Attack on Titan. Au S.Fic HBD.Eren [Levi x Eren] พราว : 05


Attack on Titan. Au S.Fic HBD.Eren [Levi x Eren]  พราว : 05

: Attack on Titan Fanfiction 
: Levi x Eren
: Warmhearted Sweet
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           
         






กลิ่นสะอาดๆที่ลอยเข้าจมูกมาเหมือนกลิ่นของเขาจนรู้สึกอยากจะโผเข้าไปหา...

นี่ผมลืมตาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือความฝันหรือสวรรค์กันแน่...ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ขาวโพลนไปหมดแบบนี้...


“ เอเลน!!


เสียง....

เสียงของเขาที่ผมคิดถึงเหลือเกิน...คิดถึงราวกับว่าไม่ได้ฟังมันมานานแสนนาน...


“ เอเลน!! มองชั้นสิ!! หมอ!! หมอ!!!” 


หึหึ....เขาโวยวายด้วยละ

ไม่สมกับเป็นมนุษย์เลือดเย็นที่ทำโทษสมาชิกชมรมเบสบอลด้วยการเป่านกหวีดเพียงอย่างเดียวคนนั้นเลยนะ....


“ เอเลน?!!


อุ่นจัง....

มือของเขาที่ประคองสองแก้มผมเอาไว้ยังคงอุ่นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย...


“ .......คะ....โค้ช.......”


อึก....แค่เปล่งเสียง...ทำไมเจ็บที่หัวใจขนาดนี้....

หรือว่าอาการโรคหัวใจของผมมันกำเริบขึ้นมาอีกแล้วหรือไง?


“......โค้ช....อึก!

“ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...ไม่เป็นไรแล้วนะเอเลน...เอเลน.....”


เอ๋?...

จู่ๆเขาก็ซบหน้าลงมาที่หน้าอกของผม สองแขนของเขากอดผมเอาไว้แน่น...แล้วรอยเปียกๆนี่มันอะไรกัน?...น้ำตางั้นหรอ?....ของใครล่ะ?

ของผมหรือว่าของเขา?


“ เอเลน....”

สองมือของเขาประคองใบหน้าของผมเอาไว้ก่อนจะแนบหน้าผากลงมา ผมจึงได้เห็นชัดๆ...ว่าเขาร้องไห้จริงๆ

ทำไมล่ะ?

เขากลัวอะไรงั้นหรอ?


สองแขนจึงพยายามขยับไปไปกอดรอบคอของเขา ก่อนจะลูบเส้นผมสีดำของเขาเบาๆ

ไม่ต้องกลัวนะครับ...


ผม...


ยังอยู่....


ยังอยู่ข้างๆคุณ....










“ อื้อ ไม่เป็นไรแล้ว...บอกทุกคนด้วย...”

เสียงทุ้มที่ลอยตามสายลมมาทำให้เปลือกตาของผมค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก...โดยเฉพาะที่ใต้แผ่นอกด้านซ้าย...แค่จะหายใจยังเจ็บแปลบจนแทบจะน้ำตาไหล

เอาอีกแล้วงั้นหรอเนี่ย....

อาการโรคหัวใจของผมมันคงกำเริบขึ้นมาอีกแล้วสินะ...ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?

“ วันนี้ก็พยายามเข้าล่ะ ชั้นฝากกัปตันอย่างนายด้วย อื้อ แล้วจะบอกให้”   เขาวางสายโทรศัพท์ไปก่อนจะหันมาเห็นผมเข้า

“ ตื่นแล้วหรอ? อย่าเพิ่งขยับสิเจ้าเด็กเหลือขอ”  เขาแทบจะพุ่งเข้ามาเมื่อเห็นว่าผมกำลังพยายามจะลุกขึ้นนั่ง

“ โค อื้อ!....”   มือยกขึ้นไปกุมเสื้อสีอ่อนบริเวณเหนือตำแหน่งของหัวใจโดยอัตโนมัติ ขนาดพูดยังเจ็บ แสดงว่าคราวนี้คงอาการหนักน่าดู

“ นายไม่ต้องพูดอะไรหรอก...ฟังชั้นก็พอ...นะเอเลน”  เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง กลิ่นยาและสีที่ขาวสะอาดแบบนี้...ผมคงอยู่ที่โรงพยาบาลสินะ...

มือใหญ่ๆของเขาเอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้ ท่าทางเขาดูเหมือนคนจะหมดแรง ใบหน้าที่ขอบตาดำคล้ำแถมเริ่มมีหนวดเคราขึ้นน้อยๆแบบนี้ผมเพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เขาดูโทรมกว่าผมอีกนะผมว่า  มืออีกข้างของผมจึงพยายามยกขึ้นไปแตะที่หน้าเขาทั้งๆที่มันสั่นระริก

“ หึ...รู้แล้วน่า...เดี๋ยวจะไปโกน...เจ้าพวกนั้นฝากมาบอกนาย...ว่าวันนี้จะชนะให้ได้ แล้วจะเอาถ้วยกลับมาให้นายจับเป็นคนแรกเลย..ดูสิ...ถ้ามือยังสั่นอยู่แบบนี้นายจะยกถ้วยนั่นไหวได้ไง”  เอ๋?...ถ้วย?....วันนี้ทีมเบสบอลของชมรมเราแข่งนัดสุดท้ายแล้วงั้นหรอ?....นี่ผม...หลับไปกี่วันกันเนี่ย?

จำได้ว่า...ผมวิ่งไปสถานีรถไฟในวันก่อนจะแข่งรอบสี่ทีมสุดท้าย....ถ้างั้นก็เป็นอาทิตย์แล้วสิ?

ถึงว่า....เขาถึงได้โทรมขนาดนี้...

ผมวางมือลงไปบนมือของเขาก่อนจะขยับมันมาแนบใบหน้าของผมเอาไว้


ผมรักเขาจัง...


ทั้งๆที่ผมไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แต่เขาก็ยังอยู่ข้างๆผม

แล้วทีมจะไม่เป็นไรหรอ? ไม่มีโค้ชอยู่ด้วยแบบนี้?

“ ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าพวกนั้นคือคนที่ชั้นปั้นมากับมือนะ”  ราวกับเขาจะเข้าใจความหมายจากสายตาของผม เขาจึงตอบออกมาพร้อมรอยยิ้มจางๆอย่างแสดงความมั่นใจ...นั่นสินะ...พวกนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ ผมที่เป็นผู้จัดการทีมของพวกเขาย่อมต้องรู้ดีที่สุด

“ ส่วนไอ้พวกชมรมเชียร์นายก็ไม่ต้องห่วง ชั้นไปจัดการให้แล้ว รับรองว่ามันจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับนายอีก”   จากสีหน้าของเขามันแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเขาไปจัดการอีท่าไหน...

“ อันที่จริงพวกนั้นตั้งใจจะมาขอโทษ แต่นายหลับอยู่...พวกนั้น ไม่สิ จะว่าไปก็ไม่มีใครรู้นี่นะว่านายเป็นโรคหัวใจ”   งั้นหรอ...ถ้าพวกนั้นตั้งใจจะขอโทษ ผมว่าก็น่าจะอยู่ร่วมโลกกันได้อยู่หรอกนะ

“ เอาละ...นอนซะ...เดี๋ยวชั้นจะไปดูถ่ายทอดสดหน่อย”  เขาลูบหัวผมเหมือนจะกล่อมให้นอน...นี่เขาคงบัญชาการลูกทีมผ่านโทรทัศน์กับโทรศัพท์มาตลอดเลยสินะ...ผมก็อยากดูการแข่งนัดสุดท้ายนี่ด้วยอ่ะ

“ นอนเลย...ยังร่อแร่แบบนี้ดูการแข่งที่บีบหัวใจแบบนั้นได้ที่ไหน”  รู้อีกแน่ะว่าผมอ้อนจะขอไปดูด้วย

“ ถ้านายไม่พักให้หายดี จะไม่มีแรงถือถ้วยเอานะ”  มั่นใจจริงๆแหะ...แต่ก็เพราะคำพูดของเขานั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจจนในหัวรู้สึกโล่ง หัวใจก็เบาโหวง

นัยน์ตาทั้งคู่ยอมปิดลงด้วยดีก่อนที่สติจะหายไปอีกครั้งพร้อมๆกับสัมผัสที่ลูบอย่างอ่อนโยนอยู่บนหัว....












“ หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ!!

“ ขอแป๊บบบบเดียวนะ คุณพี่พยาบาลสาวคนสวย”   เสียง....ดังอะไรกันนะ?

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงดัง ที่ดูเหมือนคราวนี้จะดังกว่าปกติ เพราะเหมือนจะเป็นเสียงของคนกลุ่มใหญ่ทีเดียว

“...........ก็ได้...สิบนาทีเท่านั้นนะคะ! เห็นว่าเป็นเพื่อนของเอเลนจังหรอกนะคะ”  อ่า....คุณป้านั่นเรียกผมว่าเอเลนจังอีกแล้ว น่าอายจะตายบอกให้เลิกเรียกๆก็ไม่ยอมเชื่อ...งั้นที่นี่ก็โรงพยาบาลที่พ่อผมทำงานอยู่สินะ

“ เอเลน~~~!!!!”   เสียงโหวกเหวกที่มาก่อนตัวแบบนี้.......

“ เป็นไงบ้าง!! รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงนายแทบตายเลย โฮววววววว นี่ดูนี่สิ เราเอาถ้วยมาให้นายตามสัญญาไง ปีนี้เราก็ยึดโคชิเอ็งเอาไว้ได้อีกปีแล้วนะ!!”  ผมขอรวมทุกคำพูดเป็นประโยคเดียวเลยแล้วกันนะ เพราะว่ามันมีทั้งเสียงสะอึกสะอื้น ทั้งเสียงไชโยโฮ่ร้องจนผมไม่รู้แล้วว่าใครพูดอะไร แล้วมือใครที่ลูบมาที่หัวผมบ้าง กอดคอผมบ้าง

จากห้องพิเศษที่ดูกว้างขวางกลับเล็กลงไปถนัดตาเมื่อสมาชิกชมรมเบสบอลทั้งหมดเข้ามายัดกันอยู่ในนี้ ดูจากกระเป๋าใบใหญ่ที่พวกนั้นหอบมาด้วยกับเสื้อผ้าที่บางคนก็มาทั้งชุดที่ใช้แข่งก็คงบอกได้แค่ว่า...เจ้าพวกนี้มาหาผมทันทีหลังจากที่กลับมาจากสนามโคชิเอ็ง


รู้สึกอบอุ่นจนเผลอยิ้มออกมา เมื่อได้รู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับผมมากแค่ไหน....


ที่ผมถูกยอมรับได้ขนาดนี้...ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเขา....คนที่ยืนกอดอกยิ้มจางๆมาให้ผมอยู่ที่ประตูคนนั้น

ขอบคุณนะครับ...โค้ช....


“ หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ!! จะต้องให้บอกอีกซักกี่รอบคะ!!!  ดูเหมือนคุณป้าพยาบาลขาโหดจะโผล่มาเป็นรอบที่สามและคราวนี้ต่อให้เอาอะไรมาหว่านล้อมแกก็ไม่ยอมท่าเดียว

“ ไว้พรุ่งนี้พวกเรามาใหม่นะเอเลน~~~ นายต้องหายไวๆน้า~~~ ถึงแม้ในลุคชุดคนไข้ดูไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนแบบนี้ก็น่าจะขายดีก็เถอะ แต่ยังไงนายแบบสดใสใบหน้าเกรียนนิดๆนั่นก็น่ารักที่สุด”  .....อะไรของพวกมัน?....ผมได้แต่ทำหน้าละเหี่ยใจก่อนจะโบกมือไล่

แล้วห้องที่เคยคับแน่นก็กลับมากว้างขวางตามเดิม เสียงโหวกเหวกค่อยๆไกลออกไป เขาจึงเริ่มขยับตัวเหมือนจะเดินตามไป

“ อื้อ!!”   ผมทำได้แค่ร้องอื้อๆเรียกเขาเอาไว้

“ วันนี้แม่นายจะมานอนเฝ้าแทนชั้น....พรุ่งนี้เดี๋ยวชั้นมา”  เขาลูบหัวผมเบาๆก่อนจะชะงักไปเมื่อผมยกปลายนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเอง....ถึงจะน่าอายแต่คนมันคิดถึงนี่นา...

“ หึ...”   เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มลงมา


แล้วจูบผมเบาๆที่ริมฝีปาก...


ทั้งไออุ่น ทั้งลมหายใจที่เป่ารดลงมา รวมทั้งรสจูบที่แสนอ่อนโยนนั้นมันช่วยย้ำเตือน...ว่าผมยังมีชีวิตอยู่

และมันก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น...


ผมอยากจะอยู่กับเขา...

อยากได้รับความรักจากเขาให้นานเท่านาน....


ผมคงจะไม่ได้โลภมากไปใช่ไหม....









อันที่จริงกลิ่นของโรงพยาบาลเป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคยดีพอๆกับบ้านของตัวเองเลยละ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผมก็เข้าๆออกๆที่นี่เป็นว่าเล่น เพิ่งจะมีช่วงหลังๆมานี้แหละที่ผมไม่ได้มาที่นี่เสียนาน

ตั้งแต่ที่เริ่มคบกับเขา...หัวใจของผมก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ...

พูดถึงก็มาเลย...

เขาเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับกระเป๋ากีฬาใบใหญ่...ดูท่าทางเขาคงจะเตรียมมานอนเฝ้าผมที่นี่ เพราะจากสีหน้าของแม่ที่ดูไม่ค่อยเหนื่อยนัก ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่เฝ้าผมเป็นหลักคงเป็นเขามากกว่า


ดีใจจังเลยน้า....


“ ยิ้มอะไรเจ้าเด็กเหลือขอ?”    เขายื่นมือมาดึงแก้มผมที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียง ถึงแม้ขอบตาจะยังดำคล้ำแต่วันนี้เขาก็โกนหนวดมาเรียบร้อย

“ โค้ช...ถ้าง่วงก็นอนได้นะครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว”  ฝ่ามือตบเบาๆลงไปบนหน้าตักของตัวเองทำให้เขายิ่งดึงแก้มผมด้วยความมันเขี้ยวยิ่งกว่าเดิม

“ เดี๋ยวไอ้ลิงน่าหนวกหูพวกนั้นก็คงจะมาแล้ว คิดว่าชั้นจะนอนได้หรือไง”   ผมได้แต่หัวเราะให้กับใบหน้ายุ่งๆของเขา...เขินละสิ...ที่ถูกผมจู่โจมเอาแบบนี้


ก๊อกๆ


เสียงเคาะประตูดูมีมารยาทแบบนี้คงไม่ใช่พวกลิงที่ว่าแน่ และเมื่อประตูเปิดออกคนในชุดกราวน์สีขาวที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมแปลกใจอยู่เล็กน้อย

“ อรุณสวัสดิ์เอเลน...วันนี้หมอจะมาตรวจแทนคุณพ่อนะครับ”  เอ๋? พ่อผมไม่ใช่เจ้าของไข้หรอ? เป็นไปได้ไง?

“ ฮะฮะ จะสงสัยก็ไม่แปลกหรอกเพราะตั้งแต่ตื่นมาเราก็ยังไม่เคยเจอกันเลยนี่นะ? หมอเป็นหมอฝึกหัด ตอนนี้เลยเป็นผู้ช่วยดูแลเคสของคุณหมอเยเกอร์...สองสามวันนี้คุณพ่อของเอเลนต้องผ่าตัดเกือบทั้งวันเพราะงั้นหมอเลยมาดูแทน เป็นไงบ้าง อาการเจ็บลดลงแล้วใช่ไหมครับ?”  ผมพยักหน้ารับเบาๆพลางจ้องมองใบหน้าสะอาดสะอ้านของคุณหมอที่น่าจะเพิ่งจบมาใหม่ๆหรือไม่ก็คงเรียนอยู่ปีท้ายๆซึ่งกำลังจับชีพจรให้ผมอยู่

ก่อนที่นัยน์ตาจะเหลือบไปหาโค้ชที่ดูไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าไหร่ แต่ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครนั่นกลับนั่งลงไปบนโซฟาด้วยท่าทางราวกับหงุดหงิดอะไรสักอย่าง?

“ ขอตรวจหน่อยนะครับ”   เสียงใจดีเรียกให้ผมหันกลับมาพยักหน้าอย่างงงๆ มือใหญ่ๆดึงเชือกที่ผูกคอเสื้อของผมออกก่อนจะแนบสเตทโทสโคปลงมาบนหน้าอกซึ่งมันก็เป็นการตรวจตามปกติของหมอ แต่พอหันไปมองหน้าอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องด้วย....อุหวะ....ทำไมเขาทำหน้าราวกับอยากจะฆ่าคนแบบนั้นล่ะ?

“ เรียบร้อยแล้วครับ”  ผมยิ้มแห้งๆให้กับคุณหมอที่เหมือนจะยังไม่รู้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากคนที่นั่งอยู่บนโซฟา

แล้วก็แทบจะทันทีหลังจากที่คุณหมอเดินออกไป...กะละมังกับผ้าขนหนูผืนเล็กก็ถูกวางลงที่ข้างเตียง

“ เช็ดตัว”   เขาบอกออกมาสั้นๆด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

“ เอ๋? แต่แม่เพิ่งจะเช็ดให้เมื่อเช้านี้เองครับ?”

“ บอกให้เช็ดก็เช็ดเถอะน่า”   แล้วเขาก็แกะเชือกที่คอเสื้อของผมซึ่งคุณหมอเพิ่งจะผูกให้ออก ผ้าชุบน้ำอุ่นๆถูกลูบไล้ลงมาที่หน้าอก...แทบจะในตำแหน่งเดียวกับที่หมอตรวจไปเมื่อกี้....นี่อย่าบอกนะว่า...


เขาหึง?


“ อุ๊บ....หึหึ.....”   ผมยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นหัวเราะตัวสั่น ในขณะที่เขาก็เช็ดตัวให้ผมไปทำหน้าทะมึนไป...เป็นเพราะวันๆผมแทบไม่ได้ไปไหนเลยแทบไม่ได้เจอใครให้เขาต้องรู้สึกหวง...ก็เลยเพิ่งจะเคยเห็น...ว่าเขาเป็นผู้ชายขี้หึงอย่างที่บอกจริงๆ

“ โค้ช....”   มือยกขึ้นไปจับมือของเขาที่ป้ายผ้าขนหนูมาที่หน้าผมอย่างหมั่นไส้ที่ผมยังอมยิ้มไม่หยุด

“ อะไร?” 

“ หวงหรอครับ?”   พอถูกถามไปตรงๆเขาก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดเจนจนผมที่แค่อยากจะหยอกเย้าเขาเล่นต้องเป็นฝ่ายหน้าแดงเสียเอง

“ ชั้นไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องของของชั้น”  แล้วจากมือที่ถูกผมจับอยู่กลับเป็นฝ่ายพลิกมาจับข้อมือของผมเอาไว้แทน เขายื่นหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมได้แต่นั่งตัวแข็ง ริมฝีปากแตะกันเพียงแผ่วเบาและเขาก็ละออกไปแค่เล็กน้อยเพื่อขยับขึ้นมานั่งบนเตียง

แล้วจากนั้น...ปากของผมก็ไม่ได้ส่งเสียงไปอีกพักใหญ่....

ให้ตายเถอะ...ผมยังไม่ทันจะหายดีเลยนะ มาทำให้ใจเต้นแรงแบบนี้ได้ไง โค้ชนี่ละก็....



แต่ก็แปลกแหะ...กับพวกชมรมเบสบอลกลับไม่เห็นเขาว่าอะไร?

ทั้งๆที่เจ้าพวกนั้นนะ เอารูป “ของของเขา” ไปขายได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ!

หรือเขาจะเห็นเจ้าพวกนั้นเป็นแค่ลิงอย่างที่พูดจริงๆ?

ผมก้มลงไปมองคนที่หลับอยู่บนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียง เขาใช้ตักของผมแทนหมอน...คงจะเหนื่อยมากถึงได้หลับไปในสภาพแบบนี้ได้ แต่ก็นะ กว่าพวกสมาชิกชมรมจะกลับไปกันได้ก็เกือบจะบ่ายแก่ๆแล้ว

มือวางลงไปบนเส้นผมสีดำของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะลูบมันช้าๆเผื่อว่าสัมผัสนี้จะช่วยกล่อมให้เขาฝันดี ผมจ้องมองใบหน้าหลับปุ๋ยของเขาด้วยรอยยิ้ม...เมื่อก่อนผมไม่ชอบการที่ต้องมานอนที่โรงพยาบาลเลย...ผมกลัว...กลัวช่วงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมขาวๆแบบนี้...ผมจะงอแงทุกครั้งที่แม่ทำท่าจะออกไปจากห้อง...

แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่เคยรู้สึกเหมือนที่ผ่านมาเลย....คงเป็นเพราะมีเขาอยู่กับผม...อยู่ข้างๆแทบจะตลอดเวลา

ในสายตาของเขามีแต่ผม

เพราะงั้นต่อให้จะถูกหวงจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้...แต่ผมกลับรู้สึกดีใจที่เป็นแบบนี้








แสงแดดสดใสของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เปลือกตาของผมเปิดขึ้นช้าๆ

ได้ยินเสียงซ่าๆดังออกมาจากในห้องน้ำ แล้วไม่นานเขาก็เดินออกมาพร้อมทั้งผ้าขนหนูที่พาดคออยู่ซึ่งผมจำได้ว่ามันเป็นผ้าขนหนูของที่บ้านผม

แบบนี้...เหมือนเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของผมเลยแหะ

“ นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียว? มาเช็ดหน้าเช็ดตาซะเจ้าเด็กเหลือขอ”   เสียงหัวเราะคิกคักดังออกไปจากใบหน้าที่ถูกเขาจับเช็ดไปมาเหมือนกำลังแปลงขนให้ลูกหมา จนกระทั่งแม่เดินเข้ามาพร้อมๆกับถุงกระดาษใบใหญ่

“ แม่เอาผ้าขนหนูมาเปลี่ยนให้...โค้ชคะ ถ้าต้องการอะไรอีกก็บอกนะคะ”  เขาพยักหน้าให้แม่ของผมก่อนจะละไปนั่งลงที่โซฟา แม่ยังคงชวนคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระในขณะที่มือก็ดึงผ้าขนหนูของที่บ้านออกมาจากถุง


ก๊อกๆๆ


เสียงเคาะประตูดังสองสามทีก่อนที่มันจะเปิดออกและทันทีที่เห็นว่าใครเดินเข้ามา เขาก็สะบัดหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์  คุณหมอฝึกหัดตรงมาหาผมเพื่อจะตรวจตามปกติ ส่วนเขาก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมจะก้าวขาออกไปจากห้อง...แต่เพราะคำพูดของผม...เขาถึงได้ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น...

“ คุณหมอ ขอโทษนะครับ...คือว่า...ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนผม แล้วเขาก็ค่อนข้างจะหวง เพราะงั้นช่วยระวังนิดนึงได้ไหมครับ”  ทั้งมือที่นิ่งค้างของคุณหมอที่กำลังจะแกะเชือกที่คอเสื้อ ทั้งสองขาของเขาที่ก้าวไม่ออก ทั้งถุงกระดาษในมือแม่ที่ร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น...ทั้งหมดเป็นเพราะคำพูดของผมคนเดียว

ก็ผมคิดว่า...ถ้ามันจะทำให้เขากังวลสู้บอกคนอื่นไปตรงๆเลยดีกว่า...เพราะสำหรับผมแล้ว...ผมแคร์แค่เขา

“ เอ่อ...อ่า...ครับ....”  หน้าคุณหมอเหวอไปพักใหญ่ก่อนที่วันนี้สเตทโทสโคปจะถูกแนบผ่านเสื้อคนไข้แทน

คุณหมอขอตัวออกไปทันทีที่ตรวจเสร็จและคนที่อยู่ข้างในห้องก็ถึงกับทรุดนั่งลงที่โซฟาอย่างหมดแรง ใบหน้าของเขามองมาที่ผมอย่างไม่รู้ว่านั่นเขากำลังยิ้มหรือกำลังละเหี่ยใจในความขวานผ่าซากของผมกันแน่ แต่ที่รู้ๆตอนนี้คือเขากำลังมองไปที่แม่ของผมอย่างยอมรับทุกอย่าง

“ เอเลน...ลูกนี่ละก็นะ...”  แม่ได้แต่ถอนหายใจที่ผมไปพูดกับคุณหมอแบบนั้น

“ ผมคิดว่าแม่น่าจะรู้อยู่แล้ว.....?”  นัยน์ตาลอบมองสีหน้าของแม่ที่ดูไม่ได้แปลกใจอะไรนัก

“ อื้อ...แม่รู้อยู่แล้ว...แต่แม่ก็เพิ่งมาแน่ใจตอนที่เอเลนเข้าโรงพยาบาลนี่แหละ...ตอนแรกแม่ก็สับสน...แต่พอเอาไปปรึกษาพ่อ...พ่อเขากลับหัวเราะแล้วบอกว่าไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อเขาเองก็ไม่คิดว่าเอเลนจะไปเป็นเจ้าบ่าวให้กับใครได้อยู่แล้ว ถ้าลูกเลือกที่จะรักใครและเขาดูแลลูกได้ แค่นี้พ่อกับแม่ก็พอใจแล้ว”   ง่ะ! ถึงจะน่าเจ็บใจที่พ่อพูดอย่างงั้นก็เถอะ แต่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้ก็คงจะดีแล้ว

หลังจากวันนั้น หมอที่มาตรวจก็เป็นพ่อของผมเองและในอีกไม่กี่วันผมก็ออกจากโรงพยาบาล...จึงไม่ได้เจอคุณหมอฝึกหัดคนนั้นอีกเลย...








ยังดีที่เป็นช่วงหลังจากแข่งเสร็จ ที่ชมรมจึงมีแค่การซ้อมเบาๆและเขาเองก็เลือกที่จะไปโรงเรียนแค่ตอนเช้ากับตอนเย็นแทนที่จะอยู่ทั้งวันเหมือนปกติ นั่นก็เพราะว่าผมยังพักฟื้นอยู่ที่บ้าน

“ เอเลน! เดี๋ยวก่อน! จะไปได้ยังไงคนเดียว?!พรุ่งนี้ค่อยไปไม่ได้หรอ?!”  แม่ถือตะหลิววิ่งออกมาจากห้องครัวอย่างลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน ดูเหมือนแม่กำลังถนอมอาหารอะไรสักอย่างอยู่แล้วก็คงจะทิ้งไปไม่ได้ในตอนนี้

“ ไปแค่ร้านหนังสือหน้าสถานีเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”  ไม่จำเป็นต้องให้แม่ไปด้วยแบบเมื่อก่อนแล้วน่า...ผมก้มลงบ่นขมุบขมิบด้วยรู้สึกอายๆ

“ แต่ลูกยังไม่หายดี เกิดไปเป็นอะไรกลางทางจะทำยังไง”  แม่เองก็ดื้อไม่ได้น้อยไปกว่าผม เพราะงั้นเราจึงเถียงกันเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้เป็นประจำ

“ เกิดอะไรขึ้น?”  เสียงทุ้มดังมาจากประตูรั้วหน้าบ้านก่อนที่เขาจะจูงจักรยานเข้ามา

“ โค้ช...มาก็ดีเลยค่ะ วานไปเป็นเพื่อนเด็กคนนี้หน่อยนะคะ ดื้อจะออกไปซื้อหนังสืออะไรให้ได้ก็ไม่รู้”  เสียงของแม่ดูโล่งใจขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าใครเดินมา ผมได้แต่ยิ้มแห้งเมื่อประสานกับสายตานิ่งๆของเขา

“ แล้ว...ตกลงว่าจะไปซื้ออะไร?”  ร่างในชุดวอร์มที่เดินอยู่ข้างๆถามออกมาทั้งๆที่ใบหน้าของเขายังคงมองตรงไปข้างหน้า ถึงจะกลัวว่าเขาจะรำคาญแต่ผมก็ดีใจที่เขายอมมาเป็นเพื่อน...ก็แบบนี้มันเหมือนกำลังเดทอยู่เลยนี่นา...

“ โฮ่ย...”   เขาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบไปเพราะมัวแต่คิดอะไรอยู่คนเดียว

“ จั๊มป์ครับ แหะแหะ”  แล้วเขาก็หันมาใช้สองมือดึงแก้มผมแทบจะทันทีที่รู้ว่าผมยืนเถียงกับแม่ตั้งนานเพื่อจะไปซื้ออะไร

“ นี่แกจะออกไปซื้อไอ้หนังสือการ์ตูนไร้สาระพรรณนั้นทั้งๆที่ตัวเองก็ยังร่อแร่อยู่แบบนี้น่ะนะไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ”  แก้มผมถูกดึงจนแทบย้วยด้วยใบหน้าโหดๆของเขา

“ ไม่ได้ไร้สาระนะครับ นั่นน่ะความฝันของเด็กผู้ชายเลย”   ผมพยายามตอบออกไปทั้งๆที่ยังถูกเขาดึงแก้มไปมา

“ นายนี่มันจริงๆเลย...”   เขาถอนหายใจก่อนจะปล่อยแก้มผมให้เป็นอิสระแล้วก้าวขาเดินนำไป จนผมได้แต่มองด้วยความสงสัย...เขาไม่ชอบหรอที่ผมจะอ่านหนังสือการ์ตูน?

“ โค้ช....”  ผมเดินตามเขาด้วยความกังวล ถ้าเขาไม่ชอบผมไม่อ่านแล้วก็ได้...มือจึงเอื้อมออกไปจับชายเสื้อของเขาราวกับกำลังง้อ...แต่กลับกลายเป็นมือของเขาที่เอื้อมมาดึงมือของผมไปจับเอาไว้แทน นิ้วที่สอดประสานเข้ามามันทำให้ความหดหู่หายไปในทันที

“ ถ้าอยากได้ก็บอกชั้นสิ...ช่วงเวลาแบบนี้นายไม่ควรจะออกไปไหนมาไหนคนเดียว เข้าใจหรือเปล่า”  เขาจะรู้บ้างไหมว่าเขาเองนั่นแหละที่ทำให้อาการโรคหัวใจของผมจะกำเริบ...ก็ฟังเสียงที่เต้นอย่างรุนแรงอยู่ตอนนี้สิ...เขาเป็นคนทำแท้ๆเลย

ใบหน้าของผมร้อนผ่าวจนไม่กล้าเงยขึ้นมา ผมซบมันเอาไว้ที่ไหล่ด้านหลังของเขาอยู่พักใหญ่...ผมไม่รู้จะทำยังไงกับความห่วงใยและความรักที่เขาให้ผมมามากมายขนาดนี้ได้อีกแล้ว...จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนดี ในเมื่อภาชนะที่เรียกว่าหัวใจมันเต็มไปด้วยชื่อของเขาจนแทบจะล้นปรี่อยู่แล้ว



ผมวางเหรียญร้อยเยนลงไปบนเคาน์เตอร์คิดเงินสามเหรียญก่อนที่เขาจะคว้าหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์เล่มหนาไปถือไว้ในมือ...ถึงจะไม่พูดไม่จาแต่ว่าการกระทำของเขามันกลับชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น..เพราะงั้นผมจึงได้แต่อมยิ้มด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยไออุ่น...

แต่ก่อนจะได้ก้าวขาออกจากร้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่แผงหนังสือนิตยสารเกี่ยวกับบ้านและครอบครัว อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้จักพวกเค้าหรอก แต่เพราะท่าทางกระหนุงกระหนิงเปิดหนังสือดูด้วยกัน ยิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกันแบบนั้นมันทำให้ผมสนใจ...ก็ผมไม่เคยมีคนรัก...ผมเลยไม่เคยรู้เลยว่าคนที่คบกันเค้าทำอะไรกันบ้าง

พอเห็นแล้ว...ผมก็อยากทำแบบนั้นบ้าง...



แผ่นหลังของเขาเดินเยื้องอยู่ข้างหน้าทำให้สายตาของผมจดๆจ้องๆอยู่ที่ฝ่ามือซึ่งขยับน้อยๆตามจังหวะที่ขาของเขาก้าวเดิน

จับได้ไหมนะ?

ผมหลับตาแล้วสูดหายใจเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะพยายามยื่นมือออกไป ยิ่งมันใกล้มือเขามากเท่าไหร่นัยน์ตาของผมก็มีแต่จะหรี่ลงๆจนแทบจะปิดให้ได้ ป่านนี้คิ้วทั้งสองข้างคงขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นปมแล้วมั้ง

“ โฮ่ย...ตกลงอยากจับหรือไม่อยากจับกันแน่? ดูทำหน้าเข้า...”  แล้วก็เป็นเขาอีกแล้วที่หันมาคว้าหมับเข้าที่มือผมโดยไม่ต้องรวบรวมความกล้าอย่างที่ผมทำเลยสักนิด

เขาทำไปตามธรรมชาติ

ธรรมชาติของคนที่กำลังคบกัน...

ผมพยักหน้ารัวๆก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแล้วเขาก็เดินต่อไปโดยในมือที่แสนอบอุ่นของเขานั้นมีมือของผมอยู่




เขาแวะร้านอุปกรณ์กีฬาเพื่อถามว่าลูกเบสบอลที่สั่งไว้มาหรือยัง กว่าจะออกมาจากร้านอีกครั้งผมจึงมองเห็นคู่ชายหญิงที่ร้านหนังสือเพิ่งจะเดินผ่านหน้าไป...ผมมองตามพวกเขาด้วยความสนใจ

ก่อนจะต้องกลับมาหน้าแดงเอง...เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเข้าไปที่ไหนกันต่อ


โรงแรม....


นั่นก็คงเป็นธรรมชาติของคนที่กำลังคบกัน?

มือเผลอยกขึ้นมาลูบต้นคอ...

ถึงแม้รอยที่เขาทำเอาไว้มันจะจางหายไปหมดแล้ว แต่คำพูดของเขามันก็ยังดังก้องอยู่ในหัว

แข่งเสร็จเมื่อไหร่จะมาเอาที่เหลืออีกที

นี่ก็แข่งเสร็จแล้ว?

แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะทำเลยสักนิด?





เอ๋?









ผมกลับมาใช้ชีวิตเป็นนักเรียนและผู้จัดการทีมชมรมเบสบอลได้ตามปกติ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ไม่ปกติก็คือความคิดที่กำลังวนเวียนไปมาอยู่ในหัวของผม

จากตอนนั้นเราจูบกันอีกหลายครั้ง

แต่ทุกครั้งมันก็จบลงแค่ร่องรอยที่เขาระบายเอาไว้ตามต้นคอและลาดไหล่ของผม....ซึ่งนับวันรอยจูบมันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ...เหมือนเขาเอาความต้องการที่กดไว้มาปลดปล่อยกับรอยสีกุหลาบพวกนี้?

ผมก็แค่สงสัยว่าทำไมเขาไม่ทำ....

ทั้งๆที่คนอย่างเขาไม่น่าจะกลัวข้อหาพรากผู้เยาว์? แล้วก็ไม่น่าจะรู้สึกผิดกับการมีเซ็กส์กับเด็กอายุ 15 อย่างผม?

“ โค้ชครับ!!”   จู่ๆผมก็โพล่งออกไปในขณะที่ซ้อนท้ายจักรยานของเขา

“ หื๋อ?”  เขาถามด้วยเสียงในลำคอโดยไม่ได้หันมามองผม สองมือจึงได้แต่กำชายเสื้อของเขาเอาไว้เพราะริมฝีปากกำลังต่อสู้กับความอาย...แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไปจนได้

“ คืนนี้...ผมไปนอนบ้านโค้ชได้ไหมครับ...”  ....บางทีที่เขาไม่ทำ เพราะอาจจะเป็นเรื่องสถานที่ก็ได้? ก็ที่ที่เราจูบกันมันก็เสี่ยงที่ใครจะมาเห็นได้จริงๆนั่นแหละ

“ กำลังคิดเรื่องลามกอยู่ละสิเจ้าเด็กเหลือขอ”   ....ก็ใช่....

“ ปะ เปล่าซักหน่อย...ก็แค่...มีการบ้านที่ทำไม่ได้....”  แต่จะให้พูดออกไปมันก็เหนือกว่าหน้าผมจะรับความร้อนผ่าวนี่ไหวจริงๆ

“ หึ...แวะไปบอกแม่นายก่อนแล้วกัน”




คราวนี้ผมเปิดลิ้นชักโต๊ะของเขาได้โดยไม่ต้องกลัวเขาจะโยนออกนอกห้องเหมือนครั้งแรกที่มานอนที่นี่ ได้กลิ่นชาหอมๆลอยมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของเขาผมจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

“ นี่รูปมันเยอะขึ้นหรือเปล่าครับ?”  ผมเหล่มองเขาที่ยังทำหน้าตาย ที่จริงไม่ต้องถามก็ได้เพราะมันเยอะขึ้นเห็นๆ ก็จากสองสามใบกลายเป็นปึกๆแบบนี้....

“ ยึดมา”  ยึดอะไรมันถึงได้มีรูปละใบแบบนี้ละครับ?! จงใจยึดซะไม่มีอ่ะ!

“ โธ่...ตัวจริงก็อยู่กับคุณแล้วนี่นา ยังจะมีรูปเอาไว้ทำไม”  ริมฝีปากบ่นงึมงำอย่างรู้สึกอายๆ แต่เขากลับขยับเข้ามากระซิบที่ใบหูให้รู้สึกหน้าแทบจะร้อนเป็นไฟเข้าไปอีก

“ ถ้านายอยู่กับชั้น 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี...แบบนั้น...รูปมันถึงจะไม่จำเป็น”  อ๊าาาาา...แบบนั้นมันอยู่ด้วยกันทุกวินาทีเลยไม่ใช่หรือไง?!...ถ้าหน้าผมระเบิดเป็นภูเขาไฟได้มันก็คงจะระเบิดไปแล้ว!!

ผมเดินเลี่ยงไปนั่งลงหน้าโต๊ะญี่ปุ่นก่อนจะหยิบสมุดการบ้านขึ้นมาเพราะทนสู้หน้าเขาไม่ไหวแล้ว...เขินจนไม่รู้จะพูดยังไง...แล้วผมก็ได้การบ้านที่ยกมาเป็นข้ออ้างนั่นแหละช่วยชีวิต มันทำให้ผมไม่ต้องบิดเป็นเกรียวเพราะความเขินจากการกระทำของเขา!





พอหมุนปิดฝักบัวถึงได้รู้ตัวว่านี่มันคงจะดึกแล้วจริงๆ เพราะนอกจากเสียงน้ำที่ไหลลงท่อก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก

มือดึงผ้าขนหนูเนื้อนิ่มมาซับหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ตามลำตัว ทั้งๆที่เป็นผ้าขนหนูที่มีขายอยู่ทั่วไปแต่พอเป็นของที่เขาใช้มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง...สองแขนกอดมันเอาไว้แนบอกเปลือยเปล่าก่อนจะซบหน้าลงไปราวกับคนโรคจิต...

ขอนิดนึงน่า...

ผมแขวนผ้าเอาไว้ตามเดิมก่อนจะดึงเสื้อวอร์มมาสวมแค่ท่อนบน เพราะอีกไม่กี่นาทีก็ต้องถอดอยู่ดี

เขาไม่ชอบให้ผมใส่เสื้อผ้าเวลานอนอยู่ด้วยกัน....

ทุกครั้งที่ไปแข่งไกลๆและต้องพักค้างคืนที่ไหนก็ตาม เขาก็มักจะจับผมถอดเสื้อผ้าแล้วนอนกอดเอาไว้ทั้งๆอย่างนั้น...ดูเหมือนเขาชอบที่จะได้รับรู้อุณหภูมิร่างกายของผมผ่านผิวหนังที่กอดรัดสัมผัสซึ่งกันและกัน

และทันทีที่ผมไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างเตียง ข้อมือก็ถูกเขาดึงลงไป จากนั้นร่างกายก็เปลือยเปล่าเพียงชั่วพริบตา...


แผ่นหลังของผมแทบจะแนบสนิทไปกับแผงอกของเขา ยิ่งอ้อมแขนแข็งแรงกอดรัดลำตัวผมเข้าไปมากเท่าไหร่ แผ่นหลังก็ยิ่งรับรู้ถึงกล้ามเนื้อได้รูปที่นูนขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น และกล้ามที่ชัดเจนสมชายชาตรีนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกเขินยังไงชอบกล

“ กล้ามหน้าท้องของโค้ช........”  ริมฝีปากเอ่ยออกไปเบาๆ ที่หลังคอรับรู้ได้ถึงริมฝีปากของเขาที่กำลังคลอเคลียมันอยู่

“ หืม?...ชอบหรือเปล่า...?”   เขากระซิบลงมาที่ข้างใบหู เสียงเซ็กซี่นั่นคงจะสะกดให้ผมยอมรับออกไปง่ายๆ

“ ชอบ...ครับ.....”  ผมพลิกตัวกลับไปก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนกล้ามหน้าท้องของเขาอย่างหลงใหล

“ จริงสิหรือผมมีซิกแพคแบบนี้บ้างดีนะ?”  เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะจักจี้ที่เอวจนผมได้แต่หัวเราะร่วน มือแข็งแรงหยุดลูบไล้อยู่ที่หน้าท้องและสะโพกของผมเบาๆ

“ อย่างนายน่ะ เป็นพุงกะทิแบบนี้แหละดีแล้ว”  หน้าผากของเขาแตะลงมาที่หน้าผากของผมก่อนจะพูดจาน่าหมั่นไส้

“ ใจร้าย...พุงกะทิที่ไหนออกจะแบนเรียบ”  ผมพองลมที่แก้มอย่างไม่พอใจแต่เขากลับยิ้มบางๆที่หยอกเย้าผมได้

“ หึ”  นัยน์ตาของเขาปิดลงทั้งๆที่มือยังวางอยู่บนต้นขาของผม...นี่เขากำลังอดกลั้นเอาไว้หรือไม่รู้สึกอะไรกับร่างกายของผมเลยกันแน่นะ?

“ โค้ช.......”

“ นอนซะ ชั้นง่วงแล้ว”  แล้วเขาก็ตัดบทพร้อมด้วยสองแขนกระชับลำตัวจนผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากแผงอกของเขา


น่าโมโหจริงๆ...ทั้งๆที่คืนนี้ไม่ได้ตั้งใจหลับแบบนี้ซักหน่อย...

แต่กลิ่นของเขา...มันดันกล่อมให้เปลือกตาของผมหนักอึ้งจนต่อต้านเขาไม่ไหวอีกต่อไป...






ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่เพราะไออุ่นที่ได้รับมาทั้งคืนมันหายไป เปลือกตาจึงเปิดขึ้นมาด้วยความงัวเงีย

แสงไฟสลัวๆจากหัวเตียงทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้นอนอยู่ข้างๆอย่างที่คิด เข็มนาฬิกาที่มองเห็นลางๆบอกเวลาตีหนึ่งกว่าๆเอง..ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะตื่นขึ้นมาวิ่งนี่นา...

ผมลุกขึ้นมานั่งพลางหาวหวอด ผ้าห่มที่ค่อยๆไหลลงไปจากไหล่ทำให้ร่างกายแทบจะอยู่ในสภาพหลุดๆลุ่ยๆแต่ผมก็ง่วงเกินกว่าจะมาจับมันให้เข้าที่ มือยกขึ้นมาขยี้ตาพลางมองหาว่าเขาไปไหนกันนะ?

แล้วเสียงน้ำไหลซ่าๆที่ดังออกมาจากห้องน้ำก็เฉลยคำตอบได้เป็นอย่างดี ผมนั่งสัปหงกรออยู่สักพักเขาก็เดินเช็ดผมออกมา

อาบน้ำ?

กลางดึกอย่างงี้เนี่ยนะ?

“ โค้ช....เมื่อตอนหัวค่ำก็เพิ่งอาบไป...ฮ้าว....ไม่ใช่หรอครับ?”  ริมฝีปากถามไปห้าวไป ผมง่วงจนในหัวมันไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว

“ อืม...ทำให้หัวมันเย็นลงหน่อย...นอนเถอะ”   หัวเย็น? อะไรกันน่ะ? ผมล้มตัวลงนอนแล้วหลับต่อโดยไม่ได้สงสัยหรือเอะใจอะไรเลย

ไม่ได้สงสัยเลยว่าเขาเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำกันแน่...






จนแล้วจนรอดเมื่อคืนเขาก็ไม่ยอมทำ







แต่เรื่องนี้มันติดเรท NC-17 เอาไว้นะ แล้วเขาจะไม่ทำได้ไง?




เพราะงั้นถ้าอยากรู้ว่าเขาจะทำไหม?







ก็ต้องรอดูตอนต่อไป.......เคี๊ยกกกกกกกกกก












.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


To be con.




อะโหคุณกวาง...ไปก่อความแค้นเอาไว้กับคนอ่านตั้งแต่ตอนที่แล้วยังไม่เข็ด5555

แล้วไหนมันบอกจะจบตั้งแต่ตอนที่ 4 ไงค้า แล้วนี่อะร๊ายยยยย >[ ]<

เอานิ้วจิ้มกัน...ก็แบบว่ามัน....แบบว่าอยากจะบรรยายให้มันโรแมนติ๊กกกก โรแมนติกอ่ะ เพราะงั้นมันเลยต้องใช้เวลาแลนดิ้ง(?)ยาวนิดดดดดนึง แง๊~~~~ แต่ตอนหน้าคิดว่าจะจบแล้วจริงๆนะ *พราก* คิดว่าคงรวมเอาตอนพิเศษมาไว้ด้วยกันเลย *v* ตอนแรกว่าจะมีตอนพิเศษซักตอน แต่คิดๆไปมันน่าจะสั้นเลยเอามารวมกันเลยดีก่า ยะ ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปอีกอึดใจนึงนะคะ TTvTT *กอดขา*

สำหรับไอ้ฟิคงงๆที่มาแบบสายฟ้าแล่บแล้วก็จบไปแบบสายฟ้าแล่บนั่น ก็ฝากด้วยอีกเรื่องนึงนะคะ แหะแหะ นานๆทีก็อินเทรนด์(?)กับเค้าซักหน่อย อิอิ (จะโดนสอยยังไม่รู้ตัว)

ยื่น ROYCE(?) ไปให้เป็นการไถ่โทษ อิ๊อิ๊






ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆๆๆๆๆเลยนะคะ ได้อ่านทุกๆอันแล้วอยากจะลงไปดิ้นกับพื้นด้วยความดีใจ >////< แล้วเจอกันตอนหน้าค่า






4 ความคิดเห็น:

  1. หญ้าอ่อนมาจ่อที่ปากแล้วนะครับ ทำไมยังไม่กินเล้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาคุณวัวแก่(โดนเสย)
    แหง่กๆๆ ชั่งเป็นคู่ที่จีบกันได้ หวานเหยิ้มไม่เกรงใจคนอ่านเลยครับ(แต่ก็ชอบโคตร)

    โอ้ยยยยยยย ทำเถอะครับท่าน จะได้ไม่เป็นภาระของแฟนคลับ
    อย่ามัวแต่...ครับท่าน...หญ้าอยุ่ตรงหน้าแล้วววววววววววววววว

    พี่กวาง........ต่อ. เร็วๆนะ ^ ^
    ยังมีคดีที่ตอนก่อนก็ทิ้งระเบิดไว้ติดตัวอยู่นะครับ ^ ^

    ตอบลบ
  2. อร๊ายๆๆๆๆๆ ตอนนี้อ่านไปอายม้วนต้วน >////< โค้ชน่ารัก สมาชิกชมรมเบสบอลก็น่ารัก
    คุณพ่อเอเลนก็น่ารัก ชอบความคิดของคุณพ่อจริงๆ น่ามอบโล่ให้เหลือเกิน

    ว่าแต่โค้ชคะ ที่แอบเข้าห้องน้ำนี่ไปคั้นกะทิมาใช่ไหมตะ ฮ่าๆๆๆๆ (โดนโบก)

    ตอบลบ
  3. คลั่งจนไม่รู้จะคลั่งยังไงจริงจังเรื่องนี้ T _ T
    ฮืออออออออออ กวางซาม๊าาาา~~~ (กระโจนนัวเนีย(?) #เดี๋ยวๆๆ)

    เรื่องนี้ท่านท่อนขาตอบฟีลอารมณ์ที่เค้าเคยคิดอยากเห็นมุมนี้บ้าง(?)มาตลอดเวลาจริงจัง!!!!! อารมณ์ที่แบบ….ร้อนรนจนไม่สามารถตีหน้าตายได้ในทุกๆสถานการณ์แบบที่เคยคิด การแสดงออกของท่านท่อนขาที่ไร้ซึ่งมาดโหดๆๆที่สร้างขึ้นมาไว้เป็นกำแพงแบบนี้เค้าฟินมากกกกก คือถ้าเอเลนไม่ป่วย ถ้าเอเลนไม่ได้เป็นโรคที่มันมีผลร้ายแรงกับการมีชีวิตอยู่แบบนี้ ก็คงไม่มีทางได้เจอท่านท่อนขามุมนี้ ฮืออออ ฟินนน เค้าฟินจริงจังนะคะ การเห็นท่านท่อนขามาตะโกนโหวกเหวกเรียกหมอ และในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนให้เอเลนอย่างที่สุด แค่คิดว่าคนที่ไร้ซึ่งความอดทน (โดนกระทืบ) จะมานั่งเฝ้าคนป่วยนิ่งๆโดยไม่ฆ่าหมอตาย(?)ไปซะก่อนได้แบบนี้ มันก๊าวใจมากจริงจัง > __ < แล้วอะไรคือการที่พ่อคุณที่ไม่ว่ายังไงก็จะต้องเนี๊ยบอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างต้องสะอาด(?) แต่กลับยอมโทรมเฝ้าอยู่ข้างเตียงเอเลนจนหนวดก็ยังไม่ได้โกนเนี่ยยยยย

    อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่ทนนนนนนนนนนน

    หลายๆครั้งที่คิดอยู่ในใจ(?)ว่า ส่วนใหญ่มีแต่เอเลนเสมอเลยที่แสดงออกว่าห่วงอีกฝ่ายแค่ไหน ด้วยความที่นิสัยเจ้าลูกหมามันโผงผางแบบนั้นอยู่แล้วก็เลยรู้สึกอยากเห็นไอ้คนที่ชอบทำหน้าปลาตายมาร้อนรนบ้าง (ท่านท่อนขาโปรดเข้าใจข้าพเจ้าสายเอเลน #อะไรคือสายเอเลนฟ่ะคะ 5555) ปกติท่านท่อนขาก็ชอบทำตัวเหมือนรู้ผลในอนาคตไปซะหมด ไม่ก็เจ้ากี้เจ้าการ(?)บังคับให้เอเลนเดินไปในทางที่ตัวเองคิดเอาทั้งนั้น แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวใช่มั้ยล่ะที่พ่อคุณไม่สามารถคาดการณ์และบังคับได้น่ะ ยังไงซะมนุษย์ก็ไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาของระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ได้ โอ่ยยยยยยยยยยย คนอ่านลงไปดิ้นแล้วดิ้นอีกจริงจัง > ______ <

    เค้าชอบตรงจุดของทีมมากๆด้วยค่ะ ในหลายๆเรื่องที่กวางซามะสามารถจัดให้ลงตัวได้แบบเพอร์เฟค T _ T ชาบูจริงๆนะคะ อ่านตอนที่บอกว่าโค้ชท่านท่อนขา(?)นั่งเฝ้าเอเลนในขณะที่ทีมกำลังมีแข่ง ดูยังไงก็เป็นโค้ชที่ละทิ้งหน้าที่ชัดๆ แต่มันไม่ใช่ มันสุดยอดกว่านั้น โค้ชคนนี้(?)ไม่ได้เลือกหัวใจแล้วโยนหน้าที่ทิ้งเลยแม้แต่น้อย เค้าเพียงแค่ละทิ้งหน้าที่โค้ชข้างสนามมาเป็นโค้ชผ่านทางโทรทัศน์และโทรศัพท์แทน อ๊ากกกกกกกก จะเท่เกินไปแล้ววววววววววววววว ไหนจะความเชื่อมั่นในทีมที่ตัวเองเป็นคนปั้นมานั่นอีกกกกก แล้วไหนเจ้าพวกบ้าเบสบอล(?)นั่นก็ไม่ได้เหลาะแหละจนลืมหน้าที่ของตัวเองกันเลย แถมยังมั่นใจจนเอาถ้วยมาได้จริงๆอีก ฮืออออออ ชาบูฟ้าดิน ชาบูกวางซามะ ชาบูฟ้าดิน (55555จะเป็นผู้เป็นคนหน่อยจะตายจริงๆ)

    และถ้าจะไม่พูดถึงความฟินมากกกกกกกกกกกกกในเรื่องอาการหึงหวงของท่านท่อนขาในพาร์ทนี้ก็ไม่ใช่คนบ้าคนนี้แล้ววว (จะพยายามพูดให้ตัวเองดูยิ่งใหญ่(?)ทำไม ถถถถถถ) อะไรคือการหึงหวงจนเจ้าลูกหมากับคุณหมอที่มาตรวจอาการจนต้องเช็ดตัวใหม่กันหืออออออออออ หึงหวงจนเจ้าลูกหมาห่วงความรู้สึกกลายเป็นคนพูดออกไปซะชัดเจนแจ่มแจ๋วเลย คุณหมอเงิบ(?)เลยไหมคะ ถถถถถถ เห็นคนป่วยขี้โรคแบบนี้แต่แฟนหวงมากกกนะคะอย่าได้คิดจะรุ่มร่ามเยอะค่ะ เพราะถ้าเวอร์ชั่นปกติ ท่อนขาทำงาน(?)ไปแล้วนะคะ ถถถถถถถถ โอ่ยยยยยยยยย ว่าตอนเฮย์โจวหึงก็ลงไปดิ้นกว่าจะลุกขึ้นได้(?)ก็นานแล้ว เจอเอเลนเข้าไปก็นอนดิ้น(?)ไม่ต้องลุกเลย > ________ <

    ยังยืนยันว่าการเห็นคนไม่มีความอดทน (โดนกระทืบตายอีกรอบ …..แลดูเค้าเป็นซอมบี้(?)ยังไงไม่รู้แฮะ กระทืบให้ตายยังไงก็ยังฟื้น(?)มาให้กระทืบใหม่ ถถถถถถ งานแซะ(?)ต้องมา!!!! 55555555) ต้องมาอดทนอดกลั้นแล้วเค้าปลื้มใจ(?)ง่ะ อ๊ากกกกก ยิ้มทั้งเรื่องแม่เจ้า ไม่คิดว่าการเห็นท่านท่อนขาต้องอดกลั้นจะสุข(?)ขนาดนี้ (โอ่ยยยย นี่ตูสายS(?)จริงจังไปไหน 55555) ฉากนอนกอดกันคุยเรื่องกล้ามหน้าท้องก๊าวใจโฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เขินนนนนน แค่กระซิบถามว่า หืม? ชอบหรือเปล่า? แค่นี้ก็ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยจริงจัง

    ตายจริงๆนะคะ > _ <
    ไม่ทนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

    รักกวางซามะง่ะ ฮือออออออออออออออออออ คนบ้า(?)แต่งฟิคให้เค้าก๊าวใจไม่เลิกเบยยย ฮือออออออออ อยากจะเชียร์ให้ทำเล่มพิเศษ(?)เรื่องนี้ชะมัดเลย อยากเอาไว้นอนอ่านก่อนนอน(?) > _ < แต่พอคิดไปคิดมา ก็อยากจะได้มันทุกเรื่องเลย(?)อีก ฮืออออออ โลภ(?) (โดนกวางซามะยัน(?))

    ปล. ROYCE(?)…..ถ้าจะมีเจ้าเหมียวเลนโผล่มาแบบนี้ทุกกล่อง(?)แม่จะกว้านซื้อ(?ให้ออกนอกประเทศไม่ได้(?)เบยยย ฮือออออออออออ เอเล๊นนนนนนนนนน เข้าไปทำอะไรในกล่องค๊า บ้านเค้ามีกล่องชาเขียว(?)ลองเข้าไปนอนบ้างไหมลูก(?) (ไม่ใช่แล้ววว!!! ฮา)

    ตอบลบ
  4. คืออ่านแล้วก็นั่งยิ้มบิดตัวเขินอยู่คนเดียว
    น่าสงสารหมอฝึกหัดคนนั้น
    ไม่รู้รึไงว่าแฟนของคนไข้ขี้หวงน่ะ
    ดีนะแค่โดนรังสีคุกคามไม่เจอลงไม้ลงมือ
    แล้วฉากซิกแพ็คของโค้ชนี่อย่างกร๊าวใจอ่ะ
    รู้สึกอยากเป็นเอเลนขึ้นทันทีจะได้ซบกล้ามแน่นๆแบบนั้น(ฝันต่อไป)
    แล้วที่โค้ชต้องลุกไปเข้าห้องน้ำเพราะสิ่งนั้นสินะ
    และตามที่จั่วหัวไ้วเรื่องนี้ NC17
    เพราะฉะนั้นวางใจได้เลยว่าโค้ชต้องมาเอาทีเหลือคืนอย่างแน่นอน

    ตอบลบ