KHR Au. Fic [8059] --- Shiki : เลือดหยดที่สามจุดห้า ---
: KHR feat. Shiki Fanfiction
: [8059] [โอซากิxมุโรอิ] [มุโรอิxซึนาโกะ] [โทรุxนัทสึโนะ]
: Horror Romance
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ยูกิ นัทสึโนะ....
นั่นคือชื่อของผมเอง....
โคอิเดะ นัทสึโนะ....
นั่นก็คือชื่อของผมเช่นกัน....
จะยังไงก็ช่าง.... ใครจะเรียกยูกิ หรือโคอิเดะ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เหมือนกับที่ผมไม่เคยใส่ใจในหมู่บ้านชนบทแห่งนี้
ใช่....ผมเกลียดที่นี่
ผมเกลียดหมู่บ้านโซโตบะ และไม่ได้อยากจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว
พ่อกับแม่ของผมเป็นพวกไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคมเมือง เพราะเช่นนั้นผมจึงเกิดขึ้นมาในขณะที่พวกเค้ายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและใช้นามสกุลของแม่ซึ่งก็คือโคอิเดะ ในทะเบียนบ้านมาจนถึงทุกวันนี้ แทนที่จะใช้นามสกุลของพ่อซึ่งก็คือ ยูกิ อย่างที่ใครๆเค้าใช้เรียกผม
วันหนึ่งของเมื่อปีที่แล้ว จู่ๆพ่อก็บอกผมว่าจะพาผมย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านที่ปลอดภัยและสงบสุข...แล้วไม่นานบ้านของเราก็ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านที่ไม่เป็นที่รู้จักแห่งนี้....ไม่สิ....มันเป็นหมู่บ้านที่พวกเค้าถูกทำให้เชื่อว่าสงบสุขต่างหาก
ผมไม่ชอบที่นี่....ที่ที่ชาวบ้านต่างสรรหาเรื่องไร้สาระมาพูดคุยกัน ที่ที่ไม่มีอะไรและมองคนที่ย้ายมาใหม่ด้วยสายตาใคร่รู้จนผมไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขอย่างที่พ่อกับแม่พยายามจะสร้างมันขึ้นมา....ผมต้องการจะออกไปจากที่นี่...เพราะเช่นนั้นทางเดียวที่ผมจะทำได้คือการเรียนให้ดีแล้วเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองให้ได้....ใช่.....ผมจะไม่ยอมจมปลักอยู่ที่นี่แน่ๆ
เพราะผมตั้งใจว่าจะออกไปให้ได้และในไม่ช้า....ผมจึงไม่เคยคิดจะสานความสัมพันธ์กับใคร ไม่เคยคิดจะรู้จักใครในหมู่บ้านแห่งนี้...นั่นรวมไปถึง....เพื่อน.....
ผมไม่ต้องการที่จะมีเพื่อน....
เพราะรู้ดีว่า คำคำนี้จะค่อยๆบั่นทอนความตั้งใจและจะฉุดรั้งผมเอาไว้ให้อยู่ที่นี่....ผมรู้ดีและปฏิเสธทุกคนมาตลอดจนกลายเป็นคนเย็นชาที่ไม่ว่าใครจะคุยด้วยอย่างไรผมก็ไม่สนใจถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับการเรียน
จนกระทั่ง....
มีไอ้บ้าคนหนึ่ง.....ที่ทำให้ทุกความตั้งใจของผมพังล้มไม่เป็นท่า.....
ไอ้บ้าที่ชื่อ......
มุโตะ โทรุ.....
นั่นคือชื่อของผมเอง....
ผมเกิดและโตมาในหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่เป็นที่รู้จักแห่งนี้ ผมเป็นลูกชายคนโตและมีน้องชายกับน้องสาวอีกสองคน จากสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบกายของผม มันหล่อหลอมให้ผมเป็นคนสบายๆไม่คิดอะไรมาก เพราะผมเป็นพี่ชายคนโตจึงถูกสั่งสอนให้ใจดีกับน้องๆจนมันกลายเป็นนิสัยติดตัว ที่ผมมักจะใจอ่อนกับคนทั่วไปและพูดคุยกับคนอื่นได้ง่าย
ใช่....ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน....ว่าผมเป็นคนใจดี...
ผมไม่เคยคิดที่จะออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้....เกิดที่นี่...โตที่นี่....เรียนที่โรงเรียนประถมและมัธยมในเมืองนี้....หากจบแล้วก็คงจะหางานทำใกล้ๆบ้าน.....แล้วก็คงแต่งงานมีครอบครัวตามปกติของผู้ชายคนหนึ่ง....ผมตั้งใจจะใช้ชีวิตธรรมดาๆในเมืองที่สงบสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ....
แต่แล้ววันหนึ่ง....
กลับมีใครบางคนเดินเข้ามาในชีวิต....
คนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้ที่จริงแล้วผมไม่ได้เป็นผู้ชายที่ใจดีอย่างที่ใครๆเค้าว่ากัน....คนที่ทำให้ผมหันไปสนใจในตัวเขาแทนที่จะเป็นการใช้ชีวิตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม.....คนที่ทำให้ผู้ชายสบายๆแบบผมบ้าคลั่งและทุลนทุลายแทบตายเพราะเขา....
เจ้าคนที่ชื่อ.....
“ นัทสึโนะ!”
น้ำเสียงกึ่งยานคางที่ใช้เรียกชื่อตัวของผมแบบนี้คงจะมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น แล้วไม่นานแขนแข็งแรงก็พาดมาที่ไหล่พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของเขาที่ขยับเข้ามาแทบจะชิดกับหน้าของผม เจ้าคนผมสีทองนี่ยังคงหัวเราะร่วนไม่ได้สนใจท่าทีเย็นชาของผมเลยแม้แต่น้อย
เขาเป็นแบบนี้เสมอ...
ถึงผมจะแข็งกระด้างและไม่เคยตอบรับมือของใคร แต่เขาก็ยังเฝ้ายื่นมือมาให้ผม จนมันกลายเป็นความเคยชิน....จากที่รู้สึกหงุดหงิด รำคาญ กลายเป็นเริ่มปลงกับใบหน้าที่เอาแต่ยิ้มให้ผมและเข้ามาวุ่นวายทั้งๆที่ผมไม่ต้องการ ไม่ว่าจะไล่อย่างไรเขาก็ยังเข้ามาใกล้ ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรเขาก็ไม่หายไปไหน ในเมื่อหนีอย่างไรก็ไม่พ้น ผมจึงจำต้องไปไหนมาไหนตามการลากไปของเขา...จนกลับกลายเป็นว่า....ผมค่อยๆเปิดใจให้เขามากขึ้น
จนกระทั่งเขากลายเป็น “เพื่อนสนิท” ของผมไปได้อย่างไรก็ไม่รู้
นึกถึงวันแรกที่ผมกับเขาได้พบกัน....วันนั้นจักรยานของผมยางแบน....และผมก็กำลังหัวเสีย
ในขณะที่กำลังจูงจักรยานกลับบ้าน เสียงทักของใครบางคนก็ทำให้ผมหันกลับไป เด็กหนุ่มที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง หมอนั่นส่งยิ้มมาให้ผมทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกัน....รอยยิ้มแบบนั้นมันยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด....ผมจึงจูงจักรยานหนีทั้งๆที่อีกฝ่ายถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า....ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร เพราะผมไม่อยากรู้จักและไม่อยากติดหนี้บุญคุณคนที่นี่....
ในขณะที่ผมสะบัดมือไม่ยอมรับความช่วยเหลือ แต่มือของเขาก็ยังดึงดันที่จะจับผมเอาไว้
จักรยานของผมไม่ยอมเคลื่อนที่ไปข้างหน้า นั่นเพราะว่ามือของเขารั้งมันเอาไว้....จนแล้วจนรอดผมจึงต้องยอมรับการช่วยเหลือจากเขาอย่างเสียไม่ได้....เขานั่งปะยางให้ผม....
“ แล้วชื่อตัวของนายคืออะไรกันล่ะ ?” คำถามจากใบหน้ายิ้มแย้มของเขาที่ทำเอาผมรู้สึกไม่ชอบใจ...เพราะสามารถเรียกได้ทั้งยูกิหรือโคอิเดะ ผมจึงบอกเขาไปว่าอยากเรียกอะไรก็ตามใจเมื่อเขาถามว่าผมชื่ออะไร....คำถามนั้นมันจึงเกิดขึ้นตามมา....ผมกับเขาเป็นคนแปลกหน้า ผมจึงถือว่ามันเป็นการเสียมารยาทมากที่เขาจะมาเรียกชื่อจริงๆของผม.....ผมคว้าจักรยานแล้วเดินหนีออกมา
“ วันหลังก็แวะมาเล่นที่นี่ได้นะ” เสียงสบายๆของเขาตะโกนไล่หลังมา
ใครจะบ้ากลับไปอีก!.....ผมไม่ชอบเขาเอาเสียเลย....ไม่ใช่เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าผม....ไม่ใช่เพราะเส้นผมสีทองกับใบหน้าใจดีนั่น....แต่มันเป็นเพราะเขาเหมือนหมู่บ้านโซโตบะแห่งนี้มากเกินไป...
แต่แล้วอีกสองวันให้หลัง....
ผมก็จำต้องจูงจักรยานยางแบนไปที่บ้านเขาอีก.....
“ นัทสึโนะ....” แค่เห็นหน้าผมเขาก็ชี้นิ้วมาด้วยท่าทางสบายๆแล้วใช้น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เรียกชื่อของผมท่ามกลางความสงสัยมากมาย “ พ่อนายบอกชื่อของนายกับชั้นเอง” ถึงจะรู้สึกไม่ชอบใจแต่ที่น่าประหลาดใจตัวเองมากกว่านั้นคือ
ทำไมผมถึงยังเลือกที่จะจูงจักรยานกลับมาที่นี่อีก......
กลับมาให้เขาเรียกชื่อของผมถูกจนได้.....ชื่อของผมที่มีเพียงคนเดียวที่ผมคงต้องยอมให้เรียกนั่นก็คือ....
เขา.....
“ โทรุจัง...” เขาเสมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะตีหน้ามุ่ยตามปกติ เสียงที่เขาเปล่งออกมามันเบาหวิวจนผมแปลกใจ จึงได้ชะโงกหน้ามองเขาให้มากกว่าเดิมจนจมูกของผมแทบจะแนบไปที่แก้มของเขา
“ นายเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะนัทสึโนะ? สีหน้าดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่า?” ผมจะไม่เชื่อเขาแน่ๆถ้าเขาบอกว่าไม่เป็นอะไร ในเมื่อหน้าของเขาออกสีขาวซีดและขอบตาดำคล้ำราวกับคนไม่ได้นอนมาหลายวัน
“ คืนนี้...ขอไปค้างด้วย...” เสียงอ่อนระโหยโรยแรงของเขาเอ่ยออกมาเบาๆ ผมไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไหร่เพราะหมู่นี้เขามักจะมานอนค้างที่บ้านผมและหลับเป็นตายด้วยใบหน้าราวกับเด็กๆ...ซึ่งคงแทบจะไม่เคยมีใครได้เห็น
เพราะเขามักจะสร้างกำแพงขึ้นมารอบๆตัวทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าถึงเขาได้...แต่ไม่ใช่กับผม....
หลายคนคงจะไม่ประหลาดใจนักที่ผมจะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเขาได้ เพราะใครๆต่างก็คิดกันเองว่าผมเข้ากับคนง่าย...แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่....
สำหรับเขาแล้วผม “ต้องการ” ที่จะรู้จัก...
การที่จะมีใครสักคนย้ายจากเมืองใหญ่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านที่เงียบเชียบแห่งนี้ย่อมต้องเป็นที่สนใจของชาวบ้านอยู่แล้ว “นัทสึโนะ ยูกิ” จึงถูกจับตามองอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเห็นเขาครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมปลายซึ่งผมอยู่ปีสามและเขาเข้ามาเรียนปีหนึ่ง ตอนนั้นผมก็มองเขาเหมือนกับที่คนอื่นๆมอง สนใจเขาในฐานะที่เป็นคนเข้ามาใหม่....แต่อะไรบางอย่างกลับเรียกร้องให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้....ไม่ใช่เส้นผมสีม่วงและใบหน้าคมที่บอกบุญไม่รับตลอดเวลาของเขา....ไม่ใช่รูปร่างสมส่วนที่ดูจะเล็กกว่าผมนิดหน่อยของเขา....แต่มันเป็นเพราะเขาคือสิ่งที่หมู่บ้านโซโตบะไม่มี....ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัวเขาราวกับจะดึงดูดผมเข้าไป
ผมอาจจะแค่อยากทำให้ความเย็นชานั้นหายไป เหมือนกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่จะค่อยๆกลืนกินทุกอย่าง...ไม่ว่าจะพายุหรือแสงแดดร้อนแรง ต่างถูกกลืนกินจนกลายเป็นเพียงความสงบและเงียบเชียบ
แต่บางที...
ผมอาจจะคิดผิด....
เพราะฝ่ายที่ถูกกลืนกินกลับเป็นผมเอง....เป็นผมเองที่ละสายตาและถอนตัวออกมาจากเขาไม่ได้...เป็นผมเอง
ไม่ใช่เขา...
ไม่ใช่...
“ นัทสึโนะ....นี่.....” เสียงของเขาทำให้เปลือกตาของผมเปิดขึ้นอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า รอบกายนั้นมืดลงอีกคราแต่ตอนนี้ผมไม่ได้นั่งเผชิญหน้ากับหน้าต่างบานนั้นอยู่ในห้องของผมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน เพราะตอนนี้ผมกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของเขา...ในห้องของเขา....
“ ฉันรู้ว่านายอยากออกไปจากที่นี่ใจจะขาด แต่ถ้านายไม่พักสมองซะบ้างนายจะไม่ไหวเอานา” น้ำเสียงสบายๆของเขาดังออกมาจากแผ่นหลังกว้างที่หันหลังให้อยู่ เขาพูดกับผมทั้งๆที่ตายังจ้องมองเกมส์ในโทรทัศน์และมือยังคงรัวจอยเกมส์อย่างต่อเนื่อง...เพราะแบบนี้แหละ....ผมจึงไม่เคยรู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นห่วงผมหรือว่าที่ดูแลผมเป็นเพียงเพราะความใจดีที่เขามีให้ใครๆทุกคนซึ่งผมก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในคนพวกนั้น
“ ช่างชั้นเหอะน่า...” ผมตอบออกไปด้วยความเหนื่อยล้า...และไม่มีแรงพอที่จะโต้เถียงกับเขา
ผมแทบจะไม่ได้นอนมาหลายวันติดต่อกัน...นั่นไม่ใช่เพราะผมท่องหนังสือหรือว่าทำการบ้านแต่อย่างใด....ทุกๆอย่างมันเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น....ชิมิสุ เมงุมิ....ผมรู้ว่าเธอชอบผมและมักจะแอบมองผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนผมก็มักจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ โดยเฉพาะที่หน้าต่างข้างห้องของผม...ซึ่งเชื่อมต่อกับสวนซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และไม้พุ่มหนาทึบซึ่งเธอมักจะมาซ่อนตัวเพื่อแอบมองผมอยู่ที่ตรงนั้น...ผมรู้ตัวมาโดยตลอดและแทบจะไม่เคยเปิดหน้าต่างบานนั้นออกเลย...จนกระทั่งไม่นานมานี้....ชิมิสุ เมงุมิ เสียชีวิต...ผมจึงคิดมาตลอดว่า ผมคงจะสามารถเปิดหน้าต่างบานนั้นได้แล้ว...แต่มันไม่ใช่....ถึงแม้ว่าเธอจะตายไปแล้ว แต่ผมกลับรับรู้ได้ถึงสายตาที่แรงกล้ายิ่งกว่าตอนที่เธอมีชีวิตอยู่...ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่อยากจะคิดว่าผมกำลังโดนวิญญาณของเธอตามมาหลอกหลอนเพราะตลอดเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่...ผมอาจจะเป็นคนเดียวที่ทำร้ายจิตใจของเธอมากที่สุด..เพราะผมเย็นชาและไม่เคยรับความรู้สึกใดๆจากเธอเลย....
“ นี่...นัทสึโนะ....” เสียงที่ดูจริงจังต่างจากทุกทีแว่วออกมาจากแผ่นหลังที่ยังคงไม่หันกลับมามองผมในขณะที่พูด
“ ฉัน...มีอะไรอยากให้นายช่วยหน่อยน่ะ” และนั่นมันทำให้ผมประหลาดใจ ว่าคนอย่างเขาที่ดูจะมีพร้อมและพอใจกับทุกอย่างน่ะหรือจะต้องการให้ผมช่วยอะไร
“ อะไร ?”
“ นายยังจำริทจังได้ใช่ไหม? พยาบาลของคลินิกโอซากิน่ะ” ผมพยายามนึกถึงหน้าของเธอ หญิงสาวที่ดูใจดีและเป็นมิตรกับคนทุกคน แม้แต่คนที่เย็นชาอย่างผมเธอก็ไม่เคยกลัวเกรงที่จะเข้ามาทักทายหรือพูดคุยด้วย....นับว่าเป็นผู้หญิงที่สวยและน่าคบหาคนหนึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้.....
“ วันอาทิตย์นี้....ฉันอยากไปขับรถเล่นกับเธอน่ะ แต่ว่าฉันไม่กล้าชวน เพราะงั้นจึงอยากให้นายไปเป็นเพื่อนหน่อย...” เขายังคงหันแผ่นหลังให้กับผม ผมจึงไม่รู้เลยว่าเวลาที่เขาพูด...เขาทำหน้ายังไง....แต่น้ำเสียงจริงจังที่เขาเอ่ยถึงเธอ....ทำไมมันถึงทำให้ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกได้ขนาดนี้...
“ เธอก็ไปกับนายบ่อยๆ ตอนที่นายหัดขับรถไม่ใช่หรอ?” ผมพยายามเอ่ยเสียงออกไปให้เป็นปกติที่สุด เพียรพยายามที่จะไม่ก้าวล้ำคำว่า “เพื่อน” เพราะผมไม่เคยมีเพื่อนจึงไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ผมชอบเขา มันอยู่ในระดับใดกันแน่ และยิ่งตัวเขาเองด้วยแล้ว....อาจจะไม่ได้คิดอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำ...ใช่....เพราะเขาเป็นคนใจดี....
แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับเฝ้าภาวนา ไม่ให้เขาเอ่ยออกมาว่า....
“ แต่ครั้งนี้...ฉันอยากให้มันเป็นการเดทน่ะ....” ผมได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเองอย่างเงียบๆ....ยิ้มเยาะในความขี้ขลาดและอ่อนแอของตัวเอง....ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปถามเขาตรงๆว่า.....เขารู้สึกอย่างไรกับผมกันแน่? จึงต้องใช้วิธีลองใจเหมือนหมาขี้แพ้แบบนี้...
ผมไม่ใช่คนใจดี....
ผมรู้ตัวดีตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเขา....
‘นายควรจะพักบ้างนะ เดี๋ยวร่างกายจะไม่ไหวเอา’ ครึ่งหนึ่งผมเป็นห่วงเขาแต่อีกครึ่งหนึ่งมันคือความดำมืดในจิตใจของผม....ผมไม่อยากให้เขาไปจากที่นี่....ผมอยากจะทำทุกวิถีทางเพื่อฉุดรั้งเขาเอาไว้ให้อยู่กับผม
สำหรับเขาเท่านั้น...ที่ผมไม่ใช่คนใจดี....ที่จะทำอะไรให้เขาแล้วจะไม่หวังผล....
“ เฮ้...โทรุจัง...” เขานิ่งไปเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับกำลังชั่งใจ....ผมอยากจะหันไปมองหน้าเขาแต่อีกใจก็ไม่กล้าพอ....หากเขาแสดงอะไรออกมาสักเล็กน้อยว่าเขาไม่อยากช่วยหรือไม่เห็นด้วยกับการที่ผมจะไปคบกับใคร...ผมก็จะหันไปหาเขาแล้วบอกกับเขาทันทีว่าที่จริงแล้วน่ะ...
“ คือ...จะว่ายังไงดีล่ะ...ถึงริทจังจะยังดูสาวอยู่ก็เถอะ แต่อายุมันจะไม่ต่างกันเกินไปหน่อยหรอ คือ....” นั่นเขากำลังปฏิเสธที่จะช่วยผมอยู่สินะ ร่างทั้งร่างของผมนิ่งไปเพราะลึกๆในใจกำลังดีใจจนแอบยิ้มออกมา
“ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะก้าวก่ายอะไรหรอกนะ...เอ่อ....เอาเป็นว่าฉันจะช่วยก็แล้วกัน....” ราวกับอะไรผ่าลงไปที่กลางหัวใจจนมันรู้สึกเจ็บจี๊ดจนร่างกายด้านชา...สิ่งที่เขาปฏิเสธคือผมต่างหาก.....เขาคงจะไม่ได้คิดอะไรหรือรู้สึกอะไรกับผมมากไปกว่าคำว่า “เพื่อน” เลยอย่างนั้นใช่หรือเปล่า?
ไม่รู้ว่าแผ่นหลังของผมมันสั่นไหวจนเขาจับได้บ้างไหม ?
ถึงแม้หน้าของผมจะหันไปยิ้มให้เขา แต่ข้างในกลับกำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง
แต่มันก็สมกับคนขี้ขลาดอย่างผมแล้ว ถ้าหากผมมีความกล้าที่จะบอกเขาตรงๆ ถ้าหากผมไม่กลัว...ที่จะต้องเสียเขาไปแม้แต่ในฐานะเพื่อนก็ตาม....ผมคงไม่ต้องมาร้องไห้ทั้งๆที่เขาคงไม่ได้รับรู้อยู่แบบนี้
ผมยืนมองร่างของเขาที่ค่อยๆล้มลงบนเตียงของผมช้าๆด้วยท่าทางเหนื่อยล้า....นี่เขาคงอ่านหนังสือไม่ได้พักเพราะอยากจะออกไปจากที่นี่ อยากจะหนีไปจากผมอย่างนั้นสินะ....นัยน์ตาของเขาค่อยปิดลงอย่างช้าๆพร้อมๆกับใบหน้าที่ผมไม่อยากให้ใครได้เห็น....
จะให้ผมลืมตาอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อภายใจจิตใจมันเหนื่อยล้าเต็มที....
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าคำว่าเพื่อนของเขา....เขาไม่ได้คิดเกินเลยอะไรกับผมอย่างที่ผมรู้สึกกับเขา...เพราะเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว และผมคงไม่มีหน้าเขาไปแทรกระหว่างพวกเขา
แล้วจะให้ผมปฏิเสธคำขอร้องของเขาได้อย่างไร...
ถึงแม้ในใจของผมจะปวดระบมแค่ไหนก็ตาม...
บางที...ความรู้สึกแบบนี้ผมคงจะเคยมอบมันให้กับเธอผู้นั้น...ชิมิสุถึงได้ยังคงตามมาหลอกหลอนและทำให้ความเจ็บปวดเหล่านี้ย้อนมาเล่นงานผมเอง...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าหัวใจที่ถูกปฏิเสธมันเป็นเช่นไร
ไฟในห้องปิดลงท่ามกลางเสียงฝีเท้าของเขาที่ก้าวเข้ามาใกล้ๆเตียง แรงยุบของฟูกทำให้ผมรู้ว่าเขานั่งลงอยู่ใกล้ๆ หยดน้ำจากที่ไหนสักที่ตกกระทบมาที่แก้มของผมจนรู้สึกได้...แต่มันกลับไม่เย็นเฉียบ...ใช่...มันอบอุ่น...ราวกับว่า
มันคือน้ำตา...
ร่างของผมค่อยๆถูกช้อนขึ้นจากเตียงของเขาก่อนจะถูกวางลงอีกทีที่ฟูกนอนที่อยู่ข้างเตียง ‘ฉันเตรียมฟูกเอาไว้ให้นายแล้วนะ เพราะงั้นนายอยากมานอนที่นี่เมื่อไหร่ก็มาได้เลย’ นั่นคือสิ่งที่เขาบอกกับผม แต่จากนี้ไปผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะกล้ากลับมานอนที่อีกหรือไม่....จะกล้าพอที่จะทำให้หัวใจของตัวเองต้องเจ็บปวดอีกหรือเปล่า...
เสียงทุกอย่างเงียบลงไปเนิ่นนานกว่าผมจะได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของเขา
และยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางความเงียบเพียงลำพังมันก็ยิ่งทำให้ผมรับรู้ได้ถึงจิตใจที่อ่อนแอของตัวเอง
ชิมิสุจะเคยเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ? หรือว่ายัยนั่นจะด้านชากว่าที่คิดเพราะไม่ว่าจะถูกปฏิเสธแค่ไหนแต่ก็ยังไม่เคยถอยหนีไปสักที....แม้แต่ตอนนี้เองก็ตาม....
จู่ๆก็รู้สึกราวกับว่ามีสายตาสีแดงคู่ใหญ่จับจ้องมองมา...เหมือนกับตอนที่อยู่ที่บ้านไม่มีผิด....ใครสักคนกำลังจ้องมองผมอยู่แน่ๆ...และผมก็ค่อนข้างแน่ใจด้วยว่าเป็นชิมิสุ คนที่น่าจะตายไปแล้ว!
เสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามาในหู...จนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก....ร่างกายของผมราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยหมุดเล่มใหญ่ที่มองไม่เห็น ไม่มีส่วนใดที่จะสามารถขยับได้ดังใจ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังคงขยับไปมาได้ แล้วผมก็กำลังเหลือบไปมองที่บานประตูซึ่งถูกเปิดออกอย่างช้าๆด้วยประสาทที่เกร็งเขม็ง
แต่คนที่เปิดประตูเข้ามากลับเป็นน้องสาวของโทรุ และนั่นมันก็ทำให้ผมเผลอถอนหายใจ และเมื่อเสียงบานประตูปิดลงอีกครั้ง....
ร่างทั้งร่างยังคงไม่อาจสามารถขยับได้...สายตาได้แต่เหลียวมองไปรอบกาย ความมืดที่ดูวังเวงและน่ากลัวกำลังโรยตัวเพิ่มมากขึ้น เสียงครืดคราดของอะไรบางอย่างดังลอดออกมาจากที่ใต้ตู้ และเมื่อผมเหลือบสายตาไปมองก็ให้ร่างทั้งร่างนิ่งชะงัก นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก เมื่อต้นเสียงนั้นคือร่างของหญิงสาวที่เขารู้จักดีกำลังคืบคลานออกมาจากที่ใต้ตู้...เธอคือ ชิมิสุ เมงุมิ ที่น่าจะตายไปแล้วนั่นเอง...
“ ยูกิคุง...” และเสียงนั่นคือเสียงที่เธอใช้เรียกผมอย่างแน่นอน ตอนนี้เหงื่อไหลออกมาเต็มใบหน้าของผม ผมได้แต่นอนมองร่างสีซีดของเธอเดินผ่านหน้าผมไป แล้วเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงพร้อมสายตาที่มองไปที่คนบนนั้นอย่างเกลียดชัง
“ ฉันไม่ชอบหมอนี่เลย...แล้วทำไมยูกิคุงถึงได้ชอบเขามากกว่าฉัน...” ร่างที่ยืนนิ่งค่อยๆนั่งลงไปที่ข้างเตียงอย่างช้าๆด้วยความตกตะลึงของผม เธอจะหลอกจะหลอนอะไรผมก็ได้ แต่อย่าไปทำคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเขาเลย...คำขอร้องของผมที่ได้แต่ตะโกนก้องอยู่ภายในใจเพราะไม่อาจเอ่ยอะไรออกไปได้
“ เนอะ ทัตซึมิซัง” เหมือนเธอจะตัดพ้อกับใครบางคน และเมื่อผมเหลือบมองไปที่หน้าต่าง ดวงตาสีแดงอีกคู่ของใครบางคนก็ส่องประกายแวววาวเข้ามา และนั่นมันทำให้ผมรู้สึกขนลุกยิ่งกว่าตอนที่เห็นชิมิสุ....สายตาคู่นั้นมันน่ากลัวยิ่งกว่าหลายล้านเท่า
“ ถ้างั้น...เริ่มเลยนะ” เธอพูดพร้อมออกมาพร้อมกับรอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียนก่อนที่ใบหน้าขาวซีดนั่นจะก้มลงไปใกล้ๆกับคอของโทรุ ริมฝีปากแดงสดที่ตัดกับผิวหน้าอ้าออกกว้างก่อนที่ผมจะมองเห็นเขี้ยวคมค่อยๆยืดออกมา
“ อย่า....” ริมฝีปากของเธอขยับเข้าไปหาคอของโทรุมากยิ่งขึ้นไปอีก...
“ อย่า!!!” เสียงตะโกนก้องได้แต่ร้องอยู่ในใจเมื่อภาพของชิมิสุที่กำลังฝังเขี้ยวลงไปที่คอของคนสำคัญที่สุดของผมมันกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา...ผมไม่รู้ว่านี่คือความฝันหรือความจริง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพลันขาวโพลนไปหมด...ผมได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจให้สิ่งที่เห็นนั้นไม่เป็นความจริง
อย่าทำอะไรเค้า....
อย่าทำอะไรเค้า!!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เลือดหยดที่สี่.....
To be continue….
เอ่อ....ขอเปลี่ยนที่หัวเอนทรีติ๊ดนึง...เอาตัว S ออกตึวนึงนะคะ ฮะฮะ.....ถึงที่หัวเอนทรีจะเปลี่ยนไปแค่ตัวเดียว แต่ความหมายมันเปลี่ยนไปเยอะเลยนะเว้ยเฮ้ย !!!
ใช่ค่ะ....จากนี้ไปเรื่องนี้จะเป็นฟิกยาวค่ะ =[ ]= ....เพราะจนแล้วจนรอดก็ทนต่อความต้องการของตัวเองไม่ได้ จนใส่คู่ โทรุนัทสึโนะ มาจนได้ =[ ]= และมันต้องยาวอย่างไม่ต้องสงสัยเลยอ่ะ โฮกกกก
แต่อย่าคาดหวังอะไรมาก เพราะมันเป็นกึ่งๆฟิกสดค่ะ ฮ่าๆ แบบว่าแต่งปุ๊บลงปั๊บ ไม่มีมานั่งไตร่ตรองอะไรให้มากความ มีเพียงพล็อตโล่งๆในหัวจากนั้นก็ปล่อยมือมันพิมพ์ไป (เอ็งเป็นตัวอะไรฟะ) หากเจอคำผิดตรงไหนก็ทำความเข้าใจกันเองเด้อ (โดนโบก)
หากอยากอ่านฟิกอลังการ โปรดรอเรื่องต่อไป...^ ^....(ไอ้นั่นก็เกินไป มันเลยไม่ถึงไหนซักที แบบว่า...ดราม่าเอยจงซับซ้อนยิ่งขึ้น...)
ว่าแต่ตอนนี้อ่านรู้เรื่องกันหรือเปล่านะ? แบบว่าตัดไปตัดมา ฮะฮะ แถมทั้งตอนยังเป็นเรื่องราวของ โทรุ กับนัทสึโนะ แค่สองคนอีกตะหาก ก็อย่างที่บอกไว้แหละว่า ไม่ได้คิดว่าจะแต่งคู่นี้มาตั้งแต่ต้น เพราะงั้นเลยมาอัดเรื่องราวเอาในตอนเดียว เพื่อให้ทันกับอีกสองสาม(?)คู่ที่ลงไปก่อนหน้านี้ อิอิ
ตอนที่ 4 แต่งไว้ครึ่งตอนแล้วค่ะ แต่ว่าขอตัวไปประกอบของขวัญวันเกิดให้ใครบางคนก่อนเน้ หึหึ...(อ๊ากกก อยากมีเวลาวันละ48ชั่วโมงงงง มีแต่อะไรที่อยากทำเต็มไปหม๊ดดดด)
เดี๋ยวเจอกัน...
เฮ้ๆ อ่านความสัมพันธ์ของเพื่อนสองคนนี้แล้ว คิดว่า..
ตอบลบเฮ้ยย ในเรื่องมันมีฉากแบบนี้จริงๆอ่ะป่าวเนี่ย..
ฉากที่ว่าคือ ไอ้ฉากลองเชิงเรื่องรักไม่รักนั่นแหละ โฮกกกกกก
แล้วไอ้ที่อุ้มอีกคนไปนอนที่ฟูกด้วยอ่ะมีป่าววว กรี๊ดดดดด//พี่กวางเสย
ตอนนนี้จิ้นไม่ออกว่าคนไหนเป็นคนไหน ฮ่าฮ่า
แต่ที่นึกออกหน่ะคือด้านนิสัย โทรุ คือ ยามะ นัทสึโนะคือก๊ก กร๊ากกกก
ทั้งๆที่มียามะกับก๊กในเรื่องอยู่แล้ววก็ยังมิวายจิ้นซ้ำซ้อน ฮ่าฮ่า
ง่า ชักจะอยากเห็นนิสัยจริงๆ การพูดจาจริงๆ ของตัวละครในเรื่องแล้วสิน๊า
ออกอาการเพ้อออ ต่างคนต่างคิดไปอีกทาง มันน่าจับมาตีก้นนัก หึหึ
ตอนแรกยังไม่ทราบว่าระหว่างโทรุกับนัตสึโนะใครกดใคร ??
แล้วพึ่งจะรุ้ว่า ใครโดนกัดก่อนแล้วค่อยมากัดกันเอง?
งืมมม แบบนี้หน่ะเอง คึหึหึ
อร๊ายยยย ไอ้ฉากที่คลานออกมาเนี่ยย หลอนอ่ะ
ดีนะเค้าอ่านตอนเย็นๆไม่ได้อ่านดึกๆ โฮกกก
อย่าทำอะไรเค้าน๊า พรีสสสสสส // โดนเสย
กำลังหนุกเลยค่ามันจะเป็นยังไงต่อไปเนี่ยย สู้ๆค่า
ชอบการเดินเรื่องแบบนี้จัง ถึงจะตัดไปตัดมาแต่ว่าตัดได้เนียนมาก ๆ ค่า
ตอบลบพอมาอ่านอย่างนี้แล้วยิ่งคิดว่าคู่นี้มันเหมือนยามะกับโกคุจริง ๆ นั่นแหละ
โทรุก็เนี๊ยนเนียน นัทสึโนะก็แอบซึน
อ่านตอนนี้แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้มองเผินๆนึกถึง8059จริงๆค่ะ แต่ถ้าถามกี้ว่านิสัยเหมือนกันเดี้ยะมั้ย จากสายตาของคนที่ผ่านการดูชิกิมาแล้ว ขอลงความเห็นค่ะ(ฮา) คิดว่าความซ฿น ก๊กกับนัทซีโนะนั้นคล้ายกัน แต่นัทซึโนะเหมือนเอาคุณฮิผสมลงไปด้วย เพราะนัทซึโนะค่อนข้างจะมีความใจเย็นเป็นเลิศ และช่างคิดช่างวางแผนเป็นเหตุผล ส่วนโทรุนั้นลั้นลาเหมือนยามะ แต่เหมือนความใจอ่อนกี้ว่ามากกว่ายามะนะ โทรุมันไม่มีโหมดดงโหมดดาร์กอะไร (นึกถึงเคสุเกะในโทไกอินุแล้วรายนั้นเหมือนยามะมากกว่าป้ะพี่กวาง)
ตอบลบ