Aldnoah.Zero Au.Fic [Cruhteo x Slaine] - Last Word - : 10 [END]


Aldnoah.Zero Au.Fic [Cruhteo x Slaine] - Last Word: 10 [END]

: Aldnoah.Zero Fanfiction Au
: Cruhteo x Slaine
: Romance Period
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           
       
  


ร่างโปร่งบางวิ่งพรวดพราดเข้ามาในปราสาทที่เต็มไปด้วยควันจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร สองขาก้าวไปตามความคุ้นเคยเสียมากกว่าจะได้พึ่งสายตา

“ แค่กๆๆ”  ถึงจะไอออกมาเพราะสำลักควันแต่ดูเหมือนที่ชั้นล่างจะยังไม่ถูกไฟลามลงมามากนัก และเพราะแบบนั้นมันเลยทำให้เขาไม่ได้ตระหนักถึงความอันตรายของเพลิงมรณะนี่เลย

บันไดหินอ่อนที่เดินขึ้นลงทุกวันมองเห็นอยู่ตรงหน้า สองขารีบวิ่งขึ้นไปก่อนจะถึงกับผงะเมื่อเห็นสภาพของชั้นบน ไฟกำลังโหมกระหน่ำเข้ามาเรื่อยๆจากสุดปลายทางเดิน ดูเหมือนมันจะลามมาจากปีกอาคารทางฝั่งห้องของท่านเคานต์...ถ้าดับไฟทันปีกอาคารทางฝั่งห้องของเขาอาจจะรอด


ถึงจะเสี่ยงเอาหน่อย แต่เขาคงไม่ต้องไปเอากุหลาบแห่งวอร์ริค....

ต่อให้มันจะสำคัญกับเขาแต่มันไม่สำคัญเท่าของของท่านเคานต์...

ตอนนี้....เรื่องเดียวคือต้องสนใจคือไปเอากรอบรูปเท่านั้น


ใบหน้ามนจ้องมองกองเพลิงด้วยสายตามุ่งมั่น ขนาดยืนอยู่ตรงนี้ยังรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่ต้องการจะทำลายล้างทุกอย่างของมัน แล้วที่ห้องของท่านเคานต์ที่ไฟกำลังเริ่มลุกไหม้จะเป็นยังไงกันนะ

ไอที่ร้อนระอุแผ่เข้ามาปะทะใบหน้าจนรู้สึกแสบไปหมด สองแขนได้แต่ยกขึ้นกันแสงที่รุนแรงพวกนั้นก่อนจะพยายามวิ่งไปยังห้องเป้าหมาย

“ แค่กๆๆ”   เสียงไอดังไปตลอดทาง มือที่แตะลงไปบนมือจับประตูถึงกับสะดุ้งจนต้องละออกมาเพราะความร้อนที่ทำให้ทองเหลืองแท้ๆยิ่งร้อนจนแทบจะสัมผัสไม่ได้  ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มแน่นพลางหันไปหันมา ตรงนี้ไม่มีเศษผ้าหรืออะไรที่จะช่วยเขาเปิดประตูได้เลย ใบหน้าจึงก้มมองเสื้อของตัวเอง


แคว่ก!!


ชายเสื้อถูกฉีกออกมาก่อนจะใช้มันพันรอบมือจับ ในที่สุดประตูก็เปิดออกจนได้

ไอความร้อนรุนแรงพุ่งเข้ามายังใบหน้าเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป หัวใจดวงน้อยที่เต้นระรัวอยู่แล้วยิ่งเต้นหนักกว่าเดิมเมื่อมองเห็นสภาพห้อง...ไฟนั้นลุกไหม้ไปกว่าครึ่ง...หลังคาเตียงสี่เสาที่เขาเคยนอนกับท่านเคานต์กำลังเต็มไปด้วยสีเพลิง

นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองไปยังโต๊ะข้างหน้าต่าง...แย่แล้ว...ไฟกำลังลามจากผ้าม่านลงมาที่โต๊ะนั่นแล้ว!

สองขาวิ่งพรวดพราดเข้าไป ทั้งความร้อนจากเปลวไฟ ทั้งควันที่เกิดจากการเผาไหม้อันรุนแรงทำให้มองไม่เห็นอะไร เขาใช้เพียงความทรงจำว่ากรอบรูปมันน่าจะอยู่ตรงนั้น ผ้าม่านที่ค่อยๆขาดร่วงทำให้เขาต้องก้มตัวหลบอยู่ใต้โต๊ะ มีเพียงมือเท่านั้นที่ยื่นขึ้นไปควานหาของที่มองไม่เห็น

แล้วกรอบสี่เหลี่ยมก็ถูกเขาดึงออกมาก่อนที่ไฟจะติดลงไปแค่ไม่กี่วินาที

นัยน์ตาสีมรกตทอดมองใบหน้าของท่านหญิงในกรอบรูปอย่างโล่งใจ...


ทว่า...


เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที....

รอบกายก็มีแต่สีแดง.....













กลุ่มควันไฟขนาดใหญ่และสีแดงฉานที่เห็นได้แม้แต่ในตัวเมืองที่ห่างออกมาพอสมควรทำให้รถม้าจากปราสาทวอร์ริครีบมุ่งหน้ากลับไป

ถึงแม้ว่าใบหน้าหยิ่งทระนงจะยังนิ่งเฉย ในใจไม่ได้กังวลเลยกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติราคาแพงที่อยู่ในปราสาท แต่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยของใครบางคนมากกว่า...หวังว่าคนใจเย็นอย่างเด็กนั่นจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเข้าหรอกนะ...

รถม้าจอดลงท่ามกลางความโกลาหล และเมื่อทุกสายตาหันมาเห็นว่านายเหนือหัวของพวกตนกลับมาแล้วทำให้เรี่ยวแรงที่จะช่วยกันดับไฟยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม

“ เอาน้ำราดไปที่ห้องข้างๆ! ตรงส่วนที่ไฟไหม้ไปแล้วก็ไม่ต้องสนใจมัน รักษาห้องที่เหลือเอาไว้ก็พอ!”  เสียงทุ้มเอ่ยบัญชาการ ต่อให้เป็นเปลวไฟก็ไม่อาจทำให้ความสง่างามนั้นสั่นคลอนไปได้


มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ใบหน้าหยิ่งทระนงเปลี่ยนสีหน้าไป


“ สเลนล่ะ? สเลนอยู่ที่ไหน?!”   เสียงทุ้มตะโกนแข่งกับเสียงปะทุของเปลวไฟเพื่อถามสาวใช้ที่วิ่งไปมาอยู่ใกล้ๆเมื่อกวาดตามองแล้วไม่เห็นคนที่เป็นห่วงมาตลอดทาง

“ คะ คุณสเลน........”

และเมื่อได้รับคำตอบ...นัยน์ตาสีฟ้าที่ไม่เคยสะทกสะท้านต่อสิ่งใดก็ถึงกับเบิกกว้าง ร่างทั้งร่างรู้สึกชาวาบอย่างบอกไม่ถูก


เจ้าเด็กบ้านั่น! ทำไมถึงไม่รู้เลยว่าอะไรมันสำคัญกว่ากัน!


ไม่สิ...คนที่ผิดมันคือเขาเอง...

เป็นเพราะเขาเองที่ไม่เคยบอก ไม่เคยแสดงออกว่าเด็กนั่นสำคัญต่อเขาแค่ไหน เฝ้าคิดแต่ว่าหากเด็กนั่นรู้ตัวว่าตัวเองมีค่าแล้วจะหนีไปจากเขา

แล้วตอนนี้เป็นยังไง....เพราะไม่รู้ค่าของตัวเองไม่ใช่หรือไงถึงได้เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแบบนี้



สองมือได้แต่กำแน่น....จะต้องสูญเสียไปอีกกี่ครั้งเขาถึงจะเข้าใจ....ว่าสิ่งที่เรียกว่าหัวใจนั้นมันรักษาเอาไว้ได้ยากยิ่งกว่าการประคองกลีบดอกไม้ที่บอบบางเสียอีก

เปลวไฟตรงหน้าจะยอมให้โอกาสเขาแก้ตัวหรือเปล่า....มันจะพรากเอาลมหายใจของคนที่เขารักไปอีกคนหรือไม่

ตอนนี้ได้แต่มานึกเสียใจ...ว่าทำไมเขาไม่ยอมบอกออกไปตรงๆ...ว่าสเลนสำคัญกับเขาแค่ไหน...ทำไมถึงไม่ยอมบอกเด็กนั่นไป!



สันกรามได้แต่กัดฟันกรอด...นัยน์ตาทอดมองไปยังห้องของตนก่อนจะตัดสินใจว่ามันคงรอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!

มือใหญ่คว้าประป๋องน้ำที่คนงานหิ้วมาก่อนจะราดตั้งแต่หัวจรดเท้าของตัวเอง แล้วท่านเคานต์แห่งวอร์ริคเชียร์ก็ทำให้บรรดาสาวใช้ถึงกับกรีดร้อง เมื่อนายเหนือหัวพุ่งเข้าไปในกองไฟตามอีกคนก่อนหน้านี้ไป



“ สเลน!!”  ริมฝีปากที่เอาแต่พูดจาไม่รักษาน้ำใจใส่อีกฝ่ายมาตลอดกลับร้องเรียกด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ ยิ่งเห็นสภาพของปราสาทก็มีแต่จะยิ่งกลัวว่าทุกอย่างมันจะสายเกินไป

ภาพของตัวเองที่ยืนอยู่หน้าหลุมศพยังคงแจ่มชัด


กลัว....

กลัวจริงๆ...


ครั้งนี้...นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง...


“ สเลน!”  ไอความร้อนมีแต่จะต้องยกเสื้อคลุมที่เปียกชุ่มขึ้นมาบังหน้าตัวเองไว้ ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้ห้องของเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะทางข้างหน้ามันเต็มไปด้วยเปลวไฟจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร

มือจับประตูร้อนระอุจนต้องกระชากฝ่ามือออกมา ฝ่าเท้ายกขึ้นอย่างไม่รอช้าแล้วยันมันจนล้มลงไป


โครม!!


ข้างในห้องยิ่งทำให้ตกใจเมื่อทุกอย่างกำลังกลายเป็นสีแดงฉาน

“ สเลน!!”   ริมฝีปากยังคงร้องเรียกต่อไป ควันไฟทำให้มองไม่เห็นอะไรและเสื้อผ้าที่เคยชุ่มน้ำก็กำลังถูกความร้อนดูดออกไปจนตอนนี้เริ่มจะรู้สึกแสบผิวไปหมด

ร่างสูงใหญ่ก้าวพรวดๆเข้าไปแถวๆโต๊ะที่วางกรอบรูปเอาไว้...ถ้าสเลนเข้ามาเพื่อจะหยิบรูปนั่นออกไป ร่างโปร่งบางก็น่าจะอยู่ใกล้ๆโต๊ะนั่น


แล้วเงาร่างที่นอนสลบอยู่ที่พื้นก็ทำให้เขารู้ว่าคิดไม่ผิดเลยจริงๆ


“ สเลน!”   สองมือรีบยื่นไปประคองคนที่คงจะหมดสติไปเพราะควันไฟ...ไม่ได้การละ เขาเองก็จะอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ไม่ได้ สองแขนจึงอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นทันที


เสียงเปรี๊ยะๆที่ดังอยู่รอบกายทำให้สองขาออกแรงวิ่งจนสุดกำลัง ความสั่นสะเทือนที่รู้สึกได้จากปลายเท้าทำให้ใบหน้าหยิ่งทระนงหวั่นวิตกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สองแขนกอดกระชับร่างที่สลบไสลซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าที่แทบจะไม่เหลือความชื้น ทางเดินที่เคยเดินมาทั้งชีวิตทำไมถึงได้ดูไกลเหลือเกินในวันนี้...


อีกนิด...อีกนิดเดียวก็จะถึงบันไดแล้ว...


“ อึก!”  แล้วสองขาที่กำลังวิ่งสุดแรงก็จำต้องหยุดจนแทบจะหัวทิ่ม นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างเมื่อมองเห็นผนังไม้ค่อยๆล้มลงมาต่อหน้าต่อตา....ปิดหนทางที่น่าจะวิ่งผ่านไปได้ให้มีเพียงแค่สีเพลิง




ครึกๆ....



เสียงเหมือนหินลั่นทำให้ผู้คนที่กำลังตื่นตระหนกต่างหยุดกิจกรรมของตัวเองแล้วหันไปมองตัวปราสาทด้วยใบหน้าแข็งเกร็ง




ครืนนนนนนนนนนน!!!!!




เสียงพังครืนดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ใบหน้าของทุกคนที่ยืนอยู่บนเนินปราสาทนั่นถึงกับอ้าปากค้าง ปีกของอาคารข้างหนึ่งพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาและยิ่งรู้ว่านั่นคือปีกที่เป็นห้องของท่านเคานต์ก็มีแต่จะทำให้ขนทั่วร่างลุกชัน เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาทันทีและสาวใช้บางคนก็ถึงกับลมจับเพราะคนที่เข้าไปตรงบริเวณที่เพิ่งถล่มลงนั้น....ยังไม่กลับออกมา....

เวลาผ่านไปหลายนาทีจนทุกคนต่างคิดว่าคงหมดหวัง...

บางคนก็ร่ำร้องต่อสวรรค์ว่าทำไมโหดร้ายกับนายของตนนัก







แต่แล้ว...







เงาร่างที่วิ่งฝ่าเปลวเพลิงออกมาก็ทำให้คนของปราสาทวอร์ริคถึงกับร้องไห้โฮด้วยความดีใจ...ที่นายเหนือหัวยังคงปลอดภัยดี...

ทั้งท่านเคานต์ ทั้งคนที่เข้าไปหา...ต่างยังปลอดภัย...


“ สเลน!”   ท่อนแขนแข็งแรงวางร่างโปร่งบางลงที่พื้นหญ้าก่อนจะเขย่าตัวเบาๆ


ชั่ววินาทีที่นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆลืมตาขึ้นมา...มันคือช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต...

สองมือที่สั่นน้อยๆประคองใบหน้ามนที่ยังงงๆให้เงยขึ้นมา


“ เจ้าเด็กโง่....รูปถ่ายของคนที่ตายไปแล้วจะสำคัญเท่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ้าได้ยังไง?!”   สองแขนแข็งแรงรวบเอาร่างโปร่งบางเข้ามากอดไว้ เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทำให้ไหล่กว้างถึงกับสั่นเทาด้วยความกลัว....ภาพของคนในอ้อมแขนที่กอดกรอบรูปอยู่ในกองเพลิงทำให้เขากลัวจับใจ...กลัวว่าจะต้องสูญเสียเด็กนี่ไป....

“ ทำไมเรื่องแค่นี้เจ้าถึงไม่เข้าใจ....”   เสียงสั่นเครือดังมาจากใบหน้าหยิ่งทระนงที่เกยอยู่ที่หัวไหล่บอบบาง


“ เข้าใจสักทีสิว่าเรารักเจ้า สเลน...”


นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง....นี่เขาอยู่ในฝันหรือยังไงกัน?

ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าจะได้ยินคำคำนี้


ดีใจ...ดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไง...


หัวใจที่เหมือนกับตายไปแล้วค่อยๆกลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง ความหวาดกลัวจนทำให้ทุกอย่างดับวูบไปเมื่อครู่กลับหายไปราวกับมันเป็นแค่หมอกควัน

จากวันนี้ไปทุกอย่างจะกลับมาสดใส...ชีวิตที่ไม่มีอะไรดีกำลังจะเริ่มต้นใหม่ได้จริงๆแล้วใช่ไหม

จะไม่ต้องอิจฉาใคร ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ต้องเอาแต่คอยกังวลว่าจะถูกเบื่อถูกทิ้งอีกแล้วใช่ไหม...

ในที่สุดเขาก็จะมีที่ของตัวเอง...มีคนที่รักเขา เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้วใช่ไหม...


น้ำตามันรื้นขึ้นมาด้วยความดีใจ...


มือบางยกขึ้นไปกอดแผ่นหลังที่กำลังสั่นเทาเอาไว้ ก่อนจะเกยหน้าไปบนไหล่กว้าง


“ ผมก็รักท่านเคานต์ครับ....รัก.....รัก......”






เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลายทำให้คนที่ยังสำลักควันไฟหลับไปในอ้อมแขนอีกครั้ง

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองกรอบรูปที่อยู่ในอ้อมแขนของสเลนก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ มือค่อยๆพลิกกรอบรูปขึ้นมาก่อนจะมองใบหน้าของผู้หญิงที่รักเขาจนวินาทีสุดท้าย


คำขอก่อนตายของเจ้า...ในที่สุดเราก็ทำให้ได้เสียที....


ทุกครั้งที่เห็นรูปนี้ ถ้อยคำเหล่านั้นมันก็มักจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว...



ท่านเคานต์...เริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคน...แล้วมีความสุขให้ได้นะคะ...





เขากำลังจะเริ่มต้นใหม่ กับความรักครั้งใหม่และจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข...













หลังจากเปลวเพลิงสีแดงฉานเผาผลาญปราสาทไปกว่าครึ่งหลัง....ในที่สุดฝ่ายมนุษย์ก็หยุดมันเอาไว้ได้

จากความโกลาหลวุ่นวาย...บนเนินปราสาทวอร์ริคจึงค่อยๆสงบลงตามเปลวไฟที่บัดนี้เหลือเพียงแค่กลุ่มควันจางๆ...ส่วนที่กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วคงทำอะไรกับมันไม่ได้นอกจากสร้างขึ้นมาใหม่และเพราะเป็นปราสาทขนาดใหญ่จึงต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว

ท่านเคานต์แห่งวอร์ริคเชียร์ที่สั่งการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วจึงย้ายตัวเองจากภาคกลางของอังกฤษไปสู่เขตชนบทอันเต็มไปด้วยทุ่งนาเขียวขจีที่อยู่ทางตะวันตกตอนใต้


คฤหาสน์ครูเทโอที่ทำไว้เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศจึงถูกใช้เป็นที่อยู่ชั่วคราวไปโดยปริยาย...


ถึงจะบอกว่าเป็นแค่คฤหาสน์แต่มันก็เป็นของชนชั้นสูงเพราะฉะนั้นเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างจึงครบครันและหรูหราสมราคาของตระกูลท่านเคานต์แห่งวอร์ริคเชียร์

นัยน์ตาสีมรกตเปิดขึ้นมาท่ามกลางฝ้าเพดานที่ไม่คุ้นเคยก่อนจะกวาดมองไปรอบๆห้องนอนที่กว้างใหญ่ อยู่ที่นี่เขาไม่มีห้องเป็นของตัวเองเหมือนตอนอยู่ในปราสาท...เพราะว่าท่านเคานต์...ให้เขาย้ายมาอยู่ห้องเดียวกัน...

ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องนอนด้วยกันทุกคืน....จนความหวาดผวาที่มีต่อชายผู้น่าเกรงขามคนนั้นมันค่อยๆลดลงไปราวกับร่างกายเขาเริ่มมีภูมิต้านทานมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้สะดุ้งทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเรียกแล้วละนะ...


รอยยิ้มเล็กๆปรากฏอยู่บนริมฝีปากก่อนที่ร่างโปร่งเปลือยเปล่าจะลุกขึ้นนั่งช้าๆ ผ้าที่คลุมไหล่อยู่หล่นลงไปกองบนที่นอนจนมองเห็นว่าท่อนแขนแข็งแรงนั้นยังไม่ยอมปล่อยเอวเขาจนดูราวกับอีกฝ่ายเป็นหมีโคอาล่าตัวโตที่เกาะต้นไม้เอาไว้ต่อให้ตาจะปิดอยู่ก็ตาม นัยน์ตาสีมรกตทอดมองใบหน้าหยิ่งทระนงที่ยังคงหลับสนิทก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ

ใบหน้ามนละออกไปมองนอกหน้าต่างที่เปิดกว้างเอาไว้...ทุ่งหญ้าสีเขียวสดใสตัดกับฝูงแกะสีขาวดูสวยงามสมกับที่เป็นชนบทอันเงียบสงบจนเผลอคิดไปว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาซึ่งมีแต่ความวุ่นวายนั้นมันเป็นเพียงภาพลวงตา

ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีวันได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขแบบนี้...


“ ท่านเคานต์....”   เสียงนุ่มเรียกออกไปเบาๆเพื่อปลุกคนที่ยังอยู่ในนิทราให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน

“ อืม.....”  เสียงตอบรับงึมงำดังขึ้นจากใบหน้าที่ยังซุกอยู่ที่เอวของเขา มีเพียงท่อนแขนแข็งแรงที่กอดกระชับเข้าไปมากกว่าเดิมเท่านั้นที่บ่งบอกว่าท่านเคานต์รู้สึกตัวแล้ว

“ ลุกเถอะครับ สายแล้ว...”   มือบางยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมสีทองออกไปจากใบหน้าที่ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย เพราะไออุ่นจากร่างกายเปลือยเปล่าทำให้ไม่รู้สึกหนาวต่อให้อากาศภายนอกจะเย็นแค่ไหนก็ตาม

“ ไม่เห็นจะต้องรีบ อยู่ที่นี่ก็ใช่ว่าจะมีอะไรทำ”   ท่อนแขนของท่านเคานต์ยังคงรวบตัวเขาเข้าไปหา ท่าทางอ้อนๆแบบนั้นมันทำให้รู้สึกเขินขึ้นมาจนต้องยันร่างกายของอีกฝ่ายออกไปพลางหันใบหน้าที่กำลังขึ้นสีหนีไปอีกทาง แต่กลับกลายเป็นข้อมือของเขาที่ถูกอีกฝ่ายรวบเอาไว้ก่อนที่ร่างกายจะถูกพลิกกดลงกับเตียง

สัมผัสจากผิวเนื้อที่แนบลงมาทาบทับร่างกายยิ่งทำให้ใบหน้ายิ่งแดงจัด ถึงจะไปถึงขั้นไหนต่อไหนกันไปแล้วแต่กับเรื่องแบบนี้เขาก็ยังรู้สึกอายได้ทุกที

“ อย่าครับท่านเคานต์ นี่มันเช้าแล้วนะครับ....”  สองมือยันแผ่นอกกว้างให้ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองที่กำลังจะซุกไซร้ลงมาที่ซอกคอละออกไป

“ ทำไม? นี่มันในบ้านของเรา ห้องก็ห้องของเรา ทำไมจะทำไม่ได้?”   อ้า....นัยน์ตาสีฟ้านั่นมันเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ให้มองเขาอย่างเหยียดหยามอย่างเมื่อก่อนยังรู้สึกอันตรายน้อยกว่าตั้งเยอะ!

“ .........”   ริมฝีปากสีระเรื่อเม้มเข้าหากันก่อนจะพยายามมองสวนกลับไปด้วยใบหน้าแดงเถือก

“ จริงสิ....หากปราสาทซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เจ้าย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับเราก็แล้วกัน”   จู่ๆท่านเคานต์ก็พูดออกมาแบบนั้น ถึงจะดีใจที่อีกฝ่ายให้เกียรติเขามากขึ้นแต่มันก็อดที่จะคิดถึงหน้าตาในสังคมของท่านเคานต์เองไม่ได้

“ .....แบบนั้นจะดีหรอครับ?”  เพราะรู้ดีว่าท่านเคานต์ไม่ใช่คนธรรมดา คนตรงหน้ามีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูงซึ่งถูกจับตามองยิ่งกว่าใครๆ แล้วจะให้.....

“ แล้วมันไม่ดียังไง?”   เสียงทุ้มยังคงถามออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน บทจะไม่สนใจใครก็ไม่สนเลยจริงๆ

“ ก็.....คนอื่นๆจะนินทาว่ากล่าวเอาได้หรือเปล่าครับ...เพราะคนอย่างผมมัน......”   เป็นแค่สามัญชนคนชั้นล่างที่ไม่มีชาติตระกูลที่ดีพอจะไปยืนอยู่ข้างๆท่านเคานต์ได้...ถึงแม้ว่าจะถูกซุกซ่อนไว้ให้เป็นแค่คนรักลับๆเขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร....ไม่จำเป็นต้องให้ไปอยู่ด้วยกันในห้องของเจ้าของปราสาทแบบนั้นหรอก

“ คนอย่างเจ้ามันยังไง?”  ใบหน้าหยิ่งทระนงยังคงถามคาดคั้น

“...........”  ซึ่งเขาก็ได้แต่เงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบยังไง กลับกลายเป็นท่านเคานต์ที่ตอบออกมาด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา

“ นี่เจ้าดูถูกรสนิยมของเราหรือไง? เจ้าคิดว่าอย่างเราจะเอาเศษดินมาเป็นคู่ครองหรือยังไง? จะบอกให้นะว่าอย่างเคานต์ครูเทโอถ้าไม่ใช่เพชร เราไม่เหลียวตามองหรอก”


เอ๋?


เพชร?


ท่านเคานต์หมายถึงเขางั้นหรอ?

หมายความว่า...เขามีค่าขนาดนั้นเลยหรอ?


หัวใจดวงน้อยเต้นอย่างอบอุ่นอีกครั้งที่รู้ว่าตัวเองมีค่าและเขาสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างคนที่เห็นค่าของเขาคนนี้ตลอดไป

สองมือบางเอื้อมขึ้นไปประคองใบหน้าของคนที่อยู่ด้านบน นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าด้วยแววซาบซึ้ง บรรยากาศหวานปานน้ำผึ้งนั้นอบอวลอยู่รอบกายก่อนจะถูกอีกฝ่ายทำลายให้กลายเป็นความเร่าร้อน

“ หึ...แต่เจ้าก็ยังต้องผ่านการเจียระไนจากเราอีกมากละนะ”   แล้วใบหน้าหยิ่งทระนงก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับเข้าหาซอกคอ

เดี๋ยวสิ...เจียระไนแบบไหนของท่านเคานต์เนี่ย....












แล้วกว่าเขาจะได้ออกมาจากห้อง...

กว่าจะได้มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในทุ่งกว้างแบบนี้....


พระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยจนอีกไม่นานก็จะย้อยลงดินอีกครั้ง....












“ ความพลัดพรากคือความโศกเศร้าที่หอมหวาน...ราตรีสวัสดิ์จนกว่าพรุ่งนี้จะมาเยือนนะสุดที่รัก....”  

ประโยคหนึ่งซึ่งอยู่ในหน้าหนังสือถูกอ่านออกมาด้วยริมฝีปากสีระเรื่อ นัยน์ตาสีมรกตยังคงไล่มองไปตามตัวหนังสือที่ถืออยู่ในมือ บทกวีชื่อก้องโลกถูกขับขานออกมาด้วยเสียงนุ่มๆทำให้คนที่นอนหนุนอยู่บนหน้าตักหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย

ต่อให้เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักแต่พอถูกอ่านออกมาด้วยเสียงของสเลนมันกลับทำให้รู้สึกปลอดโปร่งมากกว่าจะหนักอึ้งในหัวใจเหมือนกับตอนที่อ่านด้วยตัวเอง

ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงหลับตาฟังอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้สายลมพัดเอากลิ่นหญ้าโชยเข้ามาเบาๆ คละเคล้าไปกับเสียงแกะที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แสงแดดที่ลอดผ่านใบของต้นไม้ใหญ่ลงมาได้ช่วยส่งให้มันเป็นวันสบายๆที่หาได้ยากในชีวิตที่มีแต่งานของเขา

“ ท่านเคาท์...ทั้งๆที่ปราสาทไฟไหม้แต่พวกเรามานอนเล่นอยู่ที่นี่จะดีหรอครับ”  หนังสือปิดลงไปก่อนที่เสียงนุ่มจะถามเขาออกมาด้วยความกังวล

“ แล้วเจ้าจะให้เราถืออิฐถือหินไปซ่อมปราสาทเองหรือไง? ให้เราได้พักบ้างสิ เดี๋ยวกลับไปก็ต้องทำงานทั้งวันอีก”  เขาบอกคนตรงหน้าออกไปทั้งๆที่ยังหลับตา สงสัยว่ากลับไปเขาคงต้องทำงานให้น้อยลงแล้วเอาเวลามาอยู่กับเด็กนี่ให้มากขึ้นคงจะดีกว่า

“ ครับ...”  ได้ยินเสียงหน้าหนังสือถูกเปิดขึ้นมาอีก แต่ก่อนที่เสียงนุ่มจะได้อ่านบทประพันธ์นั้นต่อ เขาก็เอื้อมมือไปจับมือบางนั่นเอาไว้ ปลายนิ้วลูบอยู่ที่โคนนิ้วนางข้างซ้ายของสเลนก่อนที่นัยน์ตาจะค่อยๆเปิดขึ้นไปมอง

“ กุหลาบแห่งวอร์ริคคงจะใหญ่ไป เราไปย่อให้มันเล็กลงหน่อยเจ้าจะได้ใส่ได้ตลอด”   แหวนเงินรูปดอกกุหลาบวงเล็กถูกหยิบออกมาจากอกเสื้อก่อนที่มันจะถูกสวมลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายที่ว่างเปล่านั่น นัยน์ตาสีมรกตมองมันด้วยแววตาสั่นไหวราวกับจะร้องไห้

“ คนที่จะมีสิทธิถอดมันออกจากนิ้วของเจ้าได้ มีแต่เราเพียงคนเดียวเท่านั้น จำไว้ล่ะสเลน”

“ ครับ...”   ใบหน้ามนโน้มลงมาก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากเขาเบาๆ

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้ากับแพขนตาที่เปียกชื้นทำให้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก...อยากให้ช่วงเวลาที่มีแต่สองเราคงอยู่แบบนี้ตลอดไป



ม้าสีขาวตัวใหญ่ถูกแก้มัดออกมาจากโคนต้นไม้ ร่างบอบบางถูกอุ้มขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังของมันก่อนที่ร่างสง่าจะก้าวขาคร่อมไปซ้อนอยู่ข้างหลัง

รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าหันมาส่งให้กันก่อนที่สี่ขาสีขาวจะก้าวไปในทุ่งหญ้าเขียวขจี

เสียงทุ้มกระซิบอยู่ที่ใบหูซึ่งใบหน้ามนก็พยักรับเบาๆ เป็นคำพูดที่แสนจะเรียบง่ายแต่กลับเป็นประโยคที่อยากจะได้ยินมานานแสนนาน...



“ กลับบ้านของเรากันเถอะสเลน”

“ ครับ....”






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

Last Word
FIN.




จบไปอีกไหอย่างสายฟ้าแล่บมากเรื่องนี้ โฮววววววววว แล้วก็ประกาศทำรวมเล่มเลยทันที ก๊ากกกกก

แปะหน้าปก




น่าจะประมาณนี้แหละนะคะ ส่วนรายละเอียดข้างในเล่มจะเป็นอะไรยังไงยังไม่รู้เพราะยังไม่ได้เริ่มทำเบย (โดนตบ!) แต่คิดว่าน่าจะมีตอนพิเศษตอนนึงมั้งนะคะ ยังไม่ได้คิดเลยยังไม่แน่ใจ5555 (ดูมัน)…..และแล้วก็มีรวมเล่มงอกมาให้ดองอีกเล่มนึงแล้ว เย้ๆๆๆ(ยังไม่สำนึก.....) TvT

แต่เป็นเรื่องที่อยากทำมากๆค่ะ เพราะในส่วนของเนื้อเรื่องเองก็เมามันส์กับมันเต็มที่มาก555 เรียกว่าเป็นแนวที่ชอบมากแล้วตัวตนของท่านเคานต์กับสเลนก็อย่างเข้าอ่ะฟฟฟฟฟฟฟ ก็...ถ้ามีความคืบหน้าประการใดจะมาบอกกล่าวกันเรื่อยๆนะคะ ^ ^

ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และทุกๆเสียงทวงทุกการล่อลวงต่างๆนานาด้วยนะค้า ^ ^ แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่า





8 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ29 กันยายน 2557 เวลา 09:35

    จบแล้วววว จบแล้วววววววววววว //น้ำตาไหล
    นี่เป็นA/Zเรื่องแรกที่เจอ(และอ่านและเข้ามารีทุกวัน)เลยคะ
    สนุก ซึ้ง ฟิน ลากเลือด(?)ครบรสจริงๆ ไม่อยากให้จบเลย แอแอ----
    จะรอสอยรวมเล่มนะคะ
    ปล.ปกสวยยยยย
    ปล2.ท่านเคาท์เอาใจหนูไปปปปปป

    ตอบลบ
  2. เรื่องหน้าปอบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    กำลังนึกภาพอยู่

    หมีโคอาล่าตัวหนึ่งกำลังเกาะต้นไม้..............แปะหน้าท่านเคานต์แทนหน้าหมีลงไป...
    ต้นไม้ที่หมีเกาะ....แปะหน้าสเลนคุงลงไป.................
    กร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ไม่เลวๆ55555555555555555555555555555555//โดนไม้ตะพด(?)ตบ

    ยอดเยี่ยมมากครับพี่กวางงงงงงงงทะลายไหได้สองเรื่องแล้วเน้อะ ^ ^

    เรื่อง.ต่อ.ไป.ปอบ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! (นะจ๊ะ <3)

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ1 ตุลาคม 2557 เวลา 02:38

    ฟินนนนน =//=
    ถ้าท่านเคาท์จะหื่นขนาดนี้ =^=/
    จะรอรวมเล่มนะคะ * *

    ตอบลบ
  4. ไม้เท้าของท่านเคาท์6 ตุลาคม 2557 เวลา 08:32

    โอ้ยยยยฟินนนน///7/// ท่านเคานต์น่ารักง่ะะะะะ พ่อหมีโคอะล่าจอมหื่น!!!/โดนไม้เท้าฟาด

    ตอบลบ
  5. พ่อหมีโคอาล่าาา~ โฮกกกกก /////7/////

    ตอบลบ
  6. ชอบมากๆเลยค่า ฟินมากเลย ตอนนอ่านนี่ทั้งใจเต้น ทั้งลุ้น หลังๆมานี่น้ำตาปริ่มทุกตอรตั้งแต่ตอนที่ 6 เลยคะ Y////Y
    ชอบมากๆเลย อ่านแล้วรู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่องและเรื่องมากคะ รู้สึกท่านเคานต์น่ารักมากก
    ส่วนตัวเราไม่ได้จิ้นคู่นี้แต่บังเอิญเข้ามาอ่าน แล้วคือชอบมากก ทำให้เราชอบท่านเคานต์มากมากเลยคะ ปริ่มมากเลย
    เป็นกำลังใจให้ต่อนะคะ รอรวมเล่มด้วยค่า <3 ถ้ายังไหวอย่าให้มีตอนพิเศษด้วยนะคะ เพราะเราชอบมากเลย ><

    ตอบลบ
  7. บอกรักกันแล้ว >< ทุกอย่างก็เคลียร์ ในที่สุด ท่านเคานต์กับสเลนก็จะได้อยู่
    กันอย่างสงบสุขแฮปปี้เอนดิ้งสักทีค่ะ ดีใจ ตอนนี้มุ้งมิ้ง ให้ความรู้สึกละมุนๆ
    เหมือนมาร์ชเมลโล่เลยค่ะ(เอ๊ะ ยังไง?) อ่านแล้วมีความสุขตามไปเลย

    ป.ล. คำพูดของภรรยาท่านเคานต์ทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ เลย
    อ่านประโยคนั้นแล้วเหมือนจะได้ยินเสียงหวานๆ นุ่มๆ อ่อนโยนดังแว่วมา
    เข้าใจเลยค่ะว่าทำไมท่านเคานต์ถึงรักมาก

    ป.ป.ล. จะรอคอยรวมเล่มนะคะ ชอบเรื่องนี้มากๆ เลย

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ21 มกราคม 2558 เวลา 04:18

    ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ มีอะไรให้ลุ้นตลอด คาแรกเตอร์ท่านเคานต์นี่เอาใจไปเลย >///< สเลนก็น่ารักไปอีกแบบ
    เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ ^^

    ตอบลบ