ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] Juunana Sai : 17ฝน : 01


ป๋อจ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]   Juunana Sai : 17ฝน  : 01

: ป๋อจ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Period / Romance / Suspense / Mystery / Crime
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ





ปั่บ!


กรวยขนาดใหญ่ฉายแสงสว่างวาบพร้อมกับเสียงชัตเตอร์บ่งบอกว่าภาพตรงหน้าถูกบันทึกลงในแผ่นฟิล์มเรียบร้อยแล้ว ถึงรูปที่ออกมาจะเป็นเพียงสีขาวดำแต่นี่ก็คือกล้องถ่ายรูปที่ล้ำสมัยที่สุดในตอนนี้แล้ว

นายตำรวจเดินวนถ่ายรูปอีกสองสามใบก่อนจะเดินเข้าไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาของตน

“เรียบร้อยแล้วครับสารวัตร”   เสียงนั้นทำให้ ฟูจิวาระ อิตสึกิ หันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ถ้าเก็บหลักฐานครบแล้วพวกคุณก็นำศพส่งห้องชันสูตรก่อน ผมจะเดินดูรอบๆ เดี๋ยวตามไป”

“ครับ”

ร่างสูงสง่าที่อยู่ในเครื่องแบบตำรวจตามแบบชาติตะวันตกละจากหน้าต่างก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าเด็กชายคนหนึ่ง...ต้องบอกว่าเคยเป็นเด็กชายแต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงร่างไร้ลมหายใจไปแล้ว...

ปลายรองเท้าบูทหนังที่สูงเกือบถึงหัวเข่าหยุดห่างจากกองเลือดที่ละเลงไว้ทั่วพื้นเพียงไม่กี่เซนติเมตร ดวงตาเฉยชาทอดมองร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องอาบน้ำอย่างเวทนา ใบหน้าขาวซีดนั่นมีแววหล่อเหลาไม่เบา ต้องโกรธแค้นกันขนาดไหนนะถึงลงมือโหดเหี้ยมขนาดนี้ได้ เขาเลื่อนสายตาขึ้นไปมองกะโหลกที่ถูกทุบจนเละของ นานาฮาระ ฮิโรกิ และนั่นก็ไม่ใช่รอยแผลเดียวที่เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ยังมีรอยถูกทุบจนแขนและขาบิดเบี้ยว รอยฟกช้ำดำเขียวที่คอและไหล่ รอยถูกของแข็งจำพวกก้อนหินใหญ่ๆทุบซ้ำไปซ้ำมาแม้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะตายแล้วก็ตาม

คดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญอย่างไม่ต้องสงสัย...

แล้วยิ่งมันมาเกิดขึ้นในโรงเรียนประจำชายล้วนชื่อดังของเมืองนี้ยิ่งแล้วใหญ่...

“ช่วยลงนามด้วยครับสารวัตร”   นายตำรวจผู้เป็นลูกน้องยื่นเอกสารมาให้ลงชื่อ เขาตรวจดูข้อความก่อนจะเขียนชื่อของตัวเองลงไป




ปีไทโชที่ 2 วันที่ 9 กันยายน

นานาฮาระ ฮิโรกิ อายุ17ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โรงเรียนไคจิ เขตคามิโคจิ เมืองมัตสึโมโตะ

ลงนาม ฟูจิวาระ อิตสึกิ สารวัตรตำรวจ




เขาวางปากกาก่อนจะก้าวขาออกมาจากห้องน้ำซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ มือใหญ่ขยับหมวกทรงหม้อตาลสีกรมท่าเข้ากับชุดให้เข้าที่ เพราะตำรวจเป็นหน่วยงานแรกๆที่ถูกปฏิรูปให้ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแบบที่พวกเขาสวมใส่หรืออุปกรณ์ต่างๆที่พวกเขาใช้จึงแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังใส่กิโมโนกันอยู่ มีเพียงไม่มากที่เริ่มเปลี่ยนไปแต่งกายตามชาติตะวันตก

ใบหน้าหล่อเหลาเงยมองอาคารหอพักสองชั้นซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หาได้ยากในยุคนี้ เพราะมันเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกกับสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น ถึงรูปร่างหน้าตามันจะเลียนแบบมาจากอาคารในยุโรปแต่มันกลับสร้างด้วยไม้และมีรายละเอียดต่างๆในแบบชาวญี่ปุ่น

เพราะโรงเรียนไคจิแห่งนี้ก็เป็นโรงเรียนต้นแบบที่นำการเรียนการสอนตามอย่างตะวันตกมาใช้ และเป็นโรงเรียนประจำแห่งแรกในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะงั้นเด็กนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้จึงไม่ใช่ลูกตาสีตาสาที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นคนมีเงินมีฐานะมียศถาบรรดาศักดิ์พอสมควรทีเดียว

ปีไทโชที่ 2 ของญี่ปุ่นเทียบเท่ากับปีค.ศ.1913 และปีนี้เองที่ ฟูจิวาระ อิตสึกิ ลูกชายคนโตของตระกูลฟูจิวาระอันเลื่องชื่อได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นสารวัตรตำรวจทั้งๆที่มีอายุเพียง25ปี เรียกว่าเป็นที่จับตามองของวงการตำรวจกรุงโตเกียวเลยก็ว่าได้

เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กที่มักจะจดรายละเอียดของคดีเอาไว้ขึ้นมาดู อันที่จริงวันนี้เป็นวันแรกที่เขาย้ายมาประจำการยังสถานีตำรวจเมืองมัตสึโมโตะ...มาถึงได้ก็เจอรับน้องโดยคดีสะเทือนขวัญสั่นประสาทแบบนี้เลย...

มือใหญ่ในถุงมือสีขาวไล่ปลายนิ้วไปยังหัวข้อต่างๆที่จดไว้ ยังมีที่ที่เขาต้องไปเดินดูอีกนิดหน่อย...ตอนนี้ใครคือฆาตกรยังคงมืดแปดด้าน

ร่างสูงสง่าเดินกลับมายังอาคารเรียนที่เงียบสงบ อาคารหลังนี้ก็สร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมGiyofu เช่นเดียวกับอาคารหอพัก อาคารแบบตะวันตกสองชั้นทาสีขาวแห่งนี้ถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยภูเขาสูงตระหง่านทั้งสี่ด้าน มันไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองที่วุ่นวายแต่กลับสร้างอย่างสันโดษอยู่ในหุบเขาไกลลิบ ที่นี่จึงเงียบสงบปลีกวิเวกเหมาะที่จะเป็นสถานศึกษาและโรงเรียนประจำชั้นสูงจริงๆ

ทว่า...ยามเมื่อมีเหตุร้ายแบบนี้เกิดขึ้นมา มันก็น่าสะพรึงกลัวทีเดียว...

เขามองป่าสนสูงใหญ่ที่ขึ้นอยู่รอบโรงเรียนอย่างหวาดหวั่น มันเป็นอุปสรรคชั้นดีที่จะทำให้การตามจับคนร้ายของเขายากลำบากขึ้นไปอีก

ขายาวก้าวเข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่งซึ่งมีกลุ่มคนนั่งอยู่

“สารวัตรมาพอดี...เด็กกลุ่มนี้คือเพื่อนสนิทของนานาฮาระ ฮิโรกิที่ถูกฆ่าตายครับ”   นายตำรวจที่กำลังสอบปากคำแนะนำเด็กกลุ่มหนึ่งให้เขารู้จัก

ดวงตาคมกล้ากวาดมองใบหน้าเด็กหนุ่มสี่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางหยิ่งผยองของเด็กพวกนี้...น่าจะเป็นเด็กที่บ้านมีฐานะหรือไม่ก็มาจากตระกูลชนชั้นสูงสินะ? การแต่งกายถึงได้เนี้ยบมาก กักกุรันที่เด็กพวกนี้ใส่อยู่ก็น่าจะเป็นงานสั่งตัดจากร้านมีชื่อมันถึงได้พอดีตัวและใส่ออกมาดูดีขนาดนี้ แล้วทั้งสี่คนก็หน้าตาดีสะอาดหมดจด ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นพวกคุณชายคุณหนู

“จากการสอบปากคำทั้งสี่คนเล่าว่า นานาฮาระ ฮิโรกิออกไปอาบน้ำตามปกติ ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งประธานนักเรียนมาเดินตรวจหอแล้วพบว่านานาฮาระยังไม่กลับมาก็ได้แต่คาดโทษเอาไว้แต่ไม่มีใครออกไปตามหา จนกระทั่งเมื่อเช้ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่งไปล้างหน้าจึงได้พบศพเข้า”

“ปกติพวกเธอพักห้องละกี่คน?”   เสียงทุ้มถามออกไป เขาไม่ได้ใส่อารมณ์มากนัก เพราะเขามักจะเป็นแบบนี้จึงถูกมองว่าเป็นคนเย็นชา ไม่มีความเห็นใจต่อเหยื่อและญาติผู้เคราะห์ร้าย

“สอง”   หนึ่งในสี่คนตอบกลับมาด้วยเสียงห้วนๆอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเจ้าขุนมูลนาย นี่ขนาดเขาเป็นตำรวจและเป็นผู้ใหญ่กว่า เด็กพวกนี้ยังไม่เห็นหัวเขาเลย ถ้าเขาเดาไม่ผิด นานาฮาระ ฮิโรกิเองก็คงจะเหมือนๆกันถึงได้คบกันได้

“แล้วใครอยู่ห้องเดียวกับนานาฮาระ ฮิโรกิ?”

“ผมครับ”

“เธอชื่ออะไร?”

อาคางิ มาโมรุ”   เด็กหนุ่มคนนี้ดูต่างไปเล็กน้อย เป็นเด็กที่ยังพอมีความอ่อนน้อมแฝงอยู่บ้าง

“เพื่อนไม่กลับห้องทั้งคืน ไม่สงสัยบ้างเลยเหรอ?”

“ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าหมอนั่นไม่กลับห้อง เพราะว่าพอผมกลับมาผมก็หลับทันที ผมเองก็ไม่ได้เช็คชื่อเหมือนกัน เมื่อวานมีแข่งเคนโด้ ผมเหนื่อยก็เลยหลับยาว”   เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคายยักไหล่ ถึงจะดูเป็นมิตรกว่าอีกสามคนที่เหลือแต่อาคางิ มาโมรุเองก็น่าสงสัย อีกทั้งยังไม่มีใครยืนยันที่อยู่ให้ด้วย อาจจะเป็นคนที่ย่องตามไปทำร้ายนานาฮาระก็ได้

ในกลุ่มเด็กบ้านรวยแบบนี้ คบกันเพียงแค่ผลประโยชน์เขาก็เห็นมาเยอะแล้ว

เขายืนอ่านรายงานในขณะที่ปล่อยนายตำรวจผู้เป็นลูกน้องสอบปากคำเด็กทั้งสี่คนต่อไป ดูจากตารางกิจกรรมของโรงเรียนแล้ว...เมื่อวานมีแข่งเคนโด้จริงๆและอาคางิ มาโมรุก็เป็นถึงประธานชมรมเคนโด้เสียด้วย จะเหนื่อยจนถึงกับหลับเป็นตายก็เป็นไปได้

แต่อีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า เด็กหนุ่มคนนี้แข็งแรงพอที่จะฆ่าคนสูงใหญ่อย่างนานาฮาระ ฮิโรกิได้

เห็นที...เขาคงต้องไปถามจากเด็กคนอื่นๆในโรงเรียน ว่าทั้งห้าคนในกลุ่มนี้มีความบาดหมางกันบ้างหรือไม่...





จากอาคารเรียนที่ดูจะไม่มีเบาะแสอะไรเขาเดินกลับไปยังอาคารหอพักอีกครั้ง นายตำรวจกำลังรื้อค้นเตียงและห้องพักของนานาฮาระ ฮิโรกิอยู่

“เจออะไรไหม?”

“ไม่พบอะไรน่าสงสัยเลยครับ นานาฮาระ ฮิโรกิก็ดูเหมือนคุณชายทั่วๆไป ออกจะเป็นสุภาพบุรุษด้วยซ้ำ”   เขากวาดตามองข้าวของเครื่องใช้ของเด็กหนุ่มผู้จากโลกนี้ไปแล้ว ทุกอย่างถูกวางไว้ในสภาพปกติ ทั้งหนังสือเรียน พู่กัน เครื่องแต่งกาย ไม่มีอะไรสะดุดตาจนพอจะเป็นสาเหตุการฆาตกรรมได้เลย

“ทางโรงเรียนติดต่อผู้ปกครองไปหรือยัง?”   เขามองหมวกทรงหม้อตาลสีดำที่เข้ากับชุดกักกุรันที่แขวนอยู่ นานาฮาระ ฮิโรกิเป็นลูกชายของร้านขายกิโมโนที่มีชื่อเสียงและฐานะดีมาก

“ครับ กำลังมาครับ”   ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกมา

เขาก้าวขาวนกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง...น่าแปลก...ดูจากลักษณะศพของนานาฮาระแล้ว เด็กหนุ่มน่าจะมีการต่อสู้กับผู้ร้ายอยู่บ้างซ้ำยังถูกทุบหลายแห่งกว่าจะตาย น่าจะมีเสียงร้องโวยวายบ้าง แต่กลับไม่มีใครได้ยิน?

ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีน้ำตาลธรรมชาติเงยมองอาคารหอพักสองชั้นซึ่งมีสะพานเชื่อมต่อไปยังอาคารที่เป็นห้องน้ำรวม ระยะทางก็ไม่ถึงกับไกลมาก? ถ้านานาฮาระร้องตะโกนก็น่าจะมีคนได้ยินบ้าง?

เขาเดินเข้าไปหานายตำรวจคนหนึ่งซึ่งกำลังสอบปากคำเด็กนักเรียนอยู่

“ขอแทรกนิด เมื่อคืนไม่มีเสียงร้องหรือเสียงอะไรที่ผิดปกติเลยเหรอ?”   เขาถามเด็กหนุ่มคนนั้น ร่างในชุดนักเรียนแบบฮากามะทำท่านึกก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่มีนะครับ...”

“จากห้องพัก...ไม่สามารถได้ยินเสียงตะโกนจากห้องน้ำได้เลยเหรอ?”   เสียงทุ้มยังคงถามย้ำ

“เอ...ปกติถ้าตะโกนเล่นกันก็ได้ยินอยู่นะครับ พวกผมยังตะโกนให้คนบนหอเอาเสื้อผ้าโยนมาให้อยู่เลย”

“แล้วเมื่อคืน...ไม่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาเลยเหรอ? ลองนึกดูดีๆซิ”

“......อืม...ผมไม่ได้ยินจริงๆนะครับ....”   เด็กหนุ่มยังพยายามนึกแต่ก็ส่ายหน้า

“อ้อ จริงสิ”   แต่แล้วเด็กหนุ่มก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“อาจจะเป็นเพราะเสียงไวโอ...เอ่อ...ไวอะไรสักอย่าง? ที่เป็นเครื่องสายจากประเทศตะวันตกน่ะครับ”   เด็กหนุ่มพยายามอธิบายแต่เป็นเพราะไม่รู้จักเลยเรียกชื่อมันไม่ถูก

“ไวโอลิน?”   เขาเองก็เติบโตมาในวงสังคมชั้นสูง ย่อมเคยเห็นเครื่องสายจากต่างแดนนั่นมาบ้าง

“ใช่ๆ นั่นแหละครับ”

“เล่าให้ฟังซิ”

“ครับ...เมื่อคืน...มีเสียงไวโอลินเล่นคลออยู่ตลอด พวกผมก็เลยไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่นเลย”    .....จะเป็นการอำพรางการฆาตกรรมได้ไหมนะ?

“ปกติจะมีเสียงไวโอลินแบบนี้ทุกคืนเลยเหรอ?”   เขาถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“เปล่าครับ เซริซาว่าซังไม่ได้ซ้อมทุกคืนหรอก”

“เซริซาว่าซัง?”   ถึงกับเติมคำว่า “ซัง” ให้ แสดงว่าน่าจะเป็นที่เคารพไม่ธรรมดา? ไม่งั้นเด็กวัยเดียวกันคงไม่เรียกอย่างยกย่องว่า “คุณเซริซาว่า” หรอก

“เอ่อ...ประธานชมรมดนตรีน่ะครับ เซริซาว่า จิอากิซัง”

“ผมจะพบเขาได้ที่ไหน?”  

“ลองไปดูที่ห้องดนตรีก็ได้ครับ แต่ปกติเซริซาว่าซังไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อาจจะหาตัวเค้ายากหน่อยนะครับ”   เขาพยักหน้าให้เด็กหนุ่มก่อนจะเดินออกมา...เซริซาว่า จิอากิงั้นเหรอ...ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้นัก?







นายตำรวจระดับสูงของสถานีตำรวจมัตสึโมโตะก้าวขาเข้าไปยังห้องดนตรี แสงสว่างที่พาดผ่านมาจากหน้าต่างทำให้ห้องๆนี้ดูละมุนละไม

ภายในห้องไม่ได้มีเครื่องดนตรีพื้นบ้านของญี่ปุ่นทั่วๆไป แต่มันกลับมีเปียโนไม้อยู่หลังหนึ่ง...สมกับเป็นโรงเรียนต้นแบบที่สอนหลักสูตรที่นำมาจากตะวันตก แม้แต่เรื่องดนตรีก็ยังเป็นดนตรีคลาสสิคของทางตะวันตก

เขาก้าวขาเข้าไปก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าเครื่องดนตรีแปลกตาชิ้นหนึ่งซึ่งวางอยู่บนขาตั้งข้างเก้าอี้...ในห้องนี้...นอกจากเปียโนไม้หลังนั้นก็มีเพียงเจ้านี่ที่เป็นเครื่องดนตรีอีกชิ้นเท่านั้น

มันคือ ไวโอลิน...

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณตำรวจ?”   เสียงหนึ่งทักเขาจากทางด้านหลัง และเมื่อหันกลับไปก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา

“ผมเป็นครูประจำห้องดนตรีครับ”   คุณครูโค้งให้ เขาจึงโค้งตอบตามมารยาท

“ผมอยากจะสอบถามเกี่ยวกับไวโอลินตัวนี้หน่อย ที่โรงเรียนสอนให้นักเรียนสีไวโอลินด้วยเหรอครับ?”

“อ้อ เปล่าครับ ผมเองยังสีไม่เป็นเลย”   คุณครูหัวเราะเบาๆ เขาจึงมองด้วยความสงสัย อีกฝ่ายจึงยอมเฉลยให้

“ไวโอลินตัวนี้เป็นของเซริซาว่าซังครับ...เซริซาว่า จิอากิ นักเรียนปีสองห้องหนึ่งของเรา”   ขนาดอาจารย์ยังเรียกแบบให้เกียรติเลย แสดงว่าเด็กคนนี้น่าจะไม่ธรรมดาจริงๆ

“หมายความว่าทางโรงเรียนไม่ได้สอนไวโอลิน แต่นักเรียนคนนั้นเล่นเอง?”

“ครับ...เซริซาว่าซังเธอชอบไวโอลินมาก ก็เลยซื้อเอง ที่บ้านก็จ้างครูสอนเองเป็นการส่วนตัวด้วย ที่เอามานี่ก็เพื่อซ้อมเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ที่โรงเรียนนี้ไม่มีใครเล่นเป็นครับ”

“เซริซาว่า จิอากิเล่นเป็นคนเดียว?”

“ครับ”    คุณครูประจำห้องดนตรียืนยันหนักแน่น แต่เขาก็ไม่แปลกใจเพราะเครื่องดนตรีชนิดนี้ต้องสั่งซื้อจากประเทศตะวันตกเท่านั้น ราคาแพงลิบลิ่ว จะต้องเป็นคนที่มีฐานะมากจริงๆถึงจะมีมันในครอบครองได้

“ผมจะพบเด็กคนนั้นได้ที่ไหนครับ?”

“เอ่อ...ถ้าในวันที่ไม่มีเรียนแบบนี้ก็น่าจะหาตัวยากอยู่...”   เพราะวันนี้มีคดีฆาตกรรม ทางโรงเรียนจึงงดการเรียนการสอนและพยายามกันนักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป...ว่าแต่เด็กคนนั้นจะทำตัวลึกลับเกินไปไหม ถึงกับไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนเนี่ย?

“ไม่มีเพื่อนสนิทหรือใครที่พอจะบอกได้เลยเหรอครับ? ผมอยากสอบถามเรื่องคดีจากเซริซาว่า จิอากิหน่อย”   คุณครูยิ้มแหยๆกลับมา แสดงว่าเด็กนั่นไม่มีเพื่อนสนิทและมักจะอยู่ตัวคนเดียว

พฤติกรรมแบบนี้ก็เข้าข่ายน่าสงสัย ถ้าไม่ใช่คนร้ายก็อาจจะมีส่วนสมรู้ร่วมคิดก็ได้?

“เอ่อ...ถ้าคุณตำรวจไม่รีบ...ยังไงลองกลับมาที่ห้องดนตรีอีกทีตอนเย็นสิครับ เซริซาว่าซังน่าจะกลับมาซ้อมไวโอลินอยู่ที่นี่ เธอมักจะมาซ้อมทุกเย็น เพราะลมที่หอพักเปลี่ยนทิศตลอด บางวันเธอจึงซ้อมที่หอพักตอนกลางคืนไม่ได้”

“ลมเปลี่ยนทิศ? หมายความว่ายังไงครับ?”

“ห้องพักของเซริซาว่าซังค่อนข้างจะพิเศษหน่อย เธออยู่ห้องริมสุดตามลำพัง แล้วห้องนั้นจะรับลมทั้งสามด้าน ถ้าวันไหนที่ลมพัดเข้าหาอาคารเธอก็จะซ้อมไวโอลินไม่ได้เพราะเสียงจะไปรบกวนเด็กคนอื่นๆน่ะครับ แต่ถ้าวันไหนลมพัดออกไป เธอจึงซ้อมได้”

เขานิ่งคิด...เพราะแบบนี้เองสินะ เมื่อคืนเด็กในหอพักจึงแทบไม่ได้ยินเสียงจากห้องน้ำ เพราะลมพัดออกจากอาคาร เซริซาว่า จิอากิจึงสีไวโอลินได้ เสียงจากห้องน้ำก็จะถูกพัดออกไปเช่นกัน

เขาพยักหน้าให้ครูประจำห้องดนตรี เขาตั้งใจแล้วว่าตอนเย็นจะกลับมาอีกที เด็กคนนั้นน่าสงสัย เขาคงต้องหาทางสอบปากคำอีกฝ่าย







การจะกลับสถานีตำรวจก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะจากโรงเรียนในหุบเขานี่เข้าตัวเมืองต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง เขาจึงเดินเตร็ดเตร่เพื่อรอเวลา ตอนนี้ศพของนานาฮาระถูกย้ายออกไปแล้ว พ่อกับแม่ของเด็กหนุ่มแทบจะลมจับเมื่อมารับศพ ดูจากสภาพการตายแล้วตอนนี้เขาค่อนข้างจะพุ่งเป้าไปที่ความแค้นส่วนตัวเสียมากกว่า เพราะนานาฮาระไม่มีอะไรติดตัวไปมากนักตอนจะไปอาบน้ำ ประเด็นเรื่องชิงทรัพย์จึงหายไป

อีกอย่าง นี่ก็อยู่ในโรงเรียนชายล้วน ประเด็นเรื่องชู้สาวก็ไม่น่าจะมี?

เด็กหนุ่มอายุเพียง 17 ปี ต้องมีเรื่องแค้นเคืองกันขนาดไหนนะถึงถูกฆ่าอย่างโหดร้ายแบบนั้น

เท่าที่เขาสอบปากคำเด็กนักเรียนคนอื่นๆทั้งในชั้นเดียวกับนานาฮาระและคนละชั้นปีก็พบว่าเด็กกลุ่มนี้ทั้งห้าคนค่อนข้างโด่งดังมากในโรงเรียน เพราะเป็นกลุ่มเด็กบ้านรวยมาก มีทั้งฐานะและอิทธิพล ทั้งยังเป็นกลุ่มคนหน้าตาดี ผลการเรียนดี ทำให้เด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างหยิ่งยโสไม่น้อย ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนคนรอบข้างก็จะเกรงใจและไม่กล้าต่อกรด้วย มีหลายครั้งที่เด็กหลายคนให้ปากคำกับเขาว่า บางทีพวกนั้นก็เหยียดหยามเด็กคนอื่นและเห็นคนที่ด้อยกว่าเป็นตัวตลกบ้างเหมือนกัน ทางที่ดีก็พยายามอย่าตกเป็นเป้าสายตาของห้าคนนั้นจะดีกว่า

เขาคิดว่าบางทีเรื่องนี้เองอาจจะไปสร้างความคับแค้นใจให้ใครเข้าก็ได้ นิสัยไม่เห็นหัวใครของเด็กกลุ่มนี้

มือใหญ่ในถุงมือสีขาวยกปลายนิ้วขึ้นมากดหัวตา น่าจะต้องรอผลการชันสูตรอีกทีว่าตกลงนานาฮาระ ฮิโรกิตายตอนกี่โมงกันแน่ เพราะช่วงเวลาเช็คชื่อของหอพักทุกห้องล้วนอยู่กันครบทั้งสองคน ยกเว้นอาคางิ มาโมรุเพื่อนร่วมห้องของนานาฮาระ ฮิโรกิที่ไม่ได้เช็คชื่อจึงไม่มีใครยืนยันที่อยู่ได้กับอีกคนหนึ่งก็คือคนที่เขากำลังจะไปพบ...

เซริซาว่า จิอากิ...ซึ่งพักอยู่คนเดียว

ดวงตาคมกล้าทอดมองเงาของตัวเองที่ทอดยาวไปตามพื้น แสงแดดสีส้มบ่งบอกว่าได้เวลาที่เขาจะต้องไปห้องดนตรีแล้ว

แค่ก้าวขาขึ้นบันได เสียงแว่วหวานก็ดังมากับสายลม...มันเป็นเสียงเครื่องสายที่หาได้ยากในญี่ปุ่นสมัยนี้ ความอ่อนหวานนุ่มนวลของมันแตกต่างจากเครื่องดนตรีของญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง

และเขาก็กำลังจินตนาการ...ว่าจะต้องเป็นเด็กหนุ่มแบบไหนกันนะถึงจะสนใจเครื่องดนตรีที่อ่อนโยนเช่นนี้

ขายาวก้าวไปที่ประตูห้องดนตรีอย่างเงียบเชียบ และแล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับชะงักค้าง เพราะมันไม่เหมือนภาพที่เขาจินตนาการไว้เลย...

เด็กหนุ่มรูปร่างโปร่งบางที่กำลังสีไวโอลินอยู่ท่ามกลางแสงแดดสีส้มนั้นงดงามมาก...

งดงามจนเขาแทบหยุดหายใจ...

เครื่องหน้าที่ได้รูปทุกอย่างไม่ว่าจะคิ้วที่เรียวสวย ดวงตากลมโตอ่อนหวาน จมูกโด่งรั้นเป็นสัน ริมฝีปากสีระเรื่อรูปกระจับอวบอิ่ม แก้มใสที่สะอาดหมดจด...ช่างเป็นใบหน้าที่ราวกับสวรรค์สร้าง ทั้งหล่อทั้งสวยในคนเดียวกันจนสะกดได้แม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจใครแบบเขา

เซริซาว่า จิอากิ งดงามมาก...


งดงามราวกับตุ๊กตาชั้นสูงเลยจริงๆ...



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.


ผังตัวละครตอนที่ 1




มันมาอีกแล้วค่ะ ซีรี่ย์ 17ฝน กร๊ากกกกก แต่อันนี้ใช้ชื่อเดียวกันเฉยๆ ทั้งสองเวอร์ชั่นไม่เกี่ยวข้องใดๆซึ่งกันเลยค่ะ เหมือนเอาไว้แยกประเภทฟิคของตัวเอง ฟิคลึกลับ ฆาตกรรม สืบสวน ยุคไทโช-โชวะก็จะใช้ชื่อ Juunana sai ไปให้หมดเลย ขี้เกียจคิด 555 

เนื่องด้วยมันเป็นฟิคประเทศเกาะอ่ะเนอะ จะใช้ชื่อหวังอี้ป๋อกับเซียวจ้านเลยมันก็ไม่น่าใช่ ก็เลยขอดัดแปลงชื่อทั้งสองคนเป็นญี่ปุ่นหน่อย แต่จะเห็นว่านามสกุลป๋อคือไม่ได้คล้ายอะไรกับ หวัง เลย เอาไว้เล่าให้ฟังตอนหลังค่ะว่าทำไมใช้ฟูจิวาระ ความชอบส่วนตัวโดยแท้555

แล้วก็ในเรื่องนี้ป๋อจะอายุมากกว่าพี่จ้านนะคะ ป๋อเป็นตำรวจแต่พี่จ้านยังเป็นนักเรียนอยู่เลย >////< เรื่องนี้มีคนพรากผู้เยาว์อ่ะแต่จะไปฟ้องตำหนวดก็ไม่ได้เพราะคนทำดันเป็นตำหนวดเองนี่แหละ หว๋ายๆๆ

ยังไงก็ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจอีกเรื่องนึงนะค้า // แต่งฟิคป๋อจ้านมา 4 เรื่องจบซักเรื่องหรือยังหล่อน ถถถ ขอบคุณทุกๆการติดตามค่า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น