KHR AuS.Fic [8059] --- Shiki : เลือดหยดที่สาม ---


KHR AuS.Fic [8059]    --- Shiki : เลือดหยดที่สาม ---

: KHR feat. Shiki Fanfiction
: 8059 
: Horror Romance 
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ








คิริชิกิ  ซูนาโกะ....


เธอเป็นใครกันแน่....


ทำไมถึงได้รู้แม้แต่.....





“ ฉันชอบเรื่องที่หลวงพ่อเขียน....ฉันยืมมันมาจากชั้นหนังสือของคุณพ่อ...นวนิยายหกเรื่อง กับเรื่องสั้นอีกสองเรื่อง ถ้าทั้งหมดนั้นคือเรื่องที่คุณเขียน...ฉันอ่านมาหมดแล้ว...”       การพบกันที่แปลกประหลาดกับบทสนทนาที่ไม่อาจเชื่อได้ว่าเกิดขึ้นจริง....เมื่อคืนนี้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีผิวซีดขาวกับผมยาวสยายปรากฏกายอยู่ที่บันไดทางขึ้นของวัด


“ ฉันอ่านบทความในนิตยสารของคุณด้วย หมู่บ้านที่ล้อมรอบไปด้วยความตาย นั่นคือหมู่บ้านของเราสินะ”        ร่างกายเล็กๆกับใบหน้าราวกับตุ๊กตาทำให้รู้สึกเอ็นดูถึงแม้การพูดจาจะดูไม่สมกับที่เป็นเด็กตัวเล็กๆแบบนี้ก็ตาม


“ ฉันสนใจในตัวคุณ...และอยากพบคุณมาตลอด”       ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับเด็กคนหนึ่งจึงยอมพูดเล่นด้วย...จนกระทั่ง....


“ แม้ว่าคุณจะไม่มีเขา...แต่คุณก็ยังมีแผลเป็น.....”      ถ้อยคำที่ลอยออกมาจากแผ่นหลังเล็กของเด็กหญิงที่ยืนหันหลังให้อยู่ที่บันไดขั้นล่างทำเอาข้อมือที่วางอยู่ข้างกายขยับหลบไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ


“ ให้ฉันบอกอะไรอย่างนึงนะ หลวงพ่อมุโรอิ....แค่กรีดข้อมือ ฆ่าคนให้ตายไม่ได้หรอก...”       รอยยิ้มสุดท้ายที่หันมาให้ก่อนที่ร่างเล็กๆนั้นจะจากไปมันกลับติดอยู่ในหัวใจอย่างน่าประหลาด....ราวกับว่าสิ่งที่ร้องเรียกมานานกำลังค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา....


ใบหน้าเรียวก้มลงมองรอยแผลเป็นที่ข้อมือท่ามกลางแสงสลัวๆของเทียนไข....เธอเป็นใครกันแน่....ซูนาโกะ


ครืดดดด....


บานประตูเลื่อนถูกเปิดออกอย่างช้าๆให้รองเจ้าอาวาสรีบตลบแขนเสื้อกิโมโนลงไปปิดที่ข้อมือตามเดิม....ร่างเล็กบางของฮายาโตะยืนขยี้ตาอยู่ตรงนั้น มืออีกข้างมีผ้าห่มผืนหนาที่ลากติดมือมาด้วย....ใบหน้าสวยที่ขาวกระจ่างท่ามกลางแสงจันทร์ทำให้พลันนึกไปถึงใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้น....


“ ยังไม่นอนอีกหรือครับ”     


“ อือ....นายไปไหนมา...”      เสียงงึมงำยานคางแบบนี้แปลว่าน่าจะเพิ่งตื่นมากกว่าจะยังไม่ได้นอน ร่างเล็กบางเดินลากผ้าห่มเข้ามาก่อนจะล้มตัวลงนอนให้หัวสีเงินหนุนอยู่ที่หน้าตักของเขา   “ ถ้านอนหลับ พระเจ้าจะมองไม่เห็นและทอดทิ้งฉันไปสินะ แต่ถ้ามานอนตรงนี้นายจะไม่ไปไหนใช่ไหม....”       เสียงงึมงำเอ่ยออกมาก่อนที่ใบหน้าสวยนั้นจะหลับนิ่งไป...คงจะกลัวฝันร้ายอย่างนั้นสินะครับ.....มือยกขึ้นลูบที่เส้นผมสีเงินนิ่มอย่างแผ่วเบา....


สายตาละจากใบหน้าสวยที่หลับพริ้มเหม่อมองไปยังบานประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้....แสงไฟจากในหมู่บ้านนั้นต่างดับลงจนหมดแล้ว...จะเหลือก็แต่เพียงเชิงเขาที่อยู่ถัดไป.....ปราสาทที่คาเนมาซะ.....ที่ที่ คิริชิกิ ซูนาโกะ อาศัยอยู่











เสียงโทรศัพท์ดังลั่นตั้งแต่ยังเช้า...


รองเจ้าอาวาสลุกจากโต๊ะอาหารไปรับและกลับมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด


“ นาโอะซัง....คนของร้านก่อสร้างเพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อเช้านี้เอง ผมคงต้องไปทำพิธีนะครับ วันนี้ก็ฝากดูแลวัดด้วยนะฮายาโตะ”       ใบหน้าสงบเยือกเย็นเอ่ยบอกก่อนจะเดินออกจากห้องให้พระตัวเล็กอีกคนได้แต่มองตามไป....อีกแล้วหรอ?


นี่มันศพที่เท่าไหร่แล้วกันแน่? กำลังเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านโซโตบะหรือเปล่า?


ตะเกียบในมือเล็กถูกวางลงทั้งๆที่ข้าวยังลดไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ....นาโอะซัง....รู้สึกจะเป็นแม่ของเด็กคนหนึ่งในโรงเรียนของยามาโมโตะสินะ...ถ้าเช่นนั้นวันนี้หมอนั่นคงจะยุ่งทีเดียว....ร่างเล็กบางลุกจากโต๊ะอาหารแล้วหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาจากห้อง


“ .....ชิกิ....”      เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อเมื่อสายตาอ่านที่ปกของหนังสือเล่มนั้น   


“ เขียนแต่เรื่องน่ากลัวๆนะ...เซอิชินนี่”       มือบางพลิกหน้ากระดาษผ่านไปเรื่อยๆจึงไม่ได้รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหน....












ผลการตรวจที่ถูกส่งกลับมาจากโรงพยาบาลส่วนกลางกระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะ สองมือที่เคยช่วยชีวิตคนมามากมายกอบกุมอยู่ที่ศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราของหมอโอซากินั้นมีแววเคร่งเครียดทั้งขอบตายังดำคล้ำ....สาเหตุมันเป็นเพราะอะไรกันแน่....ไม่ว่าจะทดลองให้ยาอะไรไปแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย...คนไข้ที่มาหาเขากลับค่อยๆตายจากไปภายในสามถึงสี่วัน....มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.....


และสิ่งที่ทำให้ร่างสูงยิ่งทวีความหงุดหงิดขึ้นไปอีกนั่นก็เพราะไม่ว่าอย่างไรคนไข้พวกนั้นก็จะยืนกรานไม่ยอมมารักษาท่าเดียว...เขาเป็นหมอ....ไม่มีสิทธิ์สั่งให้คนไข้มาหา....แต่ทุกครั้งที่มีคนตาย...เขากลับต้องเป็นคนเขียนสาเหตุการเสียชีวิตในใบมรณะบัตรด้วยมือของตัวเอง


ทำยังไงถึงจะหยุดยั้งโรคร้ายนี้ได้....เพราะแม้แต่สาเหตุของการแพร่ระบาดเขาก็ยังหาไม่พบด้วยซ้ำ


ทุกอย่างมันเริ่มจากโรคโลหิตจาง....คนไข้จะเซื่องซึม...มีเหงื่อออกมาก....และอยู่ในอาการเหม่อลอย...ตามร่างกายไม่มีบาดแผลขนาดใหญ่อะไรที่จะเป็นเหตุของการเสียเลือดมากได้เลย...มีเพียงรอยกัดของแมลงหรือสัตว์แค่สองสายรอยเท่านั้น


“ คุณหมอคะ...ผลจากการถ่ายเลือดดูท่าว่าจะดีค่ะ”      เสียงของนางพยาบาลเอ่ยเรียกให้หมอโอซากิหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะเดินอย่างกระตือรือร้นไปยังห้องคนไข้ สายที่เชื่อมต่อจากถุงเลือดห้อยอยู่เหนือศีรษะ ใบหน้าที่เคยซีดเซียวกลับดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


หรือว่าจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับเลือด ?


แต่จะมีไวรัสหรือแบคทีเรียอะไรกันเล่าที่จะทำให้เลือดในร่างกายของมนุษย์เสียไปและเมื่อเปลี่ยนเลือดใหม่ก็จะทำให้ดีขึ้นแบบนี้น่ะ


บุหรี่มวนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ถูกยัดเข้าไปในปาก ก่อนที่ควันจะลอยออกมาจากแผ่นหลังที่แบกรับเอาชีวิตของคนทั้งหมู่บ้านเอาไว้...













“ ไอ้จักรยานบ้า! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!        ด่าก็แล้ว อ้อนวอนก็แล้วแต่ไอ้จักรยานซังกะบวยคันนั้นมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาขี่ได้อีก  ร่างเล็กบางของพระผมเงินได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ข้างๆซากจักรยานที่เพิ่งจะพุ่งไปอัดก๊อปปี้กับเครื่องขายน้ำอัตโนมัติที่มาตั้งอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนถนนเส้นใหญ่ของหมู่บ้าน


“ รู้งี้ให้เจ้ายามาโมโตะไปส่งก็ดีหรอก...”        เขาเพิ่งกลับมาจากห้องสมุด....หลังจากไปเจอหนังสือที่เซอิชินยืมมาเป็นชาติซึ่งอาจถูกปรับจนสิ้นเนื้อประดาตัวได้....จึงตั้งใจว่าจะขนเอาไปคืน...แต่ด้วยความที่หนังสือทั้งหนาและหนักมันจึงเป็นตัวการหลักที่ทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่จนขี่จักรยานไปพุ่งชนตู้อย่างที่เห็นนี่แหละ....ไม่ใช่ว่าจะขี่ไม่เป็นอย่างที่ใครๆกล่าวหาหรอกนะ


“ ว่าแต่ ตาลุงนั่นไปบอกเจ้ายามาโมโตะถึงไหนเนี่ยถึงได้ช้าปานนี้”        ใช่....มีชาวบ้านผ่านมาดูเหมือนว่าเพิ่งจะกลับมาจากทำนาเพราะยานพาหนะที่ใช้คือรถเกี่ยวข้าวคันเล็ก...เขาจึงฝากบอกไปให้ยามาโมโตะมารับ.....


แสงแดดยามเย็นที่อยู่เป็นเพื่อนกันมานานกำลังจะล่ำลาจากไปให้รู้สึกวังเวง...ที่รอบกายมีเพียงเสียงสัตว์เล็กๆที่กำลังจะกลับเข้ารัง....ไฟถนนที่ตั้งอยู่ห่างไกลกันส่องแสงสลัวๆ....จะว่าไปก็ดูน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย...แต่เขาอยู่ที่นี่มานานนับสิบปีเพราะงั้นภาพพวกนี้คือสิ่งที่ชินตา


บนถนนนั้นช่างว่างเปล่า...ไม่มีรถสักคันที่จะวิ่งไปมา ร่างเล็กบางได้แต่นั่งเท้าคางรอคอยอีกคนไปเรื่อยๆ


เสียงสวบสาบของอะไรบางอย่างทำเอาทั้งร่างสะดุ้งโหยง ตู้ขายน้ำกำบังร่างกายเล็กทำให้ต้นเสียงนั้นไม่ทันได้สังเกตว่าร่างบางก็อยู่ที่ตรงนั้นด้วย นัยน์ตาสีมรกตเพ่งมองออกไปในความมืด เงาร่างของคนสองคนกำลังเดินไปตามถนนอย่างเชื่องช้า...เงาหนึ่งเป็นเด็กที่ถูกจูงมือด้วยเงาของหญิงสาว


แม่ลูกที่ไหนมาเดินมืดๆค่ำๆแบบนี้เนี่ย


ใบหน้าสวยตั้งใจจะตะโกนออกไป แต่แล้วเมื่อเงาทั้งสองเดินเข้าไปใต้แสงไฟ ภาพที่สะท้อนเข้ามาที่นัยน์ตาสีมรกตนั้นทำเอาร่างทั้งร่างชะงักค้าง


เขาจำเด็กคนนั้นได้...เด็กนั่นเป็นนักเรียนของยามาโมโตะไม่ผิดแน่....ซุซุมุ...ลูกชายร้านก่อสร้าง...ไม่แปลกใจหรอกที่จะเห็นเด็กคนนั้น แต่กับคนที่จูงมือเด็กนั่นอยู่กลับทำให้แผ่นหลังเย็นวาบ....มือบางยกขึ้นขยี้ตา แต่ไม่ว่าอย่างไรภาพที่เห็นตรงหน้าก็ยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น


นาโอะซัง....แม่ของเด็กคนนั้นที่น่าจะตายไปแล้วเมื่อสามวันก่อน....ทำไมถึงยังมาเดินจูงมือเด็กนั่นอยู่ตรงนั้นได้ล่ะ.....


ทำไม....?


“ โกคุเดระ ?”        เสียงเรียกที่ด้านหลังทำเอาร่างเล็กบางสะดุ้งเฮือก ใบหน้าสวยสะบัดไปมา ภาพตรงหน้านั้นหายไปนานแล้ว แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับไปไหนได้....สิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไรกัน?


“ ขอโทษที่มาช้า....นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย?”      ยามาโมโตะโบกมือไปมาที่ด้านหน้าของใบหน้าสวย อาการตกตะลึงยังคงตกค้างอยู่ก่อนที่พระร่างเล็กจะหันไปถามด้วยใบหน้าเลื่อนลอย


“ ยามาโมโตะ....นาโอะซัง....ตายแล้วจริงๆหรอ...”


“ เอ๋?....ทำไมถึงถามงั้นล่ะ...ฉันยังไปช่วยเค้าฝังอยู่เลย ก็ต้องตายแล้วสิ”


และสิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้ร่างบางนิ่งค้างยิ่งกว่าเดิม...สายตาเหม่อลอยไปตามถนนที่หายไปในความมืดก่อนจะเสไปมองที่กองหนังสือโดยที่ไม่รู้ตัว


“ .....หมู่บ้านที่ล้อมรอบไปด้วยความตาย....กับตำนานการรอคอยให้ฟื้นคืน....อย่างนั้นหรอ....”       เสียงเบาหวิวเอ่ยชื่อของหนังสือที่ถูกวางเรียงกันอยู่ตรงนั้น....นายนี่...อ่านแต่หนังสือน่ากลัวๆจริงๆด้วยนะ...เซอิชิน












ผ่านมาหลายวันแล้วกับความสงสัยที่ยังคงอยู่ในใจไม่หาย  มือบางพลิกหน้าหนังสือเล่มใหญ่ที่แอบหยิบมาจากกองหนังสือของเซอิชิน....หลังจากที่คิดว่าสิ่งที่เห็นอาจจะเป็นแค่ภาพหลอน จึงนิ่งนอนใจไม่ได้ทำอะไรต่อไป...แต่แล้วไม่กี่วันให้หลังจึงมีโทรศัพท์ดังขึ้นที่วัดว่า....เด็กชายซุซุมุ...ลูกชายร้านก่อสร้าง.....ตายแล้ว


ภาพแม่ลูกคู่นั้นที่หายไปกับความมืดของถนนไหลย้อนกลับมาในความทรงจำทันที.....บางที...สิ่งที่เขาเห็นอาจจะเกี่ยวพันกับการตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติของคนในหมู่บ้านโซโตบะในเวลานี้ก็เป็นได้


“ ตำนานกล่าวขานเอาไว้ว่า....มีความเชื่อหนึ่งซึ่งตกทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ว่าคนที่ตายจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพราะฉะนั้นจึงฝังศพเอาไว้ด้วยโลงไม้สนที่ขึ้นอยู่บนภูเขา....”     นัยน์ตาไล่อ่านไปตามตัวหนังสือ....แล้วถ้า...ศพพวกนั้นฟื้นขึ้นมาได้จริง...จะอยู่ในสภาพแบบใดกัน จะต้องกินอาหารหรือไม่ จะต้องการให้ใครอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า..ไม่สิ...ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า...ศพพวกนั้นฟื้นขึ้นมาจริงๆหรือเปล่า


มือบางปิดหนังสือลงพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น...นัยน์ตาเหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงตรง....หากเป็นเวลานี้ไม่น่าจะเป็นไร


ร่างเล็กบางลุกขึ้นไปยังโทรศัพท์ก่อนจะหมุนหมายเลขที่จำขึ้นใจลงไป


“ ยามาโมโตะ....มานี่หน่อยสิ”


“ เอ๋...แต่ชั้นกำลังสอนนักเรียนอยู่นะ...”


“ ถ้าแกไม่มาเดี๋ยวนี้ ชั้นจะไม่กินอาหารที่แกทำมาให้อีก!      แล้วโทรศัพท์ก็วางลงไปพร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่บนใบหน้าคม...ปกติใครเค้าขู่แบบนี้กันบ้างเนี่ย...แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงใหญ่ก็มาปรากฏกายอยู่ที่วัดในเวลาไม่นาน


“ มีอะไรล่ะ โกคุเดระ?”


“ แกรู้ใช่ไหม...ว่านาโอะซัง...ฝังอยู่ตรงไหน”


“ ก็...รู้แหละ...แล้ว...มีอะไรหรอ?”


“ เอ้านี่!     พลั้วอันใหญ่ถูกโยนใส่มือของร่างสูงซึ่งยังคงทำหน้างง ส่วนพระร่างเล็กนั้นสวมหมวกกันนอคเรียบร้อยพร้อมถือพลั้วอันที่เล็กกว่าเดินนำไปยังสกูตเตอร์สีชมพู


“ ชั้นจะไปขุดดูให้รู้...ว่ายังมีศพอยู่ในนั้นหรือเปล่า!














เสียงโทรศัพท์ดังลั่นคลินิก...และไม่นานหมอโอซากิก็หอบถุงเครื่องมือวิ่งออกไปยังบ้านของคนไข้รายหนึ่ง


เปลือกตาถูกเปิดดูพร้อมไฟฉายกระบอกเล็กที่ส่องลงไป...มันไร้ซึ่งแววแห่งการมีชีวิต....มือใหญ่ได้แต่กำแน่นอย่างเจ็บใจด้วยไม่อาจช่วยอะไรได้


ร่างสูงได้แต่เดินกลับมาด้วยท่าทางหงุดหงิด ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่อาจยื้อชีวิตของคนไข้รายไหนๆเอาไว้ได้เลย...ถ้าหากรู้....ถ้าหากรู้สึกนิดว่ามันเกิดจากอะไรละก็....เขาคงหาทางป้องกันหรือทำอะไรได้มากกว่านี้แน่ๆ


“ โธ่โว้ย!!!      เสียงตะโกนถูกเปล่งออกไป ขายาวหันไปเตะต้นหญ้าข้างทางเพื่อระบายอารมณ์


แต่ก่อนจะถึงทางเข้าคลินิกอีกไม่ไกล ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในสายตา


“ เธอ....ลูกชายของยูกิซังสินะ...มีอะไรล่ะ...”













เสียงแผ่นเหล็กแทรกเข้าไปในดินรั่วซุยจนน่าแปลกใจดังคละเคล้าไปกับเรื่องราวที่ออกมาจากปากของร่างเล็กบาง จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มอยู่เสมอของยามาโมโตะกลับเครียดขึงขึ้นเรื่อยๆ การมาขุดหลุมศพแบบนี้เป็นการไม่ให้เกียรติคนตายก็จริงแต่สิ่งที่ร่างบางพูดออกมาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้


ใช่...เพราะเขาเห็นมากับตา....ว่าก่อนที่จะตาย...เด็กชายคนนั้นเป็นยังไง....


“ ซุซุมุ! จะไปไหนน่ะ โรงเรียนยังไม่เลิกนะ!       บทสนทนาของเมื่อหลายวันก่อนย้อนกลับมาในความทรงจำ


“ แม่บอกว่าให้ลาออกจากโรงเรียนครับ แล้วจะได้ไปอยู่กับแม่ตลอดไป...”      ตอนนั้นเขายังแค่หัวเราะเพราะคิดว่าเด็กคงจะแค่คิดถึงแม่จนเพ้อไปเอง แต่หลายวันให้หลัง เขาได้พบเด็กคนนั้นอีกครั้งในสภาพนอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้


ที่ลำคอเล็กๆมีร่อยรอยถูกอะไรกัดอยู่สองรอย...


หมอโอซากิบอกว่าเป็นโรคโลหิตจาง...แต่เด็กที่เคยแข็งแรงและร่าเริงแบบนั้นน่ะหรือจะป่วยด้วยโรคแบบนี้...


นัยน์ตาสีเปลือกไม้ไล่ไปมองหลุมศพที่อยู่ข้างๆอย่างเศร้าสร้อย...



กึก!


ดูเหมือนพลั่วจะกระทบเข้ากับฝาโลงเข้าแล้ว ความกดดันและความกลัวที่เกิดอยู่ในใจลึกๆทำให้มีเพียงความลุ้นระทึกและความเงียบที่เข้ามาปกคลุมทั้งสอง มือใหญ่ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อจับพลั่วขึ้นมาก่อนที่จะหันหน้าไปหาพระร่างเล็ก


ใบหน้าสวยพยักหน้าให้ด้วยแววตามุ่งมั่น


โครม!!!


ฝาโลงศพถูกงัดขึ้นมาท่ามกลางสายตาของคนทั้งคู่ที่เบิกกว้างเมื่อมองเห็นว่าข้างในนั้น......





ว่างเปล่า......













เด็กหนุ่มมองหน้าหมอโอซากิอย่างชั่งใจ ก่อนจะถามออกไปว่า.... “ ชิมิสุ เมงุมิ  ตายแล้วแน่หรือครับ เป็นไปได้ไหมที่อาจจะแค่สมองตาย”


“ ตายแล้วแน่นอน เพราะหากยังมีหนทางรักษาถึงแม้จะน้อยนิดแต่ฉันก็จะยื้อเอาไว้ให้ได้ไม่ว่าใครจะห้ามยังไงก็เถอะ”       ภาพของเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งตายด้วยโรคร้ายนี่เช่นกันลอยเข้ามาในหัว สองมือกำแน่นด้วยไม่อาจช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ได้


“ ถ้างั้น...เป็นไปได้ไหมครับ...ที่เค้าจะฟื้นขึ้นมา...”


“ ฮ่าๆ ถ้าฟื้นขึ้นมาก็เป็นซอมบี้หรือไม่ก็ผีดูดเลือดแล้วละ”


ตึ้ก!....


อะไรบางอย่างในจิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราชะงักค้างถึงสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป...ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น...ทั้งๆที่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หมออย่างเขาจะพูดออกมาได้เลย...สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้


ทุกอย่างมันเริ่มจากโรคโลหิตจาง....คนไข้จะเซื่องซึม...มีเหงื่อออกมาก....และอยู่ในอาการเหม่อลอย...ตามร่างกายไม่มีบาดแผลขนาดใหญ่อะไรที่จะเป็นเหตุของการเสียเลือดมากได้เลย...มีเพียงรอยกัดของแมลงหรือสัตว์แค่สองสายรอยเท่านั้นและการถ่ายเลือดทำให้อาการดีขึ้น.....


ราวกับจิ๊กซอที่ขาดหายไปถูกนำกลับมาวางลงในกระดานอีกครั้ง...ภาพทุกอย่างในหัวราวกับจะซ้อนทับกันจนได้ภาพภาพหนึ่งออกมา....สาเหตุที่เป็นไปได้มากกว่าโรคระบาด....


“ ขอโทษครับ ที่ถามคำถามแปลกๆออกไป”     เด็กหนุ่มก้มหัวให้ก่อนจะเดินจากไป


“ นี่เธอ! ทำไมถึงคิดว่าชิมิสุจะฟื้นคืนชีพล่ะ มีอะไรเกิดขึ้นกับเธออย่างนั้นหรอ”     แต่เด็กหนุ่มเพียงแค่หันใบหน้ากลับมาด้วยความลังเลก่อนที่จะวิ่งจากไป...





ใช่...เขามัวแต่พุ่งเป้าไปที่โรคระบาดจนกระทั่งลืมสาเหตุการตายอีกข้อเพราะไม่เห็นว่ามีบาดแผลขนาดใหญ่

การตายเพราะอาการช็อคเนื่องจากเสียเลือดเป็นจำนวนมาก….

แล้วถ้าหากคนเราสามารถเสียเลือดเป็นจำนวนมากด้วยรอยแผลเล็กๆแค่สองรอยล่ะ

เขาคงต้องตั้งสมมติฐานใหม่....



ว่าหมู่บ้านโซโตบะกำลังถูกเล่นงานด้วย.....ซอมบี้หรือผีดูดเลือด!!!




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



เลือดหยดที่สี่.....
To be continue….






ไว้จะเพิ่มรูปของ คิริชิกิ ซูนาโกะ ในอัลบั้มรูปให้ดูกันเน้....แต่ว่าตอนนี้ขอตัวไปนอนก่อน...ตีสี่กว่าแล้วเว้ยเฮ้ยยยย...ว่าแต่นั่งแต่งเรื่องอะไรแบบนี้ตอนตีสามตีสี่นี่ก็หลอนดีใช่เล่น ^ ^” แถมอินี่ยังเปิดเพลงประกอบที่แคปมาจากเรื่อง ชิกิ นี่ฟังคลอไปด้วยอีกแรง....โอยยยย มีใครแอบมองตรูอยู่ที่หน้าต่างเปล่าวะ?!

อยากแต่งต่อจังเลยน้า...แต่ว่าข้าพเจ้ามีภารกิจนิดหน่อย...หากปั่นไอ้นั่นเสร็จเร็วจะมาเวิ่นเรื่องนี้ต่อนะ ตอนหน้าน่าจะกำลังเข้มข้นน่าดู อู้วววว สงสัยจะมีใครโดนดูดเลือด ครึ ครึ

งืมมมม อยากแต่งคู่ของ นัตซึโนะ ยูกิ(เด็กหนุ่มที่โผล่มาท้ายตอนนี้อ่ะแหละ) กับ โทรุ มุโตะ ด้วยอ่า...>w<...แต่ว่ากลัวจะยาวเกินและหลายๆคนคงจะไม่รู้จัก แต่คู่นี้มันโฮกมากกกกขอบอก...แบบว่าดูดเลือดกันทั้งน้ำตา อร๊ายยยยย

ไปเพ้อคนเดียวก็ได้ ฮ่าๆ

ปล.เพิ่งรู้ว่าคนพากย์อิหมอเถื่อนนี่(หมอโอซากิ)คือคนเดียวกันกับคนที่พากย์ รอย มัสแตง(Hagaren ภาคแรก) และ คอนโด อิซามิ ของ Hakuouki ละ โอกาว่าซังงงงสุดยอดดดด

ปล.2 คนพากย์คานัน (CANAAN) ก็พากย์เป็น แล้ก ซีอิ้ง (Letter Bee) ด้วยอ่ะ =[ ]= สุดยอดดดด ตอนพากย์คานันทั้งๆที่เป็นผู้หญิงแต่เสียงอย่างแมน แต่ตอนพากย์แล้ก ต้องเป็นเด็กผู้ชายขี้แย เค้าก็พากย์ได้น่ารักน่าเอ็นดูสุดๆอ่ะ จะว่าไป พากย์เป็นพระเอกเรื่องคุเรไนกับแม่สาวไร้หัวในDrrr ด้วยนี่นะ มิยูกิซังสุดยอดดดด




6 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วสินะ

    “ ถ้าแกไม่มาเดี๋ยวนี้ ชั้นจะไม่กินอาหารที่แกทำมาให้อีก!”
    ช่างเป็นคำขู่ที่น่ารักจริง ๆ

    รอตอนต่อไปจ้า ^^

    ปล.เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าฉากดูดเลือดทั้งน้ำตามันชวนโฮกจริง ๆ

    ตอบลบ
  2. ความแตกแล้ว ผีดูดเลือดโพล่มาแล้วว
    คุณหมอฉลาดขึ้นมาแล้วว โฮกกกกกกกก

    ตื่นเต้นๆ ...

    ท่านรองเจ้าอาวาสกรีดข้อมือทำไมกัน!!
    คุณหมอมีคุณธรรมในการเป็นหมอ?มากกกกกก!!

    ที่สำคัญเหตุผลของก๊กช่างสุดยอดดด
    ขู่แบบนี้ได้เฉพาะยามะเท่านั้นจริงๆ ฮะฮะ น่าร๊ากกก

    ไขปริศนามาถูกทางแล้วว ใครจะโดนกัดเป็นรายต่อไป

    โอ้ยย ลุ้นง่า

    ตอบลบ
  3. เย้ นัตซึโนะคุงโผล่มาแล้ว >W<
    กลัวจังเลยค่ะว่าฮายาโตะจะถูกกัดในที่สุดอ่ะ T_T

    ตอนนี้หมอเถื่อนเครียดสุดๆแล้วสินะ จะมีตอนที่กระทำการสุดโหดกับเคียวโกะภรรยารึเปล่า (ตอนกระชากอารมณ์อ่ะ)

    สงสัยนิดนึง พี่กวางเปิดชิกิดูกี่รอบเนี่ย ทำไมเหมือนจำบทได้ ๕๕๕

    ตอบลบ
  4. ฉากดูดเลือดทั้งน้ำตา!!! ฉากที่ยังตราตรึงอยู่ในใจ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ4 พฤษภาคม 2556 เวลา 21:44

    อ้ากกก

    มันมาก >____________<

    สนุกจัง

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ2 สิงหาคม 2566 เวลา 07:09

    สนุก ระทึก น่ากลัวววว

    ตอบลบ