KW Original [พ่อใหญ่xกลิ่นแก้ว] คู่ชีวิต : 01
:
KW Original เป็นนิยายออริของคุณกวางเองค่ะ ไม่ใช่ฟิคชั่นน้า
:
พ่อใหญ่ x กลิ่นแก้ว
:
Period Romantic Drama
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
: เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวกับสถานที่หรือบุคคลใด
: อาจมีคำพูดหยาบคายและไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
.
.
.
“ข้ายอมมุสาเพียงครั้งเดียวในชีวิต
ยอมตระบัดสัตย์ต่อดาบเพชฌฆาตและแผ่นดิน ทั้งหมด...ก็เพื่อเจ้า”
“พรุ่งนี้...เจ้าต้องเป็นคนตัดหัวข้า
อย่าให้คนอื่นทำเด็ดขาด...จากนั้น...ให้สะกดวิญญาณของข้าไว้ที่หัวใจของเจ้า ลงรักษ์สลักวิญญาณข้าไว้ที่หัวใจเจ้า
และข้าจะไม่ถามว่าเจ้าทำได้หรือไม่ แต่เจ้าต้องทำให้ได้ เพื่อข้า”
.
.
.
.
.
เปรี้ยง!!
เสียงอัสนีกัมปนาทและสายฟ้าที่พาดผ่านน่านฟ้าสีดำคงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าค่ำนี้เป็นคืนอำมหิตเพียงใด
ห่าฝนที่หล่นร่วงจากฟ้าราวกับมหานทีที่ไหลอย่างบ้าคลั่ง
บ้านเรือนทุกหลังต่างก็ปิดประตูลงกลอนจนแน่นหนาเพราะคืนที่พายุฝนฟ้ากระหน่ำเช่นนี้ไม่เคยมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น
เว้นก็แต่เรือนท้ายสวนหลังหนึ่งซึ่งกำลังวุ่นวายเพราะผู้เป็นภรรยาท้องแก่นั้นดันปวดท้องใกล้จะคลอด
ทั้งหมอตำแยและญาติผู้หญิงต่างวิ่งฝ่าฝนที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรเข้าไปในเรือน
ฟ้ายังคงผ่าเลื่อนลั่นดังสนั่น
ช่างเป็นเวลาที่ไม่เหมาะไม่ควรที่เด็กน้อยจะถือกำเนิดเกิดมาเสียจริงๆ
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ใครจะไปห้ามหญิงท้องแก่ที่กำลังจะคลอดได้
ตัดมาที่จวนหลังใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
ชายในชุดพราหมณ์ผู้หนึ่งยืนลูบคางอยู่หลังกรอบหน้าต่างพลางมองไปยังสภาพอากาศที่วิปริตแปรปรวนด้านนอก
นี่ไม่ใช่ฝนฟ้าธรรมดาแต่เป็นลางบอกเหตุอาเพศอะไรบางอย่าง?
ชายสูงวัยมากประสบการณ์จึงเร่งเร้าให้บ่าวรับใช้ไปหยิบกระดานชนวนมาก่อนจะขีดเขียนคำนวณตามตำราโหราศาสตร์ที่ร่ำเรียนมา
ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงไม่นานทุกอย่างก็สว่างวาบและเสียงก็ดังลงมาอีกเปรี้ยง
ท่านพราหมณ์ที่รั้งตำแหน่งโหรหลวงแห่งราชสำนักก็รู้ได้ทันทีว่าบัดนี้มีคนที่ดวงแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้ามาเกิด
มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยยังคงขีดเขียนตัวเลขลงไปด้วยแววตาวาววับ
คำนวณไปคำนวณมานี่มิใช่ดวงของทหารกล้าหรือพระราชา
แต่หากมีเด็กที่ตกฟากยามนี้ขึ้นมาจะเป็นเด็กที่ลืมตาพร้อมกับดวงที่ทำเอาโหรอย่างเขายังต้องขนลุกเกรียว
มิอาจบอกได้ว่าเป็นดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่แต่ก็เป็นดวงที่หาไม่ได้ง่ายๆล้านคนจะมีสักคนเดียว
มิอาจบอกได้ว่าเป็นดวงชะตาที่อาภัพแต่กลับเป็นดวงที่จะสั่นสะเทือนไปถึงยมโลก
คนเป็นมิอยากเข้าใกล้
คนตายล้วนหลีกหนี โดยเฉพาะพวกผีตายโหงจะถูกเจ้าของดวงนี้กำราบราบคาบลงแทบเท้า
โครมๆๆ!
เสียงเคาะประตูดังลั่นทำเอาร่างในชุดขาวถึงกับสะดุ้งโหยง
ใครมาทุบประตูเอาป่านนี้?
บ่าวที่รับใช้ใกล้ชิดหันมามองหน้านายเหนือหัวราวกับขอความเห็น
ใบหน้าที่ไว้เคราจึงพยักเบาๆให้ไปเปิดประตูเสีย
ร่างในชุดพราหมณ์วางกระดานชนวนก่อนจะลุกไปดู มาทุบประตูเสียงดังโครมครามเช่นนี้เห็นทีจะมีเรื่องร้ายแรงอันใด?
“ท่านโหรหลวง!
เกิดเรื่องแล้วขอรับ! ช่วยออกไปดูที่เรือนท้ายสวนของไอ้มั่นทีเถิดขอรับ!”
คนที่มารายงานนั้นตัวเปียกโชกนั่งพนมมืออยู่ที่ชานเรือนท่าทางรีบร้อน
ให้ไปที่เรือนนายมั่นท้ายสวน? นายมั่นมิได้มีภรรยาท้องแก่อยู่รึ?
หรือว่า...
แล้วดวงชะตาบนกระดานชนวนแผ่นนั้นก็ทำเอาท่านพระยาโหราธิบดีถึงกับขนลุกวาบ
“นำข้าไป” เขาพูดแบบไม่จำเป็นต้องรั้งรอสิ่งใด
ชายในชุดพราหมณ์ไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ยอมเสียเวลาแม้นาทีมาเปลี่ยนอาภรณ์
ชายสูงวัยวิ่งฝ่าฝนมาจนถึงเรือนท้ายสวนจนได้
แต่ภาพที่พบนั้นชวนอนาถใจมากกว่าควรจะยินดี
ถึงจะมีเสียงเด็กแรกเกิดร้องลั่น
แต่เสียงผู้เป็นพ่อกลับร้องดังกว่า
“ภรรยาของไอ้มั่นตายหลังจากคลอดลูกขอรับ”
ชายอีกคนเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะรายงาน
สิ่งที่ได้รับรู้ทำเอาเลือดในกายไม่สามารถสงบลงได้ ดูเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องไปตามหาเจ้าของดวงชะตาในกระดานชนวนแผ่นนั้นที่ไหนไกลให้เสียเวลา
พระยาโหราธิบดีจึงก้าวขาเข้าไปในเรือนเพื่อมองดูเด็กน้อยที่ถูกห่อผ้าไว้
เป็นเด็กชายหน้าตาหมดจดน่าเกลียดน่าชัง
ผิวพรรณดี หน่วยก้านก็ดี ที่สำคัญเด็กคนนี้นี่แหละเจ้าของดวงชะตาที่เขาเพิ่งจะคำนวณมา
ใบหน้าไว้เคราหันไปมองห้องติดกันที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม
บนแคร่ไม้มีร่างหญิงนางหนึ่งนอนนิ่งถูกคลุมผ้าขาวอยู่
เป็นเด็กคนนี้ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน…แค่ออกมาก็แลกไปแล้วหนึ่งชีวิต...
เพราะเจ้าของดวงชะตานี้เป็นดวงชะตาที่จะเอาชีวิตผู้อื่น
ทางโหราศาสตร์เรียกดวงเช่นนี้ว่า
“ดวงเพชฌฆาต”
และเด็กคนนี้ก็มิใช่ดวงเพชฌฆาตธรรมดา
แต่เป็นดวงเพชฌฆาตที่แม้แต่คนดวงเพชฌฆาตด้วยกันยังต้องยอมสยบ
เป็นดวงเพชฌฆาตที่แข็งแกร่งอย่างในรอบร้อยปีจะมีสักคน
ชายในชุดพราหมณ์นั่งลงบนเก้าอี้ด้านนอกก่อนจะให้คนไปตามตัวพ่อเด็กมา
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเศร้าโศกเสียใจ แต่เรื่องนี้ก็สำคัญเหนืออื่นใด” ดวงตาเอื้ออาทรมองดูชายที่ร่ำไห้จนหูตาแดงก่ำซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างเห็นใจ
“ขอรับท่านโหรหลวง เชิญบอกมาได้เลยขอรับ เรื่องนี้…เกี่ยวกับลูกชายของข้าใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่ ข้าคำนวณเวลาตกฟากแล้ว เด็กคนนี้มีดวงเพชฌฆาต
ไม่อาจอยู่ร่วมกับคนธรรมดาเช่นเจ้าได้” ได้ฟังดังนั้นนายมั่นก็ถึงกับเข่าทรุด
เพราะเป็นที่รู้กันว่าคนที่มีดวงชะตาเช่นนี้หากเอาดีก็จะมีชื่อเสียงแม้แต่พระมหากษัตริย์ยังต้องจดจำ
แต่หากไปเอาทางระยำก็จะสร้างทุกข์เข็ญไปทั่วหัวระแหง
ชาวบ้านเช่นเขาหรือจะรับผิดชอบไหว
“เช่นนั้น…ข้าควรทำเช่นไรดีหรือขอรับ…ข้าเพิ่งเสียภรรยาไป…จะให้บีบคอเด็กคนนี้ให้ตายตกกันไปมันก็ออกจะ…”
นายมั่นมองหน้าลูกชายพลางน้ำตาคลอ
“ยกเขาให้ข้า ข้าจะเลี้ยงดูเขาเฉกเช่นบุตรบุญธรรม” แล้วสิ่งที่ท่านโหรหลวงพูดออกมาก็มีแต่จะทำให้นายมั่นตะลึงจนตาค้าง
“ทะ ท่านจะรับเลี้ยงเขาเป็นลูกหรือขอรับ?”
“ใช่ หากเขาอยู่กับข้า ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกต่อไป”
“......ขอรับ” นายมั่นเหลือบมองลูกชายอย่างอาลัยอาวรแต่ก็มิอาจทำอะไรได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
บ่ายวันถัดมาเด็กน้อยจึงถูกพาเข้าจวนที่นับได้ว่ามั่งมีและทรงอิทธิพลแห่งหนึ่งในย่านนี้
เพราะเจ้าของจวนเป็นถึงพระยาโหราธิบดี
โหรหลวงประจำราชสำนักผู้ให้คำพยากรณ์ใกล้ชิดต่อพระมหากษัตริย์
ร่างที่ยังเดียงสานอนอยู่บนเบาะผ้าไหมอย่างดี
เมื่อเจ้าของจวนก้าวขาเข้าไปบรรดาข้ารับใช้และแม่นมต่างก็หลีกทางให้
ชายในชุดพราหมณ์นั่งลงข้างเตียงก่อนจะมองดูเด็กชาย
เขาไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือถึงขนาดรับเป็นลูกเช่นนี้ก็ได้
แต่ดวงชะตาที่เขาอ่านได้และมิเคยปริปากบอกผู้ใดก็ทำให้มิอาจมองข้ามไป
นอกจากจะมีดวงเพชฌฆาตที่เป็นดาวมัจจุราชแล้ว
ในภายภาคหน้ายังมีดวงชะตาที่จะทำการใหญ่อะไรบางอย่างสำเร็จอีกด้วย
เพราะฉะนั้นการเลี้ยงดูเด็กคนนี้ย่อมต้องส่งผลดีต่อเขาอย่างแน่นอน
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่า ใหญ่ จะใช้มันข่มดวงชะตาของเจ้าเอาไว้
และนับแต่วินาทีนี้ไป จงใช้ทั้งชีวิต
ทั้งลมหายใจของเจ้าเพื่ออุทิศแด่หน้าที่นี้เถิด”
ใบหน้าไว้เคราหันไปหาข้ารับใช้ที่เป็นดั่งมือขวาก่อนจะบอกออกไป
“ติดต่อไปยังพระอาจารย์
ว่าข้าอยากให้เขาขัดเกลาเด็กคนนี้ให้เติบใหญ่พร้อมรับหน้าที่เพชฌฆาตแห่งราชสำนัก”
ข้ารับใช้ในห้องต่างส่งเสียงร้องอื้ออึงด้วยไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะส่งบุตรบุญธรรมของตัวเองไปเป็นเพชฌฆาต
เพราะมันหาได้ยากยิ่งที่คนทำหน้าที่นี้จะอาศัยอยู่ร่วมกับคนธรรมดา
“ขอรับ” ข้ารับใช้ที่ได้รับมอบหมายยกมือพนมเหนือหัว
ท่านหัวหน้าโหรหลวงจึงหันกลับไปมองเด็กน้อยอีกครา
“นี่เป็นหนทางเดียวที่คนมีดวงชะตาเช่นเจ้าจะเดินได้
มันถูกลิขิตเอาไว้ตั้งแต่เจ้าลืมตาขึ้นมาแล้ว เจ้าใหญ่”
ดวงตาสีเทาเข้มเหลือบมองกระดานชนวนที่มีดวงชะตาของเด็กคนนี้ถูกเขียนเอาไว้
ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเจอใครที่มีดวงเพชฌฆาตเข้มข้นจนน่าขนลุกขนาดนี้มาก่อน
ดวงเช่นนี้แม้แต่คนที่มีดวงเพชฌฆาตเช่นกันก็ยังข่มได้ อาจจะลำบากหน่อยเวลาหาคนที่จะมาเป็นคู่เพชฌฆาตกับเจ้า
จะต้องเป็นเด็กแบบไหนแม้แต่ข้ายังไม่รู้เลย
หลายเดือนเคลื่อนผ่านจวบจนคืนหนึ่งซึ่งแสนสงบและเย็นสบาย
กิ่งไม้ไหวคล้อยตามสายลมอ่อนช้อยส่งให้กลิ่นดอกแก้วหอมตลบอบอวลชวนให้คิดว่าบ้านเรือนไทยหลังนี้ตั้งอยู่กลางดงต้นแก้วหรืออย่างไร
ถึงแม้จะดึกสงัดแต่ภายในบ้านนั้นไซร้กลับมิได้เงียบงัน
ผู้เป็นเจ้าบ้านซึ่งมีร่างกายกำยำตามแบบนักดาบยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง
ลูกชายคนโตวัยหกขวบก็ยืนชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในห้องไม่แพ้กัน
เสียงร้องโอดโอยทำให้สองพ่อลูกได้แต่กำมือแน่น
แต่ผ่านไปสักพักเสียงแห่งความเจ็บปวดนั้นก็เปลี่ยนเป็นความยินดี
เสียงแห่งชีวิตร้อง
“อุแว้ๆ” ดังลั่นบ้านเปลี่ยนสีหน้าตระหนกให้กลายเป็นรอยยิ้ม
ยิ่งแม่หมอตำแยเปิดประตูออกมาพร้อมกับปาดเหงื่อแต่มิได้หน้าเสียก็ทำให้ผู้เป็นสามีถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ได้ลูกชาย
ส่วนเมียเอ็งก็ปลอดภัยดี” ยิ่งตอกย้ำด้วยคำพูดของแม่หมอก็ยิ่งทำให้นายมิ่งถึงกับน้ำตารื้น
เด็กปลอดภัยดี
เมียเขาก็ปลอดภัยดี
“ข้าเข้าไปดูได้หรือไม่?” เสียงสั่นๆไม่สมรอยสักยันต์เต็มตัวถามออกไป
“ไปสิ
น่าชังเชียวลูกชายเอ็ง”
แม่หมอยิ้มก่อนจะเดินไปล้างเนื้อล้างตัว ลูกชายคนโตปรี่เข้าไปก่อน ร่างสูงใหญ่ของนายมิ่งเดินตามเข้าไปด้วยสีหน้าคลายกังวลจนกระทั่งได้เห็นเมียรักนอนกอดเด็กทารกตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน
จะไม่ให้เขาห่วงได้อย่างไรในเมื่อเลือดเนื้อเชื้อไขของเขานั้นเป็นเด็กต้องสาปที่อาจจะพรากชีวิตผู้เป็นมารดาได้ทุกวินาที
ตระกูลของเขาเป็นตระกูลต้องอาถรรพ์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นตระกูลเพชฌฆาตมาตั้งแต่โบราณกาล
ทวดของเขาเป็นเพชฌฆาต
ปู่ของเขาเป็นเพชฌฆาต พ่อของเขาเป็นเพชฌฆาต และเขาเองก็เป็นเพชฌฆาต
เด็กผู้ชายสายตรงในตระกูลของเราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมดวงเพชฌฆาตอย่างน่าประหลาดใจ
เด็กคนนี้ก็เช่นกัน...
ถึงจะมิใช่โหรแต่การคำนวณเวลาตกฟากเขาก็ได้เรียนรู้มาจากบรรพบุรุษ
โดยเฉพาะการตรวจดวงเพชฌฆาตนั้นเขาชำนาญเป็นที่สุด
เขาเองก็มีดวงเพชฌฆาตเช่นกัน
“พี่มิ่ง...” แม่กิ่งผู้เป็นภรรยาเอ่ยเรียกด้วยเสียงระโหยโรยแรง
ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาดบัดนี้กลับซีดเซียวลงเล็กน้อย
แต่จากที่ดูก็มิมีสิ่งใดต้องกังวล
“ได้ลูกชายจ้ะพี่” เขาพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม
นิ้วเรียวจึงดึงขอบผ้าที่ห่อไว้ให้เขาได้เห็นหน้าลูกชัดๆ
เด็กน้อยมีหน้าตาจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยและมีสีผิวดั่งดอกจำปีเนื้อเนียนละเอียด
จนผู้เป็นพ่อต้องมองดูที่อวัยวะบ่งบอกเพศซ้ำอีกรอบ...เด็กผู้ชาย...แน่รึ?
“พี่ตั้งชื่อลูกหรือยังจ้ะ?” เสียงของภรรยาเรียกเขาออกมาจากความสงสัย
ใบหน้าคมคายจึงมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งกลิ่นหอมเย็นนั้นลอยเข้ามา
“ค่ำคืนนี้กลิ่นดอกแก้วช่างรุนแรงนัก
ราวกับมันจักอยากให้เจ้าเด็กน้อยใช้ชื่อเดียวกับมัน”
“เช่นนั้น...ก็ตั้งชื่อลูกว่า
กลิ่นแก้ว ดีหรือไม่?”
“ดี
เป็นชื่อที่ดี”
ผู้เป็นพ่อหันกลับไปมองลูกชายคนรองที่หลับปุ๋ย
เพราะเป็นคนรองเขาจึงได้แต่หวังว่าเด็กคนนี้จะได้ใช้ชีวิตตามแต่ใจ
มิต้องถูกพันธนาการไว้กับคมดาบเพชฌฆาตเช่นเขาและพี่ชายของมัน
จากเด็กน้อยที่ร้องอ้อแอ้ไม่เป็นภาษา
เวลา...ก็ผ่านไปถึงหกปี
โครงหน้าที่เดามิออกว่าจะเป็นเช่นไรในทีแรกกลับค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่าจะหล่อเหลาคมคายในภายภาคหน้า
ทว่า...ใบหน้าหมดจดนั้นกลับไม่เคยยิ้มเคยแย้ม ไม่เคยหัวเราะให้สมกับที่เป็นเด็กเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แผ่นหลังของเด็กชายตั้งตรงในขณะที่มือเล็กก็ฝึกคัดตัวอักษรขอมไปด้วย
ตัวหนังสือในแผ่นกระดาษนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามราวกับตัวอักษรในตำราเลยก็ว่าได้
ภาษาไทยเขาก็เรียน
ภาษาขอมเขาก็เรียน ภาษาบาลีเขาก็เรียน
อะไรที่เด็กตัวเท่านี้จะเริ่มเรียนรู้ได้เขาก็ถูกอบรมสั่งสอนทั้งหมด
จริงอยู่ว่ามันหนักหนามาก...
แต่ที่เขาไม่งอแงไม่อยากออกไปวิ่งเล่นเช่นเด็กคนอื่นๆ...นั่นก็เพราะเด็กน้อยรู้ความมากกว่าที่ผู้ใหญ่บางคนคิด
เขาถูกพูดลับหลังนินทามาตั้งแต่จำความได้ ว่าเขา...มิใช่บุตรชายแท้ๆของท่านพระยาโหราธิบดี
เพราะมิใช่บุตรชายแท้ๆจึงมิอาจทำตามแต่ใจได้
เขาต้องประพฤติตัวให้ดี ต้องทำตามความคาดหวังของพ่ออย่างดีที่สุด...เพื่อแลกกับความเอ็นดูที่อีกฝ่ายจะมอบให้
ก็นับว่าฟ้ายังปรานีที่พ่อบุญธรรมของเขาไม่มีภรรยา
ฉะนั้นก็จะไม่สามารถมีลูกของตัวเองได้ เขาจึงมิต้องถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนของความริษยาแบบที่บ้านอื่นๆซึ่งรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมเป็นกัน
“อืม...ลายมืองดงามมาก
สมแล้วที่เป็นบุตรของท่านโหรหลวง”
พระอาจารย์ลูบเคราพลางพยักหน้ายามทอดสายตามองหน้ากระดาษที่เรียงรายด้วยตัวอักษรขอมที่สูงเท่ากันทุกกระเบียดนิ้ว
อันที่จริงแล้วเด็กชายทั่วไปมิจำเป็นต้องเรียนภาษาขอมหรือแม้แต่ภาษาบาลี
แต่ที่เขาต้องมาท่องจำทั้งหมดนี้นั้นเป็นเพราะอนาคตของเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ว่าจะต้องเป็นเพชฌฆาตแห่งราชสำนัก
คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นเพชฌฆาตได้นั้นมีทั้งหมดสามข้อ
หนึ่งต้องมีร่างกายแข็งแรงกำยำพอที่จะตวัดกวัดแกว่งดาบเพชฌฆาตที่หนักอึ้งได้
ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญชำนาญในเพลงดาบทุกแขนง
ต้องเด็ดขาดแม่นยำตัดครั้งเดียวต้องได้ชีวิต
คุณสมบัติข้อต่อไปก็คือต้องเป็นผู้มีคาถาอาคม
และมิใช่มีแค่ระดับงูๆปลาๆ แต่ต้องมีอาคมเก่งกล้าพอที่จะข่มอาถรรพ์ของดาบเพชฌฆาตได้
ดาบที่อาบเลือดมานับร้อยนับพัน ตัดคอคนมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ย่อมมีวิญญาณพยาบาทสิงสู่
นอกจากนี้เพชฌฆาตยังต้องสะกดวิญญาณได้
เพราะคนที่ตายอย่างผิดธรรมชาติเช่นการถูกตัดหัวอย่างไม่ยินยอมนี้เราเรียกกันว่าผีตายโหง
และผีตายโหงก็คือวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอย่างถึงที่สุด หากไม่สะกดวิญญาณมันให้ดีคนที่จะฉิบหายก็คือตัวเพชฌฆาตผู้บั่นคอมันผู้นั้นเอง
เพชฌฆาตยังต้องรู้เกี่ยวกับวิชาคุณไสยมนต์ดำอยู่ยงคงกระพันอย่างถ่องแท้
ต้องแก้ไขได้ เพราะนักโทษประหารนั้นส่วนใหญ่มิใช่คนดี
มีไม่น้อยที่มีคาถาอาคมแก่กล้าไม่แพ้กัน ทำให้หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า ตัดคอย่อมไม่ขาด
เพชฌฆาตจึงต้องเก่งกว่าและหาวิธีลงดาบให้จงได้
และคุณสมบัติข้อนี้นี่แหละที่ทำให้เด็กชายจำเป็นต้องแตกฉานในอักษรขอมซึ่งนำมาใช้ในการเขียนภาษาบาลี...หัวใจของบทสวด
ลงคาถา ลงอาคมและยังใช้ในการเขียนยันต์ต่างๆ
คุณสมบัติข้อสุดท้ายที่ทำให้มิใช่ใครก็ได้จะมาทำหน้าที่นี้ได้
ต่อให้เก่งเพลงดาบ เก่งคาถาอาคม แต่ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่จะเป็นเพชฌฆาตได้ต้องมี
“ดวงเพชฌฆาต” เท่านั้น จะต้องเป็นคนดวงแข็งจิตแข็งเพื่อมิให้ผีตายโหงที่ถูกตัดหัวมาตามรังควาญทำร้ายเล่นงานตัวเพชฌฆาตเองได้
อีกอย่าง...คนจิตอ่อนดวงไม่แข็งแค่แตะดาบเพชฌฆาตก็อาจสติวิปลาสได้แล้ว
ฉะนั้นคนที่จะเป็นเพชฌฆาตได้
จึงมีเพียงฟ้า...ที่กำหนดมา
เป็นชะตา...ของคนผู้นั้นอย่างแท้จริง
“ดูสิ
ข้าสอนให้ไม่ทันไรเจ้าก็เอามาร้อยเป็นบทสวดคาถาได้แล้ว ช่างน่าชื่นชมนัก” พระอาจารย์ยกยอเสียงดัง ทั้งที่เพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ได้ไม่นานแต่ดูท่าบุตรแห่งพระยาโหราธิบดีนี้คงจะถูกยกให้เป็นศิษย์รักไปเสียแล้ว
เพราะไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตั้งใจและทำได้ดีไปเสียหมด
ราวกับมันเป็นทางที่เหมาะที่ควร
เป็นสิ่งที่โชคชะตาส่งเสริมให้ทำออกมาได้ดีกว่าใครๆ
แต่อย่างไรเสีย
โลกทั้งใบก็มิได้มีแต่พระอาจารย์ผู้เดียว
สายตาหนึ่งส่งมาจากมุมขวาของศาลาเรียน
มันเป็นสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่ยอมรับ...
เจ้าบัว เด็กชายอีกคนที่อายุมากกว่าหกปีกำลังนั่งกำหมัดไว้บนหน้าตัก
ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวเคลียไหล่ขมวดคิ้วจนมันแทบจะชนกัน สันกรามขบแน่นในขณะที่มองไปยังตำแหน่งที่เคยเป็นของตัวเอง...และบัดนี้...มันก็กำลังถูกเจ้าเด็กนั่นแย่งไป...เด็กที่เพิ่งมาใหม่
เด็กที่เริ่มฝึกทั้งเพลงดาบและอักขระใดๆช้ากว่าเขาถึงหกปี!
เพียงแค่มันมีดวงเพชฌฆาตที่แข็งแกร่งกว่าใครคอยหนุนนำ
เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันจะดีกว่าไปได้อย่างไร
ริมฝีปากของเด็กชายอายุสิบสองขบเม้มอย่างเจ็บใจ
เขาจะไม่มีวันยอมยกทุกสิ่งทุกอย่างที่มันควรจะเป็นของเขาให้เด็กนั่นอย่างเด็ดขาด
ทั้งตำแหน่งศิษย์เอกของพระอาจารย์ ทั้งตำแหน่งเพชฌฆาตดาบที่หนึ่ง เขาพยายาม
เขาฝึกฝนมาตั้งขนาดไหน เขาไม่ให้ใครคว้ามันไปจากมือเขาง่ายๆแน่
ในเวลาเดียวกันนั้น...
บ้านตระกูลเพชฌฆาตที่ควรจะมืดครึ้มอึมครึมราวกับถูกสิงสู่ด้วยวิญญาณผีตายโหงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด
เพราะแทนที่จะมีแต่เสียงอีกาให้น่าวังเวงกลับมีแต่เสียงโหวกเหวกแสนอลเวงเสียมากกว่า
“เจ้าแก้ว!! ลงมาเดี๋ยวนี้! หรือจะให้ข้าฟาดสักทีก่อนดี?!” แม่กิ่งยืนเท้าสะเอวตะโกนปาวๆใส่ต้นมะม่วงราวกับคนเสียสติ
แต่คนเดินผ่านไปผ่านมากลับอมยิ้มเพราะเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้ว
แท้จริงภายใต้ใบดกหนากลับที่มีร่างเล็กๆเจ้าของชื่อซ่อนตัวอยู่
และเมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กน้อยยังเงียบกริบแขนเรียวจึงคว้ามะนาวกลมเกลี้ยงลูกหนึ่งขึ้นมาและไม่ลังเลเลยที่จะขว้างปามันออกไป
“โอ๊ย!
แม่! จะปามะนาวขึ้นมาทำไม? ข้าเจ็บนะ!” เจ้าตัวดีตะโกนสวนมาทันทีทำเอาคนเป็นแม่ถึงกับคิ้วกระตุก
“เจ็บก็ลงมา!”
“ฮึ่ย! ข้าก็นอนของข้าดีๆ!” ผู้เป็นแม่ได้แต่รู้สึกท้อแท้ยามจ้องเขม็งมองลูกชายคนรองที่เกาะต้นมะม่วงฟึดฟัดอยู่เบื้องบน
“จะขึ้นไปทำไม!
ไม่เห็นหรือว่ามะม่วงมันกำลังออกช่อ เจ้าขึ้นไปถูกมันก็ร่วงหมดไม่ได้กินลูกกันพอดี!”
“เพราะข้าไม่อยากกินไง! อกร่องต้นนี้ออกลูกทีไรท่านก็บังคับให้ข้ากินจนอ้วนกลม
ข้าก็เลยต้องขึ้นมาทำให้ช่อมันร่วงให้หมด!” ทำไมถึงเถียงคำไม่ตกฟากเช่นนี้~ ต้องโทษพี่มิ่งที่ตามใจจนเสียคน!
“เจ้าลูกคนนี้นี่!”
มือเรียวหันไปคว้าก้านมะยมก่อนจะรูดใบออกอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงกระนั้นคนเป็นแม่ก็ยังมิไวเท่าลิงทะโมนที่กระโจนเผ่นแผล้วหนีไปอีกฝั่งหนึ่งแล้ว
“มาให้ข้าตีให้ขาลายซะดีๆ!” แม่ศรีเรือนยืนเท้าสะเอวชี้ไม้เรียวตรงมา
ทว่าร่างเล็กๆนั่นก็วิ่งข้ามท้องร่องปรู๊ดไปไกลลิบ
“ใครยอมให้ตีจนขาลายก็โง่แล้ว!” แต่ใบหน้าน้อยก็มิวายหันคล้อยกลับมาโต้ตอบทิ้งท้าย
“เจ้าแก้ว!” ทำให้เส้นเลือดเต้นตุบๆอยู่บนขมับของแม่กิ่งไม่เว้นแต่ละวันเลยจริงๆ
“จะหนีไปไหน?!
แล้วนี่ไปหาหลวงตามาหรือยัง?!” เพราะตะโกนคุยกันข้ามร่องน้ำอยู่ทุกวันเช่นนี้แหละ
บ้านที่ควรจะเงียบเชียบถึงมิเคยได้สงบเลยสักครา
“ให้ตายก็ไม่ไปหรอก!
หลวงตาชอบเขกหัวข้าตอนสัปหงก ตัวเองสอนหนังสือไม่รู้เรื่องแท้ๆ!”
“เฮ้อ...เจ้าลูกคนนี้!” หญิงสาวถอนหายใจหลังจากเจ้าตัวดีวิ่งหนีไปไกลแล้ว
อุตส่าห์พาไปฝากเรียนกับหลวงตาที่วัดแทนที่จะตั้งใจ
กลับไปเรียนได้แค่ไม่กี่วันก็หนีไปเล่นซนเสียแบบนั้น...
เพราะเจ้าแก้วเป็นลูกชายคนรอง
เธอกับสามีจึงมิได้บังคับหรือเข้มงวดอะไรมากมาย ตั้งใจให้ร่ำเรียนแค่รู้หนังสือไว้บ้างก็พอ
เด็กคนนั้นถึงเอาแต่เที่ยวเล่นซุกซนไปวันๆ
เอาเถอะ
ถึงจะดูไม่เอาเรื่องเอาราวเช่นนั้นแต่ก็ยังโชคดีที่เกิดมาฉลาดหลักแหลม ลูกชายคนนี้ของเธอไม่จำเป็นต้องคัดอักษรซ้ำไปซ้ำมาก็เขียนหนังสือได้
ถึงจะลายมือแย่สักหน่อยแต่ก็นับว่าอ่านหนังสือออก
เพราะนอกจากจะส่งให้ไปเรียนกับหลวงตาแล้วพี่มิ่งผู้เป็นพ่อก็สอนทุกอย่างที่เด็กจากตระกูลเพชฌฆาตควรจะรู้ให้เองกับมือ
ถึงจะไม่ได้ไปร่ำเรียนกับครูเพชฌฆาตโดยตรงแบบพี่ชาย
แต่การได้รับการอบรมสั่งสอนจากเพชฌฆาตมือฉมังอย่างผู้เป็นพ่อนั้นก็นับว่ามิได้น้อยหน้ากันดอก
ถ้าเจ้าแก้วมันจะตั้งใจฝึกฝนสักนิดละก็นะ...
แม่กิ่งได้แต่มองร่างเล็กวิ่งปุเลงปุเลงอยู่กลางทุ่งอย่างละเหี่ยใจ...
ฟึ่บ
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ บุ๋ม~
ก้อนหินไถลกับผิวน้ำห่างออกไปหลายวาก่อนจะจมหายลงใต้ธารา
เด็กน้อยที่เพิ่งจะวิ่งหนีแม่มานั่งชันขาอยู่ริมคลอง ใบหน้ากลมจิ้มลิ้มที่อยู่ภายใต้กรอบผมยาวมัดเป็นจุกเอาไว้เหนือหัวนั้นกำลังบุ้ยใบ้บ่นงึมๆงำๆอยู่คนเดียว
“แม่นะแม่
ฮึ่ม!”
มือเล็กหยิบก้อนดินแถวนั้นปาออกไปอีกคราอย่างไม่สบอารมณ์ระคนเบื่อหน่าย
จะไปวัดหลวงตาก็ให้คัดแต่
ก.ไก่ ข.ไข่ อยู่นั่นเอง เขาละไม่เข้าใจเลยว่ามันยากตรงไหนเจ้าเด็กที่เรียนด้วยกันพวกนั้นถึงยังเขียนไม่ได้สักที
เขาจำได้ไปจนถึง ฮ.นกฮูก สระอิ สระอี อะไรหมดแล้ว
ต๋อม~
ก้อนดินยังคงถูกโยนลงน้ำอย่างต่อเนื่อง
เมื่อก่อนเขาก็ไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่คนเดียวแบบนี้หรอก เพราะเขามีพี่ชาย!
พี่ชายเขาชื่อพี่บัว
พี่บัวถูกวางตัวไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเพชฌฆาตคนต่อไปของตระกูลเรา
พี่บัวทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ทั้งใจดี พี่บัวจึงเป็นพี่ชายที่เขารักมาก
แต่หลังๆมานี้พี่บัวไม่ค่อยยอมมาเล่นกับเขาเลย
พอเข้าไปกวนก็จะโดนไล่ออกมา ไม่รู้เคร่งเครียดอะไรหนักหนา?
ใบหน้าเล็กเบะปาก...ใช่แล้ว...ตั้งแต่มีเจ้าลูกโหรอะไรนั่นเข้ามาในสำนักพระอาจารย์ที่พี่บัวร่ำเรียนอยู่นี่แหละที่ทำให้พี่ชายของเขาเปลี่ยนไป
เมื่อก่อนออกจะยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วก็ชอบเล่นกับเขา แต่พอมีเจ้าหมอนั่นเข้ามาพี่บัวก็ดูจะหมกมุ่นกับการเรียนมากจนบางทีก็เอาแต่ฝึกฝนวิชาอาคมจนไม่ยอมหลับยอมนอน
“พี่บัวนะพี่บัว
สนใจคนอื่นมากกว่าข้า เกลียดขี้หน้าเจ้าหมอนั่นนักเชียว!”
จ๋อมๆๆ!
ก้อนดินถูกโยนลงน้ำรัวๆราวกับมีหน้าคนที่นึกชังลอยอยู่ในนั้น
ไม่สิ
เขาไม่เคยเห็นหน้าเจ้าหมอนั่นนี่นา~
คนเราก็ไม่ชอบขี้หน้าทั้งที่ไม่เคยพบเจอได้ด้วยเหรอเนี่ย?
วันเวลายังคงผันผ่านไปอย่างไม่คอยท่า
จนเหล่าเด็กชายอายุย่างกรายเข้าสิบสอง
จากแขนขาสั้นป้อมค่อยๆยืดยาวโยงเยง
แต่บุตรชายของท่านโหรหลวงก็มิได้เก้งก้างผอมบาง
ร่างกายทุกส่วนมีเนื้อมีหนังที่กำลังบ่มเพาะเป็นกล้ามตามวัย ผลจากการฝึกฝนเพลงหมัดมวยไทยและวิชาดาบไม่ได้ขาดตั้งแต่ฝ่าเท้าเท่าฝาหอยกำลังค่อยๆปรากฎให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เพราะมีกำลังทรัพย์และการสนับสนุนจากบิดาบุญธรรมจึงทำให้เด็กชายพัฒนาไปไวกว่าใครๆ
ทั้งอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์และครูบาอาจารย์ที่ผู้เป็นพ่อจัดหามาให้
อีกปัจจัยก็คงต้องยกความดีให้โครงร่างที่สูงใหญ่ของบิดาแท้ๆซึ่งเด็กชายได้รับมาเต็มๆ
ฉะนั้นตอนนี้...เจ้าใหญ่ที่อายุแค่สิบสองปีจึงสูงทันเจ้าบัวที่อายุสิบแปดปีแล้ว...
เคร้ง!
“อึ่ก!”
เพราะความหนักหน่วงของแรงดาบที่ฟาดฟันลงมาทำให้คนที่อายุมากกว่าถึงกับล้มหงายหลังลงไปนั่งกับพื้นก่อนจะหอบจนตัวโยน
ทั้งที่คนลงดาบยังยืนหยัดอย่างมั่นคงไม่มีแม้แต่อาการหอบสักเล็กน้อย
“ดี!
ดีมาก! เพลงดาบของเจ้าใหญ่นับวันยิ่งไม่มีที่ติ ทั้งแข็งแรง
รวดเร็ว มั่นคง”
พระอาจารย์ที่ยืนดูตั้งแต่ต้นจนจบกล่าวชมไม่ขาดปากและนั่นทำให้คนที่พ่ายแพ้ยิ่งกัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ
“วันนี้พอได้แล้ว”
พระอาจารย์พยักหน้าให้ศิษย์เอกทั้งคู่ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังเพื่อเดินไปดูหมู่อื่นๆ
เพราะที่สำนักแห่งนี้ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงผลิตเพชฌฆาต รับสั่งสอนวิชาเพชฌฆาตเท่านั้น
แต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงเด็กชายสองคน ยังมีเด็กคนอื่นๆที่เป็นดั่งตัวสำรองอยู่อีกนับสิบ
แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีดวงเพชฌฆาตจึงมิอาจขึ้นมาเทียบชั้นกับตัวจริงที่ถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักสองคนนี้ได้
“ข้าเคยนึกสงสัยมาตลอดว่าคนที่มีดวงมัจจุราชนั้นเป็นเช่นไร
ท่านโหรหลวงจะส่งสัตว์นรกแบบใดมาให้ข้า” พระอาจารย์เดินจากไปก็พูดเรื่อยเปื่อยไปด้วยแต่ศิษย์ทั้งสองที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นก็ยังได้ยินเต็มสองหู
“แท้จริงแล้วเหมือนกับข้าได้รับเพชรเม็ดงามมาเจียระไนก็ว่าได้
ไม่มีใครเหมาะจะเป็นเพชฌฆาตเช่นเจ้าอีกแล้วเจ้าใหญ่
เจ้าบัวก็อย่าเพิ่งน้อยเนื้อต่ำใจไป เจ้านับเป็นศิษย์ผู้เก่งกาจอันหาได้ยาก
เพียงแค่เจ้าดันเกิดมาในยุคของมหาเพชฌฆาตเท่านั้นเองที่ทำให้เจ้าสู้เขาไม่ได้”
แผ่นหลังกว้างใหญ่เดินหายไปแล้วแต่คำพูดที่ทิ้งไว้ทำให้ใบหน้าหนึ่งนิ่งสงบรับฟัง
ส่วนอีกใบหน้ามีแต่ความคับแค้นกดดัน เพราะนั่น...คือคำพูดที่บ่งบอกว่าเจ้าเด็กนี่ได้ชนะและก้าวนำเขาไปแล้ว...
“......”
ร่างที่ดูหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเจ้าใหญ่ยืนขึ้นก่อนจะเก็บดาบเพชฌฆาตจำลองเข้าฝัก
เด็กชายหันไปมองศิษย์รุ่นพี่ที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม
ไม่เคยมีคำพูดระหว่างพวกเรามานานแล้ว...
เด็กชายรู้ตัวดีว่าคนเป็นพี่นั้นมิได้อยากเสวนากับเขา
เขาจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบและไม่เข้าไปวุ่นวายกับอีกฝ่าย
มิใช่แค่พี่บัวหรอกที่เป็นแบบนี้กับเขา...เด็กคนอื่นๆในสำนักก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขา
หลีกหนีเขา ไม่มีใครเข้ามาพูดคุยหรือทักทายเขา
แค่เห็นเขาอยู่ในสายตาทุกคนก็จะชะงักค้างจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ไปเสียหมด
ทุกคนกลัวเขา
กลัว...ดวงเพชฌฆาตที่แข็งแกร่งของเขา...
เขาจึงไม่เคยมีเพื่อนที่รุ่นราวคราวเดียวกันสักคน
ไม่สิ ไม่ว่าจะรุ่นไหนเขาก็ไม่มี
เขาอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดและก็ไม่ได้คิดว่ามันเลวร้ายอะไร
เขาก็แค่ทำหน้าที่ของเขาไป
ไม่จำเป็นต้องไปสุงสิงกับใครให้มากความ...
แต่บางครั้ง...โลกที่มีแค่สีขาวกับดำนี้
ก็ทำให้เขาแยกไม่ออกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ หรือกลายเป็นมัจจุราชที่ต้องเอาชีวิตผู้อื่นไปแล้ว?
ในขณะเดียวกัน....ณ.บ้านของเพชฌฆาตดาบที่หนึ่งแห่งยุคสมัย
“สีเส
ปะติฏฐิโต มัยหัง พุธโธ ธัมโม ทะวิโลจะโน~”
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย?!
ตีข้าทำไมเล่า?” ร่างเล็กบางที่กำลังนั่งคุกเข่าในท่าเทพพนมและคาบดาบเพชฌฆาตจำลองไว้ในมือแอ่นตัวหนีเมื่อถูกไม้เรียวในมือผู้เป็นพ่อหวดลงมาที่ก้น
“วิโลจะโน
อันใดกัน? ท่องให้มันถูกเจ้าลูกคนนี้!” หวายในมือเคาะหัวไปอีกคราเพราะพ่อมิ่งรู้ว่าเจ้าแก้วจงใจจะก่อกวนมากกว่าท่องไม่ได้
“ฮึ่ย
ในเมื่อท่านก็รู้ว่ามันท่องอย่างไร เหตุใดต้องให้ข้ามาท่องให้ฟังปาวๆเช่นนี้ด้วย?
โอ๊ย! พ่อ!”
ไม้เรียวหวดก้นไปอีกทีจนเจ้าตัวดีกระโดดเหยง
“ท่อง!”
“สีเส
ปะติฏฐิโต มัยหัง พุธโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน!”
“ก็แค่นั้น”
ผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา
ต้องโทษแม่กิ่งที่ตามใจจนเสียคนเช่นนี้
“นี่เพิ่งบทที่สามเองนะ
เจ้าไม่อยากวางดาบลงแล้วไปกินข้าวหรืออย่างไร? ตั้งใจท่องดีๆให้จบไม่ดีกว่ารึ?”
“วันนี้แม่เจ้าทำอะไรนะ?
ห่อหมกปลาช่อนที่เจ้าชอบมิใช่รึ? หากยังมัวทำเป็นเล่นเช่นนี้ เห็นทีนังลำดวนคงกินหมดก่อน?” ลำดวนคือลูกสาวคนเล็กของเขาและน้องสาวที่อายุห่างจากเจ้าแก้วสามปี
“ทะ
ท่านมิต้องเอาของกินมาล่อลวงข้า หากข้าเอาจริง
คาถาชินบัญชรแค่นี้จะท่องให้จบเมื่อใดก็ย่อมได้”
“เช่นนั้นก็ท่องให้จบดีๆสักทีเถอะลูกพ่อ
เอ็งคิดว่าพ่อคนนี้มีเวลาอยู่เล่นกับเอ็งมากนักรึ?” มือใหญ่บีบลงไปบนหัวที่กำลังทำหน้าหงิกหน้างอนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดู
ถึงจะดื้อดึงและชอบทำเป็นเล่นไปเสียหมดแต่เจ้าแก้วเป็นเด็กหน้าตาดี
ฉลาดเฉลียวและปราดเปรียวดั่งแมว ต่อให้แสบสันเช่นใดก็โกรธเกลียดไม่ลง
ใบหน้าที่เริ่มจะยาวเป็นรูปไข่ยู่เข้าหากันก่อนจะท่องต่อ นัยน์ตาสุขุมนุ่มลึกจึงมองแขนเล็กที่สั่นระริกของลูกชายอย่างละเหี่ยใจ
ดูท่าดาบเล่มนี้คงจะหนักเกินไป
แค่ให้นั่งคุกเข่าท่าเทพพนมและคาบดาบไว้ในมือแค่นี้ยังทนไม่ได้ ที่ให้ท่องชินบัญชรไปด้วยเพราะเป็นคาถาที่ยาวพอจะฝึกความอดทน
แต่ดูท่าแค่จบเดียวจะรอดหรือไม่สวรรค์ยังตอบมิได้เลย
“เฮ้อ...ข้าไปหาน้ำกินสักเดี๋ยว
เจ้าอย่าได้ลดเสียงลงล่ะเพราะข้าฟังอยู่”
แล้วแค่เขาคล้อยหลังเท่านั้น เจ้าตัวดีก็ไม่ทิ้งลายแสบสัน
เจ้าแก้ววางดาบไว้ให้ดูต่างหน้า
ถึงปากจะยังท่องคาถาชินบัญชรให้ได้ยินแต่ตัวนั้นหนีหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว...
“เจ้าแก้ว!” ผู้เป็นพ่อได้แต่กุมขมับเมื่อกลับมาอีกที
คลาดสายตาเป็นไม่ได้เลยเจ้าลูกคนนี้!
คงไม่แคล้วหนีไปเล่นกับเพื่อนในกลุ่ม...
ไม่สิ...
ต้องบอกว่าเป็นพวกลูกสมุนของเจ้าแก้วมันมากกว่า? ก็มีไอ้จุกเด็กวัด
ไอ้เผือกหลานตาผวน แล้วก็ไอ้แม้นหลานยายปริกแม่ค้าในตลาด
“เฮ้อ...”
แล้วก็เป็นอีกวันที่พ่อมิ่งต้องอยู่กับเสียงถอนหายใจไปจนพลบค่ำ
ดีจริงๆที่อย่างน้อยลูกชายคนโตอย่างเจ้าบัวก็พอจะพึ่งพาอาศัยเป็นหน้าเป็นตาได้ หากมีเจ้าแก้วคนเดียวเขาจะทำเช่นไรหนอ...
จวนของข้าหลวงชั้นพระยานั้นย่อมต้องไม่น้อยหน้าใครอยู่แล้ว
บ้านที่เจ้าใหญ่อาศัยมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจึงประกอบไปด้วยเรือนทรงไทยหลายหลังตั้งรอบชานไม้ขนาดใหญ่
ห้องหับมากมายมีให้ใช้ไม่หวัดไหว หอนั่งกลางบ้านที่ใช้ทั้งรับแขกและนั่งเล่นก็กว้างขวางกว่าหอนั่งทั่วไป
และในขณะนี้สองพ่อลูกก็กำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น
“พระอาจารย์ฝากเรื่องมาถึงข้า ท่านชื่นชมเจ้าเป็นหนักหนา
ข้าในฐานะบิดาแล้วก็อดตัวลอยมิได้”
ชายสูงวัยในชุดที่เพิ่งใส่เข้าวังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ย
บรรยากาศที่ดูมีพิธีการนั้นกลายเป็นข้อปฏิบัติระหว่างเขากับลูกชายมาแต่ไหนแต่ไรจนมันกลายเป็นความเคยชิน
ท่านโหรหลวงแห่งราชสำนักไล่มองเด็กชายที่นั่งทับส้นอย่างสำรวมอยู่ตรงหน้า
เดิมทีแล้วก็มีเพียงความเมตตาอยากช่วยเหลือเด็กที่มีดวงร้ายคนหนึ่ง
แต่ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งผูกพันกับเจ้าใหญ่มากขึ้นจนกล้าเรียกได้เต็มปากว่านี่คือลูกชายของเขา
เพราะเด็กคนนี้กลายเป็นความภาคภูมิใจและไม่เคยทำอะไรผิดพลาดให้กล่าวโทษได้เลยสักอย่าง
กลายเป็นอภิชาติบุตรที่มีแต่คนอิจฉาริษยาคนเป็นพ่ออย่างเขา
“...หาไม่ขอรับ…ข้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก…” เด็กชายค่อมหัวฝ่ามือจรดพื้นอย่างถ่อมตัว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีรอยแดงบนแก้มเมื่อได้รับคำชมทำให้คนเป็นผู้ใหญ่อมยิ้มบางๆ
“การไม่หลงระเริงและถ่อมตนเช่นนั้นเป็นเรื่องดี
แต่เรื่องที่เจ้าทำดีก็เป็นสิ่งที่ข้าควรชม เจ้ามีอะไรที่อยากได้ไหมล่ะ
ข้าจะให้เป็นรางวัล” ใบหน้าได้รูปของเจ้าใหญ่เงยมองเขา วูบหนึ่งมันเปล่งประกายราวกับกำลังดีใจ
แต่แล้วมันก็กลับไปสงบนิ่งเฉยชาดังเดิม
“.......ไม่มีหรอกขอรับ ท่านพ่อ”
ถึงเด็กชายจะปฏิเสธแต่สายตาที่เฉียบแหลมของคนมากประสบการณ์ก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าใหญ่คงมีสิ่งที่ปรารถนา
ทว่า เลือกที่จะไม่เอ่ยมันออกมา
“อื๊อ~ มันจะไม่มีได้อย่างไร
ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ให้เจ้าได้ทั้งนั้น ลองบอกมาสิ แก้วแหวนเงินทอง? เสื้อผ้า? ม้า? หรือข้ายกทาสให้ไว้คอยติดตามเจ้าสักคนดีหรือไม่?” ผู้เป็นพ่อลองเสนอแต่เด็กชายก็ยังเอาแต่ปฏิเสธ
“ข้า…ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการจริงๆขอรับ
ทุกสิ่งที่ท่านให้มาจนถึงตอนนี้ก็ดีมากแล้วขอรับ” พระยาโหราธิบดีนิ่งมองลูกชายอย่างเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่
ความหนักแน่นของเจ้าใหญ่นั้นก็เป็นสิ่งที่แม้แต่พ่ออย่างเขายังรับมือได้ยาก
หากเด็กคนนี้พูดคำไหนก็คือคำนั้นยากที่จะง้างปากได้
“ก็ได้ ถือเสียว่าข้าติดหนี้เจ้าสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน
หากวันหน้าเจ้าต้องประสงค์สิ่งใด ก็ให้มาบอกข้า ข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าขอไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างยอมแพ้
“ขอบคุณขอรับ ท่านพ่อ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เด็กชายก้มหัวลาก่อนจะถอยออกไป
ดวงตาใต้คิ้วดกหนามองตามลูกชายที่เดินอย่างสง่าผ่าเผยจนดูไม่ออกเลยว่ามีชาติกำเนิดแค่ลูกชาวสวนเท่านั้น
บอกว่าเกิดมาจากผู้รากมากดีมีบรรดาศักดิ์ก็คงจะปักใจเชื่อมิยาก
เสียก็แต่เด็กคนนั้นติดจะเยือกเย็นเกินเด็กไปสักหน่อย
ดูสิ เจ้าใหญ่ไม่ได้มีทีท่าสนใจพวกทาสเด็กๆที่นั่งเล่นกันอยู่ที่ระเบียงเลยสักนิด
ทั้งๆที่ปกติแล้วเด็กอายุแค่นี้ต้องอยากวิ่งเล่นกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันบ้างอยู่แล้ว
ตัวเองเป็นถึงลูกเจ้านาย
หากเป็นบ้านอื่นคงตั้งตนเป็นใหญ่แล้วให้ทาสเด็กๆพวกนั้นติดสอยห้อยตามเป็นขบวน แต่นี่เจ้าใหญ่กลับไม่สุงสิงกับทาสพวกนั้น
เขาไม่เคยเห็นเจ้าใหญ่วิ่งเล่นหรือหัวเราะชอบใจแบบเด็กทั่วไปเลยสักครั้ง...
ในเวลาเดียวกันนั้น...ถ้าอยากหาเด็กที่วิ่งเล่นเกินเด็กคงไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล
มาที่บ้านเพชฌฆาตประจำราชสำนักในเพลานี้ก็จะเจออยู่หนึ่งคน
“อาบน้ำแล้วทำไมไม่ยอมเช็ดหัวเช็ดหูให้ดีๆ
มัวแต่ห่วงเล่นจนเส้นผมเป็นสังกะตังหมดเจ้าลูกคนนี้” แม่กิ่งกำลังจับลูกชายตัวดีมานั่งสางผมให้...ลืมบอกไปว่าผู้ชายบ้านนี้ไว้ผมยาวกันทุกคน
“ทั้งๆที่มีผมเส้นเล็กหนานุ่มแบบนี้แท้ๆ~” มือบางจับหวีไม้หวีลงไปบนเส้นผมที่นุ่มลื่นตรงยาวราวกับเส้นไหม
ผมของเจ้าแก้วพลิ้วไหวสลวยสวยจนดูแทบไม่ออกว่ามันไม่เคยได้รับการดูแล แต่กว่าจะสางให้หมดทั้งหัวได้
ศีรษะเล็กก็แทบจะหลุดติดมือผู้เป็นมารดาอยู่รอมร่อ
“อื้อ~
ท่านอย่าสางแรงนักสิ ข้าเจ็บ~” เด็กชายหลับตาข้างหนึ่งในขณะที่พยายามจะขืนคอเอาไว้
หนังหัวไม่หลุดไปกับหวีแล้วหรือนี่ ร่างเล็กได้แต่คิดในใจ
“หากเจ็บคราวหน้าก็ควรหวีเองให้ดีๆสิ” ผู้เป็นแม่ยังคงบ่นไปหวีผมให้ไป ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นพ่อก็เดินเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน
พ่อมิ่งนั่งลงที่ตั่งไม้ริมชานบ้านก่อนจะเริ่มลงมือเหลาไม้ไผ่พลางมองสองแม่ลูกไปด้วย
ภาพที่แม่กิ่งนั่งหวีผมให้เจ้าแก้วเป็นบรรยากาศที่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจดีชอบกล
ช่วงเวลานี้เจ้าตัวดีกำลังง่วงแสนง่วงและอยากจะเข้านอนเต็มที เพราะงั้นดวงตากลมใสที่จะปิดแหล่มิปิดแหล่แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ผู้เป็นแม่ง่ายๆนั้นจึงทั้งน่าเอ็นดูและน่าฟัดไปในคราเดียวกัน
หากนึกไม่ออกก็ให้นึกถึงแมวดื้อสักตัวก็คงไม่ต่างกัน
“เจ้าปล่อยผมได้แล้วหรือไม่?
จะมัดเป็นจุกเป็นมวยดูเป็นเด็กเล็กแบบนี้ถึงเมื่อใดกัน?”
แม่กิ่งชะโงกหน้ามาถามเด็กชายที่แทบจะไหลเข้าไปในอกแม่ด้วยความง่วง
“ถามพ่อท่านสิขอรับ~!” แต่เจ้าตัวดีก็ยังมิวายโยนคำถามอย่างประชดประชันมาที่เขา
เพราะเป็นเขาเองที่ให้เจ้าแก้วมัดผมเป็นมวยเอาไว้มิให้ปล่อยรุ่มร่าม
ก็ลูกคนนี้ซนยิ่งกว่าลิง จึงมีแค่เวลานอนเท่านั้นที่ปล่อยสยายออกมา
แต่ว่าบัดนี้ก็อาจจะถึงเพลาแล้วก็เป็นได้
ยังไงเสียเจ้าแก้วก็อายุสิบสองปีแล้วควรจะโตเป็นผู้ใหญ่สักที
“ถ้าเจ้าขยันถักเปียให้ลิงทโมนเช่นนั้นก็เอาสิ” พ่อมิ่งพูดทั้งรอยยิ้มและเจ้าตัวดีก็หันมาชักหน้าหงิกใส่ทันที
ผู้ชายในตระกูลเราไว้ผมยาวมาหลายชั่วอายุคน
คงตั้งใจจะใช้ลดความแข็งกร้าวและน่าหวาดหวั่นในสายตาผู้อื่นเพราะอย่างไรเสียบ้านเราก็เต็มไปด้วยเพชฌฆาต
บางรุ่นก็มีถึงสี่ห้าคน
จะปล่อยให้หน้าเหี้ยมตัวดำกำยำราวกับยักษ์มารแบบนั้นแล้วจะมีใครกล้ามาคบหา ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังต้องซื้อข้าวซื้อปลายังต้องสมาคมกับผู้อื่นอยู่
เพราะฉะนั้นนอกจากไว้ผมยาวแล้วยังถักเป็นเปียติดหัวเพื่อมิให้เกะกะและยังดูทรงภูมิทรงคาถาเป็นชายชาตรีอยู่
พ่อมิ่งก้มมองเงาของตัวเองในอ่างบัวที่อยู่ใกล้ๆ
เขาเองก็ถักเปียด้านบนแล้วมัดครึ่งหัวไว้เช่นกัน
“ว่าแต่เจ้าบัวเข้าห้องไปแล้วรึ?” เขาเปลี่ยนเรื่องเมื่อไม่เห็นลูกชายคนโตนั่งอยู่ที่ชานเรือนด้วยกัน
“ใช่จ้ะ
คงนั่งอ่านตำราทั้งคืนอีกแล้ว ลูกดูน่าเป็นห่วงนะพี่ ช่วยเตือนให้เพลาๆทีเถอะ
ตั้งใจอ่านตำราฝึกคาถามันก็ดี
แต่เอาแต่หมกมุ่นอยู่แบบนี้น่าจะเกิดผลเสียมากกว่าหรือไม่?” อันที่จริงเขาก็พอจะรู้สาเหตุที่ทำให้เจ้าบัวเปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน...เพราะเด็กชายที่เกิดพร้อมกับดวงมัจจุราชคนนั้น...ต่อให้เป็นเจ้าบัวที่ดวงแข็งยิ่งกว่าเขาก็คงจะรับมือไม่ไหว
เรื่องโชคชะตาเป็นสิ่งที่น่าประหลาด
เรามิอาจควบคุมหรือผลักไสมันได้เลย
“...แล้วข้าจะเตือนให้ก็แล้วกัน” เขารับปากผู้เป็นภรรยาและคงต้องหาทางเตือนสติลูกชายอย่างจริงจัง
เพราะหากยังเป็นอยู่เช่นนี้คนที่จะแพ้ภัยก็คือตัวเจ้าบัวเอง
รุ่งขึ้นแม่กิ่งจึงถักเปียให้ลูกชายคนรองด้วยความนุ่มนวล
แต่เพราะเจ้าตัวดีอยู่ไม่ค่อยสุขเธอจึงตัดสินใจถักเปียด้านข้างแค่สองเส้นก่อนจะมัดครึ่งหัวให้
แบบนี้แหละจะได้มิต้องเสียเวลาถักเสียเวลาแกะ
เพราะเจ้าลูกลิงนี่มักจะเล่นซนจนหัวเปียกหัวแฉะต้องสระผมกันเกือบทุกวัน
แม่กิ่งแอบเหน็บดอกแก้วไว้ที่รอยมัดด้านหลังโดยมิให้ลูกชายรู้ตัว
อย่างน้อยกลิ่นแก้วก็คงกลบกลิ่นดินกลิ่นโคลนจากการไปเล่นซนของเจ้าตัวดีไปได้บ้าง
“พอปล่อยผมแบบนี้แล้วข้าก็หล่อเหลาเหมือนพ่อเลยใช่หรือไม่! ฮึๆๆ!”
“.....อ่า…จ้ะ…” แม่กิ่งยิ้มแห้งให้กับลูกชายที่ดูมั่นอกมั่นใจ
ดวงตาของหญิงสาวเหลือบมองภาพสะท้อนในกระจกอีกครั้ง…นี่มันไม่เหมือนเด็กผู้หญิงเกินไปหน่อยรึ?
ก่อนอื่น…เจ้าแก้วน่ารักกว่านังลำดวนน้องสาวไปได้อย่างไร?
???
“ดีไม่ดีข้าอาจจะคมเข้มที่สุดในบ้านเลยก็ได้ หรือข้าจะหล่อกว่าพี่บัวไปแล้ว?
เฮ้อ~ ลำบากใจเสียจริง~” เจ้าแก้วยังพลิกหน้าไปมาชื่นชมตัวเองอยู่ในกระจก
“ฮะ ฮะ ฮะ…” ผู้เป็นแม่หัวเราะได้มิเต็มเสียง…ในฐานะคนเป็นแม่แล้วก็มิได้อยากทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ
แต่เจ้านั้นมิได้ใกล้เคียงคำว่าหล่อเหลาคมคายแบบพ่อหรือพี่ของเจ้าเลยสักนิด…
ก็ในขณะที่พี่มิ่งผิวสีแทนคมเข้ม
แต่เจ้าแก้วผิวขาวราวกับดอกจำปี
พี่มิ่งโครงหน้าชัดจมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากบางเป็นหยัก
แต่เจ้าแก้วกลับมีหน้ารูปไข่ละมุนละไมจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากรูปกระจับอวบอิ่ม
หากให้เทียบยังดูคล้ายผู้เป็นแม่อย่างเธอเสียมากกว่า…
“ไม่ได้การละ
ข้าต้องไปให้เจ้าพวกที่วัดเห็นเสียหน่อย ขนาดเมื่อก่อนยังไม่มีใครกล้าหื๋อกับข้า
บัดนี้คงยิ่งกลัวจนหัวหดเป็นแน่ ฮ่าๆๆ”
เจ้าแก้วลุกพรวดเตรียมไปวัดที่ร่ำเรียนกับหลวงตาซึ่งเธอได้ข่าวมาว่าเจ้าตัวดีนี่เป็นหัวโจกอยู่
“อะ
อื้ม...”
ระวังโดนจีบด้วยล่ะลูกแม่...แม่กิ่งได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กไปด้วยสีหน้าแห้งผาก
ห่างจากนั้นไม่ถึงหนึ่งปี
ตอนที่เด็กชายมีอายุย่างสิบสาม
มวลมหาเมฆาลอยวนเหมือนคนบ้าอยู่เหนือสำนักครูเพชฌฆาต
แต่นั่นก็มิใช่สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านในละแวกประหลาดใจเพราะที่แห่งนี้มักจะมีการฝึกฝนคาถาอาคมที่คนทั่วๆไปมิได้ใช้กันอยู่แล้ว...เช่นวันนี้...ที่มีการฝึกคาถาสะกดวิญญาณ
มันเป็นคาถาที่มีไว้สะกดวิญญาณคนตายที่กลายเป็นผีตายโหงหลังจากที่ถูกบั่นคอไป
จึงเป็นคาถาที่รวมไว้ซึ่งพระเดชพระคุณและมหาอำนาจข่มขวัญ
ณ.ลานกว้างกลางสำนักเต็มไปด้วยฝุ่นผงจนมองแทบมิเห็นอันใด
ใบไม้แห้งพัดปลิวว่อนราวกับนี่มิใช่โลกของคนปกติ
เสียงร่ายคาถาอื้ออึงอบอวลสวนกับเสียงลมที่พัดวนอยู่รอบคนสองคนอย่างบ้าคลั่ง
นั่นคือสองศิษย์เอกที่ถูกตราตั้งจากทางการกำหนดไว้เมื่อปีกลายว่าจะได้เป็นเพชฌฆาตคู่ต่อไปหากเพชฌฆาตคนปัจจุบันทำหน้าที่ไม่ไหว
ฉะนั้นการฝึกฝนจึงเข้มข้นขึ้นเป็นเท่าทวีคูณเพื่อเตรียมเพชฌฆาตหนุ่มรุ่นต่อไปให้พร้อมทำหน้าที่แทนได้ทุกเมื่อ
พระอาจารย์ยืนมองสภาพโดยรอบที่วิปริตแปรปรวนและเครียดขมึงนั่นพลางคิ้วขมวด
สอนมาตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอกก็มิเคยเกิดเหตุราวกับโลกจะวิปลาสเช่นนี้มาก่อน
ชายเสื้อคลุมถึงกับปลิวไสวจนจับไว้แทบไม่ทัน
ศิษยานุศิษย์ต่างหาที่หลบกันให้จ้าละหวั่น บ้างกอดเสา บ้างใช้ผนังเป็นที่กำบัง
แล้วดูเหมือนเจ้าคนที่ทำให้เกิดเหตุจะยังไม่รู้ตัว ทั้งเจ้าบัวและเจ้าใหญ่ยังมิมีใครยอมใคร
ต่างก็ร่ายคาถาใส่กันอย่างสุดกำลัง
ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรที่จะต้องเอาจริงเอาจังในการฝึกซ้อม
แต่ดูท่ามันจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้...สถานการณ์ที่มีหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เกิดมาพร้อมดาวมัจจุราช!
“อึ่ก!
อั่ก!!”
เจ้าบัวกระอักเลือดก่อนจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงดังตึ้ง
พระอาจารย์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบร่ายคาถาเข้าสะกัดและนั่นก็ทำให้ปัดแรงกระแทกที่ส่งมาจากด้านข้างได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
มิเช่นนั้นเจ้าบัวคงโดนแรงปะทะผลักไปชนเสาเป็นแน่
ทุกอย่างเงียบลงในชั่วพริบตาเมื่อคนใช้คาถาอย่างเจ้าใหญ่เริ่มรู้ตัว
เด็กชายที่เริ่มจะกลายเป็นเด็กหนุ่มหันมองรุ่นพี่ร่วมสำนักที่ทรุดอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าตกตะลึง
เจ้าบัวยังไอออกมาเป็นเลือดไม่หยุดจนมันสาดลงพื้นน่าสยดสยอง
“เข้าไปดูซิ!”
ชายชราสั่งลูกศิษย์ชายฉกรรจ์ให้กรูกันเข้าไปดูเจ้าบัวที่นั่งหอบเหงื่อเกาะพราวอยู่ที่พื้น
เลือดยังไหลลงมาจากมุมปากเกิดเป็นภาพที่ทำเอาหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลัง
ก็ถึงจะฝึกเพชฌฆาตมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นยังมิเคยมีใครทำให้ใครบาดเจ็บได้เยี่ยงนี้มาก่อน
เจ้าใหญ่รีบคุกเข่าลงอย่างลนลาน
สีหน้าตื่นตะลึงนั่นราวกับกำลังจะสำนึกผิดทั้งที่ตัวเองยังมึนงงอยู่
“ข้า....” ใบหน้าที่เริ่มคมคายใต้กรอบผมดำสนิทก้มมองสองมือของตัวเองอย่างไม่รู้จริงๆว่าไปทำให้เจ้าบัวบาดเจ็บหนักขนาดนั้นได้อย่างไร
“.......”
พระอาจารย์ยืนมองสถานการณ์วุ่นวายนั้นพลางครุ่นคิด จริงอยู่ตอนเริ่มฝึกคาถาสะกดวิญญาณนั้นจะเหมือนอัญเชิญปรโลกเปิดประตูนรกก็มิปาน
หากใช้คาถาได้จนชำนาญเมื่อไหร่รอบกายจึงจะสงบราวมิมีสิ่งใดเกินขึ้น
ถึงกระนั้นนี่ก็น่าจะเป็นประตูนรกที่ใหญ่และน่าสะพรึงกลัวที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดที่เขาเคยสั่งสอนมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าร่ายคาถาสะกดวิญญาณตามปกติและมิได้ทำสิ่งใดแอบแฝง” เพราะพระอาจารย์อยู่ที่นี่ด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ
ได้ฟังคาถาที่ทั้งสองคนร่ายออกมาและมันก็ปกติดีทุกอย่าง ฉะนั้นจึงตัดสินและพูดออกไปตามสิ่งที่เห็น
แต่นั่นก็ทำให้คนที่ยังไอเป็นเลือดเหลือบมองตาแข็ง
“แต่ปัญหามันเป็นเพราะอาคมของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นมาก
มันแรงจนเจ้าบัวที่ฝึกคู่กันรับไม่ไหว เจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิด เจ้าบัว
เจ้าก็จงอย่าคิดแค้นน้อง”
พระอาจารย์พูดอย่างเป็นธรรมและมิได้เข้าข้างใคร
แต่กระนั้นก็ยังทำให้คนที่สู้มิได้ได้แต่เจ็บแค้นในใจ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากอย่างเจ็บใจ
เหตุใดจึ่งสู้มิได้สักทีทั้งๆที่เขาก็ตั้งใจฝึกฝนมาหนักขนาดนี้
เพราะดาวมัจจุราชเวรตะไลนั่นแท้ๆ
แต่นั่นยังมิใช่สิ่งที่ทำให้เจ้าบัวคับแค้นใจที่สุด
เพราะคำพูดประโยคถัดมาต่างหากที่ทำให้มือเรียวถึงกับกำหมัดแน่น
“จากนี้ไปข้าจะเป็นคู่ฝึกให้เจ้าเอง
เจ้าใหญ่ เพราะในสำนักแห่งนี้คงมิมีใครรับมืออาคมที่แก่กล้าเหนือมนุษย์มนาของเจ้าได้อีก” มิใช่เพียงเจ้าบัวที่ตกตะลึง
บรรดาลูกศิษย์ทุกคนในที่นั้นต่างก็พากันตาค้าง
นานแค่ไหนแล้วที่พระอาจารย์มิได้ลงมือฝึกฝนให้ใครด้วยตัวเองขนาดนี้
เหตุผลมันก็คล้ายๆกันกับของเจ้าใหญ่ เพราะพระอาจารย์มีอาคมมากเกินไป
การเป็นคู่ฝึกกับใครสักคนจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาคมทุกอย่างที่โจมตีใส่พระอาจารย์จะถูกตีกลับและไม่พ้นต้องบาดเจ็บสาหัส
สองมือเลอะไปด้วยเลือดกำแน่นสั่นระริกอยู่บนหน้าตัก
ยิ่งรู้ถึงความห่างชั้นของตัวเองกับเด็กนั่นก็ยิ่งมีแต่ความคับแค้น ขนาดจะเป็นคู่ฝึกให้ก็ยังทำมิได้
มึงมันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ไอ้บัว
เพราะมัวแต่ก้มหน้าเม้มปากไม่พูดไม่จา
เจ้าบัวจึงไม่เห็นเลยว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นมองมาด้วยสายตาห่วงใยเช่นไร
เจ้าใหญ่มิได้ดีใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้ขึ้นไปฝึกกับพระอาจารย์
มิได้ดีใจที่ได้ดีด้วยการเหยียบหลังผู้เป็นพี่และทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บแบบนี้ เขาควบคุมมันไม่ได้
ทั้งความแข็งกล้าของอาคมและดวงชะตาของตัวเอง
แต่หากเขายื่นมือออกไป
พี่บัวก็คงจะปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี...
เขารู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายชังเขาเข้าไส้ขนาดไหน
คำพูดที่อยากจะพูดออกไปจึงถูกกลืนหายลงคอ
เด็กชายหายไปเอาของบางอย่างจากที่บ้าน
กลับมาอีกทีทุกคนต่างก็แยกย้ายกระจายตัวไปหมด
ตามลานฝึกและศาลาเรียนไม่มีใครอยู่เลยสักคน เจ้าใหญ่จึงต้องเดินหาไปตามเรือนต่างๆ
เขาไปเจอกับพวกเด็กในสำนักคนอื่นๆที่รุ่นราวคราวเดียวกันกำลังจับกลุ่มอยู่ที่ข้างยุ้งฉาง
แน่นอนว่าแค่เห็นเขาเดินมาพวกนั้นต่างก็หน้าซีดเผือด
สายตาทุกคู่ดูหวาดกลัวเขาหนักกว่าเก่า
ไม่มีใครคิดจะทักทายหรือพูดคุยกับเขา ทุกคนต่างหลบตาราวกับกลัวว่าเขาจะเอ่ยเรียก ใบหน้าเฉยชาจึงทำได้แค่นิ่งไว้แล้วเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร
พวกนั้นคงไม่รู้ว่านอกจากพรสวรรค์ในด้านอื่นๆ
ดวงเพชฌฆาตยังประทานหูที่ดีอย่างกับหูหมามาให้เขาด้วย
เพราะงั้นไม่ว่าจะเดินห่างออกมาแค่ไหน
คำพูดซุบซิบนินทาพวกนั้นเขาก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ไม่คิดจะออมมือให้พี่บัวเลยหรืออย่างไร
ช่างใจหินใจยักษ์เย็นชานัก”
“คงกะเอาให้ตายเลยกระมัง
ดีแล้วละที่พวกเราไม่ได้ไปฝึกกับเจ้าดวงมัจจุราชนั่น”
เขายังคงฟังด้วยใบหน้านิ่ง
สองขาชะงักงันก่อนจะหันพรวดกลับไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“?!!” แล้วมันก็ทำให้พวกนั้นถึงกับสะดุ้งโหยง
ทุกคนรีบเดินหนีไปคนละทิศละทางอย่างกับผึ้งแตกรัง
“..........” เขาไม่ได้จะหันกลับไปหาเรื่องหรือว่ากล่าวสักหน่อย...เขาแค่จะถามว่าพี่บัวอยู่ที่ไหนก็เท่านั้นเอง...
ใบหน้าคมคายก้มมองห่อยาต้มที่ห้อยอยู่ในมือ...เขากลับบ้านไปเอาสมุนไพรอย่างดีพวกนี้มา
มันเป็นสมุนไพรที่รักษาอาการช้ำในซึ่งหมอหลวงใช้ในวังและข้าหลวงระดับพ่อเขาสามารถมีไว้ในครอบครองได้
ฉะนั้นมันย่อมต้องดีกว่าสมุนไพรพื้นบ้านทั่วไปแน่ๆ
เขาเดินหาไปทั่วแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ยังมีเพียงที่เดียวที่เขายังไม่ได้ไปหา...เรือนของพระอาจารย์
ฝ่าเท้าหยุดยืนนิ่งก่อนจะถึงที่หมายอีกไม่ไกล
เพราะได้ยินเสียงพี่บัวกำลังคุยกับพระอาจารย์ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เจ้าจะฝืนไปไย
มันดีต่อร่างกายของเจ้าเสียที่ไหน เจ้าควรทำสิ่งที่ทำได้ให้ดีก็พอแล้วพ่อบัว”
“แต่ว่าข้าทำได้จริงๆนะขอรับพระอาจารย์
ให้ข้าเป็นคู่ฝึกของเจ้าใหญ่ต่อไปเถิดนะขอรับ!”
“ไม่ได้
ข้าประเมินแล้ว อาคมของเจ้าใหญ่แก่กล้าเกินกว่าเจ้าจะรับมือไหวไปมากโขแล้ว
เจ้าฝืนต่อไปอาจถึงตายเลยก็ได้ กลับไปได้แล้ว!
ข้าไม่คุยเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว!”
“พระอาจารย์!”
ทั้งสองต่างขึ้นเสียงใส่กันจนดังลั่นมาถึงที่ที่เขายืนอยู่
ดวงตาคมกล้าทอดมองพื้นอย่างรู้สึกเต็มแน่นอยู่ในอก...ว่าเขามันเป็นตัวปัญหา
โครม!
พี่บัวปิดประตูโครมด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจตวัดเงยขึ้นมาเจอเขาที่ยืนอยู่พอดี
และมันก็บิดเบี้ยวราวกับเห็นผี พี่บัวกัดฟันแน่น ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด จนน้ำตาปริ่ม
“.......” เขาได้แต่ยืนนิ่งอย่างจนซึ่งคำพูด
ใช่ว่าจะมิอยากปลอบใจหรือขอโทษ แต่มันคงไม่มีอะไรดีสำหรับคนที่กำลังโกรธเคือง
“เจ้าจะมาเย้ยหยันข้ารึ?!
มีสิ่งใดทำไมไม่พูดออกมา!” พี่บัวตะคอกอย่างหัวเสียแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ที่ผ่านมาอีกฝ่ายเก็บอาการได้ดีมาตลอด...
“ข้า...นำยามาให้” เขายื่นห่อยาออกไปด้วยความหวังดีแต่อีกฝ่ายมองมันแล้วก็ยิ่งทำหน้าชิงชัง
“.....ขอบใจสำหรับยานี่ก็แล้วกัน
แต่คราวหลังไม่ต้อง ไม่ต้องมาตอกย้ำซ้ำเติมข้าด้วยการหายูกยามาให้เช่นนี้”
พี่บัวกัดฟันพูดจนจบแล้วก็สะบัดตัวเดินหนีไปทันที
เขาจึงทำได้แค่ยืนมองตามไป
และเสียงพูดพึมพำของเขาคงจะส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย
“ข้า...มิเคยคิดเช่นนั้น...”
ร่างผอมบางนอนพลิกไปพลิกมา
จะว่าคืนนี้ร้อนกว่าคืนก่อนๆหรืออย่างไรถึงได้ทำให้เขากระสับกระส่ายนอนหลับๆตื่นๆเช่นนี้?
“อ๊ากกกกก!!”
เจ้าแก้วลุกพรวดทันทีที่ได้ยินเสียงใครสักคนร้องขึ้นมากลางดึก...เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
นั่นมัน...เสียงพี่บัว?
“อึก
อื้อ! อั้ก! ปล่อยข้า! ปล่อย!!!”
ขาเล็กลุกออกจากเตียงไม้ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังห้องของพี่ชายที่ยังร้องไม่หยุด
เสียงนั้นฟังดูทรมานมากราวกับกำลังถูกใครทำร้ายอยู่
โครม!
“บัว!!”
เสียงโครมครามดังพร้อมกับเสียงตะโกนของผู้เป็นแม่ทำให้เด็กชายรีบเร่งฝีเท้า
ประตูห้องพี่บัวที่เปิดคาไว้มีไอคาถาพวยพุ่งออกมาจนเขาต้องยกแขนขึ้นมาบังหน้า
นี่มันคาถาอัปรีย์อันใด? ทำไมอานุภาพถึงได้รุนแรงนัก?
“แม่!”
เขาวิ่งพรวดพราดผ่านประตูเข้าไปก่อนจะได้เห็นภาพที่ทำให้ตกตะลึงจนตาค้าง
ร่างทั้งร่างถึงกับหยุดชะงักอยู่กับที่และแทบจะขยับตัวมิได้
พี่บัวนอนกระอักเลือดอยู่ในอ้อมแขนของแม่ที่พยายามฉุดรั้งไว้อย่างสุดกำลัง
ทั้งที่น้ำตาไหลรวมกับเลือดจนดูมิได้แต่พี่ชายกลับดูบ้าคลั่งจนแม้แต่แม่ยังจับแทบไม่อยู่
เหนือร่างทั้งคู่มีเงาสูงใหญ่ของผู้เป็นพ่อยืนค้ำหัว สองมือพนมไว้ที่หน้าอก
ริมฝีปากร่ายคาถาสะกดวิญญาณที่เขาเคยได้ยินมาผ่านๆแต่ก็พอจะจำบางท่อนบางตอนได้
“แม่!
เกิดอะไรขึ้น?”
ร่างเล็กรีบถลาไปหาแม่ที่กอดพี่ชายไปร้องไห้อย่างหวาดกลัวไป
“น่าจะโดนอาคมตีกลับ
ข้าก็ไม่รู้ เห็นอีกทีพี่เจ้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
เขามองพี่บัวที่ยังร้องอย่างเจ็บปวดแต่ก็พอจะทุเลาลงมาบ้างจากการร่ายคาถาของพ่อ
สองมือเล็กจึงพนมขึ้นกลางอกก่อนจะท่องคาถาชินบัญชรออกไป
เขาไม่รู้จักคาถาสะกดวิญญาณก็จริงแต่เขารู้จักคาถาคุ้มภัย15บทนี้เป็นอย่างดี
เสียงใสจึงท่องมันออกไปอย่างฉะฉานสอดประสานกับคาถาของผู้เป็นพ่อ
ไม่ทันจะครบหนึ่งจบดีอาการของพี่ชายก็สงบลงจนแทบจะเป็นปกติ
“ไม่ได้...ข้าจะหยุดแค่นี้ไม่ได้...”
แต่กระนั้นตลอดเวลาพี่ชายก็ยังเพ้อวาจานั้นออกมาจากปาก
“เฮ้อ...” พ่อถึงกับทรุดลงนั่งคุกเข่าถอนหายใจออกมา
ใบหน้าคมเข้มมองมาที่เขาพลางพยักเบาๆราวกับกำลังชมว่าเขาทำได้ดีแล้ว
พ่อหันไปมองพี่บัวก่อนที่มือใหญ่จะยกลูบลงไปบนหน้าผาก
“ปล่อยวางเสีย
หากยังไม่เพลาๆลงบ้างของจะย้อนเข้าตัวเอา
ที่เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะฝืนใช้คาถาสะกดวิญญาณใช่หรือไม่?
มันมิใช่คาถาดีที่จะใช้พร่ำเพื่อนะเจ้าบัว”
พ่อพยายามสั่งสอนอย่างใจเย็น
นอกจากเขาแล้วก็มิเคยเห็นพ่อดุด่าใครในบ้านอีก
“ข้าจะเพลาได้อย่างไร...อึก...เด็กนั่นเด็กกว่าข้าตั้งหลายปีแต่กลับมีอาคมแข็งแกร่งกว่าข้ามาก
หากไม่ตั้งใจแม้แต่ตำแหน่งดาบที่หนึ่งคงโดนเจ้าเด็กนั่นแย่งไป”
พี่บัวสะอึกสะอื้นอย่างไม่ยอมแพ้แม้ร่างกายจะเจ็บหนักปานนี้แล้ว
“เฮ้อ...” พ่อถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครา
“เจ้าเข้าใจหรือไม่
แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นเป็นไปไม่ได้
เด็กคนนั้นมิใช่คนที่เจ้าจะไปต่อกรด้วยได้”
พ่อพูดเหมือนรู้เรื่องของพี่บัวกับเด็กคนนั้นเป็นอย่างดี
“เช่นนั้นข้าจะฝึกให้หนักกว่านี้
ข้าไม่ยอมยกดาบที่หนึ่งให้หรอก มันต้องเป็นของข้า ดาบเล่มนั้นมันเป็นของข้า!” พี่บัวยังดื้อดึงและโกรธเกรี้ยวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชายต้องกดดันขนาดไหนจึงไม่คิดถึงตัวเองเช่นนี้
“......” พ่อมองพี่บัวก่อนจะนิ่งไป
สายตาของพ่อก็ดูเจ็บปวดมากเช่นกันที่ต้องตัดสินใจเช่นนี้
“เจ้าเลิกเป็นเพชฌฆาตเสีย”
แล้วคำพูดของพ่อก็สร้างความตกตะลึงไปทั้งบ้าน
“พรุ่งนี้ข้าจะไปกราบทูลเจ้ากรมราชทัณฑ์
หน้าที่นี้ข้าจะให้เจ้าแก้วทำแทน”
“พ่อ?”
พี่บัวรีบลุกขึ้นมาอย่างไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกาย
เป็นเขาเสียอีกที่เข้าใจได้กับการตัดสินใจของพ่อ เพราะหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป
พี่บัวอาจจะถึงตายก็ได้...
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?
จะให้ข้าเลิกเป็นเพชฌฆาต? แล้วจะให้ข้าปัดความรับผิดชอบให้น้องงั้นรึ?” พี่บัวคัดค้านทันที
“เพราะตอนนี้ข้ามิเห็นคุณสมบัติของเพชฌฆาตในตัวเจ้าเลย
เจ้าจะไปปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไรในเมื่อขนาดตัวเจ้าเองเจ้ายังรักษาไว้ไม่ได้
เจ้าสูญเสียจิตวิญญาณของเพชฌฆาตไปแล้วเจ้ารู้ตัวหรือไม่?” พ่อพูดกับพี่บัวด้วยเสียงทุ้มต่ำทรงพลัง
สองมือใหญ่บีบต้นแขนของพี่บัวไว้ให้เผชิญหน้ากัน
“พ่อ
ท่านคิดให้ดีก่อน ขนาดข้ายังไม่ไหว แล้วเจ้าแก้วจะไปรับมือกับเด็กนั่นได้ยังไง” พี่บัวพยายามอ้อนวอน
อย่างไรก็มิอาจตัดใจจากหน้าที่ที่ได้รับมาทั้งชีวิต มันกลายเป็นศักดิ์ศรีที่คอยค้ำคอพี่บัวไปเสียแล้ว
“ขนาดนี้เจ้าก็ยังคิดแต่จะเอาชนะเด็กคนนั้น”
“ข้าแค่เป็นห่วงน้อง!”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมัน! ข้าสอนเจ้าแก้วมากับมือทำไมข้าจะไม่รู้
น้องเจ้าฉลาดทันคนและเจ้าเล่ห์กว่าเจ้ามากนัก ข้าไม่ห่วงว่าเขาจะถูกเด็กนั่นกดหัวเอาหรอก” สองพ่อลูกโต้เถียงกันหนักหน่วง
มือใหญ่ของพ่อบีบต้นแขนพี่บัวจนขึ้นรอยแดง
“ไม่ได้...อึก...ท่านพ่อ...” คนที่เจ็บช้ำทั้งกายเจ็บช้ำทั้งใจร้องไห้อ้อนวอน
เขาไม่เคยเห็นพี่บัวที่น่าสงสารขนาดนี้มาก่อนจนพาลรู้สึกชิงชังไอ้คนที่ทำให้พี่เขาเป็นถึงขนาดนี้
“ก็ได้...ข้ายอมแล้ว
ข้าจะเลิกฝึกเลิกทำอะไรเกินตัว แต่อย่าให้ข้าเป็นพี่ชั่วๆที่ส่งน้องไปทรมานเลย
ข้ายังอยากทำหน้าที่นี้ต่อไป ต่อให้จะเป็นแค่ที่สองข้าก็จะยอมรับ” พี่บัวสะอึกสะอื้นปาดน้ำตา
“เจ้าคิดได้แน่รึ?” ดูเหมือนพ่อเองก็ยังให้โอกาส
“ขอรับ...ข้าจะ...ปล่อยมันไป...ข้าจะไม่หักโหมอีก...”
“เจ้าเป็นเพชฌฆาต
เจ้าต้องรักษาศีล เจ้าจะพูดปดมิได้นะ?”
“ฮึก...ขอรับ...ข้าจะ...ปล่อยวาง...อย่างที่ท่านบอก...”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี
อย่าให้ข้าเห็นเจ้าในสภาพเหมือนผีเช่นนี้อีก”
พ่อทอดสายตามองพี่บัวอย่างห่วงใย
เขาเองก็รู้สึกสงสารพี่ชายจับใจ พี่บัวดูทรมานมากๆ นี่ขนาดยังมิได้ตัดหัวใคร ยังไม่มีผีตายโหงตามติด
หน้าที่ของเพชฌฆาตยังบั่นทอนจิตใจของพี่เขาไปจนถึงขนาดนี้แล้ว
ทั้งๆที่คิดว่าเรื่องราวมันคงจะผ่านพ้นไปด้วยดี
ทว่า
ข่าวร้ายที่ไม่มีใครคาดคิดก็มาเยือนบ้านตระกูลเพชฌฆาตจนได้
พี่บัวจมน้ำตาย...
ร่างเล็กวิ่งหน้าตั้งมาจากวัดที่ไปร่ำเรียนกับหลวงตา
ทันทีที่เห็นศพซึ่งถูกงมขึ้นมาจากคลองท้ายสวนก็ถึงกับกลั้นทำนบน้ำตาไว้ไม่อยู่
เด็กชายปล่อยโฮวิ่งเข้าไปกอดศพพี่ชายอย่างไม่อายใคร
ไม่คิดเลยว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของพี่บัวอีกต่อไปแล้ว...
เมื่อคืน...เขายังยิ้มให้ข้า...ก่อนที่จะบอก
“ราตรีสวัสดิ์” อยู่เลย...
.
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
ช่วงทอล์คขออนุญาตยกไปรวมกับตอนที่สองนาคะ
จริงๆตั้งใจจะลงรวดเดียวแต่มันยาวเกินเลยขอตัดเป็นสองตอนค่ะ555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น