Tsurune. One-Shot.Fic [Shuu x Minato] หรือรักเรียกหา : 20 : END
: Tsurune ; kazemai koukou kyudou-bu Short Fanfiction
:
Fujiwara Shuu x Narumiya Minato
:
Warmhearted
:
NC-17
คำเตือน :
เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ครืด…
ประตูเลื่อนของชมรมยิงธนูคาเซไมเปิดออกก่อนที่ร่างโปร่งบางจะก้าวขาเข้าไป
วันนี้ทั้งโรงเรียนไม่มีนักเรียนคนอื่นอยู่เลยเพราะเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแต่พวกชมรมยิงธนูก็ยังนัดมาซ้อมกันอยู่
"อรุณสวัสดิ์ ขอโทษที่มาช้านะ" เสียงทักทายที่แสนจะธรรมดาของนารุมิยะ
มินาโตะกลับทำให้เพื่อนร่วมชมรมหันควับไปมองอย่างตกใจ
"มินาโตะ?!!" ทั้งสี่เสียงต่างตะโกนออกไปพร้อมกันจนเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง
มือบางรีบยกขึ้นมาเกาท้ายทอยก่อนจะรีบเอ่ยแก้ตัว
"ไข้ฉันลดลงแล้ว ไม่เป็นไรแล้วละ" ใบหน้ามนหัวเราะแหะแหะแต่ดวงตาภายใต้คอนแทคเลนส์กลับมองไปยังคนที่ไม่ควรจะมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยความอ่อนใจ
จะไม่เป็นไรได้ไงล่ะ
เมื่อเช้ายังวัดไข้ได้ 38.9
องศาอยู่เลยนะ ทาเคฮายะ
เซยะถึงกับถอนหายใจในความดื้อของอีกฝ่าย
มินาโตะนอนซมเพราะเป็นไข้มาสามวันแล้วและเมื่อเช้านี้อาการก็ดีขึ้นมาแค่นิดเดียว
เขาจึงบังคับให้เจ้าคนที่เตรียมตัวจะออกมาซ้อมยิงธนูนั่นให้กลับห้องแล้วไปนอนซะ
เมื่อเช้าก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังดีอยู่หรอก
แต่พอตกสายๆก็ตามเขาออกมาเฉยแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน
ถ้าไม่นั่งเฝ้าไว้คงไม่ได้จริงๆสินะมินาโตะเนี่ย
เห็นทีคงต้องใช้ไม้แข็งแล้วละแบบนี้
“ไคโตะ เรียวเฮย์ จับไว้” เสียงนิ่งของประธานชมรมเอ่ยสั่งอย่างไม่ต้องปรึกษาใคร
“โอ้ส!” สองคนที่ตัวโตและแข็งแรงที่สุดในชมรมก็รับคำสั่งและตรงเข้าล็อคตัวนารุมิยะ
มินาโตะในทันที
“เอาละมินาโตะ กลับไปนอนที่ฟูกกันเถอะนะ” นานาโอะเข้าไปยืนขวางข้างหน้าคนที่กำลังทำหน้าเหรอหราจากการถูกล็อคตัวไว้
“ฉันเพิ่งมาเองนะ ฉันไม่ได้ยิงธนูมาสามวันแล้วด้วย” มินาโตะมองกำแพงยักษ์ที่อยู่รอบกาย
จะหาว่าพวกเขาประคบประหงมมินาโตะราวกับไข่ในหินไม่ได้หรอก
ในเมื่อเจ้าตัวชอบดื้อ ชอบฝืนตัวเองเพราะอยากจะยิงธนูนี่แหละ
เขาปล่อยให้สามคนนั้นยืนเฝ้ามินาโตะไปก่อน
เพราะตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญต้องไปทำ
ประธานชมรมยิงธนูคาเซไมเดินกลับไปในห้องแต่งตัวก่อนจะเปิดล็อคเกอร์แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
ปลายนิ้วพิมพ์ข้อความขอกองหนุนแล้วกดส่งออกไป
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
แต่มันเคยเป็นมาตั้งแต่ตอนม.ต้นแล้ว
มินาโตะป่วยจะแย่แต่ก็ยังดื้อจะมาซ้อมยิงธนูให้ได้
ถ้าเป็นเรื่องธนูเนี่ยเขาห้ามยังไงก็ไม่เคยฟัง บังคับก็แล้ว ขอร้องดีๆก็แล้ว
นั่งเฝ้าไว้ก็ยังมี แต่มินาโตะก็มักจะแอบหนีไปที่โรงฝึกอยู่ตลอด
มินาโตะดื้อตาใสจนเขาไม่รู้จะทำยังไง
เลยจำต้องปล่อยให้จอมเผด็จการอย่างชูเป็นคนจัดการ
ดวงตาภายใต้คอนแทคเลนส์เหลือบมองเวลาที่ขึ้นอยู่ที่หน้าจอมือถือ…เขาเริ่มนับถอยหลังในใจก่อนจะก้าวขากลับไปยังห้องโถงของโรงฝึก
และพอนับถึงสิบ
เสียงก็ดังขึ้นอย่างที่คิดไม่มีผิด! เจ้าตัวชูนี่มันสิงอยู่ตรงไหนกัน?! มาไวเกินไปไหม?!!
ครืด!!!
ประตูโดโจเปิดออกด้วยความรุนแรงจนไม่คิดว่าคนที่เดินเข้ามาจะเป็นฟูจิวาระ
ชูที่ใจเย็นดุจน้ำแข็ง สมาชิกทั้งสามของชมรมต่างหันหน้าไปมองอย่างตกใจ
แต่เจ้าชายของคิริซากิก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของคนอื่น
ร่างสูงสง่ายังคงก้าวขาฉับๆไปหาคนที่ถูกล็อคตัวไว้ด้วยใบหน้านิ่ง
คงจะมีแค่มินาโตะนี่แหละที่ส่ายหน้ารัวๆอย่างรู้ตัวว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“ไม่นะชู” ดวงตากลมใสมีแววเว้าวอนแต่นายน้อยของตระกูลฟูจิวาระก็ไม่คิดจะรับฟัง
ท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวนารุมิยะ
มินาโตะขึ้นทันทีท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่ยืนอ้าปากค้างเพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ฝากด้วยนะชู” มีเพียงประธานชมรมที่ยืนพยักหน้าให้คนที่บุกมาลักพาตัวไข่ในหินของชมรมไป
“อื้ม” ใบหน้าหล่อเหลาเองก็หันมาพยักหน้านิ่งๆให้เช่นกัน
มีแค่เวลาแบบนี้เท่านั้นแหละที่อัศวินกับเจ้าชายจะยอมร่วมมือ
ร่างสูงใหญ่อุ้มร่างโปร่งบางออกไปหน้าตาเฉย
ขายาวก้าวไปยังรถยนต์ส่วนตัวที่จอดรออยู่ที่ประตูหลังของโรงเรียน
ปึ้ง!
แล้วรถคันนั้นก็แล่นออกไปทันทีโดยที่สมาชิกชมรมที่เหลือยังอ้าปากค้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ
รถสีดำไม่ได้แล่นกลับไปที่บ้านฟูจิวาระแต่มันไปจอดที่ยอดตึกแห่งหนึ่งในเมือง
“ไม่ไปไม่ได้เหรอชู…” ใบหน้ามนช้อนสายตามองอย่างขอร้อง
“ไม่ได้” แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เวลาที่มินาโตะดื้อขึ้นมาก็น่าจะมีแต่ฟูจิวาระ ชูนี่แหละที่เอาอยู่
ร่างสูงสง่าก้าวขาลงจากรถก่อนจะอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมปล่อยให้เดินเองเพราะรู้ฤทธิ์เดชของมินาโตะดี
เห็นนิ่งเงียบดูเหมือนจะเรียบร้อยแบบนี้แต่เวลาคิดจะหนีขึ้นมาก็เอาเรื่องอยู่นะ
สองขาเดินตรงดิ่งไปยังกลางลานดาดฟ้าที่มีตัว
H เขียนเอาไว้ บนตัวอักษรสีเขียวตัวใหญ่นั่นมีเฮลิคอปเตอร์ของตระกูลฟูจิวาระจอดอยู่
เขาส่งตัวคนในอ้อมแขนให้โทโจซังพ่อบ้านประจำตระกูลที่รออยู่ข้างบนให้ช่วยรับขึ้นไป
ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะก้าวขาตามไปนั่งประกบข้างๆ
มือคาดเข็มขัดนิรภัยให้มินาโตะเรียบร้อย ก่อนที่หูฟังจะถูกครอบลงไปบนหู
ในเมื่อเซยะจับขังไว้ในบ้านก็ยังเอาไม่อยู่
เพราะงั้นเขาเลยจำเป็นต้องพามินาโตะไปขังไว้ในที่ที่ไม่มีทางหนีได้อีกต่อไป
เสียงใบพัดดังกระหึ่มเมื่อเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวเริ่มทำงาน
ฝุ่นผงปลิวว่อนจนมองแทบไม่เห็นอะไร นกเหล็กตัวใหญ่ค่อยๆบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
จากเมืองสู่ผืนป่าที่ไม่มีเส้นทางติดต่อ
มีแต่ฮอเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงที่แห่งนี้ได้
วิลล่าส่วนตัวของตระกูลฟูจิวาระซึ่งตั้งอยู่กลางเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นตอนเหนือ…
ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ยอดเขาลูกนี้กลับยังมีแต่สีขาวโพลนของหิมะและน้ำแข็ง
เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆโรยตัวลงไปยังลานกว้างใหญ่ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา
มีคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลและนารุมิยะ
มินาโตะก็ยังจำมันได้ดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกชูพามาขังไว้ที่นี่
บ้านที่ไม่มีทางเข้าออกอื่นใดและต้องใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นยานพาหนะ
นอกจากยอดเขาที่สูงเสียดฟ้าจะเป็นปราการชั้นนอกแล้ว รอบๆตัวบ้านยังมีแต่ป่าและป่า
ถูกขังโดยสมบูรณ์แบบ…
ต่อให้คิดจะแอบหนีออกไปซ้อมยิงธนูยังไงก็ไม่มีทางหนีได้เลย
ถึงที่นี่แต่เดิมแล้วจะเคยมีโดโจส่วนตัวหลังเล็กๆอยู่
แต่เพราะคนป่วยอย่างเขาพยายามจะแอบหนีไปยิงธนูที่นั่น ชูเลยสั่งให้รื้อโดโจทิ้งไปซะ…
แค่เป็นไข้นิดหน่อยเอง
ทำไมต้องเว่อร์ขนาดนี้ด้วย ทั้งชูทั้งเซยะเลย
“นั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวกินข้าว กินยา แล้วค่อยนอน”
ชูพาเขามานั่งอยู่ในห้องรับแขกในขณะที่รอโทโจซังเก็บข้าวเก็บของ
มือใหญ่ที่แสนเย็นสบายทาบลงมาที่หน้าผากทำให้รู้สึกดีมากจนไม่อยากให้มันละออกไปเลย
“ยังมีไข้อยู่จริงๆด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมสายตาที่มองมาอย่างเป็นห่วง
เขาก็เข้าใจแหละว่าทำไมเซยะกับชูถึงสติแตกขนาดนี้เวลาที่เขาป่วย แค่มีไข้หรือมีดบาดนิดเดียวสองคนนี้ก็แทบจะยกโรงพยาบาลมาตั้งไว้ตรงหน้าเขาแล้ว
นั่นก็เพราะชูกับเซยะคือคนที่ได้รับแผลใจมากที่สุดตอนที่เขาเกิดอุบัติเหตุตอนเด็กๆ…
เซยะรู้และเห็นทุกอย่างว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง
ชูเองก็ถึงกับเสียศูนย์ไปเพราะการหายตัวของเขา
ทั้งคู่คือคนที่อยู่กับเขาในช่วงเวลานั้น
ทั้งสองคนจึงกลัวการบาดเจ็บของเขาเป็นที่สุด
กลัวว่าเขาจะตายแล้วหายไปจากทั้งคู่อีก
เพราะงั้นแค่แผลนิดเดียวก็ไม่ได้
มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ของชูกับเซยะทันที
“ชู แล้วนายไม่ต้องไปซ้อมยิงธนูหรือไง? ถึงจะได้แชมป์ระดับประเทศทั้งประเภทเดี่ยวและประเภททีมก็จะหย่อนยานไม่ได้นะ
เรากลับกันดีไหม?” ใบหน้าแดงระเรื่อจากพิษไข้พยายามหว่านล้อมให้ชูพาเขากลับบ้าน
แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลเท่าไหร่เพราะอย่างชูย่อมรู้ทันเขาอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่นี่ฉันก็ยังฝึกร่างกายได้
การยิงธนูต้องเริ่มจากร่างกายที่แข็งแรงก่อนมินาโตะก็รู้” อึก…โดนชูย้อนเข้าให้
“......งื้ม” เถียงเจ้าหมอนี่ไม่ได้เลยจริงๆ
“ทานข้าวต้มก่อนนะครับ
ถ้าทานยาแล้วยังไม่ดีขึ้นเดี๋ยวผมเรียกคุณหมอประจำตระกูลของเรามาให้ครับ”
โทโจซังวางถ้วยข้าวต้มหอมกรุ่นลงตรงหน้า
ไอที่ลอยขึ้นมาทำให้รู้ว่ามันยังร้อนอยู่ ชูจึงยกทั้งถ้วยไปเป่าให้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อันที่จริงเซยะก็ให้คุณพ่อของเขาแวะมาดูอาการให้ทุกเย็น
ท่านก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่นอนพักก็หาย” เขาตอบโทโจซังอย่างเกรงใจ
“แต่เพราะไม่ค่อยจะยอมนอนพักนี่แหละ เลยต้องถูกพามาอยู่ที่นี่”
ชูพูดแทรกขึ้นมาลอยๆในขณะที่มือก็ค้นถ้วยข้าวต้มไปด้วยเป่าไปด้วย
“......”
เขายู่หน้ามองอีกฝ่าย ทีเวลาแบบนี้ละไม่เคยตามใจเขาเลย
ทั้งๆที่ปกติแล้วจะเอาอะไรก็ทำให้ทั้งนั้น
“น่าจะกินได้แล้วละ” ชูเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยข้าวต้ม
เขาจึงอ้าปากรออย่างไม่ยอมเอื้อมมือไปตักเอง
เขาประชดเพื่อให้ชูรู้ว่าเขากำลังงอนอยู่นะ!
“ฮึ…” ชูหัวเราะในลำคอก่อนจะตักข้าวต้มพอดีคำแล้วเอาไปเป่าให้อีกครั้งก่อนจะยื่นมาจ่อที่ริมฝีปาก
มีคนป้อนให้แบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน
แก้มป่องเคี้ยวข้าวต้มไปมองใบหน้าที่อ่อนโยนของชูไป
ที่หน้าเขาร้อนๆอยู่นี้เป็นเพราะพิษไข้หรือเป็นเพราะหัวใจที่เต้นแรงก็ไม่อาจรู้ได้
รู้แค่ว่าเขามีความสุขมาก…ที่ชูคอยดูแลเขา
คอยอยู่ใกล้ๆไม่ห่างไปไหน
เป็นเพราะไม่มีงานบ้านให้ต้องลุกไปทำ
ไม่มีของลดราคาให้ต้องออกไปซื้อ ไม่มีโดโจให้แอบหนีออกไปฝึก ไม่มีอะไรที่ทำได้เลย
ร่างโปร่งบางถึงได้นอนหลับยาว หลับเป็นตาย หลับไปหลายต่อหลายชั่วโมง
ดวงตาสีมรกตเปิดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงลมพัดกึงๆอยู่ข้างนอก
จะมีพายุเหรอ?
ท้องฟ้าที่เคยโปร่งใสเมื่อเช้ากลับกำลังมืดมัวไปด้วยกลุ่มเมฆ
เขาหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้แต่ตอนนี้รู้สึกตัวเบาสุดๆ
อาการปวดเมื่อยอ่อนล้าก็หายไป ในหัวก็ไม่มึนงงแล้ว แถมไข้ยังลดจนแทบจะเป็นปกติ
ร่างโปร่งบางลุกขึ้นนั่งช้าๆ
เนื้อตัวที่ควรจะเหนียวเหนอะหนะเพราะเหงื่อที่เปียกโชกกลับแห้งสนิท
เขามองชามอ่างเซรามิกที่มีผ้าขนหนูพาดอยู่…สงสัยว่าชูคงจะคอยเช็ดตัวให้เขาตลอด
เขาถึงได้รู้สึกเย็นสบายแบบนี้
แล้ว…ชูไปไหนกัน?
ใบหน้ามนหันมองไปรอบห้องช้าๆ
ชูเคยนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาตลอดเวลาที่เขายังไม่หลับและนอนกระสับกระส่ายไปมา
บ้างก็ลุกมาจับตัวเขา เช็ดตัวให้เขาอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง…แต่ตอนนี้กลับไร้เงาของร่างสูงใหญ่นั่น
หรือชูจะลงไปเตรียมอาหารเย็นมาให้เขา?
ร่างโปร่งบางลองลุกขึ้นยืนดู…อื้ม
ไม่มัวหัวแล้ว ตัวก็ไม่ร้อนแล้วจริงๆ เดินลงไปหาชูข้างล่างดีกว่า
“โทโจซัง…ชูล่ะครับ?” มือบางเกาะราวบันไดในขณะที่ก้าวขาลงไปเรื่อยๆ
ท่าทางอ่อนแรงของเขาทำให้หัวหน้าพ่อบ้านประจำตระกูลฟูจิวาระพุ่งเข้ามาช่วยพยุงทันทีที่เห็น
“นายน้อยชูขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังครับ” โทโจซังเอ่ยตอบหลังจากพาเขามานั่งลงบนโซฟาเรียบร้อย
“เอ๊ะ? ไปทำอะไรเหรอครับ? เหมือนฝนจะตกเลย?
ไม่อันตรายเหรอครับ?” เขาถามออกไปอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อทราบว่าชูไม่ได้อยู่ในบ้านในสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไวของที่นี่
“เห็นว่าจะขึ้นไปหาดอกโคมะคุสะมาให้คุณมินาโตะ ตอนออกไปฟ้ายังโปร่งอยู่แท้ๆ”
ใบหน้าของโทโจซังก็ดูกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ที่นี่อยู่กลางหุบเขา
อากาศเลยเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วซ้ำยังรุนแรงด้วยในบางครั้ง
“......”
เขาเหม่อมองไปที่บานประตูโดยอัตโนมัติ
ถึงจะรู้ว่าชูเก่งมากแล้วก็ไม่ใช่คนที่จะชอบทำเรื่องอันตราย
แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ยังไงก็ห่มนี่ไว้ก่อนนะครับ
ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศที่นี่ก็ยังเย็นจัดอยู่” โทโจซังคลี่ผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งมาให้
การเตรียมพร้อมนั้นสมกับที่เป็นพ่อบ้านมือหนึ่งจริงๆ
ชาคาโมมายด์ถูกเสริฟมาในถ้วยใบสวย
แต่เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะชื่นชมหรือดื่มด่ำไปกับรสชาติของชาที่ทำให้ผ่อนคลายนี้เลย…ทำไมชูยังไม่กลับมาอีกนะ?
“เกิดอะไรขึ้นกับชูหรือเปล่าครับ? ออกไปดูดีไหมครับ?”
เขาหันไปถามโทโจซังด้วยความกระวนกระวาย
หากเป็นในยามปกติเขาอาจจะไม่ได้เสียอาการมากขนาดนี้ แต่คงจะเป็นเพราะเขากำลังป่วย
ร่างกายกำลังอ่อนแออยู่ด้วย เรื่องแค่นี้เขาเลยกังวลไปหมด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นายน้อยชูคุ้นชินกับเส้นทางบนภูเขาดี
ตรงที่ที่ดอกโคมะคุสะขึ้นก็ไม่ได้ไกลและอันตรายอะไร
ใจเย็นๆแล้วรออยู่ที่นี่จะดีกว่า” โทโจซังพูดอย่างใจเย็นสมเป็นพ่อบ้านของตระกูลฟูจิวาระ
“....ครับ” เขาได้แต่นั่งบีบมือตัวเองอย่างกังวล
ได้ยินเสียงเม็ดฝนดังเปาะแปะๆอยู่ข้างนอกก็ยิ่งนั่งไม่ติดจนต้องลุกขึ้นมาเดินไปเดินมา
แกร่ก…
เสียงประตูเปิดพร้อมกับร่างสูงในเสื้อกันลมผ้าร่มสีดำตัวใหญ่เดินเข้ามา
ถึงฮูดจะปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งแต่เขาก็ยังจำได้ดีว่านั่นคือชู
“มินาโตะ? ลุกไหวแล้วเหรอ?” ชูรูดซิปเสื้อนอกออกในขณะที่เขาเดินเม้มปากเข้าไปหา
หัวสีดำชนแผ่นอกกว้างก่อนจะนิ่งค้างจนอีกฝ่ายเลิ่กลั่กว่าเขาเป็นอะไร
เขาก้มหน้าซ่อนขอบตาที่ร้อนผ่าวเอาไว้
เมื่อชูเงยหน้าส่งสายตาถามโทโจซังแล้วได้รอยยิ้มตอบกลับมา ใบหน้าหล่อเหลาจึงยิ้มบางๆพลางยกมือขึ้นโอบกอดเขาเบาๆ
“ฉันกลับมาแล้วมินาโตะ” เสียงทุ้มที่สุขุมเยือกเย็นนั้นชวนให้สบายใจจนเผลอทิ้งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของชู
มือที่ยังสวมถุงมือหนังสีดำก็กอดกระชับลำตัวเขาเข้าไปด้วยความนุ่มนวล
“อ่ะ…ถอดเสื้อออกก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
เขาสังเกตเห็นหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนเสื้อสีดำจึงถอยออกไปเพื่อให้ชูถอดเสื้อ
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ตรงนี้มันเย็น” ท่อนแขนแข็งแรงโอบเขาก่อนจะดันหลังให้เดินไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งอบอุ่นด้วยเปลวไฟในเตาผิง
“นายไปหาอะไรมา? จริงๆไม่ต้องออกไปหาอะไรมาให้ฉันก็ได้
มันอันตราย ฉันไม่สบายใจเลย” ชูยิ้มบางๆอย่างเข้าใจในความงอแงเพราะป่วยของเขา
“มันไม่ใช่ที่ที่อันตรายหรอกมินาโตะสบายใจได้
เอาไว้นายหายแล้วฉันจะพาไปก็แล้วกัน แล้วก็นี่…” มือใหญ่ยื่นดอกไม้เล็กๆดอกหนึ่งมาให้
มันเป็นดอกไม้สีชมพูคล้ายกับหัวม้า
ใบที่ติดมานิดหน่อยก็ดูคล้ายใบผักชี
เขาเอียงคอมองมันอย่างฉงนเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นดอกไม้ที่น่ารักมากทีเดียว
“นี่คือดอกโคมะคุสะ…ราชินีแห่งอัลไพน์… ฉันให้มินาโตะ” ราชินีของฉัน…ถึงจะไม่ได้พูดคำนั้นออกมาแต่สายตาของชูก็สื่อออกมาได้หมด
มือบางยื่นออกไปรับมันมาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว…
“ฉัน…เป็นไข้อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
เสียงนุ่มพูดออกไปลอยๆแต่ชูกลับหัวเราะชอบใจ
“ฮ่าๆๆๆ” ไม่ค่อยได้เห็นชูหัวเราะและยิ้มกว้างขนาดนี้ซึ่งมันทำให้เขาดีใจและรู้สึกมีความสุขไปด้วย
“แต่มันน่ารักจัง…” ดวงตากลมโตจ้องมองดอกไม้เล็กๆในมือ
ปลายนิ้วชี้จิ้มมันเบาๆอย่างกลัวว่ามันจะช้ำ
“ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยชู” เขาเงยหน้าไปสบตากับคนที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“อื้ม เพราะว่าไม่ใช่ว่าจะพบเจอกับมันได้ง่ายๆน่ะ
ที่มันได้ชื่อว่าราชินีของดอกไม้อัลไพน์ก็เพราะมันมักจะขึ้นอยู่ในเขตอัลไพน์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สูงและหนาวจนต้นไม้อื่นไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้
มันแข็งแกร่งจนแม้แต่สภาพอากาศที่หนาวจัดและรุนแรงก็ทำอะไรมันไม่ได้”
“ไม่ใช่ดอกไม้ที่จะพบเห็นได้ทั่วไป…แต่ต้องเป็นที่ที่อยู่สูงกว่าที่อื่นเท่านั้นถึงจะเห็นมันได้”
ชูมองมาที่เขาอย่างสื่อความหมาย
คงไม่ได้หมายถึงเขาหรอกใช่ไหม?
“ฉันไปหามาให้มินาโตะ ตอบแทนใบโคลเวอร์สี่แฉกที่มินาโตะหามาให้ฉัน”
อ๋อ…ที่คั่นหนังสืออันนั้น…
เมื่อวันไวท์เดย์…เขาตอบแทนเจ้ากระต่ายชูที่ได้มาตอนวันวาเลนไทน์ด้วยการไปพลิกกอหญ้าทั่วคาเซไมเพื่อตามหาใบโคลเวอร์สี่แฉกแล้วเอามาทับให้แห้ง…เพื่อทำเป็นที่คั่นหนังสือให้ชู
ใบโคลเวอร์สี่แฉกสีเขียวแห่งความโชคดี
กับดอกไม้เล็กๆสีม่วงที่แทนตัวชู…มันรวมกันอยู่ในที่คั่นหนังสืออันนั้น
“ถ้างั้น…ฉันเอาดอกโคมะคุสะนี่ไปทำที่คั่นหนังสือบ้างดีกว่า?”
ชูพยักหน้าให้ บรรยากาศในห้องช่างอบอุ่นและอ่อนโยนต่างจากภายนอกที่พายุโหมกระหน่ำและหนาวเหน็บ
“ยังไม่หลับเหรอมินาโตะ?” นายน้อยแห่งตระกูลฟูจิวาระทักขึ้นหลังจากที่เดินออกจากห้องน้ำแล้วเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นยังลืมตาอยู่
“เมื่อกลางวันนอนจนเต็มอิ่มเลย” นารุมิยะ
มินาโตะขยับแบ่งที่ให้ร่างสูงใหญ่ซึ่งสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนหนา
เสียงสวบสาบดังขึ้นเมื่ออ้อมแขนแข็งแรงคว้าตัวเขาเข้าไปกอดพลางทาบฝ่ามือลงมาบนหน้าผาก
“ดูสิ พอได้นอนพักดีๆไข้ก็ลดลงหมดแล้ว” ชูพูดออกมาในขณะที่จ้องตาเขา
ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบแต่เขาก็ไม่คิดจะถอยหนี
ดวงตาใสจ้องกลับไปเพราะเขาชอบทุกสัมผัสที่แสนอ่อนโยนของชู
“ก็ฉันไม่มีอะไรต้องทำนี่นา จะออกไปไหนก็ไม่ได้ด้วย…งั้น…พรุ่งนี้เรากลับกันเลยดีไหม? ไหนๆฉันก็หายดีแล้ว”
เขาพยายามใช้ประกายวิบวับในดวงตาอ้อนอีกฝ่าย
“ยังไม่กลับ จนกว่าเสียงขึ้นจมูกนี่จะหายเสียก่อน” แต่ชูก็ยังใจแข็ง ปลายนิ้วยาวจิ้มปลายจมูกเขาอย่างเอ็นดู
“ง่ะ…”
“มินาโตะต้องพักอีกหน่อย ไข้จะได้ไม่กลับ”
“ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองใช่ไหมครับฟูจิวาระคุง?”
ดวงตากลมโตหรี่มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
“ใช่ครับ ผมทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วยครับ
เพราะผมอยากอยู่กับนารุมิยะคุงสองต่อสองอีกทั้งอาทิตย์เลยครับ”
อ้อมแขนแข็งแรงกระชับกอดเอวเขาเข้าไปแนบชิดมากกว่าเดิม
“เอ๋~”
“แต่ฉันมีรายงานต้องกลับไปทำนะ” เขาพยายามหาข้ออ้างทั้งๆที่เกือบลืมเรื่องการบ้านปิดเทอมนั่นไปแล้ว
“พรุ่งนี้จะมีคนเอามาให้ที่นี่ เซยะเตรียมไว้ให้หมดแล้ว”
แต่เขาก็สู้เซยะกับชูไม่ไหวในเรื่องนี้
“แต่ฉันต้องให้เซยะช่วย”
“ฉันก็ช่วยมินาโตะได้” เขาได้แต่เม้มปากจ้องหน้าชูอยู่แบบนั้นหลายวินาที
“........อยากเถียงชนะนายอ่ะ ทำไงดี” แล้วชูก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮะฮะฮะ เอาไว้หายดีเมื่อไหร่ฉันจะยอมแพ้มินาโตะทุกอย่างเลย ดีไหม?”
ชูยิ้มให้ สองแขนยังคงกอดเอวเขาไว้หลวมๆ
“อื้ม ฉันจำได้นะ” พวกเราต่างจ้องมองกันและกันอยู่แบบนั้นต่ออีกหลายนาที
จนกระทั่ง
"....อยากรังแกคนป่วยขึ้นมาเลย" ใบหน้ามนผงะไป
มือบางรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ
“นอนเถอะ ฉันอาการไม่ค่อยดีเลย เหมือนจะมีไข้ขึ้นมาอีกแล้ว”
ดวงตาสีมรกตเสหลบไม่ยอมสบตา
"เหรอ…ไหนมาวัดไข้ซิ
มีทฤษฎีที่ว่าถ้าทำให้เหงื่อออกก็จะหายด้วยนี่" ชูโน้มใบหน้าเข้าหาจนหน้าผากชนกันทำให้เขาหลบตาไม่ได้อีก บรรยากาศกุ๊กกิ๊กแบบนี้ถ้าเป็นปกติเขาคงไม่ขัดขืนหรอก
"ห้ามจูบนะชู เดี๋ยวก็ติดไปด้วยหรอก"
"แต่ถ้าจุ๊บละก็ได้ใช่ไหม?"
"นิดเดียวนะ" แล้วริมฝีปากร้อนก็พรมจูบไปทั่วใบหน้าเขา
จะมีใครมีความรักที่ดีเท่าเขาอีก
“หายไวๆนะมินาโตะ” เหมือนชูกำลังขอพรเพื่อให้เทพเจ้าช่วยคุ้มครองเขาอยู่เลย
อ้อมแขนเล็กจึงกระชับกอดแผ่นหลังกว้าง
เขาเองก็อยากจะแข็งแรงและมีชีวิตอยู่กับชูตลอดไปเช่นกัน
อยากได้รับความรักและมอบความรักนี้กลับไปเช่นกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Story
never End
มาแบบสั้นๆก่อนตอนนี้5555 ด้วยความดาเมจจากเรดิโอดราม่าตอนล่าสุดที่เพิ่งลงในยูตูบหลังตอน13ฉายจบ มันแบบ…น้อนนนนนน น้อนเป็นไข่ในหินของชมรมมาก
และน้อนก็ดื้อมากด้วย55555 ลองไปฟังกันดูนาคะ
สี่หน่อเค้าไปซ้อมช่วงปิดเทอมฤดูร้อนกัน
ด้วยความที่ไม่มีใครอยู่เลย มาสะซังและอ.ทอมมี่ติดธุระกันหมด
เซยะก็เลยให้เพื่อนๆช่วยกันทำความสะอาดห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าฝั่งผู้ชายค่ะ
ก็เลยไปเจอของของแต่ละคนที่แสดงความเป็น ยูมิบากะ พวกบ้าธนูงี้ ซุกซ่อนอยู่555 แล้วมินาโตะอ่ะ เป็นไข้ไม่สบาย เซยะก็เลยบังคับให้นอนอยู่บ้าน
แต่จนแล้วจนรอดน้อนก็แอบหนีมาจนได้ เซยะเลยต้องสั่งอีกสามคนให้ช่วยกันจับตัวเอาไว้เอาอุ้มกลับบ้านอีกรอบ5555
น่าร้ากกกก
ส่วนวิลล่ากลางหุบเขาของตระกูลฟูจิวาระนี่ชายชูฮีก็มีจริงๆนาคะ55555 ในนิยายเล่มสาม
เปิดตอนมาด้วยคุณชายชูกำลังนั่งแช่น้ำสบายใจอยู่ท่ามกลางบ่อน้ำร้อนที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ
ส่วนอีกฝั่งคือบ่อน้ำเย็นจัดที่มีฝาแฝดกำลังจะหนาวตายอยู่ในนั้น5555 คือเจ้าแฝดเค้าไปได้ยินมาว่าชูจะไปวิลล่ากลางหุบเขาของตระกูลฟูจิวาระ
ก็เลยขอตามมาด้วยเพราะอยากจะรู้ว่ามันหรูหราขนาดไหน แต่พอมาถึงได้…นี่มันอาศรมฝึกตนของชูชัดๆ5555 นอกจากพ่อบ้านที่ตามมาดูแลชูแค่คนเดียวแล้วก็ไม่มีใครอีก
จากนั้นชูก็ขึ้นจากบ่อน้ำร้อนแล้วมาบอกกับแฝดว่าหมดเวลาแล้วให้สลับกัน
เจ้าแฝดก็รีบพุ่งไปบ่อน้ำร้อนเลย ส่วนชูก็ลงแช่ที่บ่อน้ำเย็นด้วยใบหน้านิ่งๆ5555
มาฝึกร่างกายจริงๆค่ะพ่อคะ นอกจากนี้ก็มีรุ่นพี่ปีสองอีกสองคนมาด้วย
แล้วก็รุ่นพี่ประธานชมรมกับรุ่นพี่โนริรินด้วยถึงแม้ว่าสองคนนี้จะเรียนจบไปแล้ว
มีคุยกันเรื่องดั้งในการยิงธนูของชูด้วย
เพิ่งรู้เลยค่ะว่าฮีได้สองดั้งแล้วและกำลังจะสอบดั้งที่สามในปีนี้
เก่งมากอ่ะคุณชายคะะะะ
ส่วนอนิเมะซีซั่นสองก็จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย
งื้อออออ ปลื้มปริ่ม
>/////< ถึงอัศวินกับเจ้าชายเค้าจะแทงกันตายจนถึงตอนจบเลยก็เถอะ5555
คือถ้าใช้ไม้จิ้มทาโกะจิ้มกันได้คงทำไปแล้ว
เซยะนี่ชัดมากว่าไม่อยากเห็นหน้าชูแต่ก็ทนตาใสๆของน้อนไม่ได้5555 ฉากที่สามทหารเสือเค้าอยู่ด้วยกันนี่ทั้งซึ้งใจทั้งบันเทิงมากเลยค่ะ
ชอบจริงๆ และฉากยิงธนูในพิธีชินโตก็สวยตาแตกมากกก สวยสุดๆอ่ะะะ ก้มลงกราบเกี๊ยว
รอมูฟวี่ภาคสองอยู่นะเกี๊ยวววว
จะทำใช่ไหมเกี๊ยววว คาดหวังว่าจะเป็นภาคของชูนะเกี๊ยวววว
เพราะภาคแรกแกตัดชูออกหมดเน้นไปที่มาสะซังกับเซยะ
ภาคสองชั้ลเลยคาดหวังในเรือเมนของชั้ลนะเกี๊ยววว >/////<
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ ทุกๆหัวใจ ทุกๆการติดตาม ทุกๆโดเนทมากๆนะคะ
อนิเมะจบแต่ฟิคไม่จบค่ะ5555
ย๊าวววว เอิ๊ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น