Attack on Titan Au S.Fic [Levi x Eren] -- Wo Ai ni : REMAKE --02--


Attack on Titan Au S.Fic [Levi x Eren]  --  Wo Ai ni : REMAKE  --02--


: Attack on Titan AU Fanfiction
: Levi x Eren
: Romantic Action 
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ








เครื่องบินส่วนตัวร่อนลงจอดโดยปลอดภัยและเขาก็มาถึงนาริตะก่อน 6 โมงเย็นแค่ไม่กี่นาที...

ตลอดทั้งวันที่ต้องอยู่ด้วยกัน นับครั้งไม่ถ้วนที่เจ้าลูกหมาตัวดีนี่พยายามจะหนีไปจากเขา ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ก็มิวายที่จะหนี....อาจจะเป็นเพราะถึงจะโดนไล่ล่ายังไงก็ยังได้อยู่ใกล้ๆครอบครัว ได้อยู่ใกล้ๆกลิ่นไออันเป็นที่รัก...

แต่หากถูกลากมาถึงญี่ปุ่นแล้วละก็...หนทางที่จะได้กลับไปคงจะยากเย็นเต็มทน...และเขาก็เป็นคนปิดกั้นทางหนีนั้นแล้วเรียบร้อย...



สายลมบางเบาปะทะเข้ากับใบหน้าเมื่อ BMW สีดำสนิทเคลื่อนตัวออกสู่ถนน กระจกด้านคนขับถูกเลื่อนลงเพื่อรับบรรยากาศอ่อนละมุนที่คุ้นเคย....ที่นี่ต่างจากฮ่องกงลิบลับ....ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีเสียงโหวกเหวก และเป็นเมืองที่มีการหลับใหล ไม่ได้ตื่นอยู่ตลอดเวลาเหมือนที่นั่น.....หากกลับมาที่นี่....คงมีช่วงเวลาที่เขาจะนอนหลับได้บ้างอย่างนั้นสินะ

พูดถึงนอนหลับก็หันกลับไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ร่างของเจ้าลูกหมาตัวเล็กๆนั่นกำลังหันข้างมาทางนี้พร้อมกับซุกตัวหลับสนิทอยู่กับเบาะสีดำ ทั้งๆที่เมื่อไม่นานมานี้ยังโวยวายน่ารำคาญอยู่เลยแท้ๆ 

จากนาริตะกว่าจะเข้ามาถึงโตเกียวก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่เขาก็เลือกที่จะขับรถมาเองแทนที่จะให้คนขับรถผู้ใจดีนั่นเข้ามายุ่งวุ่นวาย ถึงจะต้องรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้คนระดับนี้ แต่เขาก็จะเลือกวิธีของเขาเอง

“ อือ.....”   ริมฝีปากสีสดขมุบขมิบก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆหรี่ปรือขึ้นมา เจ้าตัวน่ารำคาญกำลังจะตื่นมาแผลงฤทธิ์อีกแล้วละสิ

“ กำลัง...จะไปไหนครับ....”   มือบางยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะพยายามเพ่งมองที่สองข้างทางซึ่งมืดสนิท

“ โรงแรม”

“ ไม่เอา....”   เขาเพียงแต่เงียบแล้วก็ขับรถตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม

“ อยู่ที่นี่ตั้งปี จะให้อยู่แต่ในโรงแรมน่ะหรอ...ไม่เอาด้วยหรอก.....นี่!....คุณเป็นคนญี่ปุ่นนี่ ไปบ้านคุณสิ....ให้ผมไปอยู่ที่บ้านคุณสิ”       ไม่เอาหรอก.....เขาก็อยากจะบอกแบบนั้นเหมือนกัน เจ้าตัวดีส่งสายตาเป็นประกายมายังไม่พอ ยังส่งมือมาช่วยก่อกวนพวงมาลัยรถให้หงุดหงิดอีกด้วย

“ พอกันที  คืนนี้ไปนอนที่โรงแรมก่อน แล้วพรุ่งนี้จะเอาไงค่อยว่ากัน ถ้าแกยังกวนฉันอีก จะเชือดทิ้งเดี๋ยวนี้เลย”  เขาหันไปส่งสายตาดุๆให้ แต่เจ้าเด็กตัวแสบนั่นก็หาได้สะทกสะท้าน ใบหน้าใสบู้ปากแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง








คืนนี้ก็ยังคงเป็นอีกคืนที่เขานอนไม่หลับ....

แต่ไม่ใช่เพราะว่าฝันร้าย ไม่ใช่เพราะว่ามีใครคอยตามมาหลอกหลอน....แต่มันเป็นเพราะเจ้าลูกหมาตัวดีที่กำลังยืนตื่นเต้นอยู่ข้างๆรถนี่ต่างหาก ทั้งๆที่พักกันคนละห้อง แต่เด็กนั่นก็เล่นโทรมาแทบจะทุกครึ่งชั่วโมง สงสัยนู่นมั่งล่ะ ทำนี่ไม่ได้มั่งละแล้วทุกครั้งเขาก็ต้องเดินอย่างไม่สบอารมณ์ไปเคาะประตูห้องข้างๆเพื่อเข้าไปดูว่าเจ้าคุณหนูที่ทำอะไรเองไม่เป็นแม้แต่เรื่องเปิดน้ำอุ่นอาบเพราะปกติจะมีคนทำให้นี่จะก่อความวอดวายเอาไว้แค่ไหน

ความจริงแล้วอะไรจะพังยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเหยื่อในเกมไล่ล่าของเขาอย่างเจ้าเด็กนี่ดันตายขึ้นมาเพราะเรื่องโง่ๆอย่างทำท่อน้ำระเบิดหรือไฟรั่วไฟช็อตเข้า เขาคงหมดสนุกกันพอดี


สรุปก็คือ.....ไม่ได้นอนเลยสักงีบเมื่อคืนนี้


ยิ่งหันไปมองหน้าเจ้าตัวดีที่เข้ามานั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับพร้อมกับรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งๆที่พยายามจะหนี ทั้งๆที่ไม่อยากจะมาญี่ปุ่นท่าเดียว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าเด็กนี่กลับกำลังสนุกสนานกับสถานที่ใหม่ๆ กับประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอจนลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่อยากมา

“ นี่....บ้านคุณอยู่ไกลจากที่นี่มากหรอ ถึงต้องออกไปแต่เช้าแบบนี้”  ก็รู้อยู่หรอกนะว่าเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่ทั้งๆที่เมื่อคืนก็คงแทบไม่ได้นอนเหมือนกัน แล้วทำไมเด็กนี่ยังดูราวกับจะมีประกายออกมาจากผิวพรรณและใบหน้าแบบนั้นได้อีก

“ อยู่คนละจังหวัด ขับรถไปก็ใช้เวลาประมาณวันนึง”       

“ แล้วทำไมเราไม่นั่งชินคันเซ็นไปกันล่ะ”  แค่เห็นประกายในดวงตาสีมรกตนั่นก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวดีนี่อยากจะขึ้นรถไฟแบบคนธรรมดาที่คงไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นเลยสักครั้งในชีวิต

“ นี่แกคงไม่ได้ลืมไปแล้วนะว่ากำลังโดนตามฆ่าอยู่น่ะ อีกอย่างฉันไม่ชอบที่ที่คนมาสุมหัวกัน มันน่ารำคาญ”  เพราะว่าที่นี่มีบรรยากาศที่คุ้นเคย เขาจึงไม่อาจมองเห็นผู้คนเป็นสิ่งไม่มีชีวิตเหมือนตอนอยู่ที่ฮ่องกงได้

“ น่าเบื่อจัง....ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้....ชิ”  หลังจากด่าเขาซึ่งๆหน้าแล้วเจ้าตัวดีก็ฝังตัวเองหลับปุ๋ยลงไปในเบาะนุ่ม...มันน่านัก....กวนเขาทั้งคืนแล้วยังจะมาหลับไปคนเดียวอีก










รถจอดลงที่ข้างทางซึ่งมีเพียงต้นซากุระเป็นทิวแถวไร้ซึ่งเงาของบ้านเรือนหรือผู้คน ก่อนที่มือจะเอื้อมไปเขย่าไหล่บาง

“ อือ.......”  เสียงงึมงำหลุดรอดออกมาก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะเปิดขึ้นอย่างงัวเงีย

“ ข้าวกลางวัน”  เขาส่งกล่องข้าวที่แวะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อไปให้  นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นจ้องมองกล่องข้าวอยู่พักใหญ่ราวกับกำลังตั้งสติ มือบางที่ไม่ยกขึ้นมารับสักทีทำให้เขาชักจะหงุดหงิด หรือว่าเจ้าเด็กนี่มันจะไม่ยอมกินข้าวกล่องง่ายๆแบบนี้  แต่จะให้พาเข้าไปกินที่ร้านหรูหราเอาตอนนี้ก็คงไม่ไหวหรอก เขาออกมานอกตัวเมืองไกลมากแล้ว และไม่อยากจะทนหิวต่อไปเพราะความเอาแต่ใจโง่ๆนี่

“ คุณไปซื้อมันมาจากไหนน่ะ?”   นั่นไง....มีปัญหาจริงๆซะด้วย

“ ร้านสะดวกซื้อข้างทาง”    ถ้าไม่พอใจเขาก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ อยากจะทนหิวตายก็เชิญ

“ ห๊ะ!! ร้านสะดวกซื้อ! ร้านสะดวกซื้อนี่คือที่เราต้องหิ้วตะกร้าไปหยิบของเองใช่ไหม....อ๊า~~ ทำไมคุณไม่ปลุกผมลงไปด้วย”   เจ้าตัวดีโวยวายลั่น แต่ดูท่าทางจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องของกินแต่กลับเป็นอะไรที่เขาคาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้น.....ตกลงก็แค่อยากลงไปเดินซื้อของเองว่างั้นเถอะ

เจ้าตัวดีทำหน้ามุ่ยก่อนจะรับกล่องข้าวไปแบบไม่เต็มใจนัก  กระจกรถถูกลดลงเพื่อให้ระบายกลิ่นของอาหาร แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้กลีบสีชมพูของซากุระปลิวเข้ามาตกลงบนกล่องข้าวของเจ้าเด็กนั่น

“ เห........”   สิ้นเสียงครางอย่างประหลาดใจ เจ้าตัวดีก็ถือกล่องข้าวแล้วเปิดประตูพรวดออกไป จนเขาได้แต่ตกใจก่อนจะเปิดประตูอีกข้างวิ่งตามแทบไม่ทัน

“ โฮ่ย!

“ นี่ต้นอะไรน่ะครับ?”   ร่างโปร่งบางของเจ้าลูกหมาตัวดียืนอยู่ท่ามกลางต้นซากุระเป็นทิวแถว สายลมอ่อนๆพัดให้กลีบซากุระโปรยปรายลงมาต้องกับเส้นผมสีน้ำตาลเป็นประกาย

“ ซากุระ”   อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก

“ โกหก! ซากุระต้องมีกลีบป้อมๆเป็นแฉกๆสิ แล้วมันก็จะออกดอกเป็นพุ่มๆ สีชมพูอ่อน ไม่ได้มาเป็นรวงแถมชมพูแปร๋นแบบนี้!

“  Shidarezakura เป็นสายพันธุ์หนึ่งของซากุระ....คนยังมีหลายเชื้อชาติ แล้วซากุระจะมีหลายสายพันธุ์ไม่ได้รึไง”

“ งั้นหรอ....นี่! ผมจะนั่งกินข้าวตรงนี้”   โดยไม่ฟังคำคัดค้าน เจ้าตัวดีก็นั่งแปะลงไปที่ใต้ต้นซากุระเรียบร้อย เขาจึงต้องจำใจนั่งลงไปด้วย

นานแค่ไหนกันแล้วนะที่ไม่ได้ออกมานั่งชมซากุระแบบนี้....มันคงตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจที่จะเลือกเดินในทางที่เต็มไปด้วยเลือดเส้นนี้....กลีบซากุระที่โปรยปรายลงมาอย่างอ่อนโยนทำให้ความทรงจำเก่าๆที่เขาไม่ได้นึกถึงมานานแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง.....ทั้งๆที่บอกว่ารักแต่กลับไม่เคยพาออกมาดูซากุระด้วยกันเลยสักครั้ง เพราะแบบนั้นคนคนนั้นจึงทิ้งเขาไปใช่ไหม.....

“ ผมไม่กินไอ้นี่หรอก”   แต่ก่อนที่จะโดนความทรงจำเล่นงาน ตะเกียบของคนข้างๆก็คีบเนื้อวัวมาวางไว้ในกล่องข้าวของเขา

ทำไมกัน....ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงได้ทำลายกำแพงที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาขวางกั้นไม่ให้เข้ามาใกล้ได้ง่ายดายนัก.....ทำไมเรื่องยากๆที่เขาไม่อาจข้ามไปได้ แต่เจ้าเด็กนี่ถึงได้ข้ามมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้....ทำไมกัน










ในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้ามาในบ้านแบบญี่ปุ่นหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่งตอนแสงตะวันเปลี่ยนเป็นสีส้มพอดีๆ

เจ้าตัวดีกระโดดลงไปยืนตาค้างอยู่ข้างๆรถอยู่พักหนึ่ง จนเขาลากกระเป๋าเข้าบ้านถึงได้เดินตามมา ที่เขาตัดสินใจพาเด็กนี่มาพักอยู่ที่บ้านของเขานั่นก็เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านของนักฆ่า มันจะถูกปลอมแปลงและตบตาจนคนภายนอกไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วคนในบ้านนั้นเป็นใครและทำอาชีพอะไรกันแน่ คนแถวๆนี้ก็จะรู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งซึ่งเคยมีคนรักอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น

มันคงจะปลอดภัยอยู่ได้สักระยะ  อย่างน้อยเขาก็สามารถหลบเลี่ยงจากการตามล่าและมีเวลาหายใจหายคอได้สักช่วงหนึ่ง

เหลือบไปมองใบหน้าใสที่ดูตื่นตาตื่นใจกับบ้านแบบญี่ปุ่นที่ไม่เคยเห็นแล้วก็ให้นึกสงสัย.....เจ้าเด็กนี่ไปทำอะไรมาถึงได้ต้องโดนตามล่าถึงขั้นเอาชีวิตกันแบบนั้นด้วย หรือจะเป็นเพราะผลประโยชน์เป็นพันล้านที่ทำให้ทายาทตัวเล็กๆแบบนี้ต้องตกอยู่ในอันตรายกันนะ

“ ถ้าแกคิดที่จะอยู่ที่นี่....เรื่องธุระส่วนตัวทุกอย่าง แกต้องจัดการเอง...จะไม่มีใครคอยซักผ้าหุงหาอาหารให้...เพราะฉันเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่ข้าทาสของแก”

“ ฮึ...ก็แค่ซักผ้าใช่ไหมล่ะ เรื่องแค่นั้นผมก็ทำเป็น”    น่าเชื่อตายละ...เขาผลักประตูเลื่อนโดยไม่ต้องไขกุญแจ เพราะเขาจากไปโดยไม่ได้ล็อคบ้านเอาไว้เพราะไม่มีอะไรให้ต้องรักษา เจ้าตัวดีจ้องมองไปที่บานประตูอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

ถึงจะไม่มีคนอยู่มานาน แต่สภาพของบ้านไม้เก่าแก่ก็ยังคงอยู่ในสภาพดี ถึงจะมีฝุ่นหนาแต่ทุกๆอย่างในบ้านล้วนยังคงอยู่ในที่เดิม

“ บ้านคุณนี่ก็ใหญ่ใช่เล่นนะ”  ขนาดบอกว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เจ้าตัวดีก็ยังคงเดินตัวปลิวโดยไม่สนใจที่จะลากกระเป๋าเข้ามาเองเลยสักนิด

“ แกอยู่ห้องนี้....ไม้กวาดอยู่ในตู้ข้างๆ กวาดซะให้เรียบร้อย”

“ กวาดบ้านหรอ ?....ได้สิ...ผมทำเป็น....”








ไอ้คำว่า “ทำเป็น” ของเจ้าเด็กนั่นมันเชื่อไม่ได้อย่างเด็ดขาด!!






จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมาจากห้องแล้วตรงดิ่งไปห้องข้างๆเพื่อหยุดยั้งความวิบัติที่เจ้าเด็กนั่นกำลังจะสร้างให้บ้านของเขา ฝุ่นควันฟุ้งกระจายราวกับสายหมอกกว่าจะไล่ให้ออกไปจากห้องได้ก็เล่นเอาหมดเวลาไปกว่าครึ่งคืน กว่าจะทำความสะอาดจนสามารถปูฟูกลงไปให้เจ้าตัวดีนอนได้ก็เล่นเอาเขาแทบหมดแรง

หลังจากที่กลับมาถึงห้องของตัวเองได้เขาก็หลับเป็นตายแบบที่ไม่เคยเป็นมานานแสนนาน

ไม่รู้ว่าเป็นบอร์ดี้การ์ดหรือเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันแน่นะงานนี้...


เสียงนกร้องแว่วเข้ามาในหูให้รู้ว่ายามเช้ากำลังจะมาเยือน เขาพลิกกายไปบนที่นอนก่อนที่จะรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างๆ และด้วยสัญชาติญาณของนักฆ่ามันก็ทำให้เขารู้ว่านั่นคือความอบอุ่นจากเส้นชีพจรที่ไหลเวียนไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ มือคว้ามีดสั้นขึ้นมาทันทีเตรียมที่จะตวัดไปเชือดอะไรก็ตามที่มันลอบเข้ามาเล่นงานเขา

แต่ก่อนที่จะได้ทันลงมือ นัยน์ตาก็เพ่งมองเจ้าก้อนกลมๆสีขาวที่กำลังขยับซุกเข้ามาใกล้ ....มันคือผ้าห่มที่ห่ออะไรบางอย่างไว้ มือดึงมันออกอย่างรวดเร็วแล้วก็ต้องหายใจติดขัดเมื่อใบหน้าเนียนของเจ้าตัวดีโผล่ออกมาทั้งๆที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง....มานอนอยู่ข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?

“ แกเข้ามาได้ยังไง”  มือเขย่าไหล่ให้เจ้าผู้บุกรุกรู้สึกตัว นัยน์ตาสีมรกตปรือขึ้นมามองก่อนจะซุกหัวลงไปกับแผงอกของเขาตามเดิม

“ เสียง...ก๊อกๆ...อะไรไม่รู้...ดังอยู่ทั้งคืน....บ้านนี้ต้องมี....ผีสิงแน่ๆ......”   เสียงงึมงำดังอู้อี้...เพราะว่ากลัวเลยมานอนข้างๆเขาอย่างนั้นหรอ.....เขาเผลอถอนหายใจออกไป...นัยน์ตาได้แต่เหม่อลอยมองภาพของห้องที่คุ้นเคยโดยที่ไม่ได้ขยับตัวหนี ปล่อยให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามา.....ยอมปล่อยให้ร่างกายหายเย็นเฉียบอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเช่นกันว่าคนอย่างเขาจะยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้










“ นี่ใช่ไหม....เสียงก๊อกๆ ที่แกว่า....”   เขาพาเจ้าตัวดีไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าธารน้ำเล็กๆซึ่งอยู่ในสวนติดกับห้องนอนของเจ้าตัวดี ที่ส่วนปลายของธารน้ำประดิษฐ์มีกระบอกไม้ไผ่ที่รองรับน้ำจนเต็มก่อนจะค่อยๆกระดกลงไปปล่อยน้ำแล้วเคาะกับกระบอกอีกอักส่งเสียงดังเป็นจังหวะ

“ ไอ้นี่นี่เอง....”   นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองมันด้วยดวงตาเป็นประกาย  เขาเดินลัดเลาะต้นไม้ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบานชานหน้าห้องแล้วเลื่อนเปิดประตูออก

“ ถ้าอยู่บ้านก็เปิดประตูฝั่งนี้เอาไว้ จะได้ช่วยระบายอากาศ”  เขาบอกเจ้าตัวดีที่พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปสนใจกระบอกไม้ไผ่ต่อ

“ ..............”  และพอเขาทำท่าจะเดินไปเด็กนั่นก็ลุกขึ้นแล้วเดินตาม คงจะต้องทำตัวให้ชินที่จะต้องอยู่กับเด็กนี่ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างนั้นสินะ

“ เอ๊ะ ?!”   เสียงอุทานเล็กๆดังขึ้นเมื่อเขาก้าวขาเดินผ่านหน้าห้องๆหนึ่ง เจ้าคนที่เคยเดินตามอยู่ข้างๆหยุดยืนนิ่งจ้องมองบานประตูอย่างไม่วางตา

“ บ้านทั้งบ้านยังไม่ยอมล็อคกุญแจ มีแต่ห้องนี้ที่ล็อคเอาไว้....แปลว่าในนี้มันมีของสำคัญที่ต้องรักษาอย่างนั้นสินะครับ?”   สิ่งที่เจ้าเด็กนั่นพูดทำเอาร่างกายชาวาบ มือบางที่ทำท่าจะยกขึ้นไปแตะที่แม่กุญแจถูกมือของเขาจับเอาไว้แล้วบีบโดยแรง

“ อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะแอบเข้าไป....ฉันเชือดคอหอยแกแน่ถ้าไม่ฟัง”   น้ำเสียงดุดันและมืดมนจงใจบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริง นัยน์ตาสีมรกตมองมาอย่างหวาดๆก่อนจะพยายามชักมือกลับไป ใบหน้าเนียนใสก้มหน้าลง.....แบบนั้นเขาถือว่าเข้าใจแล้วนะ

เขาหันหลังเดินจากไปทันที เพื่อบ่งบอกว่าไม่ต้องการจะพูดถึงอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับห้องนี้อีก











เขาออกไปจัดการเรื่องโรงเรียนที่เจ้าลูกหมาตัวดีต้องไป....ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก แค่โทรบอกพ่อของเด็กนั่นว่าเขาหลบกันอยู่ที่ไหน...ไม่นาน.....เอกสารการยินยอมให้เข้าเรียนของโรงเรียนเอกชนมีชื่อของนามิโมริก็ถูกส่งมาให้.....ดูก็รู้ว่าพ่อของเด็กนั่นใส่ใจกับลูกของตัวเองขนาดไหน แล้วมีเหตุผลอะไรถึงต้องให้อยู่ห่างตัวตั้งเป็นปีแบบนี้ด้วย

หรือจำเป็นต้องจัดการกับเรื่องบางอย่างที่อาจทำให้เกิดแผลในใจของเด็กนั่น ถึงไม่ต้องการให้รู้....

ขาก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมห่อของใช้.....นี่เขาทำตัวเข้าใกล้พ่อบ้านมากเกินไปแล้วหรือเปล่านะ....กลิ่นแปลกประหลาดของอะไรบางอย่างลอยหึ่งจนเขาต้องรีบวิ่งไปดู

“ ทำอะไรน่ะเจ้าเด็กเหลือขอ?!  ประตูห้องครัวถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว

“ เห็นอยู่ว่าทำกับข้าวไงครับ...ยังจะมาถาม”   แต่เจ้าตัวดีที่อยู่กับกลิ่นไหม้นั่นกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าตัวเองกำลังสร้างความหายนะให้กับห้องครัวของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ ไอ้ของแบบนี้น่ะหรอที่เรียกว่ากับข้าว?”   เขาเดินเข้าไปใกล้เตาไฟก่อนจะเอาตะเกียบเขี่ยก้อนดำๆในหม้ออย่างสงสัยว่าก่อนหน้านี้มันเคยเป็นอะไร

“ กะ....ก็....ในหนังสือมันไม่เห็นเขียนเอาไว้เลยนี่ครับว่าให้เปิดไฟแรงแค่ไหน....บอกแค่ว่าให้เปิดไฟ.....”   เจ้าตัวดีเลยเปิดซะไฟท่วมหม้อแบบนั้น....

เขาได้แต่ถอนหายใจก่อนจะไล่เจ้าตัวเกะกะออกไปให้พ้นทาง ของที่เหลืออยู่ในตู้เย็นตอนนี้ก็คงพอทำได้แค่ข้าวปั้นง่ายๆเท่านั้นเอง

“ ทำอะไรน่ะครับ?”   ดูท่าว่าเจ้าตัวขี้สงสัยจะไม่ยอมถอยออกไปง่ายๆ ร่างบางๆนั่นจึงคอยวนๆเวียนๆอยู่รอบๆแล้วจ้องมองของในมือเขาอย่างสนอกสนใจ

Onigiri

“ ผมก็จะช่วยทำด้วย”   .....พอเลย.....เขาดีดมะกอกเข้าที่หน้าผากใสไปทีนึงก่อนจะไล่ให้ออกไปจากห้อง วัตถุดิบเหลือน้อยเต็มที ขืนให้เจ้าตัวดีเอาไปทิ้งเล่นอีกคงไม่ต้องกินอะไรกันแล้วคืนนี้











ถาดใส่ข้าวปั้นถูกถือเอาไว้ในมือ ประตูเลื่อนที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ทำให้เขามองเห็นเจ้าตัวดีกำลังนั่งหันหลังให้อยู่ที่ระเบียงของห้องนั่งเล่น ปลายขาทั้งสองข้างปล่อยให้ห้อยลงไปจากพื้นระเบียง ปกติแล้วเด็กนี่จะเป็นพวกอยู่ไม่สุข แต่แผ่นหลังบางในยามนี้กลับดูโดดเดี่ยวและเหงาหงอย

ใบหน้าสวยนั่นเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกล ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าคงอยากจะกลับบ้าน....

เขาจงใจวางถาดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้เด็กนั่นหันมามอง...เขาไม่รู้หรอกว่าจะปลอบใจใครยังไง....เพราะมือที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดเช่นมือของเขา คงไม่สามารถเอาไปซับน้ำตาให้กับใครได้อีก

“ กินซะ....แล้วก็อุปกรณ์การเรียนของแกอยู่ในถุงนั่น พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปส่งที่โรงเรียน”  เจ้าตัวดีเพียงแค่หันหน้ากลับมาพยักรับก่อนจะหันกลับไปเหม่อมองอยู่ที่ดวงจันทร์ตามเดิม เขาถอยหลังออกมา....ปล่อยให้ต่างคนต่างอยู่แบบนี้แหละดีแล้ว....ไม่ควรจะปล่อยให้อะไรๆมันผูกพันกันไปมากกว่านี้ เพราะอีกแค่ปีเดียว...ทั้งเขาทั้งเด็กนั่นก็จะกลายเป็นคนไม่รู้จักกันตามเดิม


โลกของเขากับโลกของเด็กนั่น มันแตกต่างกันมากเกินไป.....









เขาเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนบนฟูกที่กลางห้อง หลังจากที่ใช้ร่างกายวุ่นวายไปกับใครบางคนจนเหนื่อย นัยน์ตาของเขามันก็ล้าเกินกว่าจะเปิดมันเอาไว้ได้อีก....จะว่าไปหมู่นี้ฝันร้ายกลับทำอะไรเขาไม่ได้เลยไม่เคยได้นอนหลับสนิทแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ...

ในขณะที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น เสียงแซกๆราวกับใครกำลังลากผ้าไปบนพื้นระเบียงไม้ก็ดังขึ้นให้ได้ยิน มือคว้าไปที่มีดสั้นโดยอัตโนมัติ


ครืดดดดด.....


ประตูหน้าห้องของเขาถูกเลื่อนเปิดออก พร้อมกับแสงจันทร์ที่สาดกระทบร่างซึ่งยืนอยู่ที่บานประตูจนเกิดเป็นเงาดำๆ แต่เขาก็จำได้ดีว่านั่นมันเงาของใคร ในเมื่ออยู่ด้วยกันเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมงมาไม่รู้ว่ากี่วันกันแล้ว

เจ้าตัวดีเดินดุ่มๆเข้ามาทั้งๆที่ยังไม่ปิดประตู ก่อนจะก้าวข้ามตัวเขาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนมองอยู่แล้วซุกตัวลงบนที่นอนของเขาโดยยังไม่ทันจะอนุญาต

“ นี่แก....”   เขาพลิกตัวกลับไปจ้องเจ้าตัวดีที่คลุมโปงโผล่ออกมาให้เห็นแต่ใบหน้า

“ ผมว่าบ้านคุณต้องมีผีแน่ๆ....มันเดินอยู่รอบๆห้องผม ผมเห็น....”   คงจะกลัวบ้านเก่าๆแล้วก็หลอนไปเองละสิ น่ารำคาญสมกับที่เป็นเด็กเหลือขอจริงๆ

“ งั้นพรุ่งนี้ย้ายไปอยู่ที่โรงแรม หรือไม่ก็หาบ้านใหม่”  เขาตัดบทเพราะขี้เกียจรบรากับเจ้าเด็กนี่แล้ว

“ ไม่เอา....”

“ งั้นจะเอายังไง?”

“ ให้ผมนอนกับคุณที่นี่”       

“ ................”   ช่างเป็นเด็กที่เอาแต่ใจอย่างร้ายกาจเสียจริงนะ  เพราะแม้แต่คนที่เขาเคยรักยังไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว แต่เจ้าตัวดีกลับพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย......เข้าใกล้ตัวเขาได้อย่างง่ายดาย.....

เขาพลิกตัวไปอีกทางก่อนที่จะลุกออกจากที่นอน ในขณะที่ขาเตรียมจะก้าวออกไป แขนเล็กๆก็ตะปบจนเขาแทบจะล้มหน้าทิ่ม

“ อะไร?!

“ จะไปไหนน่ะ....ไม่ว่าคุณจะไปนอนที่ไหนผมก็จะไปด้วย....”   ยอมแพ้เลยจริงๆ....

“ จะไปปิดประตู”         


รู้ตัวอีกที....ภาพของค่ำคืนที่สงบสุขนั้นมันก็กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อาจสลัดให้หลุดออกไปจากหัวของเขาได้อีกเลยตลอดชีวิต......










เขายังคงมีสีหน้าเฉยชาในขณะที่ยืนกอดอกรอเจ้าลูกหมาตัวดีนั่นอยู่ที่หน้าโรงเรียน....สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักยิ่งกว่าชีวิต

แต่ตอนนี้เขาทิ้งมันไป...พร้อมกับความหลังทั้งหมด....

เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้นเพียงไม่นาน เขาก็มองเห็นใบหน้าใสโผล่ออกมาจากประตูโรงเรียน นัยน์ตาซุกซนหันซ้ายแลขวาและเมื่อมองเห็นเขาเข้า เจ้าตัวดีก็ตรงดิ่งเข้ามาหาทันที

ขาทั้งสองคู่เดินไปตามถนนสายเล็กๆที่ตัดผ่านบ้านพักอาศัย ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ ไม่มีคำถาม...ว่าไปโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเขา และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่เจ้าตัวดีก็ดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นยังคงมองนั่นมองนี่ราวกับว่าเพิ่งเคยจะเห็นเป็นครั้งแรก มีหลายครั้งที่จู่ๆเด็กนั่นก็หยุดเดินเสียดื้อๆ...อย่างเช่นตอนหยุดยืนอยู่หน้าคนเฒ่าคนแก่ที่กำลังนั่งปิ้งมันเผาแล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปหน้าตาเฉย

หลายครั้งที่เขาต้องคอยหันไปมอง ว่าเจ้าตัวดียังเดินตามมาอยู่หรือเปล่า......

ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยเหลียวมองไปข้างหลัง มีแต่คนอื่นๆที่จะต้องตามเขาให้ทัน ไม่เช่นนั้นก็จะถูกทิ้งเอาไว้.....

เสียงฝีเท้าเงียบหายไปให้เขาจำต้องหันไปมองคนข้างๆอย่างรู้สึกหงุดหงิด นี่จะต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขาเดินมารับมาส่งเจ้าเด็กนี่เลยหรือเปล่านะ หรือว่าคราวหลังเขาควรจะขับรถมารับดี?

และเมื่อหันกลับไปมองก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเจ้าตัวดีหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านๆหนึ่ง ดวงตาสีมรกตจ้องเขม็งเข้าไปข้างในร้าน เขาคิดไปเองหรือเปล่านะที่อย่างกับว่าจะมีประกายระยิบระยับอยู่ในดวงตาคู่นั้น สองขาก้าวตรงเข้าไปหาก่อนที่มือจะคว้าแขนเล็กให้เดินกลับบ้านแต่โดยดี แต่คราวนี้มีแรงขัดขืน

“ นี่! คุณไม่คิดว่าไอ้นั่นน่ากินบ้างหรอ ?”  เมื่อเขาเผลอคลายมือเพราะมัวแต่หันไปมองเค้กมากมายที่เรียงรายอยู่ในตู้ เจ้าลูกหมาก็ดิ้นหลุดแล้วผลุบเข้าร้านไป....ให้มันได้อย่างงี้สิ!

สาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิต.....ที่นักฆ่าเหม็นกลิ่นคาวเลือดอย่างเขาจะเข้ามานั่งอยู่ในร้านเค้กเล็กๆที่ตกแต่งเอาไว้อย่างน่ารักท่ามกลางเสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักของบรรดาเด็กผู้หญิงที่น่ารำคาญเสียยิ่งกว่าน่ารำคาญ....และไอ้เจ้าคนที่ทำให้หงุดหงิดจนเส้นเลือดจะปูดโปนออกมาจากหน้าผากให้ได้อยู่รอมร่อกลับกำลังสั่งเค้กอย่างเพลินใจจนน่าฆ่าให้ตายนัก

“ กินอะไรดีครับ?”  ใบหน้าเริงร่าเงยจากเมนูขึ้นมาถาม....ยัง......ยังไม่ยอมรับรู้ถึงรังสีอำมหิตของเขาอีก.....

“ ไม่กิน”

“ งั้นขอช็อกโกแลตร้อนๆแบบขมสุดๆให้คุณคนนี้ก็แล้วกัน”  เจ้าตัวดีหันไปสั่งหน้าระรื่นกับพนักงาน....ดูท่าแล้วไม่ใช่ว่าจะไม่รู้หรอกว่าเขาไม่ชอบ แต่กำลังแกล้งเขาอยู่เสียมากกว่า....ไอ้เด็กแสบนี่....


อยากทำอะไรก็เชิญ.....ตราบใดที่ยังไม่ตายและยังเป็นเหยื่อในเกมให้เขาอยู่ก็พอ!


เขาเบือนหน้าหนีเจ้าตัวดีที่เริ่มจะชักสีหน้าบูดบึ้งเมื่อเริ่มรับรู้ได้ถึงสายตาของเด็กผู้หญิงจากโต๊ะรอบข้าง และเมื่อหันหน้าออกไปที่หน้าต่าง สายตาที่ไวต่อปฏิกิริยาที่ไม่ปกติก็เริ่มจะจับได้ว่า....มีใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่เขาและเจ้าเด็กนี่

อย่าบอกนะว่าพวกนั้นรู้ตัวแล้ว ว่าพวกเขาหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่เมืองนี้?

และไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย มือคว้าไปที่ข้อมือเล็กก่อนจะออกแรงลากให้ลุกออกจากโต๊ะ คนถูกกระทำเพียงแค่ขัดขืนเล็กน้อยอย่างที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก เขาผลักร่างบางๆไปที่ประตูห้องสำหรับพนักงาน  สาวเสิร์ฟเตรียมจะเข้ามาห้ามแต่สายตาดุดันของเขาก็ส่งไปบอกเป็นนัยว่าให้เงียบ

“ กลับบ้านไปก่อน”  เขาบอกคนตรงหน้าและไม่สนใจว่าเจ้าตัวดีจะออกฤทธิ์ยังไง มือถอดเสื้อโค้ทสีดำที่สวมอยู่ออกแล้วสวมลงไปบนไหล่บาง  จับแขนที่กำลังจะต่อต้านยัดใส่ลงไปในแขนเสื้อ

“ ทำไม? หรือว่ามีใครตามมา?”   เจ้าตัวดีถามด้วยสีหน้างงๆ เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงรับ มือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทที่คนตรงหน้าสวมอยู่ก่อนจะหยิบหมวกไหมพรมสีดำออกมา สองมือรวบเส้นผมสีน้ำตาลของเจ้าเด็กนั่นเข้าหากันก่อนจะสวมหมวกไหมพรมลงไปบนหัว

“ ไปได้แล้ว.....เดินไปตามถนนนี่จนสุดทางแล้วเลี้ยวซ้าย บ้านไม่ได้ล็อค เข้าไปรออยู่ข้างในก่อน”  เขาดันหลังบางให้ออกไปทางข้างหลังร้าน ก่อนจะปิดประตูลงแล้วเดินกลับมานั่งลงที่เดิม พยายามให้แผ่นหลังบังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามให้มากที่สุด ให้พวกนั้นคิดว่าเจ้าเด็กนั่นยังนั่งอยู่กับเขา

จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนเขาแน่ใจแล้วว่า ถึงจะเถลไถลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั่นก็น่าจะกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงได้ลุกออกจากเก้าอี้ ก้าวขาออกจากร้านแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านฝั่งตรงข้ามทันที และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ชายสองสามคนก็สะดุ้งโหยงจนกาแฟในแก้วหกเรี่ยราด เขาปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อหนึ่งในพวกมันขึ้นมาก่อนจะตวัดมีดสั้นลงไปโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ

“ ห้ามยุ่งกับเด็กนั่น”   หลังจากละเลงเลือดจนสาแก่ใจ คำสุดท้ายที่เขาทิ้งเอาไว้คงทำให้พวกมันเข็ดขยาดจนไม่มีหน้ามาให้เห็นอีก

ที่แท้ก็แค่เด็กนักเรียนชายในโรงเรียนที่คงจะสนใจเจ้าตัวดีเลยแอบตามมาดู........ถึงจะไม่ใช่ศัตรูที่หมายหัวเด็กนั่นอยู่ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเหยื่อของเขา











ขาก้าวเข้าสู่ตัวบ้านท่ามกลางความเงียบเชียบผิดปกติ

หรือว่าเจ้าตัวดีจะยังกลับมาไม่ถึง?  

เขาตรงดิ่งไปที่ห้องของเด็กนั่นก่อนจะเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว ของที่วางอยู่กลางห้องนั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวดีกลับมาถึงบ้านแล้ว....เสื้อโค้ทของเขากับกระเป๋าของเด็กนั่น.....

ถ้าอย่างนั้นเจ้าตัวหายไปไหน?

ไม่ว่าจะห้องไหนๆก็ไม่มีแม้แต่เงา....ในใจเขาเริ่มจะร้อนลนขึ้นเรื่อยๆเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าเด็กนั่นจะกล้าขัดคำสั่งของเขา....ขายิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆเมื่อเดินเข้าไปใกล้ “ห้องนั้น”  ที่เขาปิดตายมันมาหลายต่อหลายปี

ไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้ แต่ขากลับก้าวเร็วขึ้น....เร็วขึ้น.....


จนในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง.....



แม่กุญแจไม่อยู่แล้วจริงๆด้วย.....




ครืดดดด!!!!




ประตูถูกเลื่อนเปิดออกอย่างรวดเร็วและรุนแรงเฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ครุกรุ่นของเขาในตอนนี้....ใช่....เขากำลังโกรธ....โกรธมากจนไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้อีก

สายตาดุดันจ้องมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเจ้าตัวดีที่หันมามองอย่างตกใจ แรงสะดุ้งทำให้กรอบรูปในมือบางร่วงลงสู่พื้นก่อนที่จะตกกระทบจนกระจกแตกกระจาย ใบหน้าใสหันมาด้วยความตกใจ มีแววหวาดหวั่นอยู่ในดวงตาสีมรกตคู่นั้นเมื่อมองสลับไปมาระหว่างหน้าเขากับรูปที่พื้น

เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู มีเพียงความดำมืดและรังสีอำมหิตที่แผ่ออกไปให้เจ้าเด็กนั่นรู้ว่าเขากำลังโกรธจัด

ใบหน้ามนสลดลงก่อนจะนั่งคุกเข่าพยายามเก็บเศษแก้วอย่างกล้าๆกลัวๆ มีเพียงความเงียบงันที่กำลังกดดันให้หายใจไม่ออก

“ กะ...ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา....ก็แค่ห้องธรรมดาๆเองไม่ใช่หรอ ไม่เห็นจะต้องทำเป็นความลับเลย...แถมคนในรูปนี่ยังน่ารักมากๆอีกต่างหากไม่เห็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียวเลยนี่นะ....เค้ายิ้มได้แบบนี้แสดงว่าต้องรักคุณมากๆเลยไม่ใช่หรอ.....”   รอมยิ้มจางๆยิ้มออกมาราวกับกำลังกลบเกลื่อน

“ เป็นคนสำคัญ.....ถึงได้ต้องเก็บรักษาของของเค้าเอาไว้อย่างดีใช่ไหมล่ะครับ...”   เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าเด็กนี่จะพูดปลอบใจหรือแก้ตัวหรือว่าอะไร แต่เขาไม่อยากฟัง...ไม่อยากฟังไปมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขายังเก็บรักษาห้องของ “คนที่ทิ้งเขาไป” เอาไว้แบบนี้

“ อ๊ะ!!!”  เขาฉุดมือเล็กๆที่กำลังจะเก็บเศษแก้วแล้วกระชากตัวเด็กนั่นขึ้นมา

“ คะ...คือว่า.......เดี๋ยวก่อนสิ”   ไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆทั้งนั้น ในเมื่อเขาเคยบอกแล้วว่า “ห้ามเข้ามา”   มือออกแรงลากเจ้าตัวดีไปตามระเบียงทางเดินของบ้านด้วยใบหน้านิ่งสนิท คนถูกจับกุมยังคงพยายามสะบัดมือให้หลุดเพราะคงรับรู้แล้วถึงรังสีดำมืดที่เขาปล่อยออกไป

“ อุก...”  เขาโยนร่างบอบบางลงไปบนฟูกของเจ้าตัวก่อนจะตามไปคร่อมทับ สองขายึดลำตัวบางเอาไว้กับที่นอน ส่วนสองมือตรงเข้าบีบที่ลำคอระหง

“ ยะ....อย่า.....”   คอเล็กๆแค่นี้ออกแรงนิดเดียวกระดูกก็หักเป็นสองท่อนแล้ว เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีแดง นัยน์ตาที่มองสวนขึ้นมามีทั้งแววตื่นตระหนกตกใจในการกระทำของเขาและแววของความสำนึกผิด

“ แค่ก....พอ.....”   ลมหายใจของคนตรงหน้าเริ่มจะขาดห้วงเมื่อมือของเขายังคงกดลงไปไม่ยอมคลาย....อยากจะฆ่าให้ตายไปซะ คนที่ไม่ฟังคำสั่งและยังเข้าไปเห็นความลับที่เขาซุกซ่อนเอาไว้....บาดแผลในใจเพียงหนึ่งเดียวของเขา

“............”   มือเล็กๆตะกายสองแขนของเขาจนเป็นรอย ร่างข้างใต้พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากสิ่งที่เขากำลังหยิบยื่นให้ไปได้ ความอึดอัดทำให้ใบหน้าใสดูทรมานอย่างที่สุด นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากพยายามอ้าออกเพื่อหายใจแต่มันก็ไม่สามารถจะลงไปถึงอวัยวะภายในได้

“......................”   เสียงไม่มีหลุดรอดออกมาได้อีกแล้ว....นัยน์ตาของร่างกายที่กำลังจะขาดใจตายค่อยๆหรี่ปรือลงเรื่อยๆ....เรื่อยๆ......มือที่จิกเล็บลงมาที่แขนของเขากำลังค่อยๆอ่อนแรงลงจนตกไปข้างลำตัว


อยากจะฆ่าให้ตาย.....



อยากจะฆ่าให้ตาย..............




อยากจะฆ่าให้ตาย....................!!!!!






แต่วินาทีสุดท้ายที่ลมหายใจกำลังจะหายไป น้ำตาสีใสทีไหลลงมาตามแก้มก็หยดลงที่มือของเขา







“ แค่ก.....แค่กๆๆ.....”    เสียงไออย่างหนักหน่วงดังมาจากคนที่เกือบจะตายไปคามือ

ความเย็นของน้ำตาทำให้สติของเขากลับคืนมาได้ทันก่อนที่มันจะสายเกินไป เขามองลงไปที่คนด้านใต้ซึ่งมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆที่ยังคงหอบหายใจอย่างอย่างรุนแรง เขาลุกออกมาจากร่างกายบางๆนั่น

สายตาหวาดหวั่นเหลือบมองมาที่เขาด้วยน้ำตา ใบหน้าใสนั่นทั้งหวาดกลัวและไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเงียบและไม่คิดที่จะอธิบายอะไรทั้งนั้น


ได้แต่ปล่อยให้เด็กนั่นนั่งอยู่ที่หน้าประตูแห่งความตายเพียงลำพัง.....




ขาก้าวเดินไปเรื่อยๆตามระเบียงทางเดิน.....ในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องห้องนั้นอีกครั้ง

ภายในห้องยังคงเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว มีเพียงฝุ่นผงเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าไม่มีคนอยู่มานาน

มือปัดเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนรูปออกไป ก่อนจะหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมา

นัยน์ตาเหลือบมองไปที่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลไหม้ที่เปล่งประกายสดใสของคนในรูป รอยยิ้มอ่อนโยนราวกับฟากฟ้ากว้างที่จะโอบกอดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้.....เขารู้ว่ามันจบลงไปแล้ว....แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะของคนที่เคยรักกัน เขาก็อยากรู้.....


ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน....






.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




อันที่จริงของเวอร์ชั่น 1859 แต่เริ่มแรกมันเป็น PG นาคะเรื่องนี้ แต่พอมาเป็นรีเอแล้ว...... PG มันช่างขัดต่อศรัทธาของคุณกวางจริงจริ๊งงงงง อร๊ากกกกก โอเค! ยอมเปลี่ยน 1859 เป็น NC ด้วยก็ได้ฟร้าาาาา (ศรัทธาอัลไลของมันเนี่ยยยยย)

แล้วก็...พอมานั่งแก้เข้าก็เลยรู้สึกว่าภาษามันไม่สวยเอาซะเลยถถถถถถถ สำหรับตอนที่หนึ่งถึงสามครึ่งนี่ก็ต้องขออภัยในความงงของภาษาเอาไว้ด้วยนะคะ มันเป็นงานที่เขียนไว้นานมากกกกกกกแล้วอ่ะนะ ตอนนั้นน่าจะกำลังสับสนอะไรบางอย่าง(ตอนนี้ก็ด้วยถถถถ) ปกติแล้วจะไม่ค่อยกลับไปอ่านงานเก่าๆของตัวเองเท่าไหร่ค่ะ555 เพราะรู้สึกว่ามันอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านทีไรจะหงุดหงิดทุกที TTvTT // มีเรื่องเดียวที่ยกให้คือ ดาวตก เลยจริงๆที่กลับไปอ่านแล้วอยากจะแก้น้อยที่สุดถถถถ

ในเวอร์ชั่น 1859 มันจะพันไปคู่ 6927 อีกนิดนึง แต่ของเวอร์ชั่นรีเอขอตัดออกแล้วกันนะคะ เพราะหาคนที่เหมาะๆไม่ได้เลย5555 แต่ในส่วนที่พันไปถึง 80 ในเวอร์ชั่น 1859 ในส่วนของเวอร์ชั่น รีเอ นั้นยังมีอยู่ค่ะ เพราะหาคนรับบทได้แล้น อิอิ มิคาสะ เธอเอาไปย์ // สำหรับคนไม่เคยอ่านรีบอร์นงงแน่นอนประโยคที่เต็มไปด้วยตัวเลขแบบนี้5555 ไม่มีไรมากค่ะ รอติดตามตอนต่อๆไปก็จะเข้าใจเอง ^ ^v

ก็...ขอขอบคุณทุกการติดตามและทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ5555








1 ความคิดเห็น:

  1. แงๆๆ คนรักเก่าของรีไวคือไผค่ะน้านนนน
    ว่าแต่คุณท่านโหดน่าดู ทำซะน้องเกือบไปเดินเล่นที่ประตูนรกแว้ววว ;w;
    สนุกมากค่าาา พี่กวาง ตอนนี้อ่านแล้วบีบอารมณ์มากๆแบบเปิดเพลงที่พี่แปะไว้
    ระหว่างอ่าน คือ ฮือๆๆๆ สงสารทั้งเอเลนทั้งรีไวง่าาาาา ;w;

    ตอบลบ