Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd : RED Season : 03


Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd :  RED Season : 03

: Scuderia Ferrari Short Fanfiction AU
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
             : เนื้อเรื่องโฟกัสช่วงที่เซบอายุราวๆ18-19 ส่วนคิมี่ก็ 24-25 นะคะ
           
         



เสียงซ่าๆของลมทะเลทรายปลุกให้นัยน์ตาสีเทาค่อยๆเปิดขึ้นมา...ความเวิ้งว้างว่างเปล่าของทะเลสีน้ำผึ้งทำให้เขาได้ตระหนักอีกครั้งว่าตอนนี้พวกเขากำลังหลบหนีจากการไล่ล่า ไม่ได้นอนสุขสบายอยู่ในปราสาทเหมือนที่ผ่านๆมา

ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองหัวสีบลอนด์เข้มภายใต้มงกุฏผ้าซึ่งซบอยู่ที่ไหล่ ขนตาเป็นแพนั่นยังปิดสนิท เขากอบกุมมือเรียวก่อนจะทอดสายตามองไปข้างหน้า...จะต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ จะไม่ยอมกลายเป็นกระดูกอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้แน่ๆ

“อือ....”   เสียงอืออาพร้อมกับแรงขยับเล็กน้อยเกิดขึ้นที่ไหล่ของเขา เปลือกตาที่ปกคลุมนัยน์ตาสีฟ้าค่อยๆเปิดขึ้นมา

“เช้าแล้วเหรอ...”   เจ้าชายแห่งอียิปต์ยกมือขยี้ตาด้วยท่าทางงัวเงีย พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการล้างหน้าล้างตา ดูจากท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเซบแล้วทำให้เขาคิดว่าเด็กนี่คงมีวิธีรับมือกับสถานการณ์แบบนี้เอาไว้อยู่แล้วหรือเปล่า? เขาถึงได้ถามต่อไปว่าจะเอายังไงต่อ

“ยังมีขุนนางผู้ใหญ่หรือกำลังทหารให้พึ่งพาอยู่ใช่ไหม ยังไงก็เดินทางไปหาพวกนั้นกันก่อนเถอะ”  ถึงจะไม่มากเท่าบรรดาพี่ชายแต่อย่างน้อยเจ้าชายลำดับที่สี่อย่างเด็กนี่ก็น่าจะมีขุมกำลังที่คอยสนับสนุนอยู่บ้างแหละ?  แต่แล้วเขาก็แทบจะลมจับเมื่อเซบตอบกลับมาตรงๆว่า

“ไม่มีหรอกของแบบนั้น เราไม่เคยสะสมกำลังทหาร ไม่รู้จักขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ไม่มีใครหนุนหลัง เพราะเพิ่งคิดจะชิงบัลลังก์อย่างจริงๆจังๆก็หลังจากที่ท่านมานี่แหละ ฮ่าๆๆ”  ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกเร๊อะ!!

เขาถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับ...อย่าว่าแต่ชิงบัลลังก์เล้ย แค่หนีเอาชีวิตให้รอดไปถึงพรุ่งนี้ยังยากเลยไหมเนี่ยแบบนี้...

“ถ้างั้นมีเพื่อนหรือคนสนิทที่ไว้ใจได้ไหม?”   เอาเถอะ ถึงจะไม่มีกำลังทหารแต่อย่างน้อยก็หาที่หลบซ่อนตัวเสียก่อน จากนั้นค่อยคิดว่าจะทำยังไงก็แล้วกัน แต่แล้วรายนามที่เจ้าชายแห่งอียิปต์ร่ายให้เขาฟังก็ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมากุมขมับอีกครั้ง...

“คนสนิทเหรอ? มีสิๆ ก็อย่างเช่น...โหรในราชสำนัก พวกนักบวช แล้วก็พ่อครัวในปราสาทของเรา”  ....เขาถึงกับเงียบกริบไปพักใหญ่ คิดไม่ออกเลยว่าจะใช้คนพวกนี้ในการชิงบัลลังก์ได้ยังไง ขับรถของเขาหนีไปให้ไกลยังจะดูมีประโยชน์ซะกว่าไหม...

“ท่านแม่ของเรามาจากตระกูลนักบวช เพราะฉะนั้นพวกนักบวชส่วนใหญ่เลยเป็นญาติๆของเรานี่แหละ ไว้ใจได้แน่นอน”  เจ้าลูกหมาโกลเด้นยังสาธยายต่อ...ถึงจะไว้ใจได้แต่นักบวชพวกนั้นนอกจากประกอบพิธีกรรมกับทำน้ำหอมยังทำอย่างอื่นเป็นด้วยหรือไง ให้ยกดาบยังยกไม่ขึ้นเลยมั้งน่ะ?  เขาทำหน้าละเหี่ยใจอย่างไม่คิดจะซักไซ้ต่อ

แล้วก็เพิ่งจะมารู้เอาทีหลัง...ว่านั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่


ตอนนั้น...ถ้าเขาถามไปก็คงดี...ว่าคนที่มาจากตระกูลนักบวชนั้นมีความพิเศษอย่างไร เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ก็ได้...ถ้ารู้มันไวกว่านี้...



เขากับเจ้าชายแห่งอียิปต์ออกเดินทางอย่างไร้จุดหมายกันต่อไป ป่านนี้เจ้าชายลำดับที่สามคงกำลังควานหาตัวพวกเขาให้ควั่ก เพราะงั้นการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆคงดีกว่าปักหลักเป็นเป้านิ่งอยู่กับที่แน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาไม่มีอาวุธสักชิ้นแบบนี้

มือเรียวเอื้อมมาจับมือเขาไว้ตลอดต่อให้ร้อนจนเหงื่อออกชุ่มฝ่ามือแค่ไหนก็ตาม รู้สึกว่าเหตุผลที่เด็กหนุ่มไม่ยอมปล่อยมือจากเขานอกจากเรื่องของหัวใจแล้วมันยังมีสาเหตุอื่นอยู่อีก

“ท่านไม่คุ้นกับทะเลทรายเพราะงั้นอย่าอยู่ห่างจากเรานะ ลมทะเลทรายพวกนี้เปลี่ยนทิศทางตลอดเวลา แล้วก็พัดผืนทรายจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พื้นทรายที่เห็นว่าราบเรียบนี่อาจจะซ่อนหลุมทรายดูดไว้ข้างใต้ก็ได้...”   แล้วจู่ๆร่างโปร่งก็ชะงักไปหลังจากที่อธิบายเรื่องลมทะเลทรายให้เขาฟัง นัยน์ตาสีฟ้าแวววาวด้วยประกายเพชฌฆาตราวกับหมาป่าไม่ใช่ดวงตาของโกลเด้นที่เขารู้จัก เด็กนี่กำลังคิดอะไรอยู่เขาก็ไม่รู้ แต่ริมฝีปากสีชมพูกลับพูดลอยๆออกมาให้เขาถึงกับชะงักตาม

“นี่...เราอาจจะกำจัดเจ้าชายลำดับที่สามได้ก็ได้นะ...เพียงแต่อาจจะต้องขอความร่วมมือจากท่านด้วย คิมี่...”


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


ร่างโปร่งบางของเจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์กำลังวิ่งหนีอยู่ตามลำพังท่ามกลางการไล่ล่าของฝูงอูฐกว่าครึ่งร้อย ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการหลบหนีมาทั้งวันทำให้ในที่สุดเจ้าชายเซบาสเตสก็จนซึ่งหนทางให้หนี ร่างโปร่งทรุดลงอย่างหมดแรงบนพื้นทรายก่อนจะถูกล้อมเอาไว้โดยทหารของเจ้าชายลำดับที่สามจนได้

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”   เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังออกมาจากใบหน้ารูปไข่ที่ค่อยๆเงยหน้ามองผู้เป็นพี่ชายที่ออกมาตามล่าเขาด้วยตัวเอง เหงื่อหยดแล้วหยดเล่าไหลลงไปก่อนจะละเหยกลายเป็นไอแทบจะทันทีที่แตะเม็ดทรายร้อนระอุ

“หึ...ไม่รู้จะหนีไปทำไม ยังไงเจ้าก็ไม่รอดจากมือเราไปได้หรอกเซบาสเตส”   น้ำเสียงเย้ยหยันถูกส่งมาจากหลังอูฐที่ประดับประดาอย่างหรูหราตัวหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าจึงจ้องใบหน้าของเจ้าชายลำดับที่สามด้วยแววตาแข็งกร้าว

ในบรรดาพี่ชายทั้งสามคนของเขา เจ้าชายลำดับที่สามคือคนที่เขาไม่อยากจะเข้าใกล้ที่สุดแล้ว เพราะอีกฝ่ายน่ารังเกียจเสียจนไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับพี่ชายคนรองของเขาได้ยังไง...อ่า...เขาลืมบอกไปว่าเขากับพี่ชายทั้งสามของเขานั้นคนละแม่กัน ราชินีคนก่อนเสียชีวิตไปหลังจากที่มีลูกชายให้ฟาโรห์ถึงสามคน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่เจ้าชายลำดับที่สามจะไม่เคยเห็นเขาเป็นน้องชายเหมือนพี่ชายคนอื่นๆ

“เราจะลงโทษเจ้าแทนท่านพ่อ”  เจ้าชายลำดับที่สามขยับอูฐมายืนอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะทำเป็นพูดด้วยใบหน้าราวกับสำนึกและกตัญญูเสียเต็มประดา

“คนที่ทำให้ท่านพ่อสิ้นใจก็คือเจ้า...เซบาสเตส...”   เขาตวัดสายตาขึ้นไปมองผู้เป็นพี่ชายอย่างท้าทาย...เอาสิ รู้อะไรก็คายออกมาเลย

“เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อป่วยหนักและท่านก็รักเจ้ามาก แล้วเจ้ายังจะสร้างเรื่องเสื่อมเสียกับผู้ชายไม่รู้หัวนอนปลายเท้ารบกวนจิตใจจนท่านพ่ออาการทรุดแล้วก็เสียไปแบบนี้อีก เพราะฉะนั้นเราจะลงโทษเจ้าแทนอดีตฟาโรห์ก็แล้วกัน”   หึ...เขาเพียงแค่หัวเราะในลำคออย่างไม่ใส่ใจ...ถ้าคิมี่รู้เข้าว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนจะยังรักเขาอยู่ไหมนะ?

แต่ทั้งหมดมันเป็นความผิดของท่านพ่อ! เป็นความผิดของอาณาจักรนี้ที่พรากความเป็นมนุษย์ในตัวเขาไป!

มีแค่คิมี่เท่านั้น...มีแค่คิมี่ที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่

“ท่านก็แค่อยากกำจัดเรา เก้าอี้คนชิงบัลลังก์จะได้ว่างลงอีกที่ เช่นนั้นใช่หรือไม่เล่าพี่ชายของเรา”   รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าเขาในขณะที่พูดจาถากถางอีกฝ่ายออกไป เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงใบมีดติดปลายทวนที่ชี้มายังลำคอของเขาในมือเจ้าชายลำดับที่สามนั่นเลย

“หึ...ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”   เจ้าชายลำดับที่สามตั้งใจจะฆ่าเขา เพราะฉะนั้นเมื่อพูดจบ ทวนในมือจึงถูกเงื้อขึ้นอย่างหมายจะปลิดชีวิต


แต่แล้ว







ครืนนนนนนนน....






เสียงทุ้มต่ำราวกับฟ้าคำรามที่ดั่งสนั่นหวั่นไหวก็ทำให้ปลายทวนถึงกับชะงักค้าง ทั้งเจ้าชายลำดับที่สามและเหล่าทหารต่างหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน มันทุ้มนุ่มลึกแต่ก็กระหึ่มจนสั่นสะเทือนไปทั่วท้องทะเลทราย




บรืนนนนนนนน....




เสียงคำรามยังดังอย่างต่อเนื่อง ทหารหลายคนเริ่มขวัญเสีย บางคนก็มีท่าทางตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด  นัยน์ตาสีฟ้าเห็นแบบนั้นก็เริ่มใส่ไฟต่อทันที

“เสียงนั่น...เป็นเพราะเทพเจ้าทรงพิโรธที่พวกท่านตั้งใจจะฆ่าเราแน่ๆ”  พวกทหารต่างตัวสั่นงักงกกลัวกันเสียยกใหญ่ แต่ผู้เป็นพี่ชายก็ยังทำเป็นใจกล้าทั้งๆที่มือที่ถือทวนอยู่นั้นสั่นระริก

“มันโกหก! เทพเจ้าที่ไหนจะเข้าข้างคนอย่างมัน! ฆ่ามันซะ!”  เจ้าชายลำดับที่สามประกาศกร้าวด้วยเสียงสั่นๆ แต่ยังไม่ทันจะสิ้นสุดคำสั่งฆ่า เสียงที่เคยทุ้มต่ำก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงแหวกอากาศราวกับฟ้าพิโรธทันที!

“เหวอ...ข้าไม่อยู่แล้ว!”   ใครสักคนในหมู่ทหารตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนกก่อนที่จะพากันวิ่งแตกกระเจิงด้วยความหวาดกลัวไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายลำดับที่สาม

นอกจากเสียงแล้ว รอบทิศทางยังมีฝุ่นทรายตลบอบอวลราวกับถูกเพลิงอารมณ์ของเทพเจ้าปั่นป่วน ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับเต็มไปด้วยพายุทรายจนมองแทบไม่เห็นอะไรยิ่งทำให้จิตใจที่หวาดกลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวจนถึงขั้นเสียสติเข้าไปใหญ่ เพราะคนอียิปต์นับถือเทพเจ้ายิ่งกว่าอะไรซ้ำยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเสียงพวกนี้คือเสียงของอะไร กองกำลังที่แตกพ่ายจึงวิ่งหนีหายไปคนละทิศละทาง

“อ๊ากกกกกกก!!!   เสียงร้องของใครสักคนดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล จู่ๆผืนทรายที่เคยราบเรียบก็เริ่มโยกไหวราวกับสายน้ำ ทะเลทรายในยามนี้ดูเหมือนทะเลสมชื่อเพราะมันกำลังอ่อนยวบและทำให้คนที่หลงเข้าไปเริ่มจมหายไปทีละนิดๆ

“อย่า!! ปล่อยข้า!!!”  และพลังอันน่ากลัวนั่นก็ไม่มีทางหลบหนีได้เลย...ทะเลสีฟ้ายังแหวกว่ายหนีตายได้ แต่ทะเลสีน้ำผึ้งหากตกลงไปก็มีแต่ตายกับตายสถานเดียว...

ไม่นาน...เสียงร้องโหยหวนก็ดังอยู่ทั่วสารทิศจนเจ้าชายลำดับที่สี่ต้องยกมือขึ้นมาปิดหู ริมฝีปากสีชมพูเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาสีฟ้าสวยปิดลงอย่างพยายามไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะเสียงร้องขอชีวิตมันกัดกินหัวใจให้รู้สึกทรมาน มันกำลังจะทำให้เขาใจอ่อน เขารู้ดีว่าเขายังโหดเหี้ยมไม่พอที่จะทำเรื่องแบบนี้

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”   ร่างโปร่งซึ่งทรุดตัวอยู่กับพื้นทรายหอบหายใจหนักหน่วง ฝ่ามืออันสั่นระริกค่อยๆละจากใบหูเมื่อรู้สึกได้ว่าเสียงแห่งนรกนั้นค่อยๆเงียบหายไปเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับเสียงฟ้าคำรามที่เคยดังกระหึ่มและฝุ่นควันที่เคยตลบอบอวลก็นิ่งสงบลงแล้วเช่นกัน...นัยน์ตาสีฟ้าค่อยๆกวาดมองรอบกายที่ไร้เงาของผู้ใดราวกับพวกทหารและพี่ชายของเขานั้นหายตัวได้...มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ในโลกนี้นอกจากคิมี่แล้วก็ไม่มีใครสร้างปาฏิหาริย์อย่างการหายแว่บไปอยู่อีกโลกหนึ่งได้หรอก!

เพราะหนทางที่มืดมัวไปด้วยฝุ่นทรายทำให้ทหารและเจ้าชายลำดับที่สามไม่ทันมองเห็นและคาดไม่ถึงด้วยว่าจะมีหลุมทรายดูดอยู่ตรงนี้!!


...กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกดูดลงพสุธาไปแล้ว...


จงอย่าดูถูกพลังของทะเลทรายพวกนี้เชียว ไม่เช่นนั้นท่านก็จะเป็นดั่งเจ้าชายลำดับที่สามและทหารพวกนี้...


เขาลุกขึ้นยืนนิ่งๆรอให้พายุฝุ่นทรายที่คิมี่สร้างขึ้นมาสงบลงเสียก่อน เขาหันไปมองรอบกายที่ไม่มีใครเหลือสักคน...ใช่...เขาจงใจล่อให้พี่ชายตามมาถึงตรงนี้ บริเวณที่เต็มไปด้วยหลุมทรายดูด...

ปกติแล้วเจ้าชายลำดับที่สามก็ไม่ใช่คนสะเพร่าที่จะตกหลุมทรายดูดได้ง่ายๆหรอก แต่มันก็ไม่ใช่ยามที่ตื่นตระหนกตกใจ เพราะยามที่คนตื่นกลัวย่อมคิดแต่จะหนีโดยที่ไม่คิดแล้วว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าจะเป็นหลุมทรายดูด

เพราะงั้นเขาถึงได้ขอความร่วมมือจากคิมี่...ม้าสีแดงตัวนั้นมันมีพลังเสียงมากพอที่จะข่มขู่คนที่ไม่รู้จักมันมาก่อน...



เจ้าชายแห่งอียิปต์ค่อยๆเดินขึ้นไปตามสันทรายเมื่อทุกอย่างดูปลอดภัยดีแล้ว ก่อนจะไถลตัวลงไปหาคนที่ยังนั่งอยู่ในรถสีแดงสดซึ่งจอดอย่างสงบนิ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเนินทราย

ถึงหน้าของคิมี่ ไรโคเนนจะยังนิ่งๆแต่บอกจริงๆเลยว่าเขาไม่อยากจะทำแบบนี้เลย...ถ้าพลาดไปนิด เกิดรถสตาร์ทไม่ติด เด็กนั่นอาจจะโดนตัดหัวไปก่อน หรือถ้าพวกนั้นเกิดจิตแข็ง ไม่ยอมตื่นตระหนกตกใจจนวิ่งลงบ่อทรายด้วยตัวเอง ก็คงเป็นพวกเขานี่แหละที่จะถูกฆ่าตายเสียเอง

ขนาดตัวเขาว่าตัวเองก็ชอบทำเรื่องผาดโผนหรือเรื่องเสี่ยงๆมาก็มากแต่ก็ยังใจกล้าบ้าบิ่นไม่สู้เด็กนี่เลยจริงๆ

อย่างเซบ...น่าจะเป็นนักขับเอฟวันที่สามารถลุ้นแชมป์โลกได้แน่ๆ


“คิมี่ ขอบใจนะ!”   เจ้าหมาโกลเด้นส่ายหางวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางดีใจ ร่างโปร่งก้มลงมากอดเขาซึ่งยังนั่งอยู่ในรถ...ก่อนจะทำเรื่องที่ทำให้นัยน์ตาของเขาถึงกับเบิกค้าง

เมื่อเด็กนั่นคุกเข่าลงไปนั่งทับสนอยู่ข้างๆตัวรถ...แล้วยื่นหน้าเข้ามาจูบเจ้าม้าลำพองของเขาเบาๆ...

วินาทีที่ริมฝีปากของเจ้าชายแห่งอียิปต์สัมผัสกับผิวสีเพลิงมันทำให้เขาแทบจะหยุดหายใจ...แพขนตายาวปิดแนบแก้มใสท่ามกลางประกายระยิบระยับของพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบกับเจ้าม้าสีแดงและทะเลสีน้ำผึ้ง...

ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจดั่งหินผาถึงกับสั่นไหว...

มันเป็นภาพ...ที่เซ็กซี่จนน้ำแข็งในหัวใจหลอมละลาย...

มันเป็นภาพ...ที่ทำให้คนอย่างเขาถึงกับควบคุมตัวไม่ได้...


เพราะฉะนั้นรู้ตัวอีกที...เขาก็ลุกออกจากรถมาแล้ว


มือแข็งแรงกระชากต้นแขนผอมๆให้ลุกขึ้นมาจากพื้นทราย 

ท่อนแขนซึ่งเต็มไปด้วยรอยสักมากมายกอดรัดร่างโปร่งที่เซมาปะทะแผงอกจนผิวเนื้อสัมผัสแนบแน่น

ใบหน้ารูปไข่มีแววตกใจน้อยๆแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไป

ริมฝีปากประกบลงบนกลีบปากสีชมพูที่เพิ่งจะจุมพิตเจ้าม้าสีเพลิงมา

เขาบดเบียดริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มจนลมหายใจแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน

ลิ้นร้อนสอดใส่เข้าไปในโพรงปากหอมหวานอย่างถือสิทธิ์

ก่อนจะทำให้มันกลายเป็นจูบที่ร้อนแรงดั่งพระอาทิตย์

แผดเผาจนร่างกายร้อนเร่าไปหมด

“อื้ม...”  เสียงครางเครือในลำคอร้องประท้วงเมื่อใกล้จะหมดอากาศหายใจ

เขาถอนริมฝีปากให้ก็จริงแต่ก็ยังตามไปจูบซ้ำๆไม่ว่าใบหน้ารูปไข่นั่นจะหันหนีไปทางไหน

จูบจนร่างกายของเจ้าชายแห่งอียิปต์อ่อนระทวยยืนด้วยตัวเองไม่อยู่ จนต้องใช้แผ่นอกของเขาเป็นเสาสำหรับแอบอิง 

เขาหย่อนตัวนั่งลงไปบนรถ มือดึงร่างโปร่งให้นั่งคร่อมลงมาบนหน้าตัก

ทะเลทรายรอบกายกำลังร้อนระอุแต่ก็ยังเทียบกับความร้อนของพวกเขาไม่ได้

และเขาต้องหาทางระบายมันออกไป

ไม่สนใจสักนิดว่ากำลังอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่

เจ้าของท่อนแขนผอมบางที่เอื้อมมาโอบรอบคอของเขาไว้ก็คงไม่สนใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเช่นกัน

ใบหน้ารูปไข่จึงโน้มมาจูบเขาเบาๆ แต่เขาสวนกลับไปด้วยจูบที่ร้อนดั่งไฟ

ปลายลิ้นแลกรักต่อกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

ท่อนแขนผอมบางโอบกอดรอบคอของเขา เขาก็กอดรัดแผ่นหลังขาวเนียนด้วยสองแขนที่เต็มไปด้วยรอยสัก

รอยรักที่ฝากไว้ที่ปากของกันและกันนั้นราวกับยาเสพติด

ทำยังไงก็ถอนตัวออกมาไม่ได้

ยิ่งจูบยิ่งหอมหวาน ยิ่งจูบยิ่งต้องการ ยิ่งจูบก็ยิ่งหลงมัวเมาอยู่ในกันและกัน

ฝ่ามือขยับไปบีบจับสะโพกมนก่อนจะเค้นคลึงบั้นท้ายของเจ้าชายแห่งอียิปต์เบาๆ

ก่อนหน้านี้มันเคยเข้าไปได้แค่นิ้ว

แต่เขาว่าเขาเตรียมการจนมันพร้อมที่จะเข้าไปได้มากกว่านั้นแล้ว

มือแข็งแรงจึงสอดเข้าไปใต้กระโปรงผ้าลินิน ลากไล้ตั้งแต่หัวเข่าไปจนถึงโคนขา

“อ่ะ...”   ริมฝีปากแดงช้ำหลุดจากการครอบครองของเขาจนปล่อยเสียงครางออกมาจนได้

เขาละจากมันอย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากเปลี่ยนเป้าหมายจากกลีบปากแดงช้ำมาเป็นยอดอกสีชมพูที่ชูชันอยู่ตรงหน้า

ครอบครองมันไว้ด้วยริมฝีปากและเรียวลิ้น กลืนกินมันเข้าไปจนเจ้าของมันต้องสะบัดเงยหน้ากลั้นน้ำตาที่ปริ่มออกมา

“อื้อ...”   ร่างกายที่สั่นสะท้านถอยหนีตามสัญชาติญาณ แต่ท่อนแขนที่โอบกอดร่างโปร่งไว้ก็กดแผ่นหลังบางกลับมา

ริมฝีปากยังคงครอบครองยอดอกที่เริ่มเปลี่ยนสีจนคล้ายผลเชอร์รี่

เช่นเดียวกับฝ่ามือที่อยู่ใต้กระโปรงผ้าลินินเนื้อดีที่กำลังปลุกปั่นส่วนอ่อนไหวให้ขยายใหญ่เต็มที่

“อะ...อ้า...”   เขาจ้องมองริมฝีปากแดงช้ำที่เผลอปล่อยเสียงครางออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาจ้องมองใบหน้าภายใต้มงกุฏผ้าที่กำลังทรมานไปด้วยความต้องการและความสุขสมที่แผ่ซ่านอยู่ข้างใน  จ้องมองคิ้วสีบลอนด์ที่ขมวดเข้าหากัน จ้องมองน้ำใสๆที่ประดับแพขนตาหนาก่อนจะไหลไปปริ่มอยู่ที่หางตา จ้องมองแผ่นอกบางที่แอ่นรับ จ้องมองสะโพกที่ขยับตามจังหวะจากฝ่ามือของเขา

เขาจ้องมองมัน

แค่จ้องมองทุกๆอย่างนั้น

ความปรารถนาอันแรงกล้าก็ทำให้แกนกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ต้องไปแตะต้องมันสักนิด

แค่มองเซบ ที่กำลังต้องการเขาแทบขาดใจ

แค่นั้น...


“อึก! คิมี่? เดี๋ยว? อ่ะ อื้อ~~!!”   ก็ไม่แปลกที่ดวงตาสีฟ้าจะเบิกกว้างขึ้นมาก่อนจะปิดลงในชั่วพริบตา ไม่แปลกที่น้ำใสๆจะไหลออกมาแล้วหยดลง หยดแล้วหยดเล่า  ไม่แปลกที่เซบจะโผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น ไม่แปลกที่ริมฝีปากแดงช้ำจะส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดออกมา

เพราะว่าเขาสอดใส่ความเป็นชายเข้าไป...โดยไม่ได้บอกเด็กนั่นเลยสักคำ

เขาเองก็มีขีดจำกัด มีช่วงเวลาที่ทนไม่ไหวเหมือนกัน

แค่มันเป็นวันนี้ก็เท่านั้น

“เซบาสเตส...”   เขาจูบขมับของใบหน้าที่ซบอยู่ที่ไหล่ของเขาเบาๆ ท่อนแขนผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านกอดคอเขาไว้แน่น เด็กนั่นกำลังร้องไห้จากความเจ็บปวดที่เขามอบให้ แต่เซบก็ไม่คิดจะหนีออกไป เด็กนั่นกำลังผ่อนลมหายใจแล้วพยายามจะตอบรับเขาให้ได้

ฝ่ามือของเขาลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน ท่านี้อาจจะโหดร้ายไปหน่อยสำหรับครั้งแรก แต่เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัว เพราะเขาทนไม่ไหว

หลังจากกัดฟันรออยู่สักพักจนช่องทางที่บีบรัดเริ่มผ่อนคลาย เขาจึงค่อยๆดึงสะโพกมนลงมา ให้ร่างกายของเขาเข้าไปได้หมด

“คิมี่...มันเข้ามา...ลึกมาก...เรากลัว...”   เสียงสั่นๆเอ่ยบอกเขาอยู่ที่ใบหู เด็กนั่นยังกอดคอเขาไว้ไม่ปล่อย น้ำตาหลายต่อหลายหยดจึงหยดแหมะลงไปบนหลังของเขา

“ไม่ต้องกลัว...คนที่เข้าไปในตัวนายคือชั้น...เพราะงั้นไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”   เขาหันไปจูบกกหูที่มีกลิ่นน้ำหอมจางๆ 

เขารู้ว่าเซบจะเจ็บมากหากไม่มีการหล่อลื่นที่เพียงพอ แต่ตอนนี้ ผนังอ่อนนุ่มที่โอบรัดความเป็นชายของเขาอยู่มันกำลังจะทำให้เขาคลั่ง

ก็บอกแล้วว่าคิมี่ ไรโคเนนก็มีขีดจำกัด มีช่วงเวลาที่ทนไม่ไหวเหมือนกัน

และมันก็คือวันนี้ ตอนนี้!

เขาหันไปจูบขมับของเจ้าชายแห่งอียิปต์เบาๆอีกรอบ อยากจะบอกให้รู้ว่าเขาทำด้วยความรัก ที่อ่อนโยนไม่ได้มากนักก็เพราะว่าเขาต้องการอีกฝ่าย

ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักโอบรัดเอวบางให้ผิวกายแทบจะจมหายไปในกันและกัน

ก่อนที่ฝ่ามือจะจับบั้นท้ายกลมกลึงนั่นขยับขึ้นลงช้าๆ

“อะ?!”  ร่างโปร่งที่นั่งคร่อมหน้าตักอยู่ข้างบนผวากอดคอเขาแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อบทเพลงแห่งรักเริ่มบรรเลง

ถึงมันจะเป็น On Top แต่คนคุมเกมทั้งหมดกลับเป็นเขา เจ้าเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาทำได้แค่กอดคอเขาแล้วส่งเสียงครางออกมาเท่านั้น

ฝ่ามือดึงบั้นท้ายของเด็กหนุ่มขึ้นก่อนจะกดมันลงอย่างรวดเร็ว

แรงบีบรัดและสัมผัสที่ได้รับทำให้เขาถึงกับต้องกัดฟัน ต้องใช้ความอดทนทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้เซบเจ็บมากเกินไป

“อึก...อื้อ...”   เสียงครางอย่างทรมานดังอยู่ที่ข้างหู บนแผ่นหลังยังรู้สึกถึงน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่หยดลงมา

ถึงจะน่าสงสาร แต่เขาก็รู้ว่ามันหยุดไม่ได้แล้ว เขาไม่มีความอดทนขนาดนั้น

ฝ่ามืออีกข้างจึงย้ายมาปลุกปั่นแกนกายที่อยู่ใต้กระโปรงผ้าลินินแทน

“อ้า~...”   เสียงครางอย่างทรมานค่อยๆเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างสุขสม

ช่องทางที่เคยรัดเขาเสียแน่นก็เช่นกัน มันค่อยๆผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ...

ผ่อนคลายพอที่เขาจะเพิ่มจังหวะในการขยับสะโพกมนให้เร็วขึ้น แรงขึ้น ตามความต้องการของเขา

“อึ๊ก คิมี่?!”   ร่างกายที่ใช้เขาเป็นหลักยึดสะดุ้งน้อยๆเมื่อเขาโยกสะโพกมนไปโดนจุดๆหนึ่งเข้า ปลายแกนกายที่เขาจับอยู่ถึงกับมีน้ำอุ่นๆปริ่มออกมา

เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกดีสินะ?

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะขยับสะโพกมนให้ความเป็นชายของเขาสัมผัสโดนจุดนั้นกระชั้นถี่แค่ไหน ในเมื่อเขาอยากให้เซบรู้สึกดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อ๊า~ อะ คิมี่~~”   เสียงครางอย่างเสียสติดังขึ้นทันที ใบหน้ารูปไข่ที่เคยซบอยู่ที่ไหล่สะบัดเงยอย่างไม่รู้ตัวอีกต่อไป

เขากระแทกกายเข้าไปรับกับจังหวะที่กดบั้นท้ายมนลงมา

ขยับออกห่างก่อนจะกดเข้าหาอย่างหิวกระหาย

ความร้อนในกายพุ่งถึงขีดสุดจนแม้แต่ไอระอุของทะเลทรายก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้

ร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนโยกคลอนตามจังหวะสอดใส่ แค่ฟังเสียงครางอย่างรัญจวนใจนั่นก็รู้ว่าเซบรู้สึกดีแค่ไหน

เขาเองก็ไม่ต่างกัน

ร่างกายของเด็กนี่สุดยอดมาก

ทั้งแน่น ทั้งยืดหยุ่น ผู้ชายคนไหนได้ใส่เข้าไปต้องไม่มีวันลืมลงแน่ๆ

และเขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครได้ทำแบบนั้น

“อ๊า คิมี่!”   เจ้าชายแห่งอียิปต์เริ่มครางเสียงสูง สงสัยจะไม่ไหวแล้ว

เขากัดฟันก่อนจะกดสะโพกมนซ้ำๆ ถี่กระชั้นและหนักหน่วง

ครั้งสุดท้ายเขาดึงสะโพกมนขึ้นไปจนสุดปลายก่อนจะกดมันลงมาจนมิดในวินาทีเดียว

“อื้อ~~~!!!”   สองแขนผอมบางกอดคอเขาไว้แน่น แกนกายถูกปล่อยไปจากมือเขา น้ำรักสีขาวขุ่นจึงพุ่งทะลักไหลเลอะลงมาบนต้นขาของเขา

ข้างในช่องทางคับแน่นเองก็เช่นกัน ป่านนี้มันคงชุ่มโชกไปด้วยของๆเขาไปหมดแล้ว

“ฮ้า...ฮ้า...ฮ้า...”   ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเซซบมาบนร่างกายเขา นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อลอยราวกับยังอยู่ในห้วงแห่งฝันอันมีความสุข

“ยังกลัวอยู่ไหม?”   เขากระซิบถามที่ใบหูแดงระเรื่ออย่างหยอกเย้า ร่างกายเขายังฝังอยู่ข้างในอย่างไม่อยากจะดึงมันออกมาเลย

“ไม่...เรา...รู้สึกดี....”   นานๆทีจะทำให้เด็กนี่อายได้ ใบหน้าใสซบหลบอยู่ที่ไหล่เขา ความร้อนผ่าวของใบหน้ารูปไข่ไหลผ่านมาจนรับรู้ได้

เขายกยิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะนั่งอยู่แบบนั้นจนลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ

แต่ดูเหมือนคนบนไหล่จะเพลียจนหลับไปแล้ว เขาจึงยกร่างโปร่งออกไปจากความเป็นชายของเขาอย่างแผ่วเบา

ดูท่าว่าวันนี้คงจะกลับเข้าเมืองธีบส์ไม่ทันแล้ว เพราะแสงแดดที่เริ่มอ่อนลงเต็มที


“มันจะอันตรายมากหากยังเดินต่อไปในทะเลทรายที่ไร้แสงนำทาง”   นั่นคือสิ่งที่เซบเฝ้าย้ำเตือนกับเขาเสมอมา ถึงความน่ากลัวของทะเลสีน้ำผึ้งตรงหน้า

ฝ่ามือไล้แก้มใสของคนที่หลับปุ๋ยเบาๆ เป็นอีกครั้งที่เจ้าคนที่เขาคิดมาตลอดว่าเป็นแค่เด็กสิบขวบกลับแสดงความเก่งกาจและรอบรู้ออกมา อันที่จริงการที่พวกเขาเพียงแค่สองคนก็สามารถกำจัดเจ้าชายลำดับที่สามที่ขนกันมาทั้งกองทัพได้ จะบอกว่าเป็นเพราะแผนการของเซบก็ไม่ผิดนัก เพราะเขาเองก็แค่ทำตามที่เด็กนั่นบอก สตาร์ทรถแล้วก็ทำเสียงดังให้พวกนั้นตกใจ ซ้ำยังดริฟท์รถวนไปวนมาเพื่อให้เกิดฝุ่นควันคล้ายพายุทรายจนมองไม่เห็นอะไร...แล้วจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการที่เด็กนั่นวางเอาไว้...

ไม่รู้ว่าการตามล่าพวกเขานั้นเจ้าชายลำดับที่สามทำอย่างเอิกเกริกแค่ไหน แต่อย่างน้อยการที่พวกเขายังกลับไปได้อย่างปลอดภัยก็จะทำให้ใครหลายๆคนตระหนักได้ว่าเจ้าชายเซบาสเตสไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกได้ง่ายๆ

เขาดึงผ้าเก่าๆผืนหนึ่งที่เก็บได้จากโอเอซิสที่นอนพักเมื่อคืนออกมาก่อนจะปูมันลงบนพื้นทรายให้เซบนอน

เขาเองก็หย่อนตัวนั่งลงไปข้างๆกัน แผ่นหลังเอนพิงเจ้าม้าสีแดงของเขาไว้ ปล่อยสายตาทอดมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไปช้าๆ

จนในที่สุด...นัยน์ตาของเขาก็ปิดลง...






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...



นั่งนึกอยู่นานว่าตรูจะเขียนอะไรในช่วงทอล์กดี แต่ในหัวก็ดันมีแต่คุณท่านกับมาดามถถถถถถ  ขยันผลิตกาวให้ตรูเมาจริงจริ๊งงงงง หยอดใส่กันตลอดอ่ะคู่นี้ แย่ห์ๆ :v

มีอย่างที่ไหน งอแงไม่ยอมต่อสัญญา จนม้าต้องออกมาประกาศก่อนว่าจะให้คิมี่ต่อสัญญาปีหน้าอีกปี ไม่กี่วันถัดมานางยอมเซ็นต์สัญญากับม้าสามปีเรยค่า =v= แล้วยังจะมาบอกว่าตัวเองไม่มีส่วนกับการตัดสินใจของทีม.....หราคะมาดามคะ...ร้ายจริงๆ =////=  แล้วท่านนี่ก็ช่วยมาดามตลอดจริงจริ๊ง อย่าให้มีช่อง! =v= สนามนี้ภรรยาท่านถึงกับต้องตามมาคุม 555555+

ก็จิ้นกันไปนะคะ อย่าได้ถือสาหาความจริงอะไรกับจินตนาการของสาววายค่ะ ฮ่าๆๆ

ส่วนฟิค ตรูว่าตรูจะแต่งจบก่อนได้แก้บนแล้วไหมเนี่ย ถ้าคุณชายกับมาดามยังขยันผลิตกาวขนาดนี้ =v=

ขอบคุณทุกๆการติดตาม ทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า


ปล.มาดามตอนเด็กๆนี่น่ารักน่ากินสุดๆไปเลยค่ะ *q* หน้าหวานมาก >/////< ถึงโตมาจะพยายามไว้หนวดไว้เครากลบเกลื่อนให้ดูเถื่อนก็เถอะนะ แต่เค้าความน่ารักมันยังอยู่ค่ะมาดามขรา >3< ยิ่งบวกความซนเป็นโกลเด้นด้วยแล้ว...555555+  เห็นรูปนางทีไรก็สบายใจทุกที นางมักจะอะไรของนางก็ไม่รู้แต่นางน่ารัก5555 >/////< รักนางค่ะ >/////<





ขอบคุณน้อง ม. ที่ส่งคอยส่งรูปกาวๆมาให้เมาตั้งแต่เช้ายันเย็นด้วยนะคะ ฮ่าๆๆๆ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น