Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi xEren , 8059] GLIDE : CHEQUERED FLAG#3 [END]


Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi xEren , 8059]  GLIDE : CHEQUERED FLAG#3 [END]

: Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
: Levi x Eren , 8059
: Romantic Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ






ร่างสองร่างจับมือเดินเคียงข้างกันไปตามบันไดหินที่ลดหลั่นจากกลุ่มอาคารที่อยู่บนสุดลงไปหากลุ่มอาคารที่อยู่ริมทะเลสาบ ผนังทาสีเหลือง ส้ม น้ำตาลของอาคารสไตล์อิตาลีที่ขึ้นเบียดๆกันอยู่เชิงเขารอบๆทะเลสาบโคโม่ดูสดใสมีชีวิตชีวาสมกับที่เป็นเมืองตากอากาศชื่อดังของอิตาลี ยิ่งเมืองเบลลาจิโอ้ที่ถือเป็นไข่มุกของโคโม่ก็ยิ่งสวยงามจนอดที่จะหยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆไม่ได้

“ทำไมมีแต่หน้าผมละครับ? เอาให้เห็นวิวตึกสีส้มกับทะเลสาบข้างหลังด้วยสิ!...แล้วรูปนี้มันอะไร? ทำไมมีแต่ก้นล่ะ?! โธ่~ คุณรีไวนี่ไม่ได้เรื่องเลย!   ใบหน้ามนบ่นเป็นชุดเมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คภาพที่ให้นักขับมือหนึ่งของเฟอร์รารี่ถ่ายให้

“ก็แกบอกชั้นว่าให้ถ่ายมุมที่คิดว่าสวยนี่”  แต่ใบหน้านิ่งก็พูดออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“แล้วก้นนี่มันสวยตรงไหนครับ?! ถ่ายให้ผมใหม่เดี๋ยวนี้เลย เอาให้เห็นตึกนี้แล้วก็กิ่งกุหลาบที่ยื่นออกมา แล้วก็ทะเลสาบมุมกว้างๆด้วย เข้าใจไหมครับ?”   มือแข็งแรงจำต้องรับโทรศัพท์มือถือกลับมาอย่างขี้เกียจจะทนต่อการรบเร้า...ถ้าไม่ใช่เจ้าเด็กเหลือขอนี่คิดหรือว่าคนอย่างรีไวจะมาทำอะไรแบบนี้

แต่การได้มองเจ้าลูกหมานั่นผ่านเลนส์กล้องมันก็ไม่เลวนักหรอก ปลายนิ้วกดชัตเตอร์รูปมุมกว้างอย่างที่เอเลนอยากได้ไปพอเป็นพิธีรูปหนึ่งก่อนที่มันจะค่อยๆซูมเข้าไปที่เอวคอดของคนที่ยืนหันข้างโน้มตัวลงไปเอาแขนเท้าราวระเบียงหินเอาไว้...บอกตามตรงว่าร่างกายของเจ้าเด็กนี่สวยกว่าทะเลสาบอะไรนั่นเยอะ

“มาเซลฟี่กันครับ”   แต่ยังไม่ทันจะได้กดถ่าย เจ้าเด็กเหลือขอก็ตรงเข้ามาคล้องแขนก่อนจะลากเขาไปยืนที่ริมระเบียงหินด้วยกัน  หัวสีน้ำตาลขยับมาใกล้ใบหน้าของเขาจนได้กลิ่นแชมพูของโรงแรมที่นอนเมื่อคืน ไออุ่นๆทำให้เขาไม่ได้สนใจกล้องแต่กลับหันไปจูบเบาๆที่แก้มใสที่อยู่ใกล้ๆนั่นแทน

ใบหน้ามนชะงักน้อยๆก่อนจะค่อยๆละจากกล้องมือถือ แสงระยิบระยับจากทะเลสาบยามเช้ากับภาพราวกับเมืองในฝันของเบลลาจิโอ้ทำให้รู้สึกเผลอไผล ยิ่งลมหายใจและสายตาดึงดูดของคุณรีไวที่อยู่ใกล้ๆ มันก็อดที่จะแนบริมฝีปากกลับไปไม่ได้

ถึงจะเป็นจูบที่แผ่วเบาและไม่ได้ล่วงล้ำแต่มันกลับหอมหวานจนได้แต่นิ่งค้างอยู่เนิ่นนาน กลิ่นกุหลาบเถาหอมฟุ้งอบอวลจนชวนให้อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ที่ตรงนี้เสียจริงๆ

“ระ รีบไปกันเถอะครับ...คุณต้องไปขึ้นเครื่องตอนบ่ายนี่นา...”   ใบหน้าแดงระเรื่อละออกไปอย่างเขินอายทั้งๆที่ใบหน้าคมยังคงนิ่งมองอีกฝ่ายไม่วางตา

ร่างแข็งแกร่งเดินตามร่างโปร่งบางลงบันไดหินไปเรื่อยๆ ผู้คนและนักท่องเที่ยวเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันแล้วจึงมีคนเดินสวนมาตลอดทาง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสายตาของเขาก็มีเพียงเจ้าลูกหมาที่หันมายิ้มเริงร่าให้นั่นคนเดียว

“เอเลน”   นานๆทีเขาถึงจะเรียกชื่อเด็กนั่นตอนที่ไม่ได้อยู่บนเตียงมันจึงทำเอาใบหน้ามนหันมามองเขาอย่างแปลกใจ แต่เมื่อนัยน์ตาสีมรกตเหลือบเห็นมือแข็งแรงที่ยื่นออกไปให้ มือบางก็วางลงพร้อมรอยยิ้มทันที

ร่างสองร่างยังคงเดินเคียงข้างกันไป จากบันไดหินหลายร้อยขั้นจนสุดถนนที่วิ่งเลาะริมทะเลสาบซึ่งนักขับมือหนึ่งจอดรถเอาไว้

Ferrari F12 Berlinetta วิ่งออกจากเบลลาจิโอ้ผ่านทิวเขาเพื่อกลับเข้าสู่ตัวเมืองมิลาน แล้วอีกไม่นานมันก็วิ่งต่อไปถึงมาราเนลโล่และบ้านในเขตอุทยานของพวกเขาในที่สุด

“เอ๋? โกคุเดระไปทำกายภาพหรือไงนะครับ? บ้านเงียบเชียววันนี้”   ร่างโปร่งบางถามลอยๆอย่างสงสัยในขณะที่ลากกระเป๋าที่มีแต่อุปกรณ์ปรับแต่งรถบังคับวิทยุที่เพิ่งไปแข่งมาขึ้นบนเฉลียง บ้านฝั่งขวาที่ปกติจะมีเสียงหัวเราะด่าทอไม่ก็เสียงเตรียมอาหารวันนี้ดูเงียบผิดปกติแถม BMWสีดำก็ไม่อยู่ด้วย

“เจ้าฮายาโตะน่าจะไปสนามแข่งด้วยกันน่ะ เห็นเอลวินบอกว่าไม่อยากให้ร้างสนามนานๆ”   มือแข็งแรงกดปิดรีโมทประตูรั้วก่อนจะเดินตามขึ้นไป

“เอ๋? ขับเอฟวันได้แล้วเหรอครับ?”   ใบหน้ามนหันมาถามอย่างสงสัย เพราะถึงจะกลับมาเดินได้ตามปกติแล้วแต่การขับรถสูตรหนึ่งมันก็อีกเรื่องนึงเลย

“ยังหรอก เจ้าเอลวินก็แค่อยากให้ไปนั่งอยู่ในพิตน่ะ”   อ้อ...ทำให้ชินกับบรรยากาศเก่าๆเร็วๆสินะ หัวสีน้ำตาลพยักหงึกๆก่อนที่ร่างโปร่งจะนั่งลงกับพื้นเพื่อรื้อกระเป๋าอุปกรณ์ตามปกติ


….Sie sind das Essen und wir sind die Jager!!....


เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นไม่เพียงแต่จะทำให้มือที่กำลังรื้อกระเป๋าต้องหยุดชะงัก ฝ่าเท้าของคนที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเองก็ชะงักเช่นกัน

“ไงมิคาสะ?”   ยิ่งชื่อที่เจ้าเด็กเหลือขอเรียกผ่านโทรศัพท์ก็ยิ่งทำให้ต้องชะงักยิ่งกว่าเดิม ร่างแข็งแกร่งตั้งใจเงี่ยหูฟังเต็มที่

“อะ! ดีเลย! ได้สิ งั้นเดี๋ยวตอนเย็นๆชั้นออกไป อื้อ เจอกันที่ร้านกาแฟที่เดิมแล้วกัน อื้อ บาย”   มือบางกดวางสายอย่างไม่ได้คิดอะไรนัก แต่นักขับมือหนึ่งของเฟอร์รารี่กลับเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ฝ่าเท้าที่ว่าจะเดินขึ้นบันไดจึงเปลี่ยนใจเดินไปหาร่างโปร่งแทน

“ยัยเด็กหัวดำนั่นโทรมาว่าไง?”

“อ่ะ! อย่ามาแอบฟังคนอื่นคุยกันสิครับ! มิคาสะแค่บอกว่าจะติวฟิสิกส์ให้ผมเองน่า ไม่มีอะไรหรอก”    ห๋า? มันจะไม่มีอะไรได้ไง? นี่มันต้องเป็นแผนการร้ายของยัยเด็กนั่นแน่ๆ คิดจะตีท้ายครัวตอนที่เขาไม่อยู่บ้านสินะ?! สมกับเป็นคู่กรณีหมายเลขหนึ่งของเขาจริงๆ!

“แกก็ต้องไปฮังการีกับชั้นด้วย”    เสียงทุ้มพูดจาเอาแต่ใจออกไปทันที ไม่ว่าเปล่ามือแข็งแรงยังจับมือบางแล้วออกแรงลากให้เดินตามขึ้นไปชั้นสองด้วยกัน

“เอ๋? แต่ว่าผมกำลังจะสอบ...”   คนเดินตามได้แต่ทำหน้างงเพราะยังไม่รู้ตัวว่าไปจุดฉนวนระเบิดเข้า

“สอบเมื่อไหร่?”

“อาทิตย์หน้า...”

“งั้นก็หอบหนังสือไปอ่านด้วย  ถ้าเป็นฟิสิกส์ คณิต ภาษาอังกฤษละก็ ถามไอ้พวกที่เดินเกะกะอยู่ในพิตนั่นก็ได้ ตอบคำถามนายได้ทุกคนแหละ”   มันก็จริงแหะ...ถึงจะดูเป็นพวกโอตาคุรถแต่ยังไงพวกนั้นก็เป็นวิศวกรนะ แค่ฟิสิกส์ระดับไฮสคูลย่อมตอบได้อยู่แล้ว

นัยน์ตาสีมรกตมองร่างแข็งแกร่งที่กำลังหยิบเสื้อผ้าของเขายัดลงกระเป๋าไปด้วยกัน ท่าทางที่อยากจะให้เขาไปด้วยแบบนั้นมันทำให้ดีใจจนเผลอยิ้มแก้มแทบปริ...เป็นอะไรก็ไม่รู้ละ แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน








BMW 5 Series Sedan จอดลงในที่จอดรถหน้าสนามฟิโอราโน่ แล้วในขณะที่ร่างบอบบางก้าวขาเดินตัวปลิวเข้าไปในสนาม ร่างสูงใหญ่ก็เป็นฝ่ายลากกระเป๋าเดินทางตามเข้าไป

“ชั้นก็อยากไปกับนายด้วยอ่าโกคุเดระ~”    เสียงทุ้มยังคงง๊องแง๊งจนคนเดินนำเริ่มจะรำคาญ

“เกะกะ แล้วอีกอย่างแกก็มีงานต้องทำไม่ใช่รึไง?! วองโกเล่เดซิโม่บอกไว้ว่าให้นายอยู่อิตาลีอาทิตย์นี้”

“นี่นายฟังสึนะมากกว่าสุดที่รักอย่างชั้นอีกงั้นเหรอ~ น่าน้อยใจจริงๆ~”   คิ้วสีเงินกระตุกถี่ๆกับเสียงร้องไห้กระซิกๆที่น่ากระทืบให้ตายมากกว่าจะน่าสงสารนั่น เขาก็ไม่รู้ว่ามีงานสำคัญอะไรหรือเปล่าแต่วองโกเล่รุ่นที่สิบย้ำกับเขานักหนาว่าพยายามอย่าให้ยามาโมโตะไปไหนในช่วงอาทิตย์นี้ ซึ่งมันมีแข่งเอฟวันพอดีมันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องไปคนเดียว  อันที่จริงก็แค่ไปนั่งอยู่ในพิตเฉยๆ ไม่ได้จะกลับไปขับรถเลยเสียเมื่อไหร่ ไม่รู้จะห่วงอะไรนักหนา

“ชั้นไม่ได้เป็นง่อยนะ! อีกอย่างก็ไปกับพวกเฟอร์รารี่ ไม่เห็นมีอะไรต้องห่วง!”   ใบหน้าสวยหันไปแยกเขี้ยวใส่ร่างสูงใหญ่ที่ยังงอแงเป็นเด็กๆ เมื่อก่อนเขาก็ไปของเขาคนเดียวไม่เห็นจะเป็นจะตายอะไรเลย สงสัยไอ้หมีบ้านี่จะเคยตัวเพราะตลอดสองปีมานี้ที่เขาพักรักษาขาก็แทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถ้าไม่ค่อยๆแยกกันบ้างเดี๋ยวจะกลายเป็นหมีลูกติด...อ่ะ...ไม่ใช่...หมีติดแม่?...เอ...ไม่ใช่สิ เขาไม่ใช่แม่มัน ถ้างั้น...หมีติดเจ้าของ?...อ้า...จะยังไงก็ช่างเถอะ!

“โกคุเดระ! ทางนี้ ขึ้นรถเลยๆ!”    ทีมบอสร่างสูงใหญ่ที่กำลังต้อนลูกทีมที่เหลือให้ขึ้นรถโค้ชสีแดงร้องเรียกร่างบอบบางทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปด้านในสนาม ส่วนใหญ่ลูกทีมจะมารวมตัวกันที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของเฟอร์รารี่พร้อมกัน

“แล้วรีไวล่ะ?”   เอลวิน สมิธถามขึ้นหลังจากที่ไม่เห็นวี่แววว่าอีกคนจะมาด้วยกัน

“ไม่ได้มาด้วยกันครับ จะว่าไปก็ไม่ได้กลับบ้านนะเมื่อคืน?”   ยามาโมโตะเป็นฝ่ายตอบก่อนจะหันไปส่งสายตาถามโกคุเดระที่ส่ายหน้าว่าไม่รู้เหมือนกัน

“ช่างเถอะ ถ้ามาไม่ทันก็ให้บินตามไปเองแล้วกัน”   ทีมบอสตัดบทง่ายๆ

“ฝากโกคุเดระด้วยนะครับ”   ร่างสูงใหญ่เอ่ยฝากฝังเหมือนแม่ที่ฝากลูกชายวัยอนุบาลไว้กับคุณครู ซึ่งทีมบอสได้แต่ลอบขำในใจ กรำสนามมามากมายขนาดนั้นไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอกเจ้าเด็กหัวเงินนี่น่ะ แต่ถ้านึกถึงอุบัติเหตุร้ายแรงที่เด็กนี่เพิ่งเจอมาเขาก็เข้าใจได้นะว่าทำไมยามาโมโตะถึงได้ห่วงนักหนา  ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองจึงพยักหน้ารับคำฝากฝังนั่น ยังไงก็ให้อยู่แต่ในพิต เขาดูแลได้อยู่แล้ว

“...............”   แต่แทนที่ร่างบอบบางจะก้าวขาขึ้นรถโค้ช โกคุเดระกลับยืนนิ่งคาประตูอยู่แบบนั้น ใบหน้าสวยอึกๆอักๆเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที แก้มใสเองก็แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน

“โกคุเดระ?”    เสียงทุ้มจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าลืมอะไรหรือเปล่า?

“........ดะ ดูถ่ายทอดสดด้วยนะ.......”    หื๋อ? ปกติก็ไม่เคยเห็นบอกให้เขาดูแต่คราวนี้กลับย้ำซะขนาดนี้?

“มีอะไรหรือเปล่า?”   ใบหน้าคมยังคงสงสัย แต่หัวสีเงินนั่นก็ส่ายไปมาก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถไป....เอ๋~~~~?!!

ร่างสูงใหญ่ยิ้มแห้งในขณะที่ยืนโบกมือให้รถโค้ชสีแดงที่ขับออกไป...แบบนี้ก็มีแต่จะต้องดูถ่ายทอดสดสินะ? ตั้งใจจะทำอะไรกันนะโกคุเดระ?







สนามฮังกาโรริง ตั้งอยู่ในบูดาเปสเมืองหลวงของฮังการี เป็นสนามถาวรที่มีความเก่าแก่และคงไม่มีนักขับคนไหนไม่อยากชนะในสนามปราบเซียนแห่งนี้ เพราะงั้นตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาจนกระทั่งถึงวันแข่งขันทุกทีมจึงปรับแต่งกันจนถึงที่สุดเรียกว่าถ้าไม่มีเวลาเคอร์ฟิวส์ก็คงอยู่ที่พิตกันทั้งวันทั้งคืนแน่

แม้แต่คนที่ไม่มีอะไรทำอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะ พอได้กลับมายืนอยู่ในพิตที่ร้างไปนาน เลือดในกายก็ร้อนขึ้นมาถึงหน้าตาจะเฉยชาเหมือนเดิมก็เถอะนะ  ร่างบอบบางนั่งดูทีมวิศวกรที่กำลังปรับแต่งรถของตัวเองให้กับนักขับสำรอง ห้องนักขับใน F14-T HAYATO นั่นมันควรจะเป็นที่นั่งของเขา ใบหน้าที่กำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลในสนามกับทางวิศวกรนั่นมันก็ควรจะเป็นใบหน้าของเขา

อยากจะกลับไปขับรถไวๆจัง...

“โกคุเดระ หมวกกันน็อคอันใหม่ของนายมาแล้วนะ แล้วนี่ก็เพ้นท์ตามที่นายสั่ง...แน่ใจนะว่าจะเอาแบบนี้? เพราะกฎของปีนี้แม้แต่หมวกกันน็อคของนักขับก็ห้ามเปลี่ยนแปลงลวดลายน่ะ ต้องใช้ลายเดิมไปจนหมดฤดูกาลแข่งขัน”  ใบหน้าสวยพยักรับคำพูดของทีมบอสร่างสูงใหญ่ที่เดินถือหมวกกันน็อคเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีมรกตทอดมองลงไปบนลายที่อยู่บนหมวก

ส่วนอื่นๆเขาก็ยืนพื้นตามลายที่ดีไซน์เนอร์คิดให้ จะมีก็แต่ประโยคที่ดูไม่มีที่มาที่ไปเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาขอให้ใส่เพิ่มลงไป...มันเป็นประโยคที่คนอื่นๆอาจจะไม่เข้าใจ...เพราะมันเป็นประโยคที่เขาตั้งใจจะมอบให้คนเพียงคนเดียว...

ก็จะให้เขาไปพูดตรงๆกับเจ้าตัว เขาก็ทำไม่ได้ ก็เคยลองซ้อมหน้ากระจกตั้งหลายหนแต่ก็พูดไม่ออกสักที เพราะงั้นให้มันติดอยู่ที่หัวของเขาตลอดทั้งการแข่งขันแบบนี้แหละ...ไอ้หมีบ้าจะได้รู้ว่าเขา....

Tiamo Kuma BAKA!” 

เสียงทุ้มที่อ่านประโยคที่เพ้นท์อยู่บนหมวกไม่ใช่โกคุเดระ ฮายาโตะแต่เป็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนมองมันอยู่  นัยน์ตาสีฟ้าของทีมบอสเฟอร์รารี่จับจ้องไปที่ตัวหนังสือครึ่งอิตาลีครึ่งญี่ปุ่นที่ถูกเพ้นท์อยู่บนหมวกกันน็อคของนักขับมือสอง...มือใหญ่ยกขึ้นไปลูบคางอย่างใช้ความคิด...ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาก็สี่ห้าปี...เอลวิน สมิธไม่เข้าใจโกคุเดระ ฮายาโตะยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น...ไอ้ประโยคหาที่มาที่ไปไม่ได้นี่มันคืออะไรแล้วทำไมต้องสั่งให้เขาเอาหมวกไปเพ้นท์ประโยคๆนี้ด้วย? ติอาโม่แปลว่ารักในภาษาอิตาลี ส่วนคุมะนี่ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะแปลว่าหมี? รักหมี? แล้วทำไมเด็กนั่นจะต้องมาเขียนบอกว่ารักหมีตรงนี้ด้วย? แน่นอนว่าถ้าทีมบอสอย่างเขาไม่รู้ก็จะตอบสื่อมวลชนคนข่าวพวกนั้นไม่ได้

“โกคุเดระ”   ทีมบอสร่างสูงใหญ่หันไปหานักขับมือสองที่นั่งอยู่ตรงหน้า ความจริงโกคุเดระยังลงแข่งไม่ได้แต่เขาก็ไม่อยากให้ร้างสนามนานเกินไปเพราะฉะนั้นสองสามเดือนหลังมานี้หากมีแข่งเขาก็จะให้โกคุเดระมาเท่าที่ไม่ตรงกับตารางกายภาพบำบัด

“ ......?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีเงินนั่นหันมาส่งสายตาแทนเครื่องหมายคำถาม...โกคุเดระ ฮายาโตะไม่ยอมพูดยอมจากับเอลวิน สมิธยังไงก็ยังไม่ยอมพูดยอมจาอยู่อย่างนั้น...นอกจากเวลาจะเอาอะไรละนะถึงจะเห็นว่าเขาเป็นทีมบอส?

“ถามหน่อยเถอะว่าประโยคที่อยู่บนหมวกกันน็อคของนายนี่มันหมายความว่าไง? เวลานักข่าวถามชั้นจะได้ตอบถูก”   หื๋อ? อะไรน่ะ? ทำไมเขาถึงมองเห็นรอยแดงบนแก้มใสนั่นถึงแม้ว่ามันจะแค่วูบเดียวก็เถอะ  อย่างเจ้าเด็กจอมเย็นชาที่เขาเฝ้าประคบประหงมมาหลายปีเนี่ยนะจะหน้าแดง? เป็นไปไม่ได้ นายตาฝาดแหงๆเอลวิน

“ .......................มัน.........คือ...............”   จะต้องให้เขาปูเสื่อนอนรอเลยไหมกว่าจะพูดออกมาได้เนี่ย? มือใหญ่เตรียมคว้าโทรศัพท์กะจะสั่งกาแฟมานั่งจิบรอสักแก้ว แล้วเจ้านักขับมือสองก็ยอมเอ่ยปากบอกมาจนได้

“คือมันเป็นวันอนุรักษ์หมีแห่งมาราเนลโลน่ะ”   อ๋อ...ก็แค่วันอนุรักษ์หมี? พูดๆมาซะก็จบแล้ว.....หื๋อ?....วันอนุรักษ์หมี? แห่งมาราเนลโล?...เขาว่าเขาก็อยู่ถิ่นของเฟอร์รารี่นั่นมาเป็นสิบๆปีแล้วนะ ทำไมไม่เคยได้ยินว่ามันมีวันอะไรแปลกๆแบบนี้เลย? แต่ก็นะ โกคุเดระกับรีไวอาจจะรู้ดีกว่าเขาเพราะยังไงทั้งคู่ก็อยู่ในเขตอุทยาน อาจจะรู้จากพวกเจ้าหน้าที่ละมั้ง? เขาจึงปล่อยร่างบางในชุดหมีสีแดงของเฟอร์รารี่ไป

โอเค...เท่านี้ก็ตอบสื่อได้แล้ว...ว่าประโยคนั้นมันต้องการสื่อถึงวันอนุรักษ์หมีแห่งมาราเนลโล....?






อีกเรื่องที่ทำให้พิตการาจสีแดงดูจะคึกคักกว่าปกติ นั่นก็เพราะมีเด็กไฮสคูลมาให้ช่วยติวหนังสือให้...ใบหน้าที่หงิกบ้าง ฟึดฟัดบ้าง หรือยิ้มแฉ่งอย่างดีใจเมื่อเข้าใจบทเรียนที่สอนให้มันทำให้ลูกทีมที่เข้าไปแหย่ เอ้ย ติวให้รู้สึกสนุกไปด้วย

ใบหน้ามนพยักหน้าหงึกๆเมื่อกำลังนึกทบทวนสูตรฟิสิกส์ที่อยู่ในหัว...ก็นับว่าทำให้เขาเข้าใจได้หลายข้อถึงแม้ว่าแต่ละคนจะสอนไปคนละทางเลยก็เถอะ!

เฮือก?!!

มือของใครบางคนที่จับก้นเขาก่อนจะบีบเบาๆทำเอาร่างโปร่งที่กำลังคิดอะไรเพลินๆถึงกับสะดุ้งโหยง ใบหน้ามนตวัดหันไปทำตาเขียวใส่เจ้าของมือนั่นอย่างไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ามันต้องเป็นมือของคุณรีไวแน่นอน!

“ทำอะไรของคุณน่ะ? กำลังจะแข่งอยู่แล้วแท้ๆนะ”   ใบหน้ามนส่ายน้อยๆอย่างละเหี่ยใจในความ.....ของอีกฝ่าย ดีที่ตอนนี้ไม่มีตากล้องมาเดินผ่าน ไม่งั้นคงได้เป็นข่าวอื้อฉาวแน่

“ก็เพราะว่ากำลังจะลงแข่งน่ะสิ...เลยต้องบีบก้นนายเพื่อขอกำลังใจ”   ร่างแข็งแกร่งเดินยักไหล่ไปหยิบถุงมือและหมวกกันน็อคก่อนจะเหน็บมันไว้ข้างลำตัว

“เดี๋ยวเถอะ! คุณรีไวนี่!”   น่าหมั่นไส้จริงๆตาลุงหื่นกามนี่!  ใบหน้ามนได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างทำอะไรไม่ได้

ใบน้าคมเหล่มองคนที่ยืนฟึดฟัดอยู่ข้างหลังก่อนจะอมยิ้ม มือหยิบหูฟังสีแดงของเฟอร์รารี่ที่ใช้กับคนในทีมก่อนจะสวมลงไปบนหัวสีน้ำตาลลวกๆให้ มือบางจึงยกขึ้นมาจับมันอย่างงงๆ

นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองคนที่กำลังดึงหูฟังนั่นไปคล้องไว้ที่ลำคอ เด็กนี่คงจะไม่รู้ตัวเลยสินะว่าเขาลากมาถึงนี่เพื่ออะไร เพราะนอกจากจะหึงจะหวงไม่อยากให้เอเลนอยู่ใกล้ยัยเด็กหัวดำนั่นแล้วมันก็ยังมีอีกเรื่องที่เขาอยากจะบอก

หึ....ก็กับคนทั้งโลกเขายังยอมบอกออกไป ว่าเขารักเด็กนี่...

แล้วจะไม่บอกเจ้าตัวเลยสักครั้งทั้งๆที่เป็นคนที่ควรจะบอกมากที่สุดได้ยังไง...

“ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ เจ้าเด็กเหลือขอ”

“ เอ๋? ฟัง?”   คนตรงหน้าทำหน้างงแต่เขาเพียงแค่หัวเราะในลำคอก่อนจะเดินจากมา สองขามุ่งหน้าสู่สตาร์ทติ้งกริดซึ่ง F14-T LEVI ถูกเข็นไปจอดรอนานแล้ว



ตั้งใจฟังให้ดี...คำสารภาพรักจากผู้ชายที่ชื่อรีไวยังไงล่ะ




ไฟสีแดงทั้งห้าดวงดับลงและนั่นก็ทำให้ Hungarian Grand Prix เริ่มต้นขึ้นจนได้ เสียงกระหึ่มดังไปทั่วสนามและคนที่ต้องการชัยชนะอย่างเด็ดขาดในสนามนี้ก็ออกนำตั้งแต่โค้งแรกแบบม้วนเดียวจบ เสียงพากย์อย่างเร้าใจจากผู้บรรยายการถ่ายทอดสดรายงานทันทีที่ F14-T LEVI ขึ้นเป็นผู้นำการแข่งขัน ถึงแม้ว่าข้างหลังจะมีการชนกันและดราม่ามหากาพย์มากมายเลยก็ตาม แต่รถสีเพลิงนั่นก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไปอย่างไม่สนใจใคร นัยน์ตาสีขี้เถ้าภายใต้หมวกกันน็อคจับจ้องอยู่แต่ที่พื้นแทร็ค

สนามนี้เขาจะต้องชนะ...เพื่อให้วิทยุสื่อสารที่เขาจะคุยกับวิศวกรตอนเข้าเส้นชัยถูกตัดออกไปถ่ายทอดสดให้คนทั่วโลกฟัง

แน่นอนว่าคนที่เขาอยากจะให้ได้ยินที่สุดก็คือเจ้าเด็กเหลือขอนั่น



ภาพตัดมาที่กล้องอีกตัวซึ่งกำลังเดินเข้าไปในพิตการาจสีแดงพอดี เพราะวันนี้มีเรื่องน่ายินดีที่นักขับมือสองของทีมกลับมายืนอยู่ในพิตเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่หายหน้าไปพักรักษาตัว กล้องทั่วสนามจึงจับภาพโกคุเดระ ฮายาโตะมากกว่าใครในสนามนี้เลย แล้วตอนนี้กล้องตัวหนึ่งมันก็กำลังเข้าไปใกล้ๆนักขับร่างบอบบางซึ่งนั่งอยู่ในพิตฝั่งของตัวเอง

ปกติก็ไม่ใช่คนที่จะเล่นกับกล้องอยู่แล้ว เพราะงั้นตากล้องจึงแปลกใจที่จู่ๆใบหน้าสวยนั่นก็หันมาแทนที่จะเมินเฉยเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน  มือบางชี้นิ้วไปที่หมวกกันน็อคที่วางอยู่ข้างกายทำให้ตากล้องหันไปแพลนมันจนเต็มหน้าจอ


Tiamo Kuma BAKA!


เพราะงั้นคำคำนี้จึงเห็นชัดไปทั่วโลก...

“รู้สึกว่าจะเป็นวันอนุรักษ์หมีแห่งมาราเนลโลน่ะครับ โกคุเดระน่าจะช่วยโปรโมทให้เขตอุทยาน ถึงปกติจะไม่ค่อยพูดค่อยจาแต่ก็เป็นเด็กที่น่ารักนะครับ ดูท่าทางจะชอบหมีเอามากๆด้วย”    ผู้บรรยายการถ่ายทอดสดก็พูดไปเท่าที่ตัวเองรู้มาจากทีมบอสของเฟอร์รารี่อีกที แต่ถึงคนทั่วโลกจะเข้าใจไปว่าอย่างงั้นแต่มีอยู่คนหนึ่งซึ่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมันดีว่าใคร

นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ที่อิตาลีถึงกับดวงตาเบิกกว้าง แก้วน้ำในมือแทบจะร่วงลงพื้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะรีบถลาเข้าไปใกล้ๆจอโทรทัศน์เพื่อมองหมวกกันน็อคใบนั้นให้เต็มๆตา...นี่มัน...

โกคุเดระกำลังพยายามจะบอกรักเขา?

ใช่...

มันคือคำบอกรักจริงๆด้วย!

ใต้แผ่นอกซ้ายเต้นอย่างรุนแรงจนแทบจะทะลุออกมา ไม่เคยคิดเลยว่าการถูกบอกรักจากคนที่เรารักมันจะทำให้ดีใจได้ขนาดนี้...

เขาก็แค่แหย่เล่นๆเองเรื่องหนังพีเรียดที่เอเลนเอามาให้ดูนั่น ถึงโกคุเดระไม่บอกว่า “รัก” กับเขาตรงๆเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าโกคุเดระรักเขา

เพราะรู้ดีว่าโกคุเดระเป็นคนยังไง ทั้งปากไม่ตรงกับใจ ทั้งขี้อาย กว่าจะทำแบบนี้ได้ก็น่าจะต้องใช้ความพยายามไม่ใช่น้อย...แต่การที่เด็กคนนั้นพยายามที่จะบอกเขามากขนาดนี้มันทำเอาความสุขล้นปรี่จนทะลักออกมาจากหัวใจของเขาเลยจริงๆ มือใหญ่รีบกดโทรศัพท์หาคนที่ยังนั่งอยู่ในพิตการาจสีแดงแต่ตอนนี้กล้องไม่ได้จับอยู่แล้ว

“อะ อะไร?”   เสียงห้วนๆเอ่ยตะกุกตะกัก คงกำลังอายอยู่แน่ๆเพราะโกคุเดระเองก็คงจะรู้ว่าเขาเข้าใจ ถึงได้โทรไปหาทันทีแบบนี้

“ชั้นรักนายอ่า~~ โกคุเดระ~~~~”   ร่างสูงใหญ่แทบจะลงไปดิ้นอยู่บนโซฟา ความรู้สึกมากมายมันทำเอายิ้มไม่หุบ

“กะ ก็แค่วันอนุรักษ์หมี.....”   ปากไม่ตรงกับใจเอ่ยตอบมาแบบนั้นแต่ถ้าให้เขาเดาตอนนี้โกคุเดระคงกำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆ อยากจะเห็นหน้าจริงๆให้ตายเถอะ

“ครับๆ หมีก็รักนาย รักจนอยากจะกอดให้แน่นตายเลยจริงๆ”   ถ้าตอนนี้กล้องตัดมาที่โกคุเดระ เขาคงพุ่งไปกอดจอโทรทัศน์อย่างไม่ต้องสงสัย

“ไอ้บ้า...คะ...แค่นี้ก่อนนะ...”   เสียงตะกุกตะกักตัดบทก่อนจะกดวางสายไป ร่างสูงใหญ่ยังคงกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงอีกหลายรอบ มีความสุขจนอยากจะตะโกนบอกคนทั้งโลกเลยจริงๆ!

ขอบคุณนะครับ...ท่านเคานต์แห่งปราสาทวอร์ริคและเด็กในปกครอง...ที่ทำให้ผมได้ฟังคำบอกรักแล้วก็มีความสุขมากมายขนาดนี้

ร่างสูงใหญ่แทบอยากจะพุ่งขึ้นบ้านไปตั้งแท่นบูชาแผ่นดีวีดีหนังพีเรียดนั่นเสียให้รู้แล้วรู้รอด


แต่เชื่อเถอะว่าไม่ได้มีแค่หมีที่ดีใจจนน้ำตาแทบไหล...ลูกหมาเองก็เช่นกัน





F14-T LEVI วิ่งเข้าไปรับธงตาหมากรุกเป็นคันแรกอย่างที่คิด จากความเร็ว 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมงค่อยๆลดลงเหลือแค่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  รถสีแดงเพลิงต้องไปขับวนรอบสนามอีกครั้งเพื่อขอบคุณแฟนๆก่อนจะกลับเข้ามาจอดที่โพเดี้ยม

แล้วหลังจากที่ล้อทั้งสี่ข้างข้ามเส้นชัยไปแล้วนั่นเอง...เสียงวิทยุสื่อสารที่ติดต่อมาจาก F14-T LEVI ก็ดังขึ้น....

มันถูกตัดให้กระจายเสียงผ่านสื่อที่กำลังถ่ายทอดสดทันที เพราะงั้นตอนนี้คนทั่วโลกจึงตั้งใจจะรอฟังว่ารีไวแห่งเฟอร์รารี่นั้นจะพูดอะไร ทั้งๆที่ปกติแทบจะไม่เคยแสดงความดีใจหลังจากที่คว้าชัยชนะ ขนาดตอนแข่งเองถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆก็ยังยากที่จะได้ยินเสียงทุ้มนั่นเลย เรียกว่ารีไวแทบไม่เคยติดต่อวิทยุสื่อสารกับทีมแข่งหลังจากเข้าเส้นชัยไปแล้วแบบนี้

คนทั้งพิตการาจสีแดงเองก็รอฟังอยู่เช่นกัน หูฟังอันใหญ่ที่สวมอยู่บนหัวลูกทีมทุกคนรวมทั้งคนแขกที่อยู่ในพิตเองต่างก็ตั้งใจเงี่ยหูฟังเพราะต่างก็กลัวว่ารถจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า รีไวถึงได้ติดต่อมาแบบนี้

แต่แทนที่จะได้ยินเสียงโหดๆนั่นรายงานเรื่องปัญหาของเครื่องยนต์หรือยางที่เริ่มจะไปหมดแล้ว...คนทั่วโลกกลับต้องตะลึงอึ้งค้างเมื่อเสียงทุ้มที่ส่งผ่านวิทยุสื่อสารมานั้น...กำลังร้องเพลง...



Baby, life was good to me
But you just made it better

[ที่รัก...ชีวิตฉันที่ผ่านมามันก็ดีอยู่แล้ว  และเธอก็เข้ามาทำให้มันดีขึ้นไปอีก]

เสียงลมที่กระพือแทรกเข้ามาตลอดบ่งบอกว่าขณะนี้รีไวกำลังขับรถไปแล้วก็ร้องเพลงไปอยู่ไม่ผิดแน่ คนที่ได้ฟังต่างหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ แต่เจ้าของเสียงก็ยังคงร้องเพลงต่อไป


I love the way you stand by me
Throught any kind of weather

[ฉันรักที่เธอมักยืนเคียงข้างฉันเสมอ...ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์]

มันคือเพลง Until You ของ Shayne Ward ถึงเสียงทุ้มที่ได้ยินนั้นจะสั่นพร่าไปบ้างจากเสียงลมและเพราะคนที่ร้องร้องมันอยู่ในหมวกกันน็อค แต่ความหนักแน่นและความหวานซึ้งที่ส่งผ่านมาแต่ละประโยคก็ทำเอาคนทั้งสนาม ไม่สิ คนทั้งโลกต่างนิ่งงันราวกับตกอยู่ในภวังค์


I don't wanna run away
Just wanna make your day
When you feel the world is on your shoulders
[ฉันไม่อยากจะจากเธอไปไหน...อยากจะอยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจ...ในยามที่เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากปัญหาที่ต้องแบกรับ]

รถสีเพลิงยังคงวิ่งไปบนแทรคด้วยท่วงท่าสบายๆในขณะที่เสียงร้องเพลงก็ยังดังมาไม่ขาดสาย แล้วความหมายของทุกถ้อยคำนั้นมันก็ทำเอาคนที่ฟังอยู่ถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว...การที่คนอย่างรีไวมาร้องเพลงแบบนี้มันต้องมีความหมายแน่ ถึงสาวๆทั่วโลกจะหันไปกรี๊ดกร๊าดใส่กันว่าเพลงนั้นรีไวร้องให้พวกเธอ...แต่ตอนนี้นักข่าวในสนามต่างมุ่งหน้ามาที่พิตการาจสีแดงก่อนจะมองหากันให้ควั่กว่าใครกันคือคนที่รีไวร้องเพลงนี้ให้...สาวสวยคนไหนกันที่กุมหัวใจของนักขับมือหนึ่งของโลกคนนั้นเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็หาผู้หญิงคนนั้นไม่เจอ


I don't wanna make it worse
Just wanna make us work
Baby, tell me I will do whatever
[ฉันจะไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่ลงไปอีก...แค่อยากให้เรามีเราข้างกัน...ที่รัก...เพียงเธอบอกฉันก็พร้อมจะทำเพื่อเธอทุกอย่าง]

เพราะคงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าบทเพลงหวานซึ้งแบบนี้รีไวจะร้องให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนนิ่งอยู่ในพิตการาจสีแดงนั่นแหละ ร่างโปร่งถึงกับนัยน์ตาเบิกกว้างเพราะรู้ดีว่าเพลงเพลงนี้คุณรีไวร้องให้ตน มือบางยกขึ้นมาปิดริมฝีปากอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะคุณรีไวจะเซอร์ไพรส์เขาด้วยการร้องเพลงให้ฟังแบบนี้ แถมมันยังเป็นการบอกรักที่ไม่ว่าเขาจะอยู่มุมใดของโลกเขาก็จะได้ยิน

ทุกประโยคที่ส่งผ่านวิทยุสื่อสารมามันทำให้ขนทั่วร่างถึงกับลุกชัน ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความดีใจ ปลื้มใจและอีกหลากหลายความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่หมด มันเต็มตื้นจนคิดว่าตอนนี้เขาคงจะยืนอยู่ในโลกที่ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความรักและเสียงเพลงของคุณรีไว มันดีใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ยิ่งประโยคหลังจากนี้ที่เสียงปลายสายดูตั้งใจเน้นย้ำราวกับกำลังจะบอกกับเขาถึงความรู้สึกทั้งหมดที่คุณรีไวมีให้...


It feels like nobody ever knew me until you knew me
[เหมือนกับว่า...ไม่เคยมีใครเข้าใจฉัน...เหมือนอย่างที่เธอเข้าใจ]


Feels like nobody ever loved me until you loved me
[เหมือนกับว่า...ไม่เคยมีใครรักฉัน...ได้เท่ากับที่เธอรัก]


Feels like nobody ever touched me until you touched me
[เหมือนกับว่า...ไม่เคยมีใครเข้าถึงหัวใจของฉันได้...อย่างที่เธอทำ]


Baby...nobody, nobody, until you
[ที่รัก...ไม่มีใคร...ไม่มีใคร....เหมือนเธอ]


แค่นั้นมันก็ทำให้ร่างโปร่งบางสั่นสะท้านไปทั้งร่างได้อยู่แล้ว แต่ประโยคถัดไปซึ่งไม่ใช่เสียงเพลงแต่เป็นถ้อยคำหนักแน่นที่ดังผ่านวิทยุสื่อสารราวกับจะประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้มันยิ่งทำให้นัยน์ตาสีมรกตห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป



Ti amo…EREN



เพราะมันเป็นภาษาอิตาลี...ที่แปลว่า...ฉันรักเธอ...




มือบางที่ยกขึ้นมาปิดริมฝีปากนั้นสั่นสะท้าน น้ำตาไหลลงมาเป็นทางก่อนจะร้องไห้โฮด้วยความดีใจจนลูกทีมที่ยืนอยู่ใกล้ๆต้องผลัดกันมาขยี้หัวอย่างไม่รู้ว่านั่นแสดงความดีใจกับเขาด้วยหรือยังไง

นัยน์ตาสีมรกตที่พร่ามัวพยายามจ้องมองรถสีเพลิงที่ยังคงวิ่งช้าๆด้วยท่าทางอารมณ์ดีอยู่ในสนาม อีกไม่กี่ร้อยเมตรมันก็กำลังจะกลับสู่โพเดี้ยม ตอนนี้ทั้งเสียงพากย์ทั้งเสียงอื้ออึงที่คนคงจะพูดถึงกันแต่เรื่องนี้มันไม่ได้เข้ามาในหูของเขาเลย เพราะตอนนี้ทั้งหัวใจมันเต็มไปด้วยคำบอกรักที่แสนยิ่งใหญ่ของคุณรีไวไปจนหมดแล้ว

มันตราตรึงลงไปบนหัวใจของเขาจนคิดว่าชีวิตนี้คงไม่อาจจะลืมเลือนมันไปได้

ทำยังไงดี...เขารักผู้ชายคนนี้...เขารักคุณรีไวจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว







แล้วจากคำพูดที่ทำเอาคนทั้งสนามและแฟนๆฟอร์มูล่าวันที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ทั่วโลกอึ้งไปตามๆกัน....หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน...บทสัมภาษณ์ที่เฉลยทุกความสงสัยว่าคำพูดของนักขับมือหนึ่งของเฟอร์รารี่มันคืออะไรกันแน่ก็ถูกตีแผ่สู่สาธารณะชน

ซึ่งมันก็คือนิตยสารที่เขาถืออยู่ในมือตอนนี้นี่แหละ!

ถาม : คุณกับเด็กคนนั้น...เอ่อ...เอเลน เยเกอร์ สินะครับ? คือ...กำลังคบกันอยู่จริงๆใช่ไหมครับ
รีไว : เด็กนั่นเดินลงมาจากห้องนอนของชั้น...ถ้าไม่คบกันอยู่แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ?

ถาม : ที่เราเห็นว่าพิตการาจของเฟอร์รารี่ไม่มีสาวๆสวยๆแวะเวียนมาบ้างเลยนี่ก็เป็นเพราะคุณชอบผู้ชายมากกว่าสินะครับ?
รีไว : เปล่า ไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่เด็กนั่นดันเป็นผู้ชายมันก็ช่วยไม่ได้

ถาม : หมายความว่าขอแค่เป็นเอเลนสินะครับ
รีไว : ........(พยักหน้า)


ร่างโปร่งซุกหน้าลงไปที่หน้านิตยสารอย่างเขินอายทั้งๆที่อ่านบทสัมภาษณ์นั่นมาเป็นรอบที่ร้อยได้...คุณรีไวบ้า! บ้าๆๆ บ้าที่สุด! เล่นไปให้สัมภาษณ์แบบนี้เขาก็เขินตายกันพอดี

“อื้อ~~~”    เสียงครางหงิงๆเหมือนลูกหมาทำให้คนที่ถือแก้วกาแฟสองใบเดินเข้าไปถึงกับผงะ นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองเจ้าเด็กเหลือขอที่กำลังถูไถใบหน้ากับนิตยสารนั่นด้วยความละเหี่ยใจ แก้วสองใบถูกวางลงไปบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา แล้วเสียงกระทบกันก็ทำให้ใบหน้าซุกซนเงยขึ้นมามองเขา

“คุณรีไว ผมเอาบทสัมภาษณ์นี้ไปขยายแล้วมาแปะข้างฝาบ้านไว้ดีไหมครับ?”  

“พอเลย แค่ไปเหมาซื้อมาตั้งเป็นกำแพงได้นี่ยังไม่พออีกหรือไง น่าอายจะตาย”   ใบหน้าคมส่ายไปมาอย่างนึกปลงในความทำอะไรน่าไม่อายของเจ้าเด็กนี่...อ่า...ถึงจะคนละแบบกับเขาก็เถอะนะ

“ก็คนมันดีใจนี่นา~”   ร่างโปร่งถไลลงมาพาดอยู่บนหน้าตักของเขาก่อนจะอ่านบทสัมภาษณ์นั่นเป็นรอบที่ร้อยสิบ?

เอาเถอะ จะยังไงก็แล้วแต่ แค่เห็นว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่มีความสุขมันก็พอแล้วกับการที่เขาจะทำอะไรน่าอายแบบนั้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต

มือแข็งแรงลูบหัวสีน้ำตาลนั่นเบาๆ


มีแต่นายเท่านั้นแหละ เอเลน เยเกอร์...ที่จะทำให้ชั้นทำอะไรแบบนี้ให้ได้

มีแต่นาย...ที่จะได้รับคำสารภาพรักจากผู้ชายอย่างชั้น...




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

GLIDE : CHEQUERED FLAG

FIN



ตอนสุดท้ายของ GLIDE ที่จะลงที่นี่แล้วค่ะ เบื่อกันรึยัง *v*

รู้สึกว่าปีนี้แทบทั้งปีจะเขียนเรื่องนี้เป็นหลักเลยนะคะ ยิ่งสามเดือนหลังมานี่ก็เอาแต่ปั่นแต่เรื่องนี้มาตลอดจนแทบจะมองเห็นทุกอย่างเป็นรถเอฟวันอยู่แล้วค่ะ555 แต่ในที่สุดทุกสิ่งอย่างก็จบลงแล้วทั้งฟิคเองและรวมเล่ม อัพเดทสถานการณ์ของรวมเล่มกันก่อน เล่ม 2 เพิ่งส่งโรงพิมพ์ไปเมื่อวานนี้เองค่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็คิดว่าไม่เกิน20ธันวานี้ก็น่าจะจัดส่งได้แล้วนะคะ ขออภัยในความล่าช้าด้วยจริงๆค่ะ ฮือออออออ

มาพูดถึงตอนจบที่แท้จริง(?)ของ GLIDE ในธงตาหมากรุก 3 นี่กันบ้าง เรื่องวิธีการบอกรักของคุณรีไวเนี่ย อันที่จริงแล้วคุณกวางเล็งไว้ว่าจะใช้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเขียนเรื่องนี้แรกๆแล้วละ คือตอนที่เห็นว่าเค้าตัดบทสนทนาระหว่างวิศวกรสนามกับนักแข่งเอามาให้คนที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ฟังด้วยมันก็ เฮ้ยยย อันนี้ใช้ได้เลยนี่หว่า แบบว่าคุณรีไวบอกรักเอเลนผ่านวิทยุสื่อสารให้คนรู้กันไปทั้งโลกเลยนี่แหละถึงจะสมกับที่ท่านเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ! แต่ตอนแรกว่าจะแค่ให้พูดผ่านวิทยุสื่อสารเฉยๆนะ ส่วนไอ้ที่ร้องเพลงให้เนี่ยเพิ่งจะมาเขียนใส่ตอนหลังๆนี่เอง555 ก็เพราะได้ไปฟังหนึ่งในนักขับคนปัจจุบันของเฟอร์รารี่อย่างเซบ เซบาสเตียน เวทเทล เค้าร้องเพลง Happy Birthday ให้วิศวกรสนามของเค้าเป็นภาษาอิตาลีตอนที่กำลังขับรถรอบซ้อมอ่ะค่ะ แล้วมันน่ารักมว๊ากกกก คือเซบน่ะเป็นคนเยอรมันแล้วก็เพิ่งมาอยู่เฟอร์รารี่ได้ไม่ถึงปี แต่พยายามร้องเพลงเป็นภาษาอิตาลี >////< แถมยังเป็นการร้องตอนขับรถเอฟวันอีกต่างหาก ก็คือร้องผ่านวิทยุสื่อสารนี่แหละ โอยยย ถ้าเราเป็นเรซเอ็นจิเนียที่นั่งฟังอยู่นี่คงดีใจมากอ่ะ >////<

ส่วนเพลงที่คุณรีไวร้องก็คือเพลง Until You ของ Shayne Ward ค่ะ คือเพลงแม่งโรแมนติกมว๊ากกกกก ฟังแล้วอยากจะลงไปดิ้นตายเลยจริงๆ ต้องขอขอบคุณคำแปลจาก เจ้าช่อมาลี (PP_Skywalker)  http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=gointothewater&month=05-07-2011&group=5&gblog=18  ด้วยนะคะ นึกภาพตามตอนที่คุณรีไวร้องเพลงไปขับรถไปแบบชิลๆแล้วมันเขินยังไงบอกไม่ถูก เรียกว่าคนละอารมณ์กับตอนที่ฟังตอนเขียน WHITE & SILVER ช่วงสุดท้ายเลย อันนั้นก็หวานนะ แต่เป็นหวานแบบระทมๆ ขมขื่น โหยหา อะไรประมาณนั้นมากกว่า

แปะ คือถ้าฟังไปด้วยจิ้นฉากนี้ไปด้วยนี่จะฟินมาก อร๊ากกกกกกก ลงไปดิ้นเอง(อยู่คนเดียวฟฟฟ)









ว่าแต่ธงตาหมากรุกนี่งงกันบ้างไหมคะ5555 คือมันจะเปิดตอนมาด้วยบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์อยู่ในนิตยสารไปแล้ว แต่พอหลังจากนั้นมันจะเป็นย้อนความว่าบทสัมภาษณ์นั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง มีเบื้องหลังยังไง ค่อยๆไล่ไปเรื่อยๆจนไปบรรจบกันที่บทสัมภาษณ์นั้นวางขายพอดี


ต้องขอขอบคุณที่อยู่ด้วยกันกับเรื่องนี้มาตลอด เอิ่ม...2ปีแล้วไหมนะ5555 ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆๆเลยนะคะ ดีใจมากๆๆเลยค่ะทุกครั้งที่ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากคนอ่าน ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่อย่างแฟนอาร์ต เพลง หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆอย่างเห็นอะไรแล้วรู้สึกนึกถึง GLIDE ก็เอามาเล่าสู่กันฟัง แค่นั้นคุณกวางมันก็ปลื้มจนจะลอยไปดาวลูกไก่แระ >////< ขอบคุณมากๆๆนะคะ แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่า ^ ^//





4 ความคิดเห็น:

  1. อ๊าคคคค!!!!

    เจ้าหมีกับเจ้าลูกหมาตัวแตกเป็นสายรุ้งแล้ววว!!!!

    งื้อออ~~~...No name มาเองเลยอ่าา~~
    ตายๆๆแม่ยกบินตรงสู่ฟินแลนด์แล้นนนน!!!!

    ตอบลบ
  2. อ๊าคคคค!!!!

    เจ้าหมีกับเจ้าลูกหมาตัวแตกเป็นสายรุ้งแล้ววว!!!!

    งื้อออ~~~...No name มาเองเลยอ่าา~~
    ตายๆๆแม่ยกบินตรงสู่ฟินแลนด์แล้นนนน!!!!

    ตอบลบ
  3. นึกภาพตอนรีไวขับรถและร้องเพลงไปด้วย
    มันช่างดีมากอะไรอย่างนี้
    ฮือออออออออออ

    ตอบลบ
  4. อ่านกี่ครั้ง ก็ชอบ เลิปปปมากคู่นี้
    ฟินนน

    ตอบลบ