Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd : RED Season : 04

                                                             
Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd :  RED Season : 04

: Scuderia Ferrari Short Fanfiction AU
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
             : เนื้อเรื่องโฟกัสช่วงที่เซบอายุราวๆ18-19 ส่วนคิมี่ก็ 24-25 นะคะ
           
         


เจ้าม้าสีเพลิงถูกซุกซ่อนไว้ในดงปาปิรุสอีกครั้ง ก่อนที่วันรุ่งขึ้นเขาจะต้องเป็นคนแบกเจ้าชายแห่งอียิปต์กลับเข้าเมืองธีบส์ด้วยตัวเอง

หลังจากนอนหมดสภาพอยู่สองสามวันเพราะอาการเอวเคล็ดก้นระบมอันเนื่องมาจากการมีเซ็กส์กับเขา ในที่สุดวันนี้เจ้าชายลำดับที่สี่ก็ลุกขึ้นมาเดินเหินเป็นปกติได้เสียที นี่ถ้าขืนเซบยังลุกไม่ขึ้นไปมากกว่านี้เขาคงได้ถูกยัยเด็กจีน่าลอบฆ่าเอาสักทีสองทีแน่ๆหลังจากเด็กสาวยืนแผ่รังสีทะมึนอยู่หน้าห้องของเขามาตั้งแต่วันที่กลับถึงปราสาท แล้วก็น่าประหลาดใจที่เด็กสาวไม่มีแผลแม้แต่รอยเท่าแมวข่วน...

ส่วนเจ้าชายเซบาสเตส...แทนที่จะเดินแต่พอควรอยู่ในปราสาทเพราะเพิ่งหายไข้ เจ้าเด็กนั่นกลับวิ่งโร่ไปถึงพระราชวังหลวงที่อยู่ริมแม่น้ำไนล์เสียแบบนั้น

นัยน์ตาสีเทาทอดมองกลุ่มหลังคาพระราชวังที่เห็นอยู่ไกลๆ ที่นั่นเขาเคยไปแค่ครั้งเดียวแล้วก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ไปอีก  เขารำคาญพิธีการมากมายของราชสำนัก รำคาญสายตาของพวกชนชั้นสูงของที่นี่ที่มองเขาราวกับเป็นตัวประหลาด ยิ่งช่วงที่ข่าวความสัมพันธ์ของเขากับเซบแพร่ออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนพวกนั้นจะยิ่งปากมากน่ารำคาญแค่ไหน ทุกครั้งเจ้าชายแห่งอียิปต์จึงไปที่พระราชวังนั่นตามลำพัง...รีบไป แล้วก็รีบมา...

คราวนี้ก็เช่นกัน

เขาทอดสายตามองขบวนลาที่วิ่งเหยาะๆมาถึงหน้าปราสาทก่อนที่ร่างสะโอดสะองจะกระโดดลงมา แล้วไม่นานเสียงวิ่งตึงตังเป็นเด็กๆก็ดังก้องโถงบันไดหินก่อนจะมาหยุดลงตรงหน้าห้องเขา

“คิมี่! โหรที่สนิทกับเราทำนายได้ว่า อีกสามวันจะเกิดพายุทะเลทรายขึ้นที่ใกล้ๆเมืองเมมฟิส!!”   เจ้าชายแห่งอียิปต์พุ่งพรวดพราดเข้ามาด้วยแววตาเป็นประกาย มือทั้งสองข้างจับมือเขาไว้ก่อนจะเขย่ารัวๆ

แล้วมันยังไง? เขาไม่เข้าใจความตื่นเต้นของเด็กนั่นเลยสักนิด...ไม่สิ...ไม่เข้าใจตั้งแต่ประโยคไม่มีที่มาที่ไปที่ออกมาจากริมฝีปากสีชมพูนั่นแล้ว!

และก็ดูเหมือนเด็กนั่นจะเข้าใจเครื่องหมายคำถามที่วิ่งวนอยู่บนใบหน้าเขา ใบหน้ารูปไข่ที่มีแววซุกซนระคนแสบสันเล็กๆจึงดึงเขานั่งลงไปบนเตียงก่อนจะเฉลยให้ฟัง

“เมืองเมมฟิสเป็นเมืองใหญ่ลำดับสองของอียิปต์และตอนนี้มันก็กลายเป็นขุมกำลังของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง พี่ชายคนโตของเรา...ตั้งแต่เราเกิดมา เจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็ย้ายไปอยู่ที่เมมฟิสแล้ว”   เขาฟังเด็กนี่เล่าไปพลางระลึกชาติไปว่าเขาเคยอ่านประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณผ่านรายงานที่ทีมเตรียมให้เผื่อใช้ตอบคำถามสื่อว่ายังไงบ้าง?...อืม...ดูเหมือนอียิปต์โบราณจะมีเมืองหลวงที่สำคัญๆอยู่สองเมือง ช่วงต้นของอาณาจักรจะอยู่ที่เมืองชื่อเมมฟิส ก่อนที่ช่วงปลายจะย้ายมาเมืองธีบส์

“พี่ชายเราคนนี้มีกองทหารที่แข็งแกร่งมาก มากที่สุดในอาณาจักรอียิปต์เลยก็ว่าได้ เพราะท่านพี่ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก หากเราสู้กับท่านพี่ตรงๆคงไม่มีวันชนะแน่ และเราคิดว่า พายุทะเลทรายที่โหรทำนายได้นี้...มันอาจจะช่วยเราทำลายกองทัพที่แข็งแกร่งนั่นได้ก็ได้”  ใบหน้ารูปไข่ที่เคยพูดด้วยแววขี้เล่นเริ่มแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่สิ...ดีไม่ดีอาจจะจัดการกับกองทหารของเจ้าชายลำดับที่สองไปพร้อมกันเลยก็ได้...”   นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองท้องทะเลทรายที่ปลายระเบียงอย่างใช้ความคิด  ส่วนเขาก็ได้แต่นับถือในความสามารถของเจ้าชายที่ดูเหมือนไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้แต่ที่จริงซ่อนเขี้ยวเล็บอันร้ายกาจเอาไว้ ก็ขนาดพายุทะเลทรายที่โหรทำนาย คนอื่นๆฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครคิดว่ามันจะทำอะไรได้ แต่เซบกลับนำธรรมชาติอันยิ่งใหญ่แต่ก็โหดร้ายพวกนี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหนือคาด

ดูจากตอนที่ใช้หลุมทรายดูดกำจัดเจ้าชายลำดับที่สามก็รู้แล้วว่าเด็กนี่ไม่ธรรมดา...เจ้าลูกหมาโกลเด้นมีเลือดหมาป่าผสมอยู่ในกายจริงๆด้วย

“เราจะยุให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับเจ้าชายลำดับที่สองรบกันในสามวันนี้...หลังจากนั้นกองทัพที่อ่อนล้าย่อมถูกพายุทะเลทรายเล่นงานแน่”   เขาถึงกับขนลุกเกรียวในชั่ววินาทีที่เด็กนั่นพูดออกมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนรักของเขาจะคิดแผนการที่เลือดเย็นแบบนี้ออกมา...เพราะมันคือการยืมมือคนอื่นฆ่าคน

การจุดชนวนก่อให้เกิดสงครามแบบนี้มันก็คนบาปดีๆนี่เอง

แต่คนที่บาปหนากว่าคงจะเป็นเขา...เขา...ที่ในหัวไม่มีความคิดว่าจะห้ามเซบเลย

ในเมื่อเหตุผลที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้ได้นั้นมันมีอยู่...


“แต่ยังไงกองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็แข็งแกร่งเกินไป ท่านพี่รองอาจจะทำให้อีกฝ่ายอ่อนล้าจนกว่าพายุจะมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง.........วางยา...ใช่แล้ว...”    ทุกทีเขาจะไม่เคยรู้เลยว่าหัวสีบลอนด์เข้มภายใต้มงกุฏผ้านี่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่คราวนี้เด็กนั่นกลับพึมพำให้ได้ยินราวกับว่ากำลังปรึกษาเขา

“คิมี่! เราจะขี่อูฐไปเมมฟิสเพื่อวางยากองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งให้อ่อนล้า...ก็คงใช้เวลาสักสองวันกว่าจะถึง...แล้วก่อนไป เราก็จะไปบอกเจ้าชายลำดับที่สองว่ากองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเตรียมจะยกออกมาตีเมืองธีบส์เพื่อชิงบัลลังก์ ยุยงให้เจ้าชายลำดับที่สองนำทัพออกไปจัดการอีกฝ่ายก่อนจะมาถึงที่นี่ กว่าทัพของเจ้าชายลำดับที่สองจะไปถึงเมมฟิสก็คงจะใช้เวลาสามวันพอดี พอรบกันเสร็จก็เกิดพายุทราย เท่านี้ก็กำจัดพี่ชายทั้งสองคนได้แล้ว”  ไขสันหลังของเขาเย็นวาบๆไม่ได้ต่างจากตอนที่ฟังแผนการกำจัดเจ้าชายลำดับที่สามตอนอยู่กลางทะเลทรายเลย

ถ้าไม่เห็นกับตาว่าเจ้าชายลำดับที่สามทำร้ายพวกเขาไว้ยังไงคงไม่คิดจะเชื่อหรอกว่า พี่น้องจะฆ่าแกงกันเองได้...แต่พี่น้องที่เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่ก็อาจจะเป็นแบบนี้กันทุกคนก็ได้มั้ง

“ไม่ได้การ...จะช้าไม่ได้แล้ว เราต้องรีบลงมือ”   เจ้าชายแห่งอียิปต์เตรียมจะพุ่งออกจากห้องเพื่อดำเนินตามแผนการนั่นด้วยตัวเอง  เขาที่นั่งฟังพลางคิดตามมาตลอดจึงรีบห้ามไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวเซบ”  เขาคว้าข้อมือผอมบางนั่นเอาไว้  มาคิดดูแล้ววิธีนี้ถ้าทำสำเร็จ พวกเขาจะกำจัดศัตรูตัวร้ายที่สุดได้ในคราวเดียวทั้งสองคน...แต่ดูจากกำลังของเซบตอนนี้ยังมีไม่พอ คนสนิทที่จะใช้ดำเนินการแทนตัวเองก็ใม่มี กำลังทหารก็ไม่มี คนที่นับเป็นพวกได้ก็มีแต่โหร นักบวช พ่อครัว....ดูแล้วไม่ไหวแน่

“คิมี่? มีอะไรล่ะ? เราต้องรีบแล้วนะกว่าจะไปถึงเมมฟิสอีก”  ข้อมือบางยื้อยุดกับมือเขาด้วยอารามรีบร้อนและมันก็ทำให้คนใจเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างเขาเริ่มจะหงุดหงิด

“ก็นั่นแหละถึงได้บอกให้รอก่อน นายจะเดินดุ่มๆเข้าไปบอกเจ้าชายลำดับที่สองว่าพี่ชายคนโตกำลังจะยกกองทัพมาให้ยกทัพออกไป? ใครที่ไหนเค้าจะเชื่อ? พี่ชายนายแต่ละคนมีแต่พวกเขี้ยวลากดินทั้งนั้น...นายต้องอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมหนังสือหรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เจ้าชายลำดับที่สองเชื่อ แล้วก็ยกทัพออกไป...นอกจากนี้ยังต้องให้พวกนักบวชช่วยปรุงยาถ่ายใช่ไหม? นายคิดว่าปริมาณที่จะทำให้คนทั้งกองทัพเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้มันใช้เวลาทำแค่ชั่วโมงเดียวหรือไง? แถมไปถึงเมมฟิสแล้วนายรู้หรือไงว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน? นายควรจะต้องไปถามจากพ่อครัวเพื่อนของนายมา ว่าจะเอายาไปใส่ที่ไหนคนถึงจะกินกันอย่างทั่วถึง...ที่ชั้นจะบอกคือแค่ตัวนายเองคนเดียวน่ะ ทำงานนี้ไม่ได้หรอก”   สิ่งที่เขาพูดออกไปทำให้ใบหน้ารูปไข่ถึงกับนิ่งงัน

“................หมายความว่าแผนล้มเหลวสินะ...”   เจ้าเด็กตรงหน้าไม่ใช่คนโง่ ถึงได้คิดแผนแยบยลแบบนี้ออกมาได้ เพราะงั้นเมื่อเขาจี้เป็นจุดๆ เด็กนั่นจึงรู้ทันทีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ตนจะทำทุกอย่างตามเวลาที่ว่ามาทัน

“เฮ้อ.....ก็ถึงได้บอกไง...ว่าถ้าแค่ตัวนายคนเดียวน่ะ ทำงานนี้ไม่สำเร็จหรอก แต่ถ้าเราช่วยกัน...มันก็ยังมีทางเป็นไปได้อยู่”   ลืมไปแล้วหรือไงว่าเคยขอร้องอะไรเขา...จะให้เขาช่วยชิงบัลลังก์ไม่ใช่หรือไง? 

“คิมี่~...ท่านจะช่วยเราจริงเหรอ?....”   นัยน์ตาสีฟ้าที่เคยจริงจังอยู่จนถึงเมื่อกี้เต็มไปด้วยประกายวิ้งๆน่าหมั่นไส้ขึ้นมาทันที

“อือ...”   เขาพยักหน้ารับพร้อมกับตอบสั้นๆ

“ยังไงล่ะ? เรานึกไม่ออกเลยว่าเราจะใช้เวลาเตรียมของแล้วเอาไปเมมฟิสทันได้ยังไง”   เจ้าชายแห่งอียิปต์นั่งลงบนเตียงอีกครั้งเพื่อฟังแผนการของเขา

“นั่นก็เพราะว่านายใช้เวลาเดินทางตั้งสองวันยังไงล่ะ แต่ถ้าให้ชั้นไป ชั้นสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในหนึ่งชั่วโมง”   อูฐกับรถฟอร์มูล่าวัน...ถ้าเทียบกันก็คงจะประมาณนั้นแหละ

“นี่ท่าน....ท่านจะขี่ม้าของท่านไปงั้นเหรอ?”   เจ้าลูกหมาโกลเด้นดวงตาเป็นประกาย ชอบจริงๆเลยนะ รถของเขาเนี่ย

“ใช่...แต่ก็อาจจะไปแล้วกลับมาได้แค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”   น้ำมันกับยางมีพอให้ทำแบบนั้นได้นี่ก็แทบจะปาฏิหาริย์แล้ว ต้องบอกว่ามันเป็นเพราะใจของเขาล้วนๆต่างหาก

“นายอยู่ที่นี่ หาทางตะล่อมให้เจ้าชายลำดับที่สองยกทัพออกไปให้ได้...อ้อ...แล้วคืนนี้นายก็ไปบอกพวกนักบวชให้ช่วยทำยาให้หน่อย เสร็จซักพรุ่งนี้เย็นก็ยังทัน...ระหว่างนั้นชั้นจะไปคุยกับพ่อครัว เพื่อนของนายเอง...แล้วเช้ามืดของวันถัดไป ชั้นจะไปเมมฟิส”   เขาทวนแผนการให้เด็กนั่นฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับแค่เอ่ยถึงบทหนึ่งในวรรณกรรม ไม่ใช่แผนการที่จะใช้ก่อการร้ายทำลายชีวิตคนอีกทั้งกองทัพ!

เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองเป็นแบบนี้อยู่แล้วหรือเป็นเพราะอยู่ใกล้เซบมากเกินไป นับวันถึงได้ไม่สนใจเรื่องกฎเรื่องเกณฑ์มากขึ้น

ไม่สนใจด้วยว่าจะกลางวันหรือกลางคืน!

“คิมี่~~”  เจ้าชายแห่งอียิปต์โผเข้ามากอดเขาอย่างต้องการจะขอบคุณในความช่วยเหลือ แต่ผิวเนื้ออ่อนนุ่มที่ถูไถเบียดแนบอยู่กับผิวกายของเขาก็มักจะทำให้ห้ามตัวเองไม่ได้อยู่เสมอ สองมือจึงเผลอดันร่างโปร่งจนแผ่นหลังชิดผนัง จมูกเป็นสันขยับดอมดมกลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมาจากกกหู ก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะกดจูบลงไปที่ซอกคอระหง

เขาเพิ่มแรงกดย้ำลงไปจนได้ยินเสียงครางเครืออยู่ในลำคอ เขาชอบที่จะเห็นเด็กนี่มีอาการเหมือนจะขาดใจตายอยู่ใต้ร่างเขา จุมพิตแผ่วเบาจึงย้ายจากลำคอไปที่ริมฝีปาก

กลีบปากสีชมพูนั้นชุ่มชื้นราวกับทาลิปสติกเอาไว้บางๆ เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกนักบวชจัดเครื่องประทินโฉมอะไรให้เจ้าชายแห่งอียิปต์บ้าง เขารู้แค่ว่าเวลาจูบเซบแล้วจะรู้สึกดีมากเพราะกลีบปากที่นุ่มนิ่มนั่นราวกับจะถูกดูดติดมา เขาค่อยๆสอดลิ้นเข้าไปตามรอยแยกที่ยั่วเย้า กวาดต้อนแผ่วเบาไปตามกระพุ้งแก้มและผนังอ่อนนุ่ม สัมผัสวูบโหวงเรียกเกรียวคลื่นให้ปั่นป่วนอยู่แถวๆท้องน้อย ยิ่งภายในโพรงปากสัมผัสกันมากเท่าไหร่ เรียวลิ้นทั้งคู่พันพัวกันมากแค่ไหน ก็มีแต่จะยิ่งทำให้ความร้อนโหมกระพือจนลมหายใจแทบจะขาดรอนๆ

เขาละริมฝีปากออกมาในขณะที่เซบพยายามหันหนีเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอด ร่างโปร่งหอบจนตัวโยน ใบหน้าใสก็แดงก่ำไปจนถึงใบหู สองแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักตวัดรอบลำตัวบางก่อนจะบังคับให้เด็กนั่นขยับมาแนบชิด คนที่ยังหายใจไม่ทันพยายามดันเขาออก แต่เขาก็ไม่สน ใบหน้าคมเปลี่ยนมุมเล็กน้อยก่อนจะประกบริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นอีกครั้ง จุมพิตที่เร่าร้อนถูกยัดเยียดให้ในทันที

บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยหิวกระหายขนาดนี้...มีแต่คนเรียกเขาว่ามนุษย์น้ำแข็ง...เขาเย็นชา เขาไม่สนใจใคร แน่นอนว่าเขาไม่เคยอยากในตัวใครมากขนาดนี้มาก่อน

“คิมี่...อื้อ...เดี๋ยว....เดี๋ยว....อื้ม.....”   ริมฝีปากที่เริ่มแดงช้ำห้ามเขาได้แค่ไม่กี่คำมันก็ถูกปิดไปอีกรอบ ท่อนแขนของเขากอดรัดลำตัวโปร่งไม่ให้หนีไปไหนและไม่ให้มีที่ว่างระหว่างผิวเนื้อที่แนบชิด ใช้แผงอกของตัวเองบดเบียดกระตุ้นเร้าเจ้าเม็ดสีชมพูให้ก่อเกิดความรู้สึก เจ้าของมันถึงได้บิดเร่าราวกับกำลังรัญจวนใจ

เขาเฝ้าจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จูบจนกว่าจะพอใจ จูบจนแทบไม่มีลมหายใจเหลืออยู่อีก

“คิมี่ หยุดก่อน แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”   ท่อนแขนผอมบางถึงกับยกขึ้นมาดันแผ่นอกหนาของเขาออกก่อน เขาเองก็ยอมละออกมาทอดสายตามองใบหน้าขึ้นสีแดงจัดที่กำลังหอบขนาดหนัก...เจ้าชายแห่งอียิปต์ที่ร้อนเป็นไฟแบบนี้เขาชอบที่สุด

“เรา...เราก็ไม่ได้อยากจะห้ามหรอกนะ...แฮ่ก...แฮ่ก....แต่...แต่ถ้าทำแล้วเราลุกไม่ขึ้นไปอีกสองวัน เกรงว่าพายุทรายจะผ่านไปเสียก่อน...”   อืม...ที่เจ้าลูกหมาโกลเด้นพูดมามันก็มีเหตุผล ถือว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ทำให้เด็กนี่ชินจนสามารถมีอะไรกับเขาได้ทุกที่ทุกเวลา

ครั้งนี้...จะปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน

เขายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะถอยห่างออกมา ทว่ากลับเป็นเซบเองที่ดึงแขนเขาไว้


จุ๊บ...


ริมฝีปากสีชมพูจู่โจมริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะละออกไปเสหน้ามองพื้นเตียงอย่างอายๆ...ถ้านั่นแทนคำขอโทษ ก็ถือว่าโอเค

เขายกมือขึ้นไปดึงแก้มใสก่อนจะโยกไปมาพลางหัวเราะเบาๆ แล้วใช้มือข้างนั้นดึงหัวในมงกุฎผ้ามาซบที่ไหล่ก่อนจะกระซิบให้ได้ยิน

“ชั้นจะเอามันมาให้นายให้ได้...My Prince”   บัลลังก์สีทองอันนั้น ชั้นจะเอามันมาวางแทบเท้านายให้ได้ เจ้าชายของชั้น

“ไปเตรียมตัวกันเถอะ”   มือแข็งแรงดันหัวในมงกุฎผ้าออกจากไหล่ก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน เด็กนั่นคงไม่รู้หรอกว่า My Prince หมายความว่าอะไร เครื่องแปลภาษาในหัวของเขาจงใจให้เด็กนั่นได้ยินเป็นภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาอียิปต์ตามปกติ ใบหน้ารูปไข่มีสีหน้าสงสัยแต่เขาก็รีบลุกจากเตียงมาเสียก่อน...จะให้พูดออกไปตรงๆได้ไง น่าอายตายชัก

เขากับเจ้าชายแห่งอียิปต์แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เขาเพิ่งรู้ว่าการคุยกับพ่อครัวนั้นน่าปวดหัวกว่าที่คิด มันอาจจะผิดที่เขาเองที่สื่อสารกับคนทั่วไปไม่ค่อยจะได้เรื่อง เพราะงั้นกว่าเขาจะหาคนที่เคยเป็นพ่อครัวอยู่ที่เมมฟิสเจอ กว่าจะสอบถามจนรู้ว่าต้องเดินไปทางไหนถึงจะได้พบห้องครัว ต้องเอายาใส่ตรงไหนทหารถึงจะกินอย่างทั่วถึง...ก็เล่นเอาหมดไปค่อนวันเต็มๆ












กว่าคิมี่ ไรโคเนนจะเดินสโลสเลกลับมาถึงห้องพักบนปราสาท เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์ก็กลับจากวิหารมาถึงพอดี

นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองแผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นกระชับที่นั่งหันหลังให้อยู่บนเตียง...ใบหน้าคมกำลังจ้องมองไปยังทะเลทรายที่ค่อยๆกลืนหายไปในความมืด คิมี่มักจะมองตรงไปข้างหน้าเสมอ ไม่ว่าหนทางมันจะมืดมัวแค่ไหนหรือมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม และนัยน์ตาสีเทาที่แน่วแน่คู่นั้นมันก็ทำให้เขาหลงใหล

หลงใหล...จนเกิดติดใจโลกใบนี้ขึ้นมา...

ใบหน้ารูปไข่ส่ายเบาๆก่อนจะย่องเข้าไปหาร่างหนาที่นั่งอยู่บนเตียง

“คิ~มี่~~”   ริมฝีปากเอ่ยเรียกพร้อมกับร่างทั้งร่างที่โถมเข้าใส่แผ่นหลังกว้างใหญ่นั่น อันที่จริงผู้ชายคนนี้ไม่ได้สูงไปกว่าเขา แต่ร่างกายกลับบึกบึนสมชายชาตรีกว่ามาก

“กลับมาแล้ว?”   ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีบลอนด์สว่างหันมาถามสั้นๆแต่เขากลับตอบเสียยืดยาว

“อื้อ~ พวกนักบวชรับปากจะช่วยทำยาให้ พรุ่งนี้บ่ายๆเราจะแอบไปเอา ส่วนพี่รองเราก็เตรียมการเอาไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเราจะเริ่มแผนทันที”   เขาเอ่ยบอกคิมี่ในขณะที่ยังกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง ใบหน้าเกยอยู่บนหัวไหล่หนา เขาชอบเวลาที่ได้สัมผัสร่างกายของคิมี่ แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังรู้สึกดี

“นายจะไม่เสียใจแน่ใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าชายลำดับที่สองก็ดีกับนายมากหรอกเหรอ?”  คิมี่หันกลับไปมองทะเลทรายที่สุดปลายระเบียงอีกครั้งเมื่อถามคำถามนี้กับเขา เศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเขากระตุกวูบไป เขายอมรับว่ามันเป็นบททดสอบที่ยากจริงๆ เพราะในบรรดาพี่ชายทั้งหมด พี่คนรองรักและเป็นห่วงเขามากกว่าใคร...มันยาก...ที่จะต้องทำร้ายคนที่จริงใจกับเขา

“เรา...ก็คงเสียใจนั่นแหละ เพราะท่านพี่นั้นดีกับเราจริงๆ”   เขาบอกคิมี่ไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง

“แต่ไม่ว่าท่านพี่จะดีกับเราแค่ไหน...ในวันที่เราต้องการให้เค้าช่วย เค้ากลับไม่กล้ายื่นมือออกมาหาเรา ไม่กล้าช่วยเรา”   ใบหน้ารูปไข่ที่เกยอยู่บนไหล่หนาพูดออกไปราวกับตกอยู่ในภวังค์ ภาพในวันที่เขาร้องไห้แทบตายแต่กลับไม่มีใครคิดจะฟังคำขอร้องจากเขามันยังคงเป็นแผลฝังลึกอยู่ในใจไม่มีวันหาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำดีกับเขาในภายหลังแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่อาจจะลบเลือนภาพในวันนั้นไปได้

“ไม่เหมือนท่าน...คิมี่”   น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

“ถ้าเป็นท่าน...จะต้องช่วยเราแน่ๆ....”   ถ้าคนที่อยู่กับเขาในวันนั้นเป็นคิมี่...อีกฝ่ายจะต้องหาทางช่วยเขาได้แน่ๆ เขามั่นใจ

...ก็ขนาดตอนนี้...คิมี่ยังช่วยเขาทำลายกองทัพทั้งกอง ทำลายชีวิตคนนับร้อยนับพันเพื่อเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ...

“หื๋อ?”   ใบหน้าคมหันมาหาและมันก็ทำให้แก้มของคิมี่เฉียดปลายจมูกของเขาไปแค่นิดเดียว

“ช่างเถอะ เราง่วงแล้ว นอนกันเถอะ”  เขาตัดบทเพราะไม่อยากจะพูดถึงคืนวันที่เจ็บปวดพวกนั้น ท่อนแขนบางๆจึงดึงคิมี่ให้ล้มตัวลงนอนตามมา สองแขนโอบรอบเอวหนาก่อนจะซุกหน้าเข้าไปที่แผงอกเปลือยเปล่า

บางครั้งเขาก็เฝ้าภาวนานะว่า...ขออย่าให้แผนการในวันพรุ่งนี้สำเร็จเลย...

ทำไมท่านถึงมาหาเราเอาป่านนี้นะคิมี่...

ถ้าเราพบกันเร็วกว่านี้...ก็คงดี...













เจ้าลูกหมาโกลเด้นนั่นไปหลอกล่อเจ้าชายลำดับที่สองไว้ยังไงก็ไม่รู้นะ แต่ว่าตอนนี้ทั่วทั้งเมืองธีบส์กำลังชุลมุนไปด้วยคำสั่งเรียกรวมพลทหารอย่างเร่งด่วนอยู่ นัยน์ตาสีเทาทอดมองความวุ่นวายเหล่านั้นจากบนปราสาทของเจ้าชายเซบาสเตส พวกทหารต่างจูงอูฐจูงลามาอย่างเร่งรีบ พวกพลเรือนเองก็เร่งหาเร่งหาบเสบียงกันมาจนเต็มลำรถลาก ถนนสายหลักบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความโกลาหลจนถ้าเขากับเจ้าชายลำดับที่สี่จะหายตัวไปก็คงไม่มีใครสงสัย 

มือใหญ่กุมขวดสีใสที่ใส่ยาเอาไว้จนเต็ม เซบไปเอามาจากพวกนักบวชเมื่อคืนและเช้านี้มันก็จะเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรับไม้ต่อ

“คิมี่...ได้เวลาแล้ว”   เจ้าชายแห่งอียิปต์เดินเข้ามาบอกเขาหลังจากลงไปดูลาดเลารอบๆปราสาทมา ในเมืองวุ่นวายขนาดนั้นคงไม่มีใครมีแก่ใจจะสนหรอกว่าอาคันตุกะอย่างเขาจะยังอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า

เขาพยักหน้าให้เด็กหนุ่มเบาๆก่อนจะก้าวขาเดินตามเซบไป พวกเขาใช้ทางเดินในท่อระบายน้ำที่เชื่อมจากปราสาทออกไปยังทะเลทราย และไม่นานเจ้าเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงของเขาก็ได้ออกมาอวดโฉมท้าทายพระอาทิตย์อีกครั้ง

ตอนนี้เขานั่งอยู่ในรถด้วยชุดนักขับ...เพราะไม่รู้ว่าเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนี้แสงแดดจะแผดเผาเขาไปแค่ไหน อย่างน้อยถ้าอยู่ในชุดหมีสีแดงกับหมวกกันน็อคก็ยังพอจะช่วยป้องกันรังสีและความร้อนได้ระดับหนึ่ง

“ขอบใจนะที่ช่วยเราขนาดนี้ เราควรจะตอบแทนท่านยังไงดี?”  เจ้าชายแห่งอียิปต์ยืนมองเขาอยู่ข้างรถด้วยสายตาซาบซึ้ง เขาจึงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดหยอกออกไป

“เอาไว้กลับมา นายค่อยนอนกับชั้นเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”   ร่างโปร่งบางชะงักไปก่อนแก้มใสจะค่อยๆขึ้นสีจนแดงระเรื่อ เขาอมยิ้มก่อนจะก้มลงไปสตาร์ทรถ ปลุกเจ้าม้าหลับให้ตื่นขึ้นมา

เสียงทุ้มต่ำดังกระหึ่มไปทั่วท้องทะเลทราย ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคพยักให้คนที่ยืนอยู่น้อยๆก่อนจะพาเจ้าม้าสีเพลิงวิ่งออกไป

เจ้าชายแห่งอียิปต์ยืนมองเจ้าม้าตัวนั้นพุ่งทะยานเข้าไปในทะเลสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาสีฟ้ายังคงจับจ้องมองตาม แสงแดดอ่อนๆของยามเช้าที่สาดกระทบสีแดงสดของมันช่างงดงามจับใจ ยิ่งมันวิ่งฝุ่นตลบไปตามสันทรายก็ยิ่งเป็นภาพที่อลังการตระการตาจนคงจะจดจำไปจนวันตายได้เลย

เขาหลงรัก...ทั้งเจ้าม้าสีแดงตัวนั้น ทั้งคิมี่













ภาพข้างหน้ายังคงกระจ่างชัดต่างจากด้านหลังที่ฝุ่นทรายม้วนตลบอบอวลจนมองไม่เห็นอะไร แน่นอนว่าคิมี่ ไรโคเนนไม่ได้สนใจอยู่แล้วเพราะนี่ไม่ได้อยู่ในสนามแข่ง ไม่ต้องห่วงข้างหลังว่าใครจะแซงหรือใครจะมาสอยตูดรถของเขาหรือไม่ เวลานี้เขามีแค่ต้องวิ่งไปข้างหน้า วิ่งตรงไปอย่างเดียวเท่านั้น

ยังดีที่ระหว่างเมืองธีบส์กับเมืองเมมฟิสสามารถวิ่งเป็นเส้นตรงได้...บนสันทรายที่เจ้าชายแห่งอียิปต์วาดให้เขาดู ถึงแม้ฝีมือการวาดรูปของเจ้าเด็กนั่นจะไม่ค่อยได้เรื่องนัก แต่กลับมีวิธีเขียนแผนที่ให้เขาเข้าใจได้  รอยยิ้มเผยอยู่ใต้หมวกกันน็อคโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงเซบ ความอะไรไม่รู้ของเด็กนั่นทำให้เขานึกขำได้แทบทุกเรื่อง อยู่ด้วยแล้วไม่มีเบื่อหรือรำคาญเลยจริงๆ

สองมือถือพวงมาลัยให้ตั้งตรง ปลายเท้ายังคงเหยียบคันเร่งจนความเร็วเฉียดใกล้ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่รอมร่อ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าใครจะมองเห็น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน เพราะไม่มีมนุษย์ชาวอียิปต์หน้าไหนใช้เส้นทางนี้แน่ๆ เซบบอกว่าคนส่วนใหญ่จะใช้การล่องเรือไปตามแม่น้ำไนล์หรือไม่ก็ใช้อูฐใช้ลาวิ่งไปตามทางเลาะริมแม่น้ำมากกว่า ไม่มีใครบ้าระห่ำมาเดินกลางทะเลทรายที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางแบบเขาแน่

ไม่สิ...คนที่บ้าบิ่นกว่าเขาก็คือคนที่ดันรู้ว่ามีเส้นทางบนสันทรายที่ใช้ให้รถวิ่งได้แบบเด็กนั่นมากกว่า

ถึงได้บอกว่าเจ้าลูกโกลเด้นนั่นมันไม่ธรรมดา

สครูเดอเรียเฟอร์รารี่สีแดงสดวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอไปตามสันทราย ฝุ่นสีน้ำผึ้งที่ตีตลบอยู่ด้านหลังทำให้ภาพๆนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรวดเร็ว รุนแรง แต่ก็สวยงามจนละสายตาจากไปไม่ได้ ไอร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากเม็ดทรายที่เรียงตัวกันจนกลายเป็นทะเลกว้างใหญ่ยิ่งส่งให้เลือดในกายร้อนเป็นไฟตามไป...ถ้าภาพนี้เป็นรูปถ่าย...คงจะได้รับรางวัลระดับโลกแน่ๆ

นัยน์ตาสีเทารู้สึกพร่าเลือนเล็กน้อยจนต้องดูดน้ำจากกระติกเพื่อดับความกระหาย เขาน่าจะขับรถมาได้เกือบๆชั่วโมงแล้วและแสงแดดอันแรงกล้านี่ก็ทำให้เขาอ่อนล้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ตอนนี้ในค็อกพิทร้อนจนแทบจะกลายเป็นเตาย่าง ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคจึงต้องกัดฟันเพื่อที่จะทนต่อไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ หัวใจของเขายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะประคองรถในสภาพอากาศและภูมิประเทศแบบนี้ไปจนถึงที่ที่ต้องการได้ เขาไม่รู้เลยนะ ว่าหากรถเกิดพังกลางทางขึ้นมา เขาจะทำยังไง อย่าว่าแต่แผนของเซบจะล่มเลย ตัวเขาเองอาจจะต้องตายอยู่ในทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ตายอย่างที่ไม่มีใครจะหาศพเขาพบอีกเลยก็ได้

เงาวูบไหวของต้นปาล์มและแอ่งน้ำทำให้เขารู้ว่าน่าจะเข้าใกล้โอเอซิสสักที่ เขาไม่ได้ขาดน้ำเพราะงั้นจึงไม่น่าจะเป็นอาการภาพหลอน ฝ่าเท้าจึงเบาคันเร่งลงก่อนที่ในที่สุดรถสีแดงจะจอดสนิทใกล้ๆแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยต้นกก 

เขาลุกออกจากรถ...ตามที่เซบบอก หากเขามาเจอโอเอซิสแห่งนี้ก็แสดงว่าน่าจะใกล้ถึงเมืองเมมฟิสเต็มที จากตรงนี้เขาต้องเดินเท้าเข้าไป เพราะไม่เช่นนั้นเสียงของเจ้าม้าสีแดงนี่อาจจะทำให้ชาวบ้านรู้ตัวเสียก่อน

มือใหญ่ถอดหมวกกันน็อคและปลดชุดนักขับออกจากร่างกาย ชุดแบบอียิปต์โบราณที่ใส่มานานหลายเดือนถูกดึงออกมาสวมอย่างคุ้นเคย ดูเหมือนสีผิวของเขาจะเข้มขึ้นนิดหน่อยหลังจากที่หลุดมาอยู่ในยุคนี้เพราะทุกวันก็เปลือยท่อนบนจนเป็นปกติ

เขาใช้ผ้าคลุมผมของตัวเองไว้ ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่จะโกนหัวแต่เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แค่เอาผ้าคลุมผมสีไม่เหมือนใครนี่ไว้ เหมือนที่ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่จะออกจากบ้านด้วยการสวมวิกหรือไม่ก็หาอะไรคลุม เขาก็คงพอจะเนียนๆไปได้บ้าง

สองขาก้าวผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุ เขาพอจะรู้ทิศรู้ทางบ้างแล้วว่าต้องเดินไปทางไหนด้วยกลิ่นของอาหารที่ลอยมาตามลม อาหารของที่นี่จะมีกลิ่นเครื่องเทศแรงมากกว่าอาหารบ้านเขา เพราะงั้นแค่เขาเดินตามกลิ่นฉุนๆพวกนี้ไปก็คงถึงเมืองเมมฟิสได้ไม่ยาก

แล้วเขาก็เดินอยู่ในทะเลทรายยังไม่ถึงยี่สิบนาที ต้นไม้เขียวชะอุ่มก็เริ่มมีให้เห็นประปรายจนค่อยๆหนาตาขึ้นเรื่อยๆ เขาน่าจะเข้าเขตเมืองที่มีคนอาศัยอยู่แล้วละ

เขามั่นใจได้ในทันทีว่าเขามาถึงเมืองเมมฟิสไม่ผิดแน่ เมื่อนัยน์ตาสีเทามองเห็นพระราชวังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง...สมกับที่เป็นพระราชวังเก่าของอาณาจักรอียิปต์จริงๆ เพราะมันยิ่งใหญ่มาก 

เขาไม่ได้สนใจถนนดินอัดที่ทอดยาวเข้าสู่พระราชวังเพราะที่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา สองขาเดินเลี้ยวไปตามทางแคบๆซึ่งมีขยะสดกองอยู่ประปราย อาณาจักรยุคโบราณแบบนี้ยังไม่ค่อยจะรู้วิธีจัดการกับระบบสาธารณูปโภคเท่าไหร่ บางด้านของเมืองจึงไม่สะอาดนัก โดยเฉพาะส่วนที่จะมีของสดซึ่งเน่าเสียได้ผ่านเข้าออกทุกวันอย่างด้านที่เป็นโรงครัว

ฝ่าเท้าเหยียบย่างลงไปบนถนนที่ส่งกลิ่นไม่ดีเท่าไหร่ ในหัวก็พยายามนึกสิ่งที่พ่อครัวบอกกับเขามา...ว่าสุดถนนเส้นนี้ก็จะเป็นโรงครัวของเมมฟิส เป็นสถานที่ที่ทำอาหารเลี้ยงคนทั้งพระราชวัง รวมทั้งพวกทหารด้วย

แน่นอนว่าเขาคงไม่ได้จะแอบเข้าไปเทยาใส่หม้ออาหารทีละหม้อๆตรงๆแบบนั้นหรอก แต่พ่อครัวบอกกับเขาว่าถ้าจะวางยาให้ได้ผลดีที่สุด มันต้องวางยาใส่ถังเก็บน้ำของเมมฟิส...น้ำที่จะเอามาใช้ประกอบอาหาร น้ำที่เอาไว้ดื่ม

ฝ่ามือกระชับผ้าคลุมก่อนจะมองตรงไปยังกลุ่มอาคารทรงสี่เหลี่ยมมินิมอลๆที่สร้างด้วยดินอัด ควันและไอน้ำสีขาวที่ลอยคลุ้งออกมาผสมกับกลิ่นเครื่องเทศที่รุนแรงทำให้เขารู้ว่าสิ่งก่อสร้างตรงหน้าคือโรงครัวไม่ผิดแน่ สองขายังมีความลังเลอยู่บ้างที่จะก้าวเดินเข้าไปหามัน เพราะเขาไม่ใช่นักฆ่ามืออาชีพ เขาเป็นแค่นักขับเอฟวัน...ใช่...เขาเป็นแค่นักกีฬาคนหนึ่ง ถึงเขาจะถูกสื่อมองว่าเป็นตัวอันตราย เป็นแบดบอยที่ต้องระวังเวลาจะเข้าใกล้ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยคิดจะวางยาใคร ไม่เคยคิดจะทำให้คนทั้งเมืองต้องเจ็บป่วยหรือเดือดร้อน เขาไม่ได้เลวถึงขนาดนั้น ไม่สิ ต้องบอกว่าอันที่จริงแล้วเขาแทบไม่เคยจะไปยุ่งหรือสุงสิงกับใคร บุคคลิกเขาอาจจะดูน่ากลัวไปบ้างแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่มายุ่งกับเขาก่อนเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปหาเรื่องใครอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น...งานนี้จึงทดสอบจิตใจของเขายิ่งกว่าตอนขับฟอร์มูล่าวันเสียอีก

เขาเจอเด็กนั่นยังไม่ทันจะถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ...ทำไมถึงยอมทำให้ขนาดนี้กันนะ?

ต้องเป็น...คำสาปของฟาโรห์แน่ๆ

ใบหน้าหล่อเหลาส่ายน้อยๆกับความคิดของตัวเอง จริงๆแล้วคิมี่ ไรโคเนนไม่ใช่คนอารมณ์ร้ายอย่างที่ใครๆคิดกัน เขาออกจะตลกแล้วก็กวนประสาทด้วยซ้ำถ้าสนิทกัน...เพราะงั้นถึงคิดได้ว่ามันเป็นคำสาปของเจ้าชายโกลเด้นนั่น!

“นี่เจ้า! เป็นใครมาจากไหนน่ะ? หยุดก่อน!”   แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฝ่าเท้าของเขาต้องชะงัก นัยน์ตาสีเทาเหลือบไปเห็นทหารยามสองคนเดินตรงมาหา ฝ่ามือจึงยิ่งต้องกระชับผ้าคลุมหัวเข้าไปอีก หัวใจที่เย็นเป็นน้ำแข็งไม่ได้ตื่นเต้นหรือตกใจเท่าไหร่ เพียงแต่หงุดหงิดนิดๆที่ต้องมาหลบๆซ่อนๆแบบนี้ ก็ปกติคิมี่ ไรโคเนนเคยเป็นแบบนี้เสียที่ไหน เขามักจะเดินอาดๆอย่างไม่กลัวใคร แล้วดูตอนนี้สิ

“นี่มันเลยเวลาส่งของหรือเวลาเปลี่ยนเวรพ่อครัวมาแล้วนี่?”   ทหารยามสองคนนั้นเดินมาดักข้างหน้า เขาพยายามจะไม่เงยขึ้นไปสบตาตรงๆ เพราะทั้งโครงหน้า สีผิว สีตาของเขามันไม่เหมือนชาวอียิปต์โบราณเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องบอกว่าคงถูกจับได้ทันทีแน่ว่าเขาไม่ใช่คนของที่นี่

แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละ คำโกหกของเขาจึงดูมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อเขาตอบเบาๆกลับไปว่า

“เป็น...พ่อครัวที่มาทำอาหารต่างชาติ เพิ่งเดินทางมาจากมาซิโดเนีย ยังไม่ค่อยรู้กฎหรือเวลาของเมืองนี้ เลยมาสาย...”   มาซิโดเนียอะไรนั่นอยู่ตรงไหนเขาก็ไม่รู้หรอก นึกขึ้นมาได้แล้วก็บอกมั่วๆไป แต่คำตอบของคำถามนี้พวกพ่อครัวเพื่อนของเซบเคยบอกกับเขาเอาไว้ ว่าถ้าตอบแบบนี้ทหารยามจะไม่เข้ามาจู้จี้นัก

“อ้อ พ่อครัวอาหารต่างชาตินี่เอง งั้นก็เข้าไปเถอะ”   แล้วก็เป็นอย่างที่พ่อครัวพวกนั้นบอกจริงๆด้วย เมื่อทหารยามยอมปล่อยเขาไปโดยไม่ซักไซร้อะไรต่ออีก เขาจึงรีบก้าวขาเดินเข้าไปในโรงครัวก่อนที่พวกนั้นจะเปลี่ยนใจแล้วกลับมาค้นตัวเขาใหม่

เขาไม่ได้สนใจเลยว่าพื้นที่ประกอบอาหารของพ่อครัวต่างชาติอยู่ตรงไหน แต่สิ่งที่นัยน์ตาสีเทากวาดหาคือสิ่งที่มีลักษณะเหมือนแท็งก์เก็บน้ำขนาดใหญ่มากกว่า เขาเดินอ้อมไปด้านหลังโรงครัวแล้วในที่สุดเขาก็เจอมันเข้าจนได้....

มันดูเหมือนบ่อน้ำขนาดใหญ่มากกว่าจะเรียกว่าแท็งก์ เขาเห็นพ่อครัวหลายคนช่วยกันตักน้ำในบ่อนั่นแล้วหิ้วเข้าไปในโรงครัว เหงื่อหลายเม็ดซึมอยู่ใต้ไรผมอย่างช่วยไม่ได้ เปล่าหรอกเขาไม่ได้ร้อน แต่ขวดยาที่มือกุมอยู่นี่มากกว่าที่ทำให้เหงื่อไหลออกมาแบบนั้น

เซบบอกกับเขาว่ายานี่จะมีฤทธิ์อยู่ได้ราวๆสองวัน นั่นหมายความว่าหลังจากนี้น้ำที่มีพิษก็จะกลับเป็นน้ำตามปกติ คนที่นี่จะถูกเขาทำร้ายอยู่แค่วันนี้เท่านั้น...แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้ไม่รู้สึกผิดอยู่ดี...ตอนนี้ในจิตใจของเขากำลังกดดันอย่างรุนแรง จิตสำนึกสีขาวกับสีดำกำลังต่อสู้กันอยู่ในหัว สองมือที่ถือขวดยาอยู่ก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

แต่แล้ว...

ภาพของเซบที่เดินโซเซอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในวันที่หนีจากการจับกุมก็ทำให้เขาตัดสินใจ...เทยาในขวดลงไป...

เขาเฝ้าขอโทษต่อคนที่ต้องถูกเขาทำร้ายตั้งแต่ยาหยดแรกไหลลงไปจนกระทั่งหยดสุดท้าย...รู้สึกผิดจนอยากจะร้องไห้แต่ก็จำต้องกัดฟันเก็บมันเอาไว้...หน้าที่นี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ฝ่ามือที่สั่นสะท้านบีบขวดยาที่ว่างเปล่าแน่น เขาหอบหายใจอย่างรุนแรงจากสภาพจิตใจที่ตกอยู่ในความกดดันจนถึงขีดสุด

น้ำใสๆที่เคยอยู่ในขวดค่อยๆแพร่กระจายหายไปกับน้ำที่อยู่ในบ่อ เขายืนนิ่งงันมองมันอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งเสียงตีฆ้องร้องป่าวดังปาวๆอยู่รอบๆเมือง

ได้ยินพวกพ่อครัวพูดกันในขณะที่มีท่าทางตื่นๆว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเรียกรวมพลทหารด่วน ดูเหมือนจะมีข่าวจากทางเมืองธีบส์ว่าเจ้าชายลำดับที่สองยกกองทหารบุกมา ทางนี้เลยจะออกไปตั้งรับ เขาได้แต่ฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย มาถึงขั้นนี้แล้วคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วละ สงครามคงกำลังจะเกิดในอีกไม่ถึงวันแน่ๆ

เขาเร้นกายออกไปจากโรงครัว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาอยู่ในสภาวะสงครามแบบนี้ แล้วยิ่งเป็นสงครามยุคโบราณเขายิ่งไม่เคยคิด ใบหน้าเฉยชาทอดสายตามองกองทหารที่รับอาหารจากฝ่ายโรงครัวไปเป็นเสบียง ฝ่ามือได้แต่กำแน่นเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้กระโดดลงไปขวางการแจกจ่ายเสบียงเหล่านั้น...ถ้าเขาเลวกว่านี้ ถ้าเขาเป็นแบดบอยจอมร้ายกาจอย่างที่สื่อประนามเขาก็คงจะดี...จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้



























“เจ้าชาย...ผู้สังเกตการณ์ประจำเมมฟิสขอเข้าเฝ้า”   เสียงราบเรียบของจีน่า องครักษ์ประจำกายทำให้เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะเดินตามเด็กสาวไปยังห้องรับรองที่มีคนขอเข้าเฝ้ารออยู่

“เจ้าชาย”   ผู้สังเกตการณ์ประจำเมืองเมมฟิสทำความเคารพเขาก่อนที่จะเริ่มรายงานสถานการณ์ที่ตนถึงกับต้องรีบเร่งมาถึงที่นี่ให้ฟัง...เพราะตอนนี้...ไม่น่าจะมีคนที่มีศักดิ์สูงกว่าเขาเหลืออยู่ในอียิปต์แล้ว

“บัดนี้การสู้รบระหว่างกองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับกองทัพของเจ้าชายลำดับที่สองนั้นจบลงแล้วขอรับ ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียกำลังพลไปเกือบหมด กองทัพของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งซึ่งควรจะชนะในศึกครั้งนี้กลับอ่อนแรงก่อนที่จะได้ต่อสู้เสียอีก คาดการว่าน่าจะมาจากโรคติดต่อที่ทำให้อาเจียนและถ่ายทั้งวัน จนทำให้กองทัพของเจ้าชายลำดับที่สองเอาชนะได้ในที่สุด แต่กองทัพของเจ้าชายลำดับที่สองกลับโดนพายุทรายเล่นงานระหว่างที่กำลังจะกลับเมืองธีบส์ กองทหารที่กำลังเหนื่อยล้าต่างหนีไม่ทันและล้มหายตายจากไปเกือบหมดขอรับ”   เจ้าชายเซบาสเตสนั่งฟังคำรายงานด้วยใบหน้านิ่งเพราะทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่คาดการไว้ เป็นไปตามแผนของเขาทุกอย่าง แต่คนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างผู้สังเกตการณ์กลับคิดว่าเจ้าชายผู้อ่อนโยนคนนี้คงกำลังเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแน่

“แล้ว...พี่ชายทั้งคู่ของเราเล่า...เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง”   ใบหน้ารูปไข่ถามออกไปด้วยเสียงหมองๆ

“ฟังจากทหารที่เหลือรอดกลับมา...เจ้าชายลำดับที่หนึ่งถูกไล่ต้อนจนไปจบชีวิตลงในหน้าผาหลังวิหารเมมฟิสขอรับ...ส่วนเจ้าชายลำดับที่สองก็ถูกพายุทรายพัดหายไปในทะเลทราย ไม่มีใครทราบเลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง แต่จากการที่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จึงคาดการได้ว่า...อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว...ขอรับ”   ร่างโปร่งถึงกับทิ้งตัวเอนพิงพนักเก้าอี้ ทั้งๆที่มันเป็นไปตามแผนการของเขาทุกอย่าง แต่ตอนนี้หัวใจกลับเจ็บแปลบ เขาไม่ได้ดีใจเลยที่ได้บัลลังก์สีเลือดนั่นมา ไม่ได้ตั้งใจจะให้ผู้เป็นพี่ชายต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้เลย

เขาตัดสินใจถูกหรือเปล่านะที่เลือกทางนี้...

หรือเขาควรจะเชื่อคิมี่...ที่ให้เขาหนีไปหาที่สงบๆอยู่

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เขาก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีกแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขามีแต่จะต้องเดินหน้าต่อไป ต่อให้มีความรักของคิมี่แต่เขาต้องไม่ลืมความแค้นที่มีต่ออาณาจักรนี้

แผนการของเขา...ยังต้องดำเนินต่อไป...

“เจ้าชาย...ถึงท่านจะยังเศร้าโศกเสียใจอยู่ แต่ก็ขอให้ท่านโปรดเตรียมตัวด้วย ข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้ต่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่และนักบวช...และคงจะมีการสถาปนาเจ้าชายขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์ใหม่ของอาณาจักรอียิปต์ในไม่ช้า”







ผู้สังเกตการณ์ขอตัวกลับไปแล้ว ร่างโปร่งบางถึงได้เดินอย่างหมดแรงกลับมายังห้องนอนของคิมี่ เขาทรุดนั่งลงไปบนเตียงที่ว่างเปล่า...

ความเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ แต่ตอนนี้เขากลับมีความกังวลใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง ใบหน้าภายใต้มงกุฎผ้าหันไปมองหมอนที่เคยใช้หนุนนอนร่วมกันก่อนจะขมวดคิ้ว...นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว...หลังจากที่เกิดพายุทราย

แล้วทำไม...


คิมี่...


ทำไมท่านถึงยังไม่กลับมา?


เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือเปล่า?










.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...





กร๊ากกกกก เมืองเมมฟิสนี่มีอยู่จริงๆในแผนที่อียิปต์โบราณนะคร้า คุณกวางไม่ได้ไปเอาชื่อพระเอกการ์ตูนตาหวานบางเรื่องมาตั้งเป็นชื่อเมืองนะเออ 55555

เป็นเมืองใหญ่ของอียิปต์โบราณทั้งคู่จริงๆค่ะ เมืองธีบส์กับเมืองเมมฟิส แล้วก็เป็นเมืองหลวงเก่ากับเมืองหลวงใหม่จริงๆนะถ้าอ่านมาไม่ผิด 55555 ก็จะพยายามมั่วให้น้อยที่สุดอ่ะนะแต่ก็อย่าเชื่อคุณกวางมันมากนักค่ะ เอิ้ก

เป็นไง เห็นความร้ายกาจของเจ้าชายแห่งอียิปต์แล้วกลัวนางกันบ้างไหมคะ 5555 อันที่จริงตอนนี้คุณกวางมันกำลังเศร้ากับสนามสิงคโปร์ที่แข่งไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เหตุการณ์อะไรยังไงก็อย่างที่เห็นๆกันไป ยังไงคุณกวางก็เข้าข้างมาดามเต็มที่ค่ะ ด้วยรักและลำเอียงบอกเลย 55555 // อินี่... // โอ๊ย มันเป็นแบบนี้ทุกทีแหละเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อให้คนผิดจะไม่ใช่นาง แต่หลายๆคนก็จะบอกว่านางนั่นแหละที่ผิด จนบางทีคนผิดจริงๆนี่ลอยลำไปเลยเพราะนางกลายเป็นคนรับบาปแทนถถถถ คือ ตอนอยู่ในสนามนางเป็นพวกใจร้อน ปากไว ปากร้าย บ่นบ้างด่าบ้างใส่ตั้งแต่คู่แข่งยันกรรมการ 5555 นางโดนทำโทษบ่อยค่ะเรื่องด่ากราดเนี่ย 5555 แต่อยู่นอกสนามและชีวิตส่วนตัว(ที่ออกจะเป็นความลับมากกกก)นางเป็นคนน่ารักมากกกกกกกค่ะ นางเป็นพวกเฟรนลี่ ใจดี ยิ้มง่าย ขี้เล่นแต่ก็แสบมากนะ คือทุกคนล้อเล่นกับนางได้ นางไม่ถือสา อย่างพวกเรดบลูศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางนี่เอานางไปล้อไปแหย่เล่นประจำ 5555 ตอนนี้เลยสงสารนางมากๆๆๆ เพราะเห็นความพยายามของนางมาตลอด ยังไงก็จะเชียร์จะสู้ไปกับนางและม้าและท่านจนกว่าธงตาหมากรุกของสนามสุดท้ายจะโบกสะบัดนะคะ ได้แต่หวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดกับเซบบ้าง ฮืออออ

ส่วนอิฟิคเรื่องนี้ตรูไม่บงไม่บนมันละ ด้วยความคับแค้นใจในโชคชะตาของมาดาม เดี๋ยวตรูจะตะบี้ตะบันแต่งแม่งให้จบเลย หึๆๆๆ น่าจะอีกสองตอนนะคะ ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามมากๆน้า >v<

วันนี้มีเพลงมาแนะนำด้วย อันที่จริงติดมาจากคลิป คิมี่เซบ อันนี้ค่ะ





ตัวคลิปแม่งตัดต่อได้เท่ห์สลัดเลยค่ะคุณแม่ขราฟฟฟฟฟ >/////< เลยติดเพลง Whataya Want from Me ของ  Adam Lambert ไปโดยปริยาย 5555 ตอนฟังนี่นึกถึงฉากที่คิมี่ขับรถฝุ่นตลบไปบนสันทรายเลยฟฟฟฟฟ >/////<

แล้วเจอกันตอนหน้าคร่า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น