แล้วนี่...ถ้านายหญิงรู้ว่าเขาแอบซุกเจ้าลูกหมาที่ไม่มีอะไรเลยเก็บเอาไว้...จะไม่บ้านแตกหรือไงกันนะ?

เขาแอบขำอยู่ในใจ ยังไงก็ไม่ได้คิดจะฟังคนเป็นแม่อยู่แล้วเพราะงั้นตอนนี้จะยังไงก็ช่างเถอะ ร่างทั้งสามจึงเดินไปภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นหรูหราที่อยู่ใกล้ๆกรมทหาร ห้องอาหารแบบส่วนตัวถูกเปิดสำหรับพวกเขาห้องหนึ่งและตอนนี้ร่างแข็งแกร่งก็กำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับเด็กสาวที่มีท่าทีเอียงอายนิดๆตามจริตของผู้หญิง

หึ....ทำไมเขาดันนึกถึงเจ้าลิงทโมนแห่งคณะละครคาบุกิไปได้นะ...ถ้าเป็นเจ้าเด็กเหลือขอนั่นละก็ไม่มีวันจะมานั่งเขินอายอยู่แบบนี้แต่คงจ้องของกินบนโต๊ะตาไม่กระพริบพลางน้ำลายไหลยืดอยู่แน่ๆ

นัยน์ตาคมกล้าตวัดมองเด็กสาวตรงหน้าแค่ปราดเดียวก่อนจะคิดว่ายังไงเจ้าลูกหมาที่เขานอนกอดอยู่ทุกวันยังน่ารักกว่าตั้งเยอะ ผู้หญิงที่ดูเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิตชีวาแบบนี้มีไว้แค่ประดับบ้านเท่านั้นแหละ จะให้มาอยู่เคียงข้างในฐานะเมียคงไม่ไหว...เขาไม่ได้ต้องการแม่บ้าน ไม่ได้ต้องการตุ๊กตา ไม่ได้ต้องการฐานะหรือเงินทอง เพราะงั้นเมียเขาไม่จำเป็นต้องทำงานบ้านหรือทำอาหารเก่ง ไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ ไม่จำเป็นต้องมีหน้ามีตาในวงสังคม...เขาต้องการคนที่พร้อมจะอยู่กับเขาตลอดเวลา คอยยิ้มคอยทำให้เขาสบายใจได้แค่นั้นก็พอ...อ้อ...ขอสวยๆด้วยก็ดี

มือแข็งแรงจึงคีบอาหารตรงหน้าเข้าปากโดยไม่คิดจะเปิดบทสนทนาใดๆและเด็กสาวเองก็ถูกสอนมาอย่างดีว่าไม่ควรจะให้ท่าชวนผู้ชายคุยก่อน เพราะงั้นห้องอาหารในวันนี้จึงเงียบกริบ...ก็ดี...เขาเองก็ขี้เกียจตอบคำถามพื้นฐานของการดูตัวอย่างชอบอะไร ไม่ชอบอะไรพวกนั้นเต็มที เพราะยังไงเสียอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาก็คงจะลืมเด็กสาวคนนี้ไปแล้วละ

เขาโค้งให้เด็กสาวแทนคำบอกลาก่อนจะขอตัวออกจากห้องมาหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างทานอาหารเสร็จ หน้าที่ต่อครอบครัวของเขาก็ลุล่วงไปแล้วละมั้งวันนี้ เพราะงั้นเขาจึงตั้งใจจะไปทำธุระของตัวเองแล้วรีบกลับชิโกกุสักที ทว่า เสียงทักของผู้เป็นแม่ก็หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน

“น้องเป็นยังไงบ้างผู้พัน? ตกลงไหมคนนี้? แม่จะได้เตรียมสู่ขอให้”   สู่ขออะไรล่ะ คุยสักคำยังไม่ได้คุยกันเลย! เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

“ถ้าสู่ขอเธอมาละก็ ท่านก็เตรียมแต่งกับเธอเองก็แล้วกันนายหญิง”   ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ใช้เข้าสังคมของคนเป็นแม่ถึงกับสะดุดกึกทันทีที่ได้ยินคำพูดขวานผ่าซากของเขา รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าสวยกระตุกที่มุมปากอย่างพยายามเก็บความไม่พอใจที่ลูกชายเอาแต่ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ 

“ข้าขอตัวละ ยังมีธุระต้องไปทำอีกมาก ฝากสวัสดีท่านนายพลด้วยก็แล้วกัน”   จากนั้นร่างแข็งแกร่งก็เดินออกมาอย่างไม่สนใจใคร ไม่สนว่าคนที่อุตส่าเดินทางมาหาตั้งไกลนั่นจะกระทืบเท้าเป็นไฟอยู่ข้างหลังยังไง เป็นแบบนี้ประจำแหละ ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจหรอก

ร่างในชุดทหารเต็มยศเดินทอดน่องเข้าไปในย่านร้านค้าที่คึกคักไปด้วยผู้คน ไหนๆก็ข้ามมาฝั่งฮอนชูทั้งทีเลยว่าจะเดินไปซื้อกระดาษสำหรับเขียนแบบแผ่นใหญ่ๆและของใช้จำเป็นที่หาไม่ได้บนเกาะชิโกกุสักหน่อย...อ่า...รวมไปถึงขนมที่เจ้าลูกหมาฝากให้เขาซื้อไปให้นั่นด้วย

เขาใช้เวลาไม่นานก็ซื้อของที่ต้องการได้จนหมด สองแขนหอบกล่องและห่อใส่ของพะรุงพะรัง แล้วไหงของๆเขาถึงได้มีน้อยกว่าขนมของเจ้าเด็กเหลือขอแบบนี้เนี่ย? มันน่าให้มาขนเองนัก! พอรู้ว่ามันเป็นของไร้สาระก็รู้สึกหนักขึ้นมาเลยทีเดียว!

แล้วในขณะที่กำลังหอบขนมของเรนเต็มสองแขน สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับผ้าคลุมไหล่ที่วางโชว์เอาไว้ในห้องกระจกหน้าร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง...มันเป็นผ้าคลุมไหล่ขนเฟอร์บางๆสีขาวแบบที่กำลังนิยมในเมืองหลวงและดูท่าทางจะอุ่นดี แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะใช้ของของผู้หญิงแบบนี้แล้วก็ไม่ได้คิดจะซื้อให้นายหญิงเพื่อตอบแทนบุญคุณที่อุตส่าพาคู่ดูตัวมากวนเขาถึงที่นี่ด้วย

แต่ทันทีที่เขาเห็นผ้าผืนนี้เขากลับคิดถึงเจ้าลูกหมาขนสีน้ำตาลบนเกาะชิโกกุ...

ถ้าเป็นเด็กนั่นใช้...ก็คงจะเหมาะดี...

จะว่าไปอากาศก็เริ่มจะเย็นแล้วแต่เขาก็ไม่เคยเห็นเจ้าเด็กที่เอาแต่วิ่งเล่นไปวันๆนั่นจะสวมฮาโอริคลุมอีกชั้นเหมือนคนอื่นๆเค้าเลย จะว่าไม่มีเสื้อกันหนาวก็คงไม่ใช่ แต่อาจจะใช้เป็นกิโมโนที่มีความหนาแทนละมั้งอย่างเจ้าเด็กกะโปโลไม่รักสวยรักงามทั้งๆที่เป็นถึงดาวเด่นของโรงละครนั่น ใบหน้าคมอมยิ้มเมื่อนึกถึงนิสัยเด็กๆของเรน 

“เอาผืนนี้ ห่อให้ด้วย”   มือใหญ่หยิบผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นส่งให้เจ้าของร้าน ป้ายราคาที่ติดอยู่ทำให้เขาไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครมาแย่งกับเขาทั้งๆที่มันสวยขนาดนี้

เจ้าของร้านห่อผ้าผืนนั้นให้อย่างดี ตอนที่เขารับมาก็กำลังคิดว่าซื้อให้แต่เรนจะเป็นไรหรือเปล่านะ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะให้ของแบบนี้กับโกคุเดระ ฮายาโตะ เพราะรู้ว่ามันไม่เหมาะสม ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครจึงเลี้ยวไปที่มุมถนนเพื่อแวะไปยังร้านหนังสือที่เขามาเป็นประจำ มือใหญ่หยิบตำราภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งขึ้นมา...ถ้าเป็นเจ้านี่น่าจะเหมาะกว่า




ยังไม่ทันจะเที่ยง เรือกรมช่างทหารของเขาก็แล่นออกจากโอคายาม่าแล้วมุ่งหน้ากลับเกาะชิโกกุ

สายลมอมกลิ่นเค็มของทะเลลอยมาปะทะใบหน้าคมที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ เมืองใหญ่และอาคารทันสมัยค่อยๆห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ภาพบ้านเรือนที่ค่อยๆเล็กลงทำให้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกดูดให้ย้อนกลับไปยังอดีต กลับไปยังหมู่บ้านเล็กๆที่ยังคงความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้แทบทุกกระเบียดนิ้ว กลับไปยังเกาะอันห่างไกลที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

มุมหนึ่งในหัวใจของเขาก็เคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันนะว่าจะดีแล้วหรือที่เขาทำสะพานข้ามไปยังดินแดนที่แสนบริสุทธิ์แห่งนั้น เอาความทันสมัยไปแปดเปื้อนเจือปนและทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักเกาะชิโกกุ

บางทีเขาก็เคยคิดอยากจะซ่อนมันเอาไว้ ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครมาวุ่นวาย...คิดจะเก็บมันเอาไว้...ให้เป็นที่แห่งความสบายใจของเขาคนเดียว...

พอนึกมาถึงตรงนี้...จากที่มันควรจะเป็นภาพของเกาะชิโกกุ...ในหัวของเขากลับมีแต่ภาพของเจ้าลูกหมานั่นลอยขึ้นมา...สิ่งที่เขาอยากจะซุกซ่อนเอาไว้คืออะไรกันแน่นะ...

ใบหน้าคมละจากท้องทะเลสีครามก่อนจะหันมามองกองสิ่งของที่เขาไปขนซื้อมาจากโอคายาม่าซึ่งเป็นของของเรนไปกว่าครึ่ง

เขาที่เอาแต่คิดถึงเจ้าเด็กนั่น...คงต้องยอมรับหัวใจของตัวเองได้แล้วกระมัง...







เรือของกรมช่างทหารแล่นเข้าจอดเทียบปลายสะพานปลาก่อนที่บรรดาลูกน้องและคนงานจะรีบวิ่งมาต้อนรับ

“ยินดีต้อนรับกลับครับนายช่าง!”   ใบหน้าคมเพียงพยักรับอย่างไม่มีพิธีรีตอง เรียวขาในกางเกงทหารสีกรมท่าก้าวฉับๆลงจากเรือ

“ตรวจนับจำนวนแล้วก็จัดเก็บวัสดุก่อสร้างที่เบิกมาให้เรียบร้อยด้วย ส่วนกองนั้นเอาไปไว้ที่ห้องทำงานข้า”   นายช่างหนุ่มหันไปสั่งคนงานก่อนจะเดินนำกลับไปยังห้องทำงานของตน สิ่งแรกที่นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองหาก็คือร่างโปร่งบางที่ไม่ได้เห็นมาคืนนึงเต็มๆ แต่ที่โซฟารับรองแขกตัวนั้นก็ว่างเปล่า...

เจ้าเด็กเหลือขอนั่นไม่อยู่รึ?

แขนแข็งแรงท้าวขอบหน้าต่างก่อนจะชะโงกหน้าออกไปมองหารอบๆห้องทำงานแต่ก็ไม่มีแม้แต่เงา ช่วงนี้เรนไม่ต้องซ้อมหนักเท่าโกคุเดระ ฮายาโตะ แล้วอีกอย่างฤดูใบไม้ร่วงก็มืดไว เด็กนั่นเลยมักจะมาที่เขตก่อสร้างตั้งแต่บ่ายกว่าๆ ปกติก็น่าจะมานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโซฟาของเขาแล้วสิ?

สองขาจึงก้าวพรวดๆออกจากห้องก่อนจะดักถามลูกน้องที่เดินผ่านมาพอดี

“เรนมารึยัง?”

“เอ...มาได้สักพักแล้วนะครับนายช่าง ไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานของนายช่างเหรอครับ?”   เขาโบกมือไล่ลูกน้องก่อนจะมองห้องทำงานที่ว่างเปล่าอย่างสงสัยว่าเจ้าเด็กนั่นหายไปไหน  ร่างที่ยังอยู่ในชุดทหารเต็มยศจึงลองเดินหารอบๆเขตก่อสร้าง เพราะเขามีอะไรบางอย่างอยากจะบอกกับเด็กนั่นและเขาก็ไม่อยากจะปล่อยความรู้สึกนี้ให้ค้างๆคาๆอีกต่อไป

เขาหยุดยืนอยู่ที่ชายน้ำอย่างพยายามไม่ให้คลื่นลูกเล็กๆสาดซัดมาโดนรองเท้าบูทที่สวมอยู่ ใบหน้าคมมองตรงไปยังสุดชายหาดทั้งทางเหนือและทางใต้ มองออกไปในทะเลที่กว้างใหญ่แต่ก็ไม่เห็นเงาของใครดำผุดดำว่ายอยู่ในนั้น...เรนไม่ได้อยู่ที่ชายหาด ไม่ได้ลงไปเล่นน้ำ แล้วก็ไม่ได้อยู่ในอาคารไหนๆในเขตก่อสร้างเลย...นัยน์ตาสีขี้เถ้าจึงทอดมองไปยังชายป่าที่อยู่รอบๆเขตก่อสร้าง...หากเป็นฤดูอื่นป่าแห่งนั้นคงดูรกชัดทึบทึมน่ากลัว แต่พอเป็นฤดูใบไม้ร่วงมันกลับเต็มไปด้วยสีสันทั้งส้ม แดงและเหลือง ใบสีเขียวที่เคยเรียงซ้อนกันจนหนาก็เปลี่ยนสีแล้วค่อยๆร่วงจนบางตา ทำให้ผืนป่าที่เคยน่ากลัวกลับสวยงามน่าเข้าไปเดินเล่น...แล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจ สองขาของเขาจึงก้าวออกไป...ยังชายป่าแห่งนั้น...

ยิ่งเดินห่างออกจากทะเล...เสียงคลื่นก็ค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นเสียงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในป่าแทน ใบหน้าคมเงยมองต้นโมมิจิที่ขึ้นเป็นวงกว้างและกำลังแดงสะพรั่ง สีสันอันตระการตาของผืนป่าทำให้ละสายตาจากไปแทบไม่ได้ แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่เสียงๆหนึ่งก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น มันไม่ใช่เสียงสัตว์และไม่ใช่เสียงใบไม้เสียดสีกันตามธรรมชาติ แต่เท่าที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเสียงการก้าวขาของมนุษย์เพราะมันเป็นจังหวะ?

ใครกัน? แล้วมาทำอะไรอยู่ในป่าแบบนี้?

มือแข็งแรงแหวกกิ่งก้านซึ่งเต็มไปด้วยใบสีแดงที่ห้อยย้อยลงมาต่ำของต้นโมมิจิเพื่อแอบดูว่าใครอยู่ตรงนั้น

แล้วสิ่งที่นัยน์ตาสีขี้เถ้าเห็นก็ทำให้มันถึงกับต้องมองจนตาค้าง

ร่างโปร่งบางนั้นเป็นของเรนที่เขากำลังตามหา ทว่า ตอนนี้เด็กนั่นดูแตกต่างจากเจ้าลูกหมาที่เขารู้จัก...

มือเรียวกำลังกรีดพัดสีทองเช่นเดียวกับแขนกิโมโนยาวที่วาดเป็นวงกลม ร่างสะโอดสะองนั่นกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางใบโมมิจิสีแดงสดที่กำลังโปรยปรายลงมา...ภาพตรงหน้าทำเอาหัวใจดั่งหินผาถึงกับกระตุกสั่นไหว  ยิ่งร่างโปร่งบางยังคงรำพัดต่อไปด้วยใบหน้าสงบเท่าไหร่มันก็ยิ่งพราวไปด้วยสเน่ห์และงดงามจับใจ

ปลายเท้าขาวๆก้าวเดินไปบนพรมสีแดงของใบโมมิจิที่ทับถมจนมองไม่เห็นสีอื่นใด ทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวล้วนสะกดสายตาจนเขาเผลอมองตามอย่างหลงใหล

สวย...

เด็กนั่นสวยมาก...

แค่ได้มองก็มีความสุข เป็นความงดงามที่ทำให้หัวใจสั่นไหว เป็นความงดงามที่ทำให้เลือดในกายร้อนผ่าว เป็นความงดงามที่ทำให้เกิดความต้องการ เป็นความงดงามที่ทำให้สัญชาตญาณดิบพุ่งพล่าน...เป็นความงดงาม...ที่เขาไม่เคยมองเห็นในผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาก่อน...

เรนเท่านั้น...

ต้องเป็นเด็กนี่เท่านั้น...

คนที่จะเป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายของเขา...


ร่างในชุดทหารจึงก้าวขาออกไป...จากที่ที่เคยซ่อนทุกอย่างเอาไว้...ท่อนแขนแข็งแรงสอดรวบเอวบางเข้ามาแนบกายในขณะที่เรนกำลังหมุนรอบตัวพอดี นัยน์ตาสีมรกตกลมโตจ้องมองคนมาใหม่อย่างแปลกใจก่อนที่มันจะต้องเบิกกว้างเมื่อจู่ๆนายช่างหนุ่มก็ขยับใบหน้าเข้าไปหาอย่างไม่บอกไม่กล่าวและไม่ทันให้ตั้งตัว...ไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีไปจากจุมพิตแผ่วเบาที่ประกบลงไปบนกลีบปากสีระเรื่อนั่นได้....

ตุบ...

พัดสีทองร่วงลงจากมือบางท่ามกลางร่างกายที่นิ่งค้าง รอยจูบที่ริมฝีปากยังอบอวลแม้มันจะแผ่วเบา แต่กระนั้นก็ทำเอาคนที่เพิ่งเสียจูบแรกไปถึงกับนิ่งงัน

นัยน์ตาสีมรกตกลมโตจ้องมองหน้าเขาด้วยแววตาที่ยังเบิกค้าง ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่ริมฝีปากของตัวเองราวกับไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง...ที่ผ่านมาเขาอาจจะเผลอจูบเด็กนี่ไปบ้างแต่ครั้งนี้คือจูบจากความตั้งใจของเขาจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงตั้งใจจะย้ำให้ชัดเจน...ด้วยริมฝีปากที่แนบลงไปที่กลีบปากนุ่มนั่นอีกครั้ง

เมื่อละใบหน้าออกมา...นัยน์ตาสีมรกตที่งดงามคู่นั้นก็ยังคงจ้องตรงมาที่เขา ความกลมโตและแวววาวของมันทำให้นึกรักจนอยากจะกอดเอาไว้แน่นๆ

“นายช่าง...”   ริมฝีปากที่เพิ่งถูกจุมพิตไปเอ่ยเรียกเขา ในหัวของเจ้าเด็กตรงหน้าคงกำลังตีกันจนสับสนวุ่นวาย ริมฝีปากช่างเจรจาถึงได้ไม่พูดอะไรออกมาได้แต่ปล่อยให้ดวงตาคู่โตจับจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น สองมือของเขายกขึ้นประคองแก้มใสอย่างนึกเอ็นดู

“ตอนนี้...ข้าแน่ใจแล้ว...ว่าข้ารู้สึกยังไงกับเจ้า”   เขามาที่นี่ก็เพื่อจะบอกความรู้สึกในใจของเขาให้เรนรับรู้

“เอ๊ะ?”

“ให้ข้าได้บอกมันกับเจ้าได้หรือไม่?”

“อะ อื้อ....”


ตุบ...


เขาได้เรียนรู้มาแล้วว่าการใช้คำพูดมักยากขนาดไหนเพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะบอกเด็กนี่ด้วยภาษากายที่เขาถนัดมากกว่า ร่างโปร่งบางจึงถูกดันให้ล้มลงไปบนใบโมมิจิ ปลายผมที่กำลังยาวกับกิโมโนสีขาวแผ่สยายลงบนพรมสีแดงฉานที่ทับทมกันจนหนา ริมฝีปากของเขาประกบลงไปบนกลีบปากนุ่มนิ่มนั่นอีกครั้ง มืออีกข้างสอดเข้าไปในรอยแหวกของกิโมโนก่อนจะสัมผัสต้นขาอ่อนนุ่มแผ่วเบา แต่แค่นั้นมันก็ทำให้คนที่ไม่เคยถูกล่วงเกินถึงกับรีบตะปบมือของเขาเอาไว้

“นายช่าง? ไหนท่านบอกว่าท่านจะไม่ทำอะไรข้าจนกว่าจะแน่ใจในตัวเองไงล่ะ?”  นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองเขาอย่างมึนงงสับสนจนเขาต้องถอนหายใจ

“ก็ตอนนี้ข้าแน่ใจในตัวเองแล้วไง ข้าถึงได้คิดจะกอดเจ้า”   เอ่างง...เจ้าลูกหมาทำหน้างงเข้าไปใหญ่ ถ้าเขาไม่บอกรักไปตรงๆก็คงจะยังงงแบบนี้ต่อไปละมั้ง?


“ข้ารักเจ้า”


เขากระซิบถ้อยคำนั้นที่ใบหูบางอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เรนนิ่งค้างไปหลายวินาทีก่อนที่แก้มใสจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด...แดง...ไล่มาจนถึงใบหู

“ทะ ท่าน...นายช่าง...ท่าน...เมื่อกี้มัน...ข้าหูแว่วไปเหรอ? หรือข้าฝัน? หรือท่านเป็นเทพจิ้งจอกมาหลอกลวงข้า? หรือว่า อื้อ...”

นายช่างหนุ่มประกบปิดริมฝีปากช่างเจรจาน่ารำคาญนั่นด้วยริมฝีปากของตัวเองอีกครั้ง ลิ้นร้อนสอดใส่เข้าไปก่อนจะเกี่ยวพันปลายลิ้นที่ยังตกใจกับผู้บุกรุก แน่นอนว่าเขาจู่โจมแบบไม่คิดจะให้ต่อต้าน กวาดต้อนความหอมหวานจนแม้แต่ลมหายใจของเด็กนั่นมาจนหมด

หึ...หอบแฮ่กขนาดนี้ยังจะคิดว่าฝันไปอีกไหม?

เขาจรดหน้าผากเอาไว้กับหน้าผากใสของคนข้างใต้ที่ยังหอบไม่หยุด ลมหายใจที่อยู่ใกล้กับใบหน้าของคนที่ทำให้เขาหลงรักทำให้หัวใจที่เคยเย็นชามีความอบอุ่นขึ้นมา เขาพรมจูบไปบนเปลือกตาบางเบาๆ พรมจูบลงไปบนขมับ พรมจูบลงไปบนเนินแก้ม พรมจูบลงไปบนจมูกรั้น พรมจูบลงไปบนปลายคาง แล้วก็พรมจูบลงไปบนริมฝีปากบอบบาง

เขาอยากจะทำมากกว่านี้...ใช่...เขาอยากจะทำมากกว่านี้...

แต่เม็ดฝนที่ร่วงเปาะแปะลงมาจากฟากฟ้าก็ทำให้ฝ่ามือที่ยังสอดอยู่ในรอยแหวกของกิโมโนต้องหยุดชะงัก ใบหน้าคมเงยมองท้องฟ้าดำทะมึนอย่างนึกหงุดหงิดใจกับไอ้ฝนหลงฤดูนี่ อย่างแรกมันทำให้เขาต้องหยุดสิ่งที่กำลังจะทำอยู่ตรงนี้ แล้วดีไม่ดีมันอาจจะทำให้งานก่อสร้างสะพานของเขาต้องพลอยหยุดไปด้วย

ใช่...หลังจากไปที่กองบัญชาการทหาร เขาจึงพอจะรู้มาบ้างจากกรมพยากรณ์อากาศ ว่ากำลังจะมีพายุเข้าที่นี่ เขาถึงได้ต้องรีบกลับมาจากโอคายาม่า รีบตามหาเจ้าเด็กเหลือขอเพื่อจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่งั้นอาจจะไม่ได้เจอกันอีกหลายวันก็เป็นได้

“กลับกันเถอะ ชิโกกุกำลังจะมีพายุเข้าในอีกวันสองวันนี้”   นายช่างหนุ่มดึงมือให้ร่างโปร่งบางให้ลุกขึ้นตามด้วยท่าทางที่ยังมึนงง จนกระทั่งฝนเม็ดหนึ่งหยดแหมะลงไปบนใบหน้าใสให้ความเย็นช่วยปลุกจากภวังค์นั่นแหละ เจ้าลูกหมาถึงได้โวยวายออกมา

“เอ๊ะ?! ฝนตกนี่นายช่าง! ข้าต้องกลับบ้าน!”   เจ้าดาวเด่นแห่งคณะละครคาบุกิกระตุกมือเขาที่จับเอาไว้รัวๆ

“ข้าต้องไปช่วยท่านแม่ปิดประตูกันฝน มันหนักมาก ทำไมฝนถึงมาตกเอาฤดูนี้เนี่ย?”   ใบหน้าได้รูปบ่นเป็นหมีกินผึ้งก่อนทำท่าจะเดินไปด้านที่เป็นถนน เขาจึงดึงมือขาวๆนั่นเอาไว้

“ตามมา ข้าจะขี่ม้าไปส่ง รอเกวียนเมื่อไหร่จะได้ไป”   เจ้าเด็กเหลือขอมองเขาตาปริบๆก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เขาทำอะไรแบบนี้ให้ ถึงจะยอมรับไปแล้วก็เถอะว่ารักแต่ความหน้าไม่อายของเจ้าเด็กนี่บางทีก็ทำให้เขาเขินแทนได้เหมือนกันนะ

ใบหน้าคมจึงเสมองไปทางอื่น...ในขณะที่จับมือเด็กนั่นไว้แล้วเดินไปด้วยกัน...














สายฝนเม็ดหนาตกกระทบลงไปบนร่มไม้สีดำคันใหญ่แต่คนที่ถือมันก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไปไหน

เจ้าของผมสีดอกเลาในกิโมโนสีดำสนิทยืนมองกลุ่มอาคารของศาลเจ้าอยู่ใต้ต้นโมมิจิซึ่งอยู่ไกลออกมา ใบสีแดงร่วงหล่นไปตามสายฝนกระทบกับร่มสีดำก่อนจะลงสู่พื้นด้วยความชุ่มฉ่ำ ลานหินสีเข้มของศาลเจ้าบัดนี้จึงดูตระการตาไปอีกแบบ

คนที่ยืนถือร่มอยู่นั้นคือเจ้าบ้านยามาโมโตะ และยามาโมโตะ ทาเคชิก็เป็นลูกชายของเขาเอง

สายตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทอดมองไปยังประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดแง้มเอาไว้และมันก็ทำให้เสียงอ่านภาษาต่างชาติที่ไม่คุ้นเคยดังลอดออกมา

นัยน์ตาสีเปลือกไม้เช่นเดียวกับผู้เป็นลูกชายไล่มองเจ้าของผมสีเงินที่นั่งท่องหนังสืออยู่ในห้องๆนั้น...เขายอมรับว่าโกคุเดระ ฮายาโตะเป็นเด็กหน้าตาดีและเป็นคนมีความพยายาม หัวสมองก็เฉียบแหลม

เพียงแต่...เขามองไม่เห็นผลประโยชน์อะไรเลยหากทาเคชิจะรักเด็กนั่น

แทนที่การแต่งงานจะช่วยทำให้ตระกูลยามาโมโตะได้ผูกสายสัมพันธ์กับตระกูลที่มั่งคั่งมั่นคงหรือตระกูลผู้ดีมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ผู้นำตระกูลยามาโมโตะคนต่อไปกลับต้องอยู่ในกำมือเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มียศถา ไม่มีบรรดาศักดิ์ ไม่มีอะไรสักอย่าง

แล้วจะให้เขายอมรับได้ยังไง?

อีกทั้งเด็กนั่นยังเป็นผู้ชาย มีทายาทให้เขาก็ไม่ได้...แค่คิดก็ผิดจารีตประเพณีแล้ว


ยังไง...ก็คงไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ


ร่างในกิโมโนสีดำจึงก้าวขาเดินจากไป ความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะยอมรับค่อยๆกลืนหายไปกับสายฝน

ถ้าแม้แต่ลูกชายเขาก็ยังควบคุมไม่ได้...แล้วจะเป็นนายใหญ่ของเกาะชิโกกุได้ยังไง...











.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

โปรดติดตามต่อต่อไป...ไป...ไป...



อะโห...ฟิควันเกิดก๊ก แต่มีก๊กโผล่มาอยู่แว่บเดียวถถถถถถถถ อย่าขว้างไดนาไมต์ใส่มี๊ >[ ]< มี๊ผิดไปแล้ว >[ ]<

ก่อนจะเวิ่นเว้อ แฮปให้ลูกสาวก่อง


สุขสันต์วันเกิดนาลูกหนูก๊ก >3<


อวยพรกันมาแบบนี้จะเป็นสิบปีแล้วไหมเนี่ย5555 และมี๊ก็จะอวยกันต่อไป ต่อให้รีบอร์นจะจบไปอีกสิบปียี่สิบปีก็จะรักก๊กแบบนี้ต่อไปนาลูก >3<

อันที่จริงตั้งใจมากว่าจะแต่งตอนพิเศษของ GLIDE ให้ ตามที่ลงของคู่รีเอไปแล้วตอนนึง แต่มันก็ยังไม่ถึงไหนเรยค่ะถถถถ เลยปั่นพญาเหยี่ยวตอนนี้ให้ก่อนแบ้วกัน GLIDE : RED Season นั่นพล็อตของทางฝั่ง 8059 ยังเมาๆอยู่ ขอมี๊ตบตีและเขียนต้นฉบับเวอร์ชั่นคิมี่เซบให้จบก่อง ใกล้แระๆ >v<

ส่วนพญาเหยี่ยวตอนนี้ก็มีบางคู่ฮิฮิ้ว(?)กันแล้วจนได้ เหม่...ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ น่าหมั่นไส้จริงจริ๊งพ่อหล่อเลือกได้! ยังค่ะ เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล นี่ถึงครึ่งเรื่องรึยังก็ไม่แน่ใจ ฮ่าๆๆๆ คือเนื้อเรื่องอาจจะไม่ค่อยไปไหน บทบรรยายจะมากหน่อยค่ะ อยากให้มันเป็นฟิคสวยๆ =/////= (คิดไปเองถถถถ)

ยังไงก็ขอขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่น้า TvT ดีใจมากๆๆค่ะ ทุกครั้งที่มีคนถามหาเลย ฮืออออ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น