Touken Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato] ใกล้ : 01


Touken Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato]    ใกล้ : 01

: Touken Ranbu Fanfiction Au
: Kashu Kiyomitsu x Yamato no kami Yasusada
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

          
          


“คะชู คิโยมิตสึ?”


เจ้าของริมฝีปากแห้งผากที่เพิ่งจะเอ่ยเรียกชื่อนั้นออกไปเงยหน้าจากแฟ้มที่ถือไว้ขึ้นมากวาดมองไปทั่วห้องเรียนเพื่อที่จะพบว่าไม่มีแม้แต่เงาเจ้าของชื่ออยู่ในห้อง

“คะชู...คิโยมิตสึ....”   เสียงที่เรียกซ้ำสองเต็มไปด้วยความเอือมระอา ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ได้ชื่อว่าครูประจำชั้นถอนหายใจเมื่อมองดูตารางขาวโล่งที่ต่อท้ายชื่อดังกล่าวอยู่

“โดดเรียนอีกแล้วเหรอ?...นี่...พวกเธอเป็นเพื่อนเค้าก็ช่วยเตือนให้เพลาๆหน่อยเถอะ ถึงผลการเรียนจะไม่ได้แย่อะไรแต่ถ้าเวลาเข้าเรียนไม่พอมันก็จะซ้ำชั้นเอาได้นะ นี่ครูอุตส่าห์ใจดีมาเช็คชื่อให้ท้ายคาบก็ยังไม่ยอมโผล่หัวมาจนได้”  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเอ่ยด้วยเสียงเนือยๆ ถึงจะรู้ว่าบอกไปก็เท่านั้นเพราะคงไม่มีใครยอมตักเตือนเจ้าเด็กนั่นให้เขาหรอกแต่เขาก็บอกแบบนี้ทุกคาบ

“เอาละ เลิกเรียนได้”   สองขาก้าวออกมาจากห้อง 2-D โดยทิ้งเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้นเป็นประจำในเวลาเลิกเรียนเอาไว้เบื้องหลัง สายตาของคุณครูที่อยู่ที่นี่มานานทอดมองออกไปนอกระเบียงทางเดิน นักเรียนบางคนก็กำลังจะกลับบ้าน บางคนก็วิ่งไปชมรม...วนเวียนไปเรื่อยๆแบบนี้อยู่ทุกปี...เขาเคยคิดว่าโรงเรียนมัธยมปลายมันก็คงจะเป็นแบบนี้แหละ...จนกระทั่งวันที่เด็กนั่นเข้ามาเรียนที่นี่...


คะชู คิโยมิตสึ...


จะว่าเป็นตัวปัญหาก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเจ้าตัวไม่ได้ลงมือก่อเรื่องก่อราวอะไร เพียงแต่...ทุกครั้งที่มีเหตุทะเลาะวิวาทในหมู่เด็กผู้ชายหรือเหตุตบตีให้ร้ายรังแกในหมู่เด็กผู้หญิง...สาเหตุก็ล้วนแล้วแต่มาจาก คะชู คิโยมิตสึ ทั้งสิ้น...

ก็ต้องยอมรับว่าเด็กนั่นหน้าตาดีมาก รูปร่างก็ดี หัวก็ดี และบางทีก็ชวนสับสนว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ เพราะไม่ใช่แค่หน้าตาแต่ คะชู คิโยมิตสึ ยังมีบรรยากาศที่เย้ายวนชวนให้หลงรัก หากอยู่ใกล้แล้วไม่ระวังตัวก็อาจจะเผลอไผลไปกับรูปลักษณ์ที่สวยงามนั่นก็ได้

ยิ่งเจ้าตัวประกาศออกมาว่า  “ถ้าบอกว่าจะรักชั้นแล้วละก็ จะยอมคบด้วยก็ได้นะ”   มันเลยยิ่งทำให้แทบจะกลายเป็นจลาจล และไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนก็ยังมีทั้งเด็กสาวเด็กหนุ่มไปสารภาพรักกับเด็กนั่นไม่ขาดสาย ถึงสุดท้ายจะลงเอยที่ไม่เคยคบกับใครถึงสองอาทิตย์ก็ตาม

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยถอนหายใจเมื่อนึกถึงเด็กในห้องคนนี้ขึ้นมา...ทั้งๆที่ชื่อดังและเป็นที่ต้องการขนาดนี้แต่กลับไม่คิดจะคบกับใครจริงๆจังๆ เพื่อนสนิทสักคนก็ยังไม่มี หลายๆคนอาจจะหลงใหลแต่ก็มีคนไม่น้อยที่ไม่อยากจะเข้าใกล้...ใช่...มีหลายต่อหลายคนเลยที่บอกว่า คะชู คิโยมิตสึ นั้นน่ากลัว...

อาจจะเป็นที่นิสัยของเจ้าตัวด้วยก็ได้...อยากได้ความรัก อยากให้ใครต่อใครหลงใหล อยากมีค่ามีความสำคัญ แต่จนถึงที่สุดแล้วก็กลายเป็นเจ้าตัวเองนั่นแหละที่ไม่เคยจริงจังกับใครหรืออะไร จะบอกว่าใช้ชีวิตอย่างไม่แยแสอะไรเลยน่าจะดีกว่า

ก็เป็นคนที่มองดูเด็กผู้หญิงตบตีกันเพื่อแย่งตัวเองได้ด้วยสายตาเมินเฉยและไม่คิดแม้แต่จะเข้าไปห้าม...จะไม่ให้ใครหลายๆคนบอกว่าน่ากลัวได้ยังไง

คะชู คิโยมิตสึ ไม่เคยให้ความสำคัญกับใครหรืออะไรเลย...

แต่ถึงอย่างนั้น...เขากลับคิดว่า...เพราะเด็กนั่นมีใครสักคนอยู่ในใจอยู่แล้วต่างหาก...

อาจจะเป็นคนที่ไม่สามารถเอามาครอบครองได้หรืออาจจะเป็นคนที่ทิ้งเด็กนั่นไป...จนมันเกิดเป็นแผลใจทำให้ไม่สามารถจะรักและเชื่อใจใครได้อีก....



เอาเป็นว่าเขาเรียกเด็กนั่นว่าตัวอันตรายที่เป็นไปได้ก็ไม่อยากเข้าใกล้ก็แล้วกัน




หนังสือเรียนที่ใช้สำหรับสอนถูกวางไว้บนโต๊ะเช่นเดียวกับเสื้อสูทที่ถูกบาดไว้บนพนักเก้าอี้ สองขาก้าวออกจากห้องพักครูมาอีกครั้งเพื่อตรงไปยังโรงยิมที่อยู่หลังโรงเรียน ถึงจะอยู่ในวัยที่หัวใกล้หงอกเต็มทีแต่ตอนนี้เขาก็เป็นถึงที่ปรึกษาของชมรมเคนโด้เลยนะ...อ่า...แต่ถึงจะพูดอย่างภาคภูมิใจแค่ไหนเขาก็เป็นได้แค่อาจารย์ที่ปรึกษาธรรมดาๆนั่นแหละ

เสียงทักจากเด็กนักเรียนดังมาตลอดทางและมันก็ทำให้เขาพยักหน้ารับด้วยความเอ็นดู ก่อนจะทอดสายตามองเด็กๆพวกนั้นเหมือนคนที่ผ่านโลกมานาน

โรงเรียนมัธยมปลายแบบนี้มันก็มีอยู่ทุกปีแหละนะพวกที่เรียกกันว่า “ป๊อปปูล่า” ปีนี้ก็ไม่ได้ต่างกันหรอก เพราะก็มีทั้งหนุ่มเนื้อหอมรูปหล่อ หนุ่มนักกีฬาหน้าตาดี หนุ่มกรรมการนักเรียนผู้โอบอ้อมอารี สาวสวยหุ่นนางแบบ สาวน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตา สาวแว่นการศึกษาสูง...รูปแบบมันก็เหมือนๆกับทุกปี...แต่จะมีที่ต่างออกไปหน่อยซึ่งนานๆทีเขาถึงจะได้เจอ....พวกที่ดูแล้วแยกไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่? แล้วก็มีเสน่ห์ต่อคนทั้งสองเพศอีกต่างหาก

ยกตัวอย่างง่ายๆก็....คะชู คิโยมิตสึ นั่นไง

เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆแต่ดันน่ารักกว่าเด็กผู้หญิง

แล้วปีนี้ก็ไม่ได้มีแค่เด็กนั่นคนเดียวที่เป็นประเภทนี้...


ครืด....


ประตูเลื่อนของห้องชมรมเคนโด้ถูกเปิดออกพร้อมด้วยเสียงตะโกนต้อนรับจากสมาชิกชมรมที่ต่างวิ่งกรูไปเข้าแถว นัยน์ตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากไล่มองตั้งแต่สมาชิกหางแถวไปจนถึงคนสุดท้าย....นั่นไง...อีกคนที่เขาพูดถึง

กัปตันของชมรมเคนโด้...ยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ...

“ทั้งหมดเคารพ!”   เสียงห้าวหาญผิดกับหน้าตาดังก้องไปทั่วโรงยิมและมันก็ทำให้สมาชิกชมรมเคนโด้ที่อยู่ในชุดฮากามะดำกับเสื้อเคย์โกคิน้ำเงินเข้มก้มหัวทำความเคารพอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมอย่างเขาด้วยความพร้อมเพียง เขาพยักหน้าให้เป็นทำนองว่าให้ทุกคนเงยหน้าแล้วกลับไปซ้อมต่อกันได้ เพราะถึงเขาจะเป็นที่ปรึกษาแต่ก็ไม่ได้เล่นเคนโด้ได้ดีไปกว่าเด็กๆพวกนี้ซักเท่าไหร่หรอก

เพราะปกติโรงเรียนจะจ้างโค้ชทางด้านเคนโด้มาดูให้โดยเฉพาะ...แต่ตั้งแต่ที่โค้ชคนนั้นไม่อยู่...ลูกชายที่จะรับช่วงต่อโรงฝึกเคนโด้ชื่อดังนั่นจึงเป็นคนดูแลการซ้อมเหล่านี้เอง

และลูกชายที่ว่านั่นก็ไม่ใช่ใครอื่น...กัปตันผู้เอาจริงเอาจังของชมรมเคนโด้นั่นเอง

นัยน์ตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทอดมองเด็กหนุ่มหน้าสวยด้วยสายตาชื่นชม...ถึงจะเป็นประเภทเดียวกันแต่ถ้า คะชู คิโยมิตสึ เอาจริงเอาจังกับชีวิตได้สักครึ่งหนึ่งของเด็กคนนี้ก็คงดี...เขานั่งมองปลายดาบไม้ไผ่มั่นคงที่ตั้งตรงอยู่ในมือของยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ ถึงจะตัวเล็กแบบบางเหมือนเด็กผู้หญิงแต่ร่างกายที่อยู่ในชุดฮากามะนั่นกลับงามสง่าให้ความรู้สึกว่าน่าเคารพ ใบหน้าที่ดูแทบไม่ออกว่าเป็นผู้ชายนั่นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสให้ความรู้สึกเป็นมิตร เขามองตามกัปตันชมรมเคนโด้ที่เดินไปสอนสมาชิกคนอื่นๆที่ต่างก็เชื่อฟังและยอมรับในฝีมือ ทุกคำอธิบายให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้และเจ้าตัวก็ไม่ได้ถือตัวซ้ำยังเล่นหัวกับเพื่อนๆที่รุมล้อมอยู่มากมาย...เด็กคนนั้นเป็นที่รักของทุกๆคน เป็นคนที่มีแต่คนอยากเข้าใกล้เพราะรู้สึกอบอุ่นใจ

ด้วยบุคลิกที่แตกต่างกันถึงเพียงนี้เลยมีคนพูดกันอยู่มากว่าคะชู คิโยมิตสึกับยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ อาจจะไม่ค่อยลงรอยกัน จะว่าเป็นเพราะอยู่คนละห้องแล้วห้อง 2-D ของคะชู คิโยมิตสึก็อยู่ห่างจากห้อง 2-A ของยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะ หรือยังไงเขาก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่อยู่ในสายตา เขาก็ไม่เคยเห็นเด็กสองคนนี้พูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์อะไรกันเลย


แต่ตอนอยู่นอกสายตา...นอกโรงเรียน....ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าที่จริงแล้ว....









กว่าที่โรงฝึกเคนโด้และดาบญี่ปุ่นชื่อดังประจำจังหวัดจะได้อยู่ในสภาวะเงียบสงบก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม มือบางปิดสวิตซ์ไฟให้โรงฝึกมืดสนิทเมื่อลูกศิษย์คนสุดท้ายกลับไป ก่อนที่สองขาซึ่งแทบจะอยู่ในกางเกงฮากามะตลอดเวลาจะก้าวเดินต่อไปยังบ้านที่อยู่ด้านหลัง ถึงจะอยู่ในรั้วเดียวกันแต่ในส่วนที่พักอาศัยก็จะมีรั้วกั้นอีกทีแถมยังมีประตูเข้าออกที่ไม่จำเป็นต้องไปผ่านโรงฝึกก็ได้ เพราะงั้นบรรดาลูกศิษย์ที่มาเรียนพิเศษจึงไม่มีใครรู้เลยว่ายามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว

ผมหางม้าที่ถูกมัดรวบไว้เหนือหัวสะบัดไปมาตามจังหวะการก้าวเดิน สีของมันแทบจะกลืนกินไปกับสีรัตติกาลของท้องฟ้าในเวลานี้ ใบหน้ามนอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีในขณะที่หอบถุงใส่ดาบไม้ไผ่และอุปกรณ์เครื่องป้องกันของชมรมเคนโด้ที่เอากลับมาทำความสะอาดด้วย นัยน์ตาสีไพลินทอดมองทางเดินปูหินซึ่งเชื่อมต่อไปยังหน้าประตูบ้านก่อนที่จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ทำไมไฟในบ้านยังมืดอยู่อีก? ป่านนี้ก็น่าจะกลับมาแล้วไม่ใช่หรือไงเจ้าคนที่อยู่ด้วยกันนั่น? อย่าบอกนะว่าไปเหลวไหลที่ไหนอีก?

แต่แล้วแสงไฟที่ลอดออกมาจากหน้าต่างกระจกฝ้าบริเวณห้องน้ำที่อยู่หลังบ้านก็ทำให้ใบหน้ามนชะงักไป คิ้วสีดำขมวดเข้าหากันก่อนที่ฟันบนล่างจะกัดกันกรอดๆ...ก็อยู่นี่! แต่บ้านมืดขนาดนี้...เจ้านั่น.....เอาอีกแล้วสินะ!

ฝ่ามือบางเลื่อนประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว ของทุกอย่างถูกวางเอาไว้ที่พื้นทางเข้าก่อนที่สองขาจะก้าวพรวดๆไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านใน


ครืด!!!


ประตูห้องน้ำที่ไม่ได้ล็อคเช่นกันถูกเลื่อนเปิดอย่างไม่คิดจะเกรงใจ และเมื่อนัยน์ตาสีไพลินมองเห็นคนที่นอนหลับคาอ่างอาบน้ำอยู่ก็รู้สึกถึงแรงกระตุกของเส้นเลือดที่ขมับ

“คิโยมิตสึ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามานอนในห้องน้ำ!  เสียงตวาดทำให้คนที่นอนแช่อยู่ในน้ำลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย

“อือ....กลับมาแล้วเหรอ~”   เสียงทักเอื่อยเฉื่อยดังพร้อมกับนัยน์ตาสีทับทิมที่ปรายมองมาแต่ร่างกายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกจากอ่าง

“ลุกขึ้นมา! เดี๋ยวก็หวัดกินตายหรอก! แล้วเสื้อผ้าเนี่ยอย่าถอดเรี่ยราดตามทางเดินจะได้ไหม?!   คงไม่มีใครคิดหรอกว่ากัปตันชมรมเคนโด้ที่ร่าเริงแจ่มใสใจดีจะดุใครเป็น แล้วก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่านักเรียนดีเด่นผู้สุภาพเรียบร้อยจะจู้จี้ขี้บ่นแบบนี้  ร่างโปร่งบางที่นอนแช่อยู่ในอ่างพลิกกายเล็กน้อยก่อนจะเกยคางเอาไว้ที่ขอบอ่าง นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะที่กำลังก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าที่เขาถอดทิ้งไว้ใส่ตระกร้า ใบหน้าสวยซึ่งมีไฝจุดเล็กๆอยู่ที่มุมปากลอบยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนจะเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า

“เห๋~ ยาสึซาดะ นายอยากดูร่างเปลือยของชั้นสินะถึงได้เข้ามาบ่นฉอดๆแบบนี้ทุกวัน”   แล้วใบหน้าที่ติดจะน่ารักนั่นก็ตวัดกลับมามองตาเขียว

“ใครจะไปอยากดู! รีบๆลุกออกมาได้แล้ว! นี่นอนแช่แบบนั้นมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ให้ตายเถอะ”   มือบางกระแทกตะกร้าวางลงไปบนพื้น

เสียงจ๋อมๆที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้รู้ว่าเจ้าแมวจอมขี้เกียจนั่นยอมลุกขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำได้เสียที ร่างบางจึงตั้งใจจะเดินออกไป แต่แล้วนัยน์ตาสีไพลินซึ่งมีไฝเม็ดเล็กแต้มอยู่ใต้ตาซ้ายก็เหลือบไปเห็นชายผ้าขนหนูสีขาวของคิโยมิตสึที่ยังพับเรียบร้อยวางอยู่หน้าห้องน้ำ...งั้นก็แสดงว่าไอ้คนที่เดินโทงๆออกมาจากอ่างน่ะ...

“หงะ! นุ่งผ้าด้วยสิ! หน้าไม่อายจริงๆ!”   มือบางคว้าผ้าขนหนูก่อนจะปาใส่หน้าคนที่ยืนขำตัวสั่น

“คิก...”   นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองคนที่ชักหน้าหงิกแล้วเดินกระทืบเท้าปึงปังจากไป เสียงลงส้นขึ้นบันไดทำให้รู้ว่ายาสึซาดะคงกำลังเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง ใบหน้าสวยอมยิ้มก่อนจะเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูที่เพิ่งร่วงลงมาจากใบหน้า...เขาชอบแหย่ยาสึซาดะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร...แรกๆที่มาอยู่ด้วยกันมันคงเริ่มจากความไม่ชอบขี้หน้า ต่างคนต่างอิจฉาอีกฝ่ายและเริ่มต้นด้วยความรู้สึกว่าเป็นคู่แข่ง แข่งกันว่าใครจะทำได้ดีกว่ากัน แข่งกันว่าใครจะได้รับความรักมากกว่ากัน เพราะพวกเขาทั้งคู่นั้นต่างไม่มีใครต้องการจนกระทั่งได้มาอยู่ที่นี่...

เสื้อยืดแขนยาวคอกว้างกับกางเกงขายาวถูกสวมใส่ลงไปบนร่างกาย ปลายผมยาวยังคงมีน้ำหยดแหมะๆในขณะที่สองขาก้าวออกมาจากห้องน้ำ...ถึงพวกเราจะเริ่มต้นจากความรู้สึกแบบนั้นแต่พออยู่ด้วยกันไปนานๆ ต่างฝ่ายต่างเฝ้ามองซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาในฐานะคู่แข่ง ความรู้สึกมันเลยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ...ยิ่งในเวลาที่เหลือแค่เราสองคนแบบนี้...เขาก็ยิ่งเข้าใจ...ว่าคงไม่มีใครต้องการเด็กที่ถูกทิ้งไปมากกว่าเด็กที่ถูกทิ้งด้วยกันเองหรอก

ไม่งั้นผู้ชายคนนั้นคงไม่ทิ้งเราไป...

ร่างโปร่งบางหยุดยืนอยู่หน้าถุงใส่อุปกรณ์เคนโด้ที่ยาสึซาดะวางไว้ตรงพื้นข้างบันไดด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนที่สองขาจะเดินไปทิ้งตัวนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น สองเข่ายกชันขึ้นมาก่อนที่สองแขนจะกอดมันเอาไว้ทั้งๆที่หัวยังเปียกโชก

เคนโด้...เขาเคยรักมัน...แต่ตอนนี้แค่เข้าใกล้ร่างกายก็สั่นสะท้านไม่หยุด...

“อ๊า! ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งล่ะ?!”   เสียงที่ดังอยู่ที่ประตูห้องทำให้ความมืดมิดที่กำลังกัดกินหัวใจของเขาค่อยๆถอยล่าออกไป  ยาสึซาดะที่เดินบ่นเข้ามาทำให้รอยยิ้มบางๆเผยอยู่บนริมฝีปาก...ถ้าไม่มีหมอนี่อยู่ด้วยเขาคงจะเหลวแหลกยิ่งกว่านี้ไปแล้ว   

“ปกติเห็นเอาแต่แต่งตัวแท้ๆ”   มือที่ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ากันจับผ้าขนหนูที่พาดคอเขาอยู่ขยี้หัวให้

“.....อย่างที่คิดจริงๆด้วย....ชั้นน่ะ...มีแต่ยาสึซาดะคนเดียวก็พอ....”   เสียงลอยๆเอ่ยออกไปจากริมฝีปากสีสด เขาตั้งใจจะพูดสิ่งที่อยู่ข้างในออกไปหรือแค่จะแซวอีกฝ่ายเล่นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มือที่เช็ดผมให้เขาก็ไม่ได้ชะงักหรือหยุดไปด้วยความแปลกใจ

“......เป็นอะไรอีกล่ะ? เลิกกับแฟนคนล่าสุดมาอีกหรือไง?”   ยาสึซาดะถามออกมาด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายและมันก็ทำให้เขาถึงกับหลุดหัวเราะ นี่เขาคงทำตัวแย่จนอีกฝ่ายปลงตกไปแล้วสินะ

“ไม่หึงเหรอ?....”   คราวนี้เขาตั้งใจแหย่ยาสึซาดะเล่น

“ทำไมจะต้องหึงด้วยล่ะ? เพราะไม่นานเดี๋ยวก็เลิกกันอยู่ดี”   ถึงจะรู้สึกแสบๆคันๆกับคำพูดจิกกัดแบบนั้นอยู่บ้างแต่มันก็เป็นความจริงจนเขาได้แต่หัวเราะออกมา

“ฮึๆๆ”

“ไม่มีสำนึกเลยนะเจ้าคนชั่วช้า นายรู้บ้างไหมว่าผมต้องทนฟังวีรกรรมของนายจนหูชาขนาดไหนตอนอยู่ที่โรงเรียน”   แล้วมือที่ขยี้หัวเขาอยู่ก็เริ่มออกแรงมากขึ้นตามอารมณ์ ใบหน้าสวยได้แต่ยิ้มแห้งยอมรับความผิดอย่างเถียงไม่ออก

แต่ถึงอย่างนั้นยาสึซาดะก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาห้ามเขาอย่างจริงๆจังๆ ยังคงปล่อยให้เขาทำตัวลอยชายไปวันๆอย่างที่เขาต้องการ ไม่ได้เข้ามาจู้จี้แล้วชี้นำบังคับให้เขาต้องเดินไปทางไหนอย่างที่ใครๆก็พยายามทำ...เพราะยาสึซาดะเป็นคนเดียวที่รู้ดียิ่งกว่าใคร...ว่าแผลในใจของพวกเรามันไม่ได้เบาบางจนสามารถลบเลือนให้หายได้ภายในวันสองวัน

“นี่....พ่อน่ะ......ทิ้งพวกเราไปแล้วจริงๆใช่ไหม?”   เสียงเลื่อนลอยเอ่ยออกไปจากริมฝีปากของเขาเมื่อนึกถึงความจริงที่เจ็บปวดนั่นขึ้นมา มันเจ็บจนทำให้หัวใจแทบจะแหลกสลายได้เลยถ้าไม่มีอ้อมแขนที่กอดเขาจากทางด้านหลังคู่นี้อยู่

“...........”    ยาสึซาดะไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่กอดเขาไว้เท่านั้น


เราทำได้แค่กอดกันและกันเอาไว้แบบนี้ในวันที่ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว...



กลิ่นแชมพูโชยออกมาจากเส้นผมนุ่มที่ยังไม่ค่อยจะแห้งดี ปลายคางมนจึงขยับไปเกยไว้บนไหล่ที่เห็นไหปลาร้าชัดเจนของคิโยมิตสึก่อนจะทอดสายตามองห้องนั่งเล่นที่มีเพียงความว่างเปล่า...

ถึงจะเรียกผู้ชายที่เคารพรักคนนั้นว่าพ่อเหมือนกันแต่เขากับคิโยมิตสึไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันหรอก...พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยง...แต่พ่อก็ทั้งรักและเอาใจใส่พวกเราเหมือนลูกแท้ๆ ไม่เคยมีวันไหนที่พวกเรารู้สึกขาดความรัก...จนกระทั่ง...วันที่พ่อทิ้งพวกเราไป

คิโยมิตสึก็เริ่มทำตัวเหลวไหลตั้งแต่วันนั้น...

เขารู้ว่าคนที่เขากอดเอาไว้ในอ้อมแขนนั้นเจ็บปวดขนาดไหน แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างกัน ถึงจะใช้ชีวิตประจำวัน ถึงจะเป็นยามาโตะโนะคามิ ยาสึซาดะได้ตามปกติ แต่ช่องว่างจากการที่คนคนหนึ่งหายไปมันก็ทำให้เกิดรูในใจของเขาเช่นกัน...เพียงแต่...เขาอาจจะต่างจากคิโยมิตสึตรงที่เขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นวันสุดท้ายที่ชายผู้นั้นเดินจากพวกเราไป...ที่คิโยมิตสึปฏิเสธทุกอย่างต่างจากเขาที่พยายามทำความเข้าใจเป็นเพราะคิโยมิตสึไม่ได้เห็น...ว่าแววตาของพ่อนั้นเป็นเช่นไรในวันที่ต้องบอกลา

นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองไปที่ปฏิทิน วงกลมสีแดงที่เขาเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเด่นหลาอยู่บนตัวเลขตัวหนึ่ง...ใกล้จะครบสองปีแล้วสินะที่คิโยมิตสึเป็นแบบนี้...

“นี่...ปีนี้จะไปหาพ่อด้วยกันหรือเปล่า?”   เขาถามคนที่อยู่ในอ้อมแขนลอยๆ

“ไม่ไปหรอก...ชั้นไปนอนละ”   แล้วร่างโปร่งบางที่มีแต่กลิ่นสบู่ก็ลุกออกไปจากอ้อมแขนของเขา จากที่อารมณ์ดีๆอยู่ก็เริ่มแปรปรวนขึ้นมาทันทีที่พูดถึงพ่อ...เพราะคิโยมิตสึไม่เคยรับเรื่องนี้ได้เลย จากที่เคยมีความฝันร่วมกันกับเขาว่าเราจะเป็นแชมป์เคนโด้ระดับประเทศให้ได้ จากนั้นก็ช่วยกันดูแลโรงฝึกนี้ต่อ แต่พอพ่อทิ้งพวกเราไป คิโยมิตสึก็ไม่เข้าใกล้เคนโด้อีกเลย ทิ้งดาบไม้แล้วใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายไปวันๆ  

เขามองตามร่างโปร่งที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป จะว่าห่วงไหมก็คงต้องห่วงนั่นแหละเพราะเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ

แต่สำหรับตอนนี้มีเรื่องที่เขาต้องห่วงมากกว่าเรื่องในอนาคตว่าคิโยมิตสึจะใช้ชีวิตยังไง

นัยน์ตาสีไพลินก้มลงมองสองมือที่ยังมีไออุ่นของอีกฝ่ายตกค้างอยู่...

เมื่อกี้นี้เขาโกหก...

ใช่...ที่บอกว่าไม่หึงน่ะ...เขาโกหก











ตุ้บ...

กระเป๋าที่ถูกโยนออกไปนอกรั้วส่งเสียงดังเบาๆเพราะเขาตั้งใจโยนลงไปตรงที่ที่มีหญ้าหนาฟูรองรับ

“โอ้ส”   เสียงอุทานเบาๆดังขึ้นในลำคอแล้วไม่นานร่างกายโปร่งบางก็เทคตัวขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงรั้วด้านหลังโรงเรียน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังโดดเรียนอยู่

ถึงอีกไม่นานออดเลิกเรียนก็จะดังแล้วแต่เจ้าของเรือนผมสีดำเหลือบแดงก็ตั้งใจว่าหนีออกไปก่อน...เพราะยังไงเขาก็ไม่มีชมรมอะไรต้องเข้าเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาอยู่แล้ว อีกอย่างช่วงเวลาหลังเลิกเรียนก็เป็นเวลาที่น่ารำคาญ...แรกๆก็สนุกดีอยู่หรอกที่มีแต่คนมาสารภาพรัก มีแต่คนให้ความสำคัญ แต่พอลองคบๆกันไปแล้ว ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ทุกคนล้วนแล้วแต่หวังก็แค่ร่างกาย หลงใหลก็แค่ภายนอกของเขาเท่านั้น


น่าเบื่อ...


นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองลงไปด้านล่างเพื่อหาตำแหน่งเหมาะๆที่จะโดดลงไป แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงดุดันก็ตะโกนดักเขาเอาไว้เสียก่อน

“คะชู คิโยมิตสึ! โดดเรียนอีกแล้วเร๊อะ!”    หง่ะ เจ้าอาจารย์ฝ่ายปกครองฮาเซเบะ!

“ผมก็แค่กลับบ้านก่อนเวลานิดหน่อยเองน่าอาจารย์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้น้า~”   มือยกขึ้นมาส่งจูบกวนๆพลางขยิบตาให้อีกหนึ่งทีก่อนที่จะโดดลงไปอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง

“กลับบ้านก่อนเวลาอะไรกันห๋า?! แล้วมนุษย์มนาที่ไหนเค้ากลับบ้านด้วยการโดดรั้วหลังโรงเรียนแบบนี้กันบ้าง! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”   ได้ยินเสียงโวยวายอยู่ข้างในแต่ใครจะสน เรียวขาก้าวเดินต่อไปตามถนนเส้นเล็กๆอย่างไม่ยี่หระว่าพรุ่งนี้จะต้องถูกทำโทษ ถึงเสน่ห์อันร้ายกาจของเขาจะใช้กับเจ้าฮาเซเบะไม่ค่อยจะได้แต่เขาก็มีวิธีเอาตัวรอดจากเจ้ายักษ์มารนั่นได้แหละน่า

สองขาก้าวไปเรื่อยๆอย่างตั้งใจจะกลับบ้านอย่างที่พูดจริงๆ...เขาอาจจะอิ่มตัวกับการเอาแต่เหลวไหลไปวันๆแล้วก็ได้ เพราะยิ่งหนีเที่ยว ยิ่งคบหากับผู้คนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่รู้สึกว่าช่องว่างในใจมันจะถูกเติมเต็มขึ้นมาได้เลย...รูที่อกซ้ายยังคงว่างเปล่ากลวงโบ๋วอยู่เหมือนเดิม

แล้วในขณะที่เขากำลังเดินทอดน่องอย่างเบื่อโลกผ่านย่านร้านค้าเพื่อหาทางกลับบ้านอยู่นั้น ก็เหมือนฟ้าจะประทานเรื่องยุ่งยากมาให้ด้วยความรักยังไงก็ไม่รู้

“ว่าไงนะ! ขาหัก! อีกห้าอาทิตย์กว่าจะเดินได้?! แล้วมันจะไปทันได้ยังไงล่ะโว้ย~!! การแสดงน่ะจะเริ่มอีกสองอาทิตย์หน้านี้แล้วนะ! ไปทำอีท่าไหนของนายเนี่ย?! ว่าไงนะ? เลิกบ่นงั้นเร๊อะ เดี๋ยว? อย่าวางสายหนีสิฟ๊ะ!!”    แผ่นหลังโปร่งบางของคะชู คิโยมิตสึรู้สึกเย็นวาบยังไงชอบกลเพราะไอ้คนที่กำลังบ่นด้วยเสียงโวยวายใส่โทรศัพท์แบบนั้นมันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน....

อ่า...คุ้นๆว่าจะเป็นของพี่ชายเจ้าของโรงละครข้างบ้านยังไงก็ไม่รู้เนอะ....

“คิโยมิตสึ!”   เฮือก! ไหล่บางสะดุ้งโหยงอย่างไม่มีปิดบัง บ้าเอ้ย อุตส่าห์หนีเจ้าฮาเซเบะมาได้ก็ยังอุตส่าห์มาเจอยักษ์อีกตัวเหรอเนี่ย งานนี้โดนคาเนะซังเอาไปฟ้องยาสึซาดะแล้วเขาก็ต้องโดนเทศน์จนหูชาแน่

“คะเนะซัง~~”   เขาหันไปยิ้มให้ก่อนจะเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน ถึงเจ้ายักษ์มารนี่จะเป็นอีกคนที่เขาโปรยเสน่ห์ใส่ไม่ค่อยจะได้ผลก็เถอะ

“........”   แต่แทนที่อีกฝ่ายจะแยกเขี้ยวใส่ที่เขาโดดเรียนเหมือนทุกที ร่างสูงใหญ่นั่นกลับยกมือขึ้นมาลูบปลายคางพลางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง...ขนทั่วแขนลุกชันขึ้นมาทันทีเพราะเขารู้ว่าอย่างเจ้านี่ไม่มีทางหลงเสน่ห์ของเขาแน่นอน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายคิดอยู่มันต้องไม่น่าไว้ใจและคงจะทำให้เขาเดือดร้อนแน่ๆ

“งั้น~ ชั้นขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ฝากหวัดดีคุนิฮิโระซังด้วยล่ะ บ๊าย บาย~~”   จะอะไรก็ไม่รู้ล่ะ เขาตั้งใจว่าจะรีบชิ่งออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่สองขาของเขาก็ไม่ไวเท่าฝ่ามือของปีศาจ เมื่อจู่ๆท่อนแขนแข็งแรงก็พาดมาที่ลำคอก่อนจะล็อคตัวเขาไว้ไม่ให้ไปไหน น้ำเสียงชั่วร้ายดังอยู่ข้างหูทันที

“คิโยมิตสึ~ นายคงไม่อยากให้ชั้นเอาไปฟ้องยาสึซาดะหรอกนะว่านายแอบโดดเรียนอีกแล้ว~ ได้ๆ ชั้นจะไม่เอาไปฟ้องหรอก...เพียงแต่....หึๆๆ”   ก็บอกแล้วไงว่าเจ้านี่มันปีศาจ เสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกนั่นมันอะร๊ายยย

“เพียงแต่.....?”   เขาหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาหวาดๆ เขารู้จักคาเนะซังมาตั้งแต่เด็กๆ รู้จักตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะโรงละครเวทีซึ่งเป็นกิจการของบ้านอิสึมิโนะคามินั้นก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไหร่ เรียกว่าเดินอีกไม่กี่ก้าวเขาก็จะถึงบ้านของตัวเองอยู่แล้วถ้าไม่โดนเจ้ายักษ์นี่จับตัวเอาไว้เสียก่อน! โธ่โว้ย!

“มาสิ...แวะไปดื่มชาในโรงละครของชั้นก่อน แล้วเราค่อยคุยกันนะว่านายต้องทำอะไรในข้อตกลงแลกเปลี่ยนครั้งนี้”   ข้อตกลงแลกเปลี่ยนอะไรฟ๊ะ?! ฟังจากน้ำเสียงแล้วเขาไม่มีตัวเลือกให้ปฏิเสธเลยไม่ใช่รึไง!

ร่างโปร่งบางถูกลากเข้าโรงละครเวทีไปด้วยน้ำตาไหลพราก ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้นะวันนี้!












ผู้สืบทอดโรงฝึกเคนโด้ชื่อดังประจำจังหวัดเดินเข้าบ้านตอนค่ำๆตามปกติ แต่ดูเหมือนวันนี้จะต่างออกไปจากทุกทีตรงที่ไฟในบ้านมันสว่างจ้า

คิโยมิตสึไม่ได้หลับอยู่ในห้องน้ำสินะ?

“กลับมาแล้วคร้าบ~”   เสียงใสเอ่ยตามมารยาทเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไปเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายตื่นอยู่

“อื้อ~”   ถึงจะมีเสียงตอบรับกลับมาเท่านั้นก็เถอะแต่ก็นับว่ามีพัฒนาการอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่ต้องไปลากออกมาจากห้องน้ำ

มือบางวางกระเป๋าใส่ดาบไม้ไผ่ที่มักจะติดตัวอยู่เสมอไว้ข้างบันไดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นซึ่งมีเงาวูบไหวอยู่ในนั้น และเมื่อโผล่หน้าเข้าไปก็เห็นแผ่นหลังโปร่งของคิโยมิตสึกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะหน้าโซฟาซึ่งมีเครื่องสำอางวางอยู่เต็มไปหมด เรือนผมสีดำเหลือบแดงที่เคยล้อมกรอบใบหน้าสวยๆนั่นเอาไว้ถูกผ้าคาดผมคาดขึ้นไป ใบหน้าใสๆกำลังถูกแต่งแต้มด้วยมือของคิโยมิตสึเอง ถึงจะรู้ว่าปกติคิโยมิตสึก็แต่งหน้าบางๆอยู่แล้วแต่มาแต่งเอาตอนหัวค่ำแบบนี้ กำลังจะออกไปไหนหรือไง? แล้วทำไมถึงมานั่งแต่งหน้าตรงนี้ล่ะ? ปกติจะแต่งอยู่ในห้องตัวเอง?

“ทำอะไรอยู่น่ะ?”  เขาทักออกไปอย่างไม่ทันคิดว่าเสียงของเขามันจะทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิจนอายไลเนอร์ที่กำลังเขียนลงบนขอบตาถลาออกนอกเส้นทาง

“หง่ะ....”   คนที่เพิ่งเขียนขอบตาพลาดผงะไปและมันก็ทำให้เขาขำเสียยกใหญ่

“ฮ่าๆๆๆ”   คิโยมิตสึหันมามองตาเขียวก่อนจะเช็ดเครื่องสำอางทั้งหมดออกไปจนเหลือแต่ใบหน้าใสอีกครั้ง หลังจากหยุดขำได้แล้วเขาก็เดินกุมท้องเข้าไปก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

“ไม่เห็นต้องลบออกหมดเลยนี่? ว่าแต่จะออกไปไหนค่ำมืดแบบนี้?”   คิโยมิตสึหันกลับไปหากระจกก่อนจะเริ่มหยิบตลับพาเลทแต่งตาหลากสีสันมาลองเทียบกับใบหน้าของตัวเอง นัยน์ตาสีไพลินทอดมองใบหน้าได้รูปนั่นผ่านกระจกอีกที ขอบอกว่าถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมาทำแบบนี้คงน่าขนลุกพิลึก แต่พอเป็นคิโยมิตสึแล้วเขากลับรู้สึกเพลินเวลาที่ได้มองอีกฝ่ายแต่งกาย

จะว่าสวยเปรี้ยวเหมือนผู้หญิงก็ไม่ใช่ แต่ความก้ำกึ่งแบบนี้แหละที่มีเสน่ห์ เพราะถึงคิโยมิตสึจะขี้อ้อนแต่ความแข็งแรงแบบผู้ชายอีกฝ่ายก็มี อีกทั้งคิโยมิตสึยังรสนิยมดีแต่งตัวแบบไหนแต่งหน้าแบบไหนก็ดูดีไปหมด

“ไม่ได้จะออกไปไหน...ลองแต่งหน้าตามหนังสือนี่อยู่น่ะ”   มือเรียวที่ทาเล็บสีแดงยัดหนังสือเล่มบางๆมาที่หน้าเขาทั้งๆดวงตาสีทับทิมยังมองอยู่ที่กระจก

“นี่มันแพมเฟลทของโรงละครคาเนะซังไม่ใช่เหรอ?”   เขารับหนังสือนั่นมาเปิดดูจึงได้รู้ว่ามันเป็นแพมเฟลทละครเวทีเรื่องใหม่ที่น่าจะใกล้แสดงแล้วของโรงละครที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขานัก

“อือ...”   คิโยมิตสึลงมือแต่งหน้าของตัวเองอีกครั้งซึ่งโทนสีที่เลือกใช้ดูเหมือนจะต่างจากเมื่อกี้เล็กน้อย

“ก็โดนคาเนะซังลากไปช่วยงานที่โรงละครแบบมัดมือชกน่ะสิ ช่างแต่งหน้าขาประจำดันข้อมืออักเสบขึ้นมาน่ะ เห็นว่ากว่าจะหายก็ไม่ทันการแสดงแล้ว แล้วชั้นก็ดันเดินผ่านหน้าโรงละครพอดี เลยถูกลากเข้าไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมเอาความลับน่าอายตอนเด็กๆมาขู่ บอกว่าถ้าไม่ช่วยจะป่าวประกาศให้ทั่วเลยว่าชั้นเคยฉี่รดที่นอนตอนอยู่โรงเรียนอนุบาล...ฮึ่ม....เจ้าเด็กโข่งนั่น...ซักวันชั้นจะแก้แค้นมัน...ทำให้หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วเขี่ยทิ้งซะดีไหม?”   ดูเหมือนจะมีความแค้นปนอยู่ในน้ำเสียงนั่นอย่างเต็มเปี่ยมเลยจริงๆ นึกถึงไม้เบื่อไม้เมาคู่นี้แล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะคาเนะซังชอบไปเจอคิโยมิตสึตอนช่วงเวลาที่ไม่ค่อยอยากให้ใครเห็นพอดีทุกที ก็เลยกุมความลับของพ่อหนุ่มหน้าสวยคนนี้เอาไว้ไม่ใช่น้อย

“ฮ่าๆๆ ผมว่าจะโดนคุนิฮิโระซังฆ่าตายก่อนมากกว่า ทำๆไปเถอะน่า ยังไงก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้วนี่ ว่าแต่ให้มือสมัครเล่นอย่างนายไปช่วยจะดีเหรอ?”  เขานั่งมองปลายนิ้วสีแดงที่กำลังเกลี่ยสีที่เปลือกตา

“โรงละครงบน้อยก็งี้แหละ อ๋า~ ถ้าใช้มือมากๆแล้วเล็บเกิดฉีกขึ้นมาจะทำไงล่ะ~   ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวที่มัดรวบเอาไว้ได้แต่ส่ายน้อยๆกับความเจ้าสำอางของคิโยมิตสึ ร่างบางลุกขึ้นอย่างตั้งใจจะเอาของขึ้นไปเก็บ

“ช่างเล็บมันเถอะน่า ผมเอาของไปเก็บ—หื๋อ? อะไร?”   แล้วเสียงบ่นก็ต้องชะงักไปเมื่อจู่ๆร่างกายก็ถูกดึงในนั่งลงกับพื้น

“ขอยืมหน้านายหน่อยสิยาสึซาดะ ลองแต่งหน้าตัวเองแล้วมองจากกระจกมันไม่ถนัดน่ะ เป็นเฉดสีที่ชั้นไม่ค่อยจะได้ใช้ซะด้วย”   เอ๋~~~ เขาได้แต่อุทานอยู่ในใจเพราะอีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ สองมือเรียวยาวลูบรองพื้นลงบนหน้าของเขาทันที

“อื้อ~”   ริมฝีปากสีระเรื่อส่งเสียงอู้อี้เมื่อแทนที่ฝ่ามือนั่นมันจะหยุดหลังจากทาเสร็จแต่กลับยังนวดแก้มเขาไปมา นี่แกล้งกันอยู่ใช่มะ? นัยน์ตาสีไพลินจึงตวัดมองใบหน้าสวยที่กำลังยิ้มระรื่นและสายตาดุๆก็ทำให้คนที่กำลังละเลงหน้าเขาอยู่ยอมเลิกเล่น  แปลงอันใหญ่ปัดแป้งฝุ่นลงบนใบหน้าเขาไม่กี่ทีก่อนที่นัยน์ตาสีทับทิมจะขยับเข้ามามองใกล้ๆจนลมหายใจแทบจะรดใบหน้า

“หน้านายนี่เนียนดีจริงๆ”   คิโยมิตสึก้มลงไปมองมือตัวเองราวกับกำลังนึกถึงสัมผัสที่เพิ่งจะจับใบหน้าของเขาไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำชมนั่นหรือไงสองแก้มถึงได้รู้สึกร้อนผ่าวไปหมด

เปลือกตาปิดลงข้างหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายแต่งแต้มได้สะดวก ความเงียบที่อยู่รอบกายทำให้เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่อยู่ใกล้มากของคิโยมิตสึอย่างชัดเจนและเขาก็ได้แต่ภาวนาว่าคิโยมิตสึจะมีสมาธิจนไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงของเขา  ความเย็นของเส้นขอบตาที่เพิ่งถูกเขียนลงมาทำให้เขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาสีไพลินที่เปิดอยู่อีกข้างเหลือบมองต้นคอระหงของคิโยมิตสึ มันไม่เคยมีร่องรอยอะไรเลยทั้งๆที่คบกับใครต่อใครตั้งมากมายขนาดนั้น จะว่าเป็นเพราะคบกันสั้นๆจนยังไม่ถึงขั้นนั้นแต่มันก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ

“คิโยมิตสึ...นายน่ะ...เคยมีเซ็กส์กับใครหรือเปล่า?”    แล้วอายไลเนอร์ก็ถูกลากปืดเกินขอบตาของเขาไปไกล

“ห๋า? เป็นเด็กเป็นเล็กถามอะไรเนี่ย? นั่นน่ะ เป็นโลกของผู้ใหญ่เค้า อย่างนายน่ะยังเร็วไปสิบปียาสึซาดะ”   แก้มใสของคิโยมิตสึแดงเถือกแถมใบหน้าสวยนั่นก็ดูลนๆถึงแม้จะพยายามใช้เสียงเข้มตอบเขาก็ตาม

“อย่าเปลี่ยนประเด็นสิ ตอบมาว่าเคยหรือไม่เคย”   เขาส่งสายตาคาดคั้นและอีกฝ่ายก็ถอนหายใจก่อนจะยอมตอบออกมาด้วยเสียงงึมงำ

“.............ไม่เคย....ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนน่ารักจนทำให้รู้สึกว่าอยากกอดเลยนี่ แถมกับผู้ชายตัวโตๆผิวแข็งๆพวกนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน”   นัยน์ตาสีทับทิมเสมองพื้น...ท่าทางเขินๆของคิโยมิตสึทำให้เขาอมยิ้มด้วยความสบายใจ เพราะอย่างน้อยคิโยมิตสึก็ไม่ได้คบกับใครๆเพียงเพื่อความสนุกอย่างเดียว...ที่คิโยมิตสึต้องการก็คือความรัก

ว่าแต่...ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่เคยคบกับคิโยมิตสึก็มีแต่หน้าตาระดับท็อปของโรงเรียนทั้งนั้นเลยนะ ยังจะบอกว่าไม่น่ารักพออีกหรือไง?  แล้วอย่างเขาจะไหวไหมเนี่ย?

“โธ่~ ต้องเขียนใหม่เลยดูสิ....”   เปลือกตาที่เคยถูกแต่งไว้ถูกลบออกไปก่อนที่คิโยมิตสึจะลงมือแต่งใหม่ คราวนี้เขาหุบปากสนิทเพราะได้คำตอบของคำถามที่คาใจมาตลอดไปแล้ว

แปรงที่ปัดมาเบาๆบนแก้มทำให้ร่างกายเหมือนกำลังลอยอยู่บนปุยนุ่น การที่ต้องมาอยู่นิ่งๆให้อีกฝ่ายแต่งหน้าจากตอนแรกๆก็เกร็งแล้วก็เขิน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกดีจนน่าประหลาดใจ เพราะทุกร่องรอยที่ปลายนิ้วสีแดงนั่นลากผ่าน ทุกสีสันที่คิโยมิตสึแต่งแต้มลงบนใบหน้าของเขามันทำให้อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“หึๆ...”   เสียงหัวเราะทำให้เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆเปิดขึ้น ใบหน้าสวยที่ยิ้มกริ่มรออยู่ทำให้ความเคลิบเคลิ้มเมื่อกี้หายไปกลายเป็นความไม่น่าไว้ใจ

“อะ อะไร? หัวเราะทำไม?”   มือรีบคว้ากระจกมาส่องดู เพราะเขาก็ไม่รู้หรอกว่าคิโยมิตสึแต่งให้หน้าเขาออกมาเป็นยังไง อาจจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วก็ได้

“หื๋อ?”   ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกๆนี่? หลังจากที่ได้เห็นหน้าตัวเองในกระจกก็ยังรู้สึกว่ามันปกติดี?

นัยน์ตาสีไพลินทอดมองตัวเองในกระจกเงาที่ดูต่างไปเล็กน้อย คิโยมิตสึแต่งหน้าเก่งจริงๆ ก็ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นการชมตัวเองละก็ ภาพที่ปรากฏอยู่ในกระจกเงานั่นมันเด็กผู้หญิงน่ารักๆคนนึงเลยนะ....ว่าแต่...นี่แต่งตามแพมเฟลทนั่นหรือว่าแต่งตามที่ใจคิโยมิตสึอยากให้เขาเป็นกันแน่นะ?

“นายนี่น่ารักจัง~ น่ารักจนอยากจะมีเซ็กส์ด้วยเลย~   ใบหน้าสวยเกยมาที่หัวไหล่ก่อนจะยิ้มระรื่น....เอาคืนที่เขาถามอย่างงั้นออกไปใช่ไหม? ใบหน้าน่ารักจึงชักแก้มป่องพองลมอย่างไม่สบอารมณ์

“ฮึ่ม....มาให้ผมละเลงหน้านายบ้างซะดีๆ”   มือบางดันคนที่เกาะหลังตัวเองอยู่ออกไป ก่อนจะเปิดแพมเฟลทหาหน้านักแสดงที่คิดว่าจะเอามาแต่งแก้แค้นคิโยมิตสึ

“เอ๋~ ไม่เอาหรอก~ นายเคยแต่งหน้าซะที่ไหน? เดี๋ยวหน้าชั้นพังหมดพอดี”   เจ้าแมวขี้อ้อนนั่นทำท่าจะหนีแต่เขาก็ตะครุบตัวเอาไว้ เพราะตัวเราสองคนเท่าๆกัน เวลาที่ต้องใช้แรงเลยไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

“มานี่เลย! อยู่เฉยๆด้วย! หึ! ขอบอกว่านอกจากเคนโด้แล้ววิชาศิลปะผมก็ได้เกรดสี่นะ!  

“โธ่...มันเหมือนกันที่ไหนเล่า...”   คิโยมิตสึส่งเสียงเง้างอดแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ในหัวกำลังพยายามระลึกชาติอยู่ว่าเมื่อกี้อีกฝ่ายใช้อะไรแต่งหน้าให้เขาบ้าง มือบางเริ่มหยิบพาเลทเครื่องสำอางขึ้นมาและพอคิโยมิตสึเห็นว่าถึงจะปฏิเสธไปเขาก็ยังดึงดันจะทำต่อให้ได้ อีกฝ่ายเลยจำต้องปล่อยให้เขาทำและคอยบอกว่าอะไรใช้ตรงไหนด้วยความจำยอม

แปรงปัดแก้มถูกปัดเบาๆตั้งแต่ช่วงหางตาลงมาถึงโหนกแก้มเพื่อแต่งแต้มสีแดงจางๆลงไป เป็นอย่างที่คิดจริงๆว่าคิโยมิตสึเหมาะกับสีแบบลูกเชอร์รี่แม้แต่โทนสีที่ใช้แต่งหน้า นัยน์ตาสีไพลินทอดมองใบหน้าได้รูปของคิโยมิตสึที่กำลังหลับตาให้เขาได้แต่งแต้มสีสันตามแต่ใจ มันเหมือนกับว่าเขาสามารถสร้างตัวตนของอีกฝ่ายเท่าที่เขาอยากให้เป็นได้ยังไงก็ไม่รู้ ตอนที่ถูกแต่งหน้าก็ว่ารู้สึกดีแล้วนะ แต่พอลองมามองในมุมของคนที่แต่งให้มันกลับรู้สึกดีไม่ได้ต่างกันเลย

ลิปกอสสีแดงถูกทาลงไปบนริมฝีปากของคิโยมิตสึ ความมันวาวอวบอิ่มของมันทำให้เขาต้องตั้งสติ...ไม่งั้นคงเผลอจูบลงไปแน่ๆ

“เสร็จแล้ว~ ละมั้ง?”   เขาวางแปรงปัดหน้าลงอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ถึงจะแต่งมั่วๆแต่เพราะโครงหน้าของคิโยมิตสึสวยอยู่แล้วแค่แต้มสีไปตามตัวอย่างที่อยู่ในแพมเฟลทเล่มนั้นไม่มากเท่าไหร่ ใบหน้าใสๆของคิโยมิตสึก็ละมุนละไมเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนขึ้นมาทันที

“ดูได้ไหมเนี่ย~~”   อีกฝ่ายรีบหยิบกระจกขึ้นไปส่องด้วยความไม่วางใจ

“สวยออกน่า”   เขาเอ่ยชมด้วยความจริงใจและไม่ได้คิดหรอกว่าแก้มใสๆที่อยู่ภายใต้เครื่องสำอางนั่นมันจะกำลังแดงระเรื่อ

“.........”   คิโยมิตสึหันไปหันมาเพื่อดูหน้าของตัวเองในกระจกโดยไม่ได้พูดอะไร เวลาที่พวกเราทำอะไรสักอย่างอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยกันแบบนี้มันก็ทำให้เขาอดนึกถึงผู้ชายที่เลี้ยงดูเรามาไม่ได้  ริมฝีปากจึงเผลอพูดออกไปอย่างไม่ทันคิด

“อยากให้พ่อได้เห็นจังเลยน้า~    พ่อคงจะอมยิ้มแล้วก็ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่าเราสองคนกำลังเล่นอะไรกันอยู่แน่ๆ นัยน์ตาสีไพลินทอดมองห้องนั่งเล่นที่เคยเต็มไปด้วยไออุ่นโดยไม่ทันสังเกตเลยว่านัยน์ตาสีทับทิมมองมาที่เขาด้วยแววตาเช่นไร

“นายน่ะ อะไรๆก็พ่อ...”   เสียงนิ่งเอ่ยออกมาเบาๆและมันก็ทำให้เขาหลุดออกมาจากภวังค์

“หื๋อ?”   เขาหันไปมองคิโยมิตสึด้วยความสงสัย เหมือนอีกฝ่ายจะพูดอะไรสักอย่าง?

“เปล่า...”   ใบหน้าสวยๆนั่นหันไปอีกทาง เขาเลยไม่ทันคิดว่าคิโยมิตสึจะไม่พอใจเรื่องอะไร

“นายก็ลองดูสิ สวยใช่ไหมล่ะ”   มือบางยื่นกระจกไปให้อีกรอบเพื่อคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายออกปากชมฝีมือการแต่งหน้าของเขา แต่คิโยมิตสึกลับมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาก่อนจะอมยิ้มเจ้าเล่ห์

“บอกแล้วว่าฝีมือผมซะอย่าง”   ใบหน้ามนอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจในฝีมือการแต่งหน้ามั่วๆของตัวเอง มือบางเอื้อมไปปิดตลับอายชาโดว์ลงจึงเป็นจังหวะที่ไม่ทันระวังตัว


ตุ้บ...


และกว่าจะรู้ตัวอีกทีร่างทั้งร่างก็ถูกคิโยมิตสึกดให้ลงไปนอนกับพื้นไปแล้ว

“.....?”   นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองข้อมือของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายกดติดกับพื้นด้วยความมึนงง ก่อนที่ใบหน้ามนจะเงยขึ้นไปมองคนที่คร่อมอยู่ด้านบนซึ่งกำลังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้  ใบหน้าสวยๆนั่นค่อยๆก้มลงมาหาและมันก็ทำให้ร่างทั้งร่างแทบจะแข็งเป็นหินต่างจากหัวใจดวงน้อยที่เต้นจนแทบจะทะลุอกซ้ายออกมา ริมฝีปากสีเชอร์รี่ขยับไปกระซิบอยู่ที่ใบหู

“ถึงจะสวยยังไง...แต่ชั้นก็เป็นผู้ชายนะ”   นัยน์ตาสีไพลินเบิกกว้างและมันก็ทำให้คนกระทำหัวเราะคิกคักชอบใจ นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองแก้มใสที่เริ่มขึ้นสีอย่างชัดเจน...ยาสึซาดะอ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาทองและมันก็น่ารักจนเขาอดใจไม่ไหว...เลยเผลอกดริมฝีปากลงไปที่ต้นคอระหงนั่นเบาๆ 

“คิโย...มิตสึ?...”   เสียงงงๆเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่ต้นคอ...ถึงจะรู้ว่าเป็นจูบแต่มันก็ไม่มีที่มาที่ไปจนไม่รู้ว่ามันคืออะไร?

“ไม่ใช่ว่านายหลงรักผมหรอกนะ?”   แล้วคนที่มักจะยิงคำถามออกมาตรงๆก็ยังคงสไตล์ของตัวเองเอาไว้ และมันก็ทำให้คนที่อยู่ด้านบนเป็นฝ่ายผงะไปเสียเอง

“ห๋า?! จะ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงเล่าเจ้าบ้า!”   แล้วก็เป็นคะชู คิโยมิตสึเองที่ต้องหน้าแดงเถือกกับคำพูดหน้าตายของอีกฝ่าย ร่างโปร่งละจากร่างบางที่นอนราบอยู่บนพื้นออกมาด้วยความเขินอายก่อนจะกวาดเครื่องสำอางแล้วหอบวิ่งขึ้นบันไดกลับห้องของตัวเองไป




แกร่ก...

ประตูห้องนอนปิดลงก่อนที่ร่างโปร่งจะทรุดนั่งอยู่หลังประตูด้วยหัวใจที่เต้นแรง เครื่องสำอางที่อยู่ในอ้อมแขนถูกปล่อยลงพื้นพรมหนานุ่มจนมันกลิ้งเกลื่อนกลาด มือเรียวยกขึ้นมากุมหน้าอกก่อนจะพยายามผ่อนลมหายใจให้อกซ้ายมันหยุดเต้นอย่างบ้าคลั่งเสียที

ยาสึซาดะนี่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ...

เมื่อกี้ก็แค่ตั้งใจจะแหย่เล่นเหมือนทุกที ถึงแม้เขาจะเผลอจูบไปก็เถอะ แต่ไม่คิดว่ายาสึซาดะจะยิงคำถามแบบนั้นออกมาตรงๆ

โธ่เว้ย...จะให้พยักหน้ายอมรับได้ไง น่าอายจะตายชัก

อีกอย่าง...เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่มีแต่พ่อๆๆ เคนโด้ๆๆ อยู่ในหัวนั่นจะคิดแบบนั้นกับเขาหรือเปล่า...เขาไม่อยากจะสูญเสียที่นี่ไป ไม่อยากจะสูญเสียอ้อมแขนของยาสึซาดะไป ถึงต้องเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้...ที่ผ่านมาก็พยายามจะคบกับคนมากหน้าหลายตาเผื่อว่าจะมีใครทำให้เขาคิดแต่เรื่องของคนคนนั้นได้มากกว่ายาสึซาดะ

แล้วเขาก็พบว่า....ไม่มี


ชั้นถึงได้ยังเวอร์จิ้นอยู่จนถึงตอนนี้ไงเล่าเจ้าบ้ายาสึซาดะ!


“เฮ้อ....”   ร่างโปร่งลุกขึ้นมาก่อนจะเดินโซเซไปที่เตียง แล้วสายตาจะเหลือบไปเห็นของอีกอย่างที่ได้มาจากคาเนะซังนอกจากแพมเฟลทเล่มนั้น

นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองบทละครเวทีที่วางอยู่บนเตียง...ที่บอกยาสึซาดะไปว่าจะไปช่วยคาเนะซังแต่งหน้านั่นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะหลังจากโดนลากเข้าไปในโรงละครได้ไม่กี่นาที ช่างแต่งหน้าก็โทรมาบอกว่าข้อมืออักเสบจริงๆ

เพียงแต่...

เขาไม่ได้ถูกขอร้องให้ช่วยแต่เรื่องแต่งหน้าอย่างเดียว เพราะที่จริงแล้วบทละครนี่ต่างหากคือสิ่งที่คาเนะซังตั้งใจจะให้เขาไปช่วย

ถึงจะไม่ใช่บทสำคัญอะไรมากมายแต่มันก็คือการที่เขาจะต้องเข้าไปช่วยแสดงแทน

จะต้องขึ้นแสดงบนเวที...ในฐานะของนักแสดง....



เรื่องนี้ต่างหากที่เขาไม่กล้าบอกยาสึซาดะ...













.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




คุณกวางแม่ง....ป่วยดาบไปแล้วค่ะถถถถถถ // เอาหัวโขกกำแพง // เพราะอนิเมะ Touken Ranbu Hanamaru แท้ๆเลย!!! TT[ ]TT ตรูอุตส่าห์รักษาตัวรอดมาจนป่านนี้ เผลอไปดูอนิเมะแบบไม่คิดอัลไล พอจบตอนแรกเท่านั้นแหละ...สองดาบของโอคิตะ โซจินี่มันอะร๊ายยยยยยย น่ารักไปแล้วฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ >/////<  แถมพอได้รู้ประวัติความดราม่า หวานปนเศร้าเคล้าน้ำตาของดาบคู่นี้แล้วก็แบบ....ติ่งโอคิตะไม่ทนค่ะฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ // เอาหัวโขกกำแพงหนักมาก

คือสำหรับคนที่ตามโกดังนี้มาตั้งแต่ตอนอยู่ที่มัลติพลายน่าจะพอทราบว่าอินี่มันติ่งโอคิตะ โซจิมาตั้งแต่โบราณกาล5555 // เคยแต่งฟิคพีชเมกเกอร์คู่ท่านรองโซจิด้วย กร๊ากกกก แต่มันไม่ค่อยดีเลยไม่เอามาลงที่นี่ อาย 555 // แต่ตั้งแต่ติ่งโอคิตะคุงมาก็ไม่เคยรู้เลยค่ะว่าเค้ามีดาบสองเล่ม คือไม่เคยรู้ประวัติดาบของโซจิมาก่อน ยิ่งพอได้มาทราบจาก Touken ranbu ก็ยิ่งหลงรักโอคิตะคุงเข้าไปใหญ่ ฮืออออ รักคะชูกับยามะตันด้วย >3<

แล้วยิ่งสองดาบนี่อย่างกับถอดคาแรกเตอร์ของโซจิมาก็ยิ่งรัก แง๊~ ก็เลยบังเกิดเป็นไหอย่างที่เห็น TvT

และด้วยความที่เป็นสาวสวยทั้งคู่ คุณกวางเลยเรียกสองคนนี้ว่าคู่ยูริค่ะ กร๊ากกกก // โดนสับ // จริงๆสายยูริก็รับได้นะ เคยอยากจะแต่งฟิคยูริอยู่หลายทีแบ้วเหมือนกัน // ง่วงเซมไป(นัตสึกิ) x ยูโกะจากฮิบิเกะ ยูโฟเนียม5555 แบ้วก็ ซันโจว x สุมิโซเมะ จากอินาริ คอนๆ >////< // นะ...คราวนี้ก็เลยได้เขียนฟิคยูริสมใจ // โดนสับโดยพร้อมเพรียง อ่อก  เหม่...ถึงจะแซวว่าเป็นคู่ยูริ แต่จริงๆก็เป็นฟิควายยาโอยปกติแหละค่ะ555

เพียงแต่คู่นี้ค่อนข้างแปลกประหลาดชาติคุณกวางมาก ปกติไม่เคยจิ้นสลับตำแหน่งเลยค่ะ แต่คู่นี้สลับได้ซะงั้น555 จะ คะชูxยามะตัน  หรือยามะตันxคะชูก็ได้ // อันที่จริงกำลังแต่งสปินออฟของ GLIDE เป็นคู่ ยามะตันxคะชู อยู่ค่ะ ได้ครึ่งตอนแระ ไม่นานนี้คงได้ลง5555

และด้วยความที่คุณกวางไม่ได้เล่นเกมดาบนะ และก็เพิ่งจะติดตามหนุ่มดาบมาแค่ระยะเวลาอนิเมะ 4 ตอน TvT เพราะงั้นถ้าเรื่องคาแรกเตอร์ผิดบ้างอะไรบ้างก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ จะค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ555 แต่ก็อยากให้เข้าใจว่านี่คือแฟนฟิกชั่น อย่ามาเอาเนื้อหาสาระอะไรกับมันเล้ย อ่านเพลินๆไป คนแต่งมันก็แต่งสนองนีดตัวเองอ่ะนะ อย่าไปซีเรียส555 ถ้าคิดว่าไม่ใช่แนวตัวเองก็ปิดหน้านี้ไปนาคะ TvT ต้องแจ้งกันไว้ก่อน

อีกเรื่องที่คุณกวางเองก็เมา แต่ก็ใช้ตามที่อนิเมะเค้าว่ามาคือเรื่องคำเรียกตัวเองของสองดาบในเรื่องนี้ เพราะเป็นฟิคยุคปัจจุบันเลยไม่สามารถใช้คำว่า “ข้า” ได้ อย่างคะชูค่อนข้างชัดเจนว่าจะใช้คำว่า “ฉัน” “ชั้น” แทนตัวเองเพราะในอนิเมะก็ใช้ ore แต่ปัญหามันอยู่ที่ยามะตันค่ะ555 คือเค้าพูดสุภาพมาก ในอนิเมะใช้ boku ตลอดเลย เพราะงั้นตอนแต่งฟิคก็มึนไป...ให้ยามะตันแทนตัวเองว่าผมมันก็ได้อยู่หรอก แต่เวลาพูดกับคะชูแล้วใช้ผมกับนายนี่มันประหลาดไหมวะ ไม่เคยแต่งฟิคโดยใช้สองคำนี้ร่วมกัน เคยแต่ชั้นกับนาย เลยคิดไม่ตกแล้วก็จบลงที่ช่างแม่งแบ้วกัน5555 // อินี่ // เพราะงั้นแปลกอะไรยังไงก็ข้ามๆไปนะคะ // ดูมัน

มาพูดถึงฟิคตอนนี้กันบ้าง แอร๊ยยยย ชอบตอนที่สองดาบเค้าแต่งหน้าให้กันจังเลยค่ะ5555 // แต่งเองก็เพ้อเองได้อีก =w= // เป็นฉากในฝันที่ไม่คิดว่าจะได้แต่งเลยจริงๆ55555+ จะให้ยามะก๊ก หรือหัวหน้ากับลูกหมา หรือท่านเคานต์ค.กับน้องสเลนมาเล่นบทแบบนี้คงจะมีแต่ฮาแตกเท่านั้น5555 แต่พอเป็นยามะตันกับคะชูแบ้วมันมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งยังไงก็ไม่รู้เนอะ >////< // แต่เอาจริงๆนะ คุณกวางแต่งหน้าไม่เป็นค่ะ เครื่องสำอางอะไรเรียกว่าอะไรยังไม่ค่อยจะรู้เลยค่ะ555 เพราะงั้นถ้าบทบรรยายตอนแต่งหน้ามันมีอะไรประหลาดๆไปบ้างก็โปรดอภัย TvT

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆการติดตามนะคะ >v< ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ไหอื่นๆที่เขียนไว้ให้ในช่วงนี้ด้วยนะคะ ดีใจมากกกก งื้ออออ >////< ไม่ได้แต่งฟิคมาราวๆสองเดือนได้เพราะงานยุ่งบัดซบเลยค่ะ ก็บ่นแบบนี้มาทุกรอบ555 แต่คราวนี้หนักกว่าทุกที จะว่าเหนื่อยสะสมก็น่าจะได้ค่ะ คือกลับบ้านมาก็ทำได้แค่โม่ยถ่ายรูปเอเลนเพื่อเยียวยาจิตใจ จากนั้นก็สลบไป ตื่นมาไปทำงานอีกแล้ว =[ ]= เมื่อก่อนส่วนใหญ่จะเป็นงานที่อยู่กับแบบ ก็ดีไซน์ก็เขียนแบบกันไปอยู่ในออฟฟิศ งานเร่งแค่ไหนก็ยังโอเคอยู่ แต่ช่วงหลังๆมานี้ต้องรบรากับที่ไซต์ก่อสร้าง(4site)และเจ้าหน้าที่เขตทั้งหลาย(4เขต) เวลาต้องเจรจากับคนเนี่ยมันเหนื่อยสุดๆเลยค่ะ TvT ก็เลยมีสภาพอย่างที่ว่า555

ถ้าไม่ตายกลางทางไปซะก่อนคงได้เจอกันในตอนต่อไปย์ =w=







2 ความคิดเห็น:

  1. ฮือออออออไรท์คะ ขอกอดหน่อยค่ะ ไม่คิดว่าจะมีคนมาลงเรือคะชูXยามะเพิ่มด้วยอีกคน แถมอยู่สายผลิตอีกต่างหาก //ซับน้ำตา ขอต้อนรับสู่การป่วยดาบนะคะ หลุมนี้มันลึกและใหญ่เกินจะปืนขึ้นมาไหวจริงๆค่ะ ขอให้อยู่แต่งฟิคคู่นี้ในหลุมคะชูยามะด้วยกันไปอีกนานๆนะคะ ฮาาาาา


    ตอนแรกๆที่เล่นเกมก็ไม่คิดว่าจะจิ้นคู่นี้เหมือนกันค่ะ ตอนแรกแอบมองว่าคะชูเคะกว่ายามะด้วยซ้ำ แต่พอได้ดูฮานามารุแล้วเกิดอาการเดียวกับไรท์เลยค่ะ คือเกิดมาsparkระเบิดพลังชิปกับคู่คะชูXยามะตันซะงั้น โอ๊ยยยย ความเท่ห์และความหล่อที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ความสวยของคิโยมิตสึมันกระแทกใจค่ะ สุดท้ายเลยเดินลงเรือนี้มาแบบงงๆเฉยเลย แต่พอลงเรือคู่นี้มาแล้วก็แทบกระอักเลยค่ะ เพราะฟิคเอยโดจินเอยของคู่นี้มันหาอ่านยากเหลือเกิน ขนาดเว็บนอกยังแทบไม่มีเลย เหมือนคนส่วนใหญ่จะจิ้นยามะคะชูกันหมด //ร้องไห้ กลายเป็นเรือที่มีโม้เม้นต์เยอะแต่ลูกเรือมีอยู่จิ๊ดเดียวซะงั้น ฮา แต่ลงเรือมาแล้วจะถอยกลับก็ไม่ได้ค่ะ ตอนนี้ก็เลยมุ่งมั่นเสพงานจากฝั่งญี่ปุ่นต่อไป จนมาเจอฟิคของไรท์เนี่ยแหละค่ะ เหมือนสวรรค์มาโปรดจริงๆ เพราะนอกจากจะแต่งคู่ที่ชอบที่สุดแล้ว ยังเขียนได้ดีมากๆอีกต่างหาก


    ชอบการถอดคาเรคเตอร์และการถอดบรรยากาศต่างๆจากในฮานามารุมาไว้ในฟิคมากๆเลยค่ะ หลายๆจุดอ่านแล้วรู้สึกเรียลจนเราอินมาก ฮือๆๆๆ รู้สึกว่าคู่คะชูยามะต้องฟิลนี้แหละ มองเผินๆแล้วเหมือนใครจะรุกจะรับก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วพอกลายเป็นคะชูรุกแล้วรู้สึกว่านางดูหล่อขึ้นเลย 50% 555555555 //แอบชอบคิโยมิตสึแบบนี้แหละ ถึงจะรักสวยรักงาม แต่ก็มีเวอร์ชั่นแมนๆดูแลยามะตันได้เหมือนกันนะ ส่วนยามาโตะในมโนเราเหมือนที่ไรท์เขียนไว้เปี๊ยบเลยค่ะ ถึงจะดูน่ารัก แต่พออยู่กับคิโยมิตสึแล้วขี้บ่นเป็นหมีกินผึ้งแบบนี้เลย แถมยังน่ารักแค่ภายนอก ภายในก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆด้วย อ่านฟิคนี้แล้วเลยชอบมากๆเลยค่ะ โอ้ยยยย เม้นซะยาวเหยียดเลย ถ้ายาวจนรกไปต้องขออภัยด้วยนะคะ พอดีมันหาอ่านยากเหลือเกินจริงๆคู่นี้ พอมาเจอเรื่องนี้เลยทนไม่ไหวค่ะ ขอระบายสักหน่อย ขอบคุณมากๆที่สนองคู่นี้มาให้จนได้นะคะ อยู่กับเรือคิโยยาสึไปนานๆนะคะไรท์ ยินดีต้อนรับสู่การป่วยดาบอีกครั้งค่ะ จะตามอ่านตามเม้นทุกตอนให้อย่างแน่นอนค่า <3


    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ21 เมษายน 2562 เวลา 02:24

    ฮือออออ หนูจะช็อตตายแล้ววว /////-//// ต้องมีจินตนาการแค่ไหนถึงแต่งฟิคออกมาให้เราอ่านแล้วกรี๊ดจะตายชัก5555555 // แต่งได้ดีมากค่ะ ฟิคเรื่องนี้แทนความคิดในใจเราไปแล้ว ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณมากก.. จริงๆค่ะ T^T ฟินมากค่ะ ><

    ตอบลบ