อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน] JUNE : 11


อี้จ้าน Au.Fic [หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน]  JUNE : 11

: อี้จ้าน Fanfiction Au
: หวังอี้ป๋อ x เซียวจ้าน
: Warmhearted Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
          




ในห้องทำงานที่กว้างใหญ่และถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหราสมกับที่เป็นห้องของประธานเซียวกรุ๊ปองค์กรค้าเหล็กรายใหญ่ของจีนและของโลก ร่างระหงในชุดกระโปรงสีดำเข้ารูปกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่หลังโต๊ะหินแกรนิตสีดำตัวใหญ่ มือเรียวที่ทาเล็บสีแดงสดหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นต์เอกสารก่อนจะส่งให้เลขา แล้วจังหวะที่เลขายื่นมือมารับ เอกสารอีกปึกที่หอบอยู่ในอ้อมแขนก็หล่นลงพื้น

ดวงตาคมกริบกรีดมองอย่างไม่ได้คิดอะไร ทว่า ชื่อที่อยู่บนหน้าปกเอกสารนั้นก็ทำให้เธอสนใจ

แดนซ์คอนเทส...

“นั่นเอกสารอะไร?”   น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยออกจากริมฝีปากสีแดงทำให้เลขาหนุ่มถึงกับสะดุ้งน้อยๆ

“...เอกสารขอสปอนเซอร์จากงานแดนซ์คอนเทสครับ ที่เราเป็นสปอนเซอร์ให้ทุกปี มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“เอามาดูซิ”   ดวงตาคมดั่งใบมีดของนายหญิงแห่งตระกูลเซียวกวาดมองรายชื่อทีมที่เข้าประกวดคร่าวๆ ถึงจะแค่มองผ่านๆแต่มีหรือที่เธอจะไม่เห็นว่าในนั้นมีชื่อทีมของเจ้าเด็กนั่นอยู่ด้วย หึ!

มือเรียวโยนแฟ้มคืนให้เลขา ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงดั่งเลือดเอ่ยบอกเสียงเย็น  “เพิ่มเงินสปอนเซอร์ให้งานนั่นเป็นสองเท่า โดยมีเงื่อนไขว่า สองรอบสุดท้ายต้องให้ฉันร่วมตัดสินด้วย ถ้ามันไม่ยอมจะให้สี่เท่าห้าเท่าไปเลยก็ได้”

“....ครับนาย...”   เลขาก้มหน้ารับคำสั่งก่อนจะเตรียมเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน”  

“ครับ?”

“ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูอาจ้านละก็...อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”   สายตาดั่งนางพญาจ้องมาที่เลขาหนุ่มอย่างดุดัน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าคนที่คอยปิดบังให้ท้ายเจ้าลูกชายตัวดีของเธอก็คือผู้ชายคนนี้ แต่ก็นั่นแหละ ที่เธอยังไม่เฉดหัวหมอนี่ออกไปก็เพราะรู้ว่าหมอนี่จะไม่มีวันทำร้ายลูกชายของเธอได้

“....ครับ ผมจะปิดปากให้สนิท”

“ไปได้แล้ว”

เมื่อประตูปิดลงร่างระหงจึงลุกจากโต๊ะทำงานก่อนจะเดินไปยังโซฟารับแขก นัยน์ตาคมกริบตวัดมองไปยังรูปถ่ายที่วางเกลื่อนกระจายเต็มโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา...ในรูปถ่ายพวกนั้นมันคือรูปของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกับลูกชายของเธอเอง

หวังอี้ป๋อ...ใช่...ชื่อหวังอี้ป๋อสินะ?

ร่างระหงหย่อนตัวนั่งลงไปบนโซฟาก่อนจะหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมา...ลูกชายของเธอที่อยู่ในรูปกำลังยิ้มให้เด็กผู้ชายคนนั้น มือของเด็กนั่นกำลังลูบหัวอาจ้านอยู่...


แกร่บ...


รูปถ่ายถูกขย๋ำจนยับย่นคามือ

เรื่องที่อาจ้านชอบผู้ชายเธอไม่ได้ใส่ใจ แต่เรื่องที่เธอสนใจก็คือไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายหน้าไหนก็จะมาแย่งลูกชายไปจากเธอไม่ได้!!!

เธอเลี้ยงดูเด็กคนนั้นมาราวกับไข่ในหิน ชาตินี้ทั้งชาติถ้าอาจ้านไม่อยากทำงานเธอก็จะไม่บังคับ จะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆยังไงก็ได้ เธอเลี้ยงลูกชายเพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว ขอแค่อย่างเดียว


อย่าไปจากเธอ...


ถึงอาจ้านจะชอบคิดว่าตัวเองเป็นเพียงตุ๊กตา...แต่อาจ้านไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นตุ๊กตาตัวเดียวในโลกนี้ที่ได้รับหัวใจจากผู้หญิงเย็นชาอย่างเธอไป

นัยน์ตาคมกริบกรีดมองรูปถ่ายของเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลที่เดินเข้าอพาทเม้นต์ไปพร้อมกับลูกชายของเธอ...หวังอี้ป๋อสินะ...หวังอี้ป๋อ...

ก็ดี...

เธอจะได้มีเครื่องมือมาทำให้อาจ้านกลับมาอยู่ข้างๆเธอด้วยความสมัครใจและไม่คิดจะหนีไปจากเธออีก!















เจ้าโฮ่ง

อยู่ไหน?

ซ้อมเต้นอยู่ที่สตู47 นายล่ะเจ้าเหมียว?

[เซียวจ้าน : ส่งรูป]

ว้าว! นายขี่ม้าเหรอเจ้าเหมียว

อือ อยู่สนามม้ากับพวกหลี่จวิน เบื่อแล้ว อยากกลับ มารับหน่อย

กำลังจะเลิกซ้อมพอดี ฉันไปถ่ายรูปให้เอาไหม?

อื้อ! รออยู่นี่นะ

เคร อย่าเพิ่งเปลี่ยนชุดล่ะ อยากเห็น

อื้อ


ใบหน้ามนอมยิ้มกับหน้าจอแชทก่อนที่มันจะดับไปพอดีกับประตูที่เปิดออก

“เสี่ยวจ้าน? ตกลงจะไปกับพวกฉันรึเปล่า? เราไม่ได้ไปกินอาหารฝรั่งเศสด้วยกันนานแล้วนะ”   ไป๋หลี่จวินเดินเข้ามาในชุดขี่ม้าเต็มยศ เจ้าพวกนี้ก็แค่หาอะไรทำฆ่าเวลาและเขาก็ถูกลากมาก็เท่านั้น ร่างโปร่งบางเอนหลังพิงโซฟาในห้องแต่งตัวอย่างเกียจคร้าน ใบหน้ามนส่ายปฏิเสธเพื่อนสนิท

“ไม่ไปอ่ะ เดี๋ยวอี้ป๋อจะมา”   คงจะมีเพียงหลี่จวินที่เขาพูดเรื่องนี้ด้วยได้ ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้ามาล็อคคอเขาไว้

“นายจะติดแฟนจนไม่เอาเพื่อนแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าตัวดี”   หัวเขาถูกเขย่าจนโยกคลอน มือบางผลักท่อนแขนแข็งแรงนั่นออกไปก่อนจะบ่นงึมงำ

“ยังไม่ได้เป็นแฟน”   แก้มใสพองลมในขณะที่เพื่อนสนิทมองอย่างเอ็นดู

“หึ...การกระทำของพวกนายมันต่างกันตรงไหน”   ไป๋หลี่จวินลุกจากโซฟาก่อนจะเดินออกมา ถ้าหวังอี้ป๋อจะมาเขาก็ไม่ดึงดันจะลากเซียวจ้านไปด้วยกัน ปล่อยไว้แบบนั้นเจ้าตัวดีคงจะมีความสุขกว่า



ร่างสูงชะลูดของหวังอี้ป๋อเดินสวนเข้าไป ห้องแต่งตัวตามที่เจ้าเหมียวบอกหาไม่ได้ยากนัก

“เจ้าโฮ่ง มาแล้วเหรอ?”   ใบหน้ามนของคนที่นั่งหงอยมองสนามหญ้าสีเขียวนอกหน้าต่างหันมาทันทีที่เขาเดินเข้าไป มือใหญ่วางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟาก่อนจะมองเจ้าเหมียวเต็มตา

“ว้าว ชุดนายอย่างกับคุณชายเลยเจ้าเหมียว”   ร่างโปร่งกระโดดลุกจากโซฟามายืนเต็มความสูงให้เขาดู ชุดขี่ม้ากางเกงสีขาวสวมบูทสูงถึงหัวเข่าส่งให้เจ้าเหมียวดูราวกับราชนิกุล ทั้งหล่อเหลาและงดงามไปในคราวเดียวกัน

“ถ่ายรูปไหม?”  ใบหน้ามนเอียงคอถาม ปกติแล้วเขาแทบไม่เคยถ่ายรูปใครเก็บไว้แต่ตอนนี้ในโทรศัพท์ของเขามีแต่รูปของเจ้าเหมียวเต็มไปหมด

“อื้ม”   เจ้าเหมียวยิ้มร่าก่อนจะเดินไปนั่งขอบหน้าต่าง วงกบและกรอบบานสีขาวคลาสสิคเข้ากับชุดขี่ม้ามากจนเหมือนกับร่างโปร่งบางนั่นหลุดออกมาจากภาพวาด เจ้าเหมียวงดงามขนาดนี้เขาจะหลงหัวปักหัวปำคงไม่แปลก เสียงชัตเตอร์ลั่นรัวๆ เขาทอดสายตามองภาพในมือถือด้วยหัวใจที่มีแต่ไออุ่น

“ถ่ายสวยหรือเปล่า? ไหนเอามาดูซิ”   เจ้าเหมียวชะโงกหน้ามาดูรูปที่เขาถ่าย

“รูปนี้ไม่สวยอ่ะ ลบทิ้งเลย”   ปลายนิ้วเรียวจิ้มไปที่รูปหนึ่งซึ่งเจ้าเหมียวหลับตาอยู่ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าไม่สวยแต่เขากลับชอบมันมาก มันดูเป็นธรรมชาติดี

“ไม่เอา ไม่ให้ลบ”   เขาย้ายโทรศัพท์ไปให้พ้นมือเจ้าเหมียว คุณชายเซียวเมื่อโดนขัดใจจึงจะตามมาลบให้ได้

“ลบเดี๋ยวนี้”

“ไม่ลบ”

“ลบ!

“ไม่ลบ!” 

จากหวานกันอยู่ดีๆก็มาไล่ตีกันซะงั้น  เขายกโทรศัพท์มือถือหนีเจ้าแมวจอมเอาแต่ใจที่ตามคว้าไปตามร่างกายเขา พวกเขาเอาแต่มองกันและกันจึงไม่รู้เลยว่าความใกล้ชิดสนิทสนมนี้จะทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาใหม่ไม่พอใจจนไฟแทบลุก


ปัง!


เสียงทุบประตูทำให้เขากับเจ้าเหมียวชะงักค้างก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่กลางประตู

เป็นเฉินจงอี...ที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“จงอี? นายไม่ได้ไปกับหลี่จวินหรอกเหรอ?”   เจ้าเหมียวรีบถอยห่างจากเขาทันทีและเฉินจงอีก็ตรงดิ่งเข้ามากระชากคอเขาโดยไม่ฟังเสียง

“ฉันจะมาตามนายไปกินข้าว แต่นี่อะไร? ทำไมนายถึงอยู่กับไอ้หมอนี่?!”   หมัดที่เขาจำรสชาติของมันได้ดีเตรียมเงื้อขึ้นจะต่อย เขาจึงผลักอีกฝ่ายออกไป อย่าคิดว่าเขาจะไม่สู้!

“หยุดเดี๋ยวนี้!”   เจ้าเหมียวขยับเข้ามาขวางระหว่างพวกเขาสองคน เฉินจงอีกำหมัดแน่นมองหน้าเขาเขม็ง พวกเขาคงมีความแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้จึงเห็นหน้ากันไม่ได้เป็นต้องวางหมัดกันตลอด

เฉินจงอีกัดฟันกรอดก่อนจะสะบัดหน้าไปหาเจ้าเหมียว เสียงกดต่ำถามออกมาตรงๆเพราะคงรู้อยู่แก่ใจนานแล้ว

“นายรักมันเหรอ? เสี่ยวจ้าน”   เจ้าเหมียวนิ่งไปก่อนจะสูดลมหายใจแล้วเงยหน้าเผชิญหน้ากับเฉินจงอีตรงๆเช่นกัน

“ถ้าฉันจะพูดคำคำนั้น ฉันจะพูดกับเขาก่อน จะบอกเขาคนแรก ไม่ใช่กับนาย” 


ปึ้ง!!


เฉินจงอีเก็บอารมณ์ไว้ไม่ไหวอีกต่อไป หมัดใหญ่พุ่งเข้าใส่หน้าเจ้าเหมียวก่อนที่มันจะเลยไปต่อยลงที่ตู้ล็อคเกอร์ด้านหลังจนยุบลงไปเป็นรอยลึก ดวงตาดุดันที่มองเจ้าเหมียวนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งโมโห ทั้งเคืองแค้น ทั้งรัก ทั้งอ้อนวอน

เขารีบตรงเข้าไปผลักร่างสูงใหญ่นั่นออกไป ตอนที่เลือดขึ้นหน้าแบบนี้เฉินจงอีอาจจะทำอะไรไม่คิดก็ได้ มือใหญ่รีบดึงเจ้าเหมียวออกมาก่อนจะพาเดินออกจากห้อง แต่ขาทั้งสองคู่ยังไม่ทันจะพ้นประตู เฉินจงอีก็ตะโกนมาจากข้างหลัง

“เสี่ยวจ้าน มาแข่งกัน!”   เจ้าเหมียวชะงักไปทำให้เขาไม่อาจก้าวเดินได้ ใบหน้ามนหันไปมองคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทอย่างตัดไม่ขาด

“มาแข่งขี่ม้ากัน ถ้านายชนะ ฉันจะปล่อยนายไป แต่ถ้านายแพ้ นายต้องเป็นของฉัน”   คิ้วเรียวของเจ้าเหมียวขมวดเข้าหากันก่อนที่ร่างโปร่งบางจะตัดสินใจหันไปเผชิญหน้ากับเฉินจงอีอีกครั้ง

“ก็ได้ ฉันจะแข่งกับนาย...เพื่ออิสระของตัวฉันเอง อย่าลืมล่ะ ถ้าฉันชนะ นายต้องปล่อยฉันไป”   ถึงคิ้วเรียวจะยังขมวดอยู่แต่ดวงตาคู่โตก็มีแววมุ่งมั่นเอาจริง เขาจับมือบางอย่างต้องการจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเดิมพันแบบนั้น แต่มือบางกลับบีบมือเขาตอบราวกับกำลังจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาจึงทำได้แค่นิ่งเงียบและรอดูการต่อสู้ที่ไม่คุ้นเคยนี้

พวกเขาย้ายไปที่คอกม้า เจ้าเหมียวยกมือลูบหน้าเจ้าม้าสีขาวของตนเบาๆ เขายังรู้สึกเป็นห่วงเพราะดูแล้วเจ้าเหมียวไม่ใช่คนที่จะเอาชนะเรื่องกีฬาหรือการใช้กำลังกับเฉินจงอีได้

“เปลี่ยนไปแข่งอย่างอื่นไหม? ฉันจะได้แข่งแทนนาย”   เขาพูดกับเจ้าเหมียวด้วยความกังวลแต่ใบหน้ามนกลับหันมายิ้มให้

“ไม่เป็นไรหรอกน่า...การแข่งขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวางน่ะ มันไม่ได้วัดกันที่พละกำลังอย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของฉัน...กับเจ้านี่”   มือบางลูบแผงคอสีเทาเงินของเจ้าม้าตัวใหญ่อย่างคุ้นเคย เพราะมัวแต่กังวลเขาจึงเพิ่งจะได้มองม้าของเจ้าเหมียวเต็มตา เจ้าม้านี่สวยมาก สีขาวปลอดทั้งตัวยกเว้นแผงคอกับผมหน้าที่เป็นสีเทาเงิน เจ้าตัวนี้น่าจะเป็นม้าพันธุ์ดีแล้วก็ราคาคงจะแพงหูฉี่สมกับที่เป็นม้าของคุณชายเซียว

“กอดฉันหน่อยสิ”   จู่ๆเสียงนุ่มก็เอ่ยออกมาทำเอาเขาหันไปมองเจ้าเหมียวอย่างมึนงง ใบหน้าน่ารักนั่นกำลังทำแก้มป่องมองเขาอยู่ แล้วเขาก็พ่ายแพ้ต่อลูกอ้อนของเจ้าเหมียวตัวแสบนี่ทุกครั้งไป มือใหญ่ดึงลำตัวบางมากอด ยามเมื่อแผ่นอกแนบชิดกับหัวใจเขาถึงได้รู้...

ถึงใบหน้ามนจะทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาแต่ว่าหัวใจของเจ้าเหมียวกลับเต้นแรง ที่แท้ก็ตื่นเต้นก็กังวลอยู่เหมือนกันสินะ 

เจ้าเหมียวเกยคางไว้บนไหล่เขา อ้อมแขนผอมบางนั่นกอดรอบคอเขานานหลายนาทีราวกำลังเรียกแรงใจ

เขาจึงจูบริมฝีปากสีระเรื่อนั่นเบาๆ  “แถมจูบให้ด้วยเลยเอ้า”  ใบหน้าหล่อเหลาพูดด้วยรอยยิ้มละมุนในขณะที่กอดเอวบางเอาไว้หลวมๆ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะลงแข่งแทนเจ้าเหมียว แต่เขาก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีหรือต้องการแพ้ชนะเหมือนแข่งกีฬาทั่วไป...ระหว่างเจ้าเหมียวกับเฉินจงอีมีเส้นใยบางอย่างที่ต่างผูกมัดกันและกันเอาไว้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั้งคู่ตกอยู่ในความเจ็บปวดทรมาน และหากเจ้าเหมียวไม่ยอมเผชิญหน้า ไม่ยอมตัดมันด้วยตัวเอง เส้นใยแห่งความกระอักกระอ่วนใจนี้ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งมันไม่ดีต่อใครเลย ทั้งตัวเจ้าเหมียวเองและตัวเฉินจงอีด้วย



เจ้าเหมียวจูงม้าออกจากคอกก่อนจะเดินไปยังจุดสตาร์ท ดูเหมือนเจ้าเหมียวกับเฉินจงอีจะไม่ได้ใช้การนับคะแนนที่ยุ่งยากตามหลักการแข่งม้าสากลทั่วไป แต่ตัดสินกันที่ใครบังคับม้าให้ข้ามเครื่องกีดขวางได้มากกว่าแค่นั้น

เฉินจงอีเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ร่างสูงใหญ่กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าสีดำ เจ้าม้าตัวใหญ่วิ่งเหยาะๆเข้าหาไม้กั้นอันแรกก่อนจะกระโดดข้ามไปอย่างง่ายดาย มันค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆเมื่อต้องกระโดดข้ามไม้กั้นอันสูงๆ แล้วเครื่องกีดขวางทั้งหมด 12 อันก็ถูกเฉินจงอีข้ามไปได้ทั้งหมด!

มือของเขาเริ่มชื้นเหงื่อเมื่อเห็นเฉินจงอีทำได้ดีขนาดนี้ ดวงตาคมกล้าหันไปมองเจ้าเหมียวซึ่งขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวเพื่อเตรียมความพร้อม ขนาดเขายังกดดันขนาดนี้ แล้วเจ้าเหมียวจะเครียดขนาดไหน จะพลาดไม่ได้แม้แต่อันเดียว อย่างน้อยก็ต้องยันเสมอเอาไว้

หัวใจของเขาเต้นระรัว มันตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าลงไปแข่งเอง การที่ทำได้แค่ยืนดูอยู่ข้างๆมันทรมานจริงๆ

เจ้าเหมียวหันมามองเขาแว่บหนึ่งก่อนจะบังคับเจ้าม้าสีขาวให้วิ่งออกไป ร่างโปร่งบางนั่นสง่างามราวกับเจ้าชายเลยจริงๆเมื่ออยู่บนหลังม้าและเขาคงจะได้ชื่นชมความงามนั้นมากกว่านี้ถ้าไม่ติดที่ว่ากำลังอยู่ในการเดิมพัน!

ม้าสีขาวกระโดดก้าวข้ามไม้กั้นอันแรกไปได้อย่างงดงาม เจ้าเหมียวยังคงบังคับม้าต่อไปด้วยใบหน้านิ่งๆ เขาอาจจะตื่นเต้นไปเองเพราะเจ้าเหมียวกับม้านั่นยังคงกระโดดข้ามไม้กั้นได้อย่างต่อเนื่อง ถึงจะเบาใจได้หน่อยแต่เขาก็ยังคงลุ้นตาไม่กระพริบ

อันที่เจ็ด...

อันที่แปด.....

อันที่เก้า...........

ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกได้ว่าม้าของเจ้าเหมียวมีอาการแปลกๆเมื่อยิ่งวิ่งมากขึ้น สีหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจของเจ้าเหมียวเองก็เริ่มมีความกังวล แล้วจู่ๆเจ้าม้าสีขาวมันก็ไม่ยอมกระโดดข้ามไม้กั้นอันที่สิบ!

มือบางถึงกับต้องดึงสายบังเหียนเพื่อให้มันหมุนตัวกลับไม่กระโดดชนไม้กั้น มือบางตบหลังคอสีเทาเงินอย่างปลอบโยน ส่วนเขาที่ทำได้แค่ยืนมองนั้นกำลังบีบมือทั้งสองข้างแน่น มันเกิดอะไรขึ้น เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือไง เขาลุ้นจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว!

เจ้าเหมียวพาม้าไปตั้งหลักใหม่ก่อนจะมองไม้กั้นอันนั้นด้วยสายตามุ่งมั่น เจ้าม้าสีขาวออกวิ่งอีกครั้งและคราวนี้มันก็กระโดดข้ามไม้กั้นอันที่สิบนั่นไปจนได้ เขาถึงกับถอนหายใจยาว

ม้าสีขาวยังคงวิ่งต่อไป มันกำลังจะกระโดดข้ามไม้กั้นอันที่สิบเอ็ด ความกลัวและความกังวลใจจากเจ้านายของมันอาจจะเริ่มส่งผลต่อเจ้าม้าตัวนั้น ยามที่กระโดดข้าม ปลายเกือกม้าจึงไปสะกิดเข้าที่ไม้กั้นจนสั่นไปทั้งอัน!

เขามองไม้กั้นอันนั้นอย่างใจหายใจคว่ำ สองมือได้แต่ยกขึ้นมาภาวนาไม่ให้มันร่วงลงมา ไม้กั้นสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ร่วงลงมา...

หวังอี้ป๋อถึงกับต้องใช้มือยันแผงกั้นสนามเอาไว้ เขารู้สึกราวกับจะทรงตัวไม่อยู่ เขาจะมีชีวิตรอดไปจนถึงไม้กั้นอันสุดท้ายนั่นไหม ลุ้นจะตายห่าอยู่แล้ว!


เคร้ง...


เสียงบางอย่างทำให้เขารีบเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะชะงักค้าง  ภาพตรงหน้าราวกับว่ากำลังพรากวิญญาณออกจากร่างของเขาไป

ทำไมไม้กั้นอันที่สิบสองถึงร่วงลงมาล่ะ?

มือใหญ่ยกขึ้นมาขยี้ตาตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป เจ้าเหมียวบังคับม้าให้กระโดดข้ามไม้กั้นอันสุดท้าย ทั้งๆที่น่าจะผ่านไปได้...แต่ทำไมมันถึงร่วงลงมาได้ล่ะ?

เขายืนมองไม้อันนั้นตาค้างและคนที่ช็อคยิ่งกว่าก็คือคนที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า...

ร่างสูงชะลูดรีบเดินเข้าไปหาร่างโปร่งบาง ฝ่ามือใหญ่จับฝ่ามือบางเอาไว้ก่อนจะเรียกให้เจ้าเหมียวรู้สึกตัว ใบหน้ามนที่กำลังนิ่งค้างจึงค่อยๆมองมาทางเขา

“เจ้าโฮ่ง...”   ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา เจ้าเหมียวกระโดดลงมาก่อนจะโผกอดเขาแน่น ที่ไหล่ของเขากำลังเปียกปอนไปด้วยน้ำตา เขาได้แต่กำหมัดอย่างเจ็บใจ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง เขาไม่ยอมปล่อยเจ้าเหมียวไปแน่ๆ เขาไม่ยอมยกเจ้าเหมียวให้เฉินจงอีแน่ๆ!

“นายแพ้แล้วเสี่ยวจ้าน...”   เฉินจงอีเดินเข้ามาหาพวกเขา ใบหน้าทะมึนนั่นบ่งบอกว่าไม่พอใจที่เจ้าเหมียวยังกอดเขาไม่ยอมปล่อยและยิ่งกอดแน่นขึ้นอีกเมื่อรับรู้ว่าเฉินจงอีพยายามจะดึงตัวออกไป ดวงตาดุดันของเขากับเฉินจงอีสบประสานกันอย่างดุเดือด บอกเลยว่าให้ต่อยกันตายไปข้างตรงนี้ก็เอา

“หรือนายเองก็อยากจะแข่งกับฉันด้วย? เอาสิ เพราะยังไงฉันก็จะชนะ”   หมอนั่นท้าทายเมื่อเขาไม่ยอมละสายตา  เขาแทบจะตบปากรับคำท้าทั้งๆที่ขี่ม้าไม่เป็น

“จงอี พอได้แล้ว”  แต่แล้วคนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างหยุดชะงักกลับเป็นคนที่กำลังเดินเข้ามา


ไป๋หลี่จวิน...?


ทายาทตระกูลไป๋เดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยใบหน้านิ่ง ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาช่วยเฉินจงอีเสียอีกเพราะยังไงทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกัน แต่กลับกลายเป็นว่า

“เสี่ยวจ้าน หยุดร้อง นายไม่ได้แพ้”   มือใหญ่ของคุณชายไป๋บีบที่ไหล่บางเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองเฉินจงอีอย่างเอาเรื่อง

“.......”   เฉินจงอียังไม่ยอมพูดอะไร เพื่อนสนิททั้งสองคนต่างกำลังต่อสู้กันด้วยสายตา

“นายไปเองจะดีกว่านะจงอี เกมนี้คนที่แพ้คือนาย”   เฉินจงอีถึงกับกำหมัดแน่น แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ไป๋หลี่จวินยังคงเหนือกว่าเสมอ

หวังอี้ป๋อได้แต่มองทั้งสองคนอย่างอึ้งๆ ก็เฉินจงอีที่ดุร้ายกับเขาขนาดนั้นกลับได้แต่ยืนนิ่งต่อหน้าไป๋หลี่จวิน...ทายาทตระกูลไป๋ช่างน่ากลัวจริงๆ แต่บางทีคนที่น่ากลัวที่สุดอาจจะเป็น...

“ทำไมนายถึงเข้าข้างไอ้หมอนั่น?!   เฉินจงอีเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ฉันเข้าข้างเสี่ยวจ้าน แล้วฉันก็เข้าข้างเสี่ยวจ้านมานานแล้วด้วย นายก็น่าจะรู้ดี”   แต่ไป๋หลี่จวินกลับยักไหล่แล้วตอบด้วยท่าทางสบายๆ ทีนี้ก็รู้แล้วว่าใครน่ากลัวที่สุดในแก๊งเจ้าชาย!

“.....ถ้านายอยู่ข้างเสี่ยวจ้าน นายก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด คนที่ดีที่สุดให้เสี่ยวจ้านสิ!   เฉินจงอียังคงไม่ยอม ใบหน้าดุดันตะคอกใส่เพื่อนสนิท เจ้าเหมียวค่อยๆแอบเหลือบมองทั้งๆที่ยังกอดเขาไม่ปล่อย

“นายไม่ใช่เสี่ยวจ้านนะจงอี นายจะไปรู้ได้ไงว่าคนไหนคือคนที่ดีที่สุดสำหรับเสี่ยวจ้าน เพราะฉะนั้นคนที่จะเลือกคือเสี่ยวจ้าน ไม่ใช่นายแล้วก็ไม่ใช่ฉัน”   ไป๋หลี่จวินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็บเหยียบ ถึงใบหน้าคมจะยังสบายๆแต่สายตากลับมืดมนจนมองไม่เห็นก้นหลุม

“......”   เฉินจงอีจ้องหน้าเพื่อนสนิทเขม็งก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินจากไป เขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก  ไป๋หลี่จวินจึงหันมามองเจ้าเหมียวด้วยรอยยิ้มขำๆ นี่ก็เปลี่ยนโหมดไวเหลือเกิน

“หลี่จวิน....”   เจ้าเหมียวยอมละออกไปจากอ้อมแขนของเขา คิ้วเรียวยังคงขมวดมุ่น ดูท่าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์พอๆกับเขา

“เลิกร้องไห้ได้แล้วเจ้าตัวดี”

“ฉันไม่ได้แพ้หรอกเหรอ?”

“ถ้านายแพ้จริงๆ นายคิดว่าอย่างจงอีจะยอมเดินไปง่ายๆงี้เหรอ?”   คุณชายไป๋ยักไหล่เหมือนรู้ไปซะทุกเรื่อง

“ถ้างั้น แล้วทำไม??”   เจ้าเหมียวยังคงทำหน้างง เขาเองก็ด้วย

“หมอนั่นรบกวนม้าของนาย”   ใบหน้ามนนิ่งค้างไปเมื่อรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ม้าตัวโปรดมีอาการผิดปกติ

“..........”   คุณชายน้อยตระกูลเซียวถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะเล่นสกปรกกับตน ในเมื่อตลอดมาเฉินจงอีคือคนที่จริงใจกับเขามาตลอด คือคนเพียงไม่กี่คนที่เขาไว้ใจ

“อย่าโกรธหมอนั่นเลยนะ หมอนั่นแค่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงเลือกหวังอี้ป๋อ แล้วหมอนั่นเอง...ก็รักนายมานาน จะให้ทำใจปล่อยไปง่ายๆมันก็คงไม่ได้”   ใบหน้ามนก้มลงมองพื้นอย่างรับฟัง ความรู้สึกของจงอีมีหรือเขาจะไม่รู้ เพียงแต่ความรู้สึกของเขามันจบลงไปนานแล้ว ไม่มีวันที่จะรื้อฟื้นได้อีก

“พวกนายกลับบ้านกันไปเถอะ ทางนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง”  ไป๋หลี่จวินตบไหล่ของเขาเบาๆ  เขาหันไปมองเจ้าโฮ่งที่มีสีหน้าเหมือนคนอยากรู้แต่ก็ไม่อยากถาม...บางที...มันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ ที่เขาควรจะเล่าเรื่องระหว่างเขากับจงอีให้เจ้าโฮ่งฟัง ถึงแม้เจ้าโฮ่งจะไม่ใช่คนงี่เง่า แต่รอยร้าวรอยเล็กๆก็สามารถจะทำให้แก้วแตกได้ เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราต้องพังลงเพราะเรื่องในอดีตที่จบไปแล้ว















ตลอดทางที่เดินกลับบ้านเจ้าเหมียวไม่ยอมปล่อยมือเขาแม้สักวินาทีเดียว หลายครั้งที่มือใหญ่เผลอคลายออกเพราะมัวมองข้างทาง มือบางข้างนั้นก็จะเป็นฝ่ายสอดประสานเข้ามาจนแน่นเหมือนเดิม

ดวงตาคมกล้าของหวังอี้ป๋อเหลือบมองมือบางที่จับมือเขาไว้ ตอนนี้เจ้าเหมียวกำลังรู้สึกยังไงมันถูกส่งผ่านฝ่ามือข้างนั้นมาทั้งหมด

“เจ้าเหมียว”   เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเมื่อพวกเขาก้าวขาเข้ามาในห้อง ประตูปิดลงพร้อมๆกับใบหน้ามนที่หันมาพลางทำหน้าสงสัย

“หื๋อ?

“นายกลัวเหรอ?  เจ้าเหมียวชะงักไปก่อนจะพยักหน้ารับน้อยๆ วินาทีที่มองเห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลของเจ้าเหมียว ฝ่ามือก็ดึงร่างโปร่งบางเข้ามากอดไว้โดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก ที่ไหนสักที่ในใจของเขาก็เจ็บแปลบเช่นกัน เขาไม่ควรปล่อยให้เจ้าเหมียวต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้เลย

“ต่อให้นายต้องทำตามสัญญา แต่ฉันสาบานว่าฉันจะแย่งนายคืนมาจากหมอนั่นให้ได้...นายไม่ต้องกลัว”   เขากดใบหน้าลงบนกลุ่มผมนิ่มก่อนจะกระซิบด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น เขาอยากให้เจ้าเหมียวรู้ เขาอยากให้เจ้าเหมียวมั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือข้างนี้ไป เขาพร้อมจะบุกไปเอาคืนไม่ว่าใครจะขโมยแมวของเขาไปไหน

ใบหน้ามนนิ่งไปเมื่อได้ฟังประโยคที่แสนหนักแน่น หัวใจที่เคยวูบโหวงจนถึงเมื่อครู่ถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกบางอย่าง ตอนนี้เขาไม่รู้สึกกลัวอีกแล้ว รอยยิ้มค่อยๆปรากฏบนริมฝีปากทั้งๆที่น้ำตาก็กำลังรื้นขึ้นมา เขาจึงซุกใบหน้าลงไปบนลาดไหล่กว้าง ท่อนแขนกอดกระชับลำตัวหนา อยากกอดให้แน่นๆ อยากกอดจนจมหายไปในตัวอีกฝ่ายได้เลยยิ่งดี

“เจ้าโฮ่ง”   เสียงของเขาดังอู้อี้เพราะยังไม่ยอมเงยหน้าจากอ้อมอกอบอุ่น

“หื๋ม?   เจ้าโฮ่งตอบในขณะที่ลูบหัวเขาเบาๆ  เขาสูดหายใจเข้าก่อนจะยันกายออกไปเพื่อเผชิญหน้ากันตรงๆ

“นาย...จะฟังเรื่องของฉันกับเฉินจงอีหน่อยได้ไหม?...นายควรจะได้รู้...”   ใบหน้าคมทอดสายตาอ่อนโยนมองเขาก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เขาจึงทรุดนั่งลงที่โซฟาก่อนจะยกขาขึ้นมากอดไว้ ดวงตากลมโตกรอกมองพื้นอย่างพยายามนึกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี

“ฉัน จงอี แล้วก็หลี่จวินเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล”   เจ้าโฮ่งนั่งลงข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะเล่า

ตอนแรกๆจงอีก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันนักหรอก เพราะจงอีถูกที่บ้านบังคับให้มาเป็นเพื่อนกับฉัน ฐานะทางบ้านของฉันก็อย่างที่นายรู้ ใครๆก็อยากเข้าหาคุณชายน้อยตระกูลเซียวกันทั้งนั้นแหละ”   เขาเป็นลูกชายคนเดียว เป็นหลานคนเดียว เป็นเหลนคนเดียวในรุ่นนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าทรัพย์สมบัติมหาศาลรวมทั้งกิจการทุกอย่างของตระกูลเซียวจะไปอยู่ที่ใครได้ถ้าไม่ใช่เขา แค่เขาเกิดมาเป็นเด็กผู้ชาย ทั้งปู่ย่าตาทวดก็แทบจะประเคนทุกอย่างที่มีให้เขาแล้ว ยิ่งแม่ของเขาไม่เหมือนผู้หญิงคนไหน แม่ไม่คิดจะมีลูกอีก เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นทุกอย่างของตระกูลเซียวและเรื่องนี้ทุกคนก็รู้กันตั้งแต่วันที่เขาลืมตาดูโลก

“แต่หมอนั่นกลับไม่ชอบ จงอีคิดว่าทั้งๆที่ฉันเป็นคนอ่อนแอแต่กลับมีแต่ผู้คนรุมล้อม หมอนั่นจึงเป็นคนเดียวที่พยายามหนีฉัน ตอนที่จงอีหนีฉัน พยายามตีตัวออกห่างจากฉันมันตลกมากเลย ฉันก็เลยเป็นฝ่ายตามตื้อตามเกาะติดหมอนั่นเพราะเห็นว่ามันขำดี เด็กชายจงอีจะสะดุ้งโหยงทุกครั้งเวลาที่ฉันหาหมอนั่นเจอ หมอนั่นจะชอบทำหน้ารำคาญ ทำหน้าเหมือนหมาดุทั้งๆที่เป็นแค่เด็กคนหนึ่งแท้ๆ~   ใบหน้ามนอมยิ้มน้อยๆเมื่อนึกภาพในวันเก่าๆก่อนจะเล่าต่อ

“ส่วนหลี่จวินก็ตามฉันอีกที สำหรับหมอนั่นฉันน่าจะเป็น อืม...ประมาณสมบัติของมวลมนุษยชาติ? เอาจริงๆฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจหลี่จวินเท่าไหร่ แต่หมอนั่นน่าจะเห็นฉันเป็นไหกระเบื้องเคลือบที่ประเมินราคาไม่ได้อะไรเทือกๆนั้น….ไปๆมาๆก็เลยกลายเป็นว่าเรามักจะอยู่ด้วยกันสามคนเสมอ”

“จากตอนแรกที่จงอีไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉัน แต่เพราะตอนเด็กๆฉันป่วยบ่อย วิ่งตามหมอนั่นอยู่ดีๆเป็นลมไปก็มี ก็เป็นจงอีเองนั่นแหละที่ต้องคอยแบกฉันไปส่งห้องพยาบาล บ่อยๆเข้าหมอนั่นเลยเลิกวิ่งหนีเปลี่ยนเป็นเดินหนีแทน ฉันจะได้เดินตามได้ ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน”   เขาหลุดขำส่วนเจ้าโฮ่งถึงกับทำหน้าอึ้งๆปนเห็นใจเฉินจงอี

“แล้วฉันเองก็มักจะเป็นที่ต้องการของคนรอบข้าง มีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายมายื้อยุดแย่งกันตลอด จงอีก็จะรำคาญที่ฉันไปทำเสียงดังหนวกหูอยู่ข้างๆ หมอนั่นเลยจะคอยไล่ตะเพิดทุกคนไป ทุกคนกลัวหมอนั่น ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้ามาวอแวฉันไปด้วย”

“มีอีกนะ นายคงเดาออกใช่ไหมเจ้าโฮ่งว่าตอนเด็กๆฉันน่ารักเหมือนตุ๊กตา มันก็จะมีเด็กอีกจำพวกที่ชอบแกล้งคนที่ตัวเองสนใจ เพราะงั้นฉันเลยโดนแกล้งบ่อยๆ แล้วก็เป็นจงอีนี่แหละที่คอยต่อยพวกนั้นคว่ำจนถูกเรียกผู้ปกครองมาพบแทบจะวันเว้นวัน คุณแม่ของจงอีไม่ได้ทำงาน ท่านก็เลยมีอาชีพพบครูประจำชั้นของลูกชายแทน ฮ่าๆๆ”  

“...นายนี่ก็สร้างความเดือดร้อนให้เฉินจงอีไม่ใช่น้อยเลยนะเจ้าเหมียว   หวังอี้ป๋อมองร่างโปร่งบางอย่างละเหี่ยใจ เจ้าเหมียวนี่มีนิสัยก่อความวุ่นวายให้คนรอบข้างมาตั้งแต่เด็กๆแล้วสินะ

“ใช่ไหมล่ะ”   ใบหน้ามนเล่าต่ออย่างไม่สะทกสะท้านกับเรื่องที่เคยก่อไว้

“แต่เพราะแบบนั้นแหละ พวกเราสามคนเลยสนิทกัน ไปไหนก็จะไปด้วยกันตลอด ตั้งแต่อนุบาล ประถม จนถึงมัธยม...จงอีจะเป็นคนคอยปกป้องคอยดูแลฉัน ส่วนหลี่จวินจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดมากกว่า เวลาที่มีใครมาหาเรื่องฉัน จงอีจะเป็นคนไปอัดมันจนต้องหามเข้าโรงพยาบาล ส่วนหลี่จวินจะคอยคิดแผนเอาคืนทีหลัง เพราะงั้นใครที่กล้ามีเรื่องกับฉัน ถ้าไม่โง่ก็ต้องบ้าแบบสุดๆ”   เจ้าโฮ่งยิ้มแห้งพลางพยักหน้าหงึกๆ เขาเสสายตามองพื้น ตอนเด็กๆช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันสามคนนั้นมีความสุขมากจริงๆ มีแต่ความทรงจำดีๆเต็มไปหมด...ถ้าหากว่าเขาไม่รู้ตัว...ก็คงจะดี

เสียงเงียบไปพักหนึ่งเพราะเขาต้องใช้เวลาในการที่จะเล่าเรื่องต่อไป ช่วงเวลาต่อจากนี้มันไม่ง่ายเลยสำหรับเขาที่จะเล่าให้ใครฟัง

“ในสายตาของฉัน จงอีเท่ห์มาก ตอนนั้นฉันมักจะถูกดันให้ไปหลบอยู่ข้างหลังเสมอ แผ่นหลังของหมอนั่นจะคอยปกป้องฉันอยู่ตลอด...ฉันเลย...คอยๆตกหลุมรักหมอนั่นโดยไม่รู้ตัว   เจ้าโฮ่งเองก็เงียบไป เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจรับฟัง

“กว่าจะแยกออกว่าความรักต่างจากความเป็นเพื่อน ฉันก็รักหมอนั่นจนถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว...ตอน ม.ต้น ฉันเลยตัดสินใจที่จะสารภาพรัก  

“เพราะฉันคิดมาตลอดว่าจงอีก็คงจะรักฉันเหมือนกัน ถึงได้คอยปกป้องฉันเสมอ คอยอยู่เคียงข้าง คอยจับมือในวันที่ลำบากไปด้วยกัน ฉันคิด...ว่าความรู้สึกของเราสองคนคงจะตรงกัน

“แต่มันไม่ใช่...จงอีปฏิเสธฉันและบอกว่ารู้สึกกับฉันแค่เพื่อนเท่านั้น”   ความเศร้าหมองยังคงลอยจางๆอยู่ในใจยามเมื่อแผลเก่านี้ถูกสะกิดขึ้นมา เขามองหน้าเจ้าโฮ่งก่อนจะพูดออกไปด้วยเสียงเบาหวิว

“ตอนนั้น...ฉันเจ็บมากเลยเจ้าโฮ่ง....”   มือใหญ่เอื้อมมาจับมือเขาไว้ก่อนจะบีบเบาๆ และมันก็ทำให้เขามีความกล้าพอที่จะก้าวผ่านเรื่องราวในอดีตไป ริมฝีปากของเขาจึงสามารถพูดถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมาได้

“...เท่านั้นไม่พอ จงอียังไปคบกับผู้หญิงที่มาสารภาพรักหลังจากนั้น

“ฉันเจ็บมาก...ร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไง...มีแค่หลี่จวินที่รู้ทุกอย่าง มีแค่หลี่จวินที่คอยปลอบฉัน”   สภาพของเขาตอนนั้นแม้แต่ตัวเองยังไม่อยากจะจำเลย

“ถึงฉันจะเจ็บ ถึงฉันจะโกรธ ถึงฉันจะอยากใช้อำนาจ ใช้เงิน ใช้อะไรก็ได้ที่ฉันมี บังคับจงอีให้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วมาคบกับฉันแทน แต่เพราะฉันรักเขา ฉันอยากให้เขามีความสุข...ฉันเลยยอมตัดใจ”

“เพราะจงอีเป็นเพื่อนสนิท หลี่จวินก็เลยทำอะไรไม่ได้ แม้แต่แม่ของฉันก็ยังทำอะไรไม่ได้เพราะบ้านของจงอีเองก็ไม่ธรรมดา”

“ฉันแอบตามดูจงอีกับผู้หญิงคนนั้นอยู่หลายอาทิตย์เพราะฉันคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจ แต่ภาพที่ฉันเห็นกลับทำให้เป็นฉันเองที่ต้องตัดใจ พวกเขาทั้งสองคนดูมีความสุขกันมาก

“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากมากสำหรับฉัน มันทรมานมากจริงๆ...ช่วงปิดเทอมฉันถึงกับต้องหนีไปอยู่ที่อังกฤษทั้งฤดูร้อนเพราะไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนั้นอีก ฉันเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านที่อังกฤษ วาดรูปไปเรื่อยๆ ไม่ติดต่อใคร ไม่เปิดโซเชียล มีแค่หลี่จวินกับแม่ที่คอยบินไปหาฉัน”

“ฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเลิก อาจจะต้องขอบคุณสายเลือดตระกูลเซียวในตัวฉัน เพราะบ้านฉันเป็นเหมือนกันหมด คนตระกูลเซียวเป็นพวกเจ็บแล้วจำฝังใจและจะไม่ให้อภัยคนที่ทำให้ตัวเองเจ็บ”

“ฉันอยู่ที่อังกฤษจนหมดหน้าร้อน ฉันไม่รู้ข่าวคราวของจงอีเลย พอกลับมาถึงได้รู้ว่าจงอีเลิกกับผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว

“จงอีอาจจะไม่เคยคิดเรื่องความรักมาก่อนและไม่เคยรู้ตัวเลยว่าจริงๆแล้ว...หมอนั่นเองก็รักฉัน

“จงอีน่าจะเริ่มรู้ตัวหลังจากที่คบกับผู้หญิงคนนั้น ว่าจริงๆแล้วตัวเองก็ชอบฉัน เพียงแต่ตอนแรกคงยังยอมรับไม่ได้ที่เราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่...พอฉันกลับมา หมอนั่นก็เริ่มเข้าหาฉัน แต่ฉันขีดเส้นชัดเจนว่าจะเป็นแค่เพื่อนและจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องเจ็บอีก จะไม่ให้โอกาสจงอีอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าจงอีจะตามง้อตามเฝ้ายังไง ฉันก็เมินใส่...ความรักที่เคยมีให้ก็กลายเป็นความเย็นชาไป”

“ในสายตาของฉันมองจงอีมากกว่าเพื่อนไม่ได้อีกแล้ว”   ในตอนนั้นหลี่จวินก็เคยถามเขา ว่าไม่คิดจะรับรักจงอีเหรอ? เพราะแค่เขายอมให้อภัย ยอมหันกลับไป ทั้งสองคนก็น่าจะมีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รักกัน แล้วเขาจะเย็นชาใส่จงอีทำไม?

เรื่องนี้หลี่จวินไม่เข้าใจ ว่าครั้งหนึ่งจงอีเองก็เคยทอดทิ้งเขาและมองเขาที่กำลังทรมานแทบตายด้วยสายตาเย็นชา

หลี่จวินไม่เข้าใจ...แต่คนที่เข้าใจคือแม่ของเขาและแม่เป็นคนสอนเขาเองว่า คนที่เคยทำให้เราเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมทำให้เกิดครั้งที่สองได้อีก เพราะฉะนั้นคนตระกูลเซียวจะต้องไม่ยอมให้อภัยคนที่ทำให้เราเจ็บ

และเขาก็เชื่อแม่

เรื่องของจงอีมันสายเกินแก้ไปแล้ว...

ทั้งเขาทั้งเจ้าโฮ่งต่างเงียบไป เจ้าโฮ่งคงไม่รู้จะพูดอะไร มือใหญ่จึงบีบมือเขาเบาๆแทน

เขาถอนหายใจและมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวด ความทรมาน ทุกๆอย่างมันคือประสบการณ์ที่เขาต้องผ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ที่จะมีความสุขให้ได้ในวันข้างหน้า ถ้าไม่มีเรื่องของจงอี เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าทำยังไงเขาถึงจะได้ตัวเจ้าโฮ่งมา

ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้า คนคนนี้ต่างหากคือปัจจุบันและอนาคตที่เขาต้องรักษาไว้ให้ดี จากการเรียนรู้เรื่องในอดีต

เพราะรักแรกที่ไม่สมหวัง มันเลยสอนฉันให้ระวังหากจะมีความรักครั้งใหม่ ฉันจะต้องไม่เดินดุ่มๆเข้าไปสารภาพรักกับเขา แต่ต้องค่อยๆอยู่ด้วยกัน หาเรื่องสนุกๆทำด้วยกัน ทำให้เขารู้ว่าฉันรักเขา ค่อยๆเรียนรู้กันและกันให้มั่นใจก่อนว่าเขาเองก็รักฉันเหมือนกัน”   เขายิ้มบางๆให้เจ้าโฮ่งเพื่อสื่อความหมาย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่า

ถ้างั้นก็...เป็นแฟนกันไหม?”   คำถามสั้นๆง่ายๆได้ใจความถูกถามออกมาจากปากของหวังอี้ป๋อ แล้วมันก็ทำเอาเขาตกใจจนแทบจะตกโซฟา!

“ห๊ะ?...........”   ใบหน้ามนถึงกับอ้าปากค้างมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาหูฝาดไป? หรือเขาอาจจะหลอน?

“ฉันถามว่า นายจะเป็นแฟนกับฉันได้ไหมเจ้าเหมียว? อย่าให้ต้องพูดหลายรอบสิ มันเขิน!”   เจ้าโฮ่งหน้าแดงไปจนถึงใบหู โธ่โว้ย! มีแต่นายคนเดียวรึไงที่เขิน! ฉันเองก็เหมือนกัน! ดูซิเนี่ยหน้าเน่อร้อนเป็นไฟไปหมดแล้ว!

“นี่นาย...จะไม่บอกรักก่อนเลยรึไง เจ้าโฮ่งไร้ความโรแมนติก!”   เขาพยายามจะกลบเกลื่อนความเขินอาย ตอนนี้สมงสมองแทบจะไม่รับรู้อะไรแล้ว มันแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ หัวใจก็เต้นอย่างกับเสียสติ

“ถึงไม่บอก นายก็รู้อยู่แล้วไหม ว่าฉันรักนาย”   จู่ๆเจ้าโฮ่งบ้าก็โพล่งออกมาว่ารักเขา คราวนี้มีทั้งควันไฟและเสียงระเบิดดังออกไปจากใบหน้าเขา!

“อ๊า~~~”   สองมือยกขึ้นมาปิดหน้า เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยไม่ได้เตรียมใจ เรียกว่าเป็นการสารภาพรักที่เรียลสุดอะไรสุด แถมเจ้าคนสารภาพรักยังเผด็จการสุดๆ!

“ตกลงว่าไง?”   เจ้าโฮ่งคาดคั้นจะเอาคำตอบที่รู้ดีอยู่แล้วทั้งๆที่ตัวเองก็หน้าแดงเถือก เขาจึงหลับหูหลับตาตะโกนใส่หน้าไป

“ก็ได้! ฉันจะเป็นแฟนนาย!”    คงจะเป็นการตกลงคบกันที่รุนแรงและไร้ความโรแมนติกที่สุดแล้ว ไม่มีทั้งดอกไม้หรือบรรยากาศหวานๆ ไม่มีทั้งการจัดฉากหรือตระเตรียมสถานที่ ไม่มีการปูพื้นหรือเกริ่นนำ มีแต่การกระทำที่ออกมาจากใจล้วนๆ

พวกเราถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเริ่มรักกันตอนไหน ไม่รู้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้น แม้แต่ตอนจะคบกันก็ยังขอกันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

แต่การที่คนที่เรารักเขาตอบรับเรามันดีแบบนี้นี่เอง ที่หัวใจทั้งตื่นเต้น ตื้นตัน ดีใจ จนน้ำตาแทบไหล

ร่างโปร่งบางโผเข้ากอดอ้อมแขนที่อ้ารออยู่ ปลายคางมนเกยไว้บนไหล่หนาเช่นเดียวกับใบหน้าคมที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มใส

“ตั้งแต่วันนี้ไป นายเป็นแฟนฉันนะเจ้าเหมียว”   นัยน์ตาสุขุมทอดมองแผ่นหลังบางที่อยู่ในอ้อมแขน หัวใจของเขายังเต้นโครมครามอยู่เลย ถึงจะรู้อยู่ว่าความรู้สึกของเรามันตรงกันแต่กับการเอ่ยด้วยปากนั้นมันยากกว่าที่คิดจริงๆ ถึงจะดูเหมือนเขาโพล่งออกไปแบบไม่คิด แต่เขาก็รวบรวมความกล้ามาไม่ใช่น้อยเลยนะ

“อื้อ”   เจ้าเหมียวตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัด เขาจึงกดใบหน้าลงไปที่กลุ่มผมสีดำสนิทก่อนจะจุมพิตด้วยความรักใคร่

พอฉันได้ฟังเรื่องของเฉินจงอี มันทำให้ฉันคิด...ว่าฉันเองก็ควรจะทำให้ความสัมพันธ์นี้มันมีชื่อเรียกสักที ถึงฉันจะไม่เหมือนหมอนั่นที่ไม่กล้ายอมรับหัวใจของตัวเองจนต้องสูญเสียนายไป...แต่ฉันก็กลัวว่าความไม่ชัดเจนมันอาจจะทำให้นายรู้สึกไม่มั่นใจแล้วอาจจะทิ้งฉันไปแบบเฉินจงอีก็ได้”   เขาดันไหล่บางให้เจ้าเหมียวขยับมามองหน้ากันตรงๆ

ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ทิ้งนายแน่ เพราะฉันเองก็ไม่คิดจะปล่อยนายไปเหมือนกันเจ้าโฮ่ง นายไม่รู้เหรอว่าฉันอ่อยนายมาตลอดเพื่อให้นายหลงรักฉัน? ในเมื่อฉันชอบนาย ฉันก็จะทำให้นายรักฉัน หนีไม่รอดไปจากมือฉัน”   เขาถึงกับหลุดขำให้กับคำพูดคำจาน่าหมั่นไส้นั่น ตกลงเจ้าเหมียวนี่อ่อยเขาอย่างที่เขาเคยคิดไว้จริงๆสินะ

หึ ร้ายนักนะเจ้าเหมียว นายเองก็อย่าหวังว่าจะรอดมือฉันไปได้เหมือนกัน”   เขาขู่พลางคลอเคลียพรมจูบข้างแก้มใสแผ่วเบา

ในที่สุด ความสัมพันธ์นี้มันก็ชัดเจนเสียที

จากวันนี้ไป เราไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง


“แต่เราเป็นแฟนกัน”









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




อะฮือออออ ในที่สุดเค้าก็เป็นแควนกันแล้วค่ะแม่ แง๊~~ >/////< ตรูเคยแต่งเรื่องไหนที่ละมุนละไมและเชื่องช้าขนาดนี้ไหมเนี่ย 55555+

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า





2 ความคิดเห็น:

  1. มาช้าแต่ก็มา อย่าดองไหไว้หลายใบมากนะค้าาา ติดตามอยู่ตลอดจ้า

    ตอบลบ
  2. ในที่สุดก็เป็นแฟนกันแล้ว ><
    ยัยเหมี้ยวร้ายนะคะ อยากได้เขามานานแล้ว
    ความหวานนี้มันขมยิ่งนัก ยัยเหมี้ยวจะรอดมือจากคุณแม่ยังไงเนี่ย

    ตอบลบ